00:00:00 → 00:00:04 สวัสดีครับผมก็ดูข่าวที่ประเทศไทยนะครับ
00:00:04 → 00:00:07 ที่มีแม่คนนึงนะครับที่เขาวางยาลูกตัวเอง
00:00:07 → 00:00:11 เพื่อที่จะขอเงินบริจาคนะครับซึ่งก็ได้ไป
00:00:11 → 00:00:14 เยอะแยะนะตรงนี้ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไร
00:00:14 → 00:00:16 ที่
00:00:16 → 00:00:19 ค่อนข้างที่จะทำร้ายจิตใจหลายๆคนนะครับ
00:00:19 → 00:00:22 แล้วก็ไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้นะไม่รู้ว่า
00:00:22 → 00:00:24 มันมีเรื่องพวกนี้อยู่กันได้ยังไงนะครับ
00:00:24 → 00:00:28 แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมย้อนกลับไปอ่านดู
00:00:28 → 00:00:31 เรื่องของข่าวพวกนี้แล้วผมติดใจคำๆนึงเลย
00:00:31 → 00:00:34 ในแง่ของกรณีที่แม่เขาออกมาโพสต์ Facebook
00:00:34 → 00:00:38 ต่างๆในตอนช่วงแรกนะครับก็คือโรค rainoma
00:00:39 → 00:00:42 นะครับมันคืออะไรกันแน่โรคอะไรเนี่ยนะ
00:00:42 → 00:00:45 ครับผมก็เลยอยากจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
00:00:45 → 00:00:48 เลยนะครับว่าเวลาที่เราเจออะไรโรคแปลกๆ
00:00:48 → 00:00:51 เราก็มีคนที่มาโพสต์ขอความสงสัยต่างๆทาง
00:00:51 → 00:00:55 อินเทอร์เน็ตเนี่ยเราควรที่จะให้แน่ใจซะ
00:00:55 → 00:00:57 ก่อนว่าตกลงแล้วมันคืออะไรแล้วที่สำคัญ
00:00:57 → 00:00:59 คือผมก็อยากจะ
00:00:59 → 00:01:03 แนะนำนะครับทางประเทศไทยเลยคือถ้ามีหมอคน
00:01:03 → 00:01:05 ไหนที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคแปลกๆพวกนี้ที่
00:01:06 → 00:01:09 ออกมาพูดกันนะครับควรจะออกมาพูดว่ามันคือ
00:01:09 → 00:01:11 อะไรมีอาการเช่นไรแต่ท่านไม่จำเป็นจะต้อง
00:01:11 → 00:01:14 พูดถึงเคสเคสนั้นก็ได้นะครับเพราะว่าถ้า
00:01:14 → 00:01:16 ท่านไม่ใช้แพทย์เจ้าของค่ายของเคสนั้นนะ
00:01:16 → 00:01:19 ครับมันก็การไปวิเคราะห์อะไรพวกนี้มันก็
00:01:19 → 00:01:23 อาจจะไม่สมควรนะครับไม่เหมาะสมนะครับก็
00:01:23 → 00:01:25 เดี๋ยวเราเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะครับพบกับ
00:01:25 → 00:01:27 ผมนะครับนายแพทย์ธานีทันทีวันนะครับเป็น
00:01:27 → 00:01:29 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานะ
00:01:29 → 00:01:31 ครับเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและ
00:01:31 → 00:01:34 วิกฤตบำบัดนะครับ
00:01:34 → 00:01:38 ประการแรกนะครับเรื่องของการได้รับพวกกรด
00:01:38 → 00:01:41 ต่างๆเข้าร่างกายนะครับน้ำยาล้างห้องน้ำ
00:01:41 → 00:01:43 หรืออะไรก็แล้วแต่เข้าทางปากหรือเรื่อยๆ
