00:00:00 → 00:00:02 เรื่องลำไส้เนี่ยถือว่าเป็นเรื่องที่หลาย
00:00:02 → 00:00:05 ๆคนพบประสบปัญหาอยู่เพราะว่าจริงๆแล้วผู้
00:00:05 → 00:00:09 หญิงหลายๆคนเคยได้ยินคำนี้ค่ะคุณหมอคนจะ
00:00:09 → 00:00:12 สวยเริ่มต้นที่ลำไส้อันเนี้ยใช่มั้ยคะคุณ
00:00:12 → 00:00:17 หมอคะก็ผมว่ามันก็มันก็มีส่วนถูกต้องพอสม
00:00:17 → 00:00:19 ควรเลยฮะเพราะว่า you are what you
00:00:19 → 00:00:21 eat รับประทานอะไรเข้าไปก็ออกมาตามนั้น
00:00:21 → 00:00:25 เช่นเดียวกันมันก็มันก็น่าจะเกี่ยวครับ
00:00:25 → 00:00:28 ค่ะอืมครับแล้ววันนี้ที่เราได้มีมีโอกาส
00:00:28 → 00:00:33 ขอเอ่อคุณหมอมาช่วยให้ความรู้กับทั้งเรา 2
00:00:33 → 00:00:36 คนแล้วก็คุณผู้ฟังสักหน่อยฮะสัปดาห์ก่อน
00:00:36 → 00:00:40 ibs คราวนี้มาไอเหมือนกันนะฮะแต่เป็น ibd
00:00:40 → 00:00:43 แล้วก็เป็นโรคที่ชื่อว่าลำไส้อักเสบเรือ
00:00:43 → 00:00:46 รังตรงเนี้ยครับอืมช่วยบอกบอกคุณสมบัติ
00:00:46 → 00:00:49 ไม่ใช่คุณสมบัติจะเรียกว่าดีะอาการของโรค
00:00:50 → 00:00:52 นี้เออเออลักษณะพิเศษของโรคนี้ครับมันคือ
00:00:52 → 00:00:56 อะไรแล้วมันจะเกิดอาการยังไงกันบ้างครับ
00:00:56 → 00:00:59 ครับก็ก็จริงๆ 2 2 อันนี้จะต่างกันอย่าง
00:00:59 → 00:01:01 สิ้นเชิงนะครับครับค่ะตัว ibs อย่างที่
00:01:01 → 00:01:03 บอกในคราวก่อนเนี่ย ibs มันเป็นเรื่องของ
00:01:03 → 00:01:05 Reaction หรือว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
00:01:05 → 00:01:10 ตอบสนองเกิดขึ้นในในมุมของสัญญาหรือว่าใน
00:01:10 → 00:01:13 มุมของอ่าการตอบสนองที่ไม่ได้เกิดการ
00:01:13 → 00:01:16 อักเสบใดๆค่ะอ่าทำให้ทำให้มีฟังก์ชันที่
00:01:16 → 00:01:18 เปลี่ยนไปหรือการทำงานที่เปลี่ยนไปอัน
00:01:18 → 00:01:21 นั้นจะเป็น ibs ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของ
00:01:21 → 00:01:24 ปวดในรูปของข่ายยากในรูปของข่ายเหลวในรูป
00:01:24 → 00:01:27 ของคลื่นไส้อาเชียนมวลท้องได้หมดนะครับ
00:01:27 → 00:01:30 ค่ะแต่ว่าตัว ibd เนี่ยมันจะไม่ไม่ใช่การ
00:01:30 → 00:01:32 ตอบสนองในรูปของสัญญาณละเพราะว่ามันเป็น
00:01:32 → 00:01:36 เรื่องของการอเดเลยอืไอไอตัวแรกไอเหมือน
00:01:36 → 00:01:39 กันจริงแต่ว่ามันคนละไอฮะไอตัวแรกของ ibs
00:01:39 → 00:01:41 มันเป็น irritable ก็คือลำไส้ตาตัวนั่น
00:01:41 → 00:01:44 แหละค่ะแต่ว่าไอตัวแรกของ ibd เนี่ยมัน
00:01:44 → 00:01:48 เป็น inflammatory ก็คือการอักเสบเลยอื
00:01:48 → 00:01:51 ครับเพราะฉะนั้นจุดต่างจะเป็นจะเป็นอ่าใน
00:01:51 → 00:01:53 เบื้องต้นจากชื่อคำอธิบายจากชื่อก็ต่าง
00:01:54 → 00:01:56 กันละอันที่ 2 ก็คือสาเหตุการเกิดต่างกัน
00:01:56 → 00:01:59 โดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกันค่ะมันเกิดขึ้น
00:01:59 → 00:02:02 จากการเกิดของ ibd อ่ะครับมันเกิดจากภูมิ
00:02:02 → 00:02:04 คุ้มกันของเราเองหรือว่าเป็นโรคกลุ่มที่
00:02:04 → 00:02:07 เรียกว่าออโตอิมมูนออโตอิมมูนถ้าพูดเป็น
00:02:07 → 00:02:09 ภาษาบ้าเราก็คือภูมิแพ้ตัวเองนี่แหละค่ะ
00:02:09 → 00:02:12 อ้าเหรอฮะครับฮะก็คือภูมิคุ้มกันของเรา
00:02:12 → 00:02:17 เองไปทำอันตรายลำไส้ของเราเองค่ะอืครับๆ
00:02:17 → 00:02:20 อ่าเพราะฉะนั้นมันจะเกิดแผลเกิดการอักเสบ
00:02:20 → 00:02:23 เกิดการบวมเมื่อเกิดแผลอย่างเรื้อลังมัน
00:02:23 → 00:02:27 สามารถเกิดการตีบเกิดขึ้นได้มีพังผืดมีมี
00:02:27 → 00:02:31 เ่อคล้ายๆเยื่อไฟบัสมาทำให้ลำไส้มันตีบ
00:02:31 → 00:02:33 แคบลงได้หรือการอักเสบเรื้อรังที่เกิด
00:02:33 → 00:02:36 ขึ้นบ่อยๆสามารถไปกระตุ้นมะเร็งได้ซึ่ง
00:02:36 → 00:02:38 ตรงนี้จะต่างกับ ibs อย่างสิ้นเชอ ibs
00:02:38 → 00:02:41 ไม่ไปถึงตรงนั้นอยู่แล้วในขณะที่ ibd ถึง
00:02:41 → 00:02:44 อืเพราะว่ามีการอักเสบมีการทำลายจริงและ
00:02:44 → 00:02:49 มีการซ่อมแซมจริงค่ะอืครับผมแสดงว่าตัว
00:02:49 → 00:02:53 ของ ibd เองเนี่ยมันมีความเฉพาะเฉพาะเจาะ
00:02:53 → 00:02:56 จงในการที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ได้
00:02:56 → 00:02:59 มากกว่ามยครับใช่ครับก็ด้วยความที่มัน
00:02:59 → 00:03:01 เป็นภูมิภูมิคุ้มกันของเราเองด้วยแล้ว
00:03:01 → 00:03:03 กระบวนการอักเสบจริงๆด้วยเพราะฉะนั้นมัน
00:03:03 → 00:03:06 จะมีอ่าเขาเรียกว่าความกว้างของโลกที่มาก
00:03:06 → 00:03:08 กว่าหรือสเปกตรัมที่มากกว่าด้วย้ำมันอาจ
00:03:08 → 00:03:11 จะมาด้วยอาการอื่นๆด้วยก็ได้เช่นปวดตาง
00:03:11 → 00:03:15 ท่อมีแผลในปากมีื่นผิวหนังมีตุ่มนูนขึ้น
00:03:15 → 00:03:17 ในผิวหนังเงครับซึ่งเป็นโรคของภูมิคุ้ม
00:03:17 → 00:03:20 กันทั้งหมดอือันนั้นนะครับอาจจะมาด้วยกัน
00:03:20 → 00:03:22 ได้เลยอ่าหรือมีโรคร่วมในแง่ของโรคท่อทาง
00:03:22 → 00:03:25 เดือนนั้นมีในตัผิดปกติอะไรแบบเยครับมามา
00:03:25 → 00:03:28 ได้หมดเลยในสเปกตรัมที่กว้างๆเลยในขณะที่
00:03:28 → 00:03:31 ibs จะโฟกัสกับทางเดินอาหารกับเรื่องของ
00:03:31 → 00:03:34 อ่า signal ระหว่างสมองกับทางเดินอาหาร
00:03:34 → 00:03:37 ซึ่งโรคร่วมจะเป็นเบาๆเช่นอาจจะมีกรดย้อน
00:03:37 → 00:03:38 ที่เป็นเรื่องของฟังก์ชันทางเดินอาหาร
00:03:39 → 00:03:42 เหมือนกันมีท้องูมีภาวะทางเครียดทางกังวล
00:03:42 → 00:03:44 อะไรอย่างเงี้ยครับจะออกมาเหมือนคนละคนละ
00:03:44 → 00:03:47 ข้างของของเส้นทางเลยครับค่ะก็ค่อนข้าง
00:03:47 → 00:03:51 ฟังแล้วดูน่ากังวลมากกว่าลำไส้แปรปรวนนะ
00:03:51 → 00:03:53 คะคุณหมอแต่ว่าสาเหตุที่เกิดบอกว่าเป็น
00:03:53 → 00:03:56 ระบบของภูมิภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ
00:03:56 → 00:03:59 หรือภูมิคุ้มกันร่างกายปกพร่องเนี่ยมัน
00:03:59 → 00:04:02 เกิดขึ้นให้กับทุกคนมยหรือว่าเป็นลักษณะ
00:04:02 → 00:04:04 ของพันธุกรรมมีความเกี่ยวโยงกับตรงนี้
00:04:04 → 00:04:06 มั้ยคะครับอ่าตรงนี้จะบอกว่ามันเป็น
00:04:07 → 00:04:10 บาร์โคดก็ได้ครับคือ Factor ส่วนใหญ่เลย
00:04:10 → 00:04:11 จะมาจากเรื่องของเติกหรือในเรื่องของ
00:04:12 → 00:04:14 พันธุกรรมเลยค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยไอตรรง
00:04:14 → 00:04:16 เนี้ยมันขึ้นอยู่กับว่าเราถูกโค้ดมาหรือ
00:04:16 → 00:04:18 เปล่าอปัจจัยแรกไม่ได้หมายความว่าเอ้ย
00:04:18 → 00:04:21 ต้องถูกโค้ดมาเท่านั้นนะคือปัจจัยอื่นๆก็
00:04:21 → 00:04:23 มีส่วนได้บ้างแต่ว่าปัจจัยเมนสำคัญที่สุด
00:04:23 → 00:04:26 คือเราได้ถูกโค้ดตัวนั้นมามั้ยว่าว่าเรา
00:04:26 → 00:04:29 มีเรื่องของ ibd อยู่ค่ะซึ่ง ibd ก็จะ
00:04:29 → 00:04:32 แบ่งออกเป็น 2 พวกอีกมี 2 โรคใน ibd นะ
00:04:32 → 00:04:35 ครับ ibd เป็นคำกลุ่มรวมค่ะแต่จะมีโรค
00:04:35 → 00:04:38 อยู่ 2 โรคด้วยกันโรคนึงเราเรียกว่า alic
00:04:38 → 00:04:42 colitis หรือว่าภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง
00:04:42 → 00:04:45 ที่เกิดเป็นที่ลำไส้ใหญ่เป็นหลักค่ะในขณะ
00:04:45 → 00:04:48 ที่อันที่ 2 เราเรียกว่าโน disease 2
00:04:48 → 00:04:50 โรคนี้จะต่างกันนิดหน่อยโน disease เนี่ย
00:04:50 → 00:04:53 เกิดได้ตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนักเลยโอ้ตรง
00:04:53 → 00:04:55 ไหนก็ได้แล้วมักจะไม่ได้เกิดต่อเนื่องกัน
00:04:56 → 00:04:58 อันแรกมักจะเกิดต่อเนื่องกันถ้าเป็นลำไส้
00:04:58 → 00:05:00 ก็จะละจะไล่จากล่างขึ้นบนไปเรื่อยๆไล่
00:05:00 → 00:05:03 ตั้งแต่ลำไส้ตรรงส่วนล่างลำไส้ด้านซ้ายลำ
00:05:03 → 00:05:06 ไส้ขวางลำไส้ด้านขวาจะค่อยๆไล่ขึ้นไปครับ
00:05:06 → 00:05:09 แต่ว่าถ้าโครสเนี่ยมันเป็นเป็นเป็นท่อนๆ
00:05:09 → 00:05:11 คือเป็นตรงไหนก็ได้จะเป็นแค่ถีกระเพาะจะ
