00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับปัจจุบันโทรศัพท์มือถือก็เข้า
00:00:03 → 00:00:05 มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา
00:00:05 → 00:00:07 อย่างเลี่ยงไม่ได้นะครับไม่ว่าจะเป็นการ
00:00:07 → 00:00:10 เล่น Social Media การอ่านข่าวนะครับการ
00:00:10 → 00:00:13 ทำธุรกรรมต่างๆผ่านทางแอปธนาคารนะครับการ
00:00:13 → 00:00:15 โอนเงินการเล่นคริปโตอะไรพวกนี้นะครับ
00:00:15 → 00:00:18 หรือแม้แต่กระทั่งเล่นเกมก็กระทำผ่านมือ
00:00:18 → 00:00:21 ถือทั้งนั้นนะครับแล้วมือถือปัจจุบันก็
00:00:21 → 00:00:26 เป็นที่แพร่หลายในทุกๆสังคมนะครับทีนี้พอ
00:00:26 → 00:00:28 มันมีการแพร่หลายอย่างนี้แล้วเนี่ยนะครับ
00:00:28 → 00:00:31 ก็อาจจะมีบางคนเคยได้ยินข่าวต่างๆเกี่ยว
00:00:31 → 00:00:34 ข้องกับมือถือเช่นถ้าเราใช้มันบ่อยๆ
00:00:34 → 00:00:37 เดี๋ยวเราจะเป็นมะเร็งสมองนะเดี๋ยวคลื่น
00:00:37 → 00:00:39 ต่างๆของมือถือมันจะไปรบกวนคลื่นสมองของ
00:00:39 → 00:00:42 เราทำให้เรานอนหลับไม่สนิทโดยเฉพาะคนที่
00:00:42 → 00:00:44 เอามือถือวางไว้ข้างเตียงเวลาที่นอน
00:00:44 → 00:00:47 เดี๋ยวการนอนของเรามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
00:00:47 → 00:00:49 คลื่นสมองมันเสียไปนะครับมันอาจจะไปรบกวน
00:00:49 → 00:00:53 ต่างๆได้นะครับบางครั้งถ้าเราใช้ในผู้
00:00:53 → 00:00:55 ใหญ่บางคนก็กังวลว่าเอ๊ะเราจะเป็นสมอง
00:00:55 → 00:00:57 เสื่อมในอนาคตหรือเปล่าเป็นอัลไซเมอร์ไหม
00:00:57 → 00:00:59 ในเด็กก็อาจจะมีคนเคยได้ยินมาว่าถ้าเด็ก
00:00:59 → 00:01:02 ใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยๆเดี๋ยวมันก็จะมี
00:01:02 → 00:01:05 ปัญหาทางด้านพัฒนาการของสมองนะครับเรื่อง
00:01:05 → 00:01:08 พวกนี้มันมีข้อเท็จจริงอย่างไรบ้างมีหลัก
00:01:08 → 00:01:10 ฐานอะไรสนับสนุนไหมนะครับผมก็จะเอามาเล่า
00:01:10 → 00:01:12 ให้ฟังกันเลยในวันนี้นะครับรวมทั้ง
00:01:12 → 00:01:15 โทรศัพท์มือถือมันมีข้อเสียอะไรอย่างอื่น
00:01:15 → 00:01:17 อีกหรือเปล่านะครับก็จะเล่าให้ฟังกันเลย
00:01:17 → 00:01:19 นะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธานินทร์ธนี
00:01:19 → 00:01:21 วรรณนะครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศ
00:01:21 → 00:01:23 สหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่าย
00:01:23 → 00:01:25 ปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:01:25 → 00:01:29 มือถือนั้นมันใช้คลื่นการสื่อสารที่เรียก
00:01:29 → 00:01:32 ว่า electromatic feel นะครับโดยคลื่น
00:01:32 → 00:01:35 แม่เหล็กไฟฟ้าพวกนี้เนี่ยนะครับก็เป็น
00:01:35 → 00:01:39 สิ่งที่หลายๆคนอาจจะเคยเจออยู่แล้วที่ทุก
00:01:39 → 00:01:40 คนเคยเจออยู่แล้วล่ะครับแต่อาจจะไม่รู้
00:01:40 → 00:01:44 ว่ามันคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านะครับอ่ายก
00:01:44 → 00:01:46 ตัวอย่างเช่น x-ray พวกนี้ก็เป็นคลื่นแม่
00:01:46 → 00:01:49 เหล็กไฟฟ้านะครับเรื่อง cuv หรือแสงที่
00:01:49 → 00:01:51 เรามองเห็นต่างๆนะครับที่ทำให้เรามองเห็น
00:01:51 → 00:01:54 เป็นภาพเป็นเสียงเอ่อเป็นเป็นสีต่างๆพวก
00:01:54 → 00:01:57 เนี้ยนะครับก็เป็นรังสีชนิดนี้เหมือนกัน
00:01:57 → 00:01:58 นะครับหรือที่เรียกว่า
00:01:58 → 00:01:59 อิเล็กตรอนแมกเนติกฟิลด์นะครับ
00:01:59 → 00:02:03 รังสีอินฟราเรดก็เป็นรังสีที่อยู่ในย่าน
00:02:03 → 00:02:04 นี้เหมือนกันนะครับ
00:02:04 → 00:02:07 ครึ่งวิทยุหรือแม้แต่กระทั่งคลื่น
00:02:07 → 00:02:10 โทรศัพท์มือถือต่างๆก็อยู่ในรังสีทั้งหมด
00:02:10 → 00:02:13 นะครับที่นี้อิเล็กตรอนแมกเนติก Wave
00:02:13 → 00:02:16 หรือ experative ตรงนี้เนี่ยนะครับมันก็
00:02:16 → 00:02:20 จะมีการแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆนะครับช่วง
00:02:20 → 00:02:23 หนึ่งเราจะเรียกว่า i9 อีกช่วงหนึ่งเราจะ
