00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับผมคิดว่าหลายคนนะครับน่าจะได้
00:00:02 → 00:00:05 เห็นข่าวที่มีนักวิจัยชาวเกาหลีคนนึงได้
00:00:05 → 00:00:08 คิดค้นวัคซีนป้องกันแล้วก็รักษาโรค
00:00:08 → 00:00:11 อัลไซเมอร์ได้สำเร็จนะครับเรื่องนี้ทำให้
00:00:11 → 00:00:13 หลายๆคนเนี่ยมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
00:00:14 → 00:00:15 นะครับเพราะว่าอัลไซเมอร์เนี่ยมันเป็นโรค
00:00:15 → 00:00:18 ที่ปัจจุบันรักษาไม่หายนะฮะแล้วก็ป้องกัน
00:00:18 → 00:00:20 ให้มันหายไปก็ไม่ได้ซะด้วยนะครับแถมการ
00:00:20 → 00:00:22 รักษาที่มีอยู่ตอนเนี้ยทำไปก็ไม่ได้ช่วย
00:00:23 → 00:00:25 หยุดยั้งการดำเนินการของโรคนะครับงั้นวัน
00:00:25 → 00:00:28 นี้ผมก็เลยอยากจะหยิบยกงานวิจัยต้นเรื่อง
00:00:28 → 00:00:30 เลยนะครับมาอ่านให้เราฟังนะฮะฮะว่าตอน
00:00:30 → 00:00:33 เนี้ยงานวิจัยชิ้นนี้มันไปถึงไหนมันจะใช้
00:00:33 → 00:00:35 ได้จริงหรือเปล่าแล้วมีอะไรบ้างที่เรา
00:00:35 → 00:00:37 จำเป็นจะต้องรู้นะครับผมขอเตือนไว้ก่อนนะ
00:00:37 → 00:00:39 ครับว่างานวิจัยชิ้นนี้เนี่ยมันเป็นงาน
00:00:39 → 00:00:41 วิจัยชนิดที่เรียกว่า basic science
00:00:41 → 00:00:44 ซึ่งหมายความว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์เชิง
00:00:44 → 00:00:46 ลึกแล้วก็เข้าใจยากผมจะพยายามสรุปให้ทุก
00:00:46 → 00:00:49 คนเข้าใจได้นะครับแล้วก็ตรงไหนที่มันลึก
00:00:49 → 00:00:52 เกินไปผมจะขอละไว้ในฐานที่เข้าใจสำหรับคน
00:00:52 → 00:00:55 ทั่วๆไปนะครับจะข้ามไปก่อนนะครับอ่ะเดี๋
00:00:55 → 00:00:57 เราไปฟังกันเลยพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนี
00:00:57 → 00:01:00 ธนียวเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:01:00 → 00:01:02 อเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและ
00:01:02 → 00:01:05 วิกฤตบำบัดนะครับชื่อของงานวิจัยชิ้นนี้
00:01:05 → 00:01:07 เนี่ยค่อนข้างที่จะยาวมากเลยนะครับเดี๋ยว
00:01:07 → 00:01:10 ผมจะอ่านเร็วให้ฟังนะครับมันก็คือ novel
00:01:10 → 00:01:13 amiloid beta bcell hypertop vaccine
00:01:13 → 00:01:14 amyoid beta 1 to10 with carrier
00:01:14 → 00:01:16 protein over and reduce amyoid
00:01:17 → 00:01:18 beta induce neuroinflammation
00:01:18 → 00:01:20 mediated neuropathology in mous
00:01:20 → 00:01:22 model of the merge disease
00:01:22 → 00:01:24 นะครับอ่านแล้วเหนื่อยแต่สิ่งที่ผมอยาก
00:01:24 → 00:01:28 ให้คนจับได้ก็คือนี่ครับ mouse model of
00:01:28 → 00:01:30 alzheimer disease แปลว่านี่คือการ
00:01:30 → 00:01:33 วิจัยในหนูครับหมายความว่าวัคซีนยังสร้าง
00:01:33 → 00:01:36 ไม่สำเร็จครับอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนการนะฮะ
00:01:36 → 00:01:39 อ่าอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนการ
00:01:39 → 00:01:41 ที่เราทำอะไรสักอย่างสำเร็จในหนูมันไม่
00:01:41 → 00:01:43 ได้แปลว่าจะสำเร็จในคนมันต้องมีอีกหลาย
00:01:43 → 00:01:45 ขั้นตอนอย่างน้อยๆก็สักประมาณ 10 ปีอ่ะนะ
00:01:45 → 00:01:48 ครับกว่าจะได้อย่างไรก็ตามครับตอนนี้อาจ
00:01:48 → 00:01:50 จะเร็วขึ้นในเมื่อเรามี AI แล้วก็มี
00:01:50 → 00:01:51 เครื่องมือหลายๆอย่างช่วยก็อาจจะไม่
00:01:51 → 00:01:54 จำเป็นจะต้องถึง 10 ปีก็ได้นะครับแต่ว่า
00:01:54 → 00:01:57 นั่นคือประมาณคร่าวๆจากการที่เราเคยทำ
00:01:57 → 00:01:59 อะไรทดลองในหนูแล้วเอามาใช้ในคนได้จริงนะ
00:01:59 → 00:02:03 ครับคนที่เป็นตนข้นคนคิดเรื่องนี้นะครับ
00:02:03 → 00:02:06 ก็มีอยู่ 2 คนหลักๆนะฮะคนแรกก็คือคนนี้
00:02:06 → 00:02:08 ครับคนแต่งคนแรกคือจุนซูพารคและคนที่
00:02:08 → 00:02:11 สำคัญที่สุดก็คือคนหลังคือเมียวโอ๊คคิมนะ
00:02:11 → 00:02:13 ครับเมียวโอ๊คคิมเนี่ยคือเป็นคนที่ออกมา
00:02:13 → 00:02:15 ให้ข่าวตรงนี้นะแล้วเา้าเป็นคนที่เชี่ยว
00:02:15 → 00:02:19 ชาญทางด้านเนี้ยเป็นพิเศษเลยนะครับงั้น
00:02:19 → 00:02:20 เดี๋เราไปดูกันเลยว่าเค้าเขียนอะไรไว้
00:02:20 → 00:02:22 บ้างนะครับเหมือนเดิมครับปกติตรง abstract
00:02:22 → 00:02:25 เนี่ยผมจะไม่ค่อยอ่านนะครับเพราะว่ามัน
00:02:25 → 00:02:28 เป็นแค่การสรุปทั้งนั้นเลยแต่ผมต้องการ
00:02:28 → 00:02:30 รู้ว่าข้างในจริงๆอ่ะมันเป็นอะไรกันแน่นะ
00:02:30 → 00:02:32 ครับแล้วก็ตรงintrรoduก็ไม่ค่อยอ่าน
00:02:32 → 00:02:35 เหมือนกันคือเค้ากำลังพูดว่าอัลไซเมอร์
00:02:35 → 00:02:38 เนี่ยมันก็เป็นความจำเสื่อมชนิดที่เจอได้
00:02:38 → 00:02:40 บ่อยที่สุดนะครับต้องบอกอย่างงี้ครับความ
00:02:40 → 00:02:42 จำเสื่อมเนี่ยมันมีได้หลายสาเหตุเต็มไป
00:02:42 → 00:02:44 หมดเลยนะครับแต่สาเหตุหลักเนี่ยก็คือ
00:02:44 → 00:02:48 อัลไซเมอร์นะครับแล้วอัลไซเมอร์เนี่ยมัน
00:02:48 → 00:02:51 เกิดมาจากการที่เรามีโปรตีนตัวนึงชื่อว่า
00:02:51 → 00:02:54 อไมลอยด์เบต้านะครับอไมอยด์เนี่ยมันเป็น
00:02:54 → 00:02:56 โปรตีนที่ไม่สามารถย่อยสลายได้นะครับแล้ว
00:02:56 → 00:02:59 พอมันสะสมมากๆมันก็ทำให้เซลล์สมองเนี่ย
00:02:59 → 00:03:03 มันตายนะครับอายอยด์เบต้าเนี่ยยังไปทำให้
00:03:03 → 00:03:05 โปรตีนตัวนึงชื่อทอโปรตีนนะครับโปรตีนตัว
00:03:05 → 00:03:08 เนี้ยมันจะเกาะอยู่กับท่อที่อยู่ในเซลล์
00:03:08 → 00:03:11 ท่อตัวนี้เรียกว่าไมครทบนะครับท่อพวกนี้
00:03:11 → 00:03:13 มีความสำคัญในแง่ของการโครงรูปร่างของ
00:03:13 → 00:03:16 เซลล์ประสาทแล้วก็มีความสำคัญในการ
00:03:16 → 00:03:18 ลำเลียงสารต่างๆที่อยู่ในเซลล์ประสาทนะ
00:03:18 → 00:03:21 ครับทอโปรตีนมีส่วนทำให้ท่อตัวนี้มันทำ
00:03:21 → 00:03:24 งานได้แต่อไมรอยเบต้าเนี่ยมันไปดึงทอ
00:03:24 → 00:03:26 โปรตีนออกมานะครับทำให้ทอโปรตีนมันเกาะ
00:03:26 → 00:03:29 กันเองกลายไปเป็นเป็นกลุ่มก้อนขยุกขยุยนะ
00:03:30 → 00:03:32 ครับเราเรียกว่า Neur fibbrary tangle
00:03:32 → 00:03:34 นะครับซึ่งพอมันเกาะเป็นอย่างนี้เสร็จ
00:03:34 → 00:03:36 ปุ๊บเนี่ยไอ้ microbe ก็ทำงานไม่ได้เซลล์