00:05:11 → 00:05:13 เป็นแค่ถีลำไส้เล็กจะเป็นลำไส้เล็กเป็น
00:05:13 → 00:05:16 ส่วนๆจะเป็นแค่ลำไส้ใหญ่เป็นที่ปากเป็น
00:05:16 → 00:05:19 ที่ทวาหนักเป็นส่วนๆได้หมดเลยแต่เป็นได้
00:05:19 → 00:05:23 ทุกตำแหน่งอค่ะครับแล้วมันมีทุกช่วงวัยมี
00:05:23 → 00:05:27 ความเสี่ยงเท่าๆกันหรือว่าคนที่มีอายุ
00:05:27 → 00:05:30 เยอะถึงจะเสี่ยงมากกว่าคนอายุน้อยคะคุณ
00:05:30 → 00:05:32 หมอครับโดยโดยมากกลุ่มที่เป็น alive
00:05:32 → 00:05:34 colitis เราจะเจอในอายุที่เยอะกว่ากลุ่ม
00:05:34 → 00:05:37 ที่เป็นโคนครับค่ะครับอ่าเพราะฉะเพราะ
00:05:37 → 00:05:39 ฉะนั้นถ้าบวกกัน 2 อันแน่นอนเจอได้ทุก
00:05:39 → 00:05:42 อายุแต่ถ้าเราแบ่งแยกเป็น 2 พวกกลุ่มที่
00:05:42 → 00:05:44 เป็นลำไส้ใหญ่เราจะเจอที่อายุที่เยอะกว่า
00:05:44 → 00:05:46 แต่ว่าเจอได้ตลอดทุกช่วงอายุนะครับแต่แค่
00:05:46 → 00:05:49 ว่าอาจจะเจอช่วงที่อายุที่เยอะกว่าอือ
00:05:49 → 00:05:53 ทั้ง 2 อันเจอได้ทุกช่วงอายุครับออืเอ่อ
00:05:53 → 00:05:57 ทั้ง 2 2 อันนะครับทั้งอันเีกับเอ่อโน
00:05:57 → 00:06:02 เนี่ยครับเอ่อครับความความรุนแรงหรือว่า
00:06:02 → 00:06:06 อาการพอที่จะสังเกตแยกกันเนี่ยมันมันยาก
00:06:06 → 00:06:08 สำหรับคนคนป่วยมั้ยครับหรือว่าคนทั่วไป
00:06:08 → 00:06:11 ประชาคนที่มีอาการทั่วไปอาจจะแยกย่อยยาก
00:06:11 → 00:06:13 เลยใช่มั้ยต้องเป็นคุณหมอเท่านั้นหรือ
00:06:13 → 00:06:15 เปล่าฮะครับคือถ้าในกรณีที่เป็นอาการทาง
00:06:15 → 00:06:17 ทางเดินอาหารอย่างเดียวอันนี้จะแยกยาก
00:06:17 → 00:06:20 ครับค่ะแต่ถ้าเป็นอาการที่มันมีอย่างอื่น
00:06:20 → 00:06:22 ขึ้นมาเช่นมีแผลบริเวณทวารหนักด้วยมีแผล
00:06:22 → 00:06:25 ที่ปากเยอะๆอย่างเงี้ยครับอ่าหรือว่า
00:06:25 → 00:06:27 ตำแหน่งที่เป็นไม่ใช่แค่ที่ลำไส้ใหญ่
00:06:27 → 00:06:29 อย่างเดียวเผอิญมามีที่กระเพาะด้วยอะไร
00:06:29 → 00:06:32 ด้วยนะครับอันเนี้ยอาจจะพออาจจะพอกล่อม
00:06:32 → 00:06:34 แกล้มให้แยกได้บ้างค่ะแต่โดยมากเลยเนี่ย
00:06:35 → 00:06:37 หลักการของการแยกที่ชัดเจนที่สุดเราจะ
00:06:37 → 00:06:39 อาศัยการส่องกล่องเข้าไปแล้วเอาชิ้นเนื้อ
00:06:39 → 00:06:42 ไปตรวจครับตงนั้นตรงนั้นจะเป็นจุดที่แยก
00:06:42 → 00:06:45 ได้แยกได้ชัดเจนที่สุดครับอ่าผมถามต่อเลย
00:06:45 → 00:06:48 ดกันหลายคนอาจจะอาจจะแบบเออตั้งคำถามในใจ
00:06:48 → 00:06:52 ะเอทำไมไอ้เจ้าโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
00:06:52 → 00:06:55 เนี่ยมันถึงมีอาการที่แบบมีอาการร่วมอื่น
00:06:55 → 00:06:57 ๆก็เยอะจังเลยครับทำไมมันถึงเป็นอย่าง
00:06:57 → 00:06:59 งั้นนะครับคุณหมออ่ะเนื่องจากมันเป็นเป็น
00:06:59 → 00:07:01 คลาสเตอร์ของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันนะครับ
00:07:01 → 00:07:05 ทีนี้ภูมิคุ้มกันเราเนี่ยอ่ะถ้าสมมุติผม
00:07:05 → 00:07:09 ผมเปลี่ยนเป็นเป็นคำง่ายๆนิดนึงว่าณตอน
00:07:09 → 00:07:13 นั้นน่ะภูมิคุ้มกันเรามันจำเซลล์ผิดโดย
00:07:13 → 00:07:16 ที่จำเซลล์ลำไส้เราเป็นสิ่งที่มันไม่ใช่
00:07:16 → 00:07:20 ของร่างกายเราครับเพราะฉะนั้นเซลล์หรือ
00:07:20 → 00:07:23 ว่าส่วนประกอบใดๆที่คล้ายเซลล์ลำไส้จะถูก
00:07:23 → 00:07:26 ถือว่าเป็นศัตรูทั้งหมดค่ะคุมคุ้มกันก็จะ
00:07:26 → 00:07:30 ไปโจมตีทั้งหมดเลยเพราะว่าเราภูมิปุกัน
00:07:30 → 00:07:31 เรามีหน้าที่ป้องกันเราจากโรคต่างๆใช่มั้
00:07:31 → 00:07:34 ครับคโดยการป้องกันของมันเราเนี่ยไอ้การ
00:07:34 → 00:07:36 ป้องกันของของของมันเนี่ยที่ป้องกันให้
00:07:36 → 00:07:39 เราเนี่ยมันใช้วิธีจำเซลล์ที่เป็นของเรา
00:07:39 → 00:07:41 เอาไว้แล้วเซลล์ที่ไม่ใช่ของเราจะถือว่า
00:07:41 → 00:07:44 เป็นเซลล์แปลกปลอมค่ะอ๋อมันก็จะเข้าไป
00:07:44 → 00:07:46 ทำลายเซลล์แปลกปลอมเพราะฉะนั้นเผอิญความ
00:07:46 → 00:07:49 จำมันผิดเพี้ยนมันไปจำเป็นมันมีบางอย่าง
00:07:49 → 00:07:52 ไปกระตุ้นให้มันไปบางอย่างที่หน้าตา
00:07:52 → 00:07:56 เหมือนเซลล์ของลำไส้ของเราไปไปกระตุ้นให้
00:07:56 → 00:08:01 เกิดภูมิคุ้มกัน activate ขึ้นมาค่ะอ้าตา
00:08:01 → 00:08:05 เหมือนเพราะฉะนั้นต้องกำจัดมันอืคอืก็เลย
00:08:05 → 00:08:07 เล่นงานมันด้วยคล้ายๆคอมพิวเตอร์ติดไวรัส
00:08:07 → 00:08:12 อ่าใช่ครับคล้ายๆรวนระบบมันรใช่ครับค่ะ
00:08:12 → 00:08:15 แล้วอาการที่เขาแสดงออกมาค่ะคุณหมอมันมี
00:08:15 → 00:08:19 อาการลักษณะไหนได้บ้างแล้วก็เอ่อประมาณ
00:08:19 → 00:08:22 ไหนที่เอ่อผู้ป่วยหรือว่าคนที่เป็นอยู่
00:08:22 → 00:08:24 เนี่ยเขาจะรู้สึกแบบอืมันต้องไปไปโรง
00:08:24 → 00:08:26 พยาบาลแล้วอะไรอย่างเงี้ยค่ะมันมันมี
00:08:26 → 00:08:30 ลักษณะอาการยังไงบ้างคะอ่ะจริงจริงๆอาการ
00:08:30 → 00:08:32 ของมันค่อนข้างจะกว้างนิดนึงแต่ว่าเรา
00:08:32 → 00:08:35 กุ๊บกลุ่มอาการที่ที่จะพอให้เห็นเป็นไป
00:08:35 → 00:08:37 ได้แล้วกันนะครับค่ะก็โดยทั่วทั่ไปเนี่ย
00:08:37 → 00:08:40 อาการของลำไส้แปรปรวนนะครับอ่าเราเริ่ม
00:08:40 → 00:08:43 ต้นได้ตั้งแต่เนื่องจากเอ้โทษทีอาการของ
00:08:43 → 00:08:46 ลำไส้อักเสบเหือลังกมนเองนะอาการของลำไส้
00:08:46 → 00:08:48 อักเสบเหนื้อรังอ่ะครับมันมันเริ่มได้
00:08:48 → 00:08:50 ตั้งแต่ตรงที่ว่าด้วยความที่มันเป็น
00:08:50 → 00:08:51 เรื่องของตัวลำไส้ใช่ไมั้ยครับเพราะ
00:08:51 → 00:08:53 ฉะนั้นคนไข้อาจจะมาด้วยเรื่องของปวดท้อง
00:08:53 → 00:08:57 ปวดท้องดิหรือว่าอาการปวดทั่วๆไปร่วมกับ
00:08:57 → 00:09:00 การขัดถ่ายที่ผิดปกติได้ค่ะโดยการขับถ่าย
00:09:00 → 00:09:02 ที่ผิดปกติอันเนี้ยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง
00:09:02 → 00:09:06 ของท้องเสียละอ๋อเป็นอ่าเนื่องจากมันมี
00:09:06 → 00:09:08 การอักเสบใช่มั้ยครับเพราะฉนาจะเป็นท้อง
00:09:08 → 00:09:11 เสียถ่ายมีมุกมีเลือดปนอย่างเงี้ยครับ
00:09:11 → 00:09:13 หรือว่าปริมาณั้ของการถ่ายเพิ่มขึ้นร่วม
00:09:13 → 00:09:15 กับปวดท้องอยู่บ่อยๆมีภาวะเหมือนลำไส้
00:09:15 → 00:09:18 อักเสบซ้ำๆบ่อยๆเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆต้อง
00:09:18 → 00:09:22 รักษาต้องได้ยาฆ่าเชื้อเป็นบช่วงบ่อยๆเลย
00:09:22 → 00:09:25 ความถี่ค่อนข้างจะสูงนะครับถัดมาอาการตอน
00:09:25 → 00:09:28 ช่วงที่เป็นอาจจะหนักหน่อยมีปวดตามข้อโดย
00:09:28 → 00:09:30 เฉพาะข้อนิ้วข้อมือหรือข้อเล็กๆข้อหรือ
00:09:30 → 00:09:33 ข้อข่าใหญ่ๆก็ยังได้นะครับโดยอาการปวดข้อ
00:09:33 → 00:09:36 ส่วนใหญ่จะเด่นเป็นช่วงเช้าจะไม่ได้ปวด
00:09:36 → 00:09:39 ตอนอช่วงเช้าด้วยทำไมมันต้องช่วงเช้าคะ
00:09:39 → 00:09:41 คุณหมออ่าอาการปวดช่วงเช้ามักจะมักจะเป็น
00:09:41 → 00:09:43 กระบวนการอักเสบครับเพราะว่ากลางคืนบางที
00:09:43 → 00:09:46 มันเกิดจากการที่เราใช้งานมันมาเราไป
00:09:46 → 00:09:48 กระแทกอะไรเราไปเดินเยอะเราไปปีนปายอะไร
00:09:49 → 00:09:51 ต่างๆมันก็จะกวดกลางคืนเพราะเป็นการใช้
00:09:51 → 00:09:53 แต่กระบวนการอักเสบตอนเช้าซึ่งทั้งคืนเรา
00:09:53 → 00:09:56 หลับมาตลอดเราไม่ได้ใช้งานเนี่ยอืออือๆอ
00:09:56 → 00:09:58 การการอักเสบมันจะมาเด่นชัดจริงๆมันได้
00:09:58 → 00:10:00 ทั้งวันแหละแต่เราจะสังเกตตอนเช้าเพะตื่น
00:10:00 → 00:10:03 มาก็ปวดเลยทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำอะไรอ๋อ
00:10:03 → 00:10:05 ไม่มีอะไรมากระทบไม่มีอะไรก็กระแทงแต่ว่า
00:10:05 → 00:10:09 อยู่นี้ก็เจ็บใช่ครับเพราะฉะนั้นมันจะมัน
00:10:09 → 00:10:11 จะไปสังเกตได้ง่ายๆคือทั่วๆไปถ้าเรา
00:10:11 → 00:10:13 เมื่อยปวดเมื่อยตามตัวตอนเช้าเราไม่ปวด
00:10:13 → 00:10:15 ครับหลับมาเต็มอิ่มตื่นเต็มตาก็ไม่เป็นไร
