00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:07 Voice หลองตัวเองอาจจะแบบเชื่อมั่นในตัว
00:00:07 → 00:00:10 เองรู้สึกว่าตัวเราดีซึ่งบางครั้งอาจจะมา
00:00:10 → 00:00:12 จากไอ้นี่ก็ได้นะประสบการณ์ที่เขาผ่านมา
00:00:12 → 00:00:14 ก็แบบเรามันเจ๋งว่ะการเชื่อมั่นในตัว
00:00:14 → 00:00:17 เองการเห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลก
00:00:17 → 00:00:19 หลงตัวเองเนี่ยมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัด
00:00:19 → 00:00:21 เดียวกันแต่สเกลไม่เท่ากันเขาระบุในทาง
00:00:21 → 00:00:23 จิตเวชศาสตร์ชื่อ narcissistic
00:00:23 → 00:00:25 personality disorder เป็นโรค
00:00:25 → 00:00:28 บุคคลิกภาพผิดปกติแบบหลวงตัวเองเขาจะมี
00:00:28 → 00:00:30 ความรู้สึกว่าตัวเองกบยิ่งใหญ่คนอื่นมัน
00:00:30 → 00:00:32 เป็นแค่เศษเล็กๆเท่านั้นต้องการการถูกยอม
00:00:32 → 00:00:35 รับจากคนอื่นมากต้องการคำชมเป็นจุดสนใจ
00:00:35 → 00:00:37 ฉันต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นชอบเอาชนะ
00:00:37 → 00:00:40 ความคิดฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลาง
00:00:40 → 00:00:42 แล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นตัวเอง
00:00:42 → 00:00:44 ไม่เคยผิดแล้วเขาจะหาเรื่องแบบคอนเซปบาง
00:00:44 → 00:00:47 อย่างในการบอกว่าคนอื่นผิดยัง
00:00:47 → 00:00:51 ไงฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสิพรค่ะ This
00:00:55 → 00:00:59 Is tha PBS podcast วันนี้ค่ะคุณผู้
00:00:59 → 00:01:02 ฟังเราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องของโรคหลง
00:01:02 → 00:01:05 ตัวเองนะคะเอ๊ะเป็นเพลงหรือเปล่าไม่ใช่
00:01:05 → 00:01:09 เก่ามากนะคะเดี๋ยวคุยกันถึงเรื่องนี้โรค
00:01:09 → 00:01:13 หลงตัวเองเป็นยังไงมันแย่ขนาดไหนหรือว่า
00:01:13 → 00:01:15 ถ้าเกิดเราไปเจอคนแบบนี้เนี่ยเราจะต้อง
00:01:15 → 00:01:17 ยังไงหรือถ้าเราเป็นเนี่ยเราควรจะยังไง
00:01:17 → 00:01:20 กันได้บ้างนะคะเดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงษ์
00:01:20 → 00:01:22 ทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดี
00:01:22 → 00:01:25 ค่ะคุณเอินสวัสครับคุณีสวัสดีครับคุณผู้
00:01:25 → 00:01:26 ฟังเพราะเวลาพูดชื่อเอิ้นทีไรต้องมีเอืน
00:01:26 → 00:01:31 มีเอนครับตลอดเลยโรคหลงตัวเองไปนึกถึง
00:01:31 → 00:01:35 เพลงครับผมเกิดไม่ทันฮะวยมันร้องยังไงอ่ะ
00:01:35 → 00:01:38 ช่างมันเถอะผ่านไปเดี๋ยวต้องกลับไปเฟิร์ส
00:01:38 → 00:01:43 ฟังะของคุณอานันท์บุญนาคอ่านะคะก็โรคหลง
00:01:43 → 00:01:46 ตัวเองเนี่ยหลังๆมาเนี่ยได้ยินบ่อยมากนะ
00:01:47 → 00:01:50 คะหรือการกระทำที่บางคนที่ยิ่งเท่าใน
00:01:50 → 00:01:53 โซเชียลมีเดียจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเลย
00:01:53 → 00:01:55 เพราะเขาก็ก็ต้องข้างค่อนข้างเปิดเผยตัว
00:01:55 → 00:02:00 เองเนาะว่าเอ่อฉันเป็นคนที่แบบเค้าเรียก
00:02:00 → 00:02:04 ว่าอะไรอ่ะแบบดีนะอู่ใช้อวดเลยได้มอวดโอห
00:02:04 → 00:02:08 มันดูแรงดีเนาะเออดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นไม่
00:02:08 → 00:02:11 เห็นอกเห็นใจคนอื่นเลยหรืออะไรก็แล้วแต่
00:02:11 → 00:02:14 เอ้ยมันเป็นเกี่ยวกับหลงตัวเองด้วยหรออือ
00:02:14 → 00:02:18 ๆมันมายังไงเดี๋ยวมาทำความเข้าใจกับนิยาม
00:02:18 → 00:02:20 ความหมายของมันก่อนอ่าครับในในมุมมองของ
00:02:20 → 00:02:22 เอื้นครับจริงๆแล้วพอเราคุยหัวข้อวัน
00:02:22 → 00:02:25 เนี้ยพูดถึงคำว่าโรคของตัวเองถูกมั้ยครับ
00:02:25 → 00:02:28 มันจะมีคำว่าโรคกำกับอยู่ข้างหน้าออ่าการ
00:02:28 → 00:02:30 เป็นโรคหมายถึงว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
00:02:30 → 00:02:33 และน่าจะมีความรุนแรงจนกระทั่งมันกระทบ
00:02:33 → 00:02:36 การแบบใช้ชีวิตปกติของมนุษย์บนาทั่วไปอือ
00:02:36 → 00:02:38 ฮึมนุษย์มนาแล้วมันดูผิดผิดผู้ปิดคนเงี้
00:02:38 → 00:02:40 ไม่น่าใช่เนาะแชมนี้แล้วกันมันดูมีอาการ
00:02:40 → 00:02:43 รุนแรงบางอย่างที่ค่อนข้างเข้มข้นจนสร้าง
00:02:43 → 00:02:45 เรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตทั้งกับของตัว
00:02:46 → 00:02:48 เองแลกับของคนอื่นด้วยอ๋อคือมีผลกระทบ
00:02:48 → 00:02:50 ทั้ง 2 ฝ่ายใช่ครับกระทบตัวเองด้วยกระทบ
00:02:51 → 00:02:52 คนอื่นด้วยเพราะงั้นความเป็นโรคเนี่ยมัก
00:02:52 → 00:02:55 จะย้ำตรงนี้เสมอว่ามันมีต้องมีผลกระทบใน
00:02:55 → 00:02:56 เชิงการใช้ชีวิตทั้งของตัวเองและของผู้
00:02:56 → 00:03:00 อื่นค่ะแล้วถ้าเป็นแค่คำว่าหลงตัวเองิเฉย
00:03:00 → 00:03:02 ๆก็คือตัวเราอครับหลองตัวเองอาจจะแบบ
00:03:02 → 00:03:06 เชื่อมั่นในตัวเองอืรู้สึกว่าตัวเราดีเออ
00:03:06 → 00:03:07 ซึ่งบางครั้งอาจจะมาจากไอ้นี่ก็ได้นะ
00:03:07 → 00:03:09 ประสบการณ์ที่เขาผ่านมาเก็แบบเรามัน
00:03:10 → 00:03:13 เจ๋งว่ะอะไรเงี้ยเออแต่ว่าทีเนี้ยมันต้อง
00:03:13 → 00:03:15 ไล่ระดับครับว่าการเชื่อมั่นในตัวเองการ
00:03:15 → 00:03:18 เห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลกหลงตัว
00:03:18 → 00:03:20 เองเนี่ยอมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัดเดียว
00:03:20 → 00:03:24 กันแต่สเกลไม่เท่ากันเออๆๆเพราะว่าความพอ
00:03:24 → 00:03:27 คำว่ามีโรคกำกับปุ๊บมันความหนักสเกลมันจะ
00:03:27 → 00:03:30 สูงขึ้นไปอีกใช่ครับเออเลยมีคำภาษาอังกฤษ
00:03:30 → 00:03:32 ที่เป็นโรคที่เขาระบุในทางจิตเวชศาสตร์
00:03:32 → 00:03:35 อันนี้ก็เลยเผื่อท่านผู้ฟังจะแบบได้ไปค้น
00:03:35 → 00:03:38 หาเพิ่มเติมด้วยกันได้นะครับชื่อนาซี stic
00:03:38 → 00:03:40 personality disorder เป็นโรคบุคลิกภาพ
00:03:40 → 00:03:45 ผิดปกติแบบลงตัวเองอือ่ามันถึงมีคำว่า
00:03:45 → 00:03:46 disorder อันนี้คือโรคทางทาง
00:03:47 → 00:03:49 จิตเวชศาสตร์เนี่ยจะระบุว่านี่คือ orderer
00:03:49 → 00:03:52 เป็นบุคลิกภาพที่ผิดปกติอืก็เหมือนๆกับ
00:03:52 → 00:03:55 การหลงตัวเองแต่แค่ว่ามันไม่ถึงกับยังไม่
00:03:55 → 00:03:58 ถึงขนาดเป็นโรคอ่าใช่ครับถ้าเป็นโรคเนี่ย
00:03:58 → 00:04:01 มันจะมีปัญหาเชิงรุนแรงค่อนข้างมากอ่ะผม
00:04:01 → 00:04:03 จะลองเล่าให้ฟังว่าคนที่เขาเป็นโรค
00:04:03 → 00:04:05 บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเองเนี่ยจะเป็น
00:04:05 → 00:04:07 ยังไงเนาะค่ะครับเขาจะมีความรู้สึกว่าตัว
00:04:07 → 00:04:11 เองแบบยิ่งใหญ่ฉันคือคนที่แบบยิ่งใหญ่คน
00:04:11 → 00:04:15 อื่นมันเป็นแค่เศษเศษเล็กๆเท่านั้น
00:04:15 → 00:04:19 โอ้โหยิ่งใหญ่มยิ่งใหญ่ดับไหนเกินเบอร์
00:04:19 → 00:04:21 ใช่มั้ฮะเออเกินเบอร์มากฮแล้วก็มีการ
00:04:21 → 00:04:24 ต้องการการถูกยอมรับจากคนอื่นมากต้องการ
00:04:24 → 00:04:27 คำชมต้องเป็นการต้องการเป็นจุดสนใจฉัน
00:04:27 → 00:04:30 ต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นใครจะจะมาแย่ง
00:04:30 → 00:04:33 ซีนฉันไม่ได้อืหรือใครจะเด่นกว่าฉันไม่
00:04:33 → 00:04:36 ได้อืนี่ผมพยายามใส่น้ำเสียงเข้าไปจะได้
00:04:36 → 00:04:38 รู้สึกว่าแบบมันมีฟิของความรู้สึกใครจะ
00:04:38 → 00:04:42 เด่นกว่าฉันไม่ได้ยังไม่เข้าขั้นนะยังไม่
00:04:42 → 00:04:44 ถึงลยังไม่ถึงยังไม่ถึงต้องแอติเท่าไหร่
00:04:44 → 00:04:47 แอคติน้อยเออหรืออาจจะเป็นความรู้สึกชอบ
00:04:47 → 00:04:51 เอาชนะอือฮึคือฉันจะแพ้ใครไม่ได้ใครชนะ
00:04:51 → 00:04:55 ฉันฉันจะไม่ชอบไม่ชอบใจเลยอาฮะอ่าความคิด
00:04:55 → 00:05:00 ฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลางค่ะอืมนะ
00:05:00 → 00:05:02 ครับแล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นใน
00:05:02 → 00:05:05 เชิงสังคมจะเห็นว่าระบบแบบมันมีความผิด
00:05:05 → 00:05:07 พลาดตรงนี้แน่นอนแต่เขาจะบอกว่าไม่ใช่
00:05:07 → 00:05:10 เค้าอ่ะโทษคนอื่นโทษคนอื่นเไม่ผิดหรอกไม่
00:05:10 → 00:05:12 เคยผิดเลยตัวเองไม่เคยผิดแล้วเขาจะหา
00:05:12 → 00:05:15 เรื่องแบบแต่งแต่งแบบคอนเซปบางอย่างในการ
00:05:15 → 00:05:18 บอกว่าคนอื่นผิดยังไงโอ้โหอันนี้มันก็จะ
00:05:18 → 00:05:21 ไปสอดคล้องกับคำยุคปัจจุบันคือแส Lighting
00:05:21 → 00:05:24 แส Lighting แส Lighting นะครับคือ
00:05:24 → 00:05:27 พฤติกรรมในการปั่นหัวนั่นแหละอืมอย่าง
00:05:27 → 00:05:31 เช่นเอาสมมุติอะไรดีโอ๊ยเอ่อสมมุติสมมติ
00:05:31 → 00:05:34 เรานัดกัน 10:00 นวันนี้ค่ะนัดกัน 10:00
00:05:34 → 00:05:38 นสมมุติเรานัดกัน 10:00 นวันนี้แล้วผมอาจ
00:05:38 → 00:05:42 จะแบบมาช้าอืตามตามเรียกว่ามารยาททาง
00:05:42 → 00:05:44 สังคมเนี่ยคนที่อาจจะไม่ถูกต้องคือผมถูก
00:05:44 → 00:05:47 มั้ยฮะที่ที่มาช้ากว่านัดหมายค่ะแต่บางที
00:05:47 → 00:05:49 ผมอาจจะบอกว่าเป็นเพราะพี่รีนัดเช้าเกิน
00:05:49 → 00:05:53 ไปอ้าวเออก็ได้ยิงกลับไปเลยฉันผิดเออพี่
00:05:53 → 00:05:57 รีมั่นใจได้ไงว่าตัวเองถูกอ้าวเนี่ยครับ
00:05:57 → 00:06:00 งงมั้มีตีนะมีตีเออหรือหรือผมจะได้ยิน
00:06:00 → 00:06:02 บ่อยเช่นแบบในเคสแบบผู้ชายผู้หญิงเป็นแฟน
00:06:02 → 00:06:05 กันอะไรเงี้ยเออๆใช่ๆอ่าี่บอยบอยแสไิบ่อย
00:06:05 → 00:06:08 โดนมั้ยโดนมั้ยผมผมไม่โดนออโอเคลูกค้าผม
00:06:08 → 00:06:11 โดนเต็มเลยเต็มเต็มเวลามาปรึกษาจะเจอแบบ
00:06:11 → 00:06:14 นี้เจจากที่ฉันไม่ได้เป็นคนผิดกลายเป็นคน
00:06:14 → 00:06:19 ผิดเพราะว่าเโยนความผิดให้เราใช่ๆครับอื
00:06:19 → 00:06:21 ใช่เช่นแบบว่าโทษว่าเป็นเพราะเธอไม่แต่ง
00:06:21 → 00:06:25 ตัวเซ็กซี่เอ้าฉันก็เลยมีผู้หญิงคนอื่น
00:06:25 → 00:06:28 อะะนี่คือเหตุผลหรออะไรอย่างงั้นน่ะครับ
00:06:28 → 00:06:31 เค้าคิดว่าเป็นเหตุผลของเขาอแต่ไม่ใช่
00:06:31 → 00:06:34 เหตุผลของคนรับฟังใช่ๆเออซึ่งซึ่งมัน
00:06:34 → 00:06:36 เหมือนกับสุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยอ่ะ
00:06:36 → 00:06:39 ว่าตัวเองทำที่ทำมาถูกต้องแล้วอืเออมัน
00:06:39 → 00:06:42 จริงๆเราก็เห็นอยู่ในสังคมค่อนข้างเยอะนะ
00:06:42 → 00:06:46 แนวนี้ทั้งสังคมทำงานอุ๊ยเหมือนเห็นที่ทำ
00:06:46 → 00:06:49 งานเห็นใช่มั้ยฮะเยอะผมผมว่าลูกค้าเป็นคน
00:06:50 → 00:06:52 โดน gaping เยอะมากคือเค้าเจะเป็นคนที่
00:06:53 → 00:06:56 แบบถูกถูกทำลายตัวอการเชื่อมั่นในตัวเอง
00:06:56 → 00:06:59 จากการที่บุคคลที่เคคบด้วยอ่ะมีพฤติกรรม
00:06:59 → 00:07:02 เหมือน 50 นี่แหละโรคบุคลิกภาพลงตัวเองอ
00:07:02 → 00:07:04 ค่ะอืเหมือนเป็นคนเชื่อมั่นเหมือนเป็นคน
00:07:04 → 00:07:07 เก่งพอพอคบกันแรกๆปั๊บมันก็แบบเหมือนเฮ้ย
00:07:07 → 00:07:09 ผู้ชายคนนี้เก่งมีความทะยาทะยานมีความ
00:07:09 → 00:07:12 สามารถค่ะก็เลยให้เขาเป็นผู้นำแต่พออยู่
00:07:12 → 00:07:14 ไปอยู่มาปั๊บเริ่มโดนกล่อมเริ่มโดนบอกว่า
00:07:14 → 00:07:17 เธอดีไม่พออืเธอไม่เก่งเธอไม่ดีไอ้นั่น
00:07:17 → 00:07:20 ไอ้โน่นไอ้นี่สุดท้ายตัวเราที่แบบคล้ายๆ
00:07:20 → 00:07:22 ถูกค่อยๆทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองอ่ะก็
00:07:22 → 00:07:26 จะพยายามทำหลายๆสิ่งที่ให้คนคนนั้นถูกใจ
00:07:26 → 00:07:28 กลายเป็นไม่ได้เป็นตงตัวเองายเป็นาคนั้น
00:07:28 → 00:07:31 ไปทำยังไงก็ได้ได้ที่ฉันจะไม่ได้ถูกลดทอน
00:07:31 → 00:07:33 ในความคุณค่าในตัวเองทั้งที่จริงๆที่ผ่าน
00:07:33 → 00:07:36 มาฉันก็เอ้ยทำโอเคโดยดีมาตลอดไม่เห็นเคย
00:07:36 → 00:07:39 มีใครมาตำหนิอะไรเลยแต่พอมาคบกับคนนี้
00:07:39 → 00:07:43 เอ้าทำไมล่ะอันนี้ที่ฉันเคยเคยถูกปกติ
00:07:43 → 00:07:46 เป็นเรื่องปกติกลายเป็นเรื่องไม่ถูกขึ้น
00:07:46 → 00:07:47 มาใช่ครับใช่แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่กับ
00:07:47 → 00:07:49 เรื่องความรักนะเรื่องการทำงานก็เป็นเช่น
00:07:49 → 00:07:51 หัวหน้างานเราเป็นคนอย่างเงี้ยบุคลิกภาพ
00:07:51 → 00:07:54 อย่างเงี้ยอือโดนโดนปั่นลูกน้องเละเลยเออ
00:07:54 → 00:07:57 อันนี้จะเหนื่อยมากใช่ๆครับเยอะๆแล้วถ้า
00:07:57 → 00:08:00 เกิดออ่ะๆต่อได้เลยมันจะมีบุคลิกแบบคิด
00:08:00 → 00:08:03 ว่าคนอื่นต้องอิจฉาฉันแน่ๆเนี่ยมันจะล้อ
00:08:03 → 00:08:06 กันไปอ่ะครับเพราะชันดีชั้นเจ๋งสุดคนอื่น
00:08:06 → 00:08:08 มันเป็นแค่แบบตัวกระจ้อยคนอื่นต้องอิจฉา
00:08:08 → 00:08:12 ฉันแน่ๆคนอื่นเป็นแค่คนชั้นต่ำว้ายเนี่ย
00:08:12 → 00:08:15 ฮะมันจะเป็นความหลงตัวเองคิดไปแบบผิดปกติ
00:08:15 → 00:08:17 คิดไปได้ขนาดนั้นเลยหรอใช่ครับมันเป็น
00:08:17 → 00:08:21 บุคลิกภาพผิดปกติมันมีถูกใครเอาไปใส่หัว
00:08:21 → 00:08:25 เค้ามั้ยว่าแบบไปเชิดชูไปให้เกียรติไปให้
00:08:25 → 00:08:28 ฆ่าเ้ามากเกินไปหรือเปล่าเเลยทำให้กลาย
00:08:28 → 00:08:31 เป็นคนที่คิดแนวแบบเนี่ยคือคือโดยส่วนตัว
00:08:31 → 00:08:33 ผมผมจะเชื่อว่ามันจะมีคาแรคเตอร์บางอย่าง
00:08:33 → 00:08:37 ในเนื้อตัวคนนั้นที่ทำให้เมื่อถูกเทือทูล
00:08:37 → 00:08:40 ปั๊บทีนี้ลอยเลยอ่าแล้วเป็นคนคะนองเป็นคน
00:08:40 → 00:08:43 ลำพองแต่มันจะมีเหมือนกันนะคนที่ถูกชม
00:08:43 → 00:08:46 แล้วรู้สึกว่าหหมีกล้ามีกล้าข้าน้อยมี
00:08:46 → 00:08:49 บังอาจเอออาจจะรู้แหละว่าตัวเองดีแต่ไม่
00:08:49 → 00:08:52 ต้องอวยยศขนาดนั้นมันจะมีคนที่ถ่อมตัว
00:08:52 → 00:08:55 อยู่มีคนที่รู้แหละว่าคนอื่นชื่นชมเราแต่
00:08:55 → 00:08:57 เราจะยังคงระลึกเสมอว่าเฮ้ยตัวเราแบบเป็น
00:08:57 → 00:08:59 มนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้นแต่รู้
00:08:59 → 00:09:02 แหละว่าตัวเองดีอืเออแต่ว่าคนที่เป็นโรค
00:09:02 → 00:09:05 ุภาพหลงตัวเองอ่ะครับจะรู้สึกว่าใช่สิ่ง
00:09:05 → 00:09:08 นี้มันคู่ควรกับฉันอยู่แล้วนี่เป็นไงดูดู
00:09:08 → 00:09:12 มั่นหน้ามั่นโหนกคำนี้ถูกมั้เออมั่นหน้า
00:09:12 → 00:09:14 มากว่าแบบเรานี่คือแบบที่สุดแล้วอะไร
00:09:14 → 00:09:17 เงี้ยฮะอืคือความมั่นใจในตัวเองมีอ่ะมัน
00:09:17 → 00:09:19 มันดีนะมันโอเคอะไรอย่าเงี้ยแต่ว่าถ้า
00:09:19 → 00:09:22 มั่นเกินไปอ่ะใชหนักตกี้ผมเลยบอกว่ามันมี
00:09:23 → 00:09:26 การเห็นคุณค่าในตัวเองใช่มั้ยครับเอ่อการ
00:09:26 → 00:09:29 เชื่อมั่นในตัวเองการเอ้ยหลงตัวเองแล้วก็
00:09:29 → 00:09:32 โรคหลวงตัวเองมันไต่ระดับไม่ได้ถึงขนาด
00:09:32 → 00:09:34 นั้นเนี่ยมันอยู่ในเช่นเดียวกันแต่ว่า
00:09:34 → 00:09:35 อยู่ที่ว่าระดับเนี้ยมันเกินเบอร์หรือ
00:09:35 → 00:09:40 เปล่ามันต้องถูกเยินยอยกยอจนแบบว่าลืมไป
00:09:40 → 00:09:42 แล้วว่าอชั้นอะไรยังไงทีนี้เรื่องเรื่อง
00:09:42 → 00:09:45 เยนยอเรื่องนึงครับกับอีกเรื่องนึงคือโดย
00:09:45 → 00:09:47 พื้นฐานบางทีเาอาจจะมีประวัติชีวิตที่แบบ
00:09:47 → 00:09:49 รู้สึกถูกลดทอนมาจากพ่อแม่จากครอบครัวที่
00:09:49 → 00:09:53 ไม่ถูกชมก็มีมีเหมือนมีเหมือนกันนะบางคน
00:09:53 → 00:09:56 ที่แบบเป็นลูกที่ถูกอวยยศบ่อยชมบ่อยชมจน
00:09:56 → 00:09:58 เหลิงไปเลยแบบเป็นผู้เสียคนไปเลยเงี้ยฮะ
00:09:58 → 00:10:02 ค่ะกับเด็กที่ไม่เคยถูกมองเห็นคุณค่าจาก
00:10:02 → 00:10:05 พ่อแม่ไม่เคยถูกชมแล้วตัวเขามีความเจ็บ
00:10:05 → 00:10:08 ปวดบางอย่างค่ะเลยเลยพยายามสร้างเกราะ
00:10:08 → 00:10:10 ป้องกันว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมาลดทอน
00:10:10 → 00:10:12 คุณค่าฉันได้อีกเพราะงั้นใครก็ตามที่
00:10:12 → 00:10:15 วิจารณ์เจะอะไรก็ตามเปัดทิ้งหมดเลยอื
00:10:15 → 00:10:18 เพราะเขาจะไม่พร้อมรับคำวิจารณ์เพราะมัน
00:10:18 → 00:10:21 ทำให้ตัวเขาอ่ะสั่นสะเทือนมันเหมือนๆ
00:10:21 → 00:10:24 เกือบจะมามีคำว่า perfectionist ด้วยนะ
00:10:24 → 00:10:27 อ่าแบบว่าทำทุกอย่างให้มันแบบสมบูรณ์แบบ
00:10:28 → 00:10:30 ที่สุดเพื่อให้แบบว่าฉันไม่ถูกตำหนิแล้ว
00:10:30 → 00:10:33 ฉันต้องแบบมากๆเข้ามากๆเข้าจนไม่รู้ตัว
00:10:33 → 00:10:34 ด้วยมั้ยใช่ครับแต่ perfectionist เนี่ย
00:10:34 → 00:10:37 กับนิิที่มันเป็นเรื่องของบุคลิกภาพลงตัว
00:10:37 → 00:10:40 เองอ่ะจะอยู่คนละอันกันอืเพราะว่าจริงๆพอ
00:10:40 → 00:10:42 สมมุติถ้าเราแยกไปคุยเรื่อง perfectionist
00:10:42 → 00:10:44 นะครับความสมบูรณ์แบบเนี่ยมันมันจะมีมิติ
00:10:44 → 00:10:48 ประมาณนี้อย่างเช่นคนๆนี้ทำสิ่งนี้ให้
00:10:48 → 00:10:50 สมบูรณ์แบบทำงานให้สมบูรณ์แบบเพราะรู้สึก
00:10:50 → 00:10:54 ว่านี่คือสนารของคนที่เคคเก่งเทำกันอาฮะ
00:10:54 → 00:10:56 ฮะอ่าฉันชันแค่อยากมีตัวตนที่สอดคล้องกับ
00:10:56 → 00:10:59 คนเก่งแล้วอย่างงี้มันจะนำไปสู่การที่วัน
00:10:59 → 00:11:02 นึงเราพอเราแบบโอ้โหทำทุกอย่างมาดีคนชม
00:11:02 → 00:11:06 ชื่นชมจนเรากลายเป็นแบบนี่ไงชั้นอะไร
00:11:06 → 00:11:09 อย่างเงี้ยเอ่อได้มยมันมันก็ได้แต่ว่า
00:11:09 → 00:11:11 จริงๆแล้ว perfectionist อหจะมีความกลัว
00:11:11 → 00:11:14 ที่จะไม่สมบูรณ์ด้วยอ๋อมันก็เลยมันก็เลย
00:11:14 → 00:11:17 คนละแท่งกันคนละแท่งกันมันก็จะไม่ได้ข้าม
00:11:17 → 00:11:20 มาอีกฝั่งนึงได้แบบโอ้โหพอ perfectionist
00:11:21 → 00:11:23 สุดจนสุดของ perfectionist คือการเป็นโรค
00:11:23 → 00:11:26 หลงตัวเองไม่ใช่อ่ะไม่ๆอ๋อใช่ครับ
00:11:26 → 00:11:28 perfectionist เนี่ยมันมันมันจะมีหลาย