00:03:36 → 00:03:38 ก็ลำเลียงไม่ได้คงรูปร่างไม่ได้มันก็ตาย
00:03:38 → 00:03:42 ครับดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องของ
00:03:42 → 00:03:45 อัลไซเมอร์เนี่ยมี 2 อย่างอไมลอยด์แล้วก็
00:03:45 → 00:03:48 เทาโปรตีนที่มันผิดปกติไปซึ่งช่วงเนี้ยผม
00:03:48 → 00:03:50 เคยทำคลิปไปแล้วในเรื่องของความจำเสื่อม
00:03:50 → 00:03:52 ถ้าใครอยากได้รายละเอียดก็ไปฟังคลิปนั้น
00:03:52 → 00:03:55 ดูนะครับอ่ะเราเล่าคร่าวๆประมาณเท่านี้
00:03:55 → 00:03:57 แต่สิ่งหนึ่งซึ่งอยากจะชี้ให้เห็นว่าเค้า
00:03:57 → 00:03:59 คิดวัคซีนมาได้ยังไงนะครับมันอยู่ตรงนี้
00:03:59 → 00:04:03 ครับคือเค้าก็ไปดูที่เรื่องของไมลอยเบต้า
00:04:03 → 00:04:06 ตัวนี้แหละเค้าไปเจอว่าเบต้าเนี่ยนะครับ
00:04:06 → 00:04:10 มันมีทั้งหมด 42 อ่า residue ซึ่งก็หมาย
00:04:10 → 00:04:14 ความว่ามีตัวต่อๆกัน 42 ตัวนะครับแต่ตัว
00:04:14 → 00:04:16 ที่มีผลต่อการกระตุ้นภูมิต้านทานซึ่งเขา
00:04:16 → 00:04:19 จะเอามาคิดค้นต่อเป็นวัคซีนได้เนี่ยมันมี
00:04:19 → 00:04:23 อยู่ 2 ช่วงครับช่วงแรกก็คือ Bcell
00:04:23 → 00:04:25 epitopes หมายความว่าส่วนเนี้ยตัวที่
00:04:25 → 00:04:29 1-15 5 สามารถกระตุ้นBเซลได้ซึ่งBซลจะ
00:04:29 → 00:04:31 เป็นตัวที่ผลิตแอนตีบอดี้ให้เรานะครับ
00:04:31 → 00:04:34 แล้วก็อีกส่วนนึงก็คือส่วน THOP นะครับก็
00:04:34 → 00:04:38 คือส่วน 15-42 15-42 เนี่ยสามารถกระตุ้น
00:04:38 → 00:04:41 T Helper Cell ได้ T cell มีความ
00:04:41 → 00:04:44 สำคัญในแง่ของการที่บอกให้Bเซลอ่ะมันแปลง
00:04:44 → 00:04:46 ร่างกลายไปเป็นเซลล์ซึ่งผลิตแอนตบอดี้ที่
00:04:46 → 00:04:48 ถูกชนิดได้ก็คือเราจะเรียกภาษา
00:04:48 → 00:04:51 วิทยาศาสตร์ว่า Class switching นะครับ
00:04:51 → 00:04:53 Class switching ถ้าไม่มี class
00:04:53 → 00:04:55 switching มันก็จะผลิต antibiody ได้ไม่
00:04:55 → 00:04:57 ค่อยดีเท่าไหร่นะครับแล้วก็อาจจะไม่
00:04:57 → 00:05:00 จำเพาะนอกเหนือจากนี้มันยังทำให้Bซลเนี่ย
00:05:00 → 00:05:02 สร้างความสมจำขึ้นมาได้นะครับดังนั้นตรง
00:05:02 → 00:05:06 นี้เป็นที่มานะฮะทีนี้เขาก็เลยเอาเครื่อง
00:05:06 → 00:05:08 มือหลายๆอย่างนะครับมันจะมีเครื่องมือที่
00:05:09 → 00:05:12 ใช้สำหรับการวิเคราะห์ว่าอ่าสารตัวไหนจะ
00:05:12 → 00:05:14 สามารถกระตุ้นอะไรได้นะครับเราจะเรียกว่า
00:05:14 → 00:05:17 เป็นการทำ Epitop prediction epitop
00:05:17 → 00:05:20 เนี่ยหมายความว่าส่วนสำคัญของสารที่เรา
00:05:20 → 00:05:24 ต้องการเนี่ยดูซิว่ามันจะถูกจับโดยเซลล์
00:05:24 → 00:05:26 ภูมิกันเราได้ดีแค่ไหนจับแล้วจะทำหน้าที่
00:05:26 → 00:05:28 ได้ดีแค่ไหนนะครับอันนี้อาจจะไม่ไม่ใช่
00:05:28 → 00:05:30 อธิบายตรงเป๊ะทางวิทยาศาสตร์นะครับแต่
00:05:30 → 00:05:32 คร่าวๆความหมายสำหรับคนทั่วไปมันประมาณ
00:05:32 → 00:05:34 นั้นนะครับ
00:05:34 → 00:05:37 หลังจากที่เค้าได้คิดว่าอ๋อมันมีส่วนไหน
00:05:37 → 00:05:40 ของamอยbบ้าที่เขาจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
00:05:40 → 00:05:43 เนี่ยเค้าก็มีการเอาไปทดลองหลายๆอย่างเลย
00:05:43 → 00:05:46 นะครับคือสรุปแล้วเนี่ยมีการทดลองเดี๋ยว
00:05:46 → 00:05:48 ผมจะชี้ให้ดูตอนหลังว่าเค้าไปเอามาจากไหน
00:05:48 → 00:05:52 ครับก็มีการเอาเบต้า 1-10 นะครับแบบ n
00:05:52 → 00:05:54 1-10 แบบต่อกับตัวอะไรสักอย่างนะครับมา
00:05:54 → 00:05:57 หลายๆตัวนะครับแล้วก็ไปดูซิว่าเอ๊ะปกติ
00:05:57 → 00:06:00 อไมรอยเบต้าถ้าส่วนสั้นๆเนี่ยมันกระตุ้น
00:06:00 → 00:06:03 ภูมิต้านทานได้ไม่ค่อยดีเค้าก็เลยคิดว่า
00:06:03 → 00:06:05 ทำยังไงให้มันกระตุ้นได้ดีก็คือต้องเอาไป
00:06:05 → 00:06:08 รวมกับสารตัวอื่นนะครับเราจะเรียกว่า
00:06:08 → 00:06:10 conjugated vaccine นะครับถ้าตัวนึงมัน
00:06:10 → 00:06:12 กระตุ้นภูมิต้านทานได้แต่ว่ากระตุ้นไม่
00:06:12 → 00:06:14 ค่อยดีมันก็ต้องหาตัวที่กระตุ้นได้ดีเอา
00:06:14 → 00:06:16 มาแปะกันแล้วถ้าแปะแบบเนี้ยจะทำให้
00:06:16 → 00:06:18 กระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีแล้วก็ภูมิต้าน
00:06:18 → 00:06:21 ทานที่เกิดขึ้นก็จะไปจำเพาะกับส่วนที่เรา
00:06:21 → 00:06:24 กำลังต้องการจัดการในที่นี้ก็คืออไมลอย
00:06:24 → 00:06:27 เบต้านั่นเองนะครับทีนี้การเอาทำ
00:06:27 → 00:06:29 Conjugation เนี่ยเค้าก็คิดมา 2 สูตร
00:06:29 → 00:06:32 ครับสูตรแรกเนี่ยคือนี่เลย OVA นะครับ
00:06:32 → 00:06:36 แล้วก็อีกอันนึงคือQolmadมนซึ่งผมเขียนคำ
00:06:36 → 00:06:37 แปลไว้ให้ตรงนี้แล้วครับว่ามันคืออะไรนะ
00:06:38 → 00:06:40 ครับเอ่อ
00:06:40 → 00:06:44 น่ะก็คือเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแล้วกันมัน
00:06:44 → 00:06:48 สามารถกระตุ้น T helper cell ได้ดีมากๆ
00:06:48 → 00:06:52 นะครับแต่ตัวที่ดีกว่าก็คือตัวที่มาจาก
00:06:52 → 00:06:54 ลิ้มเป็ดนะครับลิ้มเป็ดเนี่ยผมไม่รู้ภาษา
00:06:54 → 00:06:56 ไทยมันเรียกว่าอะไรเหมือนกันแต่มันเป็น
00:06:56 → 00:06:58 เอ่อเหมือนคล้ายๆหอยอย่างหนึ่งอ่ะที่เกาะ
00:06:58 → 00:07:00 อยู่ตามโขดหินเวลาเราไปทะเลอ่ะนะครับ
00:07:00 → 00:07:03 ลักษณะเหมือนภูเขาไฟตรงปลายมันมีรูอยู่
00:07:03 → 00:07:04 อันนึงไอ้นั่นคือตัวริมเป็ดมันกินได้ด้วย
00:07:04 → 00:07:08 นะครับแกะออกมาแล้วก็ไปต้มกินก็ได้นะครับ
00:07:08 → 00:07:11 ตัวเนี้ยมันจะมีสารตัวนึงชื่อคีโฮล limped
00:07:11 → 00:07:14 ฮีโมซยินนะครับอันเนี้ยเป็นสุดยอดของตัว
00:07:14 → 00:07:17 กระตุ้นภูมิต้านทานเลยนะฮะเรียกผมเขียน
00:07:17 → 00:07:19 robust helper cell activation นะ
00:07:19 → 00:07:23 ครับพอเอามารวมกับตัว peptide ในที่นี้ก็
00:07:23 → 00:07:25 คือamบเบต้ามันเลยทำให้กระตุ้นภูมต้านทาน
00:07:25 → 00:07:28 ได้ดีนี่คือความคิดเบื้องหลังของทั้งหมด
00:07:28 → 00:07:30 นะครับเพราะว่าเรารู้แล้วว่าถ้าช็อตเปปไต
00:07:31 → 00:07:33 ก็คือถ้าเราเอามาค่าอารอยเบต้า 1-10
00:07:33 → 00:07:35 เนี่ยมันกระตุ้นอะไรไม่ได้ฉีดเข้าไปก็ไม่
00:07:35 → 00:07:37 เกิดอะไรขึ้นดังนั้นจึงต้องเอาของพวก