00:02:23 → 00:02:26 เรียกว่า non ionizing radiation 2
00:02:26 → 00:02:28 ตัวนี้มันคืออะไรนะครับ
00:02:28 → 00:02:31 ionizing radiation หมายความว่าเป็น
00:02:31 → 00:02:35 รังสีพวกนี้นี่แหละครับที่มันสามารถทำให้
00:02:35 → 00:02:38 มีการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลหรือของอะตอม
00:02:38 → 00:02:40 ทำให้อิเล็กตรอนของอะตอมหรืออิเล็กตรอน
00:02:40 → 00:02:43 ของโมเลกุลมันหลุดออกมาได้การที่
00:02:43 → 00:02:46 อิเล็กตรอนมันหลุดออกไปได้จะทำให้โมเลกุล
00:02:46 → 00:02:48 หรืออะตอมตัวนั้นเนี่ยมันขาดประจุลบไปตัว
00:02:48 → 00:02:51 หนึ่งแล้วก็กลายเป็นตัวที่เรียกว่าไอออน
00:02:51 → 00:02:52 นั่นเองนะครับ
00:02:52 → 00:02:55 ถ้าเป็น ionizing radiation หมายความว่า
00:02:55 → 00:02:59 มันทำให้เกิดไอออนได้นะครับพวกนี้มันจะมี
00:02:59 → 00:03:01 อันตรายเพราะว่ามันสามารถที่จะทำให้เกิด
00:03:01 → 00:03:05 อันตรายต่อ DNA ของมนุษย์ได้นะครับแล้วก็
00:03:05 → 00:03:09 ผิวหนังหรือโปรตีนหรือสารประกอบต่างๆก็จะ
00:03:09 → 00:03:13 มีการผิดปกติได้ถ้ามันเป็น ionizing
00:03:13 → 00:03:14 radiation นะครับ
00:03:14 → 00:03:17 ionizing relation ยกตัวอย่างเช่นอะไร
00:03:17 → 00:03:20 บ้างนะครับยกตัวอย่างเช่น x-ray รังสี
00:03:20 → 00:03:22 cosmic ซึ่งส่องออกมาจากดวงอาทิตย์หรือ
00:03:22 → 00:03:26 มาจากอวกาศพวกนี้นะครับก๊าซเรดอนนะครับ
00:03:26 → 00:03:29 ที่ผมเคยเล่าไปแล้วที่มันมาจากดินนะครับ
00:03:29 → 00:03:32 พวกนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้มันเป็นไอออน
00:03:32 → 00:03:35 ซิ่งเรดิเคชั่นอย่างหนึ่งนะครับซึ่งพวก
00:03:35 → 00:03:38 นี้ก็จะมีปริมาณจำกัดที่ร่างกายของเรารับ
00:03:38 → 00:03:40 เข้าไปได้อย่างที่ผมเคยพูดไว้ในคลิป
00:03:40 → 00:03:42 เรื่องเกี่ยวข้องกับการทำ excelay บ่อยๆ
00:03:42 → 00:03:45 ทำ CT Scan บ่อยๆพวกนี้ทำได้บ่อยแค่ไหน
00:03:45 → 00:03:47 เป็นอันตรายหรือเปล่าเพราะว่าพวกนี้เนี่ย
00:03:47 → 00:03:51 มันเป็นเรดิเอชั่นนะครับอย่างไรก็ตาม
00:03:51 → 00:03:55 รังสีทั้งหมดเนี่ยนะครับตั้งแต่รังสี UV
00:03:55 → 00:03:58 หรือรังสีอินฟราเรดหรือแม้กระทั่งแสงที่
00:03:58 → 00:04:00 เราเห็นอยู่คลื่นวิทยุต่างๆพวกนี้ทั้งหมด
00:04:00 → 00:04:03 จัดเป็น non-sing relation และคลื่นมือ
00:04:03 → 00:04:06 ถือก็เป็น non ironizing relation เช่น
00:04:06 → 00:04:09 กันนะครับดังนั้นการที่มันเป็น non i9
00:04:09 → 00:04:11 radiation นั้นโอกาสที่มันจะไปทำให้เกิด
00:04:12 → 00:04:14 การเปลี่ยนแปลงของ DNA มนุษย์จนกระทั่ง
00:04:14 → 00:04:17 กลายเป็นมะเร็งนั้นมันเป็นไปได้นะครับอ่า
00:04:17 → 00:04:20 โดยทางทฤษฎีมันเป็นไปไม่ได้ทีนี้เฮ้ยแล้ว
00:04:20 → 00:04:23 นั่นในทางปฏิบัติล่ะมันอาจจะเป็นไปได้ก็
00:04:23 → 00:04:26 ได้นะถูกไหมครับก็แน่นอนว่ามีการทดลอง
00:04:26 → 00:04:28 เรียบร้อยแล้วนะครับเวลาที่เราทดลองเนี่ย
00:04:28 → 00:04:30 เนื่องจากเวลาเราคุยมือถือเราคุยเอามาติด
00:04:30 → 00:04:33 กับหน้าเราอย่างนี้ถูกไหมครับอ่ามันติด
00:04:33 → 00:04:35 กับหน้าเราอย่างเงี้ยสิ่งที่เกิดขึ้นก็
00:04:35 → 00:04:37 คืออะไรเราก็ต้องบอกว่าโอเคถ้ารังสีมัน
00:04:37 → 00:04:40 ออกมาจากตัวมือถือของเรานะครับบริเวณไหน
00:04:40 → 00:04:43 บ้างที่เราน่าจะเกิดมะเร็งได้นะครับก็คือ
00:04:43 → 00:04:44 สมองนะครับ
00:04:44 → 00:04:47 อ่าต่อมน้ำลายตรงนี้นะครับที่เราเรียกว่า
00:04:47 → 00:04:51 ต่อมน้ำตายนะครับไทรอยด์นะครับพวกนี้มัน
00:04:51 → 00:04:54 เป็นอวัยวะที่น่าจะเกิดมะเร็งได้มากที่
00:04:54 → 00:04:57 สุดหรือว่าเส้นประสาทหูนะครับเส้นประสาท
00:04:57 → 00:04:59 ในหูพวกนี้ก็จะเป็นอวัยวะที่มันอยู่ใกล้
00:04:59 → 00:05:02 กับรังสีที่มันออกมาจากมือถือของเรามาก
00:05:02 → 00:05:05 ที่สุดดังนั้นเนี่ยถ้าจะเกิดมะเร็งมันควร