00:11:28 → 00:11:30 อีกมิติอื่นอีกเช่นบางคนทำเพราะเลี่ยง
00:11:30 → 00:11:33 เพราะกลัวว่าถ้าทำไม่สมบูรณ์จะโดนชี้ว่า
00:11:33 → 00:11:36 เราแบบไม่ดีพอออฮะเพราะงั้นมันไม่ใช่การ
00:11:36 → 00:11:38 เสพความสนุกที่ได้เพอเฟคะค่ะแต่บางคนทำ
00:11:38 → 00:11:42 เพะกลัวว่าจะถูกตำหนิอืก็มีเหมือนกันอ๋อ
00:11:42 → 00:11:44 เพราะนั้นกลายเป็นว่าความหลงตัวเองตรง
00:11:44 → 00:11:48 เนี้ยมันก็คือจากการอวยยศของในครอบครัวมา
00:11:48 → 00:11:52 หรือการที่พยายามเอ่อจะให้ตัวเองแบบไม่
00:11:52 → 00:11:56 ให้ถูกคนอื่นมาอือๆว่าใช่ค่ะเพราะงั้นคน
00:11:56 → 00:11:58 ที่เป็นถึงขั้นโรคอ่ะครับเขาจะปฏิเสธการ
00:11:58 → 00:12:00 รับรู้ความความจริงว่าจริงๆแล้วตัวเเป็น
00:12:00 → 00:12:03 คนที่มีข้อบกพร่องโอ้โหเจะปฏิเสธเจะไม่
00:12:03 → 00:12:06 อยากรับรู้คือมันกว่าจะไปถึงตรงนั้นเนี่ย
00:12:06 → 00:12:10 มันต้องเออใช้ระยะเวลาเหมือนกันเนาะกลาย
00:12:10 → 00:12:12 จนวันนึงมากลายเป็นโรคลงตัวเองที่ว่าแบบ
00:12:12 → 00:12:16 ตัวเองดีตัวเองแบบที่สุดแล้วอะไรอย่าง
00:12:16 → 00:12:18 เงี้ยใช่เ้าอาจจะใช้เป็นกลไกในการป้องกัน
00:12:18 → 00:12:21 ความเจ็บปวดบางอย่างของตัวเองก็ได้อๆๆ
00:12:21 → 00:12:23 หรือบางคนอาจจะค้คล้ายๆใช้จนกระทั่งรู้
00:12:23 → 00:12:26 สึกดีที่ได้ใช้ฉันดีสุดฉันไม่เคยมีอะไร
00:12:26 → 00:12:30 เลยที่แบบจะใครจะมาแย้งได้ออืทีนี้มันมี
00:12:30 → 00:12:32 หลายแบบ่ะครับคนที่เป็นโดยไม่ตั้งใจจากปม
00:12:32 → 00:12:34 ในอดีตกับคนที่บางคนเป็นโดยโดยเนื้อโดย
00:12:34 → 00:12:38 ตัวก็มีอทีนี้ตัวผมคงจะบอกยากว่าสิ่งนี้
00:12:38 → 00:12:42 มันเป็นโลคมันเป็นความปกติทางสมองหรือมัน
00:12:42 → 00:12:44 คือทุกคนที่เป็นสิ่งนี้ต้องมีปมผมผมอาจจะ
00:12:44 → 00:12:46 พูดอย่างนั้นไม่ได้ผมเชื่อว่าคนที่เป็น
00:12:46 → 00:12:49 สิ่งนี้ด้วยตัวเองต่อให้ไม่มีปมก็มีค่ะ
00:12:49 → 00:12:52 ต่อให้ครอบครัวดีครอบครัวโอเคแต่ตัวเขาก็
00:12:52 → 00:12:55 ยังเลือกจะเป็นสิ่งนี้ก็มีอือันนั้นก็
00:12:55 → 00:12:57 เป็นในแง่มุมของการที่จะเพราะคำว่าเป็น
00:12:57 → 00:12:59 โรคมันต้องมีการรักษาแล้วแหละมันต้องมี
00:12:59 → 00:13:01 อะไรที่มันกระทบอย่างที่คุณเอิ้นบอกไป
00:13:01 → 00:13:05 ตั้งแต่ตอนต้นว่ากระทบทั้งตัวเองและคน
00:13:05 → 00:13:08 อื่นแต่การที่จะเข้าไปถึงการรักษาได้
00:13:08 → 00:13:10 เนี่ยมันต้องแสดงว่าเฮ้ยมันรู้สึกด้วยตัว
00:13:10 → 00:13:12 เองแล้วว่าหรือมีคนมาบอกแล้วว่าเฮ้ยไม่
00:13:12 → 00:13:17 ได้ละมันต้องไปพบจิตแพทย์จริงๆแล้วการษา
00:13:17 → 00:13:19 ทีนี้อย่าในฐานะนักจิตวิทยาครับที่ผมที่
00:13:19 → 00:13:22 ผมเจออันนี้จากประสบการณ์เนาะค่ะคนที่
00:13:22 → 00:13:24 เข้ามาหาผมแล้วปรึกษาเรื่องปัญหาชีวิต
00:13:24 → 00:13:27 เนี่ยคนที่เป็นนิติหรือโรคบุคลิกประภาพ
00:13:27 → 00:13:29 ของตัวเองอ่ะครับอือแทบจะไม่เจอเลยที่เขา
00:13:29 → 00:13:32 จะเข้ามาแต่เขาจะเป็นตัวละครในเรื่องของ
00:13:32 → 00:13:36 คนที่มาปรึกษาผมนี่แหละอ๋อว่าเค้าโดนมา
00:13:36 → 00:13:40 จากคนที่เป็นจากคนที่เป็นเช่นๆแฟนผู้ชาย
00:13:40 → 00:13:42 ที่เขคคบเป็นคนนิสัยอย่างงั้นแล้วตัวเา
00:13:42 → 00:13:44 กำลังเสียความมั่นใจรุนแรงมากคนที่เสีย
00:13:44 → 00:13:47 ความมั่นใจรุนแรงมากเนี่ยจะมาเจอผมแล้วผม
00:13:47 → 00:13:49 จะได้ฟังว่าอีกคนที่เขากำลังเจอเนี่ยเป็น
00:13:49 → 00:13:52 คนบุคลิกภาพผิดปกติลงตัวเองซึ่งเขาไม่ได้
00:13:52 → 00:13:54 รู้หรอกว่าเขามีความผิดปกตินะเคเอาจจะไม่
00:13:54 → 00:13:57 สนหรือเขาคอาจจะไม่เชื่อว่าเคเป็นเพราะ
00:13:57 → 00:13:59 ฉะนั้นคนที่มีโรคบุคลิกภาพผิดกปกติแบบ
00:13:59 → 00:14:02 หลวงตัวเองอ่ะครับจะไม่คิดว่าตัวเองคือ
00:14:02 → 00:14:05 ตัวปัญหาอือเพราะโดยพื้นฐานตัวเค้าอ่ะเข
00:14:05 → 00:14:08 จะรู้สึกว่าเค้าดีอยู่แล้วอืคนอื่นต่าง
00:14:08 → 00:14:11 หากที่มันผิดปกติเอ๊ะทำไมมันรู้สึกพอเป็น
00:14:11 → 00:14:13 พอชีวิที่คนอื่นปั๊บเคก็จะไม่ได้คิดว่าเค
00:14:13 → 00:14:15 จะไปหานาจิตวิทยาทำไมค่ะเพราะเขคไม่ไม่
00:14:15 → 00:14:18 ใช่ตัวปัญหาเออคนอื่นเธอต่างหากใช่อันนี้
00:14:18 → 00:14:20 อันนี้แบบนึงนะใช้คำนี้ก่อนแบบนึงคือเา้า
00:14:20 → 00:14:22 ไม่คิดว่าตัวเองคือตัวปัญหาเธอนั่นแหละ
00:14:22 → 00:14:25 คือคนที่ต้องไปหานั่นคือข้อที่ 1 อกับข้อ
00:14:25 → 00:14:30 ที่ 2 คือตัวเค้าอาจจะไม่มั่นใจว่าเมื่อ
00:14:30 → 00:14:34 มาพบนักจิตวิทยาจะเจออะไรบ้างจะจะโดนจับ
00:14:34 → 00:14:37 ไต๋จะโดนโน้มน้าวจะโดนชี้ว่าแบบคุณนั่น
00:14:37 → 00:14:41 แหละผิดปกติหรือเปล่าเพราะว่าเพราะว่า
00:14:41 → 00:14:43 เขาคไม่ได้กำลังปะทะกับคนธรรมดาแต่เขา
00:14:43 → 00:14:45 กำลังต้องเข้ามาคุยกับคนที่มีความรู้ทาง
00:14:45 → 00:14:48 จิตเวชหรือทางจิตวิทยาอืเขาจะไม่รู้ว่า
00:14:48 → 00:14:51 กำลังจะต้องรับมือกับใครค่ะและคนๆนั้นทำ
00:14:51 → 00:14:54 อะไรได้บ้างในฐานะคนที่มีความรู้อาจจะทำ
00:14:54 → 00:14:56 ให้เขากลายเป็นว่าจริงๆเขาก็รู้อยู่นะแต่
00:14:56 → 00:14:58 แต่ในบางมุมแต่ว่ามันกลายเป็นว่าเา้าไม่
00:14:58 → 00:15:00 ยอมรับในสส่งใช่แล้วลองนึกภาพเนาะเกิด
00:15:00 → 00:15:02 เข้าไปหาแล้วนักจิตฟันธงว่าคุณเป็นเออมัน
00:15:02 → 00:15:05 คือการปะทะเ้าตรงๆอ่ะครับค่ะว่าตัวเค้า
00:15:05 → 00:15:08 แบบมีข้อบกพร่องอ่าจะได้รับการปฏิเสธทัน
00:15:08 → 00:15:10 ทีใช่เค้าไม่พร้อมอยู่แล้วฮะในการเจอสิ่ง
00:15:10 → 00:15:11 นี้เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือความเสี่ยง
00:15:11 → 00:15:14 สำหรับเขาอืเขาก็จะเลี่ยงในการไปพบนัก
00:15:14 → 00:15:17 จิตวิทยาอือันนี้คือกลไกที่เกิดขึ้นโดย
00:15:17 → 00:15:19 ธรรมชาติแต่แต่คน perfectionist อ่ะผมจะ
00:15:19 → 00:15:23 เจอบ่อยคนคนเป็น narcissistic เนี่ยโลก
00:15:23 → 00:15:25 หลงตัวเองเนี่ยจะไม่ค่อยเจอนักจิตวิทยา
00:15:25 → 00:15:27 แต่คนเป็น perfectionist อ่ะครับจะมาหา
00:15:27 → 00:15:29 นักจิตวิทยาออแตกต่างโดยสิ้นเชินเพราะ
00:15:29 → 00:15:31 เพราะตัวเค้ามีความทรมานบางอย่างจากการ
00:15:31 → 00:15:34 เป็นสิ่งนั้นโอ๊แต่อ่ะเข้าใจคำว่า
00:15:34 → 00:15:36 perfectionist เค้าก็เหนื่อยนะในการที่
00:15:36 → 00:15:38 ต้องพยายามทำให้มันเพฟกและสมบูรณ์ตลอด
00:15:38 → 00:15:40 เหนื่อยมื่อที่บอกเค้ามีความกลัวเคเห็นเ
00:15:40 → 00:15:42 เห็นความกลัวในจิตตัวเองเพราะฉะนั้นเขาจะ
00:15:42 → 00:15:44 รับรับรู้ว่าตัวเองอ่ะเป็นคนที่อาจจะมี
00:15:44 → 00:15:47 ความเสี่ยงที่จะบกพร่องอืเขาจะมีความ่อม
00:15:47 → 00:15:49 ตัวประมาณนึงแต่เขาก็กลัวมากๆที่จะบก
00:15:49 → 00:15:51 พร่องค่ะคนกลุ่มเนี้ยจะมาหานักงจิตเพราะ
00:15:51 → 00:15:53 เารู้สึกอยากแก้ไขอย่ามันเหนื่อยอ่ะมัน
00:15:53 → 00:15:55 เหนื่อยมากๆเลยอยากอยากเปลี่ยนใช่มันอ่า
00:15:55 → 00:15:56 มันแบกเยอะไปหน่อยอยากเปลี่ยนแต่คนเป็น
00:15:57 → 00:15:58 โรคหลงตัวเองอาจจะไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง
00:15:59 → 00:16:01 ได้ฉันชอบแบบนี้เพราะเครู้สึกว่าการที่
00:16:01 → 00:16:05 เขาเป็นเสามารถควบคุมคนอื่นได้อ้ามีการ
00:16:05 → 00:16:08 ควบคุมคนอื่นเขควบคุมคนอื่นได้เมื่อฉัน
00:16:08 → 00:16:10 เป็นแบบนี้ฉันไม่ต้องวิ่งตามใครเลยฉันทำ
00:16:10 → 00:16:13 ให้คนอื่นวิ่งตามฉันดีกว่าเได้ผลประโยชน์
00:16:13 → 00:16:15 นะครับเมันเหมือนเล่นเกมเลยนะเนี่ยครับ
00:16:15 → 00:16:18 เราถึงชี้เ้าว่าเป็นโรคอ่ะครับมันมันมีผล
00:16:18 → 00:16:20 กระทบต่อตัวเค้าเพราะตัวเคก็เป็นเป็นเ
00:16:20 → 00:16:23 เรียกว่าหน่วยที่ไม่ค่อยน่ารักในสังคมอ้า
00:16:23 → 00:16:25 แต่ตัวเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เา้า
00:16:25 → 00:16:29 เดือดร้อนหรือผิดปกติไงใช่เก็เลยเลยไม่
00:16:29 → 00:16:32 ไม่พมรจิตอ่าฮะเพราะฉะนั้นเรื่องนี้มัน
00:16:32 → 00:16:33 เลยเป็นเรื่องที่เราจะต้องบอกคนทั่วไปให้
00:16:33 → 00:16:36 รับรู้ว่ามันมีคนที่แบบผิดปกติแบบนี้อยู่
00:16:36 → 00:16:39 ในสังคมเราจริงๆนะแล้วตัวเราจะต้องรู้จัก
00:16:39 → 00:16:42 วิธีหลบเลี่ยงให้เป็นครับอืก็มาอย่างแรก
00:16:42 → 00:16:44 แล้วคืออะไรนะแกส Lighting เหรอแส
00:16:44 → 00:16:47 Lighting ปั่นประสาทปั่นเอออำเราอ่ะอำ
00:16:47 → 00:16:50 เราเล่นอย่างเงี้ยแต่จริงจังมากคือคือคือ
00:16:50 → 00:16:53 ไม่ใช่บอกว่ามาเล่นล้อเล่นไม่ใช่นะจรจแต่
00:16:53 → 00:16:56 เขาทำให้เรารู้สึกผิดกิลตี้ขึ้นมาจริงๆ
00:16:56 → 00:16:59 แล้วก็แรกๆเราอาจจะยังไม่เท่าไหร่นะแต่
00:16:59 → 00:17:02 อยู่ไปนานๆเริ่มรู้สึกแบบแย่ลงเรื่อยๆ
00:17:02 → 00:17:04 เริ่มแบบเอ๊ะฉันจะทำอะไรผิดอีกมหรือเขาจะ
00:17:04 → 00:17:07 มาอะไรกับเราอีกมแล้วคือแบบทุกอย่างดีหมด
00:17:07 → 00:17:10 เลยยิ่งถ้าเกิดเขาไปนำเสนออะไสิ่งที่
00:17:10 → 00:17:13 เหนือขึ้นไปกว่าเขาอีกอ่ะอตัวเขาจะดีเลิ
00:17:13 → 00:17:16 เลยเพอเฟคอือๆสิ่งทุกอย่างเขาจะได้ดั่งใจ
00:17:16 → 00:17:19 แต่คนที่ต่ำกว่าเขาก็คือแบบถูกตำหนิแน่
00:17:19 → 00:17:21 นอนใช่เพราะงั้นเรื่องนี้เราต้องรู้ให้
00:17:21 → 00:17:23 ทันว่าเรากำลังเจอคนที่เป็นอย่างนี้หรือ
00:17:23 → 00:17:26 เปล่าทำไงอ่ะก็ต้องต้องเป็นผู้สังเกตการ์
00:17:27 → 00:17:31 ที่ดีครับโผู้สังเกตการที่ดีคือพยายาม
00:17:31 → 00:17:33 ค่อยๆสรุปว่าสิ่งตรงหน้าคืออะไรต้องบอก
00:17:33 → 00:17:36 งี้ครับผมจะมีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์เรา
00:17:36 → 00:17:37 อ่ะจะมีสิ่งที่เรียกว่า Wisdom หรือปัญญา
00:17:38 → 00:17:40 ญาณอยู่ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นจากการได้
00:17:40 → 00:17:43 สังเกตจนได้ข้อสรุปบางสิ่งจนรู้ว่าสิ่ง
00:17:43 → 00:17:46 นี้คืออะไรเช่นสมมุติเราเราใช้ชีวิตที่
00:17:46 → 00:17:49 เนี่ยอาจจะอยู่มา 30-40 ปีอือเราเห็นพระ
00:17:49 → 00:17:53 อาทิตย์มาตลอดทั้งชีวิตอืและเราได้เห็น
00:17:53 → 00:17:55 มันตลอดจนรู้ว่าสิ่งเนี้ยคืออะไรทำอะไร
00:17:55 → 00:17:58 ได้บ้างและเราจะปรับตัวกับมันยังไงค่ะพอ
00:17:58 → 00:18:01 เจอเจอแดดปั๊บร้อนเป็นไงฮะเข้าที่ร่มหรือ
00:18:01 → 00:18:04 กลางร่มค่ะถูกมั้ยฮะแต่เราจะไม่ตะโกนด่า
00:18:04 → 00:18:07 ว่าพระอาทิตย์ทำไมมึงต้องเกิดมามึงต้องมี
00:18:07 → 00:18:10 แต่เราก็จะบ่นเจไม่เคยเป็นพระอาทิตย์มา
00:18:10 → 00:18:13 ก่อนเหรแดดขนาดนี้อ๋อก็คืออาจจะบ่นร้อน
00:18:14 → 00:18:16 แต่จะไม่ด่าแบบโกรธพระอาทิตย์ทำอะไรไม่
00:18:16 → 00:18:19 ได้ไงเออมันก็เป็นความจริงอ่ะคือเรา
00:18:19 → 00:18:21 ปฏิบัติต่อความจริงอ่ะครับคอ่าแต่ทีเนี้
00:18:21 → 00:18:24 พอเป็นคนปั๊บเราแยกไม่ออกว่าความจริงตรง
00:18:24 → 00:18:26 หน้าคืออะไรแต่เกิดสมมุติงูเห่าอ่ะสมมุติ
00:18:26 → 00:18:29 เห็นงูเห่าปึ๊บงูเห่า
00:18:29 → 00:18:31 ความรู้เราจะรู้ว่าแบบมันเป็นสิ่งมีชีวิต
00:18:31 → 00:18:34 ที่มีพิษไม่ควรเข้าใกล้มันดุร้ายโฉกแล้ว
00:18:34 → 00:18:37 ตายไม่ควรเข้าใกล้เมื่อเห็นว่าสิ่งตรง
00:18:37 → 00:18:39 หน้าคืออะไรเราจะไม่คาดหวังอะไรกับมันเลย
00:18:39 → 00:18:42 ฮะโอ้แต่มนุษย์สุดแท้ยากแท้อย่างถึงยาก
00:18:42 → 00:18:45 แท้อย่างถึงอ่าครับเพราะงั้นพอเราแยกไม่
00:18:45 → 00:18:47 ออกว่าใครเป็นใครเราเลยปฏิบัติตัวไม่ถูก
00:18:47 → 00:18:51 ไงอืนี่คือปัญหาครับปัญหาปัญหาอยู่ตรงที่
00:18:51 → 00:18:53 ว่าถ้าเรายังแยกไม่ออกว่าสิ่งตรงหน้าคือ
00:18:53 → 00:18:56 อะไรการปรับตัวที่ถูกต้องจะไม่เกิดขึ้น
00:18:56 → 00:18:58 มันจะเป็นแค่การสุ่มคาดเดาเอาแล้วก็เื่อ
00:18:58 → 00:19:02 ถูกแต่บางคนเค้าก็จะมีกลไกในการออันนี้
00:19:02 → 00:19:04 บางคนนะเพราะว่าออย่างถ้าเกิดในที่ทำงาน
00:19:04 → 00:19:07 เนี่ยก็เคยเจอในลักษณะคล้ายๆแบบนี้แหละ
00:19:07 → 00:19:09 หรือเหมือนแบบนี้แหละใช่มั้ยคะเราก็จะรู้
00:19:09 → 00:19:13 สึกเราก็จะเห็นละแล้วเราก็จะอือืเอาอีก
00:19:13 → 00:19:16 แล้วะยังเนี่ยก็อย่างเงี้ยเออเราก็จะไม่
00:19:16 → 00:19:19 เราก็จะรู้ไงคือพอพอเห็นมากๆเข้าหรือหร
00:19:19 → 00:19:21 หรือเป็นเพราะว่าเราอาจจะไม่ใช่ไม่ได้ชอบ
00:19:21 → 00:19:24 คนประเภทนี้เราเลยมองออกหรือเปล่าเราก็
00:19:24 → 00:19:27 เลยพยายามที่จะเอาตัวเองออกด้วยๆแต่คนที่
00:19:27 → 00:19:31 เจ็บปวดคือคนที่ถูกถูกทำให้ผิดอ่ะใช่แล้ว
00:19:31 → 00:19:33 แล้วบางทีมันจะเจ็บมากขึ้นถ้าเราเกิด
00:19:33 → 00:19:36 พยายามจะให้เายอมรับเราอ่ะเอโอคือเรียก
00:19:37 → 00:19:38 ว่าเรียกว่าขอร้องให้เห็นคุณค่าฉันเถอะ
00:19:38 → 00:19:41 ไอ้เนี่ยเจ็บหนักเลยก็นั่นไงแล้วทำไงได้
00:19:41 → 00:19:44 อ่ะถ้าเกิดมันมีผลต่อเรื่องของการงานหรือ
00:19:44 → 00:19:46 เรื่องของความสัมพันธ์อย่างเงี้ยใน
00:19:46 → 00:19:49 ครอบครัวเชื่อว่าต้องมีอมีมีแน่นอนอืความ
00:19:49 → 00:19:53 รักการงานมีทุกที่เพื่อนบอะไรก็ตามความ
00:19:53 → 00:19:56 สัมพันธ์มันแทรกตัวอยู่ทุกๆที่ได้หมดโอย
00:19:56 → 00:19:57 อ่ะถ้าเกิดอย่างเงี้ให้สังเกตตัวเองยังไง
00:19:58 → 00:20:01 ถ้ารู้สึกว่าแบแบบเอ้ยไม่ไหวละคือคืออ
00:20:01 → 00:20:03 ต้องเอาตัวเองออกไปเลยมั้ยหรือว่าแบบไม่
00:20:03 → 00:20:06 เข้าใกล้ไปเลยหรืออะไรเงี้ยทำอะไเรแต่
00:20:06 → 00:20:08 บริบทคนครับแล้วแต่บริบทคนเพราะถ้าเป็น
00:20:08 → 00:20:12 บางทีการงานอืบางทีเราเลือกนายไม่ได้อ่ะ
00:20:12 → 00:20:15 ใช่นายอาจจะเป็นคนที่แบบใครไม่รู้กำกับ
00:20:15 → 00:20:18 สั่งการมาว่าคนนี้มอบหมายมอบตำแหน่งมาอื
00:20:18 → 00:20:20 เราเลือกไม่ได้ในฐานะชั้นผู้น้อยบางครั้ง
00:20:20 → 00:20:21 เราถ้าเราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเปลี่ยน
00:20:21 → 00:20:24 อาชีพหรือโยกย้ายค่ะมันทำอะไรไม่ได้นอก
00:20:24 → 00:20:26 จากต้องอยู่เพราะเราต้องกินต้องใช้ถูก
00:20:26 → 00:20:30 มั้ยครับโอแต่มันไม่มีความสุขนะอ่าทีนี้
00:20:30 → 00:20:33 การไม่มีความสุขอ่ะครับมันสามารถลดระดับ
00:20:33 → 00:20:37 ได้ว่าเอ่อไม่ต้องทุกข์มากได้มั้ยถ้า
00:20:37 → 00:20:40 ทุกข์มากอสมมุตินะสเกลขั้นสุดเลยทุกข์มาก
00:20:40 → 00:20:43 ๆคือนายด่าปั๊บเราเชื่อว่าเราแย่จริงๆ
00:20:44 → 00:20:46 แล้วตัวเราพยายามจะแบบทำตัวให้ดีมากเพื่อ
00:20:46 → 00:20:49 ให้นายรักเราค่ะไอ้คนเนี้ยทุกข์ที่สุดใช่
00:20:49 → 00:20:52 ถูกมั้ยครับอาฮะอ่าแต่สมมุติอ่ะทุกข์น้อย
00:20:52 → 00:20:54 ลงมาถ้าทุกข์น้อยแล้วมาคิดว่าต้องคิดยัง
00:20:54 → 00:20:56 ไงอ่ะอ
00:20:56 → 00:20:59 อืก็
00:20:59 → 00:21:02 อาจจะแบบว่าคุยกับเพื่อนหรือยังไงดีอ่า
00:21:02 → 00:21:04 อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับว่าเริ่มรู้
00:21:04 → 00:21:07 แล้วว่านายเราแปลกๆไม่คยปกติอจากการ
00:21:07 → 00:21:09 ทำงานด้วยกันมาระยะเวลานึงใช่ใชอาจอาจจะ
00:21:09 → 00:21:12 รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับวิธีการสั่งการ
00:21:12 → 00:21:14 ของเขาหรือคำตำหนิของเขาถูกมั้ยครับอือ
00:21:14 → 00:21:17 แต่ตัวเราจะเค้าเรียกว่าลดลดระดับการ
00:21:17 → 00:21:21 เชื่อประโยคเค้าอ่ะให้มันน้อยลงอือาจจะ
00:21:21 → 00:21:23 รู้สึกไม่ชอบเลยประโยคเคแทคเรามากค่ะแต่
00:21:23 → 00:21:25 เคก็เป็นคนอย่างเงี้ยอย่าไปอย่าไปฟังเค้า
00:21:25 → 00:21:28 มากเออเหรอคือมันก็ทุกข์นะในการอยู่ใน
00:21:28 → 00:21:31 นั้นว่าแบบมันน่ารำคาญมันน่าเบื่อมันรู้
00:21:31 → 00:21:33 สึกแบบไม่ชอบเลยโดนแรงอัดมาอีกแล้วะค่ะ
00:21:33 → 00:21:35 แต่ตัวเราจะไม่ตำหนิว่าตัวเราเป็นคนไร้
00:21:35 → 00:21:38 ค่าอืเพราะถ้าเป็นคนแบบแรกจะรู้สึกว่าตัว
00:21:38 → 00:21:41 เองดีไม่พอถูกมั้ยครับค่ะอ่าแต่ถ้าเป็นคน
00:21:41 → 00:21:43 แบบที่ 2 จะรู้สึกว่าฉันยังมีดีอือแต่แค่
00:21:43 → 00:21:46 มันมีบางสิ่งที่แบบเขาอาจจะเรียกร้องคาด
00:21:46 → 00:21:50 หวังเกินจริงเขาอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจอืแต่
00:21:50 → 00:21:54 เราจะไม่ดูแคลนคุณค่าตัวเองที่เบ่อยๆคือ
00:21:54 → 00:21:57 ถูกถูกต้องแต่ไม่ถูกใจอะไรอย่างงั้นคำว่า
00:21:57 → 00:22:00 ไม่ถูกใจอ่ะเหนื่อยกว่าใดๆทุกสิ่งอแต่
00:22:00 → 00:22:02 อย่างน้อยเราจะไม่แบบคล้ายๆด้อยค่าตัวเอง
00:22:02 → 00:22:05 ซ้ำค่ะตรงนี้คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้เลยนะ
00:22:05 → 00:22:08 ครับว่าเราด้อยค่าตัวเองลงหรือเปล่าถ
00:22:08 → 00:22:09 เพราะว่าพอเป็นพอเป็นหลงตัวเองปั๊บเจะควบ
00:22:09 → 00:22:13 คุมแล้วจะทำลายความมั่นใจคนอื่นอืทำลาย
00:22:13 → 00:22:15 ความมั่นใจทีเนี้ยคีย์เวิร์ดเลยสำคัญที่
00:22:15 → 00:22:18 ว่าใช่แหละบางครั้งในการทำงานร่วมกันเรา
00:22:18 → 00:22:20 อยู่ใน setting ที่หนีไม่ได้ค่ะแต่คุณค่า
00:22:20 → 00:22:22 ในตัวเราถูกทำลายมยอันเนี้ยเป็นประเด็น
00:22:22 → 00:22:26 ที่ต้องพิจารณาถ้าไม่ถูกทำลายถ้าคุณค่า
00:22:26 → 00:22:28 เราไม่ถูกทำลายแสดงว่าตัวเราอ่ะกำลังกลัง
00:22:28 → 00:22:31 มีกลวิธีในการรับมือกับคนที่เป็นโรคของ
00:22:31 → 00:22:34 ตัวเองเนี้ยได้ดีประมาณนึงและออืเออเพราะ
00:22:34 → 00:22:36 อย่างน้อยใช่แหละเราเจอแรงอัดการเจอแรง