00:07:37 → 00:07:40 เนี้ยมาใส่เข้าไปนะครับถึงจะทำงานได้ดี
00:07:40 → 00:07:41 อ่า
00:07:41 → 00:07:43 ตรงนี้อธิบายให้เข้าใจนิดนึงนะครับคลิป
00:07:43 → 00:07:45 นี้อาจจะยาวหน่อยนะครับเพราะผมอยากจะให้
00:07:45 → 00:07:48 ทุกคนรู้มันทำกันยังไงเลยนะฮะตรงส่วน
00:07:48 → 00:07:51 สำคัญแล้วครับเค้าทดลองยังไงนะเค้าก็มี
00:07:51 → 00:07:56 หนูครับหนูในที่นี้นะฮะคือมีอยู่สาย
00:07:56 → 00:07:58 พันธุ์นึงเค้าเอาหนูตัวผู้มาซึ่งตรงนี้ผม
00:07:58 → 00:08:00 ไม่แน่ใจว่าเ้าทำไมต้องเอาหนูตัวผู้ตัว
00:08:00 → 00:08:03 อื่นเอาไม่ได้ตัวเมียไม่ได้เหรอนะครับ
00:08:03 → 00:08:05 เอ่อนะครับอันนี้ไม่รู้เหมือนกันนะฮะแต่
00:08:05 → 00:08:06 ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งเราต้องคิดนะครับ
00:08:06 → 00:08:09 เพราะว่าการที่เอาหนูตัวผู้มาทดลองแล้วไป
00:08:09 → 00:08:12 ทดลองกับคนจริงๆเอาแต่คนผู้ชายมาทดลอง
00:08:12 → 00:08:14 อัลไซเมอร์แต่ไม่เอาคนผู้หญิงมาก็อาจจะ
00:08:14 → 00:08:17 ไม่สามารถที่จะใช้ข้อสรุปนั้นกับทุกเพศ
00:08:17 → 00:08:20 ได้นะครับอ่าตรงนี้ต้องคิดไว้ในหัวนิดนึง
00:08:20 → 00:08:23 เค้ามีทั้งหมด 70 ตัวครับโดยแบ่งเป็น 7
00:08:23 → 00:08:26 กลุ่มกลุ่มละ 10 ตัวนะครับแล้วก็นี่คือ 7
00:08:26 → 00:08:29 กลุ่มทั้งหมดนะครับกลุ่มแรกนี่เลย Control
00:08:29 → 00:08:31 Group นะครับต้องมีแน่ๆนะครับเค้ามีการ
00:08:31 → 00:08:36 ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในสมองนะครับอ่ากลุ่ม
00:08:36 → 00:08:38 เนี้ยเป็นกลุ่มที่หนูปกติไม่มีโรคอะไร
00:08:38 → 00:08:41 ทั้งสิ้นกลุ่มที่ 2 อไมลอยเบต้ากรุ๊ปคือ
00:08:41 → 00:08:44 ฉีดอไมอยเบต้าที่ทำให้เป็นอัลไซเมอร์ลงไป
00:08:44 → 00:08:48 ในสมองของหนูโดยไม่ให้ยาอะไรเลยกลุ่มที่ 3
00:08:48 → 00:08:51 นะครับอ่าเราได้อไมอยเบต้าคือทำให้เขา้า
00:08:51 → 00:08:55 เป็นอัลไซเมอร์และมีการฉีดวัคซีนซึ่งทำมา
00:08:55 → 00:08:59 จากตัวนี้ครับ Neptop นะครับอ่ากลุ่มที่ 3
00:08:59 → 00:09:02 ถึงกลุ่มที่ 7 เนี่ยนะครับจะเป็นกลุ่มทด
00:09:02 → 00:09:06 ลองที่เรามีการให้วัคซีนแตกต่างชนิดกันไป
00:09:06 → 00:09:08 ดูซิว่าวัคซีนตัวไหนมันทำงานได้ดีที่สุด
00:09:09 → 00:09:11 นะครับอ่า
00:09:11 → 00:09:13 แล้วก็ระยะเวลาในการทดลองผมเขียนมาให้หมด
00:09:14 → 00:09:16 แล้วครับสรุปให้เรียบร้อยละหนูที่เอามาทด
00:09:16 → 00:09:21 ลองเนี่ยนะครับอายุ 8 สัปดาห์นะครับโดย
00:09:21 → 00:09:23 ก่อนจะทดลองเนี่ยเค้าจะให้หนูมีเวลาปรับ
00:09:23 → 00:09:26 ตัวกับสถานที่อยู่ใหม่สักประมาณ 7 วันนะ
00:09:26 → 00:09:28 ครับอ่า 7 วันปรับตัวเรียกว่า
00:09:28 → 00:09:30 acclamtiation นะครับหลังจากนั้นจะเข้า
00:09:30 → 00:09:34 สู่การทดลองนะครับก็คือ
00:09:34 → 00:09:37 อ่าหลังจากปรับตัวเสร็จปุ๊บก็จะมีการฉีด
00:09:37 → 00:09:39 นี่อไมเบต้าเข้าไปในสมองหรือฉีดน้ำเกลือ
00:09:39 → 00:09:42 นะครับแล้วก็วันเดียวกันที่ฉีดเข้าไป
00:09:42 → 00:09:44 เนี่ยก็จะเริ่มให้วัคซีนวัคซีนเขาจะให้
00:09:44 → 00:09:47 ทั้งหมด 3 โดสนะครับโดสแรกก็คือหลังจาก
00:09:47 → 00:09:51 ฉีดอ่าอรอยเบต้าเข้าสมองไปเลยนะครับโดส
00:09:51 → 00:09:53 ที่ 2 ก็ 7 วันถันถัดมาโดที่ 3 ก็อีก 7
00:09:53 → 00:09:56 วันถัดมานะครับพอฉีดไปครบทุกอย่างแล้ว
00:09:56 → 00:10:00 เนี่ยเค้าจะรออีก 2 อาทิตย์นะครับฉีดครบ
00:10:00 → 00:10:04 วันที่ 14 นะวันที่ 28 เริ่มการทดลองการ
00:10:04 → 00:10:06 ทดลองแรกที่เขาทำก็คือดูพฤติกรรมของหนูนะ
00:10:06 → 00:10:08 ครับซึ่งวันนี้เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่า
00:10:08 → 00:10:09 เค้าดูยังไงเค้าจะดูหนูเวลาที่เค้าเดินใน
00:10:09 → 00:10:12 เขาวงกตแล้วก็ดูการตอบสนองของมันนะครับ
00:10:12 → 00:10:16 แล้วพอตรวจเสร็จปุ๊บเนี่ยอีกอาทิตย์นึง
00:10:16 → 00:10:19 ต่อมานะครับเค้าก็จำเป็นจะต้องจบชีวิตของ
00:10:19 → 00:10:22 หนูเพื่อเอาสมองของหนูแล้วก็ร่างกายต่างๆ
00:10:22 → 00:10:25 มาศึกษาว่ามันมีอะไรบ้างนะครับอ่างั้นถ้า
00:10:25 → 00:10:28 เทียบเป็นอายุเออเพราะหลายคนคงสงสัยว่า
00:10:28 → 00:10:30 หนูเนี่ยมันจะอายุเท่าไหร่ยังไงนะครับถ้า
00:10:30 → 00:10:33 เทียบเป็นอายุนะครับ 8 สัปดาห์ของหนูใน
00:10:33 → 00:10:36 กรณีเนี้ยก็คือเหมือนกับเราเป็นผู้ใหญ่
00:10:36 → 00:10:39 ตอนต้นนะครับยังadานะครับตอนช่วงที่เขาทำ
00:10:39 → 00:10:41 ให้หนูเสียชีวิตเนี่ยก็เป็นช่วงadาคือหนู
00:10:41 → 00:10:44 เป็นผู้ใหญ่ไปแล้วนะครับมันอาจจะไม่ตรงซะ
00:10:44 → 00:10:46 ทีเดียวกับโรคอัลไซเมอร์เพราะว่า
00:10:46 → 00:10:48 อัลไซเมอร์ในคนจริงๆมันเป็นตอนอายุเยอะนะ
00:10:48 → 00:10:51 ครับ 6-70 โน่นมันไม่ใช่ในช่วงวัยผู้ใหญ่
00:10:51 → 00:10:53 ตอนต้นนะครับหรือวัยผู้ใหญ่ธรรมดานะครับ
00:10:53 → 00:10:55 ตรงนี้อาจจะเป็นความแตกต่างกันนิดหน่อยนะ
00:10:55 → 00:10:59 ครับแล้วก็อย่าลืมอัลไซเมอร์ที่เกิดในหนู
00:10:59 → 00:11:02 เนี่ยเกิดเพราะว่าคุณฉีดสารอไมอยด์เบต้า
00:11:02 → 00:11:06 เข้าไปตรงๆโดสขนาดในคนเนี่ยมันไม่ได้เป็น
00:11:06 → 00:11:08 แบบนั้นครับมันจะค่อยเป็นค่อยไปค่อยๆสะสม
00:11:08 → 00:11:12 อไมต้าในระยะเวลาเป็น 10 ปีครับมันไม่ได้
00:11:12 → 00:11:14 ตู้มเดียวเป็นเลยในคนมันจะค่อยๆเป็นดัง
00:11:14 → 00:11:16 นั้นตรงเนี้ยเป็นส่วนที่ทุกคนต้องจับให้
00:11:16 → 00:11:21 ได้ว่ามันมีปัญหาตรงไหนนะครับอ่าอ่ะ
00:11:21 → 00:11:25 แล้วก็ลองดูผมขีดไว้ให้หมดะนะครับอันนี้
00:11:25 → 00:11:27 อันนี้ก็เหมือนที่ผมทำสรุปไว้ให้นะครับ
00:11:27 → 00:11:30 ว่าเราฉีดอะไรเข้าไปยังไงนะครับข้ามไป
00:11:30 → 00:11:34 ก่อนนะฮะอ่า Animal Model นะครับก็การ
00:11:34 → 00:11:37 ฉีดเข้าไปเนี่ยฉีดโคที่ไหนก็ฉีดที่ส่วน
00:11:37 → 00:11:39 สมองที่เรียกว่า Hipp Campันะครับแล้วก็
00:11:39 → 00:11:42 ส่วน Cortex ซึ่งเป็นส่วนสมองใหญ่นะครับ
00:11:42 → 00:11:45 ฮิปโปคampันี่มันเป็นส่วนแรกในอ่าบรรดา
00:11:45 → 00:11:47 ทั้งหมดที่เวลาเกิดอัลไซเมอร์มันจะเกิด
00:11:47 → 00:11:50 ตรงนี้ก่อนนะครับผมเคยทำคลิปเรื่องนี้ไป