00:01:43 → 00:01:46 แน่ๆนะครับมันก็เป็นฤทธิ์กัดกร่อนนะครับ
00:01:46 → 00:01:49 ก็จะทำให้เลือดออกทางทางเดินอาหารได้เยอะ
00:01:49 → 00:01:52 แยะไปหมดนะครับรุ่นตรงนี้ก็พอเป็นกรดมัน
00:01:52 → 00:01:54 ก็กดเข้าไปในร่างกายร่างกายเลือดก็เป็น
00:01:54 → 00:01:57 กรดก็จะเกิดปัญหาต่างๆตามมาหรือถ้าเราใช้
00:01:57 → 00:01:59 น้ำยาล้างห้องน้ำชนิดที่มันเป็นด่างอัน
00:01:59 → 00:02:02 จริงๆแล้วใหญ่นะครับด่างเนี่ยมันอันตราย
00:02:02 → 00:02:04 กว่ากรดค่อนข้างที่จะมากนะครับทำไมจึง
00:02:04 → 00:02:07 เป็นเช่นนั้นนะครับเวลากรดเนี่ยถ้ามันไป
00:02:07 → 00:02:11 โดนกับเยื่อบุต่างๆเช่นตรงผิวหนังเราหรือ
00:02:11 → 00:02:14 ตรงตาหรือตรงเย่อหุ้มในปากในกระพุ้งแก้ม
00:02:14 → 00:02:16 นะครับหรือทางเดินอาหารหรือลิ้นเหล่านี้
00:02:16 → 00:02:19 ครับกรดมันไปโดนแล้วมันจะทำให้โปรตีน
00:02:19 → 00:02:23 บริเวณนั้นมันเปลี่ยนรูปร่างไปนะครับกลาย
00:02:23 → 00:02:26 เป็นรูปร่างที่มันแข็งแรงแล้วก็ป้องกัน
00:02:26 → 00:02:30 การกัดกร่อนเพิ่มเติมนะครับอ่านะครับตรง
00:02:30 → 00:02:34 นี้เหมือนกันการที่เราเอา
00:02:34 → 00:02:38 มะนาวบีบใส่เข้าไปในไข่นั่นแหละครับนะไข่
00:02:38 → 00:02:40 ที่มันเป็นไข่ขาวเวลาเราตอกไข่แล้วเอาบีบ
00:02:40 → 00:02:43 มะนาวเข้าไปเนี่ยไอ้ตัวไข่ขาวเราเนี่ยมัน
00:02:43 → 00:02:45 จะเป็นโปรตีนอย่างนึงนะครับเอ่อส่วนหลักๆ
00:02:45 → 00:02:47 ก็จะเรียกว่าโปรตีนชื่อว่า albumin นะฮะ
00:02:47 → 00:02:49 ถ้าเราบีบมะนาวซึ่งมันเป็นกรดลงไปบริเวณ
00:02:49 → 00:02:51 นั้นเนี่ยเราจะเห็นว่าไข่บริเวณนั้นเนี่ย
00:02:51 → 00:02:56 มันจะกลายเป็นอ่าฝอยขาวๆนะครับนั่นก็คือ
00:02:56 → 00:02:58 โปรตีนมันโดนเปลี่ยนรูปให้มันดูแข็งขึ้น
00:02:58 → 00:03:00 แล้วไอ้แข็งๆแบบนั้นนะครับมันก็จะทำให้
00:03:00 → 00:03:03 มันมีโอกาสป้องกันการโดนกัดกร่อนลงไปมาก
00:03:03 → 00:03:05 กว่านั้นอีกนะครับแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็
00:03:05 → 00:03:07 อย่างอื่นก็มีผลเหมือนกันนะครับเช่น
00:03:07 → 00:03:09 แอลกอฮอล์แรงๆใส่เข้าไปในไข่ไข่ก็เป็นแบบ
00:03:09 → 00:03:11 นั้นเหมือนกันนะครับก็แต่ว่าเราไม่พูดถึง
00:03:11 → 00:03:13 ในแอลกอฮอล์แล้วกันเราข้ามไปก่อนนะเอา
00:03:13 → 00:03:16 เฉพาะเรื่องกรดกับด่างนะครับดังนั้นกรด
00:03:16 → 00:03:18 เวลามันโดนเยื่อบุพวกนี้มันก็จะเปลี่ยน
00:03:18 → 00:03:20 รูปโปรตีนกันไปเป็นส่วนที่มันไม่สามารถทำ
00:03:20 → 00:03:23 ให้กรดมันกัดเซาะซึมลงไปได้นะครับการบาด