00:22:36 → 00:22:39 อัดไม่ใช่ความสุขค่ะแต่อย่างน้อยตัวเรา
00:22:39 → 00:22:41 ไม่ถูกบดขยี้และตัวเรารักษาตัวเองได้
00:22:41 → 00:22:44 อย่างเงี้ยถือว่าพออยู่ได้แต่ถ้าดีที่สุด
00:22:44 → 00:22:47 คือไม่ต้องอยู่กับเขาจะดีมากทีนี้มันก็
00:22:47 → 00:22:49 เลยต้องขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเรา่ะครับมี
00:22:49 → 00:22:51 ทางเลือกหรือเปล่าอือที่จะหลบเลี่ยงที่จะ
00:22:52 → 00:22:55 ไม่ต้องอยู่ใกล้คนพวกนี้เอ่อถ้าในบางบาง
00:22:55 → 00:22:57 ที่อาจจะมีสายการบังคับบัญชาหลายๆชั้นเรา
00:22:57 → 00:22:59 ก็ลดแรงประทับจากการที่เราจะไปปะทะเอง
00:22:59 → 00:23:02 หรือเราจะต้องไปคุยเองเนี่ยให้เป็นคนอื่น
00:23:02 → 00:23:04 ที่เหนือเราขึ้นไปก็ได้หรือคนที่พริ้ว
00:23:04 → 00:23:08 กว่าเราผมผมว่ามีนะคนที่เขามีกลวิธีทาง
00:23:08 → 00:23:11 จิตวิทยาหรือว่ามีเค้าเรียกอะไเทคนิคชั้น
00:23:11 → 00:23:14 เชิงในการวางตัวเชิงสังคมบางคนเพริ้วเคมี
00:23:14 → 00:23:16 ความสามารถสิ่งดีมากถ้าเขาเป็นให้เราให้
00:23:16 → 00:23:19 เราให้เขาทำเออนับถือนับถือผมผมเชื่อว่า
00:23:19 → 00:23:21 มีคนที่พริ้วอย่างงั้นจริงๆแต่ถ้าเรามั่น
00:23:21 → 00:23:24 ใจว่าเราไม่ใช่คนพริ้วมี 2 ทางเลือกเราจะ
00:23:24 → 00:23:27 เค้าเรียกว่าวิวัฒนาการตัวเองขึ้นไปพัฒนา
00:23:27 → 00:23:29 ตัวเองขึ้นไปให้เป็นคนที่พลิ้วได้มากขึ้น
00:23:29 → 00:23:32 อือหรือเลือกที่จะแบบหลบเลี่ยงให้เก่ง
00:23:32 → 00:23:34 ขึ้นอืออือันนี้ต้องเลือกครับแต่พริ้วใน
00:23:34 → 00:23:37 ที่นี้ไม่ได้ใหๆในเชิงลบนะคะแต่หมายถึง
00:23:37 → 00:23:39 ว่ารู้จักในการที่จะพูดหรือในการรับความ
00:23:40 → 00:23:42 รู้สึกตรงนั้นมาหรืออะไรก็แล้วแต่ในการ
00:23:42 → 00:23:44 จัดการกับความรู้สึกตัวเองใช่เชเช่นบางที
00:23:45 → 00:23:47 เรารู้สึกว่ากับนายคนเนี้ยค่ะคือเถียง่ะ
00:23:47 → 00:23:50 มีแต่ลบกับลบเถียงเท่านั้นลองลองผสมการ
00:23:50 → 00:23:53 อวยยศเคสักนิดนึงเอาจจะแบบน่ารักขึ้นอู
00:23:53 → 00:23:55 แล้วทุกอย่างอาจจะคุยง่ายขึ้นหลังจากที่
00:23:55 → 00:23:58 เราอวยยศไปก็เเป็นโรคหลงตัวเองอยู่แล้ว
00:23:58 → 00:24:00 อ่ะเคเลยชอบการประจบนะครับการประจบที
00:24:00 → 00:24:03 เนี้ยการประจบก็จะมี 2 แบบเราประจบเพราะ
00:24:03 → 00:24:05 เราคาดหวังผลประโยชน์จะใช้ผลประโยชน์จาก
00:24:05 → 00:24:07 เาแล้วให้เราได้ประโยชน์บางอย่างหรือเรา
00:24:07 → 00:24:12 ไปจบแค่เพื่อลดแรงแรงปะทะอือันเนี้ยเจตนา
00:24:12 → 00:24:15 คนไม่เหมือนกันเพราะพื้นฐานคนประจบประจง
00:24:15 → 00:24:18 เอาใจแบบหลอกลวงเพผลประโยชน์ส่วนตนก็มีออ
00:24:18 → 00:24:20 ฮะเรียกว่าไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ขนาดเรา
00:24:20 → 00:24:22 ยังมองออกเราคิดว่าเขาจะมองไม่ออกหรอว่า
00:24:22 → 00:24:25 เราเราเพื่ออะไรใช่มั้ยแต่บางคนโลกคนโลก
00:24:25 → 00:24:27 หลงตัวเองอาจจะหูดับก็ได้นะถ้าเถ้าเแบบ
00:24:27 → 00:24:30 ไม่ได้ไม่ได้แบบไหวพริบขนาดนั้นเอเค้าอาจ
00:24:30 → 00:24:32 จะเชื่อกันประจบไปเลยก็ได้เออถ้ายืนข้างๆ
00:24:32 → 00:24:34 คนอวยเวอร์นี่เราคงจะรู้สึกก็ไปด้วยกันดี
00:24:34 → 00:24:37 เลยอย่าเงี้ยครับใช่เออนะคือคืออันเนี้ย
00:24:37 → 00:24:40 อ่าด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดอ่ะเนาะแต่
00:24:40 → 00:24:42 ว่าก็เอาเป็นว่าให้ให้เป็นแนวทางไว้ว่า
00:24:42 → 00:24:46 เราต้องต้องระวังในการที่จะถูกคนแบบใน
00:24:46 → 00:24:49 ลักษณะแบบเนี้ยที่เป็นโรคหลงตัวเองเนี่ย
00:24:49 → 00:24:52 มาปั่นให้เราเกิดลดทอนความเป็นคุมค่าใน
00:24:52 → 00:24:55 ตัวเองเพราะว่ามันเป็นข้อแรกที่สำคัญในใน
00:24:55 → 00:24:58 ทุกอย่างทั้งหมดเลยเพราะว่าพอเราถูกลดทอน
00:24:58 → 00:25:01 ปุ๊บเนี่ยจากคนที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง
00:25:01 → 00:25:04 คนที่เราได้ประสิทธิภาพอ่ะเออมันกลายเป็น
00:25:04 → 00:25:06 คนไร้ประสิทธิภาพอ้ามันก็เป็นไปตามที่เา
00:25:06 → 00:25:08 พูดจริงๆด้วยในวันใช่แล้วกลายเป็นคนสงสัย
00:25:08 → 00:25:11 ตัวเองด้วยใช่ซึ่งมันไม่ไม่ควรจะเป็นแบบ
00:25:11 → 00:25:16 นั้นอย่าให้ใครอย่าอนุญาตให้ใครมาทำร้าย
00:25:16 → 00:25:19 เราลดทอนคุณค่าในตัวเราแล้วก็อย่าเอาคำ
00:25:19 → 00:25:23 พูดเ้ามาลดทอนคือคำพูดเ้ามันส่วนหนึ่ง
00:25:23 → 00:25:25 แล้วล่ะแล้วถ้าตัวเรายังไปรดทอนตัวเองอีก
00:25:25 → 00:25:28 อ่ะมันก็จะยิ่งแย่ใช่ๆครับอมีอะไรฝัง
00:25:28 → 00:25:30 หน่อยหน่อยมั้ยฝากแล้วฮะก็คงอยากให้ทุกคน
00:25:30 → 00:25:32 กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองแบบสุขภาพ
00:25:32 → 00:25:35 ดีเเรียกว่าให้แบบ Healthy เออเคเรียกว่า
00:25:35 → 00:25:38 มีเม S asem จะเกิดขึ้นจากการที่เราเห็น
00:25:38 → 00:25:40 ความดีงามของเราว่าเราได้ทำบางสิ่งที่มี
00:25:40 → 00:25:42 คุณค่าแต่ขณะเดียวกันเราก็มีความถ่อมตัว
00:25:42 → 00:25:45 ว่าตัวเราเป็นมนุษย์ที่อาจจะมีความบก
00:25:45 → 00:25:47 พร่องเกิดขึ้นได้เสมอเพราะฉะนั้นให้เรา
00:25:47 → 00:25:49 เป็นคนที่หมั่นขัดกลาตัวเองให้เป็นคนที่
00:25:49 → 00:25:51 มีความเชื่อมั่นแต่มีความถ่อมตัวครับอือ
00:25:51 → 00:25:54 ฮึแล้วเราเจอคนที่เป็นคนที่โลคหลงตัวเอง
00:25:54 → 00:25:57 เราก็ยิ้มๆเข้าไว้อ่า
00:25:57 → 00:26:00 ใช่ที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เราถอยออกมาดี
00:26:00 → 00:26:02 กว่าครับใช่ค่ะแล้วก็มาหาเปิดฟังเพลงหรือ
00:26:02 → 00:26:04 ฟังรายการโรงหมอของเราก็ได้ฟังอย่างอื่น
00:26:04 → 00:26:06 ไปก็ได้นะคะจะได้แบบว่าไม่ต้องไปคิดถึง
00:26:06 → 00:26:09 เรื่องนั้นนะคะอ่ะคุณค่าเรเองเราต้องมี
00:26:10 → 00:26:13 เอาไว้นะคะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสัสดีค่ะสหมด
00:26:13 → 00:26:15 เวลาอีกแล้วค่ะแป๊บเดียวเลยนะคะก็เราจะ
00:26:15 → 00:26:17 กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอ
00:26:17 → 00:26:20 ทางไทย PB podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะ
00:26:20 → 00:26:24 คะสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:26:24 → 00:26:26 เรื่องที่ต้องรู้กับอาการที่เกิดกับกล้าม
00:26:26 → 00:26:29 เนื้อหดเกร็งหรือตะคริวในผู้หญิงมีสาเหตุ
00:26:29 → 00:26:33 มาจากอะไรดรนายแพทย์จตุพลคงถาวรสกุลแพทย์
00:26:33 → 00:26:35 ผู้เชี่ยวชาญระบบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ
00:26:35 → 00:26:38 มาเล่าให้ฟังครับตคิวเนี่ยถ้าในทางการ
00:26:38 → 00:26:40 แพทย์เนี่ยเขาเรียกว่า mus spasum คือ
00:26:40 → 00:26:42 กล้ามเนื้อเนี่ยอยู่ดีๆมันเกร็งแล้วมัน
00:26:42 → 00:26:45 ค้างมันไม่คลายอืนะฮะมันเกร็งแล้วมันหด
00:26:45 → 00:26:47 อ่าแล้วพอมันหดปุ๊บเนี่ยพอเราพยายามจะยืด
00:26:47 → 00:26:49 มันมันจะกระตุกกระตุกระอย่างเงี้ยเพราะ
00:26:49 → 00:26:51 ว่ามันพยายามจะหดคือกล้ามเนื้อมันเกร็ง
00:26:52 → 00:26:55 ค้างนะฮะทีนี้เราต้องเข้าใจองค์ประกอบของ
00:26:55 → 00:26:57 กล้ามเนื้อก่อนก่อนที่เราจะเข้าใจว่า
00:26:57 → 00:26:58 ตะคิว
00:26:58 → 00:27:00 มันเกิดได้ยังไงเราต้องเข้าใจว่าเพราะเรา
00:27:00 → 00:27:02 รู้แล้วอ่าแต่คิวคือกล้ามเนื้อมันเกิดการ
00:27:02 → 00:27:05 เกร็งอย่างรุนแรงและอย่างรวดเร็วกล้าม
00:27:05 → 00:27:07 เนื้อเนี่ยประกอบไปด้วยตัวบริเวณกล้ามมัด
00:27:07 → 00:27:09 กล้ามเองใช่มั้ยฮะแล้วก็หลอดเลือดที่วิ่ง
00:27:09 → 00:27:12 เข้าไปหามันมัดกล้ามเองเนี่ยมันก็จะมี
00:27:12 → 00:27:15 ไฟเบอร์ที่เป็นลักษณะชนิดต่างๆซึ่งกล้าม
00:27:15 → 00:27:17 เนื้อเนี่ยองค์ประกอบของมันลึกเข้าไปอีก
00:27:17 → 00:27:19 ในระดับโมเลกุลเนี่ยก็คือมันประกอบไปด้วย
00:27:19 → 00:27:21 โปรตีนแล้วก็น้ำปกติแล้วเนี่ยกล้ามเนื้อ
00:27:21 → 00:27:24 ที่มันจะเกร่งเนี่ยมันมักจะเกิดจากการที่
00:27:25 → 00:27:28 กล้ามเนื้อมันหดปึ๊บซึ่งเลือดมันอาจจะ
00:27:28 → 00:27:30 วิ่งไปเลี้ยงไม่ทันหรือกล้ามเนื้อที่มัน
00:27:30 → 00:27:34 เกร็งมานานมากเลยแล้วมันมีผังผืดมาหุ้มไป
00:27:35 → 00:27:37 บางส่วนละพอมันหดปุ๊บมันก็เลยเกร็งอยู่ใน
00:27:37 → 00:27:40 ท่านั้นหรือกล้ามเนื้อที่ปกติแล้วเนี่ย
00:27:40 → 00:27:42 มันมีการใช้้ๆอยู่อย่างงั้นน่ะแล้วมันก็
00:27:42 → 00:27:44 เลยทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยมันหดคาอยู่ในท่า
00:27:44 → 00:27:47 เดิมก็เอาเป็นว่าโดยรวมเนี่ยมันเกิดจาก
00:27:48 → 00:27:50 สารที่จะต้องไปหล่อเลี้ยงมันน่ะไม่ว่าจะ
00:27:50 → 00:27:52 เป็นน้ำโซเดียมแคลเซียมอะไรก็ตามที่มัน
00:27:52 → 00:27:54 อยู่ในองค์ประกอบของมันเนี่ยนะมันไม่
00:27:54 → 00:27:57 เหมาะสมเมื่อมันไม่เหมาะสมปุ๊บเนี่ยมันจะ
00:27:57 → 00:28:01 เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อที่หดเกรงค้าง
00:28:01 → 00:28:04 สารที่มีความเกี่ยวข้องกับการหดกล้าม
00:28:04 → 00:28:07 เนื้อเนี่ยก็คือโซเดียมโปแทสเซียมแล้ว
00:28:07 → 00:28:09 แคลเซียมนะฮะโซเดียมโพแทสเซียมเนี่ยมันจะ
00:28:09 → 00:28:12 เป็นตัวบาลานซ์ของเส้นประสาทถ้าโซเดียม
00:28:12 → 00:28:14 มันสูงมากมันจะเกิดการเก็งกระตุกน้ำที่
00:28:14 → 00:28:16 น้อยเกินไปมันจะทำให้โซเดียมเหมือน
00:28:16 → 00:28:18 relatively แล้วเนี่ยสูงขึ้นถ้าน้ำมัน
00:28:18 → 00:28:22 น้อยเกลือแร่มันจะสูงเมื่อเกลือแร่มันสูง
00:28:22 → 00:28:25 มันจะเกิดการกระตุกนะมันจะเลยทำให้เกิด
00:28:25 → 00:28:28 การเกร็งโอเคนะทีนี้แคลเซียมคืออะไรอะไร
00:28:28 → 00:28:30 เพราะโซเดียมโปแทสเซียมบอกไปแล้วว่ามัน
00:28:30 → 00:28:33 สัมพันธ์กับเส้นประสาทมันเป็นตัวที่ทำให้
00:28:33 → 00:28:35 ส่งคำสั่งคือทำให้กระแสประสาทเมันวิ่งไป
00:28:35 → 00:28:37 ที่กล้ามเนื้อแล้วจากกล้ามเนื้อเนี่ยจะ
00:28:38 → 00:28:40 ใช้แคลเซียมเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเกร่ง
00:28:40 → 00:28:41 เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเกี่ยวข้องกับ
00:28:41 → 00:28:43 โซเดียมโปแทสเซียมแล้วก็แคลเซียมแล้วก็
00:28:43 → 00:28:45 น้ำอ่าซึ่งมันลึกถูกมั้ยมันเป็น
00:28:45 → 00:28:49 วิทยาศาสตร์อันนี้แต่ถามว่าทำไมต้องพูด
00:28:49 → 00:28:53 เพราะว่าผู้หญิงประเทศเราส่วนใหญ่กินน้ำ
00:28:53 → 00:28:56 น้อยประเทศเราส่วนใหญ่นะคืออันเนี้ยไม่
00:28:56 → 00:28:59 ได้เป็นข้อมูลทางวินะเป็นข้อมูลที่ผม
00:28:59 → 00:29:01 เนี่ยประสบกับตัวเองเพอเวลาเราถามคนไข้ไป
00:29:01 → 00:29:05 อ่ะเขาก็บอกว่าเออก็กินน้ำไม่เยอะค่ะคือ
00:29:05 → 00:29:07 มันจะมีกลุ่มที่ชอบกินน้ำเยอะๆเพราะว่าจะ
00:29:08 → 00:29:11 ได้ผิวดีเปล่งัจะได้มีน้ำมีนวลอะไรเงี้ย
00:29:11 → 00:29:13 แต่ว่าเอาจริงๆผู้หญิงที่อยู่ในเมือง
00:29:13 → 00:29:15 ประเทศเราอ่ะกินน้ำน้อยเพราะอะไรกลัวฉี่
00:29:15 → 00:29:20 อ่าห้องน้ำไม่ดีเออไม่มีห้องน้ำอยู่ในรถ
00:29:20 → 00:29:23 นานๆเดี๋ยวกั้นฉี่เป็นกระเพาะภสวะอักเเสบ
00:29:23 → 00:29:25 อีกเพราะฉะนั้นวิธีการป้องกันก็คือไม่กิน
00:29:25 → 00:29:28 น้ำมันซะมันก็เลยทำให้สมดุลพวกเมัน
00:29:28 → 00:29:30 เปลี่ยน
00:29:30 → 00:29:35 ไป This Is tha PBS
00:29:35 → 00:29:38 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:38 → 00:29:40 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:40 → 00:29:55 www.thaipbs.or.th
00:29:55 → 00:29:57 [เพลง]
00:29:58 → 00:30:01 อ
00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:07 Voice หลองตัวเองอาจจะแบบเชื่อมั่นในตัว
00:00:07 → 00:00:10 เองรู้สึกว่าตัวเราดีซึ่งบางครั้งอาจจะมา
00:00:10 → 00:00:12 จากไอ้นี่ก็ได้นะประสบการณ์ที่เขาผ่านมา
00:00:12 → 00:00:14 ก็แบบเรามันเจ๋งว่ะการเชื่อมั่นในตัว
00:00:14 → 00:00:17 เองการเห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลก
00:00:17 → 00:00:19 หลงตัวเองเนี่ยมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัด
00:00:19 → 00:00:21 เดียวกันแต่สเกลไม่เท่ากันเขาระบุในทาง
00:00:21 → 00:00:23 จิตเวชศาสตร์ชื่อ narcissistic
00:00:23 → 00:00:25 personality disorder เป็นโรค
00:00:25 → 00:00:28 บุคคลิกภาพผิดปกติแบบหลวงตัวเองเขาจะมี
00:00:28 → 00:00:30 ความรู้สึกว่าตัวเองกบยิ่งใหญ่คนอื่นมัน
00:00:30 → 00:00:32 เป็นแค่เศษเล็กๆเท่านั้นต้องการการถูกยอม
00:00:32 → 00:00:35 รับจากคนอื่นมากต้องการคำชมเป็นจุดสนใจ
00:00:35 → 00:00:37 ฉันต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นชอบเอาชนะ
00:00:37 → 00:00:40 ความคิดฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลาง
00:00:40 → 00:00:42 แล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นตัวเอง
00:00:42 → 00:00:44 ไม่เคยผิดแล้วเขาจะหาเรื่องแบบคอนเซปบาง
00:00:44 → 00:00:47 อย่างในการบอกว่าคนอื่นผิดยัง
00:00:47 → 00:00:51 ไงฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสิพรค่ะ This
00:00:55 → 00:00:59 Is tha PBS podcast วันนี้ค่ะคุณผู้
00:00:59 → 00:01:02 ฟังเราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องของโรคหลง
00:01:02 → 00:01:05 ตัวเองนะคะเอ๊ะเป็นเพลงหรือเปล่าไม่ใช่
00:01:05 → 00:01:09 เก่ามากนะคะเดี๋ยวคุยกันถึงเรื่องนี้โรค
00:01:09 → 00:01:13 หลงตัวเองเป็นยังไงมันแย่ขนาดไหนหรือว่า
00:01:13 → 00:01:15 ถ้าเกิดเราไปเจอคนแบบนี้เนี่ยเราจะต้อง
00:01:15 → 00:01:17 ยังไงหรือถ้าเราเป็นเนี่ยเราควรจะยังไง
00:01:17 → 00:01:20 กันได้บ้างนะคะเดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงษ์
00:01:20 → 00:01:22 ทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดี
00:01:22 → 00:01:25 ค่ะคุณเอินสวัสครับคุณีสวัสดีครับคุณผู้
00:01:25 → 00:01:26 ฟังเพราะเวลาพูดชื่อเอิ้นทีไรต้องมีเอืน
00:01:26 → 00:01:31 มีเอนครับตลอดเลยโรคหลงตัวเองไปนึกถึง
00:01:31 → 00:01:35 เพลงครับผมเกิดไม่ทันฮะวยมันร้องยังไงอ่ะ
00:01:35 → 00:01:38 ช่างมันเถอะผ่านไปเดี๋ยวต้องกลับไปเฟิร์ส
00:01:38 → 00:01:43 ฟังะของคุณอานันท์บุญนาคอ่านะคะก็โรคหลง
00:01:43 → 00:01:46 ตัวเองเนี่ยหลังๆมาเนี่ยได้ยินบ่อยมากนะ
00:01:47 → 00:01:50 คะหรือการกระทำที่บางคนที่ยิ่งเท่าใน
00:01:50 → 00:01:53 โซเชียลมีเดียจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเลย
00:01:53 → 00:01:55 เพราะเขาก็ก็ต้องข้างค่อนข้างเปิดเผยตัว
00:01:55 → 00:02:00 เองเนาะว่าเอ่อฉันเป็นคนที่แบบเค้าเรียก
00:02:00 → 00:02:04 ว่าอะไรอ่ะแบบดีนะอู่ใช้อวดเลยได้มอวดโอห
00:02:04 → 00:02:08 มันดูแรงดีเนาะเออดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นไม่
00:02:08 → 00:02:11 เห็นอกเห็นใจคนอื่นเลยหรืออะไรก็แล้วแต่
00:02:11 → 00:02:14 เอ้ยมันเป็นเกี่ยวกับหลงตัวเองด้วยหรออือ
00:02:14 → 00:02:18 ๆมันมายังไงเดี๋ยวมาทำความเข้าใจกับนิยาม
00:02:18 → 00:02:20 ความหมายของมันก่อนอ่าครับในในมุมมองของ
00:02:20 → 00:02:22 เอื้นครับจริงๆแล้วพอเราคุยหัวข้อวัน
00:02:22 → 00:02:25 เนี้ยพูดถึงคำว่าโรคของตัวเองถูกมั้ยครับ
00:02:25 → 00:02:28 มันจะมีคำว่าโรคกำกับอยู่ข้างหน้าออ่าการ
00:02:28 → 00:02:30 เป็นโรคหมายถึงว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
00:02:30 → 00:02:33 และน่าจะมีความรุนแรงจนกระทั่งมันกระทบ
00:02:33 → 00:02:36 การแบบใช้ชีวิตปกติของมนุษย์บนาทั่วไปอือ
00:02:36 → 00:02:38 ฮึมนุษย์มนาแล้วมันดูผิดผิดผู้ปิดคนเงี้
00:02:38 → 00:02:40 ไม่น่าใช่เนาะแชมนี้แล้วกันมันดูมีอาการ
00:02:40 → 00:02:43 รุนแรงบางอย่างที่ค่อนข้างเข้มข้นจนสร้าง
00:02:43 → 00:02:45 เรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตทั้งกับของตัว
00:02:46 → 00:02:48 เองแลกับของคนอื่นด้วยอ๋อคือมีผลกระทบ
00:02:48 → 00:02:50 ทั้ง 2 ฝ่ายใช่ครับกระทบตัวเองด้วยกระทบ
00:02:51 → 00:02:52 คนอื่นด้วยเพราะงั้นความเป็นโรคเนี่ยมัก
00:02:52 → 00:02:55 จะย้ำตรงนี้เสมอว่ามันมีต้องมีผลกระทบใน
00:02:55 → 00:02:56 เชิงการใช้ชีวิตทั้งของตัวเองและของผู้
00:02:56 → 00:03:00 อื่นค่ะแล้วถ้าเป็นแค่คำว่าหลงตัวเองิเฉย
00:03:00 → 00:03:02 ๆก็คือตัวเราอครับหลองตัวเองอาจจะแบบ
00:03:02 → 00:03:06 เชื่อมั่นในตัวเองอืรู้สึกว่าตัวเราดีเออ
00:03:06 → 00:03:07 ซึ่งบางครั้งอาจจะมาจากไอ้นี่ก็ได้นะ
00:03:07 → 00:03:09 ประสบการณ์ที่เขาผ่านมาเก็แบบเรามัน
00:03:10 → 00:03:13 เจ๋งว่ะอะไรเงี้ยเออแต่ว่าทีเนี้ยมันต้อง
00:03:13 → 00:03:15 ไล่ระดับครับว่าการเชื่อมั่นในตัวเองการ
00:03:15 → 00:03:18 เห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลกหลงตัว
00:03:18 → 00:03:20 เองเนี่ยอมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัดเดียว
00:03:20 → 00:03:24 กันแต่สเกลไม่เท่ากันเออๆๆเพราะว่าความพอ
00:03:24 → 00:03:27 คำว่ามีโรคกำกับปุ๊บมันความหนักสเกลมันจะ
00:03:27 → 00:03:30 สูงขึ้นไปอีกใช่ครับเออเลยมีคำภาษาอังกฤษ
00:03:30 → 00:03:32 ที่เป็นโรคที่เขาระบุในทางจิตเวชศาสตร์
00:03:32 → 00:03:35 อันนี้ก็เลยเผื่อท่านผู้ฟังจะแบบได้ไปค้น
00:03:35 → 00:03:38 หาเพิ่มเติมด้วยกันได้นะครับชื่อนาซี stic