00:05:05 → 00:05:07 จะเกิดตรงนี้ก่อนมันไม่ควรจะแบบใช้มือถือ
00:05:07 → 00:05:09 แล้วเฮ้ยถ้ารังสีมันเกี่ยวข้องกับมะเร็ง
00:05:09 → 00:05:11 จริงๆแล้วมันไปเกิดมะเร็งกระดูกมะเร็งปอด
00:05:11 → 00:05:15 มะเร็งตับมันก็ต้องไปเจอตรงที่มันได้รับ
00:05:15 → 00:05:17 รังสีเข้าไปมากที่สุดก่อนนะครับซึ่งก็คือ
00:05:17 → 00:05:21 บริเวณนี้แต่มีการทดลองเรียบร้อยแล้วนะ
00:05:21 → 00:05:23 ครับว่าไอ้มะเร็งพวกเนี้ยมันไม่ได้เพิ่ม
00:05:23 → 00:05:25 ขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นในเด็กหรือในผู้ใหญ่
00:05:25 → 00:05:28 นะครับเมื่อเทียบกับยุคก่อนที่จะมีมือถือ
00:05:28 → 00:05:31 ใช้บนโลกนี้นะครับกับยุคที่หลังจากการมี
00:05:31 → 00:05:34 มือถือใช้บนโลกนี้ไม่พบว่าอุบัติการณ์ของ
00:05:34 → 00:05:37 การเกิดมะเร็งสมองมะเร็งของเส้นประสาทหู
00:05:37 → 00:05:39 มะเร็งไทรอยด์หรือมะเร็งต่อมน้ำลายพวก
00:05:39 → 00:05:41 เนี้ยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดไม่เพิ่มขึ้นเลย
00:05:41 → 00:05:45 นะครับหลังจากที่ติดตามมาเนี่ย 30 ปีแล้ว
00:05:45 → 00:05:47 นะครับที่มันมีมือถือใช้เนี่ยก็ไม่ได้มี
00:05:47 → 00:05:50 ปัญหาอะไรที่เอ่อน่ากังวลแต่อย่างใดนะ
00:05:50 → 00:05:52 ครับดังนั้นตรงนี้เนี่ยเรื่องของมะเร็ง
00:05:52 → 00:05:55 เราคิดว่ามันไม่จริงนะครับมามันไม่สามารถ
00:05:55 → 00:05:57 ที่จะทำให้เกิดมะเร็งได้แม้ว่าเราจะเอามา
00:05:57 → 00:06:00 แปะอยู่ที่หน้าเราก็ตามนะครับหรือพวก WiFi
00:06:00 → 00:06:02 หรืออะไรพวกนี้ก็เป็นคลื่นอยู่ในอยู่ใน
00:06:02 → 00:06:04 ช่วงนี้เช่นกันนะครับที่มันไม่ได้ส่งผลทำ
00:06:04 → 00:06:07 ให้เกิดมะเร็งในสมองตรงนี้ก็มีงานงาน
00:06:07 → 00:06:10 วิจัยต่างๆที่ออกมายืนยันว่าเออมันไม่ได้
00:06:10 → 00:06:12 มีปัญหาแบบนั้นแล้วนะครับ
00:06:12 → 00:06:16 ทีนี้ต่อมาล่ะมันมีอะไรบ้างคนก็คิดว่าเออ
00:06:16 → 00:06:18 มันก็เป็นคลื่นนะครับคลื่นพวกนี้น่าจะมี
00:06:18 → 00:06:21 ผลต่อสมองบ้างแหละนะครับตรงนี้มันมีข้อ
00:06:21 → 00:06:24 เท็จจริงอยู่นะครับเพราะว่ามันมีการทดลอง
00:06:24 → 00:06:27 จริงๆเลยก็คือการทดลองที่อ่าเอาคนมานอน
00:06:27 → 00:06:30 แล้วก็เอาตัวโทรศัพท์มือถือเนี่ยมาจ่อไว้
00:06:30 → 00:06:33 ข้างหูเลยนะครับจอห่างประมาณสัก 1 เซนถึง
00:06:33 → 00:06:37 1.5 ซมนะครับคือไม่เกินนั้นนะครับจอเฉยๆ
00:06:37 → 00:06:41 นะครับแล้วเอาเอียร์ปลั๊กมาอุดหูคนที่เขา
00:06:42 → 00:06:44 ทดลองนะครับเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงนะครับ
00:06:44 → 00:06:46 จากโทรศัพท์มือถือเพราะว่าเราต้องการจะดู
00:06:46 → 00:06:49 ว่าคลื่นสมองตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กไฟ
00:06:49 → 00:06:51 ฟ้าที่ออกมาจากโทรศัพท์จริงหรือเปล่าไม่
00:06:51 → 00:06:53 ใช่ไม่เอาเสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์นะครับ
00:06:53 → 00:06:54 เอาคลื่นที่มันออกมาจากโทรศัพท์ดังนั้น
00:06:54 → 00:06:57 เราต้องอุดหูไว้ก่อนนะครับอุดหูไว้เอา
00:06:57 → 00:06:59 โทรศัพท์วางไว้ข้างหูภายใน 1 ซมนะครับ
00:06:59 → 00:07:01 แล้วก็ให้อีกเครื่องนึงอ่ะโทรเข้าเครื่อง
00:07:01 → 00:07:04 นี้นะครับคือมีการสื่อสารระหว่างมือถือ 2
00:07:04 → 00:07:06 เครื่องนะครับโถเข้าเฉยๆยังไม่ได้พูดไม่
00:07:06 → 00:07:08 ได้ทำอะไรสิ่งนะครับแล้วก็พอมันได้รับการ
00:07:08 → 00:07:10 สื่อสารมาปุ๊บมันก็จะปล่อยคลื่นแม่เหล็ก
00:07:10 → 00:07:13 ไฟฟ้าออกมานะครับเขาพบว่า
00:07:13 → 00:07:17 ที่ออกมาจากมือถือเนี่ยสามารถที่จะรบกวน
00:07:17 → 00:07:21 สามารถเลยนะครับที่จะรบกวนคลื่นสมองของ
00:07:21 → 00:07:25 มนุษย์ได้นะครับแล้วที่สำคัญก็คือมันทำ
00:07:25 → 00:07:29 ให้ความสามารถในการพิจารณาสิ่งต่างๆความ
00:07:29 → 00:07:31 สามารถในการจดจ่อหรือที่เราเรียกว่า
00:07:31 → 00:07:35 tension ลดลงจริงๆนะครับถึงแม้ว่าเราจะ