00:10:15 → 00:10:18 ละสบายดีค่ะแต่ว่าถ้าถ้าเป็นอักเสบมันไม่
00:10:18 → 00:10:20 ใช่ไครับมันต่อได้ทั้งคืนเลยมันก็เป็นได้
00:10:20 → 00:10:24 ตลอดเี้ครับออ่าถัดถัดมาก็อาจจะมีเรื่อง
00:10:24 → 00:10:25 ของด้วยความที่มันเป็นเรื้อรังใช่มั้ย
00:10:25 → 00:10:28 ครับอาจจะมีเรื่องของน้ำหนักลดมีเลือดจาง
00:10:28 → 00:10:30 อย่างเงี้ยครับค่ะก็มีเรื่องของอาจจะมี
00:10:31 → 00:10:34 ไข้เรื้อรังมีไข้ต่ำๆอยู่ตลอดเวลาเลยแล้ว
00:10:34 → 00:10:36 ก็มีว่างๆกมีท้องเสียท้องเสียท้องเสีย
00:10:36 → 00:10:39 ผ่านมามีไข้เป็นเดือนๆอย่างเงี้ยครับไม่
00:10:39 → 00:10:42 หายมีผื่นขึ้นมีแผลในปากที่รักษาไม่ค่อย
00:10:42 → 00:10:44 หายปกติร้อนในอย่างเงี้ยครับ 2-3 วันเรา
00:10:44 → 00:10:46 ไม่ทำอะไรมันก็หายไปค่ะครับอันนี้เป็นแผล
00:10:46 → 00:10:49 ในปากตลอดเวลาเลยทำไงก็ไม่หายปยาก่อนแล้ว
00:10:49 → 00:10:51 หายไปวัน 2 วันก็กลับมาเป็นใหม่อย่าง
00:10:51 → 00:10:55 เงี้ยครับอมีตาแดงเยื่อบุตาอักเสบบ่อยๆ
00:10:55 → 00:10:57 อย่างเงี้ยครับอ่ะตรงเหล่าเนี้ยอ่าร่วม
00:10:57 → 00:11:01 กับภาวะความผิดปกติของคางเดินอาหารอ่าถ้า
00:11:01 → 00:11:02 มันเป็นด้วยกันอยู่อย่างนี้เรื่อยๆเนี่ย
00:11:02 → 00:11:04 อันเนี้ยเราจะต้องเริ่มสงสัยแล้วว่าเอ้ย
00:11:04 → 00:11:08 มันไม่ใช่ลำไส้อักเสบปกติละอืออย่างเงี้ย
00:11:08 → 00:11:10 ครับอ่าเพราะว่าท้องเสียต่อให้สมมุติผม
00:11:10 → 00:11:12 สมมุติเราไม่กินยาเลยนะค่ะยังไงยังไง
00:11:12 → 00:11:16 สัปดาห์นึงก็หายอยู่ดีโอ 5 วัน 7 วันก็
00:11:16 → 00:11:18 ต้องหายอยู่ดีมันไม่มีสไม่หายเงี้ครับอ่า
00:11:18 → 00:11:20 แต่ถ้ามันยากลากยาวเลย 2 อาทิตย์ 3
00:11:20 → 00:11:24 อาทิตย์ก็ไม่หายเลยอันนี้มันก็แปลกตอ
00:11:24 → 00:11:28 อืค่ะความระยะทางระยะความยาวของการเกิด
00:11:28 → 00:11:31 โรคค่อนข้างที่ที่จะเป็นจุดนึงที่ผมว่า
00:11:31 → 00:11:34 อันนี้สังเกตง่ายและหลายๆคนถ้าแบบฝืนตัว
00:11:34 → 00:11:37 เองผ่านไปสัก 3 วัน 4 วันฝืนอยู่นี่ก็ผม
00:11:37 → 00:11:39 ว่ามันก็ก็เก่งแล้วนะค่ะถ้ายาวไปถึง
00:11:39 → 00:11:41 อาทิตย์ 2 อาทิตย์หน้านี่ก็คือแสดงว่ามัน
00:11:41 → 00:11:44 โอโหมันก็ค่อนข้างที่จะรุนแรงปล่อยไว้ยาว
00:11:44 → 00:11:47 ขนาดนั้นมันอันตรายมั้ยฮะก็อันตรายครับ
00:11:47 → 00:11:49 เพราะว่าในแง่ของการอักเสบมันก็ไปเรื่อยๆ
00:11:49 → 00:11:52 ครับไปจนถึงเป็นแผลมีเลือดออกอะไรได้แล้ว
00:11:52 → 00:11:55 ก็อีกข้อนึงที่เราจะเจอได้คือมันมักจะ
00:11:55 → 00:11:57 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับความรุนแรงค่อยๆ
00:11:57 → 00:12:00 เพิ่มขึ้นหมายถึงว่าวันที่ 1 ถึงวันที่ 7
00:12:00 → 00:12:02 วันที่ 7 จะหนักกว่าวันที่ 1 หรอคะคุณหมอ
00:12:02 → 00:12:04 อ่ามันจะค่อยๆหนักขึ้นครับมันจะไม่ค่อลด
00:12:04 → 00:12:06 ลงเหมือนเราเป็นลำไส้อักเสบปกติหรือ
00:12:06 → 00:12:08 สมมุติเป็นครั้งนี้แล้วหายไปแล้วเป็น
00:12:08 → 00:12:10 ครั้งหน้าใหม่อย่างเงี้ยครับมันจะมีใน
00:12:10 → 00:12:13 ส่วนนึงอเราอาจจะเจอได้ว่าครั้งที่แล้ว
00:12:13 → 00:12:15 มันเบากว่าครั้งเนี้ยครั้งเนี้ยมันหนัก
00:12:15 → 00:12:17 กว่าครั้งที่แล้วแล้วครั้งต่อไปมันหนัก
00:12:17 → 00:12:19 กว่าครั้งนี้อีกอย่างเงี้ยมันเท่ากับมัน
00:12:19 → 00:12:21 มี pression ไงครับเพราะว่าการอักเสบมัน
00:12:21 → 00:12:24 เป็นขึ้นเรื่อยๆค่ะก็คือมันไม่มันไม่ได้
00:12:24 → 00:12:26 เป็นเหมือนติดเชื้อที่เป็นแล้วหายแล้วหาย
00:12:26 → 00:12:28 ก็หายสนิทแล้วก็มาว่างกมาเป็นใหม่แล้วก็
00:12:28 → 00:12:31 หายสนิทอันนี้มันจะไม่ได้มีหายสนิทมัน
00:12:31 → 00:12:34 เหมือนอักเสบอยู่อย่างนั้นแค่มันดีขึ้น
00:12:34 → 00:12:37 ระดับนึงอันนี้เข้าใจถูกต้องมั้ยคะใชอ่า
00:12:37 → 00:12:40 ถ้าถ้าถ้าผมยกตัวอย่างให้ฟังลองนึกถึงภาพ
00:12:40 → 00:12:43 เส้นกราฟฟันปลาครับค่ะที่มันพุ่งขึ้นแล้ว
00:12:43 → 00:12:46 ก็พุ่งลงสุดแล้วก็พุ่งแล้วก็เว้นแล้วก็
00:12:46 → 00:12:47 พุ่งขึ้นแล้วก็พุ่งลงสุดใช่มั้ยครับแล้ว
00:12:47 → 00:12:50 ก็เว้นอันเนี้ยมันเป็นอักเสบทั่วๆไปที่
00:12:50 → 00:12:52 เราเป็นจากติดเชื้อแต่ถ้าเป็นกลุ่มที่
00:12:52 → 00:12:55 เป็น ibd เราจะเห็นว่ามันขึ้นแล้วมันก็
00:12:55 → 00:12:58 นิ่งแล้วมันก็ขึ้นใหม่แล้วมันก็นิ่งเส้น
00:12:58 → 00:13:00 เท่าเดิมไม่ได้ลงมาสุดหรือลงมาไม่สุดแล้ว
00:13:00 → 00:13:02 ก็ขึ้นไปใหม่อย่างเงี้ยครับเพราะฉะนั้น
00:13:02 → 00:13:05 มันจะไม่มีจุดที่เรียกว่าลงมาปกติักทีค่ะ
00:13:05 → 00:13:08 อืตรงเนี้ยครับอ่าถ้า้าถ้าลักษณะอาการ
00:13:09 → 00:13:10 เป็นคล้ายๆอย่างนั้นน่ะอันนี้เราจะเริ่ม
00:13:10 → 00:13:12 สงสัยและ
00:13:12 → 00:13:16 ออค่ะพอได้สงสัยปุ๊บใสงสัยแล้วมันต้อง
00:13:16 → 00:13:19 สังเกตอะไรเพิ่มเติมต่อจากนั้นอีกมั้ยฮะ
00:13:19 → 00:13:21 อ่ะผมคิดว่าระยะเวลาที่มันเป็นมันจะนาน
00:13:21 → 00:13:25 แล้วครับอันนี้ไปบาได้เลยใช่ไปถึงจุดนั้น
00:13:25 → 00:13:27 ผมว่าน่าจะต้องไปลงมาแล้วเพราะว่าในแง่
00:13:27 → 00:13:29 ของเ treat หรือว่ารักษาด้วยตัวเองอเนี่ย
00:13:29 → 00:13:31 ไม่ค่อยแนะนำแล้วครับเพมันไปถึงจุดนั้นนะ
00:13:31 → 00:13:34 ครับอืออือค่ะอือเพราะไอ้โรคโรคนี้เอง
00:13:34 → 00:13:37 เนี่ยมันไม่คมันรักมันร่างกายเราไม่
00:13:37 → 00:13:38 สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ใช่มั้ยฮะมันต้อง
00:13:39 → 00:13:41 ใช้ตัวยาเข้าไปช่วยหรือเปล่าฮคุณหมอผม
00:13:41 → 00:13:43 เข้าใจดูใช่ครับเพราะว่าการการรักษามันจะ
00:13:43 → 00:13:45 ต้องอาศัยด้วยเรื่องของยาะด้วยความที่เรา
00:13:45 → 00:13:47 ปล่อยเฉยๆมันไม่หายไปครับมันมีแต่มันมี
00:13:47 → 00:13:53 แต่จะแย่ลงค่ะอือืแย่ลงนี่แย่ระดับแย
00:13:53 → 00:13:56 ระดับไระดับไหนกันกันบ้างแย่แย่ได้เยอะ
00:13:56 → 00:13:58 อยู่ครับเนื่องจากว่าเวลาพอมีการอเสมันมี
00:13:58 → 00:14:00 แผลใช่มั้ยครับเท่ากับว่าเนื้อเยื่อของ
00:14:00 → 00:14:03 เราที่ที่ป้องกันการติดเชื้อต่างๆครับโดย
00:14:03 → 00:14:06 ธรรมชาติเราจะมีตัวตัวป้องกันการติดเชื้อ
00:14:06 → 00:14:08 ภายในทางเดือนอาหารเราอยู่แล้วแต่มันจะมี
00:14:08 → 00:14:10 ทั้งเซลล์มีเรื่องของเมือกมีเรื่องของ
00:14:10 → 00:14:12 ภูมิคุ้มกันที่อยู่ภายในตรงนั้นนะครับมัน
00:14:12 → 00:14:14 จะป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อทีนี้พอมัน
00:14:14 → 00:14:16 เป็นแผลไปแล้วอ่ะแน่นอนเชื้อก็เข้าไปได้
00:14:16 → 00:14:19 พั่งทูเลยเพราะฉะนั้นเราอาจจะมันอาจจะลุก
00:14:19 → 00:14:22 ลามไปถึงการติดเชื้อลำไส้รุนแรงมีลำไส้
00:14:22 → 00:14:26 โปร่งพองลำไส้ทะลุหรือว่ามีเรื่องของติด
00:14:26 → 00:14:28 เชื้อในกระแสเลือดอย่างเงี้ยครับมันไปได้
00:14:28 → 00:14:30 หมดเลยแต่ว่าอันนี้อันนี้ผมพูดแบบ extrem
00:14:30 → 00:14:33 หน่อยนะเพราะว่าในความเป็นจริงผมไม่ผมคิด
00:14:33 → 00:14:36 ว่าไม่มีใครทนไปถึงตอนนั้นหรอกค่ะอน่าจะ
00:14:36 → 00:14:38 มาก่อนหน้านั้นละเพราะมักจะมีเลือดออกมี
00:14:38 → 00:14:41 อะไรมาละก็ตกใจะต้องมาโรงพยาบาลละอย่าง
00:14:41 → 00:14:44 เงี้ยครับออืค่ะอือเลือดออกที่เกิดขึ้นก็
00:14:44 → 00:14:45 เกิดจากการขับถ่ายใช่มั้ยฮะที่เราจะ
00:14:46 → 00:14:48 สังเกตกันใช่ครับก็คืออ่าเราจะถ่ายออกมา
00:14:48 → 00:14:50 มีเลือดปนนะครับหรืออาเซียนมีเลือดปนใน
00:14:50 → 00:14:52 กรณีที่แผลมันอยู่โเฉพาะอย่างเงี้ยครับ
00:14:52 → 00:14:53 เพราะว่าแผลมันค่อนข้างลึกขึ้นไปเรื่อยๆ
00:14:53 → 00:14:56 มันก็จะมีเลือดออกมาเพราะฉะนั้นออ่าถ้ามี
00:14:56 → 00:14:58 เลือดปริมาณน้อยๆแล้วเราปล่อยไปก็คือจะมา