00:03:38 → 00:03:40 personality disorder เป็นโรคบุคลิกภาพ
00:03:40 → 00:03:45 ผิดปกติแบบลงตัวเองอือ่ามันถึงมีคำว่า
00:03:45 → 00:03:46 disorder อันนี้คือโรคทางทาง
00:03:47 → 00:03:49 จิตเวชศาสตร์เนี่ยจะระบุว่านี่คือ orderer
00:03:49 → 00:03:52 เป็นบุคลิกภาพที่ผิดปกติอืก็เหมือนๆกับ
00:03:52 → 00:03:55 การหลงตัวเองแต่แค่ว่ามันไม่ถึงกับยังไม่
00:03:55 → 00:03:58 ถึงขนาดเป็นโรคอ่าใช่ครับถ้าเป็นโรคเนี่ย
00:03:58 → 00:04:01 มันจะมีปัญหาเชิงรุนแรงค่อนข้างมากอ่ะผม
00:04:01 → 00:04:03 จะลองเล่าให้ฟังว่าคนที่เขาเป็นโรค
00:04:03 → 00:04:05 บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเองเนี่ยจะเป็น
00:04:05 → 00:04:07 ยังไงเนาะค่ะครับเขาจะมีความรู้สึกว่าตัว
00:04:07 → 00:04:11 เองแบบยิ่งใหญ่ฉันคือคนที่แบบยิ่งใหญ่คน
00:04:11 → 00:04:15 อื่นมันเป็นแค่เศษเศษเล็กๆเท่านั้น
00:04:15 → 00:04:19 โอ้โหยิ่งใหญ่มยิ่งใหญ่ดับไหนเกินเบอร์
00:04:19 → 00:04:21 ใช่มั้ฮะเออเกินเบอร์มากฮแล้วก็มีการ
00:04:21 → 00:04:24 ต้องการการถูกยอมรับจากคนอื่นมากต้องการ
00:04:24 → 00:04:27 คำชมต้องเป็นการต้องการเป็นจุดสนใจฉัน
00:04:27 → 00:04:30 ต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นใครจะจะมาแย่ง
00:04:30 → 00:04:33 ซีนฉันไม่ได้อืหรือใครจะเด่นกว่าฉันไม่
00:04:33 → 00:04:36 ได้อืนี่ผมพยายามใส่น้ำเสียงเข้าไปจะได้
00:04:36 → 00:04:38 รู้สึกว่าแบบมันมีฟิของความรู้สึกใครจะ
00:04:38 → 00:04:42 เด่นกว่าฉันไม่ได้ยังไม่เข้าขั้นนะยังไม่
00:04:42 → 00:04:44 ถึงลยังไม่ถึงยังไม่ถึงต้องแอติเท่าไหร่
00:04:44 → 00:04:47 แอคติน้อยเออหรืออาจจะเป็นความรู้สึกชอบ
00:04:47 → 00:04:51 เอาชนะอือฮึคือฉันจะแพ้ใครไม่ได้ใครชนะ
00:04:51 → 00:04:55 ฉันฉันจะไม่ชอบไม่ชอบใจเลยอาฮะอ่าความคิด
00:04:55 → 00:05:00 ฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลางค่ะอืมนะ
00:05:00 → 00:05:02 ครับแล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นใน
00:05:02 → 00:05:05 เชิงสังคมจะเห็นว่าระบบแบบมันมีความผิด
00:05:05 → 00:05:07 พลาดตรงนี้แน่นอนแต่เขาจะบอกว่าไม่ใช่
00:05:07 → 00:05:10 เค้าอ่ะโทษคนอื่นโทษคนอื่นเไม่ผิดหรอกไม่
00:05:10 → 00:05:12 เคยผิดเลยตัวเองไม่เคยผิดแล้วเขาจะหา
00:05:12 → 00:05:15 เรื่องแบบแต่งแต่งแบบคอนเซปบางอย่างในการ
00:05:15 → 00:05:18 บอกว่าคนอื่นผิดยังไงโอ้โหอันนี้มันก็จะ
00:05:18 → 00:05:21 ไปสอดคล้องกับคำยุคปัจจุบันคือแส Lighting
00:05:21 → 00:05:24 แส Lighting แส Lighting นะครับคือ
00:05:24 → 00:05:27 พฤติกรรมในการปั่นหัวนั่นแหละอืมอย่าง
00:05:27 → 00:05:31 เช่นเอาสมมุติอะไรดีโอ๊ยเอ่อสมมุติสมมติ
00:05:31 → 00:05:34 เรานัดกัน 10:00 นวันนี้ค่ะนัดกัน 10:00
00:05:34 → 00:05:38 นสมมุติเรานัดกัน 10:00 นวันนี้แล้วผมอาจ
00:05:38 → 00:05:42 จะแบบมาช้าอืตามตามเรียกว่ามารยาททาง
00:05:42 → 00:05:44 สังคมเนี่ยคนที่อาจจะไม่ถูกต้องคือผมถูก
00:05:44 → 00:05:47 มั้ยฮะที่ที่มาช้ากว่านัดหมายค่ะแต่บางที
00:05:47 → 00:05:49 ผมอาจจะบอกว่าเป็นเพราะพี่รีนัดเช้าเกิน
00:05:49 → 00:05:53 ไปอ้าวเออก็ได้ยิงกลับไปเลยฉันผิดเออพี่
00:05:53 → 00:05:57 รีมั่นใจได้ไงว่าตัวเองถูกอ้าวเนี่ยครับ
00:05:57 → 00:06:00 งงมั้มีตีนะมีตีเออหรือหรือผมจะได้ยิน
00:06:00 → 00:06:02 บ่อยเช่นแบบในเคสแบบผู้ชายผู้หญิงเป็นแฟน
00:06:02 → 00:06:05 กันอะไรเงี้ยเออๆใช่ๆอ่าี่บอยบอยแสไิบ่อย
00:06:05 → 00:06:08 โดนมั้ยโดนมั้ยผมผมไม่โดนออโอเคลูกค้าผม
00:06:08 → 00:06:11 โดนเต็มเลยเต็มเต็มเวลามาปรึกษาจะเจอแบบ
00:06:11 → 00:06:14 นี้เจจากที่ฉันไม่ได้เป็นคนผิดกลายเป็นคน
00:06:14 → 00:06:19 ผิดเพราะว่าเโยนความผิดให้เราใช่ๆครับอื
00:06:19 → 00:06:21 ใช่เช่นแบบว่าโทษว่าเป็นเพราะเธอไม่แต่ง
00:06:21 → 00:06:25 ตัวเซ็กซี่เอ้าฉันก็เลยมีผู้หญิงคนอื่น
00:06:25 → 00:06:28 อะะนี่คือเหตุผลหรออะไรอย่างงั้นน่ะครับ
00:06:28 → 00:06:31 เค้าคิดว่าเป็นเหตุผลของเขาอแต่ไม่ใช่
00:06:31 → 00:06:34 เหตุผลของคนรับฟังใช่ๆเออซึ่งซึ่งมัน
00:06:34 → 00:06:36 เหมือนกับสุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยอ่ะ
00:06:36 → 00:06:39 ว่าตัวเองทำที่ทำมาถูกต้องแล้วอืเออมัน
00:06:39 → 00:06:42 จริงๆเราก็เห็นอยู่ในสังคมค่อนข้างเยอะนะ
00:06:42 → 00:06:46 แนวนี้ทั้งสังคมทำงานอุ๊ยเหมือนเห็นที่ทำ
00:06:46 → 00:06:49 งานเห็นใช่มั้ยฮะเยอะผมผมว่าลูกค้าเป็นคน
00:06:50 → 00:06:52 โดน gaping เยอะมากคือเค้าเจะเป็นคนที่
00:06:53 → 00:06:56 แบบถูกถูกทำลายตัวอการเชื่อมั่นในตัวเอง
00:06:56 → 00:06:59 จากการที่บุคคลที่เคคบด้วยอ่ะมีพฤติกรรม
00:06:59 → 00:07:02 เหมือน 50 นี่แหละโรคบุคลิกภาพลงตัวเองอ
00:07:02 → 00:07:04 ค่ะอืเหมือนเป็นคนเชื่อมั่นเหมือนเป็นคน
00:07:04 → 00:07:07 เก่งพอพอคบกันแรกๆปั๊บมันก็แบบเหมือนเฮ้ย
00:07:07 → 00:07:09 ผู้ชายคนนี้เก่งมีความทะยาทะยานมีความ
00:07:09 → 00:07:12 สามารถค่ะก็เลยให้เขาเป็นผู้นำแต่พออยู่
00:07:12 → 00:07:14 ไปอยู่มาปั๊บเริ่มโดนกล่อมเริ่มโดนบอกว่า
00:07:14 → 00:07:17 เธอดีไม่พออืเธอไม่เก่งเธอไม่ดีไอ้นั่น
00:07:17 → 00:07:20 ไอ้โน่นไอ้นี่สุดท้ายตัวเราที่แบบคล้ายๆ
00:07:20 → 00:07:22 ถูกค่อยๆทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองอ่ะก็
00:07:22 → 00:07:26 จะพยายามทำหลายๆสิ่งที่ให้คนคนนั้นถูกใจ
00:07:26 → 00:07:28 กลายเป็นไม่ได้เป็นตงตัวเองายเป็นาคนั้น
00:07:28 → 00:07:31 ไปทำยังไงก็ได้ได้ที่ฉันจะไม่ได้ถูกลดทอน
00:07:31 → 00:07:33 ในความคุณค่าในตัวเองทั้งที่จริงๆที่ผ่าน
00:07:33 → 00:07:36 มาฉันก็เอ้ยทำโอเคโดยดีมาตลอดไม่เห็นเคย
00:07:36 → 00:07:39 มีใครมาตำหนิอะไรเลยแต่พอมาคบกับคนนี้
00:07:39 → 00:07:43 เอ้าทำไมล่ะอันนี้ที่ฉันเคยเคยถูกปกติ
00:07:43 → 00:07:46 เป็นเรื่องปกติกลายเป็นเรื่องไม่ถูกขึ้น
00:07:46 → 00:07:47 มาใช่ครับใช่แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่กับ
00:07:47 → 00:07:49 เรื่องความรักนะเรื่องการทำงานก็เป็นเช่น
00:07:49 → 00:07:51 หัวหน้างานเราเป็นคนอย่างเงี้ยบุคลิกภาพ
00:07:51 → 00:07:54 อย่างเงี้ยอือโดนโดนปั่นลูกน้องเละเลยเออ
00:07:54 → 00:07:57 อันนี้จะเหนื่อยมากใช่ๆครับเยอะๆแล้วถ้า
00:07:57 → 00:08:00 เกิดออ่ะๆต่อได้เลยมันจะมีบุคลิกแบบคิด
00:08:00 → 00:08:03 ว่าคนอื่นต้องอิจฉาฉันแน่ๆเนี่ยมันจะล้อ
00:08:03 → 00:08:06 กันไปอ่ะครับเพราะชันดีชั้นเจ๋งสุดคนอื่น
00:08:06 → 00:08:08 มันเป็นแค่แบบตัวกระจ้อยคนอื่นต้องอิจฉา
00:08:08 → 00:08:12 ฉันแน่ๆคนอื่นเป็นแค่คนชั้นต่ำว้ายเนี่ย
00:08:12 → 00:08:15 ฮะมันจะเป็นความหลงตัวเองคิดไปแบบผิดปกติ
00:08:15 → 00:08:17 คิดไปได้ขนาดนั้นเลยหรอใช่ครับมันเป็น
00:08:17 → 00:08:21 บุคลิกภาพผิดปกติมันมีถูกใครเอาไปใส่หัว
00:08:21 → 00:08:25 เค้ามั้ยว่าแบบไปเชิดชูไปให้เกียรติไปให้
00:08:25 → 00:08:28 ฆ่าเ้ามากเกินไปหรือเปล่าเเลยทำให้กลาย
00:08:28 → 00:08:31 เป็นคนที่คิดแนวแบบเนี่ยคือคือโดยส่วนตัว
00:08:31 → 00:08:33 ผมผมจะเชื่อว่ามันจะมีคาแรคเตอร์บางอย่าง
00:08:33 → 00:08:37 ในเนื้อตัวคนนั้นที่ทำให้เมื่อถูกเทือทูล
00:08:37 → 00:08:40 ปั๊บทีนี้ลอยเลยอ่าแล้วเป็นคนคะนองเป็นคน
00:08:40 → 00:08:43 ลำพองแต่มันจะมีเหมือนกันนะคนที่ถูกชม
00:08:43 → 00:08:46 แล้วรู้สึกว่าหหมีกล้ามีกล้าข้าน้อยมี
00:08:46 → 00:08:49 บังอาจเอออาจจะรู้แหละว่าตัวเองดีแต่ไม่
00:08:49 → 00:08:52 ต้องอวยยศขนาดนั้นมันจะมีคนที่ถ่อมตัว
00:08:52 → 00:08:55 อยู่มีคนที่รู้แหละว่าคนอื่นชื่นชมเราแต่
00:08:55 → 00:08:57 เราจะยังคงระลึกเสมอว่าเฮ้ยตัวเราแบบเป็น
00:08:57 → 00:08:59 มนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้นแต่รู้
00:08:59 → 00:09:02 แหละว่าตัวเองดีอืเออแต่ว่าคนที่เป็นโรค
00:09:02 → 00:09:05 ุภาพหลงตัวเองอ่ะครับจะรู้สึกว่าใช่สิ่ง
00:09:05 → 00:09:08 นี้มันคู่ควรกับฉันอยู่แล้วนี่เป็นไงดูดู
00:09:08 → 00:09:12 มั่นหน้ามั่นโหนกคำนี้ถูกมั้เออมั่นหน้า
00:09:12 → 00:09:14 มากว่าแบบเรานี่คือแบบที่สุดแล้วอะไร
00:09:14 → 00:09:17 เงี้ยฮะอืคือความมั่นใจในตัวเองมีอ่ะมัน
00:09:17 → 00:09:19 มันดีนะมันโอเคอะไรอย่าเงี้ยแต่ว่าถ้า
00:09:19 → 00:09:22 มั่นเกินไปอ่ะใชหนักตกี้ผมเลยบอกว่ามันมี
00:09:23 → 00:09:26 การเห็นคุณค่าในตัวเองใช่มั้ยครับเอ่อการ
00:09:26 → 00:09:29 เชื่อมั่นในตัวเองการเอ้ยหลงตัวเองแล้วก็
00:09:29 → 00:09:32 โรคหลวงตัวเองมันไต่ระดับไม่ได้ถึงขนาด
00:09:32 → 00:09:34 นั้นเนี่ยมันอยู่ในเช่นเดียวกันแต่ว่า
00:09:34 → 00:09:35 อยู่ที่ว่าระดับเนี้ยมันเกินเบอร์หรือ
00:09:35 → 00:09:40 เปล่ามันต้องถูกเยินยอยกยอจนแบบว่าลืมไป
00:09:40 → 00:09:42 แล้วว่าอชั้นอะไรยังไงทีนี้เรื่องเรื่อง
00:09:42 → 00:09:45 เยนยอเรื่องนึงครับกับอีกเรื่องนึงคือโดย
00:09:45 → 00:09:47 พื้นฐานบางทีเาอาจจะมีประวัติชีวิตที่แบบ
00:09:47 → 00:09:49 รู้สึกถูกลดทอนมาจากพ่อแม่จากครอบครัวที่
00:09:49 → 00:09:53 ไม่ถูกชมก็มีมีเหมือนมีเหมือนกันนะบางคน
00:09:53 → 00:09:56 ที่แบบเป็นลูกที่ถูกอวยยศบ่อยชมบ่อยชมจน
00:09:56 → 00:09:58 เหลิงไปเลยแบบเป็นผู้เสียคนไปเลยเงี้ยฮะ
00:09:58 → 00:10:02 ค่ะกับเด็กที่ไม่เคยถูกมองเห็นคุณค่าจาก
00:10:02 → 00:10:05 พ่อแม่ไม่เคยถูกชมแล้วตัวเขามีความเจ็บ
00:10:05 → 00:10:08 ปวดบางอย่างค่ะเลยเลยพยายามสร้างเกราะ
00:10:08 → 00:10:10 ป้องกันว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมาลดทอน
00:10:10 → 00:10:12 คุณค่าฉันได้อีกเพราะงั้นใครก็ตามที่
00:10:12 → 00:10:15 วิจารณ์เจะอะไรก็ตามเปัดทิ้งหมดเลยอื
00:10:15 → 00:10:18 เพราะเขาจะไม่พร้อมรับคำวิจารณ์เพราะมัน
00:10:18 → 00:10:21 ทำให้ตัวเขาอ่ะสั่นสะเทือนมันเหมือนๆ
00:10:21 → 00:10:24 เกือบจะมามีคำว่า perfectionist ด้วยนะ
00:10:24 → 00:10:27 อ่าแบบว่าทำทุกอย่างให้มันแบบสมบูรณ์แบบ
00:10:28 → 00:10:30 ที่สุดเพื่อให้แบบว่าฉันไม่ถูกตำหนิแล้ว
00:10:30 → 00:10:33 ฉันต้องแบบมากๆเข้ามากๆเข้าจนไม่รู้ตัว
00:10:33 → 00:10:34 ด้วยมั้ยใช่ครับแต่ perfectionist เนี่ย
00:10:34 → 00:10:37 กับนิิที่มันเป็นเรื่องของบุคลิกภาพลงตัว
00:10:37 → 00:10:40 เองอ่ะจะอยู่คนละอันกันอืเพราะว่าจริงๆพอ
00:10:40 → 00:10:42 สมมุติถ้าเราแยกไปคุยเรื่อง perfectionist
00:10:42 → 00:10:44 นะครับความสมบูรณ์แบบเนี่ยมันมันจะมีมิติ
00:10:44 → 00:10:48 ประมาณนี้อย่างเช่นคนๆนี้ทำสิ่งนี้ให้
00:10:48 → 00:10:50 สมบูรณ์แบบทำงานให้สมบูรณ์แบบเพราะรู้สึก
00:10:50 → 00:10:54 ว่านี่คือสนารของคนที่เคคเก่งเทำกันอาฮะ
00:10:54 → 00:10:56 ฮะอ่าฉันชันแค่อยากมีตัวตนที่สอดคล้องกับ
00:10:56 → 00:10:59 คนเก่งแล้วอย่างงี้มันจะนำไปสู่การที่วัน
00:10:59 → 00:11:02 นึงเราพอเราแบบโอ้โหทำทุกอย่างมาดีคนชม
00:11:02 → 00:11:06 ชื่นชมจนเรากลายเป็นแบบนี่ไงชั้นอะไร
00:11:06 → 00:11:09 อย่างเงี้ยเอ่อได้มยมันมันก็ได้แต่ว่า
00:11:09 → 00:11:11 จริงๆแล้ว perfectionist อหจะมีความกลัว
00:11:11 → 00:11:14 ที่จะไม่สมบูรณ์ด้วยอ๋อมันก็เลยมันก็เลย
00:11:14 → 00:11:17 คนละแท่งกันคนละแท่งกันมันก็จะไม่ได้ข้าม
00:11:17 → 00:11:20 มาอีกฝั่งนึงได้แบบโอ้โหพอ perfectionist
00:11:21 → 00:11:23 สุดจนสุดของ perfectionist คือการเป็นโรค
00:11:23 → 00:11:26 หลงตัวเองไม่ใช่อ่ะไม่ๆอ๋อใช่ครับ
00:11:26 → 00:11:28 perfectionist เนี่ยมันมันมันจะมีหลาย
00:11:28 → 00:11:30 อีกมิติอื่นอีกเช่นบางคนทำเพราะเลี่ยง
00:11:30 → 00:11:33 เพราะกลัวว่าถ้าทำไม่สมบูรณ์จะโดนชี้ว่า
00:11:33 → 00:11:36 เราแบบไม่ดีพอออฮะเพราะงั้นมันไม่ใช่การ
00:11:36 → 00:11:38 เสพความสนุกที่ได้เพอเฟคะค่ะแต่บางคนทำ
00:11:38 → 00:11:42 เพะกลัวว่าจะถูกตำหนิอืก็มีเหมือนกันอ๋อ
00:11:42 → 00:11:44 เพราะนั้นกลายเป็นว่าความหลงตัวเองตรง
00:11:44 → 00:11:48 เนี้ยมันก็คือจากการอวยยศของในครอบครัวมา
00:11:48 → 00:11:52 หรือการที่พยายามเอ่อจะให้ตัวเองแบบไม่
00:11:52 → 00:11:56 ให้ถูกคนอื่นมาอือๆว่าใช่ค่ะเพราะงั้นคน
00:11:56 → 00:11:58 ที่เป็นถึงขั้นโรคอ่ะครับเขาจะปฏิเสธการ
00:11:58 → 00:12:00 รับรู้ความความจริงว่าจริงๆแล้วตัวเเป็น
00:12:00 → 00:12:03 คนที่มีข้อบกพร่องโอ้โหเจะปฏิเสธเจะไม่
00:12:03 → 00:12:06 อยากรับรู้คือมันกว่าจะไปถึงตรงนั้นเนี่ย
00:12:06 → 00:12:10 มันต้องเออใช้ระยะเวลาเหมือนกันเนาะกลาย
00:12:10 → 00:12:12 จนวันนึงมากลายเป็นโรคลงตัวเองที่ว่าแบบ
00:12:12 → 00:12:16 ตัวเองดีตัวเองแบบที่สุดแล้วอะไรอย่าง
00:12:16 → 00:12:18 เงี้ยใช่เ้าอาจจะใช้เป็นกลไกในการป้องกัน
00:12:18 → 00:12:21 ความเจ็บปวดบางอย่างของตัวเองก็ได้อๆๆ
00:12:21 → 00:12:23 หรือบางคนอาจจะค้คล้ายๆใช้จนกระทั่งรู้
00:12:23 → 00:12:26 สึกดีที่ได้ใช้ฉันดีสุดฉันไม่เคยมีอะไร
00:12:26 → 00:12:30 เลยที่แบบจะใครจะมาแย้งได้ออืทีนี้มันมี
00:12:30 → 00:12:32 หลายแบบ่ะครับคนที่เป็นโดยไม่ตั้งใจจากปม
00:12:32 → 00:12:34 ในอดีตกับคนที่บางคนเป็นโดยโดยเนื้อโดย
00:12:34 → 00:12:38 ตัวก็มีอทีนี้ตัวผมคงจะบอกยากว่าสิ่งนี้
00:12:38 → 00:12:42 มันเป็นโลคมันเป็นความปกติทางสมองหรือมัน
00:12:42 → 00:12:44 คือทุกคนที่เป็นสิ่งนี้ต้องมีปมผมผมอาจจะ
00:12:44 → 00:12:46 พูดอย่างนั้นไม่ได้ผมเชื่อว่าคนที่เป็น
00:12:46 → 00:12:49 สิ่งนี้ด้วยตัวเองต่อให้ไม่มีปมก็มีค่ะ
00:12:49 → 00:12:52 ต่อให้ครอบครัวดีครอบครัวโอเคแต่ตัวเขาก็
00:12:52 → 00:12:55 ยังเลือกจะเป็นสิ่งนี้ก็มีอือันนั้นก็
00:12:55 → 00:12:57 เป็นในแง่มุมของการที่จะเพราะคำว่าเป็น
00:12:57 → 00:12:59 โรคมันต้องมีการรักษาแล้วแหละมันต้องมี
00:12:59 → 00:13:01 อะไรที่มันกระทบอย่างที่คุณเอิ้นบอกไป
00:13:01 → 00:13:05 ตั้งแต่ตอนต้นว่ากระทบทั้งตัวเองและคน
00:13:05 → 00:13:08 อื่นแต่การที่จะเข้าไปถึงการรักษาได้
00:13:08 → 00:13:10 เนี่ยมันต้องแสดงว่าเฮ้ยมันรู้สึกด้วยตัว
00:13:10 → 00:13:12 เองแล้วว่าหรือมีคนมาบอกแล้วว่าเฮ้ยไม่
00:13:12 → 00:13:17 ได้ละมันต้องไปพบจิตแพทย์จริงๆแล้วการษา
00:13:17 → 00:13:19 ทีนี้อย่าในฐานะนักจิตวิทยาครับที่ผมที่
00:13:19 → 00:13:22 ผมเจออันนี้จากประสบการณ์เนาะค่ะคนที่
00:13:22 → 00:13:24 เข้ามาหาผมแล้วปรึกษาเรื่องปัญหาชีวิต
00:13:24 → 00:13:27 เนี่ยคนที่เป็นนิติหรือโรคบุคลิกประภาพ
00:13:27 → 00:13:29 ของตัวเองอ่ะครับอือแทบจะไม่เจอเลยที่เขา
00:13:29 → 00:13:32 จะเข้ามาแต่เขาจะเป็นตัวละครในเรื่องของ
00:13:32 → 00:13:36 คนที่มาปรึกษาผมนี่แหละอ๋อว่าเค้าโดนมา
00:13:36 → 00:13:40 จากคนที่เป็นจากคนที่เป็นเช่นๆแฟนผู้ชาย
00:13:40 → 00:13:42 ที่เขคคบเป็นคนนิสัยอย่างงั้นแล้วตัวเา
00:13:42 → 00:13:44 กำลังเสียความมั่นใจรุนแรงมากคนที่เสีย
00:13:44 → 00:13:47 ความมั่นใจรุนแรงมากเนี่ยจะมาเจอผมแล้วผม
00:13:47 → 00:13:49 จะได้ฟังว่าอีกคนที่เขากำลังเจอเนี่ยเป็น
00:13:49 → 00:13:52 คนบุคลิกภาพผิดปกติลงตัวเองซึ่งเขาไม่ได้
00:13:52 → 00:13:54 รู้หรอกว่าเขามีความผิดปกตินะเคเอาจจะไม่
00:13:54 → 00:13:57 สนหรือเขาคอาจจะไม่เชื่อว่าเคเป็นเพราะ
00:13:57 → 00:13:59 ฉะนั้นคนที่มีโรคบุคลิกภาพผิดกปกติแบบ
00:13:59 → 00:14:02 หลวงตัวเองอ่ะครับจะไม่คิดว่าตัวเองคือ
00:14:02 → 00:14:05 ตัวปัญหาอือเพราะโดยพื้นฐานตัวเค้าอ่ะเข
00:14:05 → 00:14:08 จะรู้สึกว่าเค้าดีอยู่แล้วอืคนอื่นต่าง
00:14:08 → 00:14:11 หากที่มันผิดปกติเอ๊ะทำไมมันรู้สึกพอเป็น
00:14:11 → 00:14:13 พอชีวิที่คนอื่นปั๊บเคก็จะไม่ได้คิดว่าเค
00:14:13 → 00:14:15 จะไปหานาจิตวิทยาทำไมค่ะเพราะเขคไม่ไม่
00:14:15 → 00:14:18 ใช่ตัวปัญหาเออคนอื่นเธอต่างหากใช่อันนี้
00:14:18 → 00:14:20 อันนี้แบบนึงนะใช้คำนี้ก่อนแบบนึงคือเา้า
00:14:20 → 00:14:22 ไม่คิดว่าตัวเองคือตัวปัญหาเธอนั่นแหละ
00:14:22 → 00:14:25 คือคนที่ต้องไปหานั่นคือข้อที่ 1 อกับข้อ
00:14:25 → 00:14:30 ที่ 2 คือตัวเค้าอาจจะไม่มั่นใจว่าเมื่อ
00:14:30 → 00:14:34 มาพบนักจิตวิทยาจะเจออะไรบ้างจะจะโดนจับ
00:14:34 → 00:14:37 ไต๋จะโดนโน้มน้าวจะโดนชี้ว่าแบบคุณนั่น
00:14:37 → 00:14:41 แหละผิดปกติหรือเปล่าเพราะว่าเพราะว่า
00:14:41 → 00:14:43 เขาคไม่ได้กำลังปะทะกับคนธรรมดาแต่เขา
00:14:43 → 00:14:45 กำลังต้องเข้ามาคุยกับคนที่มีความรู้ทาง
00:14:45 → 00:14:48 จิตเวชหรือทางจิตวิทยาอืเขาจะไม่รู้ว่า
00:14:48 → 00:14:51 กำลังจะต้องรับมือกับใครค่ะและคนๆนั้นทำ
00:14:51 → 00:14:54 อะไรได้บ้างในฐานะคนที่มีความรู้อาจจะทำ
00:14:54 → 00:14:56 ให้เขากลายเป็นว่าจริงๆเขาก็รู้อยู่นะแต่
00:14:56 → 00:14:58 แต่ในบางมุมแต่ว่ามันกลายเป็นว่าเา้าไม่
00:14:58 → 00:15:00 ยอมรับในสส่งใช่แล้วลองนึกภาพเนาะเกิด
00:15:00 → 00:15:02 เข้าไปหาแล้วนักจิตฟันธงว่าคุณเป็นเออมัน
00:15:02 → 00:15:05 คือการปะทะเ้าตรงๆอ่ะครับค่ะว่าตัวเค้า
00:15:05 → 00:15:08 แบบมีข้อบกพร่องอ่าจะได้รับการปฏิเสธทัน
00:15:08 → 00:15:10 ทีใช่เค้าไม่พร้อมอยู่แล้วฮะในการเจอสิ่ง
00:15:10 → 00:15:11 นี้เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือความเสี่ยง
00:15:11 → 00:15:14 สำหรับเขาอืเขาก็จะเลี่ยงในการไปพบนัก