00:07:35 → 00:07:36 ไม่ได้คุยเราไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
00:07:36 → 00:07:39 นะครับเขามีคนทดลองเอาที่อุดหูมาอุด 2
00:07:39 → 00:07:41 ข้างนะครับเอามือถือวางไว้ตรงนี้ให้อีก
00:07:41 → 00:07:43 เครื่องนึงโทรเข้ามาแล้วให้มันปล่อยเอา
00:07:43 → 00:07:45 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมามันเจอว่ามีการ
00:07:45 → 00:07:47 เปลี่ยนแปลงของคลื่น 2 ผมจะเอางานวิจัย
00:07:47 → 00:07:50 ตัวเนี้ยแปะไว้ให้ท่านดูด้วยนะครับแล้ว
00:07:50 → 00:07:52 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราให้คนเหล่านี้
00:07:52 → 00:07:55 เนี่ยลองทำแบบทดสอบดูนะครับก็จะพบว่า
00:07:55 → 00:07:58 Attention ของเขาหรือความสามารถที่จะจด
00:07:58 → 00:08:00 จ่อกับอะไรสักอย่างเนี่ยมันสูญเสียไปนะ
00:08:00 → 00:08:04 ครับอ่าแต่ตรงนี้ถามว่าน่ากลัวไหมไม่ได้
00:08:04 → 00:08:05 น่ากลัวขนาดนั้นหรอกครับเพราะว่าปกติ
00:08:05 → 00:08:09 เนี่ยเดี๋ยวนี้เรามือถือเราก็มักจะเอามา
00:08:09 → 00:08:11 เล่นเกมเราเอามาเล่นอย่างอื่นซึ่งเราถือ
00:08:11 → 00:08:13 ไว้ตรงเนี้ยครับเราไม่ได้เอามาถือไว้ข้าง
00:08:13 → 00:08:15 หูเราเล่นเกมข้างหูถูกไหมครับมันไม่ได้
00:08:15 → 00:08:18 เป็นแบบนั้นดังนั้นของพวกนี้ไม่ได้น่า
00:08:18 → 00:08:20 กลัวขนาดนั้นแล้วที่สำคัญคือทำไมเขาต้อง
00:08:20 → 00:08:23 ทดลองที่ 1 เสร็จรู้ไหมครับหรืออย่างมาก
00:08:23 → 00:08:26 ก็ไม่เกิน 1.5 ซมทำไมรู้ไหมครับ
00:08:26 → 00:08:28 มันเป็นเพราะว่าตัว
00:08:28 → 00:08:30 อิเล็กโทรแม็กเนติกฟิลด์พวกนี้เมื่อมัน
00:08:30 → 00:08:33 ห่างออกไปเนี่ยแม้แต่นิดเดียวนะครับความ
00:08:33 → 00:08:37 สามารถของมันเนี่ยจะลดลงแบบมหาศาลมากมาย
00:08:37 → 00:08:40 เลยนะครับถ้ามันเอามาใกล้ๆพวกนี้มันถึงจะ
00:08:40 → 00:08:42 ดูดซึมเข้าไปตามเนื้อเยื่อของเราได้นะ
00:08:42 → 00:08:45 ครับถ้าเอาห่างออกมาอีกแค่ 1 เส้นเนี่ย
00:08:45 → 00:08:47 ความสามารถในการเข้าไปในนี้เยื่อของเรา
00:08:47 → 00:08:49 มันลดลงแบบมหาศาลมากมายแล้วถ้าเราเล่นเกม
00:08:49 → 00:08:52 เนี่ยเราไม่ได้เล่นข้างหูเราเล่นอย่างนี้
00:08:52 → 00:08:54 ถูกไหมครับเรามาถือไว้ข้างหน้ามันห่างจาก
00:08:54 → 00:08:57 หัวเราตั้งตั้งไกลนั้นไอ้ตัวเนี่ย
00:08:57 → 00:08:59 อิเล็กโทรนั้นเนี่ยติดซีลเล็กลง Magic
00:08:59 → 00:09:00 Wave ที่มันจะเข้าไปที่สมองของเราเนี่ย
00:09:00 → 00:09:04 แทบจะไม่มีแล้วนะครับแทบจะไม่มีเลยนะฮะ
00:09:04 → 00:09:06 ดังนั้นโอกาสที่มันจะก่อให้เกิดอันตราย
00:09:06 → 00:09:08 ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลยนะครับที่จะไปรบ
00:09:08 → 00:09:11 กวนต่ออ่าสมองของเราหรือคลื่นสมองของเรา
00:09:11 → 00:09:13 ถ้าเราเอามาแค่เล่นอย่างนี้นะครับอ่าดัง
00:09:13 → 00:09:16 นั้นเรื่องที่มันจะไปก่อกวนของสมองเรา
00:09:16 → 00:09:18 เนี่ยมันสามารถเป็นไปได้นะครับถ้าเอามัน
00:09:18 → 00:09:22 ไว้ข้างหูเลยดังนั้นแปลว่าอะไรแปลว่าคน
00:09:22 → 00:09:24 ที่บอกว่าเอ้ยเอามือถือวางไว้ที่หัวเตียง
00:09:24 → 00:09:25 ตอนนอนเนี่ย
00:09:25 → 00:09:29 มันจะทำให้รบกวนการนอนหลับของเรานะรบกวน
00:09:29 → 00:09:31 คลื่นสมองของเรานะโอกาสมันเป็นไปได้ไหม
00:09:31 → 00:09:32 ครับ
00:09:32 → 00:09:36 ยากมากครับเพราะว่าไม่มีใครเอาโทรศัพท์มา
00:09:36 → 00:09:38 วางข้างหูแบบนี้หรอกครับถูกไหมในเวลาที่
00:09:38 → 00:09:40 เรานอนเราวางไว้ไหนครับก็โต๊ะข้างเตียง
00:09:40 → 00:09:43 เรานะครับวางไว้ที่โต๊ะวางไว้ที่ไหนก็ได้
00:09:43 → 00:09:46 นะครับหรืออย่างหรือบางคนก็เอามาวางไว้บน
00:09:46 → 00:09:48 เตียงแต่มันแน่นอนคือไม่มีใครเอามาแปะไว้
00:09:48 → 00:09:51 ตรงหน้าตัวเองแน่ๆนะครับถูกไหมฮะดังนั้น
00:09:51 → 00:09:54 การที่บอกว่าเออเอาโทรศัพท์มือถือมาวาง
00:09:54 → 00:09:56 ไว้ข้างหัวเตียงก่อนนอนเนี่ยจะรบกวนการ
00:09:56 → 00:09:59 นอนหลับของเรารบกวนขึ้นสมองของเรานั้นจึง