00:14:58 → 00:15:00 ด้วยเรื่องเลือดจางไงครับเพลียหน้าซีดมึน
00:15:00 → 00:15:03 เวียนหัวค่ะผมผมถึงบอกมันไม่น่าไปถึงจุด
00:15:03 → 00:15:05 ที่รุนแรงที่ผมพูดเมื่อกี้นี้หรอกในใน
00:15:05 → 00:15:08 ทฤษฎีไปได้แต่ว่าชีวิตจริงผมว่าคนมาก่อน
00:15:08 → 00:15:11 หน้านั้นล่ะอืครับอืเพราะว่ามันนั้นน่าจะ
00:15:11 → 00:15:13 หนักเกินไปคนนึงจะรับไหวนะถ้าไปถึงขั้น
00:15:13 → 00:15:18 นั้นครับใช่ครับอืแล้ววิธีการที่พอเรารับ
00:15:18 → 00:15:21 คนไข้มาแล้วเนี่ยค่ะคุณหมอมีวิธีการตรวจ
00:15:21 → 00:15:23 ร่างกายหรือขั้นตอนการวินิจฉัยยังไงบ้าง
00:15:23 → 00:15:26 คะคนคนไข้เนี่ยจะต้องเตรียมตัวยังไงก่อน
00:15:26 → 00:15:29 หรือเปล่าในการที่จะต้องเข้ารับการ
00:15:29 → 00:15:33 วินิจฉัยโรคอ่ะค่ะครับจริงๆในแง่ของการ
00:15:33 → 00:15:35 รักษาครับเรื่องของการเตรียมตัวอะไรต่างๆ
00:15:35 → 00:15:37 ไม่ค่อยไม่ค่อยไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ครับ
00:15:37 → 00:15:39 เพียงแต่ว่าอาจจะมีเรื่องของกระบวนการ
00:15:39 → 00:15:42 ตรวจที่ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงนิดนึงค่ะ
00:15:42 → 00:15:44 กระบวนการตรวจไล่ไปตั้งแต่เรื่องของการ
00:15:44 → 00:15:46 เจาะเลือดเพื่อดูค่าการอักเสบการตรวจ
00:15:46 → 00:15:48 อุจาระเพื่อดูการติดเชื้อร่วมอ่าการเพาะ
00:15:48 → 00:15:51 เชื้ออุจาระหรือว่าการตรวจเรื่องของสาร
00:15:51 → 00:15:53 ที่บ่งชี้การอักเสบในอุตจาระอย่างเงี้ย
00:15:53 → 00:15:56 ครับค่ะแล้วก็รวมไปถึงการส่องกล้องเพื่อ
00:15:56 → 00:15:59 เข้าไปแล้วเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ว่าจริงๆ
00:15:59 → 00:16:02 แล้วโลกนั้นเป็นอะไรอย่างไรอนะครับเพราะ
00:16:02 → 00:16:04 มันก็มีการติดเชื้อในบ้านเราบางอย่างที่
00:16:04 → 00:16:07 มันเลียนแบบเลียนแบบภาวะรำไส้อักเสษเรื้อ
00:16:07 → 00:16:08 รังได้เหมือนกันอย่างเช่นวัณโรคอย่าง
00:16:08 → 00:16:11 เงี้ยครับค่ะอ่าวัณโรคในทางเดินอาหารมัน
00:16:11 → 00:16:14 ก็มีอาการคไม่ได้มีอาการหมายถึงว่าอ่า
00:16:14 → 00:16:16 หน้าตาของการส่องกล้องเข้าไปก็มีบางส่วน
00:16:16 → 00:16:19 ที่คล้ายกับเรื่องของเรังสอักเสบเนื้อรัง
00:16:19 → 00:16:20 เหมือนกันเพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปพิสูจน์
00:16:20 → 00:16:23 กันที่ชิ้นเนื้ออีกทีนึงว่ามันเป็นอะไร
00:16:23 → 00:16:28 อ่ะครับอืค่ะอืครับครับเวลาเราเอ่อต่อเลย
00:16:28 → 00:16:31 ครับพี่ขวัญใช่คือพี่อยากรู้เอ่อขวัญอยาก
00:16:31 → 00:16:33 ทราบว่าถ้าเวลาเราไปตรวจชิ้นเนื้อแล้ว
00:16:33 → 00:16:36 เนี่ยความอันตรายรุนแรงของลำไส้อักเสบ
00:16:36 → 00:16:40 เนี่ยนะคะมันจะทะยานไปถึงเอ่อตัวมะเร็ง
00:16:40 → 00:16:43 ได้เลยมคะคุณหมอหรือว่าใช้ชิ้นเนื้อมัน
00:16:44 → 00:16:46 ต้องเป็นเป็นระยะเวลาประมาณนึงครับอือ่า
00:16:47 → 00:16:49 โดยทั่วๆไปมันหลายปีอยู่ครับหลากหลายปี
00:16:49 → 00:16:50 ถึงประมาณเกือบ 8 ปีด้วยกันกว่ามันจะ
00:16:50 → 00:16:52 เริ่มเสี่ยงเรื่องของมะเร็งลำไส้ใหญ่ทั้ง
00:16:52 → 00:16:55 นี้ไม่ว่ารักษาไม่รักษานะครับค่ะตรงนั้น
00:16:55 → 00:16:58 จะต้องไปตรวจคัดกรองกันอีกทีนึงนะครับค่ะ
00:16:58 → 00:17:00 อืนะความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้อาจจะสูง
00:17:00 → 00:17:03 ขึ้นเนื่องจากว่าถ้าเรานึกภาพว่าลำลำไส้
00:17:03 → 00:17:05 เราต้องถูกทำลายเรื่อยๆแล้วสร้างใหม่
00:17:05 → 00:17:07 เรื่อยๆอ่ะครับตัวที่ผิดปกติมันก็มีโอกาส
00:17:07 → 00:17:10 จะงอกมาเรื่อยๆเพราะอัตราการสร้างมันสูง
00:17:10 → 00:17:14 ขึ้นการตรวจสอบเอก็จะจะทำได้ไม่ดีพอ
00:17:14 → 00:17:18 เนื่องจากความถี่มันสูงเกินไปอืออือๆเพ
00:17:18 → 00:17:19 เพราะฉะนั้นเพราะฉะนั้นมันก็มีโอกาสที่
00:17:19 → 00:17:22 เซลล์ที่ไม่ดีมันจะหลุดออกมาได้หรือว่า
00:17:22 → 00:17:24 รอดเล็ดรอดการตรวจสอบคุณภาพออกมาได้แล้ว
00:17:24 → 00:17:26 ก็กลายเป็นเซลล์มะเร็งเงี้ยครับเพราะ
00:17:26 → 00:17:28 ฉะนั้นความความเสี่ยงของมะเร็งในกลุ่ม
00:17:28 → 00:17:32 ทั้งของกลุ่มนี้จะเยอะขึ้นครับอ๋อค่ะครับ
00:17:32 → 00:17:35 อืความเสี่ยงก็แต่เราใช้เป็นความเสี่ยงนะ
00:17:35 → 00:17:37 เป็นความเสี่ยงก่อนเพราะว่าไม่ไม่ไม่ไม่
00:17:37 → 00:17:40 ได้บอกว่ามันต้องเป็นทุกคนค่ะอ่าฮะครับ
00:17:40 → 00:17:43 อ่าฮะอันนั้นก็ต้องแล้วแต่เงื่อนไขอื่นๆ
00:17:43 → 00:17:45 ที่อาจจะเพิ่มเติมเข้ามาอีกในเรื่องของ
00:17:45 → 00:17:49 ปัจจัยที่เสริมเข้าไปูกอืนะครับเอ่อโรค
00:17:49 → 00:17:53 แบบนี้คำคำถามนึงที่มันมันเข้ามาหลักหๆคน
00:17:53 → 00:17:56 ก็อยากจะรู้เหมือนกันเทำไมปัจจุบันถึงคน
00:17:56 → 00:18:00 ถึงมีอาการเอ่อในในทางการแพทย์เองบอกว่า
00:18:00 → 00:18:04 คนไทยมีโอกาสเป็นโรคนี้กันเพิ่มขึ้นนะ
00:18:04 → 00:18:07 ครับคุณหมอครับก็จริงจริงๆจริงๆมันเป็น
00:18:07 → 00:18:09 ทั้งโอกาสเป็นเพิ่มขึ้นและเป็นทั้งเราเจอ
00:18:09 → 00:18:12 เยอะขึ้นนะครับคำว่าเจอเยอะขึ้นของผมหมาย
00:18:12 → 00:18:14 ถึงว่ามันต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนส่วนนึง
00:18:14 → 00:18:17 คือโอกาสที่เป็นเยอะขึ้นจริงๆเพราะว่าตัว
00:18:17 → 00:18:19 โรคเองนอกเหนือจากพันธุกรรมเองอ่ะครับมัน
00:18:19 → 00:18:22 มีเรื่องของสภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวัน
00:18:22 → 00:18:26 เราที่เปลี่ยนไปค่ะเนื่องจากว่าอ่าเราเคย
00:18:26 → 00:18:27 คุยกันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วในกลุ่ม
00:18:27 → 00:18:30 ของโปรไบโอติกในกลุ่มของจุลินทรีย์ในทางด
00:18:30 → 00:18:34 อาหารครับก็คือสภาพสเอ่อสภาวะทางปัจจุบัน
00:18:34 → 00:18:36 ที่เราที่เรารับประทานอาหารอะไรต่างๆเรา
00:18:36 → 00:18:38 เปลี่ยนไปกว่าเดิมแล้วเราเปลี่ยนไปทางทาง
00:18:38 → 00:18:41 เ West มากขึ้นหรือมี Red Meat Diet
00:18:41 → 00:18:43 มากขึ้นก็คือกลุ่มเนื้อสัตว์แดงอ่ะครับ
00:18:43 → 00:18:46 ค่ะอ่าตรงนั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้
00:18:46 → 00:18:48 เกิดได้เช่นเดียวกันอือ่าหรือว่าไป
00:18:48 → 00:18:50 กระตุ้นในคนที่มียีนอยู่แล้วให้เป็นได้
00:18:50 → 00:18:53 มากขึ้นเพราะฉะนั้นแแพทเทิร์นการใช้ชีวิต
00:18:53 → 00:18:55 มันเปลี่ยนโอกาสที่จะเจอได้เพิ่มขึ้นมัน
00:18:55 → 00:18:58 เยอะขึ้นอยู่แล้วถ้าถ้าไปดูครับถ้าไปดู
00:18:59 → 00:19:00 ข้อมูลย้อนหลังนะครับมันก็เจอขึ้นได้
00:19:00 → 00:19:03 ประมาณเยอะขึ้นประมาณ 1 1.6 เท่าถึง 2
00:19:03 → 00:19:08 เท่าจากเดิมที่เคยมีอือืครับโถึงถึง 2.5
00:19:08 → 00:19:10 มถ้าผมจำไม่ผิดนะตัวเลขประมาณนี้นะครับ
00:19:10 → 00:19:13 ที่ที่เราจะเจอเยอะขึ้นในในปัจจุบันนะ
00:19:13 → 00:19:17 ครับอ่าอันที่ 2 ก็คือกระบวนการตรวจและ
00:19:17 → 00:19:19 ข้อมูลความรู้มันเยอะขึ้นมันเลยทำให้เรา
00:19:19 → 00:19:22 เจอได้เยอะขึ้นอืนั่นหมายความว่าคนสามารถ
00:19:22 → 00:19:24 เข้าถึง health care ได้มากขึ้นคนสามารถ
00:19:24 → 00:19:26 เข้าไปตรวจเยอะขึ้นคนตื่นตัวกับเรื่อง
00:19:26 → 00:19:28 เหล่านี้เยอะขึ้นก็เลยทำให้มันเจอเยอะ
00:19:28 → 00:19:29 ขึ้น
00:19:29 → 00:19:32 เดิมอาจจะมีอยู่ปริมาณเท่านี้แหละอแต่ว่า
00:19:32 → 00:19:35 มันไม่ได้ตรวจไม่ได้มารักษาวิธีอื่นก็เลย
00:19:36 → 00:19:38 ไม่เจออ่ามันจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คืออ
00:19:38 → 00:19:40 ไลไลที่เปลี่ยนไปเราเลยเจอเยอะขึ้นกับอัน
00:19:40 → 00:19:42 ที่ 2 คือวิธีการตรวจกระบวนการตรวจข้อมูล
00:19:42 → 00:19:45 ความรู้ที่มันละเอียดขึ้นกว่า