00:15:14 → 00:15:17 จิตวิทยาอือันนี้คือกลไกที่เกิดขึ้นโดย
00:15:17 → 00:15:19 ธรรมชาติแต่แต่คน perfectionist อ่ะผมจะ
00:15:19 → 00:15:23 เจอบ่อยคนคนเป็น narcissistic เนี่ยโลก
00:15:23 → 00:15:25 หลงตัวเองเนี่ยจะไม่ค่อยเจอนักจิตวิทยา
00:15:25 → 00:15:27 แต่คนเป็น perfectionist อ่ะครับจะมาหา
00:15:27 → 00:15:29 นักจิตวิทยาออแตกต่างโดยสิ้นเชินเพราะ
00:15:29 → 00:15:31 เพราะตัวเค้ามีความทรมานบางอย่างจากการ
00:15:31 → 00:15:34 เป็นสิ่งนั้นโอ๊แต่อ่ะเข้าใจคำว่า
00:15:34 → 00:15:36 perfectionist เค้าก็เหนื่อยนะในการที่
00:15:36 → 00:15:38 ต้องพยายามทำให้มันเพฟกและสมบูรณ์ตลอด
00:15:38 → 00:15:40 เหนื่อยมื่อที่บอกเค้ามีความกลัวเคเห็นเ
00:15:40 → 00:15:42 เห็นความกลัวในจิตตัวเองเพราะฉะนั้นเขาจะ
00:15:42 → 00:15:44 รับรับรู้ว่าตัวเองอ่ะเป็นคนที่อาจจะมี
00:15:44 → 00:15:47 ความเสี่ยงที่จะบกพร่องอืเขาจะมีความ่อม
00:15:47 → 00:15:49 ตัวประมาณนึงแต่เขาก็กลัวมากๆที่จะบก
00:15:49 → 00:15:51 พร่องค่ะคนกลุ่มเนี้ยจะมาหานักงจิตเพราะ
00:15:51 → 00:15:53 เารู้สึกอยากแก้ไขอย่ามันเหนื่อยอ่ะมัน
00:15:53 → 00:15:55 เหนื่อยมากๆเลยอยากอยากเปลี่ยนใช่มันอ่า
00:15:55 → 00:15:56 มันแบกเยอะไปหน่อยอยากเปลี่ยนแต่คนเป็น
00:15:57 → 00:15:58 โรคหลงตัวเองอาจจะไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง
00:15:59 → 00:16:01 ได้ฉันชอบแบบนี้เพราะเครู้สึกว่าการที่
00:16:01 → 00:16:05 เขาเป็นเสามารถควบคุมคนอื่นได้อ้ามีการ
00:16:05 → 00:16:08 ควบคุมคนอื่นเขควบคุมคนอื่นได้เมื่อฉัน
00:16:08 → 00:16:10 เป็นแบบนี้ฉันไม่ต้องวิ่งตามใครเลยฉันทำ
00:16:10 → 00:16:13 ให้คนอื่นวิ่งตามฉันดีกว่าเได้ผลประโยชน์
00:16:13 → 00:16:15 นะครับเมันเหมือนเล่นเกมเลยนะเนี่ยครับ
00:16:15 → 00:16:18 เราถึงชี้เ้าว่าเป็นโรคอ่ะครับมันมันมีผล
00:16:18 → 00:16:20 กระทบต่อตัวเค้าเพราะตัวเคก็เป็นเป็นเ
00:16:20 → 00:16:23 เรียกว่าหน่วยที่ไม่ค่อยน่ารักในสังคมอ้า
00:16:23 → 00:16:25 แต่ตัวเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เา้า
00:16:25 → 00:16:29 เดือดร้อนหรือผิดปกติไงใช่เก็เลยเลยไม่
00:16:29 → 00:16:32 ไม่พมรจิตอ่าฮะเพราะฉะนั้นเรื่องนี้มัน
00:16:32 → 00:16:33 เลยเป็นเรื่องที่เราจะต้องบอกคนทั่วไปให้
00:16:33 → 00:16:36 รับรู้ว่ามันมีคนที่แบบผิดปกติแบบนี้อยู่
00:16:36 → 00:16:39 ในสังคมเราจริงๆนะแล้วตัวเราจะต้องรู้จัก
00:16:39 → 00:16:42 วิธีหลบเลี่ยงให้เป็นครับอืก็มาอย่างแรก
00:16:42 → 00:16:44 แล้วคืออะไรนะแกส Lighting เหรอแส
00:16:44 → 00:16:47 Lighting ปั่นประสาทปั่นเอออำเราอ่ะอำ
00:16:47 → 00:16:50 เราเล่นอย่างเงี้ยแต่จริงจังมากคือคือคือ
00:16:50 → 00:16:53 ไม่ใช่บอกว่ามาเล่นล้อเล่นไม่ใช่นะจรจแต่
00:16:53 → 00:16:56 เขาทำให้เรารู้สึกผิดกิลตี้ขึ้นมาจริงๆ
00:16:56 → 00:16:59 แล้วก็แรกๆเราอาจจะยังไม่เท่าไหร่นะแต่
00:16:59 → 00:17:02 อยู่ไปนานๆเริ่มรู้สึกแบบแย่ลงเรื่อยๆ
00:17:02 → 00:17:04 เริ่มแบบเอ๊ะฉันจะทำอะไรผิดอีกมหรือเขาจะ
00:17:04 → 00:17:07 มาอะไรกับเราอีกมแล้วคือแบบทุกอย่างดีหมด
00:17:07 → 00:17:10 เลยยิ่งถ้าเกิดเขาไปนำเสนออะไสิ่งที่
00:17:10 → 00:17:13 เหนือขึ้นไปกว่าเขาอีกอ่ะอตัวเขาจะดีเลิ
00:17:13 → 00:17:16 เลยเพอเฟคอือๆสิ่งทุกอย่างเขาจะได้ดั่งใจ
00:17:16 → 00:17:19 แต่คนที่ต่ำกว่าเขาก็คือแบบถูกตำหนิแน่
00:17:19 → 00:17:21 นอนใช่เพราะงั้นเรื่องนี้เราต้องรู้ให้
00:17:21 → 00:17:23 ทันว่าเรากำลังเจอคนที่เป็นอย่างนี้หรือ
00:17:23 → 00:17:26 เปล่าทำไงอ่ะก็ต้องต้องเป็นผู้สังเกตการ์
00:17:27 → 00:17:31 ที่ดีครับโผู้สังเกตการที่ดีคือพยายาม
00:17:31 → 00:17:33 ค่อยๆสรุปว่าสิ่งตรงหน้าคืออะไรต้องบอก
00:17:33 → 00:17:36 งี้ครับผมจะมีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์เรา
00:17:36 → 00:17:37 อ่ะจะมีสิ่งที่เรียกว่า Wisdom หรือปัญญา
00:17:38 → 00:17:40 ญาณอยู่ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นจากการได้
00:17:40 → 00:17:43 สังเกตจนได้ข้อสรุปบางสิ่งจนรู้ว่าสิ่ง
00:17:43 → 00:17:46 นี้คืออะไรเช่นสมมุติเราเราใช้ชีวิตที่
00:17:46 → 00:17:49 เนี่ยอาจจะอยู่มา 30-40 ปีอือเราเห็นพระ
00:17:49 → 00:17:53 อาทิตย์มาตลอดทั้งชีวิตอืและเราได้เห็น
00:17:53 → 00:17:55 มันตลอดจนรู้ว่าสิ่งเนี้ยคืออะไรทำอะไร
00:17:55 → 00:17:58 ได้บ้างและเราจะปรับตัวกับมันยังไงค่ะพอ
00:17:58 → 00:18:01 เจอเจอแดดปั๊บร้อนเป็นไงฮะเข้าที่ร่มหรือ
00:18:01 → 00:18:04 กลางร่มค่ะถูกมั้ยฮะแต่เราจะไม่ตะโกนด่า
00:18:04 → 00:18:07 ว่าพระอาทิตย์ทำไมมึงต้องเกิดมามึงต้องมี
00:18:07 → 00:18:10 แต่เราก็จะบ่นเจไม่เคยเป็นพระอาทิตย์มา
00:18:10 → 00:18:13 ก่อนเหรแดดขนาดนี้อ๋อก็คืออาจจะบ่นร้อน
00:18:14 → 00:18:16 แต่จะไม่ด่าแบบโกรธพระอาทิตย์ทำอะไรไม่
00:18:16 → 00:18:19 ได้ไงเออมันก็เป็นความจริงอ่ะคือเรา
00:18:19 → 00:18:21 ปฏิบัติต่อความจริงอ่ะครับคอ่าแต่ทีเนี้
00:18:21 → 00:18:24 พอเป็นคนปั๊บเราแยกไม่ออกว่าความจริงตรง
00:18:24 → 00:18:26 หน้าคืออะไรแต่เกิดสมมุติงูเห่าอ่ะสมมุติ
00:18:26 → 00:18:29 เห็นงูเห่าปึ๊บงูเห่า
00:18:29 → 00:18:31 ความรู้เราจะรู้ว่าแบบมันเป็นสิ่งมีชีวิต
00:18:31 → 00:18:34 ที่มีพิษไม่ควรเข้าใกล้มันดุร้ายโฉกแล้ว
00:18:34 → 00:18:37 ตายไม่ควรเข้าใกล้เมื่อเห็นว่าสิ่งตรง
00:18:37 → 00:18:39 หน้าคืออะไรเราจะไม่คาดหวังอะไรกับมันเลย
00:18:39 → 00:18:42 ฮะโอ้แต่มนุษย์สุดแท้ยากแท้อย่างถึงยาก
00:18:42 → 00:18:45 แท้อย่างถึงอ่าครับเพราะงั้นพอเราแยกไม่
00:18:45 → 00:18:47 ออกว่าใครเป็นใครเราเลยปฏิบัติตัวไม่ถูก
00:18:47 → 00:18:51 ไงอืนี่คือปัญหาครับปัญหาปัญหาอยู่ตรงที่
00:18:51 → 00:18:53 ว่าถ้าเรายังแยกไม่ออกว่าสิ่งตรงหน้าคือ
00:18:53 → 00:18:56 อะไรการปรับตัวที่ถูกต้องจะไม่เกิดขึ้น
00:18:56 → 00:18:58 มันจะเป็นแค่การสุ่มคาดเดาเอาแล้วก็เื่อ
00:18:58 → 00:19:02 ถูกแต่บางคนเค้าก็จะมีกลไกในการออันนี้
00:19:02 → 00:19:04 บางคนนะเพราะว่าออย่างถ้าเกิดในที่ทำงาน
00:19:04 → 00:19:07 เนี่ยก็เคยเจอในลักษณะคล้ายๆแบบนี้แหละ
00:19:07 → 00:19:09 หรือเหมือนแบบนี้แหละใช่มั้ยคะเราก็จะรู้
00:19:09 → 00:19:13 สึกเราก็จะเห็นละแล้วเราก็จะอือืเอาอีก
00:19:13 → 00:19:16 แล้วะยังเนี่ยก็อย่างเงี้ยเออเราก็จะไม่
00:19:16 → 00:19:19 เราก็จะรู้ไงคือพอพอเห็นมากๆเข้าหรือหร
00:19:19 → 00:19:21 หรือเป็นเพราะว่าเราอาจจะไม่ใช่ไม่ได้ชอบ
00:19:21 → 00:19:24 คนประเภทนี้เราเลยมองออกหรือเปล่าเราก็
00:19:24 → 00:19:27 เลยพยายามที่จะเอาตัวเองออกด้วยๆแต่คนที่
00:19:27 → 00:19:31 เจ็บปวดคือคนที่ถูกถูกทำให้ผิดอ่ะใช่แล้ว
00:19:31 → 00:19:33 แล้วบางทีมันจะเจ็บมากขึ้นถ้าเราเกิด
00:19:33 → 00:19:36 พยายามจะให้เายอมรับเราอ่ะเอโอคือเรียก
00:19:37 → 00:19:38 ว่าเรียกว่าขอร้องให้เห็นคุณค่าฉันเถอะ
00:19:38 → 00:19:41 ไอ้เนี่ยเจ็บหนักเลยก็นั่นไงแล้วทำไงได้
00:19:41 → 00:19:44 อ่ะถ้าเกิดมันมีผลต่อเรื่องของการงานหรือ
00:19:44 → 00:19:46 เรื่องของความสัมพันธ์อย่างเงี้ยใน
00:19:46 → 00:19:49 ครอบครัวเชื่อว่าต้องมีอมีมีแน่นอนอืความ
00:19:49 → 00:19:53 รักการงานมีทุกที่เพื่อนบอะไรก็ตามความ
00:19:53 → 00:19:56 สัมพันธ์มันแทรกตัวอยู่ทุกๆที่ได้หมดโอย
00:19:56 → 00:19:57 อ่ะถ้าเกิดอย่างเงี้ให้สังเกตตัวเองยังไง
00:19:58 → 00:20:01 ถ้ารู้สึกว่าแบแบบเอ้ยไม่ไหวละคือคืออ
00:20:01 → 00:20:03 ต้องเอาตัวเองออกไปเลยมั้ยหรือว่าแบบไม่
00:20:03 → 00:20:06 เข้าใกล้ไปเลยหรืออะไรเงี้ยทำอะไเรแต่
00:20:06 → 00:20:08 บริบทคนครับแล้วแต่บริบทคนเพราะถ้าเป็น
00:20:08 → 00:20:12 บางทีการงานอืบางทีเราเลือกนายไม่ได้อ่ะ
00:20:12 → 00:20:15 ใช่นายอาจจะเป็นคนที่แบบใครไม่รู้กำกับ
00:20:15 → 00:20:18 สั่งการมาว่าคนนี้มอบหมายมอบตำแหน่งมาอื
00:20:18 → 00:20:20 เราเลือกไม่ได้ในฐานะชั้นผู้น้อยบางครั้ง
00:20:20 → 00:20:21 เราถ้าเราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเปลี่ยน
00:20:21 → 00:20:24 อาชีพหรือโยกย้ายค่ะมันทำอะไรไม่ได้นอก
00:20:24 → 00:20:26 จากต้องอยู่เพราะเราต้องกินต้องใช้ถูก
00:20:26 → 00:20:30 มั้ยครับโอแต่มันไม่มีความสุขนะอ่าทีนี้
00:20:30 → 00:20:33 การไม่มีความสุขอ่ะครับมันสามารถลดระดับ
00:20:33 → 00:20:37 ได้ว่าเอ่อไม่ต้องทุกข์มากได้มั้ยถ้า
00:20:37 → 00:20:40 ทุกข์มากอสมมุตินะสเกลขั้นสุดเลยทุกข์มาก
00:20:40 → 00:20:43 ๆคือนายด่าปั๊บเราเชื่อว่าเราแย่จริงๆ
00:20:44 → 00:20:46 แล้วตัวเราพยายามจะแบบทำตัวให้ดีมากเพื่อ
00:20:46 → 00:20:49 ให้นายรักเราค่ะไอ้คนเนี้ยทุกข์ที่สุดใช่
00:20:49 → 00:20:52 ถูกมั้ยครับอาฮะอ่าแต่สมมุติอ่ะทุกข์น้อย
00:20:52 → 00:20:54 ลงมาถ้าทุกข์น้อยแล้วมาคิดว่าต้องคิดยัง
00:20:54 → 00:20:56 ไงอ่ะอ
00:20:56 → 00:20:59 อืก็
00:20:59 → 00:21:02 อาจจะแบบว่าคุยกับเพื่อนหรือยังไงดีอ่า
00:21:02 → 00:21:04 อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับว่าเริ่มรู้
00:21:04 → 00:21:07 แล้วว่านายเราแปลกๆไม่คยปกติอจากการ
00:21:07 → 00:21:09 ทำงานด้วยกันมาระยะเวลานึงใช่ใชอาจอาจจะ
00:21:09 → 00:21:12 รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับวิธีการสั่งการ
00:21:12 → 00:21:14 ของเขาหรือคำตำหนิของเขาถูกมั้ยครับอือ
00:21:14 → 00:21:17 แต่ตัวเราจะเค้าเรียกว่าลดลดระดับการ
00:21:17 → 00:21:21 เชื่อประโยคเค้าอ่ะให้มันน้อยลงอือาจจะ
00:21:21 → 00:21:23 รู้สึกไม่ชอบเลยประโยคเคแทคเรามากค่ะแต่
00:21:23 → 00:21:25 เคก็เป็นคนอย่างเงี้ยอย่าไปอย่าไปฟังเค้า
00:21:25 → 00:21:28 มากเออเหรอคือมันก็ทุกข์นะในการอยู่ใน
00:21:28 → 00:21:31 นั้นว่าแบบมันน่ารำคาญมันน่าเบื่อมันรู้
00:21:31 → 00:21:33 สึกแบบไม่ชอบเลยโดนแรงอัดมาอีกแล้วะค่ะ
00:21:33 → 00:21:35 แต่ตัวเราจะไม่ตำหนิว่าตัวเราเป็นคนไร้
00:21:35 → 00:21:38 ค่าอืเพราะถ้าเป็นคนแบบแรกจะรู้สึกว่าตัว
00:21:38 → 00:21:41 เองดีไม่พอถูกมั้ยครับค่ะอ่าแต่ถ้าเป็นคน
00:21:41 → 00:21:43 แบบที่ 2 จะรู้สึกว่าฉันยังมีดีอือแต่แค่
00:21:43 → 00:21:46 มันมีบางสิ่งที่แบบเขาอาจจะเรียกร้องคาด
00:21:46 → 00:21:50 หวังเกินจริงเขาอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจอืแต่
00:21:50 → 00:21:54 เราจะไม่ดูแคลนคุณค่าตัวเองที่เบ่อยๆคือ
00:21:54 → 00:21:57 ถูกถูกต้องแต่ไม่ถูกใจอะไรอย่างงั้นคำว่า
00:21:57 → 00:22:00 ไม่ถูกใจอ่ะเหนื่อยกว่าใดๆทุกสิ่งอแต่
00:22:00 → 00:22:02 อย่างน้อยเราจะไม่แบบคล้ายๆด้อยค่าตัวเอง
00:22:02 → 00:22:05 ซ้ำค่ะตรงนี้คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้เลยนะ
00:22:05 → 00:22:08 ครับว่าเราด้อยค่าตัวเองลงหรือเปล่าถ
00:22:08 → 00:22:09 เพราะว่าพอเป็นพอเป็นหลงตัวเองปั๊บเจะควบ
00:22:09 → 00:22:13 คุมแล้วจะทำลายความมั่นใจคนอื่นอืทำลาย
00:22:13 → 00:22:15 ความมั่นใจทีเนี้ยคีย์เวิร์ดเลยสำคัญที่
00:22:15 → 00:22:18 ว่าใช่แหละบางครั้งในการทำงานร่วมกันเรา
00:22:18 → 00:22:20 อยู่ใน setting ที่หนีไม่ได้ค่ะแต่คุณค่า
00:22:20 → 00:22:22 ในตัวเราถูกทำลายมยอันเนี้ยเป็นประเด็น
00:22:22 → 00:22:26 ที่ต้องพิจารณาถ้าไม่ถูกทำลายถ้าคุณค่า
00:22:26 → 00:22:28 เราไม่ถูกทำลายแสดงว่าตัวเราอ่ะกำลังกลัง
00:22:28 → 00:22:31 มีกลวิธีในการรับมือกับคนที่เป็นโรคของ
00:22:31 → 00:22:34 ตัวเองเนี้ยได้ดีประมาณนึงและออืเออเพราะ
00:22:34 → 00:22:36 อย่างน้อยใช่แหละเราเจอแรงอัดการเจอแรง
00:22:36 → 00:22:39 อัดไม่ใช่ความสุขค่ะแต่อย่างน้อยตัวเรา
00:22:39 → 00:22:41 ไม่ถูกบดขยี้และตัวเรารักษาตัวเองได้
00:22:41 → 00:22:44 อย่างเงี้ยถือว่าพออยู่ได้แต่ถ้าดีที่สุด
00:22:44 → 00:22:47 คือไม่ต้องอยู่กับเขาจะดีมากทีนี้มันก็
00:22:47 → 00:22:49 เลยต้องขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเรา่ะครับมี
00:22:49 → 00:22:51 ทางเลือกหรือเปล่าอือที่จะหลบเลี่ยงที่จะ
00:22:52 → 00:22:55 ไม่ต้องอยู่ใกล้คนพวกนี้เอ่อถ้าในบางบาง
00:22:55 → 00:22:57 ที่อาจจะมีสายการบังคับบัญชาหลายๆชั้นเรา
00:22:57 → 00:22:59 ก็ลดแรงประทับจากการที่เราจะไปปะทะเอง
00:22:59 → 00:23:02 หรือเราจะต้องไปคุยเองเนี่ยให้เป็นคนอื่น
00:23:02 → 00:23:04 ที่เหนือเราขึ้นไปก็ได้หรือคนที่พริ้ว
00:23:04 → 00:23:08 กว่าเราผมผมว่ามีนะคนที่เขามีกลวิธีทาง
00:23:08 → 00:23:11 จิตวิทยาหรือว่ามีเค้าเรียกอะไเทคนิคชั้น
00:23:11 → 00:23:14 เชิงในการวางตัวเชิงสังคมบางคนเพริ้วเคมี
00:23:14 → 00:23:16 ความสามารถสิ่งดีมากถ้าเขาเป็นให้เราให้
00:23:16 → 00:23:19 เราให้เขาทำเออนับถือนับถือผมผมเชื่อว่า
00:23:19 → 00:23:21 มีคนที่พริ้วอย่างงั้นจริงๆแต่ถ้าเรามั่น
00:23:21 → 00:23:24 ใจว่าเราไม่ใช่คนพริ้วมี 2 ทางเลือกเราจะ
00:23:24 → 00:23:27 เค้าเรียกว่าวิวัฒนาการตัวเองขึ้นไปพัฒนา
00:23:27 → 00:23:29 ตัวเองขึ้นไปให้เป็นคนที่พลิ้วได้มากขึ้น
00:23:29 → 00:23:32 อือหรือเลือกที่จะแบบหลบเลี่ยงให้เก่ง
00:23:32 → 00:23:34 ขึ้นอืออือันนี้ต้องเลือกครับแต่พริ้วใน
00:23:34 → 00:23:37 ที่นี้ไม่ได้ใหๆในเชิงลบนะคะแต่หมายถึง
00:23:37 → 00:23:39 ว่ารู้จักในการที่จะพูดหรือในการรับความ
00:23:40 → 00:23:42 รู้สึกตรงนั้นมาหรืออะไรก็แล้วแต่ในการ
00:23:42 → 00:23:44 จัดการกับความรู้สึกตัวเองใช่เชเช่นบางที
00:23:45 → 00:23:47 เรารู้สึกว่ากับนายคนเนี้ยค่ะคือเถียง่ะ
00:23:47 → 00:23:50 มีแต่ลบกับลบเถียงเท่านั้นลองลองผสมการ
00:23:50 → 00:23:53 อวยยศเคสักนิดนึงเอาจจะแบบน่ารักขึ้นอู
00:23:53 → 00:23:55 แล้วทุกอย่างอาจจะคุยง่ายขึ้นหลังจากที่
00:23:55 → 00:23:58 เราอวยยศไปก็เเป็นโรคหลงตัวเองอยู่แล้ว
00:23:58 → 00:24:00 อ่ะเคเลยชอบการประจบนะครับการประจบที
00:24:00 → 00:24:03 เนี้ยการประจบก็จะมี 2 แบบเราประจบเพราะ
00:24:03 → 00:24:05 เราคาดหวังผลประโยชน์จะใช้ผลประโยชน์จาก
00:24:05 → 00:24:07 เาแล้วให้เราได้ประโยชน์บางอย่างหรือเรา
00:24:07 → 00:24:12 ไปจบแค่เพื่อลดแรงแรงปะทะอือันเนี้ยเจตนา
00:24:12 → 00:24:15 คนไม่เหมือนกันเพราะพื้นฐานคนประจบประจง
00:24:15 → 00:24:18 เอาใจแบบหลอกลวงเพผลประโยชน์ส่วนตนก็มีออ
00:24:18 → 00:24:20 ฮะเรียกว่าไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ขนาดเรา
00:24:20 → 00:24:22 ยังมองออกเราคิดว่าเขาจะมองไม่ออกหรอว่า
00:24:22 → 00:24:25 เราเราเพื่ออะไรใช่มั้ยแต่บางคนโลกคนโลก
00:24:25 → 00:24:27 หลงตัวเองอาจจะหูดับก็ได้นะถ้าเถ้าเแบบ
00:24:27 → 00:24:30 ไม่ได้ไม่ได้แบบไหวพริบขนาดนั้นเอเค้าอาจ
00:24:30 → 00:24:32 จะเชื่อกันประจบไปเลยก็ได้เออถ้ายืนข้างๆ
00:24:32 → 00:24:34 คนอวยเวอร์นี่เราคงจะรู้สึกก็ไปด้วยกันดี
00:24:34 → 00:24:37 เลยอย่าเงี้ยครับใช่เออนะคือคืออันเนี้ย
00:24:37 → 00:24:40 อ่าด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดอ่ะเนาะแต่
00:24:40 → 00:24:42 ว่าก็เอาเป็นว่าให้ให้เป็นแนวทางไว้ว่า
00:24:42 → 00:24:46 เราต้องต้องระวังในการที่จะถูกคนแบบใน
00:24:46 → 00:24:49 ลักษณะแบบเนี้ยที่เป็นโรคหลงตัวเองเนี่ย
00:24:49 → 00:24:52 มาปั่นให้เราเกิดลดทอนความเป็นคุมค่าใน
00:24:52 → 00:24:55 ตัวเองเพราะว่ามันเป็นข้อแรกที่สำคัญในใน
00:24:55 → 00:24:58 ทุกอย่างทั้งหมดเลยเพราะว่าพอเราถูกลดทอน
00:24:58 → 00:25:01 ปุ๊บเนี่ยจากคนที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง
00:25:01 → 00:25:04 คนที่เราได้ประสิทธิภาพอ่ะเออมันกลายเป็น
00:25:04 → 00:25:06 คนไร้ประสิทธิภาพอ้ามันก็เป็นไปตามที่เา
00:25:06 → 00:25:08 พูดจริงๆด้วยในวันใช่แล้วกลายเป็นคนสงสัย
00:25:08 → 00:25:11 ตัวเองด้วยใช่ซึ่งมันไม่ไม่ควรจะเป็นแบบ
00:25:11 → 00:25:16 นั้นอย่าให้ใครอย่าอนุญาตให้ใครมาทำร้าย
00:25:16 → 00:25:19 เราลดทอนคุณค่าในตัวเราแล้วก็อย่าเอาคำ
00:25:19 → 00:25:23 พูดเ้ามาลดทอนคือคำพูดเ้ามันส่วนหนึ่ง
00:25:23 → 00:25:25 แล้วล่ะแล้วถ้าตัวเรายังไปรดทอนตัวเองอีก
00:25:25 → 00:25:28 อ่ะมันก็จะยิ่งแย่ใช่ๆครับอมีอะไรฝัง
00:25:28 → 00:25:30 หน่อยหน่อยมั้ยฝากแล้วฮะก็คงอยากให้ทุกคน
00:25:30 → 00:25:32 กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองแบบสุขภาพ
00:25:32 → 00:25:35 ดีเเรียกว่าให้แบบ Healthy เออเคเรียกว่า
00:25:35 → 00:25:38 มีเม S asem จะเกิดขึ้นจากการที่เราเห็น
00:25:38 → 00:25:40 ความดีงามของเราว่าเราได้ทำบางสิ่งที่มี
00:25:40 → 00:25:42 คุณค่าแต่ขณะเดียวกันเราก็มีความถ่อมตัว
00:25:42 → 00:25:45 ว่าตัวเราเป็นมนุษย์ที่อาจจะมีความบก
00:25:45 → 00:25:47 พร่องเกิดขึ้นได้เสมอเพราะฉะนั้นให้เรา
00:25:47 → 00:25:49 เป็นคนที่หมั่นขัดกลาตัวเองให้เป็นคนที่
00:25:49 → 00:25:51 มีความเชื่อมั่นแต่มีความถ่อมตัวครับอือ
00:25:51 → 00:25:54 ฮึแล้วเราเจอคนที่เป็นคนที่โลคหลงตัวเอง
00:25:54 → 00:25:57 เราก็ยิ้มๆเข้าไว้อ่า
00:25:57 → 00:26:00 ใช่ที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เราถอยออกมาดี
00:26:00 → 00:26:02 กว่าครับใช่ค่ะแล้วก็มาหาเปิดฟังเพลงหรือ
00:26:02 → 00:26:04 ฟังรายการโรงหมอของเราก็ได้ฟังอย่างอื่น
00:26:04 → 00:26:06 ไปก็ได้นะคะจะได้แบบว่าไม่ต้องไปคิดถึง