00:09:59 → 00:10:02 ไม่เป็นจริงครับนะไม่เป็นจริงนะครับแล้ว
00:10:02 → 00:10:05 ที่สำคัญเมื่อกี้ผมบอกว่าในการทดลองนั้น
00:10:05 → 00:10:08 มีการโทรเข้าของอีกเครื่องหนึ่งด้วยนะ
00:10:08 → 00:10:11 ครับนั่นแปลว่าปกติเนี่ยมันไม่มีใครโทร
00:10:11 → 00:10:14 เข้ามือถือของท่านทั้งคืนหรอกครับดังนั้น
00:10:14 → 00:10:16 ถ้าไม่มีคนโทรเข้าโอกาสที่มันจะปล่อย
00:10:16 → 00:10:18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมามันน้อยลงนะครับ
00:10:18 → 00:10:22 มันไม่ได้เป็น 0 นะครับมันน้อยลงแถมไม่
00:10:22 → 00:10:24 ใช่แค่มันน้อยลงอย่างเดียวมันอยู่ห่างจาก
00:10:24 → 00:10:27 หูเราจากสมองให้เราตั้งเยอะแหนะเพราะมัน
00:10:27 → 00:10:30 มีคนเอาโทรศัพท์มือถือแปะหน้าตอนนอนดัง
00:10:30 → 00:10:32 นั้นด้วย 2 ปัจจัยนี้โอกาสที่มันจะ
00:10:32 → 00:10:34 เปลี่ยนแปลงขึ้นสมองของเราหรือว่ามีผลต่อ
00:10:34 → 00:10:36 เครื่องสมองของเรานั้นจึงเป็นไปไม่ได้นะ
00:10:36 → 00:10:38 ครับ
00:10:38 → 00:10:42 ทีนี้บางคนถ้าเป็นคนที่อยู่ในแวดวงนี้
00:10:42 → 00:10:45 จริงๆเนี่ยก็อาจจะเคยได้ยินศัพท์คำหนึ่ง
00:10:45 → 00:10:48 เรียกว่า specific app Soft เช่น Rate
00:10:48 → 00:10:51 นะครับคำๆนี้มันคืออะไรนะครับคำๆนี้มัน
00:10:51 → 00:10:54 ก่อตั้งมาเพราะว่ามันมีความกังวลอยู่
00:10:54 → 00:10:56 เหมือนกันว่าไอ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออก
00:10:56 → 00:11:00 มาจากอุปกรณ์สื่อสารเหล่านี้มันอาจจะนะ
00:11:00 → 00:11:04 ครับมีผลต่อระบบต่างๆของร่างกายได้นะครับ
00:11:04 → 00:11:08 ดังนั้นจึงมีการกำหนดไว้ว่า
00:11:08 → 00:11:11 Rate ก็คือไอ้ตัวเนื้อเยื่อของเราเนี่ย
00:11:11 → 00:11:15 มันจะดูดซึมเอาเครื่องขยายไฟฟ้าพวกเนี้ย
00:11:15 → 00:11:19 ไปได้มากน้อยแค่ไหนโดยเขากำหนดไว้ว่าถ้า
00:11:19 → 00:11:22 เป็นโทรศัพท์มือถือจะต้องมีค่า Speed
00:11:22 → 00:11:24 absolution Rate เนี่ยต่ำกว่า 1.6
00:11:24 → 00:11:28 วัตต์ต่อกิโลกรัมนะครับไอ้ค่าตัวเนี้ยเรา
00:11:28 → 00:11:31 สามารถดูได้เองเลยครับอ่าเราสามารถดูได้
00:11:31 → 00:11:33 เองไม่ว่าท่านจะใช้โทรศัพท์ยี่ห้อไหนนะ
00:11:33 → 00:11:36 ครับท่าน Google หาเลยนะครับเขียนคำว่า SA
00:11:36 → 00:11:39 อ่านะครับ specific App แล้วก็ตามด้วย
00:11:39 → 00:11:41 ชื่อโทรศัพท์มือถือหรือรุ่นของท่านนะครับ
00:11:41 → 00:11:44 แต่ถ้าท่านใช้ iPhone นะครับมันจะมีวิธี
00:11:44 → 00:11:46 พิเศษเหมือนกันแต่ผมไม่แน่ใจว่าโทรศัพท์
00:11:46 → 00:11:48 ยี่ห้ออื่นมันทำได้หรือเปล่าเพราะว่าของ
00:11:48 → 00:11:50 ผมใช้ iPhone ผมก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันนะ
00:11:50 → 00:11:54 ครับคือไปที่หน้าที่ปกติใช้โทรออกนะครับ
00:11:54 → 00:11:57 แล้วก็กด Star หรือตัวดาวนะครับแล้วก็
00:11:57 → 00:11:59 Hashtag 07 แล้วก็แฮชแท็กแล้วก็โทรออก
00:11:59 → 00:12:03 นะครับ Star Hashtag 07 Hashtag โทร
00:12:03 → 00:12:06 ออกนะครับแล้วมันจะนำท่านไปที่หน้าหน้า
00:12:06 → 00:12:10 หนึ่งเลยนะครับที่บอกว่าค่า sar หรือ
00:12:10 → 00:12:13 Space ของโทรศัพท์มือถือของท่านเนี่ยมัน
00:12:13 → 00:12:16 เท่าไหร่นะครับแล้วก็ไปกดดูถ้ามันต่ำกว่า
00:12:16 → 00:12:19 1.6 นะครับ 1. ต่ำกว่า 1.6 วัตต์ต่อ
00:12:19 → 00:12:21 กิโลกรัมถือว่าปลอดภัยไม่ได้มีปัญหาอะไร
00:12:21 → 00:12:25 กับท่านนะครับอ่าแต่ว่ามันก็จะมีอันนี้
00:12:25 → 00:12:28 สำหรับกรณีที่อยู่กับหัวนะครับคือเขาจะ
00:12:28 → 00:12:31 แบ่งเป็น sar ของหัวก็คือจะต้องน้อยกว่า
00:12:31 → 00:12:34 1.6 นะครับแต่ถ้าเป็น sr ของ Body หรือ
00:12:34 → 00:12:36 อุปกรณ์สื่อสารอะไรก็แล้วแต่ที่มันแปะไว้
00:12:36 → 00:12:38 กับตัวพวกนี้นะครับจะต้องต่ำกว่า 2 นะ
00:12:38 → 00:12:40 ครับท่านก็ลองไปดูแล้วกันนะครับว่าของ