00:19:45 → 00:19:48 เดิมบวกกันก็เลยเป็นภาพที่เห็นว่าโอ้มัน
00:19:48 → 00:19:52 พุ่งขึ้นเยอะเลยอย่าเงี้ยครับอ๋ออืครับ
00:19:52 → 00:19:57 เอ่อหลายๆคนอาจจะสงสัยอยู่แม้แต่ผมก็ยัง
00:19:57 → 00:20:01 สงสัยคำว่าโรคลำไส้อักเสบกับลำไส้อักเสบ
00:20:01 → 00:20:04 เรื้อรังอันนี้ต่างกันมั้ยครับต่างกัน
00:20:04 → 00:20:06 ครับลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือว่า
00:20:06 → 00:20:08 inflammatory Bow disease หรือ ibd
00:20:08 → 00:20:11 เนี่ยครับเป็นงเฉพาะของมันคคำว่าลำไส้
00:20:11 → 00:20:15 อักเสบเป็นคำกลางๆรวมๆว่าอเป็นโรคที่มี
00:20:15 → 00:20:18 การอักเสบของลำไส้เช่นผมสมมุติอาหารเป็น
00:20:18 → 00:20:22 พิษก็ลำไส้อักเสบได้อค่ะอ่าติดเชื้อไปกิน
00:20:22 → 00:20:24 อาหารที่ติดเชื้อมาไม่ได้อาหารเสียหรอก
00:20:24 → 00:20:26 แต่ว่าได้เชื้อโรคมาก็รำไส้อักเสบได้
00:20:26 → 00:20:29 อาหารไม่สุกดีอย่างเงี้ยครับค่ะอืรำไซ้อบ
00:20:29 → 00:20:32 จสาเหตุอื่นๆเช่นการรับประทานยายาเคมี
00:20:32 → 00:20:35 บำบัดการฉายแสงอันนี้ก็รำไส้แเบเหมือนกัน
00:20:35 → 00:20:37 อืมครับอ่าเพราะฉะนั้นมันจะต้องมีคำหน้า
00:20:38 → 00:20:42 ลำไส้อักเสบครับเช่น infectious โลตลำไส้
00:20:42 → 00:20:44 ใหญ่อักเสบจากการติดเชื้ออะไรแบบเยครับ
00:20:44 → 00:20:47 มันจะมีคำหน้าของมันอีกทีนึงเพราะฉะนั้น
00:20:47 → 00:20:49 คำว่าลำไส้อักเสบเฉยๆจะเป็นคำรวมๆว่าอ้า
00:20:49 → 00:20:51 มีการอักเสบของลำไส้นะแต่ไม่ได้บอกว่า
00:20:51 → 00:20:55 เป็นอะไรค่ะอืออครับคุณหมอขาแล้วแนวทาง
00:20:55 → 00:20:58 การรักษาลำไส้อักเสบเรื้อรังเนี่ยมันมี
00:20:59 → 00:21:03 แนวทางการรักษายังไงบ้างรับประทานยาหายมย
00:21:03 → 00:21:06 หรือต้องถึงขั้นเอ่อมีการผผ่าตัดอะไรยัง
00:21:06 → 00:21:10 ไงหรือเปล่าคะครับก็จริงๆ้ำไส้อักเสษ
00:21:10 → 00:21:13 เลื้อรังมันมีหลายหลายหลายหลายแนวทางการ
00:21:13 → 00:21:14 รักษานะครับมันจะเริ่มตั้งแต่การรับ
00:21:14 → 00:21:17 ประทานยาเพื่อกดภูมิเบอรยากรดภูมิก็มี
00:21:17 → 00:21:21 ตั้งแต่ยากดภูมิระดับต่ำๆไปจนถึงยาควบคุม
00:21:21 → 00:21:24 อ่าภูมิคุ้มกันหรือยาสเตอรอยด์เพื่อกปูม
00:21:24 → 00:21:27 พุมกันเลยนะครับซึ่งการใช้ยาในแต่ละช่วง
00:21:27 → 00:21:29 จะไม่เหมือนกันเช่นในช่วงช่วงต้นที่จะ
00:21:29 → 00:21:32 กระตุ้นให้มันหายเร็วๆเราก็จะใช้ยาเซตหนึ
00:21:32 → 00:21:35 ในช่วงที่จะทำให้มันอยู่นิ่งคงที่ไม่ถูก
00:21:35 → 00:21:38 กระตุ้นกลับมาเป็นใหม่เราก็ใช้ยาอีกแบบ
00:21:38 → 00:21:40 หนึ่งก็จะมีความแตกต่างกันซึ่งอันนี้จะ
00:21:40 → 00:21:42 อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาว่าแต่ละ
00:21:42 → 00:21:45 อย่างจะปรับอย่างไรโว่าอย่างไรอย่างเงี้ย
00:21:46 → 00:21:48 ครับค่ะอ่าอันที่ 2 ก็คือถ้าไม่ดีขึ้นก็
00:21:48 → 00:21:51 จะมีกลุ่มยาอีก 2 อีกอีกอีก 2 ส่วนด้วย
00:21:51 → 00:21:54 กันจะเป็นกลุ่มยาฉีดละสมมุติถ้าไม่ดีขึ้น
00:21:54 → 00:21:56 จริงๆก็จะมียาฉีดก็จะมียาฉีด 2 ส่วนจะ
00:21:57 → 00:21:59 เป็นยาที่เกี่ยวกับเรืื่องของทางภูมิคุ้ม
00:21:59 → 00:22:01 กันอันหนึ่งอ่าเป็นเป็นยากลุ่มหนึ่งหรือ
00:22:01 → 00:22:03 เป็นยาที่เราเรียกว่าเป็น biologic Agent
00:22:03 → 00:22:06 ก็คือเรียนเรียนแบบเรียนแบบเรียนแบบอ่า
00:22:06 → 00:22:08 การการป้องกันของภูมิคุ้มกันเรานี่แหละ
00:22:08 → 00:22:11 อ่ะไปจัดการคอนโทรลกับภูมิคุ้มกันเราเอง
00:22:11 → 00:22:15 ก็คือรีเซตระบบใช่มั้ยคะอ่าประมาณนั้นก็
00:22:15 → 00:22:17 คือทั้งทั้งหมดเป้าทั้งหมดคือการคอนโทรล
00:22:17 → 00:22:20 ภูมิคุ้มกันของเราค่ะนะครับครับอ่าแล้วก็
00:22:20 → 00:22:23 สุดท้ายเลยถ้าสมมุติว่ามันมันมันมีปัญหา
00:22:23 → 00:22:26 มากเกินไปจนกระทั่งมันมีมันมีภาวะแทรก
00:22:26 → 00:22:29 ซ้อนเช่นมีการทะลุมีการคอนโทรลไม่ได้
00:22:29 → 00:22:32 อักเสบที่คอนโทรลไม่ได้มีการตีบแคบเกินไป
00:22:32 → 00:22:34 อย่างเงี้ยครับค่ะอันนั้นก็จะเป็นการผ่า
00:22:34 → 00:22:36 ตัดการผ่าตัดจะไม่ได้มุ่งเน้นคอนโทรลภูมิ
00:22:36 → 00:22:39 คุ้มกันละแต่ว่าจะมุ้งเน้นแก้ปัญหาที่
00:22:39 → 00:22:42 เกิดขึ้นจากการอักเสบเรื้อรังค่ะอืครับ
00:22:42 → 00:22:45 ครับอ่าก็จะไปก็จะไปตรงถึงจุดนั้นฮะที่
00:22:45 → 00:22:48 ที่ที่สามารถทำได้อการรักษาจะแบ่งเป็น
00:22:48 → 00:22:51 เป็นสต็ปสปของมันขึ้นอยู่กับความรุนแรง
00:22:51 → 00:22:53 ของอาการจะไม่ได้มีบอกว่าเอ้ยถ้าเป็นแล้ว
00:22:53 → 00:22:56 จะมีแพทเทิร์นการรักษา a b c d แบบนี้
00:22:56 → 00:22:59 ไม่ไม่ไม่เฉิกแบบนั้นครับค่ะมีแนวทาง
00:22:59 → 00:23:01 รักษาอยู่ว่าถ้าเป็นแบบนี้ความรุนแรงแค่
00:23:01 → 00:23:04 นี้รักษาตรงไหนถ้าเป็นส่วนนี้ใช้ยารักษา
00:23:04 → 00:23:07 แบบใดค่ะอ่าถ้ามีการอักเสบเกิดขึ้นรุนแรง
00:23:07 → 00:23:10 ใช้ยารักษาแบบใดทะลุทำแบบใดอย่างเงี้ย
00:23:10 → 00:23:14 ครับอืก็คืออยู่ที่ระดับความรุนแรงของ
00:23:14 → 00:23:17 อาการในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนั้นน่ะนะ
00:23:17 → 00:23:21 คะเมื่อสักครู่คุณหมอบอกว่าคือลักษณะการ
00:23:21 → 00:23:25 เอ่อบริโภคอาหารของคนในปัจจุบันเนี่ยเอ่อ
00:23:25 → 00:23:28 มีเป็นส่วนนึงที่ทำให้คนไทยเนี่ยเป็นโรค
00:23:28 → 00:23:32 ลำไส้อักสบเรื้อรังมากขึ้นแล้วถ้าเราปรับ
00:23:32 → 00:23:35 วิธีการรับประทานอาหารให้มันหลากหลายแล้ว
00:23:35 → 00:23:39 ก็มีไฟเบอร์มากขึ้นงดเนื้อแดงน้อยลงหน่อย
00:23:39 → 00:23:42 อะไรเงี้ยค่ะมันจะเป็นเอ่อแนวทางในการ
00:23:42 → 00:23:45 ป้องกันให้เราห่างไกลจากลำไส้อักเสบเรื้อ
00:23:45 → 00:23:48 รังได้มั้ยคะครับจริงๆต้องบอกว่าไอ้ตัว
00:23:48 → 00:23:51 ป้องกันไม่ให้เราเป็นกับอาหารเนี่ย
00:23:51 → 00:23:54 อันเนี้ยไม่มีข้อมูลคอือืเนื่องจากว่าเมน
00:23:54 → 00:23:58 เมนเน Factor มันคือภูมิคือพันธุกรรมก่อน
00:23:58 → 00:24:02 คกันบกพร่องอ่าซึ่งซึอันจริงๆแล้วโลก
00:24:02 → 00:24:03 เนี้ยมันเป็นส่วนใหญ่ในคนที่เป็น
00:24:03 → 00:24:05 คอเคเชียนนะครับเชื้อชาติพันธุกรรมอะไร
00:24:05 → 00:24:08 ต่างๆอันนั้นมันไปอยู่ตรงนั้นในในในใน
00:24:08 → 00:24:10 บ้านเราไม่ได้ถือว่าเป็นคอเคเชียน
00:24:10 → 00:24:13 อ่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าเยอะมากๆนะครับ
00:24:13 → 00:24:16 เพียงแต่ปัจจุบันบ้านเราบ้านเราอาจจะถูก
00:24:16 → 00:24:18 นับว่าเป็นมินิได้ประมาณนึงเนื่องจากมีคน
00:24:19 → 00:24:22 ต่างชาติเข้ามาอยู่มีอะไรเราก็จะพบพบสิ่ง
00:24:22 → 00:24:25 ที่ทำให้เจอเยอะขึ้นด้วยเช่นเดียวกันอ่ะ
00:24:25 → 00:24:27 หรือมีการย้ายถิ่นฐานมาอย่างเช่นกลุ่มคน
00:24:27 → 00:24:31 ที่สมมุตินะครับเป็นเป็นอ่ามีเชื้อเป็น
00:24:31 → 00:24:33 คอเคเชียนมาก่อนแล้วมีแล้วเาย้ายถิ่นฐาน
00:24:33 → 00:24:36 มานี่มีลูกสืบลูกสืบหลานคนเหล่านี้ก็จะมี
00:24:36 → 00:24:37 ความเสี่ยงสูงขึ้นเพราะมีเรื่องของ
00:24:37 → 00:24:41 พันธุกรรมที่มีเชชาติอยู่อืครับแต่แต่
00:24:41 → 00:24:44 ทั้งนี้ทั้งนั้นเนี่ยมันไม่ได้มีมันไม่
00:24:44 → 00:24:47 ได้มีตัวอาหารที่ถ้าสมมุติคนที่ไม่ได้มี
00:24:47 → 00:24:49 พันธุกรรมเหล่านั้นไปกินแล้วมันจะเป็นมัน
00:24:49 → 00:24:52 ไม่มีข้อมูลตรงนั้นเลยออค่ะก็เลยก็เลยทำ
00:24:52 → 00:24:54 ให้ว่าถ้าสมมุติบอกว่าเอ๊ถ้าไม่กินสิ่ง
00:24:54 → 00:24:56 เหล่านั้นเราจะไม่เป็นจริงมั้ยคำตอบคือ
00:24:56 → 00:24:58 ไม่แน่ไม่รู้ม
00:24:58 → 00:25:01 เพราะว่าเราไม่มีข้อมูตรงนั้นแต่ว่าถ้า
00:25:01 → 00:25:03 ถ้ากกันเราย้อนใหม่เราตั้งต้นว่าเอ้ยถ้า