00:03:23 → 00:03:26 เจ็บก็จะอยู่แค่ตรงนั้นตรงผิวๆนะครับแต่
00:03:26 → 00:03:29 ปัญหาคือถ้ามันเป็นด่างแล้วเราก็นะครับ
00:03:29 → 00:03:32 ดันจะไม่เกิดปฏิกิริยาพวกนี้นะครับคือมัน
00:03:32 → 00:03:34 จะไม่เกิดกลายเป็นก้อนแข็งๆหรืออะไรก็
00:03:34 → 00:03:36 แล้วแต่ด่างมันก็จะเซาะไปเรื่อยๆเซาะไป
00:03:36 → 00:03:38 เรื่อยๆนะครับก็จะยิ่งอันตรายกว่าเดิมนะ
00:03:38 → 00:03:41 ครับคือการอักเสบการบาดเจ็บมันจะไม่ได้
00:03:41 → 00:03:43 อยู่แค่ตรงผิวแล้วมันจะลึกลงไปเรื่อยๆ
00:03:43 → 00:03:46 ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนน้อง 2 คนนั้นน่ะโดน
00:03:46 → 00:03:49 อะไรไปนะฮะถ้าเป็นด่างแล้วเราก็มันทำให้
00:03:49 → 00:03:52 เลือดเป็นด่างด้วยแล้วก็มันก็กัดนะฮะมี
00:03:52 → 00:03:56 เลือดออกมีบวมมีที่ต่างๆเศษได้นะครับต่อม
00:03:56 → 00:03:59 น้ำลายพวกเนี้ยที่มันอยู่ในป่าในช่องตรง
00:03:59 → 00:04:59 นี้ทั้ง
00:04:59 → 00:05:01 สูงนั่นแหละครับ
00:05:01 → 00:05:04 มันก็ไปเกี่ยวโยงกับเรื่องพวกนั้นได้นะ
00:05:04 → 00:05:08 ครับทีนี้ renin อย่างที่ผมเคยเล่าในคลิป
00:05:08 → 00:05:10 นั้นนะครับว่ามันทำงานโดยที่ฮอร์โมนตัว
00:05:10 → 00:05:13 นี้มันก็จะไปยุ่งเกี่ยวกับมันจะเป็นระบบ
00:05:13 → 00:05:16 เลยนะครับชื่อว่า rainin angiottensin
00:05:16 → 00:05:19 ardose System ทั้งหมดเนี่ยมันจะมีความ
00:05:19 → 00:05:22 เกี่ยวข้องกันหมดเลยนะครับถ้าเรามี rainin
00:05:22 → 00:05:25 มันจะไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนตัวหนึ่ง
00:05:25 → 00:05:26 ชื่อว่า altisterone นะครับฮอร์โมนตัวนี้
00:05:26 → 00:05:29 มันก็จะเป็นฮอร์โมนซึ่งมาจากต่อมหมวกไตนะ
00:05:29 → 00:05:31 ครับคือไตมันอยู่ตรงนี้ต่อหมวกไตก็อยู่
00:05:31 → 00:05:34 ข้างบนนะครับฮอร์โมนมันมาจากไตขึ้นไปที่
00:05:34 → 00:05:36 ต่อหมวกไตนะครับต่อมหมวกไตก็มีเป็นชั้น
00:05:36 → 00:05:39 ต่างๆนะครับด้านในก็จะเป็นเมตรด้านล่าง
00:05:39 → 00:05:41 แล้วก็มี cortex ออกมาเป็น 3 ชั้นนั่นเอง
00:05:41 → 00:05:44 นะครับคือแต่ละชั้นก็จะมีฮอร์โมนที่หลั่ง
00:05:44 → 00:05:46 แตกต่างกันออกไปนะครับอ่าเอาเป็นว่าตัว
00:05:46 → 00:05:49 เนี้ยมันออกมานะครับฮอร์โมนตัว autos ออก
00:05:49 → 00:05:52 มาเอา DOS slow เนี่ยมันจะทำให้เกิดการ
00:05:52 → 00:05:55 ดูดโซเดียมเอ่อดูดพวกอ่าปล่อยพวกกรดออกไป
00:05:55 → 00:05:58 กับปัสสาวะนะครับเราก็ปล่อยพวกโพแทสเซียม
00:05:58 → 00:06:00 ออกไปกับปัสสาวะนะครับพรปล่อยออกไปในนอก