00:26:06 → 00:26:09 เรื่องนั้นนะคะอ่ะคุณค่าเรเองเราต้องมี
00:26:10 → 00:26:13 เอาไว้นะคะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสัสดีค่ะสหมด
00:26:13 → 00:26:15 เวลาอีกแล้วค่ะแป๊บเดียวเลยนะคะก็เราจะ
00:26:15 → 00:26:17 กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอ
00:26:17 → 00:26:20 ทางไทย PB podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะ
00:26:20 → 00:26:24 คะสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:26:24 → 00:26:26 เรื่องที่ต้องรู้กับอาการที่เกิดกับกล้าม
00:26:26 → 00:26:29 เนื้อหดเกร็งหรือตะคริวในผู้หญิงมีสาเหตุ
00:26:29 → 00:26:33 มาจากอะไรดรนายแพทย์จตุพลคงถาวรสกุลแพทย์
00:26:33 → 00:26:35 ผู้เชี่ยวชาญระบบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ
00:26:35 → 00:26:38 มาเล่าให้ฟังครับตคิวเนี่ยถ้าในทางการ
00:26:38 → 00:26:40 แพทย์เนี่ยเขาเรียกว่า mus spasum คือ
00:26:40 → 00:26:42 กล้ามเนื้อเนี่ยอยู่ดีๆมันเกร็งแล้วมัน
00:26:42 → 00:26:45 ค้างมันไม่คลายอืนะฮะมันเกร็งแล้วมันหด
00:26:45 → 00:26:47 อ่าแล้วพอมันหดปุ๊บเนี่ยพอเราพยายามจะยืด
00:26:47 → 00:26:49 มันมันจะกระตุกกระตุกระอย่างเงี้ยเพราะ
00:26:49 → 00:26:51 ว่ามันพยายามจะหดคือกล้ามเนื้อมันเกร็ง
00:26:52 → 00:26:55 ค้างนะฮะทีนี้เราต้องเข้าใจองค์ประกอบของ
00:26:55 → 00:26:57 กล้ามเนื้อก่อนก่อนที่เราจะเข้าใจว่า
00:26:57 → 00:26:58 ตะคิว
00:26:58 → 00:27:00 มันเกิดได้ยังไงเราต้องเข้าใจว่าเพราะเรา
00:27:00 → 00:27:02 รู้แล้วอ่าแต่คิวคือกล้ามเนื้อมันเกิดการ
00:27:02 → 00:27:05 เกร็งอย่างรุนแรงและอย่างรวดเร็วกล้าม
00:27:05 → 00:27:07 เนื้อเนี่ยประกอบไปด้วยตัวบริเวณกล้ามมัด
00:27:07 → 00:27:09 กล้ามเองใช่มั้ยฮะแล้วก็หลอดเลือดที่วิ่ง
00:27:09 → 00:27:12 เข้าไปหามันมัดกล้ามเองเนี่ยมันก็จะมี
00:27:12 → 00:27:15 ไฟเบอร์ที่เป็นลักษณะชนิดต่างๆซึ่งกล้าม
00:27:15 → 00:27:17 เนื้อเนี่ยองค์ประกอบของมันลึกเข้าไปอีก
00:27:17 → 00:27:19 ในระดับโมเลกุลเนี่ยก็คือมันประกอบไปด้วย
00:27:19 → 00:27:21 โปรตีนแล้วก็น้ำปกติแล้วเนี่ยกล้ามเนื้อ
00:27:21 → 00:27:24 ที่มันจะเกร่งเนี่ยมันมักจะเกิดจากการที่
00:27:25 → 00:27:28 กล้ามเนื้อมันหดปึ๊บซึ่งเลือดมันอาจจะ
00:27:28 → 00:27:30 วิ่งไปเลี้ยงไม่ทันหรือกล้ามเนื้อที่มัน
00:27:30 → 00:27:34 เกร็งมานานมากเลยแล้วมันมีผังผืดมาหุ้มไป
00:27:35 → 00:27:37 บางส่วนละพอมันหดปุ๊บมันก็เลยเกร็งอยู่ใน
00:27:37 → 00:27:40 ท่านั้นหรือกล้ามเนื้อที่ปกติแล้วเนี่ย
00:27:40 → 00:27:42 มันมีการใช้้ๆอยู่อย่างงั้นน่ะแล้วมันก็
00:27:42 → 00:27:44 เลยทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยมันหดคาอยู่ในท่า
00:27:44 → 00:27:47 เดิมก็เอาเป็นว่าโดยรวมเนี่ยมันเกิดจาก
00:27:48 → 00:27:50 สารที่จะต้องไปหล่อเลี้ยงมันน่ะไม่ว่าจะ
00:27:50 → 00:27:52 เป็นน้ำโซเดียมแคลเซียมอะไรก็ตามที่มัน
00:27:52 → 00:27:54 อยู่ในองค์ประกอบของมันเนี่ยนะมันไม่
00:27:54 → 00:27:57 เหมาะสมเมื่อมันไม่เหมาะสมปุ๊บเนี่ยมันจะ
00:27:57 → 00:28:01 เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อที่หดเกรงค้าง
00:28:01 → 00:28:04 สารที่มีความเกี่ยวข้องกับการหดกล้าม
00:28:04 → 00:28:07 เนื้อเนี่ยก็คือโซเดียมโปแทสเซียมแล้ว
00:28:07 → 00:28:09 แคลเซียมนะฮะโซเดียมโพแทสเซียมเนี่ยมันจะ
00:28:09 → 00:28:12 เป็นตัวบาลานซ์ของเส้นประสาทถ้าโซเดียม
00:28:12 → 00:28:14 มันสูงมากมันจะเกิดการเก็งกระตุกน้ำที่
00:28:14 → 00:28:16 น้อยเกินไปมันจะทำให้โซเดียมเหมือน
00:28:16 → 00:28:18 relatively แล้วเนี่ยสูงขึ้นถ้าน้ำมัน
00:28:18 → 00:28:22 น้อยเกลือแร่มันจะสูงเมื่อเกลือแร่มันสูง
00:28:22 → 00:28:25 มันจะเกิดการกระตุกนะมันจะเลยทำให้เกิด
00:28:25 → 00:28:28 การเกร็งโอเคนะทีนี้แคลเซียมคืออะไรอะไร
00:28:28 → 00:28:30 เพราะโซเดียมโปแทสเซียมบอกไปแล้วว่ามัน
00:28:30 → 00:28:33 สัมพันธ์กับเส้นประสาทมันเป็นตัวที่ทำให้
00:28:33 → 00:28:35 ส่งคำสั่งคือทำให้กระแสประสาทเมันวิ่งไป
00:28:35 → 00:28:37 ที่กล้ามเนื้อแล้วจากกล้ามเนื้อเนี่ยจะ
00:28:38 → 00:28:40 ใช้แคลเซียมเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเกร่ง
00:28:40 → 00:28:41 เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเกี่ยวข้องกับ
00:28:41 → 00:28:43 โซเดียมโปแทสเซียมแล้วก็แคลเซียมแล้วก็
00:28:43 → 00:28:45 น้ำอ่าซึ่งมันลึกถูกมั้ยมันเป็น
00:28:45 → 00:28:49 วิทยาศาสตร์อันนี้แต่ถามว่าทำไมต้องพูด
00:28:49 → 00:28:53 เพราะว่าผู้หญิงประเทศเราส่วนใหญ่กินน้ำ
00:28:53 → 00:28:56 น้อยประเทศเราส่วนใหญ่นะคืออันเนี้ยไม่
00:28:56 → 00:28:59 ได้เป็นข้อมูลทางวินะเป็นข้อมูลที่ผม
00:28:59 → 00:29:01 เนี่ยประสบกับตัวเองเพอเวลาเราถามคนไข้ไป
00:29:01 → 00:29:05 อ่ะเขาก็บอกว่าเออก็กินน้ำไม่เยอะค่ะคือ
00:29:05 → 00:29:07 มันจะมีกลุ่มที่ชอบกินน้ำเยอะๆเพราะว่าจะ
00:29:08 → 00:29:11 ได้ผิวดีเปล่งัจะได้มีน้ำมีนวลอะไรเงี้ย
00:29:11 → 00:29:13 แต่ว่าเอาจริงๆผู้หญิงที่อยู่ในเมือง
00:29:13 → 00:29:15 ประเทศเราอ่ะกินน้ำน้อยเพราะอะไรกลัวฉี่
00:29:15 → 00:29:20 อ่าห้องน้ำไม่ดีเออไม่มีห้องน้ำอยู่ในรถ
00:29:20 → 00:29:23 นานๆเดี๋ยวกั้นฉี่เป็นกระเพาะภสวะอักเเสบ
00:29:23 → 00:29:25 อีกเพราะฉะนั้นวิธีการป้องกันก็คือไม่กิน
00:29:25 → 00:29:28 น้ำมันซะมันก็เลยทำให้สมดุลพวกเมัน
00:29:28 → 00:29:30 เปลี่ยน
00:29:30 → 00:29:35 ไป This Is tha PBS
00:29:35 → 00:29:38 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:38 → 00:29:40 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:40 → 00:29:55 www.thaipbs.or.th
00:29:55 → 00:29:57 [เพลง]
00:29:58 → 00:30:01 อ
00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:07 Voice หลองตัวเองอาจจะแบบเชื่อมั่นในตัว
00:00:07 → 00:00:10 เองรู้สึกว่าตัวเราดีซึ่งบางครั้งอาจจะมา
00:00:10 → 00:00:12 จากไอ้นี่ก็ได้นะประสบการณ์ที่เขาผ่านมา
00:00:12 → 00:00:14 ก็แบบเรามันเจ๋งว่ะการเชื่อมั่นในตัว
00:00:14 → 00:00:17 เองการเห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลก
00:00:17 → 00:00:19 หลงตัวเองเนี่ยมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัด
00:00:19 → 00:00:21 เดียวกันแต่สเกลไม่เท่ากันเขาระบุในทาง
00:00:21 → 00:00:23 จิตเวชศาสตร์ชื่อ narcissistic
00:00:23 → 00:00:25 personality disorder เป็นโรค
00:00:25 → 00:00:28 บุคคลิกภาพผิดปกติแบบหลวงตัวเองเขาจะมี
00:00:28 → 00:00:30 ความรู้สึกว่าตัวเองกบยิ่งใหญ่คนอื่นมัน
00:00:30 → 00:00:32 เป็นแค่เศษเล็กๆเท่านั้นต้องการการถูกยอม
00:00:32 → 00:00:35 รับจากคนอื่นมากต้องการคำชมเป็นจุดสนใจ
00:00:35 → 00:00:37 ฉันต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นชอบเอาชนะ
00:00:37 → 00:00:40 ความคิดฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลาง
00:00:40 → 00:00:42 แล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นตัวเอง
00:00:42 → 00:00:44 ไม่เคยผิดแล้วเขาจะหาเรื่องแบบคอนเซปบาง
00:00:44 → 00:00:47 อย่างในการบอกว่าคนอื่นผิดยัง
00:00:47 → 00:00:51 ไงฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสิพรค่ะ This
00:00:55 → 00:00:59 Is tha PBS podcast วันนี้ค่ะคุณผู้
00:00:59 → 00:01:02 ฟังเราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องของโรคหลง
00:01:02 → 00:01:05 ตัวเองนะคะเอ๊ะเป็นเพลงหรือเปล่าไม่ใช่
00:01:05 → 00:01:09 เก่ามากนะคะเดี๋ยวคุยกันถึงเรื่องนี้โรค
00:01:09 → 00:01:13 หลงตัวเองเป็นยังไงมันแย่ขนาดไหนหรือว่า
00:01:13 → 00:01:15 ถ้าเกิดเราไปเจอคนแบบนี้เนี่ยเราจะต้อง
00:01:15 → 00:01:17 ยังไงหรือถ้าเราเป็นเนี่ยเราควรจะยังไง
00:01:17 → 00:01:20 กันได้บ้างนะคะเดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงษ์
00:01:20 → 00:01:22 ทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดี
00:01:22 → 00:01:25 ค่ะคุณเอินสวัสครับคุณีสวัสดีครับคุณผู้
00:01:25 → 00:01:26 ฟังเพราะเวลาพูดชื่อเอิ้นทีไรต้องมีเอืน
00:01:26 → 00:01:31 มีเอนครับตลอดเลยโรคหลงตัวเองไปนึกถึง
00:01:31 → 00:01:35 เพลงครับผมเกิดไม่ทันฮะวยมันร้องยังไงอ่ะ
00:01:35 → 00:01:38 ช่างมันเถอะผ่านไปเดี๋ยวต้องกลับไปเฟิร์ส
00:01:38 → 00:01:43 ฟังะของคุณอานันท์บุญนาคอ่านะคะก็โรคหลง
00:01:43 → 00:01:46 ตัวเองเนี่ยหลังๆมาเนี่ยได้ยินบ่อยมากนะ
00:01:47 → 00:01:50 คะหรือการกระทำที่บางคนที่ยิ่งเท่าใน
00:01:50 → 00:01:53 โซเชียลมีเดียจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเลย
00:01:53 → 00:01:55 เพราะเขาก็ก็ต้องข้างค่อนข้างเปิดเผยตัว
00:01:55 → 00:02:00 เองเนาะว่าเอ่อฉันเป็นคนที่แบบเค้าเรียก
00:02:00 → 00:02:04 ว่าอะไรอ่ะแบบดีนะอู่ใช้อวดเลยได้มอวดโอห
00:02:04 → 00:02:08 มันดูแรงดีเนาะเออดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นไม่
00:02:08 → 00:02:11 เห็นอกเห็นใจคนอื่นเลยหรืออะไรก็แล้วแต่
00:02:11 → 00:02:14 เอ้ยมันเป็นเกี่ยวกับหลงตัวเองด้วยหรออือ
00:02:14 → 00:02:18 ๆมันมายังไงเดี๋ยวมาทำความเข้าใจกับนิยาม
00:02:18 → 00:02:20 ความหมายของมันก่อนอ่าครับในในมุมมองของ
00:02:20 → 00:02:22 เอื้นครับจริงๆแล้วพอเราคุยหัวข้อวัน
00:02:22 → 00:02:25 เนี้ยพูดถึงคำว่าโรคของตัวเองถูกมั้ยครับ
00:02:25 → 00:02:28 มันจะมีคำว่าโรคกำกับอยู่ข้างหน้าออ่าการ
00:02:28 → 00:02:30 เป็นโรคหมายถึงว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
00:02:30 → 00:02:33 และน่าจะมีความรุนแรงจนกระทั่งมันกระทบ
00:02:33 → 00:02:36 การแบบใช้ชีวิตปกติของมนุษย์บนาทั่วไปอือ
00:02:36 → 00:02:38 ฮึมนุษย์มนาแล้วมันดูผิดผิดผู้ปิดคนเงี้
00:02:38 → 00:02:40 ไม่น่าใช่เนาะแชมนี้แล้วกันมันดูมีอาการ
00:02:40 → 00:02:43 รุนแรงบางอย่างที่ค่อนข้างเข้มข้นจนสร้าง
00:02:43 → 00:02:45 เรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตทั้งกับของตัว
00:02:46 → 00:02:48 เองแลกับของคนอื่นด้วยอ๋อคือมีผลกระทบ
00:02:48 → 00:02:50 ทั้ง 2 ฝ่ายใช่ครับกระทบตัวเองด้วยกระทบ
00:02:51 → 00:02:52 คนอื่นด้วยเพราะงั้นความเป็นโรคเนี่ยมัก
00:02:52 → 00:02:55 จะย้ำตรงนี้เสมอว่ามันมีต้องมีผลกระทบใน
00:02:55 → 00:02:56 เชิงการใช้ชีวิตทั้งของตัวเองและของผู้
00:02:56 → 00:03:00 อื่นค่ะแล้วถ้าเป็นแค่คำว่าหลงตัวเองิเฉย
00:03:00 → 00:03:02 ๆก็คือตัวเราอครับหลองตัวเองอาจจะแบบ
00:03:02 → 00:03:06 เชื่อมั่นในตัวเองอืรู้สึกว่าตัวเราดีเออ
00:03:06 → 00:03:07 ซึ่งบางครั้งอาจจะมาจากไอ้นี่ก็ได้นะ
00:03:07 → 00:03:09 ประสบการณ์ที่เขาผ่านมาเก็แบบเรามัน
00:03:10 → 00:03:13 เจ๋งว่ะอะไรเงี้ยเออแต่ว่าทีเนี้ยมันต้อง
00:03:13 → 00:03:15 ไล่ระดับครับว่าการเชื่อมั่นในตัวเองการ
00:03:15 → 00:03:18 เห็นคุณค่าในตัวเองหลงตัวเองและโลกหลงตัว
00:03:18 → 00:03:20 เองเนี่ยอมันอาจจะอยู่ในไม้บรรทัดเดียว
00:03:20 → 00:03:24 กันแต่สเกลไม่เท่ากันเออๆๆเพราะว่าความพอ
00:03:24 → 00:03:27 คำว่ามีโรคกำกับปุ๊บมันความหนักสเกลมันจะ
00:03:27 → 00:03:30 สูงขึ้นไปอีกใช่ครับเออเลยมีคำภาษาอังกฤษ
00:03:30 → 00:03:32 ที่เป็นโรคที่เขาระบุในทางจิตเวชศาสตร์
00:03:32 → 00:03:35 อันนี้ก็เลยเผื่อท่านผู้ฟังจะแบบได้ไปค้น
00:03:35 → 00:03:38 หาเพิ่มเติมด้วยกันได้นะครับชื่อนาซี stic
00:03:38 → 00:03:40 personality disorder เป็นโรคบุคลิกภาพ
00:03:40 → 00:03:45 ผิดปกติแบบลงตัวเองอือ่ามันถึงมีคำว่า
00:03:45 → 00:03:46 disorder อันนี้คือโรคทางทาง
00:03:47 → 00:03:49 จิตเวชศาสตร์เนี่ยจะระบุว่านี่คือ orderer
00:03:49 → 00:03:52 เป็นบุคลิกภาพที่ผิดปกติอืก็เหมือนๆกับ
00:03:52 → 00:03:55 การหลงตัวเองแต่แค่ว่ามันไม่ถึงกับยังไม่
00:03:55 → 00:03:58 ถึงขนาดเป็นโรคอ่าใช่ครับถ้าเป็นโรคเนี่ย
00:03:58 → 00:04:01 มันจะมีปัญหาเชิงรุนแรงค่อนข้างมากอ่ะผม
00:04:01 → 00:04:03 จะลองเล่าให้ฟังว่าคนที่เขาเป็นโรค
00:04:03 → 00:04:05 บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเองเนี่ยจะเป็น
00:04:05 → 00:04:07 ยังไงเนาะค่ะครับเขาจะมีความรู้สึกว่าตัว
00:04:07 → 00:04:11 เองแบบยิ่งใหญ่ฉันคือคนที่แบบยิ่งใหญ่คน
00:04:11 → 00:04:15 อื่นมันเป็นแค่เศษเศษเล็กๆเท่านั้น
00:04:15 → 00:04:19 โอ้โหยิ่งใหญ่มยิ่งใหญ่ดับไหนเกินเบอร์
00:04:19 → 00:04:21 ใช่มั้ฮะเออเกินเบอร์มากฮแล้วก็มีการ
00:04:21 → 00:04:24 ต้องการการถูกยอมรับจากคนอื่นมากต้องการ
00:04:24 → 00:04:27 คำชมต้องเป็นการต้องการเป็นจุดสนใจฉัน
00:04:27 → 00:04:30 ต้องเป็นสปอตไลท์เท่านั้นใครจะจะมาแย่ง
00:04:30 → 00:04:33 ซีนฉันไม่ได้อืหรือใครจะเด่นกว่าฉันไม่
00:04:33 → 00:04:36 ได้อืนี่ผมพยายามใส่น้ำเสียงเข้าไปจะได้
00:04:36 → 00:04:38 รู้สึกว่าแบบมันมีฟิของความรู้สึกใครจะ
00:04:38 → 00:04:42 เด่นกว่าฉันไม่ได้ยังไม่เข้าขั้นนะยังไม่
00:04:42 → 00:04:44 ถึงลยังไม่ถึงยังไม่ถึงต้องแอติเท่าไหร่
00:04:44 → 00:04:47 แอคติน้อยเออหรืออาจจะเป็นความรู้สึกชอบ
00:04:47 → 00:04:51 เอาชนะอือฮึคือฉันจะแพ้ใครไม่ได้ใครชนะ
00:04:51 → 00:04:55 ฉันฉันจะไม่ชอบไม่ชอบใจเลยอาฮะอ่าความคิด
00:04:55 → 00:05:00 ฉันต้องถูกต้องฉันเป็นศูนย์กลางค่ะอืมนะ
00:05:00 → 00:05:02 ครับแล้วก็เวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นใน
00:05:02 → 00:05:05 เชิงสังคมจะเห็นว่าระบบแบบมันมีความผิด
00:05:05 → 00:05:07 พลาดตรงนี้แน่นอนแต่เขาจะบอกว่าไม่ใช่
00:05:07 → 00:05:10 เค้าอ่ะโทษคนอื่นโทษคนอื่นเไม่ผิดหรอกไม่
00:05:10 → 00:05:12 เคยผิดเลยตัวเองไม่เคยผิดแล้วเขาจะหา
00:05:12 → 00:05:15 เรื่องแบบแต่งแต่งแบบคอนเซปบางอย่างในการ
00:05:15 → 00:05:18 บอกว่าคนอื่นผิดยังไงโอ้โหอันนี้มันก็จะ
00:05:18 → 00:05:21 ไปสอดคล้องกับคำยุคปัจจุบันคือแส Lighting
00:05:21 → 00:05:24 แส Lighting แส Lighting นะครับคือ
00:05:24 → 00:05:27 พฤติกรรมในการปั่นหัวนั่นแหละอืมอย่าง
00:05:27 → 00:05:31 เช่นเอาสมมุติอะไรดีโอ๊ยเอ่อสมมุติสมมติ
00:05:31 → 00:05:34 เรานัดกัน 10:00 นวันนี้ค่ะนัดกัน 10:00
00:05:34 → 00:05:38 นสมมุติเรานัดกัน 10:00 นวันนี้แล้วผมอาจ
00:05:38 → 00:05:42 จะแบบมาช้าอืตามตามเรียกว่ามารยาททาง
00:05:42 → 00:05:44 สังคมเนี่ยคนที่อาจจะไม่ถูกต้องคือผมถูก
00:05:44 → 00:05:47 มั้ยฮะที่ที่มาช้ากว่านัดหมายค่ะแต่บางที
00:05:47 → 00:05:49 ผมอาจจะบอกว่าเป็นเพราะพี่รีนัดเช้าเกิน
00:05:49 → 00:05:53 ไปอ้าวเออก็ได้ยิงกลับไปเลยฉันผิดเออพี่
00:05:53 → 00:05:57 รีมั่นใจได้ไงว่าตัวเองถูกอ้าวเนี่ยครับ
00:05:57 → 00:06:00 งงมั้มีตีนะมีตีเออหรือหรือผมจะได้ยิน
00:06:00 → 00:06:02 บ่อยเช่นแบบในเคสแบบผู้ชายผู้หญิงเป็นแฟน
00:06:02 → 00:06:05 กันอะไรเงี้ยเออๆใช่ๆอ่าี่บอยบอยแสไิบ่อย
00:06:05 → 00:06:08 โดนมั้ยโดนมั้ยผมผมไม่โดนออโอเคลูกค้าผม
00:06:08 → 00:06:11 โดนเต็มเลยเต็มเต็มเวลามาปรึกษาจะเจอแบบ
00:06:11 → 00:06:14 นี้เจจากที่ฉันไม่ได้เป็นคนผิดกลายเป็นคน
00:06:14 → 00:06:19 ผิดเพราะว่าเโยนความผิดให้เราใช่ๆครับอื
00:06:19 → 00:06:21 ใช่เช่นแบบว่าโทษว่าเป็นเพราะเธอไม่แต่ง
00:06:21 → 00:06:25 ตัวเซ็กซี่เอ้าฉันก็เลยมีผู้หญิงคนอื่น
00:06:25 → 00:06:28 อะะนี่คือเหตุผลหรออะไรอย่างงั้นน่ะครับ
00:06:28 → 00:06:31 เค้าคิดว่าเป็นเหตุผลของเขาอแต่ไม่ใช่
00:06:31 → 00:06:34 เหตุผลของคนรับฟังใช่ๆเออซึ่งซึ่งมัน
00:06:34 → 00:06:36 เหมือนกับสุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยอ่ะ
00:06:36 → 00:06:39 ว่าตัวเองทำที่ทำมาถูกต้องแล้วอืเออมัน
00:06:39 → 00:06:42 จริงๆเราก็เห็นอยู่ในสังคมค่อนข้างเยอะนะ
00:06:42 → 00:06:46 แนวนี้ทั้งสังคมทำงานอุ๊ยเหมือนเห็นที่ทำ
00:06:46 → 00:06:49 งานเห็นใช่มั้ยฮะเยอะผมผมว่าลูกค้าเป็นคน
00:06:50 → 00:06:52 โดน gaping เยอะมากคือเค้าเจะเป็นคนที่
00:06:53 → 00:06:56 แบบถูกถูกทำลายตัวอการเชื่อมั่นในตัวเอง
00:06:56 → 00:06:59 จากการที่บุคคลที่เคคบด้วยอ่ะมีพฤติกรรม
00:06:59 → 00:07:02 เหมือน 50 นี่แหละโรคบุคลิกภาพลงตัวเองอ
00:07:02 → 00:07:04 ค่ะอืเหมือนเป็นคนเชื่อมั่นเหมือนเป็นคน
00:07:04 → 00:07:07 เก่งพอพอคบกันแรกๆปั๊บมันก็แบบเหมือนเฮ้ย
00:07:07 → 00:07:09 ผู้ชายคนนี้เก่งมีความทะยาทะยานมีความ
00:07:09 → 00:07:12 สามารถค่ะก็เลยให้เขาเป็นผู้นำแต่พออยู่
00:07:12 → 00:07:14 ไปอยู่มาปั๊บเริ่มโดนกล่อมเริ่มโดนบอกว่า
00:07:14 → 00:07:17 เธอดีไม่พออืเธอไม่เก่งเธอไม่ดีไอ้นั่น
00:07:17 → 00:07:20 ไอ้โน่นไอ้นี่สุดท้ายตัวเราที่แบบคล้ายๆ
00:07:20 → 00:07:22 ถูกค่อยๆทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองอ่ะก็
00:07:22 → 00:07:26 จะพยายามทำหลายๆสิ่งที่ให้คนคนนั้นถูกใจ
00:07:26 → 00:07:28 กลายเป็นไม่ได้เป็นตงตัวเองายเป็นาคนั้น
00:07:28 → 00:07:31 ไปทำยังไงก็ได้ได้ที่ฉันจะไม่ได้ถูกลดทอน
00:07:31 → 00:07:33 ในความคุณค่าในตัวเองทั้งที่จริงๆที่ผ่าน
00:07:33 → 00:07:36 มาฉันก็เอ้ยทำโอเคโดยดีมาตลอดไม่เห็นเคย
00:07:36 → 00:07:39 มีใครมาตำหนิอะไรเลยแต่พอมาคบกับคนนี้