00:11:50 → 00:11:52 แล้วนะครับถ้าใครจำไม่ได้มันจะมีส่วน
00:11:52 → 00:11:55 คอนูมิของส่วนพวกเนี้ยมันจะเสียก่อนเลยนะ
00:11:55 → 00:11:57 ครับลองไปดูในคลิปตัวเต็มของเรื่อง
00:11:57 → 00:12:00 อัลไซเมอร์แล้วกันนะครับ
00:12:00 → 00:12:03 นะตรงนี้ก็เป็นเวลาที่เขา้าทำนะฉีดวัคซีน
00:12:03 → 00:12:05 เข้าไปเมื่อไหร่ยังไงนะครับผมสึหมดอธิบาย
00:12:05 → 00:12:09 ไปหมดแล้วนะครับแล้วก็เรื่องของการให้สาร
00:12:09 → 00:12:12 ต่างๆตรงนี้ก็รวมไว้ในภาพสรุปอันเนี้นะ
00:12:12 → 00:12:14 ครับผมสรุปมาให้หมดแล้วนะครับตรงเนี้ยที่
00:12:14 → 00:12:16 เป็นภาพสรุปว่าทดลองอะไรกับหนูยังไงบ้าง
00:12:16 → 00:12:19 นะครับดังนั้นจะขอข้ามอ่ะอันนี้เป็นการทด
00:12:19 → 00:12:22 สอบพฤติกรรมของหนูนะครับเราเรียกว่าmaสนะ
00:12:22 → 00:12:25 ครับอันนี้ก็คือให้หนูมันเดินในข่าววงกด
00:12:25 → 00:12:27 นะครับดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิด
00:12:27 → 00:12:29 ว่าคนไหนสมองเสื่อมมันก็เดินแล้วอาจจะ
00:12:29 → 00:12:33 เอ้ยงงเอ่อหันไปหันมาไม่รู้จะเป็นยังไงจะ
00:12:33 → 00:12:35 ลงจากเวทีด้านไหนอ่ะไม่รู้นะครับอ่ะหนู
00:12:35 → 00:12:36 มันก็เป็นอย่างงั้นเหมือนกันเวลาสมองมี
00:12:36 → 00:12:40 ปัญหานะครับอันที่ 2 ที่ทดสอบก็คือ
00:12:40 → 00:12:41 Passive Avoidance Test นะครับตัวนี้
00:12:41 → 00:12:44 ก็เหมือนกันก็คือจะต้องมีการหลบเลี่ยง
00:12:44 → 00:12:46 เอ่อสิ่งกีดขวางต่างๆนะครับอ่ะเราก็จะไม่
00:12:47 → 00:12:48 พูดในรายละเอียดแล้วกันถ้าใครสนใจก็ลอง
00:12:48 → 00:12:51 เอาไปอ่านดูนะครับหลังจากนั้นเนี่ยก็แน่
00:12:51 → 00:12:53 นอนครับหลังจากทดสอบพฤติกรรมของหนูเสร็จ
00:12:53 → 00:12:56 ปุ๊บเนี่ยเค้าก็ต้องมาดูว่าเออในร่างกาย
00:12:56 → 00:12:57 หนูมันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างเค้าก็
00:12:57 → 00:12:59 จำเป็นจะต้องจบชีวิตของหนูแล้วก็เอาส่วน
00:12:59 → 00:13:02 ต่างๆมาศึกษาเเอาสมองมาศึกษานะครับอ่า
00:13:02 → 00:13:05 Mind Brain นะครับมีการทดสอบ western
00:13:05 → 00:13:07 blot ต่างๆคือดูสารต่างๆเดี๋ยวผมจะพาไป
00:13:07 → 00:13:10 ดูว่าเ้าเจออะไรบ้างนะครับ
00:13:10 → 00:13:13 อ่าตรงนี้ยังไม่มีอะไรน่าสนใจนะครับ
00:13:13 → 00:13:17 เดี๋ผมแล้วก็จะมีการวัดสารต่างๆในร่างกาย
00:13:17 → 00:13:19 ด้วยว่ามีการอักเสบอะไรมั้เพราะว่าไอ้
00:13:20 → 00:13:22 อไมลอยด์เบต้าเนี่ยมันทำให้สมองมันมีความ
00:13:22 → 00:13:25 อักเสบเพิ่มมากขึ้นแล้วก็เราจะเจอการ
00:13:25 → 00:13:28 อักเสบในสมองแล้วก็ในเลือดด้วยนะครับเค้า
00:13:29 → 00:13:31 ก็จะตรวจตัวนั้นด้วยว่าวัคซีนของเขาที่
00:13:31 → 00:13:33 ฉีดเข้าไปเนี่ยมันสามารถลดการอักเสบได้
00:13:33 → 00:13:38 หรือไม่นะครับอ่าทีนี้มาดูที่ผลการตรวจ
00:13:38 → 00:13:41 แล้วครับผลการตรวจเ้าเจออะไรบ้างอนี่เลย
00:13:41 → 00:13:45 นะครับเค้าก็ดูอันแรกเนี่ยเขาต้องดูว่า
00:13:45 → 00:13:48 วัคซีนของเขาอ่ะดีไซน์มาได้ถูกต้องแล้วดี
00:13:48 → 00:13:50 จริงหรือเปล่านะครับเพราะว่าเขาต้องการทำ
00:13:50 → 00:13:52 วัคซีนไปต่อต้านamoidอยb้านะครับดังนั้น
00:13:52 → 00:13:56 เขาก็ใส่ amoid bแกรมนะฮะโปรแกรมอันนี้
00:13:56 → 00:14:00 ชื่อว่า Immune Database นะครับอ่ามัน
00:14:00 → 00:14:02 เป็นวิธีขี้โกงของสมัยปัจจุบันว่าถ้าเรา
00:14:02 → 00:14:05 อยากจะรู้ว่าตัวเนี้ยที่เราจะดีไซน์ออกมา
00:14:05 → 00:14:07 มันจะกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีมยเราก็ไป
00:14:07 → 00:14:10 ใส่โปรแกรมพวกเนี้ครับนะฮะหลังจากนั้น
00:14:10 → 00:14:13 เค้าก็ดูว่าถ้าดีไซน์ออกมาแบบนี้มันจะไป
00:14:13 → 00:14:15 จับกับตัวภูมิต้านทานเราได้ดีแล้วก็
00:14:15 → 00:14:17 กระตุ้นเลยหรือเปล่าก็มีอีกโปรแกรมนึง
00:14:17 → 00:14:20 ชื่อนี่นะครับ Genetic Optimization for
00:14:20 → 00:14:21 like and docking นะครับซึ่งไม่ขอลง
00:14:22 → 00:14:23 รายละเอียดแล้วกันถ้าใครทำเรื่องพวกนี้ก็
00:14:23 → 00:14:26 จะรู้ดีว่ามันคืออะไรแต่ว่ายากนะครับพวก
00:14:26 → 00:14:28 นี้ยากเลยแหละมันเป็นการที่แบบเราต้อง
00:14:28 → 00:14:30 สมัยก่อนเราต้องเดาอ่ะแต่เดี๋ยวเนี้ยไม่
00:14:30 → 00:14:32 ต้องเดาเพราะว่าเรามีฐานข้อมูลใหญ่มหาศาล
00:14:32 → 00:14:35 เราก็สามารถดูได้เลยว่าไอ้ของที่เรา
00:14:35 → 00:14:38 ต้องการจะทำวัคซีนไปต่อต้านมาเนี่ยเรา
00:14:38 → 00:14:40 ดีไซน์ออกมามันถูกต้องหรือยังแล้วก็ถ้า
00:14:40 → 00:14:43 ดีไซน์แบบเนี้ยถ้ามันถูกต้องแล้วนะมันจับ
00:14:43 → 00:14:46 กับเซลล์ต่างๆของเราได้ดีแค่ไหนนะครับ
00:14:46 → 00:14:48 เพราะว่าเราต้องการให้เมเลดขาวของเราทั้ง
00:14:48 → 00:14:51 BซลTเซลล์เนี่ยจับมันได้แล้วก็มีการตอบ
00:14:51 → 00:14:53 สนองเพื่อสร้างแอนติบอดี้ไปทำลายสารอไมอย
00:14:53 → 00:14:58 เบต้าในสมองนะครับนี่คือสิ่งที่ต้องการนะ
00:14:58 → 00:15:00 อืม
00:15:00 → 00:15:04 แล้วก็นี่ครับอ่าอันนี้อันนี้เป็นขั้นตอน
00:15:04 → 00:15:07 คิดค้นคุณจะเห็นว่ามันดูวุ่นวายยุ่งยาก
00:15:07 → 00:15:10 ใช่มั้ครับใช่ครับมันยุ่งยากอ่ะให้ดูตรง
00:15:10 → 00:15:17 นี้นี่คืออไมเบต้า 1-42 มีทั้งหมด 42 ตัว
00:15:17 → 00:15:20 มีอะมิโนอซิทั้งหมด 42 ตัวเค้าเลือกส่วน
00:15:20 → 00:15:22 ที่มันกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีที่สุดมาก็
00:15:22 → 00:15:25 คือส่วนที่ 1-10 นะครับแต่ไอ้ตัวเนี้ยก็
00:15:25 → 00:15:27 ยังไม่เพียงพอดังนั้นเขาต้องมีการเปลี่ยน
00:15:27 → 00:15:30 แปลงให้มันกระตุ้นได้ดีขึ้นอ่าตัวแรกก็
00:15:30 → 00:15:32 คือลองลองเปลี่ยนลองเปลี่ยนตัวแรกเป็นตัว
00:15:32 → 00:15:35 นี้ซิอ่าตัวถัดมาลองเปลี่ยนตัวนี้เป็นไอ้
00:15:35 → 00:15:38 นี้นี่นะครับมีการเปลี่ยนหลายอย่างอันนี้
00:15:38 → 00:15:40 ก็มีการเอาโปรตีนโอวามูมินะครับกับ
00:15:40 → 00:15:43 คีโฮลิมปดฮีโมไซยนินมารวมเพื่อกระตุ้น
00:15:43 → 00:15:45 ภูมิต้านทานให้มันสูงขึ้นแล้วหลังจากที่
00:15:45 → 00:15:48 เค้าทดลองไปหมดทุกตัวเนี่ยจากไอ้สารใหญ่ๆ