00:06:00 → 00:06:03 ร่างกายนะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
00:06:03 → 00:06:05 โพแทสเซียมในร่างกายก็จะต่ำนะครับเพราะ
00:06:05 → 00:06:07 ถ้าเทียบในร่างกายต่ำมีอาการยังไงนะครับ
00:06:07 → 00:06:10 ก็จะอ่อนเพลียนะครับอ่อนเพลียเป็นหลักเลย
00:06:10 → 00:06:13 ครับอ่อนเพลียไม่มีแรงหัวใจก็อาจจะมีการ
00:06:13 → 00:06:15 เต้นผิดปกติได้นะครับนี่คืออาการของ
00:06:15 → 00:06:18 โพแทสเซียมต่ำนะครับบางคนก็อาจจะไม่อยาก
00:06:18 → 00:06:20 อาหารรู้สึกคลื่นไส้อะไรก็เป็นไปได้นะ
00:06:20 → 00:06:24 ครับแล้วประการที่ 2 คือถ้าเกิดว่า
00:06:24 → 00:06:27 ปัสสาวะเราปล่อยกรดออกไปเยอะๆเนี่ยร่าง
00:06:27 → 00:06:31 กายเราก็จะเป็นด่างนะครับเป็นด่างเป็น
00:06:31 → 00:06:33 ด่างเนี่ยก็เป็นปัญหานะครับเพราะเราไม่
00:06:33 → 00:06:34 ต้องการให้ร่างกายเราเป็นด่างถูกไหมครับ
00:06:34 → 00:06:38 ร่างกายเราจะต้องมีกลไกในการที่จะเก็บเอา
00:06:38 → 00:06:41 กรดเข้ามาในร่างกายเพื่อที่จะไปทำให้ด่าง
00:06:41 → 00:06:44 ที่มันเป็นปัญหาเนี่ยกลายเป็นกลางไม่งั้น
00:06:44 → 00:06:47 เนี่ยร่างกายเราฮอร์โมนต่างๆเอนไซม์ต่างๆ
00:06:47 → 00:06:49 ก็จะทำงานผิดปกติไปเราไม่ต้องการแบบนั้น
00:06:49 → 00:06:53 นะครับพอเราปล่อยเอาตัวพวกนี้ออกไปนะครับ
00:06:53 → 00:06:58 เอาพวกด่างเอ่อเอาพวกกรดออกไปจากปัสสาวะ
00:06:58 → 00:07:00 เราเยอะๆร่างกายเราก็จะขาดก็กลายเป็นด่าน
00:07:00 → 00:07:03 แล้วเราจะเอากรดไปทดแทนได้จากไหนนะครับก็
00:07:03 → 00:07:07 จากการหายใจครับถ้าเราหายใจน้อยลงนะครับ
00:07:07 → 00:07:10 มันก็จะมีการคลั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ใน
00:07:10 → 00:07:12 ร่างกายเราเพิ่มขึ้นแล้วพวกนี้มันเป็นกรด
00:07:12 → 00:07:14 นะครับมันก็จะไปเสริมนะครับเด็กพวกนี้ก็
00:07:14 → 00:07:17 จะการหายใจก็อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จะ
00:07:17 → 00:07:21 ช้าลงนะครับนั่นคือปัญหานะครับแล้ว Stone
00:07:21 → 00:07:24 ตัวนี้มันยังมีการเก็บเอาโซเดียมไว้ใน
00:07:24 → 00:07:26 ร่างกายเยอะๆก็จะเป็นการเพิ่มของน้ำนะ
00:07:27 → 00:07:28 ครับแล้วก็จะมีความเกี่ยวข้องกับระบบ
00:07:29 → 00:07:31 angioten ด้วยนะครับซึ่งระบบนี้มันจะทำ
00:07:31 → 00:07:33 ให้มีความดันโลหิตสูงขึ้นมาแล้วก็ร่วมกับ
00:07:33 → 00:07:37 ตัวการที่มีน้ำมีเกลืออยู่ในร่างกายเยอะๆ
00:07:37 → 00:07:38 จากตัว autos
00:07:38 → 00:07:42 สูงนะครับดังนั้นคนที่เป็น renoma เนี่ย