00:25:03 → 00:25:06 เป็นแล้วไม่กินสิ่งเหล่านั้นจะถูกกระตุ้น
00:25:06 → 00:25:10 ให้เป็นน้อยลงมอ่าคำตอบคือใช่ครับอย่าง
00:25:10 → 00:25:13 เช่นในพวกของไขมันจากสัตว์ในกลุ่มของน้ำำ
00:25:13 → 00:25:18 ตาลในกลุ่มของที่มันมีไน lc aid เช่นอ่า
00:25:18 → 00:25:22 น้ำมันที่มาจากพืชถั่วเมล็ดต่างๆ R me
00:25:22 → 00:25:24 ไข่อะไรแบบเครับการไม่กินสิ่งเหล่านั้น
00:25:25 → 00:25:27 หรือว่ากินน้อยลงหรือหรือลิมิให้มันน้อย
00:25:27 → 00:25:30 ลงครับจะทำให้ถูกทริกเกอร์ให้เป็นน้อยลง
00:25:30 → 00:25:34 อือือย่างเงี้ครับอ่าในทางกับการการที่
00:25:34 → 00:25:36 ทานพวก High fibber Diet หรือผลไม้ที่
00:25:36 → 00:25:38 มีรดเปรี้ยวหรือที่เรียกว่า cus Food
00:25:38 → 00:25:40 ครับตรงเหล่านี้อาจจะเป็นตัวป้องกันไม่
00:25:40 → 00:25:43 ให้เป็นได้ในคนที่เป็นอยู่แล้วอืป้องกัน
00:25:43 → 00:25:45 ไม่ให้มีอาการเพิ่มขึ้นหรือป้องกันไม่ให้
00:25:45 → 00:25:48 ถูกทริกเกอร์ได้ได้ก็คือป้องกันแล้วก็ลดอ
00:25:48 → 00:25:51 ลดการอักเสบไม่ให้รุนแรงขึ้นอะไรอย่าเงี้
00:25:51 → 00:25:53 ได้มั้ยคะก็เนื่องจากว่าโลกมันเป็นเป็น
00:25:54 → 00:25:56 เป็นเป็นรอบๆเป็น episodic เป็นรอบๆเพราะ
00:25:56 → 00:25:59 ฉะนั้นมันก็จะต้องปกันให้ทำให้ความถี่ของ
00:25:59 → 00:26:02 การเป็นแต่ละรอบมันห่างออกไปหรือความรุน
00:26:02 → 00:26:05 แรงที่เป็นมันลดลงอือย่างเงี้ยคอือ
00:26:05 → 00:26:09 อืออืมเพราะฉะนั้นเองเพราะฉะนั้นเอง
00:26:09 → 00:26:12 เรื่องของของเรื่องของการกินอะไรเนี้ยอาจ
00:26:12 → 00:26:15 จะเป็นเป็นส่วนที่เรามองมองไปอีกช็อตนึง
00:26:15 → 00:26:18 ใช่มช็อตหลังจากดูในเรื่องของพื้นเพ
00:26:18 → 00:26:22 พันธุกรรมเรื่องของเอ่ออะไรแบบนี้ที่ที่
00:26:22 → 00:26:25 น่าจะเป็นเป้าเป้าหลักในการวินิจฉัยใช่
00:26:25 → 00:26:26 ครับเพเพราะจริงๆการถูกกระตุ้นมันมีจาก
00:26:27 → 00:26:29 หลายอย่างมากเลยครับการกินส่วนนึงในบางคน
00:26:29 → 00:26:31 ก็ถูกกระตุ้นจากวัคซีนก็ได้แล้วได้รับ
00:26:31 → 00:26:33 วัคซีนบางอย่างแล้วก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอัน
00:26:33 → 00:26:34 นี้ก็มีครับเพราะว่าวัคซีนก็เป็นตัว
00:26:34 → 00:26:37 กระตุ้นภูมิคุ้มกันเหมือนกันออืมันก็ได้
00:26:37 → 00:26:39 เหมือนกันหรือว่าไปติดเชื้ออะไรมาไม่ต้อง
00:26:39 → 00:26:41 วัคซีนไปติดเชื้อสมมุติไปทานอาหารติด
00:26:41 → 00:26:44 เชื้อผิดปกติภูมพุมกันเรามีการทำงานหรือ
00:26:44 → 00:26:46 ภูมหุ้มกันเราอ่อนกำลังลงพักผ่อนไม่พอมัน
00:26:46 → 00:26:49 ก็ถูกกระตุ้นได้หมดเลยค่ะอ่าสิ่งเหล่านี้
00:26:49 → 00:26:51 เล็กๆน้อยๆอ่ะครับถูกกระตุ้นได้หมดเพราะ
00:26:51 → 00:26:54 ฉะนั้นมันอาจจะบอกยากว่าในคนเนี้ยต้องทำ
00:26:54 → 00:26:57 อะไรในคนนั้นต้องทำอะไรเมันยากมันอาจจะ
00:26:57 → 00:26:59 ต้องดูกันเป็นรล้าเลยว่าเอ้ยอะไรที่เป็น
00:26:59 → 00:27:01 ตัวกระตุ้นของเขามากที่สุดงั้นจะต้อง
00:27:01 → 00:27:03 เลี่ยงอะไรอย่าเงี้ยครับ
00:27:03 → 00:27:09 อืครับผมเอ่อพอถึงเวลาถ้าเกิดวินิจฉัยออก
00:27:09 → 00:27:14 มาแล้วเป็นเป็นอ่อไอ B ibd จริง I เอ่อ
00:27:14 → 00:27:19 ibd จริงๆเนี่ยเอ่อการรักษามันมันมีกี่
00:27:19 → 00:27:23 ขั้นตอนครับถึงถึงจะแบบให้หายขาดได้มั้ย
00:27:23 → 00:27:25 หรือว่าแค่ได้แค่บรรเทาแล้วก็เดี๋ยวค่อย
00:27:25 → 00:27:28 เป็นใหม่อีกอะไรเงี้ยคุณหมอฮะการค่ะส่วน
00:27:28 → 00:27:30 ใหญ่ในเรื่องของการหายขาดจะค่อนข้างน้อย
00:27:30 → 00:27:33 ครับค่ะอืหายขาดไปเลยจะค่อนข้างน้อย
00:27:33 → 00:27:35 เนื่องจากว่ามันเป็นโรคของภูมคุ้มกันเมน
00:27:35 → 00:27:38 เมนการรักษาจะเป็นเรื่องของการคอนโรลแต่
00:27:38 → 00:27:40 ว่าถามว่ามีคนเราใช้คำว่า remission
00:27:40 → 00:27:43 remission คือหมายถึงว่าโรคสงบค่ะเพราะ
00:27:43 → 00:27:46 ฉะนั้นเราใช้คำว่าโรคสงบมากกว่าแต่ถ้าบอก
00:27:46 → 00:27:48 ว่าหายไปเลยไม่เป็นอีกเลยมยอันนี้อันนี้
00:27:48 → 00:27:51 คงต้องดูกันยาวๆแต่ว่าเราทำให้โรคสงบลง
00:27:51 → 00:27:55 ได้จากการรักษานะครับอ่าค่ะอ่าแต่จะใช้
00:27:55 → 00:27:58 เวลาพอสมควร
00:27:58 → 00:27:59 ใช้เวลาพอสมควรเลยครับในเรื่องของการ
00:27:59 → 00:28:02 รักษาแต่ไม่ได้รักษากันสั้นๆแบบ 3
00:28:02 → 00:28:04 อาทิตย์ 5 อาทิตย์อะไรแบบนี้ครับใช้หลัก
00:28:04 → 00:28:08 เป็นปีเลยครับใช่ค่ะโอ้โหอย่างงั้นเป็นปี
00:28:08 → 00:28:11 ใช่ค่ะพอดีมีคนในครอบครัวค่ะคุณหมอเอ่อ
00:28:11 → 00:28:15 เป็นออโตอิมมูนเหมือนกันแล้วก็ต้องกินยา
00:28:15 → 00:28:18 ตัวกดภูมิคุ้มกันตัวเองอ่ะค่ะประมาณปี
00:28:18 → 00:28:21 ครึ่งอ่ะค่ะถึงจะเอ่อในช่วงละปีครึ่ง
00:28:21 → 00:28:24 เนี่ยก็คือจะเป็นลักษณะการลดเอ่อจำนวนยา
00:28:24 → 00:28:27 อาจจะ 2 เม็ดหรือ 1 เม็ดจาก 1 เม็ดหรือ
00:28:27 → 00:28:31 ครึ่งเม็ดเลยอะไรเงี้ยค่ะแล้วก็พอลดยาลง
00:28:31 → 00:28:36 มาถึงเอ่อระดับที่ครึ่งเม็ดแล้วหลังจาก
00:28:36 → 00:28:39 นั้นคุณหมอก็จะพิจารณาอีกครั้งนึงว่าเอ่อ
00:28:39 → 00:28:42 คนไข้อยู่ในสถานการณ์ที่โรคสงบแล้วไม่
00:28:42 → 00:28:46 จำเป็นต้องอินยากดภูมิคุ้มกันหรือเปล่า
00:28:46 → 00:28:49 อันเนี้ยแต่ว่าคือถ้าคนไข้ในกลุ่มเนี้ย
00:28:49 → 00:28:52 ค่ะถ้าเป็นอยู่แล้วเรื่องของภูมิคุ้มกัน
00:28:52 → 00:28:56 บกพร่องเนี่ยค่ะจะต้องมีการวงรอบในการที่
00:28:56 → 00:28:59 ตรวจกับคุณหมอเนี่ยระยะห่างกันเนี่ยเอ่อ
00:28:59 → 00:29:02 ประมาณกี่เดือนหรือว่าเขามีลักษณะเกณฑ์ใน
00:29:02 → 00:29:06 การพิจารณาตัวเองระหว่างที่รออยู่ที่บ้าน
00:29:06 → 00:29:08 ว่าเอ๊ะฉันมีอาการผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย
00:29:09 → 00:29:12 มีวิธีการสังเกตยังไงบ้างคะคุณหมอจริงๆ
00:29:12 → 00:29:14 โดยทั่วๆไปในโลกกลุ่มเยครับเนื่องจากการ
00:29:14 → 00:29:16 รักษามันค่อนข้างยาว 1 ปี 1 ปีครึ่ง 2 ปี
00:29:16 → 00:29:19 อะไรแบบเนี้ยอ่ามันจะมีรอบของการนัดอยู่
00:29:19 → 00:29:21 แล้วเราเราจะมีการนัดติดตามอยู่แล้วอ่ะ
00:29:21 → 00:29:24 ครับประ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือนแล้วแต่
00:29:24 → 00:29:27 แล้วแต่ว่าแคนนั้นขณะนั้นโรคความความรุน
00:29:27 → 00:29:29 แรงของโรคเป็นอย่างไรแล้วก็ลักษณะของของ
00:29:29 → 00:29:32 การทริกเกอร์ของเขาเป็นอย่างไรนะครับแล้ว
00:29:33 → 00:29:35 ก็แล้วก็แพลนเราที่จะเรื่องของการลดยาก็
00:29:35 → 00:29:38 มีส่วนเช่นช่วงนี้ไม่ต้องลดยานัดห่างๆได้
00:29:38 → 00:29:39 คนไข้ไม่ได้มีอาการอะไรมานานแล้วอย่าง
00:29:39 → 00:29:41 เงี้ยครับเพราะฉะนั้นความความถี่อาจจะไม่
00:29:41 → 00:29:44 ได้สม่ำเสมอแต่ผมว่ามันจะเรนอยู่ประมาณ
00:29:44 → 00:29:47 เนี้ย 1 ถึงไม่เกิน 3 เดือนจะต้องเจอคุณห
00:29:47 → 00:29:51 นิดนึงอย่าเงี้อค่ะอ่ามีก็อันที่ 2 ตัว
00:29:51 → 00:29:54 จุดสังเกตว่าเฮ้ยถ้ามันมีนัดแต่ว่าณตอน
00:29:54 → 00:29:56 นี้เราควรจะไปก่อนนัดหรือเปล่าก็คืออาการ
00:29:56 → 00:29:59 ที่มันผิดปกติที่ค่ะของที่เราอยู่มัน
00:29:59 → 00:30:02 เริ่มมีแนวกลับมาเช่นไม่เคยมีไข้มานาน
00:30:02 → 00:30:05 แล้วอยู่ดีๆมันมีไข้ต่ำๆตลอดเวลาค่ะไม่
00:30:05 → 00:30:07 ถ่ายท้องอยู่วันละครั้งอยู่ดีๆช่วงนี้มา
00:30:07 → 00:30:10 ถ่ายวันละ 3 ครั้งบวกกับมีมูกปนอถ่ายแล้ว
00:30:10 → 00:30:13 มีเลือดปนออกมาเ้ยไม่กินข้าวแล้วรู้สึก
00:30:13 → 00:30:16 ปวดท้องผิดปกติในช่วงนี้จะปวดปล่อยปวดมาก
00:30:17 → 00:30:19 ขึ้นเรื่อยๆอย่างเงี้ยครับกรณีเหล่าเนี้
00:30:19 → 00:30:21 เป็นสัญญาณที่เราอาจจะต้องเริ่มกลับไปหา
00:30:21 → 00:30:23 หมอก่อนหรืออยู่ดีๆน้ำหนักลดไม่มีสาเหตุ