00:07:39 → 00:07:43 เอ้าทำไมล่ะอันนี้ที่ฉันเคยเคยถูกปกติ
00:07:43 → 00:07:46 เป็นเรื่องปกติกลายเป็นเรื่องไม่ถูกขึ้น
00:07:46 → 00:07:47 มาใช่ครับใช่แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่กับ
00:07:47 → 00:07:49 เรื่องความรักนะเรื่องการทำงานก็เป็นเช่น
00:07:49 → 00:07:51 หัวหน้างานเราเป็นคนอย่างเงี้ยบุคลิกภาพ
00:07:51 → 00:07:54 อย่างเงี้ยอือโดนโดนปั่นลูกน้องเละเลยเออ
00:07:54 → 00:07:57 อันนี้จะเหนื่อยมากใช่ๆครับเยอะๆแล้วถ้า
00:07:57 → 00:08:00 เกิดออ่ะๆต่อได้เลยมันจะมีบุคลิกแบบคิด
00:08:00 → 00:08:03 ว่าคนอื่นต้องอิจฉาฉันแน่ๆเนี่ยมันจะล้อ
00:08:03 → 00:08:06 กันไปอ่ะครับเพราะชันดีชั้นเจ๋งสุดคนอื่น
00:08:06 → 00:08:08 มันเป็นแค่แบบตัวกระจ้อยคนอื่นต้องอิจฉา
00:08:08 → 00:08:12 ฉันแน่ๆคนอื่นเป็นแค่คนชั้นต่ำว้ายเนี่ย
00:08:12 → 00:08:15 ฮะมันจะเป็นความหลงตัวเองคิดไปแบบผิดปกติ
00:08:15 → 00:08:17 คิดไปได้ขนาดนั้นเลยหรอใช่ครับมันเป็น
00:08:17 → 00:08:21 บุคลิกภาพผิดปกติมันมีถูกใครเอาไปใส่หัว
00:08:21 → 00:08:25 เค้ามั้ยว่าแบบไปเชิดชูไปให้เกียรติไปให้
00:08:25 → 00:08:28 ฆ่าเ้ามากเกินไปหรือเปล่าเเลยทำให้กลาย
00:08:28 → 00:08:31 เป็นคนที่คิดแนวแบบเนี่ยคือคือโดยส่วนตัว
00:08:31 → 00:08:33 ผมผมจะเชื่อว่ามันจะมีคาแรคเตอร์บางอย่าง
00:08:33 → 00:08:37 ในเนื้อตัวคนนั้นที่ทำให้เมื่อถูกเทือทูล
00:08:37 → 00:08:40 ปั๊บทีนี้ลอยเลยอ่าแล้วเป็นคนคะนองเป็นคน
00:08:40 → 00:08:43 ลำพองแต่มันจะมีเหมือนกันนะคนที่ถูกชม
00:08:43 → 00:08:46 แล้วรู้สึกว่าหหมีกล้ามีกล้าข้าน้อยมี
00:08:46 → 00:08:49 บังอาจเอออาจจะรู้แหละว่าตัวเองดีแต่ไม่
00:08:49 → 00:08:52 ต้องอวยยศขนาดนั้นมันจะมีคนที่ถ่อมตัว
00:08:52 → 00:08:55 อยู่มีคนที่รู้แหละว่าคนอื่นชื่นชมเราแต่
00:08:55 → 00:08:57 เราจะยังคงระลึกเสมอว่าเฮ้ยตัวเราแบบเป็น
00:08:57 → 00:08:59 มนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้นแต่รู้
00:08:59 → 00:09:02 แหละว่าตัวเองดีอืเออแต่ว่าคนที่เป็นโรค
00:09:02 → 00:09:05 ุภาพหลงตัวเองอ่ะครับจะรู้สึกว่าใช่สิ่ง
00:09:05 → 00:09:08 นี้มันคู่ควรกับฉันอยู่แล้วนี่เป็นไงดูดู
00:09:08 → 00:09:12 มั่นหน้ามั่นโหนกคำนี้ถูกมั้เออมั่นหน้า
00:09:12 → 00:09:14 มากว่าแบบเรานี่คือแบบที่สุดแล้วอะไร
00:09:14 → 00:09:17 เงี้ยฮะอืคือความมั่นใจในตัวเองมีอ่ะมัน
00:09:17 → 00:09:19 มันดีนะมันโอเคอะไรอย่าเงี้ยแต่ว่าถ้า
00:09:19 → 00:09:22 มั่นเกินไปอ่ะใชหนักตกี้ผมเลยบอกว่ามันมี
00:09:23 → 00:09:26 การเห็นคุณค่าในตัวเองใช่มั้ยครับเอ่อการ
00:09:26 → 00:09:29 เชื่อมั่นในตัวเองการเอ้ยหลงตัวเองแล้วก็
00:09:29 → 00:09:32 โรคหลวงตัวเองมันไต่ระดับไม่ได้ถึงขนาด
00:09:32 → 00:09:34 นั้นเนี่ยมันอยู่ในเช่นเดียวกันแต่ว่า
00:09:34 → 00:09:35 อยู่ที่ว่าระดับเนี้ยมันเกินเบอร์หรือ
00:09:35 → 00:09:40 เปล่ามันต้องถูกเยินยอยกยอจนแบบว่าลืมไป
00:09:40 → 00:09:42 แล้วว่าอชั้นอะไรยังไงทีนี้เรื่องเรื่อง
00:09:42 → 00:09:45 เยนยอเรื่องนึงครับกับอีกเรื่องนึงคือโดย
00:09:45 → 00:09:47 พื้นฐานบางทีเาอาจจะมีประวัติชีวิตที่แบบ
00:09:47 → 00:09:49 รู้สึกถูกลดทอนมาจากพ่อแม่จากครอบครัวที่
00:09:49 → 00:09:53 ไม่ถูกชมก็มีมีเหมือนมีเหมือนกันนะบางคน
00:09:53 → 00:09:56 ที่แบบเป็นลูกที่ถูกอวยยศบ่อยชมบ่อยชมจน
00:09:56 → 00:09:58 เหลิงไปเลยแบบเป็นผู้เสียคนไปเลยเงี้ยฮะ
00:09:58 → 00:10:02 ค่ะกับเด็กที่ไม่เคยถูกมองเห็นคุณค่าจาก
00:10:02 → 00:10:05 พ่อแม่ไม่เคยถูกชมแล้วตัวเขามีความเจ็บ
00:10:05 → 00:10:08 ปวดบางอย่างค่ะเลยเลยพยายามสร้างเกราะ
00:10:08 → 00:10:10 ป้องกันว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมาลดทอน
00:10:10 → 00:10:12 คุณค่าฉันได้อีกเพราะงั้นใครก็ตามที่
00:10:12 → 00:10:15 วิจารณ์เจะอะไรก็ตามเปัดทิ้งหมดเลยอื
00:10:15 → 00:10:18 เพราะเขาจะไม่พร้อมรับคำวิจารณ์เพราะมัน
00:10:18 → 00:10:21 ทำให้ตัวเขาอ่ะสั่นสะเทือนมันเหมือนๆ
00:10:21 → 00:10:24 เกือบจะมามีคำว่า perfectionist ด้วยนะ
00:10:24 → 00:10:27 อ่าแบบว่าทำทุกอย่างให้มันแบบสมบูรณ์แบบ
00:10:28 → 00:10:30 ที่สุดเพื่อให้แบบว่าฉันไม่ถูกตำหนิแล้ว
00:10:30 → 00:10:33 ฉันต้องแบบมากๆเข้ามากๆเข้าจนไม่รู้ตัว
00:10:33 → 00:10:34 ด้วยมั้ยใช่ครับแต่ perfectionist เนี่ย
00:10:34 → 00:10:37 กับนิิที่มันเป็นเรื่องของบุคลิกภาพลงตัว
00:10:37 → 00:10:40 เองอ่ะจะอยู่คนละอันกันอืเพราะว่าจริงๆพอ
00:10:40 → 00:10:42 สมมุติถ้าเราแยกไปคุยเรื่อง perfectionist
00:10:42 → 00:10:44 นะครับความสมบูรณ์แบบเนี่ยมันมันจะมีมิติ
00:10:44 → 00:10:48 ประมาณนี้อย่างเช่นคนๆนี้ทำสิ่งนี้ให้
00:10:48 → 00:10:50 สมบูรณ์แบบทำงานให้สมบูรณ์แบบเพราะรู้สึก
00:10:50 → 00:10:54 ว่านี่คือสนารของคนที่เคคเก่งเทำกันอาฮะ
00:10:54 → 00:10:56 ฮะอ่าฉันชันแค่อยากมีตัวตนที่สอดคล้องกับ
00:10:56 → 00:10:59 คนเก่งแล้วอย่างงี้มันจะนำไปสู่การที่วัน
00:10:59 → 00:11:02 นึงเราพอเราแบบโอ้โหทำทุกอย่างมาดีคนชม
00:11:02 → 00:11:06 ชื่นชมจนเรากลายเป็นแบบนี่ไงชั้นอะไร
00:11:06 → 00:11:09 อย่างเงี้ยเอ่อได้มยมันมันก็ได้แต่ว่า
00:11:09 → 00:11:11 จริงๆแล้ว perfectionist อหจะมีความกลัว
00:11:11 → 00:11:14 ที่จะไม่สมบูรณ์ด้วยอ๋อมันก็เลยมันก็เลย
00:11:14 → 00:11:17 คนละแท่งกันคนละแท่งกันมันก็จะไม่ได้ข้าม
00:11:17 → 00:11:20 มาอีกฝั่งนึงได้แบบโอ้โหพอ perfectionist
00:11:21 → 00:11:23 สุดจนสุดของ perfectionist คือการเป็นโรค
00:11:23 → 00:11:26 หลงตัวเองไม่ใช่อ่ะไม่ๆอ๋อใช่ครับ
00:11:26 → 00:11:28 perfectionist เนี่ยมันมันมันจะมีหลาย
00:11:28 → 00:11:30 อีกมิติอื่นอีกเช่นบางคนทำเพราะเลี่ยง
00:11:30 → 00:11:33 เพราะกลัวว่าถ้าทำไม่สมบูรณ์จะโดนชี้ว่า
00:11:33 → 00:11:36 เราแบบไม่ดีพอออฮะเพราะงั้นมันไม่ใช่การ
00:11:36 → 00:11:38 เสพความสนุกที่ได้เพอเฟคะค่ะแต่บางคนทำ
00:11:38 → 00:11:42 เพะกลัวว่าจะถูกตำหนิอืก็มีเหมือนกันอ๋อ
00:11:42 → 00:11:44 เพราะนั้นกลายเป็นว่าความหลงตัวเองตรง
00:11:44 → 00:11:48 เนี้ยมันก็คือจากการอวยยศของในครอบครัวมา
00:11:48 → 00:11:52 หรือการที่พยายามเอ่อจะให้ตัวเองแบบไม่
00:11:52 → 00:11:56 ให้ถูกคนอื่นมาอือๆว่าใช่ค่ะเพราะงั้นคน
00:11:56 → 00:11:58 ที่เป็นถึงขั้นโรคอ่ะครับเขาจะปฏิเสธการ
00:11:58 → 00:12:00 รับรู้ความความจริงว่าจริงๆแล้วตัวเเป็น
00:12:00 → 00:12:03 คนที่มีข้อบกพร่องโอ้โหเจะปฏิเสธเจะไม่
00:12:03 → 00:12:06 อยากรับรู้คือมันกว่าจะไปถึงตรงนั้นเนี่ย
00:12:06 → 00:12:10 มันต้องเออใช้ระยะเวลาเหมือนกันเนาะกลาย
00:12:10 → 00:12:12 จนวันนึงมากลายเป็นโรคลงตัวเองที่ว่าแบบ
00:12:12 → 00:12:16 ตัวเองดีตัวเองแบบที่สุดแล้วอะไรอย่าง
00:12:16 → 00:12:18 เงี้ยใช่เ้าอาจจะใช้เป็นกลไกในการป้องกัน
00:12:18 → 00:12:21 ความเจ็บปวดบางอย่างของตัวเองก็ได้อๆๆ
00:12:21 → 00:12:23 หรือบางคนอาจจะค้คล้ายๆใช้จนกระทั่งรู้
00:12:23 → 00:12:26 สึกดีที่ได้ใช้ฉันดีสุดฉันไม่เคยมีอะไร
00:12:26 → 00:12:30 เลยที่แบบจะใครจะมาแย้งได้ออืทีนี้มันมี
00:12:30 → 00:12:32 หลายแบบ่ะครับคนที่เป็นโดยไม่ตั้งใจจากปม
00:12:32 → 00:12:34 ในอดีตกับคนที่บางคนเป็นโดยโดยเนื้อโดย
00:12:34 → 00:12:38 ตัวก็มีอทีนี้ตัวผมคงจะบอกยากว่าสิ่งนี้
00:12:38 → 00:12:42 มันเป็นโลคมันเป็นความปกติทางสมองหรือมัน
00:12:42 → 00:12:44 คือทุกคนที่เป็นสิ่งนี้ต้องมีปมผมผมอาจจะ
00:12:44 → 00:12:46 พูดอย่างนั้นไม่ได้ผมเชื่อว่าคนที่เป็น
00:12:46 → 00:12:49 สิ่งนี้ด้วยตัวเองต่อให้ไม่มีปมก็มีค่ะ
00:12:49 → 00:12:52 ต่อให้ครอบครัวดีครอบครัวโอเคแต่ตัวเขาก็
00:12:52 → 00:12:55 ยังเลือกจะเป็นสิ่งนี้ก็มีอือันนั้นก็
00:12:55 → 00:12:57 เป็นในแง่มุมของการที่จะเพราะคำว่าเป็น
00:12:57 → 00:12:59 โรคมันต้องมีการรักษาแล้วแหละมันต้องมี
00:12:59 → 00:13:01 อะไรที่มันกระทบอย่างที่คุณเอิ้นบอกไป
00:13:01 → 00:13:05 ตั้งแต่ตอนต้นว่ากระทบทั้งตัวเองและคน
00:13:05 → 00:13:08 อื่นแต่การที่จะเข้าไปถึงการรักษาได้
00:13:08 → 00:13:10 เนี่ยมันต้องแสดงว่าเฮ้ยมันรู้สึกด้วยตัว
00:13:10 → 00:13:12 เองแล้วว่าหรือมีคนมาบอกแล้วว่าเฮ้ยไม่
00:13:12 → 00:13:17 ได้ละมันต้องไปพบจิตแพทย์จริงๆแล้วการษา
00:13:17 → 00:13:19 ทีนี้อย่าในฐานะนักจิตวิทยาครับที่ผมที่
00:13:19 → 00:13:22 ผมเจออันนี้จากประสบการณ์เนาะค่ะคนที่
00:13:22 → 00:13:24 เข้ามาหาผมแล้วปรึกษาเรื่องปัญหาชีวิต
00:13:24 → 00:13:27 เนี่ยคนที่เป็นนิติหรือโรคบุคลิกประภาพ
00:13:27 → 00:13:29 ของตัวเองอ่ะครับอือแทบจะไม่เจอเลยที่เขา
00:13:29 → 00:13:32 จะเข้ามาแต่เขาจะเป็นตัวละครในเรื่องของ
00:13:32 → 00:13:36 คนที่มาปรึกษาผมนี่แหละอ๋อว่าเค้าโดนมา
00:13:36 → 00:13:40 จากคนที่เป็นจากคนที่เป็นเช่นๆแฟนผู้ชาย
00:13:40 → 00:13:42 ที่เขคคบเป็นคนนิสัยอย่างงั้นแล้วตัวเา
00:13:42 → 00:13:44 กำลังเสียความมั่นใจรุนแรงมากคนที่เสีย
00:13:44 → 00:13:47 ความมั่นใจรุนแรงมากเนี่ยจะมาเจอผมแล้วผม
00:13:47 → 00:13:49 จะได้ฟังว่าอีกคนที่เขากำลังเจอเนี่ยเป็น
00:13:49 → 00:13:52 คนบุคลิกภาพผิดปกติลงตัวเองซึ่งเขาไม่ได้
00:13:52 → 00:13:54 รู้หรอกว่าเขามีความผิดปกตินะเคเอาจจะไม่
00:13:54 → 00:13:57 สนหรือเขาคอาจจะไม่เชื่อว่าเคเป็นเพราะ
00:13:57 → 00:13:59 ฉะนั้นคนที่มีโรคบุคลิกภาพผิดกปกติแบบ
00:13:59 → 00:14:02 หลวงตัวเองอ่ะครับจะไม่คิดว่าตัวเองคือ
00:14:02 → 00:14:05 ตัวปัญหาอือเพราะโดยพื้นฐานตัวเค้าอ่ะเข
00:14:05 → 00:14:08 จะรู้สึกว่าเค้าดีอยู่แล้วอืคนอื่นต่าง
00:14:08 → 00:14:11 หากที่มันผิดปกติเอ๊ะทำไมมันรู้สึกพอเป็น
00:14:11 → 00:14:13 พอชีวิที่คนอื่นปั๊บเคก็จะไม่ได้คิดว่าเค
00:14:13 → 00:14:15 จะไปหานาจิตวิทยาทำไมค่ะเพราะเขคไม่ไม่
00:14:15 → 00:14:18 ใช่ตัวปัญหาเออคนอื่นเธอต่างหากใช่อันนี้
00:14:18 → 00:14:20 อันนี้แบบนึงนะใช้คำนี้ก่อนแบบนึงคือเา้า
00:14:20 → 00:14:22 ไม่คิดว่าตัวเองคือตัวปัญหาเธอนั่นแหละ
00:14:22 → 00:14:25 คือคนที่ต้องไปหานั่นคือข้อที่ 1 อกับข้อ
00:14:25 → 00:14:30 ที่ 2 คือตัวเค้าอาจจะไม่มั่นใจว่าเมื่อ
00:14:30 → 00:14:34 มาพบนักจิตวิทยาจะเจออะไรบ้างจะจะโดนจับ
00:14:34 → 00:14:37 ไต๋จะโดนโน้มน้าวจะโดนชี้ว่าแบบคุณนั่น
00:14:37 → 00:14:41 แหละผิดปกติหรือเปล่าเพราะว่าเพราะว่า
00:14:41 → 00:14:43 เขาคไม่ได้กำลังปะทะกับคนธรรมดาแต่เขา
00:14:43 → 00:14:45 กำลังต้องเข้ามาคุยกับคนที่มีความรู้ทาง
00:14:45 → 00:14:48 จิตเวชหรือทางจิตวิทยาอืเขาจะไม่รู้ว่า
00:14:48 → 00:14:51 กำลังจะต้องรับมือกับใครค่ะและคนๆนั้นทำ
00:14:51 → 00:14:54 อะไรได้บ้างในฐานะคนที่มีความรู้อาจจะทำ
00:14:54 → 00:14:56 ให้เขากลายเป็นว่าจริงๆเขาก็รู้อยู่นะแต่
00:14:56 → 00:14:58 แต่ในบางมุมแต่ว่ามันกลายเป็นว่าเา้าไม่
00:14:58 → 00:15:00 ยอมรับในสส่งใช่แล้วลองนึกภาพเนาะเกิด
00:15:00 → 00:15:02 เข้าไปหาแล้วนักจิตฟันธงว่าคุณเป็นเออมัน
00:15:02 → 00:15:05 คือการปะทะเ้าตรงๆอ่ะครับค่ะว่าตัวเค้า
00:15:05 → 00:15:08 แบบมีข้อบกพร่องอ่าจะได้รับการปฏิเสธทัน
00:15:08 → 00:15:10 ทีใช่เค้าไม่พร้อมอยู่แล้วฮะในการเจอสิ่ง
00:15:10 → 00:15:11 นี้เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือความเสี่ยง
00:15:11 → 00:15:14 สำหรับเขาอืเขาก็จะเลี่ยงในการไปพบนัก
00:15:14 → 00:15:17 จิตวิทยาอือันนี้คือกลไกที่เกิดขึ้นโดย
00:15:17 → 00:15:19 ธรรมชาติแต่แต่คน perfectionist อ่ะผมจะ
00:15:19 → 00:15:23 เจอบ่อยคนคนเป็น narcissistic เนี่ยโลก
00:15:23 → 00:15:25 หลงตัวเองเนี่ยจะไม่ค่อยเจอนักจิตวิทยา
00:15:25 → 00:15:27 แต่คนเป็น perfectionist อ่ะครับจะมาหา
00:15:27 → 00:15:29 นักจิตวิทยาออแตกต่างโดยสิ้นเชินเพราะ
00:15:29 → 00:15:31 เพราะตัวเค้ามีความทรมานบางอย่างจากการ
00:15:31 → 00:15:34 เป็นสิ่งนั้นโอ๊แต่อ่ะเข้าใจคำว่า
00:15:34 → 00:15:36 perfectionist เค้าก็เหนื่อยนะในการที่
00:15:36 → 00:15:38 ต้องพยายามทำให้มันเพฟกและสมบูรณ์ตลอด
00:15:38 → 00:15:40 เหนื่อยมื่อที่บอกเค้ามีความกลัวเคเห็นเ
00:15:40 → 00:15:42 เห็นความกลัวในจิตตัวเองเพราะฉะนั้นเขาจะ
00:15:42 → 00:15:44 รับรับรู้ว่าตัวเองอ่ะเป็นคนที่อาจจะมี
00:15:44 → 00:15:47 ความเสี่ยงที่จะบกพร่องอืเขาจะมีความ่อม
00:15:47 → 00:15:49 ตัวประมาณนึงแต่เขาก็กลัวมากๆที่จะบก
00:15:49 → 00:15:51 พร่องค่ะคนกลุ่มเนี้ยจะมาหานักงจิตเพราะ
00:15:51 → 00:15:53 เารู้สึกอยากแก้ไขอย่ามันเหนื่อยอ่ะมัน
00:15:53 → 00:15:55 เหนื่อยมากๆเลยอยากอยากเปลี่ยนใช่มันอ่า
00:15:55 → 00:15:56 มันแบกเยอะไปหน่อยอยากเปลี่ยนแต่คนเป็น
00:15:57 → 00:15:58 โรคหลงตัวเองอาจจะไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง
00:15:59 → 00:16:01 ได้ฉันชอบแบบนี้เพราะเครู้สึกว่าการที่
00:16:01 → 00:16:05 เขาเป็นเสามารถควบคุมคนอื่นได้อ้ามีการ
00:16:05 → 00:16:08 ควบคุมคนอื่นเขควบคุมคนอื่นได้เมื่อฉัน
00:16:08 → 00:16:10 เป็นแบบนี้ฉันไม่ต้องวิ่งตามใครเลยฉันทำ
00:16:10 → 00:16:13 ให้คนอื่นวิ่งตามฉันดีกว่าเได้ผลประโยชน์
00:16:13 → 00:16:15 นะครับเมันเหมือนเล่นเกมเลยนะเนี่ยครับ
00:16:15 → 00:16:18 เราถึงชี้เ้าว่าเป็นโรคอ่ะครับมันมันมีผล
00:16:18 → 00:16:20 กระทบต่อตัวเค้าเพราะตัวเคก็เป็นเป็นเ
00:16:20 → 00:16:23 เรียกว่าหน่วยที่ไม่ค่อยน่ารักในสังคมอ้า
00:16:23 → 00:16:25 แต่ตัวเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เา้า
00:16:25 → 00:16:29 เดือดร้อนหรือผิดปกติไงใช่เก็เลยเลยไม่
00:16:29 → 00:16:32 ไม่พมรจิตอ่าฮะเพราะฉะนั้นเรื่องนี้มัน
00:16:32 → 00:16:33 เลยเป็นเรื่องที่เราจะต้องบอกคนทั่วไปให้
00:16:33 → 00:16:36 รับรู้ว่ามันมีคนที่แบบผิดปกติแบบนี้อยู่
00:16:36 → 00:16:39 ในสังคมเราจริงๆนะแล้วตัวเราจะต้องรู้จัก
00:16:39 → 00:16:42 วิธีหลบเลี่ยงให้เป็นครับอืก็มาอย่างแรก
00:16:42 → 00:16:44 แล้วคืออะไรนะแกส Lighting เหรอแส
00:16:44 → 00:16:47 Lighting ปั่นประสาทปั่นเอออำเราอ่ะอำ
00:16:47 → 00:16:50 เราเล่นอย่างเงี้ยแต่จริงจังมากคือคือคือ
00:16:50 → 00:16:53 ไม่ใช่บอกว่ามาเล่นล้อเล่นไม่ใช่นะจรจแต่
00:16:53 → 00:16:56 เขาทำให้เรารู้สึกผิดกิลตี้ขึ้นมาจริงๆ
00:16:56 → 00:16:59 แล้วก็แรกๆเราอาจจะยังไม่เท่าไหร่นะแต่
00:16:59 → 00:17:02 อยู่ไปนานๆเริ่มรู้สึกแบบแย่ลงเรื่อยๆ
00:17:02 → 00:17:04 เริ่มแบบเอ๊ะฉันจะทำอะไรผิดอีกมหรือเขาจะ
00:17:04 → 00:17:07 มาอะไรกับเราอีกมแล้วคือแบบทุกอย่างดีหมด
00:17:07 → 00:17:10 เลยยิ่งถ้าเกิดเขาไปนำเสนออะไสิ่งที่
00:17:10 → 00:17:13 เหนือขึ้นไปกว่าเขาอีกอ่ะอตัวเขาจะดีเลิ
00:17:13 → 00:17:16 เลยเพอเฟคอือๆสิ่งทุกอย่างเขาจะได้ดั่งใจ
00:17:16 → 00:17:19 แต่คนที่ต่ำกว่าเขาก็คือแบบถูกตำหนิแน่
00:17:19 → 00:17:21 นอนใช่เพราะงั้นเรื่องนี้เราต้องรู้ให้
00:17:21 → 00:17:23 ทันว่าเรากำลังเจอคนที่เป็นอย่างนี้หรือ
00:17:23 → 00:17:26 เปล่าทำไงอ่ะก็ต้องต้องเป็นผู้สังเกตการ์
00:17:27 → 00:17:31 ที่ดีครับโผู้สังเกตการที่ดีคือพยายาม
00:17:31 → 00:17:33 ค่อยๆสรุปว่าสิ่งตรงหน้าคืออะไรต้องบอก
00:17:33 → 00:17:36 งี้ครับผมจะมีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์เรา
00:17:36 → 00:17:37 อ่ะจะมีสิ่งที่เรียกว่า Wisdom หรือปัญญา
00:17:38 → 00:17:40 ญาณอยู่ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นจากการได้
00:17:40 → 00:17:43 สังเกตจนได้ข้อสรุปบางสิ่งจนรู้ว่าสิ่ง
00:17:43 → 00:17:46 นี้คืออะไรเช่นสมมุติเราเราใช้ชีวิตที่
00:17:46 → 00:17:49 เนี่ยอาจจะอยู่มา 30-40 ปีอือเราเห็นพระ
00:17:49 → 00:17:53 อาทิตย์มาตลอดทั้งชีวิตอืและเราได้เห็น
00:17:53 → 00:17:55 มันตลอดจนรู้ว่าสิ่งเนี้ยคืออะไรทำอะไร
00:17:55 → 00:17:58 ได้บ้างและเราจะปรับตัวกับมันยังไงค่ะพอ
00:17:58 → 00:18:01 เจอเจอแดดปั๊บร้อนเป็นไงฮะเข้าที่ร่มหรือ
00:18:01 → 00:18:04 กลางร่มค่ะถูกมั้ยฮะแต่เราจะไม่ตะโกนด่า
00:18:04 → 00:18:07 ว่าพระอาทิตย์ทำไมมึงต้องเกิดมามึงต้องมี
00:18:07 → 00:18:10 แต่เราก็จะบ่นเจไม่เคยเป็นพระอาทิตย์มา
00:18:10 → 00:18:13 ก่อนเหรแดดขนาดนี้อ๋อก็คืออาจจะบ่นร้อน
00:18:14 → 00:18:16 แต่จะไม่ด่าแบบโกรธพระอาทิตย์ทำอะไรไม่
00:18:16 → 00:18:19 ได้ไงเออมันก็เป็นความจริงอ่ะคือเรา
00:18:19 → 00:18:21 ปฏิบัติต่อความจริงอ่ะครับคอ่าแต่ทีเนี้
00:18:21 → 00:18:24 พอเป็นคนปั๊บเราแยกไม่ออกว่าความจริงตรง
00:18:24 → 00:18:26 หน้าคืออะไรแต่เกิดสมมุติงูเห่าอ่ะสมมุติ
00:18:26 → 00:18:29 เห็นงูเห่าปึ๊บงูเห่า
00:18:29 → 00:18:31 ความรู้เราจะรู้ว่าแบบมันเป็นสิ่งมีชีวิต
00:18:31 → 00:18:34 ที่มีพิษไม่ควรเข้าใกล้มันดุร้ายโฉกแล้ว
00:18:34 → 00:18:37 ตายไม่ควรเข้าใกล้เมื่อเห็นว่าสิ่งตรง
00:18:37 → 00:18:39 หน้าคืออะไรเราจะไม่คาดหวังอะไรกับมันเลย
00:18:39 → 00:18:42 ฮะโอ้แต่มนุษย์สุดแท้ยากแท้อย่างถึงยาก
00:18:42 → 00:18:45 แท้อย่างถึงอ่าครับเพราะงั้นพอเราแยกไม่
00:18:45 → 00:18:47 ออกว่าใครเป็นใครเราเลยปฏิบัติตัวไม่ถูก
00:18:47 → 00:18:51 ไงอืนี่คือปัญหาครับปัญหาปัญหาอยู่ตรงที่
00:18:51 → 00:18:53 ว่าถ้าเรายังแยกไม่ออกว่าสิ่งตรงหน้าคือ