00:07:42 → 00:07:45 อาการที่เขาจะมาเลยนะครับคืออาการของความ
00:07:45 → 00:07:47 ดันโลหิตสูงนะครับแล้วก็มักจะเป็นตั้งแต่
00:07:47 → 00:07:50 เด็กๆหรือวัยรุ่นนะครับพอความเร็วสูงมากๆ
00:07:50 → 00:07:53 เราเจอเลยนะครับว่าคนที่เป็นเมนูมาเนี่ย
00:07:53 → 00:07:56 ส่วนใหญ่เราปวดหัวนะครับกดหัวเด็กบ่นปวด
00:07:56 → 00:07:58 หัวบ่อยๆควรจะต้องไปตรวจนะครับปวดหัวใน
00:07:58 → 00:08:01 เด็กถ้าเป็นบ่อยๆเนี่ยไม่ปกตินะมันก็ต้อง
00:08:01 → 00:08:02 มีโรคอะไรสักอย่างนะครับแต่ไม่ใช่โรค
00:08:02 → 00:08:04 เรณูโนมาโรคเดียวที่ทำให้เด็กปวดหัวนะ
00:08:04 → 00:08:06 ครับก็มีโรคอย่างอื่นที่ทำให้เด็กปวดหัว
00:08:06 → 00:08:08 เหมือนกันนะครับดังนั้นไม่ต้องฟันธงแล้ว
00:08:08 → 00:08:11 ก็ไม่ต้องบอกว่าโอ้ผมบอกว่าเนี่ยเด็กปวด
00:08:11 → 00:08:13 หัวเป็นเรนโนม่าต้องไปตรวจหาเรณูมากไม่
00:08:13 → 00:08:14 ต้องนะครับไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนะครับต้อง
00:08:15 → 00:08:17 ไปวัดความดันก่อนถ้าความดันโลหิตสูงเนี่ย
00:08:17 → 00:08:20 ความเร็วสูงในเด็กเนี่ยเราถึงไปสงสัยโรค
00:08:20 → 00:08:23 แปลกๆพวกนี้มันก็มีโรคอื่นอีกนะครับใน
00:08:23 → 00:08:25 เด็กที่ทำให้ความเราเห็นของเด็กมันสูงนะ
00:08:25 → 00:08:28 ครับดังนั้นไม่ใช่โรคเรณูมากอย่างเดียวนะ
00:08:28 → 00:08:30 ครับแต่ว่าเรณูมากนี่เป็นโรคที่ทำให้ความ
00:08:30 → 00:08:33 เราเห็นมันสูงได้นะครับแต่ก็จะมีอาการปวด
00:08:33 → 00:08:36 หัวได้นะครับมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้นะ
00:08:36 → 00:08:39 ครับอ่าหรือว่าเบื่ออาหารนะครับแล้วก็ถ้า
00:08:39 → 00:08:43 ตรวจเลือดก็จะเจอว่าเออมีโพแทสเซียมต่ำใน
00:08:43 → 00:08:45 ร่างกายนะครับแล้วก็มีภาวะเลือดมันเป็น
00:08:45 → 00:08:48 ด่างนะครับน่ะพวกเนี้ยนะครับเราก็จะเจอ
00:08:48 → 00:08:51 ถ้าเราเจอเสร็จปุ๊บเนี่ยสิ่งที่เราต้อง
00:08:51 → 00:08:53 สงสัยเลยก็คือเราก็อาจจะวัดระดับฮอร์โมน
00:08:53 → 00:08:56 ดู raining ดูเอา dose Alone ดูซิว่ามัน
00:08:56 → 00:08:59 มีความสัมพันธ์ไหมถ้าระดับ renin มันสูง
00:08:59 → 00:09:02 ขึ้นนะครับเราก็ต้องไปหาเหตุว่าทำไมอยู่ๆ
00:09:02 → 00:09:05 มันสูงขึ้นนะครับแต่มันสูงขึ้นเนี่ยไม่
00:09:05 → 00:09:08 ได้แปลว่าเป็น renoma เสมอไปนะครับ
00:09:08 → 00:09:12 เวลาที่เราเจอภาวะนี้เราจะต้องไปสงสัยสอง
00:09:12 → 00:09:14 สามอย่างนะครับคือปกติ renin มันก็หลั่ง
00:09:14 → 00:09:16 ของมันเองอยู่แล้วเมื่อร่างกายของเรา
00:09:16 → 00:09:19 เนี่ยมีความดันโลหิตที่ไม่เพียงพอหรือว่า