00:30:23 → 00:30:26 เลยน้ำหนักลดเอาลเอาลเอาเลยเงี้ยฮะค่ะอ่า
00:30:26 → 00:30:29 การขับถ่ายที่เปลี่ยนไปจากถ่ายได้อยู่ดีๆ
00:30:29 → 00:30:30 กลายเป็นถ่ายไม่ได้อย่างเงี้ยครับอันนี้
00:30:30 → 00:30:36 อาจจะต้องไปพบคุณหมอก่อนนัดละอือือืมี
00:30:36 → 00:30:40 ครับผมคุณผู้ฟังจากทางบ้านถามมาว่าตัวโรค
00:30:40 → 00:30:43 เอ่อที่เราพูดคุยกันอยู่ก็คือลำไส้อักเสบ
00:30:43 → 00:30:46 เรื้อรังเนี่ยเอ่อความเครียดเนี่ยเกี่ยว
00:30:46 → 00:30:49 ข้องกับโรคนี้หรือเปล่าแล้วก็เอ่อผื่นใน
00:30:49 → 00:30:52 ปากคือมีเป็นแบบตุ่มหลายๆเม็ดหรือเปล่า
00:30:52 → 00:30:54 หรือว่าแค่เม็ดเดียวค่ะที่ลักษณะของการ
00:30:54 → 00:30:58 เกิดผื่นหรือว่าเอ่อแผลในปากอ่ะค่ะมัน
00:30:58 → 00:31:00 เป็นลักษณะประมาณไหนคะคุณหมออส่วนส่วน
00:31:00 → 00:31:02 ใหญ่แผลในปากจะค่อนข้างต่างจากแผร้อนในนะ
00:31:03 → 00:31:04 แผลร้อนในเราจะเป็นเล็กๆเนาะหรือเวลาเรา
00:31:04 → 00:31:07 กัดปากก็จะเป็นเล็กๆกลมๆหลุมๆนิดนึงอย่าง
00:31:07 → 00:31:09 เงี้ยครับแต่ว่าแผลพวกเหล่านี้เนื่องจาก
00:31:09 → 00:31:12 เป็นแผลจากการเซาะหรือว่าอักเสบเลยเพราะ
00:31:12 → 00:31:14 ฉะนั้นแผลจะค่อนข้างใหญ่หน่อยแล้วแผลอาจ
00:31:14 → 00:31:17 จะมีหลายๆแผลไม่ค่อยมีแผลเดียวอือ่าหรือ
00:31:17 → 00:31:20 อาจจะมีทั่วๆปากเลยก็ได้กลืนแล้วก็เจ็บ
00:31:20 → 00:31:22 เลยด้วยซ้ำอะไรแบบเยครับค่ะอ่ากลุงเหลนี้
00:31:22 → 00:31:24 แผลในปากจะค่อนข้างเดี๋ยวเดี๋ยวไม่งั้น
00:31:24 → 00:31:26 ทุกคนที่เป็นแผลร้อนใดจะตกใจกันหมดใช่
00:31:26 → 00:31:30 กำังมันในใช่มคะอะไเงี้ยมันต่างต่างกัน
00:31:30 → 00:31:32 ครับมันจะค่อนข้างลึกและใหญ่กว่ามันจะ
00:31:32 → 00:31:35 ต่างกันความรุนแรงจะสูงกว่าแผลร้อนในทั่ว
00:31:35 → 00:31:39 ๆไปคือร้อนในค่ะร้อนในเราป้ายยาสัก 3 วัน
00:31:39 → 00:31:43 ก็น่าจะดีขึ้นแล้วนะใช่ครับป้ายยาป้ายยา
00:31:43 → 00:31:45 ไม่ป้ายยาก็ 2-3 วันก็จะปิดแล้วครับปาก
00:31:45 → 00:31:48 เราแผลหายเร็วนะครับเนื่องจากเส้นเลือด
00:31:48 → 00:31:50 มันค่อนข้างเยอะแต่ว่าแผลพวกเยมันไม่ค่อย
00:31:50 → 00:31:54 หายมันมันมันหายชปกติอ่าเพราะฉะนั้นเพราะ
00:31:54 → 00:31:57 ฉะนั้นตรงนี้จะเป็นจุดนึงอ่าส่วนส่วนคำ
00:31:57 → 00:31:59 ถามเมื่อกี้ก่อนหน้าเรื่องแผลในปากมีอะไร
00:31:59 → 00:32:01 นะครับเบอกถามว่าโรคนี้มีความเกี่ยวข้อง
00:32:01 → 00:32:04 กับความเครียดมั้ยความเครียดมีส่วนมั้ย
00:32:04 → 00:32:07 ออเต้องบอกว่าร่างกายเราให้มองมันเป็น
00:32:07 → 00:32:09 หนึ่งเนาะเวลาเรามีความเครียดแน่นอนระบบ
00:32:09 → 00:32:12 ต่างๆก็รวนแต่ถ้าถามว่ามันเกี่ยวตรงๆ
00:32:12 → 00:32:14 เหมือนกับำไส้แปรวนเลยมั้ยขต่อคือไม่ขนาด
00:32:14 → 00:32:17 นั้นค่ะอ่าแต่แต่สมมุติเป็นวัตตแล้ว
00:32:17 → 00:32:20 เครียดด้วยก็จะรู้สึกอ่อนเพียกว่าปกติ
00:32:20 → 00:32:22 เพราะฉะนั้นมันจะเป็นอาการข้างเคียงอื่นๆ
00:32:22 → 00:32:24 มากกว่าที่ไปทำให้มันแย่ลงถ้าเกิดว่าเป็น
00:32:24 → 00:32:27 ลำไส้ลเสเลังแล้วเครียดอค่ะแต่ไม่ได้ทำ
00:32:27 → 00:32:31 ให้ตัวรเสียบเรือรังมันมันมันแย่ลงไปแต่
00:32:31 → 00:32:34 ผมเอเอาใหม่กลับกันสมมุติถ้าเป็นคนเครียด
00:32:34 → 00:32:38 แล้วไปสูบบุหรี่ค่ะอันนี้แย่ลงอ่าอเนื่อง
00:32:38 → 00:32:41 จากว่าบุหรี่มีผลกับลำไส้อักเสบเรื้อรัง
00:32:41 → 00:32:44 ในลักษณะที่เป็นโนดีสเงี้ฮเพราะฉะนั้นโน
00:32:44 → 00:32:48 ดีสจะแย่ลงค่ะครับออหรือสมมุติเป็นคนที่
00:32:48 → 00:32:51 เอ่อจริงๆจริงๆหลักฐานตรงนี้ไม่ชัดนะ
00:32:51 → 00:32:54 เรื่องของกาแฟอย่างเงี้ยครับอกาแฟหลักฐาน
00:32:54 → 00:32:56 ไม่ชัดแต่ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ให้เรียกแล้ว
00:32:56 → 00:32:58 กันแต่ว่าหลักฐานอาจจะไม่ได้ชัดเจนนหรือ
00:32:59 → 00:33:01 แบบไปช่วงนั้นไปดื่มกาแฟกหนำเลยวันนึง 89
00:33:01 → 00:33:04 109 มันก็อาจจะมีอาการทิกเกอร์ขึ้นมาได้
00:33:04 → 00:33:08 อค่ะแล้วตัวแอลกอฮอล์ล่ะคะคุณหมอมีทำให้
00:33:08 → 00:33:11 เกิดอาการเพิ่มขึ้นมั้ยคะแอลกอฮแอลกอฮอล์
00:33:11 → 00:33:13 มีส่วนที่ทำให้เกิดอาการเพิ่มขึ้นได้ครับ
00:33:13 → 00:33:17 ค่ะเพราะฉะนั้นในในช่วงที่เป็นเ้าก็จะแนะ
00:33:17 → 00:33:19 นำให้ให้ให้พยายามเลี่ยงบุหรี่เลี่ยง
00:33:19 → 00:33:21 แอลกอฮอลอยู่ดีครับอืจริงๆจริงๆต้องบอก
00:33:21 → 00:33:23 ว่าข้อมูลเรื่องบุหรี่กับ alic colitis
00:33:23 → 00:33:26 หรือที่เรียกว่า uc เนี่ยค่ะไม่ค่อยมีนะ
00:33:26 → 00:33:29 ครับแต่แต่อย่างก็ตามด้วยความที่มันมีผล
00:33:29 → 00:33:30 เสียด้านอื่นเยอะกว่าเรายังแนะนำให้
00:33:30 → 00:33:35 เลี่ยงอยู่ดีอืค่ะอืครับออก็ยังไงก็ต้อง
00:33:35 → 00:33:39 เลี่ยงไว้ก่อนใช่ใช่ครับเลิกเลยได้ดีเลิก
00:33:39 → 00:33:42 เป็นดีครับค่ะคุณผู้ฟังจากทางบ้านถามมา
00:33:42 → 00:33:45 ว่าเอ๊ะฟังจากอาการที่คุณหมอพูดๆมาเนี่ย
00:33:45 → 00:33:50 นะคะเอ่อผมอาจจะเข้าข่ายอยู่นะรู้สึกว่า
00:33:50 → 00:33:53 จะลำไส้แบบเหมือนกับว่ามีความปั่นป่วน
00:33:53 → 00:33:55 แล้วถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองเข้าข่าย
00:33:55 → 00:33:59 เนี่ยก็เอ่อวิธีการรักษาเริ่มต้นนไปหาคุณ
00:33:59 → 00:34:02 หมอเอ่อให้ไปที่โรงพยาบาลแล้วก็ไป
00:34:02 → 00:34:06 อายุรแพทย์อายุเอ่ออายุรกรรมเลยมั้ยคะคุณ
00:34:06 → 00:34:08 หมอหรือว่ายังไงดีอ่ะถ้าไปให้ไปพบแพทย์
00:34:08 → 00:34:10 ทางเดือนอาหารนะครับจะเป็นอายุรกรรมทาง
00:34:10 → 00:34:13 เดือนอาหาระตันะครับค่ะแต่ว่าอ่าอันนี้ผม
00:34:13 → 00:34:17 ผมผมผมว่าเดี๋ยวเดี๋ยวคือคือถ้าถ้าเหมือน
00:34:17 → 00:34:19 ให้ไปพบหรือว่าไม่เหมือนก็ไปพบก็ได้ไป
00:34:19 → 00:34:20 ปรึกษาผมเชื่อว่าแพทย์ทุกท่านให้คำแนะนำ
00:34:21 → 00:34:23 ได้แน่นอนค่ะแต่ว่าอัตราการเป็นของ
00:34:23 → 00:34:27 ประชากรบ้านเราครับมันเยอะขึ้นจริงแต่ว่า
00:34:27 → 00:34:30 แต่ว่าในแสนคนเราอาจจะเจอสักครึ่งคนนะ
00:34:30 → 00:34:35 ครับครึ่งคนถึงคนครึ่งนะฮะน้อยมากนะอือฮ
00:34:35 → 00:34:38 ครับมันยังไม่ได้เยอะอะไรแบบนั้นนะครับ
00:34:38 → 00:34:41 ไม่ได้ว่าแพร่หลายอะไรขนาดนั้นแต่ว่าแต่
00:34:41 → 00:34:43 ว่าด้วยความที่ว่าอ่ามันเยอะขึ้นกว่า
00:34:43 → 00:34:46 เมื่อก่อนเมื่อก่อนมันน้อยมากออแต่
00:34:46 → 00:34:49 ปัจจุบันมันก็เยอะขึ้นนะฮะเราเราเอ่อตัว
00:34:49 → 00:34:52 เลขตัวเลขนี้มันอาจจะตัวเลขเก่าหน่อยปี
00:34:52 → 00:34:55 ประมาณปี 64 65 ตัวเลขใหม่ๆมันอาจจะขึ้น
00:34:55 → 00:34:59 มาแบบ 2-3 คนอะไรแบบเนี้ยครับผม
00:34:59 → 00:35:02 ว่าอยอาจจะไม่ได้เยอะแบบโอหเยอะแยะอะไ
00:35:02 → 00:35:04 ขนาดนั้นเลยยังไม่ได้แบบนั้นครับแต่แค่
00:35:04 → 00:35:06 มันเริ่มเยอะขึ้นแล้วก็แนวโน้มก็จะเยอะ
00:35:06 → 00:35:09 ขึ้นไปอีกอย่างเงี้ครับค่ะพวิทยาการที่
00:35:09 → 00:35:13 มันเพิ่มที่ดีขึ้นครับถ้า้าถ้าสงสัยว่า
00:35:13 → 00:35:16 เป็นจริงๆอันนี้ยพบแพทย์ดีกว่าชั่วกว่า
00:35:16 → 00:35:18 อย่าเพิ่งไปรับประทานอะไรเองหรือไปจาน
00:35:18 → 00:35:21 สเตอรอยเองอะไรเองอันนี้ไม่แนะนำเลยนะ
00:35:21 → 00:35:25 ครับแคกกไม่ต้องกดภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง
00:35:25 → 00:35:28 ให้คุณหมอช่วยดูให้ดีกว่าเนาะใช่ถ้าคนที่
00:35:28 → 00:35:31 ไปแบบหายายูกยามากินเอง่ะครับมันจะมีผล
00:35:32 → 00:35:36 ยังไงมั้ยครับอ่าก็สมมุติสมมติถ้าเราเป็น
00:35:36 → 00:35:39 ก็ชคดีฮะแต่ว่าข้อเสียคือเราไม่รู้โดสของ
00:35:39 → 00:35:42 มันว่าเราควรใช้เท่าไหร่เพราะฉะนั้นยายา
00:35:42 → 00:35:45 ทุกตัวครับมันมีผลข้างเคียงอยู่แล้วค่ะ
00:35:45 → 00:35:47 เวลาเราเราใช้โดยที่เราไม่รู้ว่าเราได้