00:12:40 → 00:12:43 ท่านเนี่ยมันเท่าไหร่แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว
00:12:43 → 00:12:44 มันก็ไม่ค่อยเกิดหรอกครับมันไม่ได้มี
00:12:44 → 00:12:48 ปัญหาอะไรดังนั้นตรงนี้ก็อาจจะไม่ต้องคิด
00:12:48 → 00:12:51 กับมันเยอะนะครับทีนี้พอเรารู้กับเริ่ม
00:12:51 → 00:12:53 พวกนี้แล้วเรื่องของพัฒนาการเด็กเรื่อง
00:12:54 → 00:12:55 ของคลื่นสมองเรื่องอะไรพวกนี้เรื่องของ
00:12:55 → 00:12:57 มะเร็งอะไรพวกนี้มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
00:12:57 → 00:13:00 สักอย่างนะครับดังนั้นเรื่องพวกนี้ตกไป
00:13:00 → 00:13:03 ได้ท่านไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นแต่แน่นอน
00:13:03 → 00:13:06 ว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Digital
00:13:06 → 00:13:09 dements เออเฮ้ยคำนี้มันคืออะไรดิจิทัล
00:13:09 → 00:13:11 ดิเมนต์เชียร์ชื่อมันดูเก๋ไกมากเลยนะครับ
00:13:11 → 00:13:14 ดิจิทัลก็มาจากไอ้พวกเครื่องมือพวกนี้
00:13:14 → 00:13:17 แหละครับ dement เสียก็แปลว่าความจำ
00:13:17 → 00:13:18 เสื่อมความจำเสื่อมซึ่งเกิดจากการใช้
00:13:18 → 00:13:21 เครื่องมือดิจิตอลหรือเป็นในกรณีนี้ก็คือ
00:13:21 → 00:13:23 โทรศัพท์มือถือนะครับ
00:13:23 → 00:13:26 คำคำนี้เนี่ยถ้าผมจำไม่ผิดมันน่าจะออกมา
00:13:26 → 00:13:30 จากนักจิตวิทยาคนหนึ่งนะครับ
00:13:30 → 00:13:32 น่าชื่อ manfresh Fisher นะครับคนนี้
00:13:32 → 00:13:35 เนี่ยเขาเป็นคนคิดค้นคำๆนี้ขึ้นมานะครับ
00:13:35 → 00:13:38 เขาพบว่าคนที่ใช้เวลาอยู่กับมือถือมากๆนะ
00:13:38 → 00:13:41 ครับความสามารถในการคิดต่างๆมันจะลดลงนะ
00:13:42 → 00:13:43 ครับ
00:13:43 → 00:13:47 แต่แต่นะครับมันไม่ได้แปลว่าตัวมือถือไป
00:13:47 → 00:13:49 ยุ่งอะไรกับสมองของเราทำให้ความคิดเราลด
00:13:49 → 00:13:52 ลงในกรณีนี้ของเขาคือหมายความว่าเราเล่น
00:13:52 → 00:13:54 มือถือเราใช้มือถือนะครับไม่ใช่การคุยมือ
00:13:54 → 00:13:56 ถือกันเล่นนะครับการเล่นเนี่ยมันไม่ได้
00:13:56 → 00:13:59 เกี่ยวข้องกับว่ามันไปเปลี่ยนแปลงระบบ
00:13:59 → 00:14:02 สมองของเราแต่อย่างใดการใช้มือถือบ่อยๆ
00:14:02 → 00:14:05 เนี่ยบางครั้งมันทำให้สมองของเราเนี่ยไม่
00:14:05 → 00:14:08 ได้ทำหน้าที่นะครับคือมือถือมันว่ายังไง
00:14:08 → 00:14:10 เราก็ว่าตามนั้นเราอ่านอะไรเราก็ใช้ตรง
00:14:10 → 00:14:12 นั้นเข้าไปมันทำให้เราไม่ได้ใช้ความคิดนะ
00:14:12 → 00:14:13 ครับเพราะฉะนั้นการที่เราไม่ได้ใช้ความ
00:14:13 → 00:14:16 คิดบ่อยๆจึงเป็นที่มาของการที่บอกว่าเออ
00:14:16 → 00:14:19 มันอาจจะทำให้เรามีความจำที่เสื่อมไปได้
00:14:19 → 00:14:22 นะครับแต่ข่าวดีคือตรงนี้ครับถ้าท่านหยุด
00:14:22 → 00:14:25 เล่นมือถือไอ้ความจำเสื่อตรงนี้มันหายนะ
00:14:25 → 00:14:28 ครับความคิดพวกนี้มันจะดีขึ้นนะครับความ
00:14:28 → 00:14:31 จำเสื่อมตรงนี้เขาจะเป็นการบอกว่ามันเป็น
00:14:31 → 00:14:35 ชดเทอม Memory หมายความว่าความจำระยะสั้น
00:14:35 → 00:14:37 จะไม่ค่อยดีในคนที่เล่นมือถือบ่อยๆความจำ
00:14:37 → 00:14:40 ระยะสั้นจะไม่ค่อยดีเพราะว่ามันถูกมือถือ
00:14:40 → 00:14:43 ในรบกวนเพราะว่าเราเวลาเราเล่นมือถือเรา
00:14:43 → 00:14:46 ใช้ตามองเราก็ต้องไปคิดนะครับคิดตามที่
00:14:46 → 00:14:47 มือถือมันพูดนี่แหละครับมันเลยทำให้เรา
00:14:48 → 00:14:50 ไม่สามารถเอาไปจำไปคิดไปอะไรอย่างอื่นได้
00:14:50 → 00:14:51 นะครับมันอาจจะมีการ
00:14:51 → 00:14:55 ก่อกวน distract เราทำให้รบกวนความคิดของ
00:14:55 → 00:14:58 เรานะครับมันเป็นรบกวนความคิดด้วยการที่
00:14:58 → 00:15:02 เรามองแล้วเราอ่านเราฟังจากมือถือแต่มัน
00:15:02 → 00:15:04 ไม่ได้รบกวนความคิดในแง่ของการที่คลื่น
00:15:04 → 00:15:06 แม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนสมองเรามันไม่ใช่แบบ
00:15:06 → 00:15:08 นั้นนะครับมันเกิดจากการที่เราไปมองไปคิด
00:15:08 → 00:15:11 ไปอ่านอย่างนั้นเองนะครับดังนั้นคนที่