00:15:48 → 00:15:52 ตัวนี้นะครับตัวที่ดีที่สุดเนี่ยคือ 2
00:15:52 → 00:15:57 ตัวนี้นะครับมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโน
00:15:57 → 00:16:00 ตำแหน่งนึงแล้วก็เอาสาร 2 ตัวที่กระตุ้น
00:16:00 → 00:16:02 ภูมิต้านทานได้มายัดไว้ตรงนี้ทำให้
00:16:02 → 00:16:05 กระตุ้นภูมิต้านทานต่อการจัดการเซลล์ผ
00:16:05 → 00:16:07 เอ่อจัดการกับอไมรอยเบต้าได้ดีที่สุดนะ
00:16:07 → 00:16:12 ครับอ่ะ
00:16:12 → 00:16:14 ไม่เพียงแค่นั้นครับเค้ายังต้องทดสอบว่า
00:16:14 → 00:16:16 ไอ้สารที่เค้าทำออกมาเนี่ยมันเป็นพิษหรือ
00:16:16 → 00:16:18 เปล่าเออเพราะว่าถ้าเกิดทำเป็นพิษแล้วไป
00:16:19 → 00:16:22 ทดลองมันเสียเวลาครับนะดังนั้นจึงมี
00:16:22 → 00:16:25 โปรแกรมอีกอันนึงชื่อว่า Toxin Press นะ
00:16:25 → 00:16:27 ครับ Toxin Press ก็คือเ้าเอาอีสานเมื่อ
00:16:27 → 00:16:30 ตะกี้ที่เราดีไซน์ออกมาเนี่ยไปทดทดสอบใน
00:16:30 → 00:16:32 ฐานข้อมูลดูซิว่ามันจะมีพิษไม่มีพิษนะ
00:16:32 → 00:16:35 ครับก็เจอว่าไม่มีปัญหานะครับไม่มีพิษ
00:16:35 → 00:16:39 อะไรสามารถทำงานได้ดีนะฮะ
00:16:39 → 00:16:43 อ้าทีนี้พอเค้ารู้แล้วว่าดีไซน์วัคซีนมา
00:16:43 → 00:16:46 จากอะไรดีไซน์ได้ถูกต้องมั้ยอ่ากระตุ้น
00:16:46 → 00:16:48 ภูมิต้านทานได้ดีไม่เป็นพิษแล้วเค้าก็เอา
00:16:48 → 00:16:51 ไอ้พวกนั้นนั่นแหละมาลองใช้ดูจริงๆนะครับ
00:16:51 → 00:16:54 เพราะแค่ดีไซน์อยู่ในหัวถ้าคุณไม่ลองไม่
00:16:54 → 00:16:55 มีทางรู้ว่ามันถูกหรือเปล่าดังนั้นเคจะ
00:16:55 → 00:16:58 เริ่มลองครับลองแล้วก็เป็นอย่างี้ครับอ่า
00:16:58 → 00:17:01 อันนี้คือหนู 7 กลุ่มนะครับตัวนี้คือ
00:17:01 → 00:17:04 control หมายความว่าเป็นหนูปกตินะครับ
00:17:04 → 00:17:08 อ่าหนูปกติอันนี้คือเวลาที่หนูมันเดิน
00:17:08 → 00:17:12 ผ่านในอ่าในในบริเวณที่มันเป็นเขาวงกดนะ
00:17:12 → 00:17:15 ครับในหนูปกติจะมีการเลือกทางที่ถูกต้อง
00:17:15 → 00:17:17 เราจะเห็นไอ้แหลมๆยอดเนี่ยคือเป็นยอดที่
00:17:17 → 00:17:20 ควรจะต้องมีนะครับถ้าหนูที่มันอัลไซเมอร์
00:17:20 → 00:17:22 แล้วไม่ได้วัคซีนอะไรเลยเนี่ยมันมีแค่ยอด
00:17:22 → 00:17:26 เดียวซึ่งน้อยกว่าไอ้หนูปกติถูกมั้ยครับ
00:17:26 → 00:17:29 ได้วัคซีน 1 ชนิดไอ้วัคซีนชนิดนี้กระตุ้น
00:17:29 → 00:17:31 ไม่ค่อยดีมันเหมือนมีการเปลี่ยนจาก
00:17:31 → 00:17:33 ไอ้เนี้ยอันนี้ตรงนี้คืออยู่ตรงกลางนะ
00:17:33 → 00:17:37 ครับตรงกลางมันไม่ไปมันมามันมาทางนี้นะฮะ
00:17:37 → 00:17:40 อ่ะอันนี้กระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดที่ 2
00:17:40 → 00:17:44 วัคซีนชนิดที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ไอ้ 2 ตัว
00:17:44 → 00:17:46 เนี้ยเป็นตัวชูโรงนะครับเพราะว่ามัน
00:17:46 → 00:17:49 กระตุ้นได้ดีที่สุดเราจะเห็นว่ามันมียอด
00:17:49 → 00:17:53 ต่างๆนะครับเนี่ยยอดพวกเนี้ยนะฮะ
00:17:53 → 00:17:56 คล้ายกับ control มากที่สุดก็คือคล้ายกับ
00:17:56 → 00:17:59 หนูที่ไม่ได้เป็นโรคมากที่สุดนะฮะ
00:17:59 → 00:18:02 อันเนี้ยพฤติกรรมคล้ายงั้นแปลว่าเฮ้ยมัน
00:18:02 → 00:18:04 น่าจะได้ผลในเชิงพฤติกรรมนี่นา 2 ตัวเมัน
00:18:04 → 00:18:07 สุดยอดเลยนะครับอ่า
00:18:07 → 00:18:10 แล้วก็แน่นอนครับมีการทำเป็นกราฟด้วยอัน
00:18:10 → 00:18:13 นี้คือ y ma test นะครับแล้วก็อันนี้
00:18:13 → 00:18:15 คือ passive Void test การทดสอบเชิง
00:18:15 → 00:18:17 พฤติกรรมว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมั้ยนะ
00:18:17 → 00:18:19 ครับ Control นี่ครับสูงขนาดนี้ control
00:18:19 → 00:18:23 เนี่ยคือปกตินะฮะ Control คือปกติไอ้ 2
00:18:23 → 00:18:25 ตัวสุดท้ายเนี่ยคือตัววัคซีนที่มันดีที่
00:18:25 → 00:18:27 สุดนะครับในปัจจุบันที่เขา้าทำการทดสอบนะ
00:18:27 → 00:18:32 ก็จะเห็นว่ามันค่อนข้างใกล้เคียงกับหนู
00:18:32 → 00:18:34 ปกติเลยนะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น
00:18:34 → 00:18:38 มากอย่างหนึ่งนะครับอ่ะต่อมาเเจออะไรอีก
00:18:38 → 00:18:40 นะฮะ
00:18:40 → 00:18:42 งั้นอ่าตรงนี้เดี๋ยวผมจะข้ามไปก่อนแล้วก็
00:18:42 → 00:18:47 จะให้ดูตรงนี้เลยนี่เค้าจะดูว่าตัววัคซีน
00:18:47 → 00:18:48 เนี่ยสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิต
00:18:48 → 00:18:51 แอนตีบอดี้ที่เรียกว่า IGG ได้ดีแค่ไหนนะ
00:18:51 → 00:18:53 ครับโดยเค้าดูในหมนะครับหลังจากที่หนูมัน
00:18:53 → 00:18:55 ตายไปแล้วเนี่ยเค้าเอามาดูเลยว่ามันจะ
00:18:55 → 00:18:58 เกิดอะไรขึ้นนี่ครับ Spleen IGG คือใน
00:18:58 → 00:19:02 มามนะครับ Control นี่คือหนูปกตินะครับ
00:19:02 → 00:19:04 ไอ้ 2 อย่างนี้คือฉีดวัคซีนไอ้ตัวนี้คือ
00:19:04 → 00:19:07 เป็นโรคโดยไม่ต้องมีวัคซีนนะครับเราจะ
00:19:07 → 00:19:10 เห็นอะไรบางอย่างนะครับที่มันแตกต่างกัน
00:19:10 → 00:19:14 ไปพวกที่ไม่ได้วัคซีนเนี่ยเนี่ยนะฮะเราจะ
00:19:14 → 00:19:18 เห็นว่า IG มันคือถ้ายิ่งยิ่งเส้นใหญ่
00:19:18 → 00:19:21 เส้นเข้มเนี่ยแปลว่ามีอิมโนลบินGอนะครับ
00:19:21 → 00:19:24 คโทรลแน่นอนเราไม่ได้ให้วัคซีนมันเบต้า
00:19:24 → 00:19:26 เราให้แต่โรคมันแต่เราไม่ให้วัคซีนมันก็
00:19:26 → 00:19:28 ไม่มีการกระตุ้นใช่มั้ยครับแต่เราจะเห็น
00:19:28 → 00:19:30 นี่พวกที่ให้วัคซีนเส้นจะเข้มขึ้นนะครับ
00:19:30 → 00:19:32 ดังนั้นแปลว่าไอ้วัคซีนเสามารถกระตุ้นให้
00:19:32 → 00:19:37 เกิดการสร้างแอนติบอดี้ได้ดีนะครับแต่
00:19:37 → 00:19:40 เค้าก็ไม่ได้แยกย่อยไปเป็นแอนตีบอดี้ชนิด
00:19:40 → 00:19:42 ไหนด้วยนะครับการที่ไม่ได้แยกเนี่ยเนี่ย
00:19:42 → 00:19:45 มันทำให้เราขาดข้อมูลบางอย่างนะครับแล้ว
00:19:45 → 00:19:48 ก็อาจจะทำให้เราสรุปบางอย่างไม่ได้นะฮะ
00:19:48 → 00:19:49 แต่ว่าวันนี้ขอไม่พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว
00:19:49 → 00:19:54 กันเดี๋ยวจะงงเข้าไปใหญ่นะครับเอ่อ
00:19:54 → 00:19:57 แล้วก็อ่ะอันนี้
00:19:57 → 00:20:00 Sprint IG อันเนี้บางคนอาจจะเคยเห็นบาง
00:20:00 → 00:20:02 คนอาจจะไม่เคยเห็นเราจะเรียกว่าวิธีการทำ