00:18:53 → 00:18:56 อะไรการปรับตัวที่ถูกต้องจะไม่เกิดขึ้น
00:18:56 → 00:18:58 มันจะเป็นแค่การสุ่มคาดเดาเอาแล้วก็เื่อ
00:18:58 → 00:19:02 ถูกแต่บางคนเค้าก็จะมีกลไกในการออันนี้
00:19:02 → 00:19:04 บางคนนะเพราะว่าออย่างถ้าเกิดในที่ทำงาน
00:19:04 → 00:19:07 เนี่ยก็เคยเจอในลักษณะคล้ายๆแบบนี้แหละ
00:19:07 → 00:19:09 หรือเหมือนแบบนี้แหละใช่มั้ยคะเราก็จะรู้
00:19:09 → 00:19:13 สึกเราก็จะเห็นละแล้วเราก็จะอือืเอาอีก
00:19:13 → 00:19:16 แล้วะยังเนี่ยก็อย่างเงี้ยเออเราก็จะไม่
00:19:16 → 00:19:19 เราก็จะรู้ไงคือพอพอเห็นมากๆเข้าหรือหร
00:19:19 → 00:19:21 หรือเป็นเพราะว่าเราอาจจะไม่ใช่ไม่ได้ชอบ
00:19:21 → 00:19:24 คนประเภทนี้เราเลยมองออกหรือเปล่าเราก็
00:19:24 → 00:19:27 เลยพยายามที่จะเอาตัวเองออกด้วยๆแต่คนที่
00:19:27 → 00:19:31 เจ็บปวดคือคนที่ถูกถูกทำให้ผิดอ่ะใช่แล้ว
00:19:31 → 00:19:33 แล้วบางทีมันจะเจ็บมากขึ้นถ้าเราเกิด
00:19:33 → 00:19:36 พยายามจะให้เายอมรับเราอ่ะเอโอคือเรียก
00:19:37 → 00:19:38 ว่าเรียกว่าขอร้องให้เห็นคุณค่าฉันเถอะ
00:19:38 → 00:19:41 ไอ้เนี่ยเจ็บหนักเลยก็นั่นไงแล้วทำไงได้
00:19:41 → 00:19:44 อ่ะถ้าเกิดมันมีผลต่อเรื่องของการงานหรือ
00:19:44 → 00:19:46 เรื่องของความสัมพันธ์อย่างเงี้ยใน
00:19:46 → 00:19:49 ครอบครัวเชื่อว่าต้องมีอมีมีแน่นอนอืความ
00:19:49 → 00:19:53 รักการงานมีทุกที่เพื่อนบอะไรก็ตามความ
00:19:53 → 00:19:56 สัมพันธ์มันแทรกตัวอยู่ทุกๆที่ได้หมดโอย
00:19:56 → 00:19:57 อ่ะถ้าเกิดอย่างเงี้ให้สังเกตตัวเองยังไง
00:19:58 → 00:20:01 ถ้ารู้สึกว่าแบแบบเอ้ยไม่ไหวละคือคืออ
00:20:01 → 00:20:03 ต้องเอาตัวเองออกไปเลยมั้ยหรือว่าแบบไม่
00:20:03 → 00:20:06 เข้าใกล้ไปเลยหรืออะไรเงี้ยทำอะไเรแต่
00:20:06 → 00:20:08 บริบทคนครับแล้วแต่บริบทคนเพราะถ้าเป็น
00:20:08 → 00:20:12 บางทีการงานอืบางทีเราเลือกนายไม่ได้อ่ะ
00:20:12 → 00:20:15 ใช่นายอาจจะเป็นคนที่แบบใครไม่รู้กำกับ
00:20:15 → 00:20:18 สั่งการมาว่าคนนี้มอบหมายมอบตำแหน่งมาอื
00:20:18 → 00:20:20 เราเลือกไม่ได้ในฐานะชั้นผู้น้อยบางครั้ง
00:20:20 → 00:20:21 เราถ้าเราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเปลี่ยน
00:20:21 → 00:20:24 อาชีพหรือโยกย้ายค่ะมันทำอะไรไม่ได้นอก
00:20:24 → 00:20:26 จากต้องอยู่เพราะเราต้องกินต้องใช้ถูก
00:20:26 → 00:20:30 มั้ยครับโอแต่มันไม่มีความสุขนะอ่าทีนี้
00:20:30 → 00:20:33 การไม่มีความสุขอ่ะครับมันสามารถลดระดับ
00:20:33 → 00:20:37 ได้ว่าเอ่อไม่ต้องทุกข์มากได้มั้ยถ้า
00:20:37 → 00:20:40 ทุกข์มากอสมมุตินะสเกลขั้นสุดเลยทุกข์มาก
00:20:40 → 00:20:43 ๆคือนายด่าปั๊บเราเชื่อว่าเราแย่จริงๆ
00:20:44 → 00:20:46 แล้วตัวเราพยายามจะแบบทำตัวให้ดีมากเพื่อ
00:20:46 → 00:20:49 ให้นายรักเราค่ะไอ้คนเนี้ยทุกข์ที่สุดใช่
00:20:49 → 00:20:52 ถูกมั้ยครับอาฮะอ่าแต่สมมุติอ่ะทุกข์น้อย
00:20:52 → 00:20:54 ลงมาถ้าทุกข์น้อยแล้วมาคิดว่าต้องคิดยัง
00:20:54 → 00:20:56 ไงอ่ะอ
00:20:56 → 00:20:59 อืก็
00:20:59 → 00:21:02 อาจจะแบบว่าคุยกับเพื่อนหรือยังไงดีอ่า
00:21:02 → 00:21:04 อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับว่าเริ่มรู้
00:21:04 → 00:21:07 แล้วว่านายเราแปลกๆไม่คยปกติอจากการ
00:21:07 → 00:21:09 ทำงานด้วยกันมาระยะเวลานึงใช่ใชอาจอาจจะ
00:21:09 → 00:21:12 รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับวิธีการสั่งการ
00:21:12 → 00:21:14 ของเขาหรือคำตำหนิของเขาถูกมั้ยครับอือ
00:21:14 → 00:21:17 แต่ตัวเราจะเค้าเรียกว่าลดลดระดับการ
00:21:17 → 00:21:21 เชื่อประโยคเค้าอ่ะให้มันน้อยลงอือาจจะ
00:21:21 → 00:21:23 รู้สึกไม่ชอบเลยประโยคเคแทคเรามากค่ะแต่
00:21:23 → 00:21:25 เคก็เป็นคนอย่างเงี้ยอย่าไปอย่าไปฟังเค้า
00:21:25 → 00:21:28 มากเออเหรอคือมันก็ทุกข์นะในการอยู่ใน
00:21:28 → 00:21:31 นั้นว่าแบบมันน่ารำคาญมันน่าเบื่อมันรู้
00:21:31 → 00:21:33 สึกแบบไม่ชอบเลยโดนแรงอัดมาอีกแล้วะค่ะ
00:21:33 → 00:21:35 แต่ตัวเราจะไม่ตำหนิว่าตัวเราเป็นคนไร้
00:21:35 → 00:21:38 ค่าอืเพราะถ้าเป็นคนแบบแรกจะรู้สึกว่าตัว
00:21:38 → 00:21:41 เองดีไม่พอถูกมั้ยครับค่ะอ่าแต่ถ้าเป็นคน
00:21:41 → 00:21:43 แบบที่ 2 จะรู้สึกว่าฉันยังมีดีอือแต่แค่
00:21:43 → 00:21:46 มันมีบางสิ่งที่แบบเขาอาจจะเรียกร้องคาด
00:21:46 → 00:21:50 หวังเกินจริงเขาอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจอืแต่
00:21:50 → 00:21:54 เราจะไม่ดูแคลนคุณค่าตัวเองที่เบ่อยๆคือ
00:21:54 → 00:21:57 ถูกถูกต้องแต่ไม่ถูกใจอะไรอย่างงั้นคำว่า
00:21:57 → 00:22:00 ไม่ถูกใจอ่ะเหนื่อยกว่าใดๆทุกสิ่งอแต่
00:22:00 → 00:22:02 อย่างน้อยเราจะไม่แบบคล้ายๆด้อยค่าตัวเอง
00:22:02 → 00:22:05 ซ้ำค่ะตรงนี้คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้เลยนะ
00:22:05 → 00:22:08 ครับว่าเราด้อยค่าตัวเองลงหรือเปล่าถ
00:22:08 → 00:22:09 เพราะว่าพอเป็นพอเป็นหลงตัวเองปั๊บเจะควบ
00:22:09 → 00:22:13 คุมแล้วจะทำลายความมั่นใจคนอื่นอืทำลาย
00:22:13 → 00:22:15 ความมั่นใจทีเนี้ยคีย์เวิร์ดเลยสำคัญที่
00:22:15 → 00:22:18 ว่าใช่แหละบางครั้งในการทำงานร่วมกันเรา
00:22:18 → 00:22:20 อยู่ใน setting ที่หนีไม่ได้ค่ะแต่คุณค่า
00:22:20 → 00:22:22 ในตัวเราถูกทำลายมยอันเนี้ยเป็นประเด็น
00:22:22 → 00:22:26 ที่ต้องพิจารณาถ้าไม่ถูกทำลายถ้าคุณค่า
00:22:26 → 00:22:28 เราไม่ถูกทำลายแสดงว่าตัวเราอ่ะกำลังกลัง
00:22:28 → 00:22:31 มีกลวิธีในการรับมือกับคนที่เป็นโรคของ
00:22:31 → 00:22:34 ตัวเองเนี้ยได้ดีประมาณนึงและออืเออเพราะ
00:22:34 → 00:22:36 อย่างน้อยใช่แหละเราเจอแรงอัดการเจอแรง
00:22:36 → 00:22:39 อัดไม่ใช่ความสุขค่ะแต่อย่างน้อยตัวเรา
00:22:39 → 00:22:41 ไม่ถูกบดขยี้และตัวเรารักษาตัวเองได้
00:22:41 → 00:22:44 อย่างเงี้ยถือว่าพออยู่ได้แต่ถ้าดีที่สุด
00:22:44 → 00:22:47 คือไม่ต้องอยู่กับเขาจะดีมากทีนี้มันก็
00:22:47 → 00:22:49 เลยต้องขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเรา่ะครับมี
00:22:49 → 00:22:51 ทางเลือกหรือเปล่าอือที่จะหลบเลี่ยงที่จะ
00:22:52 → 00:22:55 ไม่ต้องอยู่ใกล้คนพวกนี้เอ่อถ้าในบางบาง
00:22:55 → 00:22:57 ที่อาจจะมีสายการบังคับบัญชาหลายๆชั้นเรา
00:22:57 → 00:22:59 ก็ลดแรงประทับจากการที่เราจะไปปะทะเอง
00:22:59 → 00:23:02 หรือเราจะต้องไปคุยเองเนี่ยให้เป็นคนอื่น
00:23:02 → 00:23:04 ที่เหนือเราขึ้นไปก็ได้หรือคนที่พริ้ว
00:23:04 → 00:23:08 กว่าเราผมผมว่ามีนะคนที่เขามีกลวิธีทาง
00:23:08 → 00:23:11 จิตวิทยาหรือว่ามีเค้าเรียกอะไเทคนิคชั้น
00:23:11 → 00:23:14 เชิงในการวางตัวเชิงสังคมบางคนเพริ้วเคมี
00:23:14 → 00:23:16 ความสามารถสิ่งดีมากถ้าเขาเป็นให้เราให้
00:23:16 → 00:23:19 เราให้เขาทำเออนับถือนับถือผมผมเชื่อว่า
00:23:19 → 00:23:21 มีคนที่พริ้วอย่างงั้นจริงๆแต่ถ้าเรามั่น
00:23:21 → 00:23:24 ใจว่าเราไม่ใช่คนพริ้วมี 2 ทางเลือกเราจะ
00:23:24 → 00:23:27 เค้าเรียกว่าวิวัฒนาการตัวเองขึ้นไปพัฒนา
00:23:27 → 00:23:29 ตัวเองขึ้นไปให้เป็นคนที่พลิ้วได้มากขึ้น
00:23:29 → 00:23:32 อือหรือเลือกที่จะแบบหลบเลี่ยงให้เก่ง
00:23:32 → 00:23:34 ขึ้นอืออือันนี้ต้องเลือกครับแต่พริ้วใน
00:23:34 → 00:23:37 ที่นี้ไม่ได้ใหๆในเชิงลบนะคะแต่หมายถึง
00:23:37 → 00:23:39 ว่ารู้จักในการที่จะพูดหรือในการรับความ
00:23:40 → 00:23:42 รู้สึกตรงนั้นมาหรืออะไรก็แล้วแต่ในการ
00:23:42 → 00:23:44 จัดการกับความรู้สึกตัวเองใช่เชเช่นบางที
00:23:45 → 00:23:47 เรารู้สึกว่ากับนายคนเนี้ยค่ะคือเถียง่ะ
00:23:47 → 00:23:50 มีแต่ลบกับลบเถียงเท่านั้นลองลองผสมการ
00:23:50 → 00:23:53 อวยยศเคสักนิดนึงเอาจจะแบบน่ารักขึ้นอู
00:23:53 → 00:23:55 แล้วทุกอย่างอาจจะคุยง่ายขึ้นหลังจากที่
00:23:55 → 00:23:58 เราอวยยศไปก็เเป็นโรคหลงตัวเองอยู่แล้ว
00:23:58 → 00:24:00 อ่ะเคเลยชอบการประจบนะครับการประจบที
00:24:00 → 00:24:03 เนี้ยการประจบก็จะมี 2 แบบเราประจบเพราะ
00:24:03 → 00:24:05 เราคาดหวังผลประโยชน์จะใช้ผลประโยชน์จาก
00:24:05 → 00:24:07 เาแล้วให้เราได้ประโยชน์บางอย่างหรือเรา
00:24:07 → 00:24:12 ไปจบแค่เพื่อลดแรงแรงปะทะอือันเนี้ยเจตนา
00:24:12 → 00:24:15 คนไม่เหมือนกันเพราะพื้นฐานคนประจบประจง
00:24:15 → 00:24:18 เอาใจแบบหลอกลวงเพผลประโยชน์ส่วนตนก็มีออ
00:24:18 → 00:24:20 ฮะเรียกว่าไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ขนาดเรา
00:24:20 → 00:24:22 ยังมองออกเราคิดว่าเขาจะมองไม่ออกหรอว่า
00:24:22 → 00:24:25 เราเราเพื่ออะไรใช่มั้ยแต่บางคนโลกคนโลก
00:24:25 → 00:24:27 หลงตัวเองอาจจะหูดับก็ได้นะถ้าเถ้าเแบบ
00:24:27 → 00:24:30 ไม่ได้ไม่ได้แบบไหวพริบขนาดนั้นเอเค้าอาจ
00:24:30 → 00:24:32 จะเชื่อกันประจบไปเลยก็ได้เออถ้ายืนข้างๆ
00:24:32 → 00:24:34 คนอวยเวอร์นี่เราคงจะรู้สึกก็ไปด้วยกันดี
00:24:34 → 00:24:37 เลยอย่าเงี้ยครับใช่เออนะคือคืออันเนี้ย
00:24:37 → 00:24:40 อ่าด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดอ่ะเนาะแต่
00:24:40 → 00:24:42 ว่าก็เอาเป็นว่าให้ให้เป็นแนวทางไว้ว่า
00:24:42 → 00:24:46 เราต้องต้องระวังในการที่จะถูกคนแบบใน
00:24:46 → 00:24:49 ลักษณะแบบเนี้ยที่เป็นโรคหลงตัวเองเนี่ย
00:24:49 → 00:24:52 มาปั่นให้เราเกิดลดทอนความเป็นคุมค่าใน
00:24:52 → 00:24:55 ตัวเองเพราะว่ามันเป็นข้อแรกที่สำคัญในใน
00:24:55 → 00:24:58 ทุกอย่างทั้งหมดเลยเพราะว่าพอเราถูกลดทอน
00:24:58 → 00:25:01 ปุ๊บเนี่ยจากคนที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง
00:25:01 → 00:25:04 คนที่เราได้ประสิทธิภาพอ่ะเออมันกลายเป็น
00:25:04 → 00:25:06 คนไร้ประสิทธิภาพอ้ามันก็เป็นไปตามที่เา
00:25:06 → 00:25:08 พูดจริงๆด้วยในวันใช่แล้วกลายเป็นคนสงสัย
00:25:08 → 00:25:11 ตัวเองด้วยใช่ซึ่งมันไม่ไม่ควรจะเป็นแบบ
00:25:11 → 00:25:16 นั้นอย่าให้ใครอย่าอนุญาตให้ใครมาทำร้าย
00:25:16 → 00:25:19 เราลดทอนคุณค่าในตัวเราแล้วก็อย่าเอาคำ
00:25:19 → 00:25:23 พูดเ้ามาลดทอนคือคำพูดเ้ามันส่วนหนึ่ง
00:25:23 → 00:25:25 แล้วล่ะแล้วถ้าตัวเรายังไปรดทอนตัวเองอีก
00:25:25 → 00:25:28 อ่ะมันก็จะยิ่งแย่ใช่ๆครับอมีอะไรฝัง
00:25:28 → 00:25:30 หน่อยหน่อยมั้ยฝากแล้วฮะก็คงอยากให้ทุกคน
00:25:30 → 00:25:32 กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองแบบสุขภาพ
00:25:32 → 00:25:35 ดีเเรียกว่าให้แบบ Healthy เออเคเรียกว่า
00:25:35 → 00:25:38 มีเม S asem จะเกิดขึ้นจากการที่เราเห็น
00:25:38 → 00:25:40 ความดีงามของเราว่าเราได้ทำบางสิ่งที่มี
00:25:40 → 00:25:42 คุณค่าแต่ขณะเดียวกันเราก็มีความถ่อมตัว
00:25:42 → 00:25:45 ว่าตัวเราเป็นมนุษย์ที่อาจจะมีความบก
00:25:45 → 00:25:47 พร่องเกิดขึ้นได้เสมอเพราะฉะนั้นให้เรา
00:25:47 → 00:25:49 เป็นคนที่หมั่นขัดกลาตัวเองให้เป็นคนที่
00:25:49 → 00:25:51 มีความเชื่อมั่นแต่มีความถ่อมตัวครับอือ
00:25:51 → 00:25:54 ฮึแล้วเราเจอคนที่เป็นคนที่โลคหลงตัวเอง
00:25:54 → 00:25:57 เราก็ยิ้มๆเข้าไว้อ่า
00:25:57 → 00:26:00 ใช่ที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เราถอยออกมาดี
00:26:00 → 00:26:02 กว่าครับใช่ค่ะแล้วก็มาหาเปิดฟังเพลงหรือ
00:26:02 → 00:26:04 ฟังรายการโรงหมอของเราก็ได้ฟังอย่างอื่น
00:26:04 → 00:26:06 ไปก็ได้นะคะจะได้แบบว่าไม่ต้องไปคิดถึง
00:26:06 → 00:26:09 เรื่องนั้นนะคะอ่ะคุณค่าเรเองเราต้องมี
00:26:10 → 00:26:13 เอาไว้นะคะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสัสดีค่ะสหมด
00:26:13 → 00:26:15 เวลาอีกแล้วค่ะแป๊บเดียวเลยนะคะก็เราจะ
00:26:15 → 00:26:17 กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอ
00:26:17 → 00:26:20 ทางไทย PB podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะ
00:26:20 → 00:26:24 คะสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:26:24 → 00:26:26 เรื่องที่ต้องรู้กับอาการที่เกิดกับกล้าม
00:26:26 → 00:26:29 เนื้อหดเกร็งหรือตะคริวในผู้หญิงมีสาเหตุ
00:26:29 → 00:26:33 มาจากอะไรดรนายแพทย์จตุพลคงถาวรสกุลแพทย์
00:26:33 → 00:26:35 ผู้เชี่ยวชาญระบบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ
00:26:35 → 00:26:38 มาเล่าให้ฟังครับตคิวเนี่ยถ้าในทางการ
00:26:38 → 00:26:40 แพทย์เนี่ยเขาเรียกว่า mus spasum คือ
00:26:40 → 00:26:42 กล้ามเนื้อเนี่ยอยู่ดีๆมันเกร็งแล้วมัน
00:26:42 → 00:26:45 ค้างมันไม่คลายอืนะฮะมันเกร็งแล้วมันหด
00:26:45 → 00:26:47 อ่าแล้วพอมันหดปุ๊บเนี่ยพอเราพยายามจะยืด
00:26:47 → 00:26:49 มันมันจะกระตุกกระตุกระอย่างเงี้ยเพราะ
00:26:49 → 00:26:51 ว่ามันพยายามจะหดคือกล้ามเนื้อมันเกร็ง
00:26:52 → 00:26:55 ค้างนะฮะทีนี้เราต้องเข้าใจองค์ประกอบของ
00:26:55 → 00:26:57 กล้ามเนื้อก่อนก่อนที่เราจะเข้าใจว่า
00:26:57 → 00:26:58 ตะคิว
00:26:58 → 00:27:00 มันเกิดได้ยังไงเราต้องเข้าใจว่าเพราะเรา
00:27:00 → 00:27:02 รู้แล้วอ่าแต่คิวคือกล้ามเนื้อมันเกิดการ
00:27:02 → 00:27:05 เกร็งอย่างรุนแรงและอย่างรวดเร็วกล้าม
00:27:05 → 00:27:07 เนื้อเนี่ยประกอบไปด้วยตัวบริเวณกล้ามมัด
00:27:07 → 00:27:09 กล้ามเองใช่มั้ยฮะแล้วก็หลอดเลือดที่วิ่ง
00:27:09 → 00:27:12 เข้าไปหามันมัดกล้ามเองเนี่ยมันก็จะมี
00:27:12 → 00:27:15 ไฟเบอร์ที่เป็นลักษณะชนิดต่างๆซึ่งกล้าม
00:27:15 → 00:27:17 เนื้อเนี่ยองค์ประกอบของมันลึกเข้าไปอีก
00:27:17 → 00:27:19 ในระดับโมเลกุลเนี่ยก็คือมันประกอบไปด้วย
00:27:19 → 00:27:21 โปรตีนแล้วก็น้ำปกติแล้วเนี่ยกล้ามเนื้อ
00:27:21 → 00:27:24 ที่มันจะเกร่งเนี่ยมันมักจะเกิดจากการที่
00:27:25 → 00:27:28 กล้ามเนื้อมันหดปึ๊บซึ่งเลือดมันอาจจะ
00:27:28 → 00:27:30 วิ่งไปเลี้ยงไม่ทันหรือกล้ามเนื้อที่มัน
00:27:30 → 00:27:34 เกร็งมานานมากเลยแล้วมันมีผังผืดมาหุ้มไป
00:27:35 → 00:27:37 บางส่วนละพอมันหดปุ๊บมันก็เลยเกร็งอยู่ใน
00:27:37 → 00:27:40 ท่านั้นหรือกล้ามเนื้อที่ปกติแล้วเนี่ย
00:27:40 → 00:27:42 มันมีการใช้้ๆอยู่อย่างงั้นน่ะแล้วมันก็
00:27:42 → 00:27:44 เลยทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยมันหดคาอยู่ในท่า
00:27:44 → 00:27:47 เดิมก็เอาเป็นว่าโดยรวมเนี่ยมันเกิดจาก
00:27:48 → 00:27:50 สารที่จะต้องไปหล่อเลี้ยงมันน่ะไม่ว่าจะ
00:27:50 → 00:27:52 เป็นน้ำโซเดียมแคลเซียมอะไรก็ตามที่มัน
00:27:52 → 00:27:54 อยู่ในองค์ประกอบของมันเนี่ยนะมันไม่
00:27:54 → 00:27:57 เหมาะสมเมื่อมันไม่เหมาะสมปุ๊บเนี่ยมันจะ
00:27:57 → 00:28:01 เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อที่หดเกรงค้าง
00:28:01 → 00:28:04 สารที่มีความเกี่ยวข้องกับการหดกล้าม
00:28:04 → 00:28:07 เนื้อเนี่ยก็คือโซเดียมโปแทสเซียมแล้ว
00:28:07 → 00:28:09 แคลเซียมนะฮะโซเดียมโพแทสเซียมเนี่ยมันจะ
00:28:09 → 00:28:12 เป็นตัวบาลานซ์ของเส้นประสาทถ้าโซเดียม
00:28:12 → 00:28:14 มันสูงมากมันจะเกิดการเก็งกระตุกน้ำที่
00:28:14 → 00:28:16 น้อยเกินไปมันจะทำให้โซเดียมเหมือน
00:28:16 → 00:28:18 relatively แล้วเนี่ยสูงขึ้นถ้าน้ำมัน
00:28:18 → 00:28:22 น้อยเกลือแร่มันจะสูงเมื่อเกลือแร่มันสูง
00:28:22 → 00:28:25 มันจะเกิดการกระตุกนะมันจะเลยทำให้เกิด
00:28:25 → 00:28:28 การเกร็งโอเคนะทีนี้แคลเซียมคืออะไรอะไร
00:28:28 → 00:28:30 เพราะโซเดียมโปแทสเซียมบอกไปแล้วว่ามัน
00:28:30 → 00:28:33 สัมพันธ์กับเส้นประสาทมันเป็นตัวที่ทำให้
00:28:33 → 00:28:35 ส่งคำสั่งคือทำให้กระแสประสาทเมันวิ่งไป
00:28:35 → 00:28:37 ที่กล้ามเนื้อแล้วจากกล้ามเนื้อเนี่ยจะ
00:28:38 → 00:28:40 ใช้แคลเซียมเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเกร่ง
00:28:40 → 00:28:41 เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเกี่ยวข้องกับ
00:28:41 → 00:28:43 โซเดียมโปแทสเซียมแล้วก็แคลเซียมแล้วก็
00:28:43 → 00:28:45 น้ำอ่าซึ่งมันลึกถูกมั้ยมันเป็น
00:28:45 → 00:28:49 วิทยาศาสตร์อันนี้แต่ถามว่าทำไมต้องพูด
00:28:49 → 00:28:53 เพราะว่าผู้หญิงประเทศเราส่วนใหญ่กินน้ำ
00:28:53 → 00:28:56 น้อยประเทศเราส่วนใหญ่นะคืออันเนี้ยไม่
00:28:56 → 00:28:59 ได้เป็นข้อมูลทางวินะเป็นข้อมูลที่ผม
00:28:59 → 00:29:01 เนี่ยประสบกับตัวเองเพอเวลาเราถามคนไข้ไป
00:29:01 → 00:29:05 อ่ะเขาก็บอกว่าเออก็กินน้ำไม่เยอะค่ะคือ
00:29:05 → 00:29:07 มันจะมีกลุ่มที่ชอบกินน้ำเยอะๆเพราะว่าจะ
00:29:08 → 00:29:11 ได้ผิวดีเปล่งัจะได้มีน้ำมีนวลอะไรเงี้ย
00:29:11 → 00:29:13 แต่ว่าเอาจริงๆผู้หญิงที่อยู่ในเมือง
00:29:13 → 00:29:15 ประเทศเราอ่ะกินน้ำน้อยเพราะอะไรกลัวฉี่
00:29:15 → 00:29:20 อ่าห้องน้ำไม่ดีเออไม่มีห้องน้ำอยู่ในรถ
00:29:20 → 00:29:23 นานๆเดี๋ยวกั้นฉี่เป็นกระเพาะภสวะอักเเสบ
00:29:23 → 00:29:25 อีกเพราะฉะนั้นวิธีการป้องกันก็คือไม่กิน
00:29:25 → 00:29:28 น้ำมันซะมันก็เลยทำให้สมดุลพวกเมัน
00:29:28 → 00:29:30 เปลี่ยน
00:29:30 → 00:29:35 ไป This Is tha PBS
00:29:35 → 00:29:38 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:38 → 00:29:40 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:40 → 00:29:55 www.thaipbs.or.th
00:29:55 → 00:29:57 [เพลง]
00:29:58 → 00:30:01 อ