00:15:11 → 00:15:13 เล่นมือถือมากๆอันนี้อาจจะเป็นข้อไม่ดี
00:15:13 → 00:15:14 แล้วนะครับที่มันอาจจะทำให้ท่านมีปัญหา
00:15:14 → 00:15:18 ทางด้านของความจำระยะสั้นได้นะครับแล้ว
00:15:18 → 00:15:20 นอกเหนือจากนี้มือถือเนี่ยอ่ามันมีอะไร
00:15:20 → 00:15:23 อย่างอื่นที่ไม่ดีอีกนะครับแน่นอนถ้าท่าน
00:15:23 → 00:15:24 เล่นมือถือในช่วงก่อนนอนแล้วท่านเป็นคน
00:15:24 → 00:15:26 ที่นอนไม่หลับอยู่แล้วมันจะยิ่งนอนไม่
00:15:26 → 00:15:28 หลับใหญ่เลยถามว่าทำไมนะครับมือถือนั้น
00:15:28 → 00:15:31 มันมีแสงสีฟ้านะครับแล้วแสงสีฟ้าเนี่ย
00:15:31 → 00:15:33 เป็นแสงที่กระตุ้นสมองของเราให้ตื่นตัวนะ
00:15:33 → 00:15:36 ครับมันก็จะยิ่งนอนไม่หลับใหญ่นะครับนอก
00:15:36 → 00:15:38 เหนือจากนี้บางครั้งสิ่งที่เราเล่นในมือ
00:15:38 → 00:15:41 ถือนะครับมันอาจจะเครียดเราไปดูข่าวคน
00:15:41 → 00:15:44 นู้นคนนี้เขาเอ่อมีปัญหาการนะครับหรือเรา
00:15:45 → 00:15:47 ไปอ่านข่าวหรือเราไปดูคลิปที่มันดูน่า
00:15:47 → 00:15:49 กลัวแล้วก็อาจจะเก็บไปฝันเรานอนไม่หลับนะ
00:15:49 → 00:15:52 ครับพวกนี้ก็อาจจะไปรบกวนการสำหรับของเรา
00:15:52 → 00:15:55 ได้นะครับนี่ก็คือเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมัน
00:15:55 → 00:15:57 ไม่ดีสำหรับมือถือต่อมาอะไรไม่ดีอีกเวลา
00:15:57 → 00:16:00 เราเล่นมือถือเนี่ยเราเคยเห็นคนเขายกมือ
00:16:00 → 00:16:03 ถือแล้วก็เล่นอย่างนี้ไหมครับไม่มีคนส่วน
00:16:03 → 00:16:07 ใหญ่ทำไงครับแบบนี้ก้มก้มเล่นก้มเล่นนานๆ
00:16:07 → 00:16:10 นะครับแล้วมันเกิดอะไรขึ้นปวดคอ
00:16:10 → 00:16:12 นะครับเป็นออฟฟิศซินโดรมอย่างหนึ่งเพราะ
00:16:12 → 00:16:14 ว่าเราเล่นก็คือเราก็เล่นอย่างนี้นะครับ
00:16:14 → 00:16:17 แน่นอนทำนานๆก็ปวดคอได้หรือบางคนจะต้องมี
00:16:17 → 00:16:20 การใช้ตาโฟกัสกับตัวอักษรที่มันเล็กๆนะ
00:16:20 → 00:16:23 ครับในตัวโทรศัพท์มือถือนานๆก็ปวดตาได้นะ
00:16:23 → 00:16:27 ครับทำนานๆก็เป็นไมเกรนหรือบางคนก็อาจจะ
00:16:27 → 00:16:29 ทำให้เกิดสายตาสั้นได้นะครับพวกนี้ก็เป็น
00:16:29 → 00:16:33 ปัญหาต่างๆซึ่งนำมากลับมือถือบางคนเล่นจน
00:16:33 → 00:16:34 กระทั่งมองอย่างเงี้ยตลอดเวลาแล้วเดินไป
00:16:34 → 00:16:37 ก็เล่นไปนะครับก็เกิดอุบัติเหตุได้นะครับ
00:16:37 → 00:16:40 เดินตกท่อได้เดินไปชนได้หรือหรือบางทีมี
00:16:40 → 00:16:44 รถมาชนเราได้นะครับดังนั้นพวกนี้ก็เป็น
00:16:44 → 00:16:47 ข้อเสียของการใช้โทรศัพท์มือถือแล้วแน่
00:16:47 → 00:16:50 นอนว่าในสังคมปัจจุบันนี้ถ้าเกิดว่าเรา
00:16:50 → 00:16:51 อยู่ในที่ประชุมแล้วเราเป็นคนเส้นมือถือ
00:16:51 → 00:16:54 นะครับไม่ว่าเราจะกำลังตอบอีเมลอยู่มีงาน
00:16:54 → 00:16:56 ด่วนหรือมีคนอะไรที่ส่งข้อความมาหาเรา
00:16:56 → 00:16:58 เนี่ยแล้วเราเล่นมือถืออยู่เรื่อยๆท่าน
00:16:58 → 00:17:01 คิดว่าคนอื่นเขาจะมองเรายังไงครับ
00:17:01 → 00:17:03 เขาต้องบอกว่าไอ้คนนี้เนี่ยมันไม่สนใจฟัง
00:17:03 → 00:17:05 งานประชุมเลยวันๆมันเอาแต่เล่นมือถือเรา
00:17:05 → 00:17:08 ไล่มันออกเลยดีกว่าหรือไปลดมันมีปัญหา
00:17:08 → 00:17:11 อะไรคนๆนี้นะครับคืออันนี้ก็เป็นสิ่ง
00:17:11 → 00:17:13 หนึ่งซึ่งทำให้เราเสียบุคลิกภาพไปเยอะ
00:17:13 → 00:17:16 เหมือนกันนะครับบางครั้งเนี่ยเราเจอว่า
00:17:16 → 00:17:19 เนี่ยเรานั่งกินข้าวกันเป็นครอบครัวหรือ
00:17:19 → 00:17:21 ว่าไปกินข้าวกับเพื่อนแต่ไม่มีใครเลยที่
00:17:21 → 00:17:24 มองหน้ากันนะครับมัวแต่เล่นมือถือกันอยู่
00:17:24 → 00:17:26 เฉยๆเนี่ยนะไม่มองหน้ากันก็ทำให้
00:17:26 → 00:17:28 ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เนี่ยมันไม่เหมือน
00:17:28 → 00:17:31 ปกติแล้วอ่ะนะครับมันมันเสียไปดังนั้นตรง
00:17:31 → 00:17:33 นี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านควรจะต้องระมัดระวัง
00:17:33 → 00:17:35 ตัวแล้วก็เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าไปทำ