00:20:02 → 00:20:05 Colocalization นะครับคือการย้อมสีใน
00:20:05 → 00:20:08 สิ่งที่มันเป็นคนละอย่างกันแล้วเอาภาพ 2
00:20:08 → 00:20:10 อันมาซ้อนกันดูซิว่าไอ้สีที่ยอมเนี่ยมัน
00:20:10 → 00:20:13 อยู่ตรงไหนของเซลล์กันแน่นะครับดาปี้
00:20:13 → 00:20:14 เนี่ยมันเป็นสารที่เอาไว้ย้อมตัว
00:20:14 → 00:20:17 นิวเคลียสเพราะว่ามันไปเกาะกับส่วนที่มัน
00:20:17 → 00:20:23 เป็นอ่าตัวกรด A กับ T ของ DNA นะครับมัน
00:20:23 → 00:20:26 ก็จะเป็นสีจุดๆสีฟ้าขึ้นมาจุดๆสีฟ้าสีฟ้า
00:20:26 → 00:20:27 สีน้ำเงินเนี่ยมันก็จะเป็นนิวเคลียสนะ
00:20:27 → 00:20:30 ครับส่วนสีเขียวเนี่ยจะเป็นอิมโนลบินนะ
00:20:30 → 00:20:33 ครับแล้ว Merge เนี่ยก็เอา 2 อันมารวมกัน
00:20:33 → 00:20:35 เราจะเห็นว่าไอ้เขียวๆมันไม่ได้อยู่ตรง
00:20:35 → 00:20:37 นิวเคลียสแต่มันก็อยู่แถวๆนั้นเหมือนกัน
00:20:37 → 00:20:40 แสดงว่าเซลล์ของน้ำเนี่ยมีการผลิต
00:20:40 → 00:20:42 อิมโนลบิน
00:20:42 → 00:20:44 เยอะขึ้นนะครับอ่าเป็นการผลิตเยอะขึ้นตรง
00:20:45 → 00:20:46 นี้เป็นการบอกอย่างงั้นไม่ได้มีความสำคัญ
00:20:46 → 00:20:49 อะไรมากมายนะครับในเลือดในพลาสมาอ่าเค้า
00:20:49 → 00:20:52 ก็มาดูซิ IL1 เป็นสารต้านการอักเสบนะครับ
00:20:52 → 00:20:55 แล้วก็ IG ก็คือเมื่อกี้นี้ใน control นะ
00:20:55 → 00:20:58 ครับเราไม่ได้มาทำอะไรมันมันก็ไม่อักเสบ
00:20:58 → 00:21:02 ไม่ต้องใช้สารต้านอักเสบนะฮะเออนี่ก็ให้
00:21:02 → 00:21:06 วัคซีนแล้วก็ลดลงนะครับอ่าลดลงในพลาสma
00:21:06 → 00:21:10 ของ IG ในคนที่ฉีดวัคซีนที่กระตุ้นได้ดี
00:21:10 → 00:21:12 ที่สุดมันก็เยอะเยอะขึ้นนะครับอ่ะตรงนี้
00:21:12 → 00:21:16 ข้ามไปก่อนนะไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นนะฮะ
00:21:16 → 00:21:21 ส่วนตรงนี้จะดูว่าในสมองเนี่ยมันมีสารที่
00:21:21 → 00:21:24 ทำให้เกิดอไมอยเบต้าเยอะแค่ไหนมันลดลงมั้
00:21:24 → 00:21:26 หลังจากการฉีดวัคซีนนะครับโดยเราแบ่งเป็น
00:21:26 → 00:21:28 ส่วนคอทแล้วก็ส่วนhypocampัส control นี่
00:21:28 → 00:21:31 คือคนหนูที่ไม่ได้เป็นโรค beta คือหนูที่
00:21:31 → 00:21:34 เป็นโรคนะครับappี่คือ amalid precursor
00:21:34 → 00:21:36 โปรีนแปลว่าเป็นโปรตีนที่จะกลายไปเป็น
00:21:36 → 00:21:39 อไมอยดที่สร้างปัญหาให้กับเรานะครับใน
00:21:39 → 00:21:42 amอยbบต้าเนี่ยเห็นมยหนูมันเข้มปี๋เลยนะ
00:21:42 → 00:21:46 ครับในปกติเนี่ยมันจะอ่อนกว่านะครับส่วน
00:21:46 → 00:21:48 วัคซีนที่ฉีดแล้วได้ผลดีที่สุดนี่ 2 ตัว
00:21:48 → 00:21:52 นี้มันอ่อนจะเท่ากับหนูปกติอยู่และนะครับ
00:21:52 → 00:21:54 เหมือนที่โปรแกรมพัเหมือนกันนี่แทบจะมอง
00:21:54 → 00:21:56 ไม่เห็น 2 ตัวนี้ก็แทบจะมองไม่เห็นอ่ะมัน
00:21:56 → 00:21:59 เหมือนกันตัวที่เหลือตัวที่เหลือก็คล้ายๆ
00:21:59 → 00:22:02 กันนะครับอืม
00:22:02 → 00:22:05 อันนี้จะขอสรุปคร่าวๆตรงนี้ข้ามไปง่ายๆ
00:22:06 → 00:22:10 เลยนะฮะอืมแล้วก็ตรงนี้เป็นการดูสารการ
00:22:10 → 00:22:12 อักเสบต่างๆในร่างกายนะครับจะข้ามไป
00:22:13 → 00:22:16 เหมือนกันและอีกอย่างนึงก็คือปกติเนี่ย
00:22:16 → 00:22:18 อไมอยเบต้ามันเป็นพิษต่อส่วนที่เรียกว่า
00:22:18 → 00:22:20 synaps หรือส่วนต่อระหว่างเซลล์ประสาท
00:22:20 → 00:22:22 เซลล์ประสาทเนี่ยมันจะมีแขน 2 อันมาอยู่
00:22:22 → 00:22:24 ใกล้ๆกันนะครับแต่มันจะไม่แปะกันเป๊ะมัน
00:22:24 → 00:22:26 จะมีช่องว่างช่องว่างตรงนี้เรียกว่า
00:22:26 → 00:22:28 synaps นะครับช่องว่างตรงนี้ถ้าเซลล์นึง
00:22:28 → 00:22:30 มันจะสื่อสารกับอีกเซลล์นึงมันจะต้อง
00:22:30 → 00:22:32 ปล่อยสารสื่อประสาทเป็นถุงออกมาแล้วสาร
00:22:32 → 00:22:34 เนี้ยมันก็จะไปเกาะกับอีกเซลล์นึงทำให้
00:22:34 → 00:22:37 เซลล์รู้ว่าอ๋อมีการส่งสารอะไรขึ้นมานะ
00:22:37 → 00:22:39 ครับแต่แมบต้าทำให้ตรงเนี้ยเสียเราจะ
00:22:40 → 00:22:43 เรียกว่า Snap toxic นะครับอ่า Snap มัน
00:22:43 → 00:22:47 Toxic เค้าก็มีการตรวจซิว่าเอ๊มันมีการ
00:22:47 → 00:22:49 แก้ไขในส่วนนี้หรือเปล่าหลังจากให้วัคซีน
00:22:49 → 00:22:51 ไปนะครับโดยเค้าตรวจโปรตีนที่เกี่ยวข้อง
00:22:51 → 00:22:55 ก็คือพวกเนี้ยนะฮะSnaptฟซinนะครับ Snap
00:22:55 → 00:22:58 23 แล้วก็โปรตีน PSD 95 นะครับก็มีการ
00:22:58 → 00:23:01 ตรวจสอบพวกนี้ปรากฏว่า
00:23:01 → 00:23:04 วัคซีนเนี่ยมันจัดการไอ้พวกนี้หมดเลยเออ
00:23:04 → 00:23:07 มันจัดการหมดเลยนะครับดังนั้นเท่าที่ดู
00:23:07 → 00:23:08 ตรงนี้เนี่ย
00:23:08 → 00:23:13 เราจะบอกได้เลยว่าการฉีดวัคซีนเข้าไปให้
00:23:13 → 00:23:17 หนูที่เป็นอัลไซเมอร์เนี่ยมันเกิดการ
00:23:17 → 00:23:19 เปลี่ยนแปลงทั้งในทางด้านของพฤติกรรมก็
00:23:19 → 00:23:22 คือหนูหลังจะได้วัคซีนมันดีขึ้นเกือบจะ
00:23:22 → 00:23:25 เท่าหมูหนูปกติเลยมันสามารถเดินแก้ปัญหา
00:23:25 → 00:23:29 ได้นะครับเอ่อหลบสิ่งกีดขวางได้นะครับ
00:23:29 → 00:23:32 แล้วก็ผลเลือดของมันยังดีสร้างแอนติบอดี้
00:23:32 → 00:23:34 ได้ถูกต้องนะครับแล้วในสมองเนี่ยก็ยังมี
00:23:34 → 00:23:37 การลดลงของเบต้าอไมลอยด์อีกต่างหากแสดง
00:23:37 → 00:23:40 ว่าทุกอย่างเนี่ยแปลว่าวัคซีนตัวเนี้ยได้
00:23:40 → 00:23:45 ผลในหนูนะครับได้ผลในหนูเอ่อตรงของพวกนี้
00:23:45 → 00:23:47 ถ้าใครสนใจก็ลองไปอ่านเพิ่มเติมนะครับผม
00:23:47 → 00:23:50 จะข้ามๆไปแล้วกันเพราะว่ามันอาจจะลึกเกิน
00:23:50 → 00:23:54 ไปนะครับแต่ว่าผมสรุปมาให้ทุกคนตรงนี้นี่
00:23:54 → 00:23:56 อุตส่าห์เขียนไว้ต้องเอามาให้ดูผมจะขอ
00:23:56 → 00:23:59 เริ่มต้นด้วย strength ก่อนนะครับก็คือ
00:23:59 → 00:24:02 ข้อเด่นของงานวิจัยตัวนี้นะครับข้อเด่น
00:24:02 → 00:24:05 ของงานวิจัยตัวนี้เนี่ยข้อแรกก็คือการออก
00:24:05 → 00:24:08 แบบวัคซีนเนี่ยดีมากดีมากๆเลยแหละเพราะ
00:24:08 → 00:24:11 ว่าคุณจะเห็นตอนแรกเนี่ยเค้ามีการดูซิว่า
00:24:11 → 00:24:13 ส่วนไหนของอมอยเบต้าที่กระตุ้นภูมิได้ดี
00:24:13 → 00:24:17 ที่สุดเอามันออกมาแล้วยังดูซิว่ามันจับ
00:24:17 → 00:24:20 กับส่วนที่มันจำเป็นต้องจับได้ดีแค่ไหนนะ
00:24:20 → 00:24:22 ครับจับเสร็จไปทดสอบว่ามีพิษหรือเปล่านะ