00:35:47 → 00:35:49 ข้อดีของมันตรงไหนสิ่งที่เราจะได้มากกว่า
00:35:49 → 00:35:51 คือข้อเสีย
00:35:51 → 00:35:54 สมดครับอ่าเพราะฉะนั้นมันจะกะเกณฑ์
00:35:54 → 00:35:55 ประเมินไม่ได้แล้วก็จะเดาไม่ได้ด้วยว่า
00:35:56 → 00:35:58 ตกลงตกลงเป็นอะไรอย่างไรข้อที่เสียตามมา
00:35:58 → 00:36:01 คือสมมติว่าถ้าเป็นจริงๆแล้วไปทานยาพวก
00:36:01 → 00:36:04 กลุ่มสเตอรอยด์เองหรือกดภูมิเองอครับสิ่ง
00:36:04 → 00:36:07 ที่เกิดขึ้นคือสมมุติวันนั้นอ่าได้ไปตรวจ
00:36:07 → 00:36:10 ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่คุณหมอจะวินิจฉัย
00:36:10 → 00:36:12 ไม่ออกเหมือนกันนะครับณวันนั้นมันซึ่งมัน
00:36:12 → 00:36:15 อาจจะดียออกไปเลยดีการการการรักษาออกไป
00:36:15 → 00:36:18 ข้อที่ 2 คืออย่างที่บอกว่าตัวลำไส้
00:36:18 → 00:36:20 อักเสบเรื้อรังมันมีความเสี่ยงต่อมะเร็ง
00:36:20 → 00:36:23 อยู่แล้วนั่นหมายความว่าเรากำลัง delay
00:36:23 → 00:36:25 การป้องกันออกไปด้วยเวลาในเวลาเดียวกัน
00:36:25 → 00:36:28 เวลาที่เราไปไปไปไปทานยาด้วยตัวเองอกค่ะอ
00:36:28 → 00:36:31 เพราะฉะนั้นการการเข้าไปสู่ในระบบของของ
00:36:31 → 00:36:35 สุการการการรักษาสุขภาพหรือว่าโรงพยาบาล
00:36:35 → 00:36:37 ต่างๆครับตรงนั้นจะช่วยมอนิเตอรให้เราได้
00:36:37 → 00:36:40 ดีกว่าผมผมมองแบบนั้นนะออาจจะได้ประโยชน์
00:36:40 → 00:36:43 กว่าในหลายๆส่วนเลยไม่ใช่แค่เรื่องของการ
00:36:43 → 00:36:45 รักษาอาการอย่างเดียวเนื่องจากตัวโรกมัน
00:36:45 → 00:36:47 เรานอกจากรักษาอาการเราต้องมองไปข้างหน้า
00:36:47 → 00:36:49 ด้วยว่ามีความเสี่ยงอะไรอีกแล้วจะต้อง
00:36:49 → 00:36:52 ป้องกันอย่างไรตรงเครับผู้ติดตามให้ดี
00:36:52 → 00:36:57 กว่าเยอะครับครับผมอ่าฮะก็คือคุณหมออย่าง
00:36:57 → 00:37:00 งี้ถ้าจะให้สรุปิ้งท้ายซะหน่อยก็คืออย่าง
00:37:00 → 00:37:05 งี้เราควรจะกังวลหรือกลัวกับโรคนี้มาก
00:37:05 → 00:37:08 น้อยแค่ไหนครับคุณหมออืผมว่าให้เราให้เรา
00:37:08 → 00:37:10 รู้ว่ามันมีดีกว่าครับว่าว่าโรคเหล่านี้
00:37:10 → 00:37:13 มีแล้วก็หน้าตามันเป็นอย่างไรแล้วก็อ่า
00:37:13 → 00:37:15 ถ้ากรณีเรามองว่าเอ้ยเราเข้าข่ายหรือ
00:37:15 → 00:37:18 เปล่าหรือว่าเราเราเราเหมือนหรือเปล่า
00:37:18 → 00:37:20 อันเนี้ยครับไม่ต้องเก็บความกังวลอันนั้น
00:37:20 → 00:37:23 เอาไว้สอบถามผู้รู้ปรึกษาแพทย์ปาทีม
00:37:23 → 00:37:26 พยาบาลอ่าโทรปัจจุบันมีเทเลเมดิซีนเยอะ
00:37:26 → 00:37:29 แยะละเ Medicine เข้าไปถามก่อนเลยก็ได้
00:37:29 → 00:37:32 ครับอ่าก็ว่าเอ้ยเราอ่ะเหมือนไหกรณีแบบ
00:37:32 → 00:37:34 นี้เหมือนมควรเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลมถ้า
00:37:34 → 00:37:36 แบบยังนึกไม่ออกคิดว่าควรไปหรือไม่ควรไป
00:37:36 → 00:37:40 ก็อาจจะใช้ช่องทางเหล่านี้ก็ได้ครับค่ะอื
00:37:40 → 00:37:42 มากมากกว่ามากกว่าการไปเสิร์ชการไปเสิร์ช
00:37:43 → 00:37:44 หาข้อมูลเป็นเรื่องดีแต่อย่ากลัวกับข้อ
00:37:44 → 00:37:46 มูลที่เรา
00:37:46 → 00:37:48 เจอเพราะว่าไม่รู้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูล
00:37:48 → 00:37:51 จริงเท็จแค่ไหนใช่ใช่ครับเนื่องจากข้อมูล
00:37:51 → 00:37:54 ในหน้าจอเราเนี่ยใครก็เขียนได้เพราะะนั้น
00:37:54 → 00:37:56 มันถูกแค่ไหนตรงกับเราแค่ไหนอันเนี้ยไม่
00:37:56 → 00:37:58 มีใครรู้แล้วโดยมากเวลาเราอ่านข้อมูลเรา
00:37:58 → 00:38:00 จะเลือกแต่สิ่งที่ตรงกับเราเราจะตรัสิ่ง
00:38:00 → 00:38:02 ที่ไม่ตรงกับเราออกไปเพราะฉะนั้นมันจะทำ
00:38:02 → 00:38:05 ให้เราตรงกับทุกเรื่องเลยใช่กำลังเอ๊อัน
00:38:05 → 00:38:08 นั้นก็ปวดอันนี้ก็ใช่ตกลงคือวิตกกังวลไป
00:38:08 → 00:38:11 ด้วยก่อนใช่ครับค่ะใช่ครับอ่าตรงนั้นผม
00:38:11 → 00:38:14 ว่าเป็นความทรมานแบบนึงเพราะฉะนั้นถ้าถ้า
00:38:14 → 00:38:17 เราสงสัยแล้วอ่ะมีความสงสัยแล้วโอเคก็ก็
00:38:17 → 00:38:20 สอบถามผู้รู้เลยหรือว่าหรือว่าไปพบคุณหมอ
00:38:20 → 00:38:22 เลยก็ได้ผมเชื่อว่าไม่มีคุณหมออไหนไม่ไม่
00:38:22 → 00:38:25 อธิบายหรอกอันนี้อธิบายทุกคนแน่นอนค่ะแต่
00:38:25 → 00:38:27 ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรกลัวเกินไปเพราะ
00:38:27 → 00:38:29 อย่างที่บอกมันมันเจอเยอะขึ้นจริงแต่มัน
00:38:29 → 00:38:31 ไม่ได้หมายความว่าโอ้โหมันจะเจอเยอะแบบ
00:38:31 → 00:38:34 ใครๆก็เป็นอืมันไม่ได้เป็นแบบนั้นอ่ามัน
00:38:35 → 00:38:37 มันก็ยังมีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นเองที่
00:38:37 → 00:38:39 ยังที่ที่มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้มากขึ้นนะ
00:38:39 → 00:38:41 ครับก็ยังเป็นคนส่วนน้อยส่วนน้อยมากๆส่วน
00:38:41 → 00:38:44 นึงเลยไม่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประชากรอยู่
00:38:44 → 00:38:48 ดีออ่าไม่ไม่ไม่อยากให้ไม่อยากให้กลัวกับ
00:38:48 → 00:38:52 กับกับกับอะไรที่มันเพิ่มขึ้นหรืออะไรที่
00:38:52 → 00:38:54 มาใหม่อ่ะครับแต่อยากให้ตระหนักรู้มาก
00:38:54 → 00:38:57 กว่าว่ามันมีอืเราจะไม่เอามาป้องกันตัว
00:38:57 → 00:39:00 เองได้ครับอืครับมีคุณผู้ฟังขอบคุณคุณหมอ
00:39:00 → 00:39:04 มานะฮะก็บอกว่าทำให้แบบเอ่อเป็นส่วนสำคัญ
00:39:04 → 00:39:07 มากๆเลยสำหรับเรื่องรำไส้เรื้อรังหมั่น
00:39:08 → 00:39:10 หมั่นใส่ใจแล้วก็มองข้ามไม่ได้คุณผู้ฟัง
00:39:10 → 00:39:13 ฝากบอกมาฝากบอกขอบคุณมานะครับหลายๆคุณผู้
00:39:13 → 00:39:15 ฟังก็ขอบคุณคุณหมอมาที่มาให้ความรู้กว่า
00:39:15 → 00:39:18 นี้คุณหมออนะครับก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรค
00:39:18 → 00:39:22 ที่อาจจะอ่ารู้เท่าทันไว้ก่อนนะครับถ้า
00:39:22 → 00:39:26 ถ้ามันใกล้เคียงหรืออะไรยังไงไปหาคุณหมอ
00:39:26 → 00:39:29 เป็นดีที่สุดอย่าเพิ่งไปอย่าอย่าตัดสินใจ
00:39:29 → 00:39:33 หายูกยามากินอะไรที่มันเพิ่มเพิ่มรายจ่าย
00:39:33 → 00:39:35 เข้าไปนะคุณหมอมันเพิ่มรายจ่ายแล้วก็
00:39:35 → 00:39:37 เพิ่มระยะเวลาการรักษาด้วยเนาะยิ่งยิใน
00:39:38 → 00:39:41 ปัจจุบันมีมนมีอะไรต่างๆที่ที่ป้องกัน
00:39:41 → 00:39:43 นู่นนี่นั่นได้อะไรอย่าเงี้ยครับค่ะแล้ว
00:39:43 → 00:39:46 ถ้าสงสัยไปถามก่อนเลยดีกว่าอย่าอย่าเพิ่ง
00:39:46 → 00:39:49 ไปรีบไปรีบไปรีบบอกว่าเป็นอันนั้นอันนี้
00:39:49 → 00:39:51 แล้วป้องกันไปอย่างเงี้ยครับเพราะว่าทุกๆ
00:39:51 → 00:39:54 ทุกๆอย่างมีข้อเสียไม่มีอะไรมีแต่ข้อดีอื
00:39:54 → 00:39:57 ทุกๆอันมีทั้งข้อดีและข้อเสียมันมีข้อดี
00:39:58 → 00:40:01 อย่างเดียวเราเราใช้อะไรไปโดยที่มันไม่
00:40:01 → 00:40:03 ได้ตรงตามนั้นโดยที่เราไม่รู้อสิ่งที่เรา
00:40:03 → 00:40:07 จะได้คือข้อเสียเราไม่ได้ได้ข้อดีอืค่ะ
00:40:07 → 00:40:10 ครับก็ครับครับขอบคุณคุณหมอมากครับวันนี้
00:40:10 → 00:40:14 นะครับเป็นอีกหนึ่งโรคที่คุณหมอมาพูดคุย
00:40:14 → 00:40:16 กับเราแล้วก็ให้ความกระจ่างค่อนข้างชัด
00:40:16 → 00:40:19 เจนหลายๆคุณผู้ฟังได้ได้ได้ได้ข้อมูลไป
00:40:19 → 00:40:22 เยอะมากเลยพี่ขวัญขอบคุณคุณหมอนะครับวัน
00:40:22 → 00:40:24 นี้มีโอกาสคุยกันเรื่องหน้าเดี๋ยวผมจะไป
00:40:24 → 00:40:26 แอบกระซิบคุณหมออีกสักหน่อยว่ามีอะไร
00:40:26 → 00:40:30 เพิ่มเติมดีครับขอบคุณมากเลยครับขอบคุณ
00:40:30 → 00:40:32 มากค่ะคุณหมอขอบคุณครับสวัสดีนะครับ
00:40:32 → 00:40:35 สวัสดีครับขอบคุณครับขอบคุณครับสวัสดี
00:40:35 → 00:40:38 ครับผมก็เป็นนายแพทย์นะครับกุลเทพ
00:40:38 → 00:40:41 รัตนโกวิทนะครับอายุรแพทย์แพทย์ผู้ชำนาญ
00:40:41 → 00:40:43 การโรคระบบทางเดือนอาหารโรงพยาบาลวิมุตนะ
00:40:43 → 00:40:46 ครับ