00:09:19 → 00:09:21 มีปริมาณน้ำในร่างกายที่มันลดลงทำให้ความ
00:09:21 → 00:09:24 ดันลดลงนะครับคือมันทำงานยังไงไอ้ตัว
00:09:24 → 00:09:27 เซลล์ตัวนี้นะครับเซลล์ที่อยู่ที่ไตตรง
00:09:27 → 00:09:28 เนี้ยนะครับ justa corollar sale ตัว
00:09:28 → 00:09:32 นี้นะครับมันก็จะดูแรงดันเลือดที่มาหามัน
00:09:32 → 00:09:35 นะครับอ่ะเลือดก็ต้องวิ่งเข้าไปถูกไหม
00:09:35 → 00:09:37 ครับเราก็ต้องมาเจอเซลล์ตัวเนี้ยถ้าเกิด
00:09:37 → 00:09:39 เลือดที่มันมาเลี้ยงเนี่ยมันลดลงนะครับ
00:09:39 → 00:09:41 ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็แล้วแต่มันลดลงนะครับ
00:09:41 → 00:09:43 เอเลนตัวเนี้ยมันจะต้องหลั่งออกมาเพิ่ม
00:09:43 → 00:09:47 ขึ้นเพื่อที่จะรักษาสมดุลให้ความดันโลหิต
00:09:47 → 00:09:49 มันดีขึ้นมันก็จะได้เอาเลือดมาเลี้ยงตัว
00:09:49 → 00:09:51 มันเองได้มากขึ้นนะครับนี่คือการทำงานของ
00:09:51 → 00:09:54 เลนินทีนี้ปัญหาคือถ้าเกิดไอ้เลือดที่มัน
00:09:54 → 00:09:58 มาเลี้ยงมันหายไปเช่นมีการติดตันของหลอด
00:09:58 → 00:10:00 เลือดตรงเนี้ยนะครับติดตามของหลอดเลือด
00:10:00 → 00:10:03 อ้าวทีนี้ไอ้ตัวเซลล์ตัวนี้มันก็ไม่ได้
00:10:03 → 00:10:06 เลือดสิมันได้มันน้อยๆอ่ะมันก็ปล่อยเลย
00:10:06 → 00:10:08 ดินออกมาเต็มไปหมดนะครับพวกนี้ไม่ใช่
00:10:08 → 00:10:11 เรณูม่านะครับมันเป็นปัญหาที่หลอดเลือด
00:10:11 → 00:10:12 เราต้องไปแก้ที่หลอดเลือดไม่งั้นมันก็ไม่
00:10:12 → 00:10:16 หายนะครับอ่าพวกนี้เราจะเรียกว่า reno
00:10:16 → 00:10:18 bad Cover hypertension นะครับรีโนก็
00:10:18 → 00:10:20 คือมาจากคำว่า renal แปลว่าไตนะครับ
00:10:20 → 00:10:23 wasler ก็คือเป็นพวกเส้นเลือดเส้นเลือด
00:10:23 → 00:10:26 ให้เป็นความเร็วสูงนะครับพวกนี้ก็ต้องไป
00:10:26 → 00:10:29 แก้ที่เส้นเลือดพวกนี้นะฮะถ้าเราดูแล้ว
00:10:29 → 00:10:32 เส้นเลือดมันปกติดีอันเนี้ยเราถึงไปดูว่า
00:10:32 → 00:10:34 มันมีเลนในโนม่าอะไรอยู่หรือเปล่านะครับ
00:10:34 → 00:10:37 วิธีวินิจฉัยเนี่ยก็อาจจะมีได้ตั้งแต่การ
00:10:37 → 00:10:39 ทำ Ultra Sound จะเจอตัวเนื้อตัวก้อน
00:10:39 → 00:10:42 อยู่ที่ที่ไตนะครับที่ผิวของไตหรือว่าบาง
00:10:42 → 00:10:44 ครั้งต้องไปทำ CT Scan ช่องท้องเพื่อจะ
00:10:44 → 00:10:47 ดูว่ามันมีก้อนอยู่ตรงไตไหมนะครับไอ้ก้อน
00:10:47 → 00:10:50 พวกเนี้ยไม่ใช่มะเร็งนะครับส่วนมากเลย
00:10:50 → 00:10:52 เกือบทั้งหมดเลยไม่ใช่มะเร็งอ่าแล้วตัด
00:10:52 → 00:10:54 ออกแล้วมันมักจะหายนะครับตัดเอาเฉยๆเลย