00:17:35 → 00:17:36 นะครับ
00:17:36 → 00:17:40 ผมพูดมาถึงตรงนี้แล้วเราบอกว่าโอเค
00:17:40 → 00:17:44 ไอ้ตัวมือถือเนี่ยมันไม่เกี่ยวข้องกับ
00:17:44 → 00:17:45 มะเร็งสมองไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งอะไรสัก
00:17:45 → 00:17:48 อย่างไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการไม่ได้
00:17:48 → 00:17:50 เกี่ยวข้องกับเรื่องของสมองอะไรแต่อย่าง
00:17:50 → 00:17:53 ใดนะครับด้วยตัวมันเองด้วยตัวคลื่นของมัน
00:17:53 → 00:17:57 เองแต่ถ้าบางคนยังคงกังวลอยู่ล่ะทำไงดีนะ
00:17:57 → 00:17:59 ครับเพราะว่าบางคนอาจจะบอกว่านี่มันเป็น
00:17:59 → 00:18:02 การศึกษาระยะสั้นหรือเปล่าถ้าศึกษาไปตลอด
00:18:02 → 00:18:04 ชีวิตของมนุษย์เนี่ยมันอาจจะมีปัญหาก็ได้
00:18:04 → 00:18:04 นะ
00:18:04 → 00:18:08 แล้วคลื่นแบบแต่ก่อนมัน 2G 3G ตอนนี้มัน
00:18:08 → 00:18:10 เป็น 5g แล้วมันต่างกันหรือเปล่าแต่จริงๆ
00:18:10 → 00:18:12 ก็ต่างเหมือนกันนะครับความถี่คลื่นของ 5g
00:18:12 → 00:18:14 เนี่ยมันสูงกว่า 4G แบบมหาศาลมากรู้สึก
00:18:15 → 00:18:18 ว่าจะ 5g นี่อาจจะสูงถึงขั้น 80 GB นะ
00:18:18 → 00:18:20 ครับแต่ถ้าเป็น 4G มันน้อยกว่านั้นเยอะนะ
00:18:20 → 00:18:23 ครับก็เลยคิดว่าเฮ้ยถ้าต่อไปมันมี 6g ถึง
00:18:23 → 00:18:25 10g อย่างเงี้ยมันไม่ยิ่งมีปัญหาแล้วนะ
00:18:25 → 00:18:28 ครับก็แน่นอนว่าถ้าท่านกังวลเนี่ยวิธีการ
00:18:28 → 00:18:31 ก็คือพยายามตัดเอาคือกระแสไฟฟ้าอย่าให้
00:18:31 → 00:18:34 มันมาโดนตรงหัวท่านมากที่สุดทำยังไงดีก็
00:18:34 → 00:18:37 ท่านอาจจะใส่หูฟังก็ได้นะครับ Wireless
00:18:37 → 00:18:39 มีเยอะแยะนะครับแล้ว Wireless พวกเนี้ย
00:18:39 → 00:18:41 มันไม่ได้ส่งคลื่นอะไรที่มันเป็นเอ่อ
00:18:41 → 00:18:44 คลื่นขึ้นแม่เหล็กไฟฟ้าสูงมากเท่าไหร่นะ
00:18:44 → 00:18:46 ครับก็แน่นอนว่ามันต้องต่ำกว่าโทรศัพท์
00:18:46 → 00:18:49 มือถืออย่างเงี้ยอยู่แล้วนะครับเอ่อมัน
00:18:49 → 00:18:50 ส่งมาแค่เสียอย่างเดียวอันนั้นก็สามารถ
00:18:50 → 00:18:53 ใช้ได้นะครับจะไม่ว่าจะเป็น Wireless
00:18:53 → 00:18:55 หรือมีสายหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับก็
00:18:55 → 00:18:57 สามารถที่จะทำแบบนั้นได้นะครับตรงนี้ก็
00:18:57 → 00:19:02 เป็นการที่เราจะลดการเอ่อถูกรังสีจากเอ่อ
00:19:02 → 00:19:04 ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือรังสีจาก
00:19:04 → 00:19:06 โทรศัพท์มือถือนะครับงั้นตรงนี้ก็เป็น
00:19:06 → 00:19:10 สิ่งซึ่งผมก็อยากจะเอามาไขข้อข้องใจทุกๆ
00:19:10 → 00:19:12 คนฟังนะครับแล้วผมก็จะแปะงานวิจัยต่างๆ
00:19:12 → 00:19:15 ไว้ให้ทุกคนไปตามอ่านได้ด้วยตัวเองนะครับ
00:19:15 → 00:19:17 ว่ามันมีข้อเท็จจริงอย่างไรนะครับดังนั้น
00:19:17 → 00:19:20 มือถือมันมีประโยชน์แต่ว่ามันก็มีปัญหา
00:19:20 → 00:19:22 ได้เหมือนกันนะครับถ้าเด็กติดมือถือติด
00:19:22 → 00:19:24 เกมมากๆนอนว่าเด็กเขาก็จะไม่มี
00:19:24 → 00:19:26 ปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นนะครับปัญหาต่าง
00:19:27 → 00:19:29 ๆพวกนี้ก็จะตามมาได้นะครับผู้ใหญ่ที่ใช้
00:19:29 → 00:19:31 มือถืออยู่ตลอดเวลาก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุ
00:19:31 → 00:19:35 ได้มีมีปวดคอได้จากการก้มอย่างนี้นานๆนะ
00:19:35 → 00:19:38 ครับหรือบางคนก็เสียบุคลิกภาพนะครับถึง
00:19:38 → 00:19:40 แม้ว่ามันจะไม่ได้มีผลต่อสมองโดยตรงแต่
00:19:40 → 00:19:43 อย่างที่ผมบอกการที่ท่านมองมือถือนานๆ
00:19:43 → 00:19:46 อะไรใช้ให้มันนานๆเนี่ยมันจะมีผลต่อความ
00:19:46 → 00:19:48 จำระยะสั้นของท่านนะครับแล้วถ้าท่านหยุด
00:19:48 → 00:19:50 ใช้มันก็จะดีขึ้นได้เช่นกันนะครับโอเควัน
00:19:50 → 00:19:52 นี้ก็ฝากไว้เท่านี้นะครับใครมีอะไรสงสัย
00:19:52 → 00:19:54 ก็สอบถามมาได้นะครับขอบคุณมากครับสวัสดี
00:19:54 → 00:19:56 ครับ