00:24:23 → 00:24:25 ฮะหลังจากนั้นมีการดีไซน์ออกแบบว่าทำยัง
00:24:25 → 00:24:27 ไงให้มันกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีที่สุด
00:24:27 → 00:24:30 ซึ่งสุดท้ายก็มีการเอาไปจับกับโปรตีนโอบา
00:24:30 → 00:24:33 กับโปรตีนเอ่อคีโฮลิมป่า
00:24:33 → 00:24:36 ฮีโมไซยินนะครับสรุปว่าการดีไซน์วัวัซีน
00:24:36 → 00:24:40 เนี่ยดีมากนะครับอันที่ 2 มีการทดสอบครบ
00:24:40 → 00:24:43 ทุกอย่างนะครับเพราะว่าบางคนทดสอบแค่
00:24:43 → 00:24:45 พฤติกรรมทดสอบแค่จากตามองเห็นแต่คราว
00:24:45 → 00:24:48 เนี้ยไม่ใช่เค้าทดสอบทั้งพฤติกรรมของหนู
00:24:48 → 00:24:50 ตรวจผลเลือดมีการเปลี่ยนแปลงของสารต่างๆ
00:24:50 → 00:24:52 มากน้อยแค่ไหนแล้วก็มีการเอาชิ้นเนื้อใน
00:24:52 → 00:24:55 สมองมาย้อมเลยว่าตกลงแล้วไอ้สิ่งที่เป็น
00:24:55 → 00:24:56 ปัญหามันหายไปจริงหรือเปล่าหลังจากการฉีด
00:24:56 → 00:25:01 วัคซีนนะครับมีกลุ่มคอนโทรลอ่าไม่มโนไป
00:25:01 → 00:25:03 เองเพราะว่าคุณจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ
00:25:03 → 00:25:06 อย่างมันมีการมโนไปเองนะครับคือเอ้ยมัน
00:25:06 → 00:25:09 ได้ผลแหละเค้าใช้ยังได้ผลเลยไม่ครับมัน
00:25:09 → 00:25:12 ต้องมีกลุ่มที่ควบคุมกับกลุ่มที่ถูกทดลอง
00:25:12 → 00:25:14 นะครับถ้าไม่มีกลุ่มควบคุมแล้วคุณมีกลุ่ม
00:25:14 → 00:25:16 ทดลองเช่นคุณกินยาตัวนึงแล้วบอกว่ามันได้
00:25:16 → 00:25:18 ผลดีนะครับเอ่อกินตัวนั้นตัวนี้แล้วได้ผล
00:25:18 → 00:25:21 ดีแต่ไม่มีกลุ่มควบคุมคุณบอกยังไงไม่ได้
00:25:22 → 00:25:24 นะครับในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าผิดนะครับ
00:25:24 → 00:25:28 งั้นคนเนี้ยมีกลุ่มควบที่ดีนะครับชัดเจน
00:25:28 → 00:25:31 แล้วนี่เลยครับ Thor immune Read out
00:25:31 → 00:25:34 หมายความว่าเ้ามีการตรวจสอบทุกขั้นตอน
00:25:34 → 00:25:36 เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานที่เขาต้องการ
00:25:36 → 00:25:39 ให้มันสร้างนะครับอ่ามีการสร้าง IGG IL10
00:25:39 → 00:25:40 Beta Sellale Target Design อะไรเยอะ
00:25:40 → 00:25:45 แยะไปหมดตรงนี้คือข้อดีมากๆแต่ข้อจำกัด
00:25:45 → 00:25:48 มันเยอะกว่านะครับเยอะกว่ามากเลยผมเขียน
00:25:48 → 00:25:51 มาทีโอ้โหเพียบเลยอ่ะข้อแรกนะครับ
00:25:51 → 00:25:55 Precinical ทำในหนูครับหนูกับคนไม่
00:25:55 → 00:25:58 เหมือนกันนะครับแล้วก็อีกอย่างนึงคือปกติ
00:25:58 → 00:26:01 เนี่ยอิมโลบูลินน่ะมันจะเข้าเป็นสมองได้
00:26:01 → 00:26:03 ยากมากนะครับเพราะว่ามันมีส่วนที่เรา
00:26:03 → 00:26:05 เรียกว่า Blood Brain Barrier เหมือน
00:26:05 → 00:26:07 เป็นกำแพงคอยกั้นระหว่างเลือดกับสมองไม่
00:26:07 → 00:26:09 ให้ของแปลกปลอมเข้าไปข้างในดังนั้นการที่
00:26:09 → 00:26:12 IG จะเข้าไปข้างในได้เนี่ยมันจะต้องมีหน
00:26:12 → 00:26:15 ทางพิเศษนะครับและในกรณีเกิดอัลไซเมอร์
00:26:15 → 00:26:17 มันจะมีการอักเสบซึ่งเวลาอักเสบเนี่ย IG
00:26:17 → 00:26:20 จะเข้าไปในสมองได้ง่ายกว่าเดิมแต่สิ่งที่
00:26:20 → 00:26:23 แตกต่างกันของของการอักเสบในการทดลองใน
00:26:23 → 00:26:26 หนูกับในคนคืออะไรรู้มั้ยครับในหนูเนี่ย
00:26:26 → 00:26:29 ได้รับการฉีดอไมเบต้าปริมาณสูงเข้าไปใน
00:26:29 → 00:26:32 สมองทันทีเยอะเดี๋ยวนั้นจะเกิดการอักเสบ
00:26:32 → 00:26:35 เยอะกว่าคนธรรมดามาก
00:26:35 → 00:26:38 ดังนั้นแปลว่า IGG ที่เกิดขึ้นในหนูมี
00:26:38 → 00:26:40 โอกาสจะเข้าไปในสมองได้ง่ายมากกว่าการ
00:26:40 → 00:26:45 เข้าไปในสมองคนครับน่าตรงนี้นะฮะอันที่ 2
00:26:45 → 00:26:48 เค้าดูแป๊บเดียวเองอ่ะนะหลังจากที่หนูได้
00:26:48 → 00:26:51 วัคซีนไปเสร็จปุ๊บนะครับก็รออีก 2
00:26:51 → 00:26:54 อาทิตย์แล้วก็ทดสอบแล้วหลังจากนั้นก็จบ
00:26:54 → 00:26:56 ชีวิตหนูเอามาดูเลยก็คือมันสั้นมากเลยยัง
00:26:56 → 00:26:58 ไม่ทันได้ดูยาวๆว่าจะมีปัญหาอะไรมั้ยนะ
00:26:58 → 00:27:02 ครับอันนี้ยังสั้นไปนะอันที่ 3 อย่างที่
00:27:02 → 00:27:04 ผมบอกครับปัญหาที่เกิดกับอัลไซเมอร์ไม่
00:27:04 → 00:27:07 ใช่มีแค่อไมเบต้าแต่มีเทาโปรตีนในที่นี้
00:27:07 → 00:27:10 ไม่ได้ศึกษาเรื่องเทาโปรตีนเลยว่ามันมีผล
00:27:10 → 00:27:12 อะไรหรือเปล่านะครับอย่างที่ผมบอกไปตอน
00:27:12 → 00:27:16 แรกว่าอไมเบต้าเนี่ยอ่ะข้อแรกมันเป็นพิษ
00:27:16 → 00:27:20 นะครับเป็นพิษต่อ synaps นะครับแล้วก็อีก
00:27:20 → 00:27:24 อย่างนึงคือมันทำให้ทอโปรตีนเนี่ยมันหลุด
00:27:24 → 00:27:26 ออกมาจากไมโครทูนะครับเนี่ยหลุดออกมาจาก
00:27:26 → 00:27:28 ไมโครบูคือขั้นตอนการหลุดสำหรับใครที่
00:27:28 → 00:27:31 อยากรู้มันทำให้เกิดhyperฟosfilationของ
00:27:31 → 00:27:33 ทรนนะครับแล้วมันก็หลุดออกมานะหลุดออกมา
00:27:33 → 00:27:36 ปุ๊บอ่ามันเสียรูปร่างเซลล์ประสาทก็ตายนะ
00:27:36 → 00:27:40 ครับนี่นะครับรวมไปเป็นก้อนเซลล์ประสาทก็
00:27:40 → 00:27:43 ตายแต่ว่าเรายังไม่รู้เลยนะว่าเฮ้ย
00:27:43 → 00:27:47 อไมโลเบต้ามันทำให้เทาโปรตีนเกิดปัญหา
00:27:47 → 00:27:49 แล้วถ้าอมเบต้ามันหายไปทาโปรตีนมันหายไป
00:27:49 → 00:27:52 มั้ยหรือหนูเนี่ยมีเทาโปรตีนตั้งแต่แรก
00:27:52 → 00:27:54 ตอนที่เราฉีดอมเบต้าเข้าไปหรือเปล่านี่ก็
00:27:54 → 00:27:56 ไม่รู้เหมือนกันนะครับไม่ได้ทำการศึกษา
00:27:56 → 00:27:58 อันนี้ดังนั้นตอบไม่ได้นะครับนี่คือข้อ
00:27:58 → 00:28:01 จำกัดอย่างแต่นั้นเป็นข้อจำกัดระยะนิดๆ
00:28:01 → 00:28:03 หน่อยหน่อยนะครับข้อจำกัดที่ใหญ่กว่านั้น
00:28:03 → 00:28:07 คือนี่ครับเราไม่มี Safety data เราไม่
00:28:07 → 00:28:09 รู้ว่ามันจะเกิดโรคภูมิต่อต้านตัวเองมั้
00:28:09 → 00:28:11 เราไม่รู้ว่าจะเกิดยืดหุ้มสมองสมองอักเสบ
00:28:11 → 00:28:13 มั้ยเราไม่รู้ว่าจะเกิดเลือดออกในสมอง
00:28:13 → 00:28:16 มั้ยถามว่าทำไมผมต้องพูดไอ้เรื่องพวกนี้
00:28:16 → 00:28:18 เพราะว่าวัคซีนรุ่นก่อนมันทำให้เกิดปัญหา
00:28:18 → 00:28:21 นี้ครับแล้วมันถึงยกเลิกไปเคยทำมาแล้ว
00:28:21 → 00:28:24 วัคซีนพวกเนี้ยแล้วมันเข้าไปในสมองได้
00:28:24 → 00:28:26 ปรากฏว่ามันทำให้สมองอักเสบแล้วบางอย่าง