00:10:54 → 00:10:58 หายเลยนะครับอ่าดังนั้นพวกเลนส์มากโอเค
00:10:58 → 00:11:00 มันเจอน้อยมากนะครับแต่ในทางการแพทย์เวลา
00:11:00 → 00:11:03 ที่เราวิเคราะห์เคสพวกความดันสูงในเด็ก
00:11:03 → 00:11:05 เนี่ยมันไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรมากนะครับ
00:11:05 → 00:11:09 มันก็สามารถที่จะหาไปถึงต้นตอพวกนี้ได้
00:11:09 → 00:11:12 โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าเราไม่แน่ใจนะพวกนี้ก็
00:11:12 → 00:11:14 ไปหาหมอแล้วถ้าเกิดว่าในโรงพยาบาลเล็กๆ
00:11:14 → 00:11:16 เขาตรวจของพวกนี้ไม่ได้เราก็ส่งไปโรง
00:11:16 → 00:11:18 พยาบาลใหญ่ๆเท่านั้นเองนะครับดังนั้นเวลา
00:11:18 → 00:11:21 ที่มีโรคแปลกประหลาดอย่างเช่น radioma
00:11:21 → 00:11:23 เนี่ยผมย้อนกลับไปดูเลยว่าเขาพูดอะไรใน
00:11:23 → 00:11:27 ข่าวไว้บ้างว่าเด็กมีความดันสูงหรือเปล่า
00:11:27 → 00:11:31 เด็กปวดหัวไหมไอ้หน้าบวมหน้าบวมนี่มันไม่
00:11:31 → 00:11:33 ใช่อาการของไดโนมาแล้วครับนะฮะมันไม่
00:11:33 → 00:11:36 เกี่ยวอะไรกันเลยนะครับดังนั้นเนี่ยไม่
00:11:36 → 00:11:39 ใช่แน่ๆนะครับก็พอผมเจอหน้าบวมแล้วพูดถึง
00:11:39 → 00:11:42 เรณูมากผมดูรู้ในหัวเลยว่าอ่าอันนี้โกหก
00:11:42 → 00:11:45 ตั้งแต่แรกแล้วนะครับว่าเป็นของปลอมนะฮะ
00:11:45 → 00:11:49 ฉะนั้นเราต้องไปเราต้องแนะนำว่าถ้ามีโรค
00:11:49 → 00:11:51 แปลกประหลาดหรือว่าใครออกมาพูดอะไรแล้ว
00:11:51 → 00:11:52 มันกลายเป็นกระแสสังคมเนี่ยก่อนที่ท่านจะ
00:11:52 → 00:11:55 บริจาคหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับถ้าเกี่ยว
00:11:55 → 00:11:58 ข้องกับการแพทย์ผมอยากจะให้อ่าทางด้าน
00:11:58 → 00:12:01 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคโรคนั้นออกมาเล่าให้
00:12:01 → 00:12:03 ฟังเลยนะครับว่าโรคโรคนั้นจริงๆแล้วอาการ
00:12:03 → 00:12:05 มันเป็นยังไงกันแน่มีวิธีในการวินิจฉัย
00:12:05 → 00:12:08 รักษาอย่างไรเพื่อที่จะดูว่าตกลงแล้วไอ้
00:12:08 → 00:12:10 ข่าวนั้นเนี่ยมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ
00:12:10 → 00:12:12 เปล่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆดีนะครับ
00:12:12 → 00:12:15 เพราะว่าเรารู้ไงครับว่าคนไหนเป็นหมอ
00:12:15 → 00:12:17 เชี่ยวชาญมาออกข่าวให้เห็นเลยนะครับเช่น
00:12:17 → 00:12:19 นั้นก็คืออย่างนั้นเราก็ส่งไปรักษากับหมอ
00:12:19 → 00:12:22 คนนั้นเองครับดีซะด้วยซ้ำไปถ้าเป็นโรค
00:12:22 → 00:12:24 นั้นจริงๆเนี่ยการรักษาก็จะเร็วขึ้นทันที
00:12:24 → 00:12:26 เลยนะครับแต่ถ้ามันไม่ใช่เป็นโรคโรคนั้น
00:12:26 → 00:12:29 ขึ้นมาแล้วก็แล้วเรารู้ว่าอันนี้มันไม่
00:12:29 → 00:12:32 ตรงไปตรงมาแล้วนะครับแบบนี้เราจะได้เป็น
00:12:32 → 00:12:34 กรณีศึกษาที่เราจะวิเคราะห์ลงไปให้เห็น
00:12:34 → 00:12:37 ถึงว่าตกลงแล้วมันเป็นอะไรกันแน่มันใช่
00:12:37 → 00:12:38 โรคนั้นจริงหรือเปล่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้อาจ
00:12:38 → 00:12:41 จะเป็นโรคอื่นอ่าวินิจฉัยอาจจะไม่ตรงทาง
00:12:41 → 00:12:43 แล้วนะครับหรือว่าจริงๆไม่ได้เป็นอะไรเลย
00:12:43 → 00:12:47 นะครับอย่างเช่นในกรณีของที่เป็นข่าวใน
00:12:47 → 00:12:50 ตอนนี้ด้วยนะครับอ่า
00:12:50 → 00:12:53 นอกเหนือจากนั้นอาการของเรนโนมาก็คือถ้า
00:12:53 → 00:12:55 เราความเร็วสูงมากๆเป็นนานๆน่ะมีอะไรบ้าง
00:12:55 → 00:12:59 จอตาเสื่อมได้มีโปรตีนรั่วทางไตได้นะมี
00:12:59 → 00:13:04 หัวใจโตได้มีหลอดเลือดหัวใจที่มันมีเป็น
00:13:04 → 00:13:08 ปัญหาได้นะครับเป็นเป็นความดันโลหิตสูง
00:13:08 → 00:13:10 มากๆแล้วก็มีปัญหาเส้นเลือดแตกในสมองนะ
00:13:10 → 00:13:13 ครับก็พวกนี้เป็นไปได้หมดเลยนะครับก็ขึ้น
00:13:13 → 00:13:16 อยู่กับมีอะไรนะครับโอเควันนี้ก็มาเล่า
00:13:16 → 00:13:18 ให้ฟังเท่านี้นะครับใครสงสัยอะไรก็สอบถาม
00:13:18 → 00:13:22 มาได้นะครับแล้วผมก็ต้องจริงๆผมก็ไม่ค่อย
00:13:22 → 00:13:26 ชอบข่าวอะไรพวกนี้นะฮะคือรู้สึกว่ามันมัน
00:13:26 → 00:13:28 บั่นทอนกำลังใจของหลายๆคนที่เป็นแม่เด็ก
00:13:28 → 00:13:31 นะครับแล้วก็ผมเชื่อว่าทุกคนนะครับคงจะมี
00:13:31 → 00:13:33 ความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันไปในกรณีแบบ
00:13:33 → 00:13:34 นี้นะครับแล้วผมก็ไม่อยากจะให้มันเกิด
00:13:34 → 00:13:38 ขึ้นนะดังนั้นเวลาที่เรามีข่าวอะไรทำนอง
00:13:38 → 00:13:41 เนี้ยนะครับเอ่อวิเคราะห์ก่อนนะครับถ้า
00:13:41 → 00:13:43 ไม่แน่ใจเจอชื่อโรคประหลาดอะไรจริงๆแล้ว
00:13:43 → 00:13:47 เนี่ยส่งมาถามผมก็ได้นะครับโรคบางโรคผม
00:13:47 → 00:13:49 อาจจะไม่รู้จักจริงๆแต่ผมสามารถไปค้นมา
00:13:49 → 00:13:52 ให้ท่านดูได้นะครับแล้วยังๆน้อยๆผมมั่นใจ
00:13:52 → 00:13:54 ในวิธีในการหาข้อมูลทางด้านการแพทย์มากๆ
00:13:54 → 00:13:56 นะครับผมสามารถหาข้อมูลพวกนั้นให้ท่านได้
00:13:56 → 00:13:59 ถ้าท่านสงสัยก็ส่งมาถามเลยนะครับผมก็อยาก
00:13:59 → 00:14:02 จะให้มีกรณีอะไรพวกนี้โอเควันนี้ก็เท่า
00:14:02 → 00:14:06 นี้นะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