00:28:26 → 00:28:28 ทำให้เลือดออกในสมองเราไม่รู้ว่าอันเนี้ย
00:28:29 → 00:28:30 ทำให้เลือดออกในสมองหนูหรือเปล่าเพราะไม่
00:28:30 → 00:28:35 มีการทดลองครับนะฮะต่อมา
00:28:35 → 00:28:36 Antibody binding not characterized
00:28:36 → 00:28:39 นะครับคือเมื่อกี้เราก็เล่าคร่าวๆแล้วว่า
00:28:39 → 00:28:41 คือเราไม่รู้ว่าantibodี้ที่มันสร้างมา
00:28:41 → 00:28:44 เนี่ยมันไปจับเบต้าจริงหรือไม่นะครับถึง
00:28:44 → 00:28:46 แม้ว่าเราจะดีไซน์ว่ามันควรจะจับได้แต่ใน
00:28:46 → 00:28:49 ทางปฏิบัติเวลาเราทดลองพวกเนี้ยเราต้องดู
00:28:49 → 00:28:51 ว่ามันจับจริงๆหรือเปล่านะครับก็ย้อมสิดู
00:28:51 → 00:28:53 เลยว่าเบต้าในสมองเนี่ยมันโดนไอ้พวกนี้
00:28:53 → 00:28:56 จับจริงหรือไม่หรือมันด้วยวิธีอื่นเราไม่
00:28:56 → 00:28:59 รู้นะครับอ่าเราก็ไม่มีการทำตรงนี้เราไม่
00:28:59 → 00:29:02 รู้ว่ามีการจับจับมั้ยจับแน่นหรือเปล่านะ
00:29:02 → 00:29:06 ครับจับแล้วเหมาะสมมสามารถทำให้ไอ้ตัวไมล
00:29:06 → 00:29:07 เบต้าหายไปได้หรือเปล่านะครับแล้วก็ไม่มี
00:29:07 → 00:29:10 การแยกชนิดของอิมโนบินซึ่งจริงๆมันมีหลาก
00:29:10 → 00:29:15 หลายชนิดที่เราต้องแยกนะครับต่อมานี่เลย
00:29:15 → 00:29:18 ตัวเนี้ยโออันนี้อันนี้สำคัญมากๆสำคัญมาก
00:29:18 → 00:29:20 ที่สุดเท่าที่ผมคิดได้แล้วนะคือไม่มีการ
00:29:20 → 00:29:23 เทียบเคียงกับการรักษาในปัจจุบันซึ่งการ
00:29:23 → 00:29:26 รักษาในปัจจุบันผมเคยทำคลิปไปแล้วเรามียา
00:29:26 → 00:29:28 ในการรักษาอัลไซเมอร์ที่ทำหน้าที่คล้าย
00:29:28 → 00:29:32 กันเป็นแอนตีบอดี้ต่ออไม B ในที่นี้คือ
00:29:32 → 00:29:36 เลคากับ Donimap 2 ตัวนี้เป็นอิมogลบิน
00:29:36 → 00:29:39 ที่เราผลิตแล้วฉีดเข้าไปมันจะเข้าไปที่
00:29:39 → 00:29:42 สมองแล้วจัดการอไมเบต้าโดยตรงแตกต่างจาก
00:29:42 → 00:29:45 วัคซีนในกรณีของคุณเมียวโอคิมนะครับซึ่ง
00:29:45 → 00:29:48 เขาเนี่ยทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้แต่
00:29:48 → 00:29:51 นี้คือเป็นแอนตบอดี้สำเร็จรูป 2 อันต่าง
00:29:51 → 00:29:54 กันนะครับอ่ะไม่มีการเทียบเคียงว่าตกลง
00:29:54 → 00:29:56 แล้วผลต่างกับไอ้พวกนี้หรือเปล่านะครับ
00:29:56 → 00:29:59 และไอ้ยาพวกเนี้ย 2 ตัวนี้มันจะสามารถทำ
00:29:59 → 00:30:01 ให้เกิดปัญหาปัญหาต่อสมองได้ถ้ารุนแรง
00:30:01 → 00:30:04 เนี่ยก็คือเลือดออกในสมองได้นะอ่าเลือด
00:30:04 → 00:30:06 ออกในสมองได้ดังนั้นการทดลองของหนู
00:30:06 → 00:30:09 อันเนี้ยยังไม่มีการบอกตรงนี้นะครับดัง
00:30:09 → 00:30:11 นั้นตอบไม่ได้นะครับ
00:30:11 → 00:30:14 แล้วก็สมมุติสมมุติทุกอย่างมันได้ผลดีหมด
00:30:14 → 00:30:16 ทุกอย่างเลยคือไม่มีพิษทดสอบระยะยาวแล้ว
00:30:16 → 00:30:19 ไม่เกิดอะไรขึ้นมันสามารถกำจัดอไมเบต้า
00:30:19 → 00:30:21 ได้จริงๆนะครับสมมุติว่ามันได้เป็นผลแบบ
00:30:21 → 00:30:25 ไหนจริงๆถามว่าเราเอาผลอันเนี้ยไปใช้ได้
00:30:25 → 00:30:28 ยังไงบ้างผมยังคิดว่ามันใช้ไม่ได้ครับยัง
00:30:28 → 00:30:30 ใช้ไม่ได้ถามว่าทำไม
00:30:30 → 00:30:33 ประเด็นมันอยู่ตรงนี้คุณฉีดอมโรเบต้าให้
00:30:33 → 00:30:36 หนูมันเป็นอัลไซเมอร์ฉีดทันทีอัลไซเมอร์
00:30:36 → 00:30:39 เดี๋ยวนั้นวันนั้นตอนนั้นมีการอักเสบเยอะ
00:30:39 → 00:30:41 เดี๋ยวนั้นแต่คนน่ะไม่ใช่ครับอไมโลเบต้า
00:30:41 → 00:30:44 ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียวเหมือนกรุงโรง
00:30:44 → 00:30:46 อัลไซเมอร์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว
00:30:46 → 00:30:49 ครับมันค่อยๆเกิดขึ้นในระยะเวลาเป็นหลาย
00:30:49 → 00:30:53 ปีเป็น 10 ปีนะครับดังนั้นสมมุติถ้างาน
00:30:54 → 00:30:57 วิจัยครั้งนี้ได้ผลมันจะคล้ายกับการฉีด
00:30:57 → 00:31:00 วัคซีนหรือการรักษาหลังจากที่คุณได้เชื้อ
00:31:00 → 00:31:02 โรคมาเหมือนกับสมมุติว่าคุณดันไปมี
00:31:02 → 00:31:04 เพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรค HIV เนี่ยมา
00:31:05 → 00:31:07 วันนี้เลยคุณยังไม่เป็น HIV วันนี้ครับ
00:31:07 → 00:31:10 ถ้าเกิดคุณรักษาทันคุณก็ไปกินยาต้านเรียบ
00:31:10 → 00:31:13 ร้อยคุณก็ไม่เป็น HIV ถูกมั้ฮะแต่ถ้าเกิด
00:31:13 → 00:31:15 คุณไปเป็น HIV คือคุณไม่ได้รักษาปล่อยมัน
00:31:15 → 00:31:17 เป็นเยียวยาแล้วมันเป็นขึ้นมาอันนี้ก็อีก
00:31:17 → 00:31:20 เรื่องนึงอันเนี้ยคล้ายๆกับการกระทำแบบ
00:31:20 → 00:31:21 นั้นเหมือนกันเพราะวันแรกคุณไปเจอ
00:31:21 → 00:31:23 อัลไซเมอร์ทำให้คุณเป็นอัลไซเมอร์เดี๋ยว
00:31:23 → 00:31:25 นั้นแล้วคุณใช้วัคซีนของเค้าเนี่ยก็จัด
00:31:25 → 00:31:28 การอัลไซเมอร์เดี๋ยวนั้นได้แต่มันอาจจะ
00:31:28 → 00:31:30 ใช้ไม่ได้กับคนที่เป็นอัลไซเมอร์มาตั้ง
00:31:30 → 00:31:32 นานแล้วมันสะสมมานานจนสมองมันเสียไปแล้ว
00:31:32 → 00:31:35 เพราะว่าสมองที่เสียไม่สามารถย้อนกลับคืน
00:31:35 → 00:31:37 ได้ครับมันไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ได้ต่อ
00:31:37 → 00:31:43 ให้เราเอาขยะพวกอ่าเบต้าออกไปเราเอา
00:31:43 → 00:31:45 tangle ซึ่งเป็นทอโปรตีนที่ผิดปกติออกไป
00:31:45 → 00:31:48 มันก็ไม่ได้ทำให้ทุกๆอย่างมันกลับมาเป็น
00:31:48 → 00:31:50 เหมือนเดิมครับนี่คือข้อแตกต่างนะครับที่
00:31:50 → 00:31:55 ใหญ่มากๆเลยนะฮะอ่างั้นอันนี้ผมเขียนไว้
00:31:55 → 00:31:57 นะครับ this experiment คือการทดลองของ
00:31:58 → 00:31:59 หนูเนี่ยคล้ายๆกับ post exposure
00:31:59 → 00:32:01 prophylaxis and treatment สำหรับหมอ
00:32:01 → 00:32:04 คงเข้าใจคำศัพท์คำนี้ดีซึ่งก็คล้ายๆการ
00:32:04 → 00:32:06 HIV เมื่อตะกี้ที่ผมบอกไปยกตัวอย่างไปนะ
00:32:06 → 00:32:09 ครับแล้วก็แน่นอนครับ Doesn't happen in
00:32:09 → 00:32:11 the real world where amoid beta
00:32:11 → 00:32:13 builds up chronically over years
00:32:13 → 00:32:16 คือ amoid beta มันค่อยๆสะสมในสมองนานๆ
00:32:16 → 00:32:18 ก็จะไม่ตรงกับการศึกษาครั้งนี้เหมือนกัน
00:32:18 → 00:32:22 นะครับอ่ะวันนี้ก็เล่ามาซะยาวนะครับแล้ว
00:32:22 → 00:32:24 ก็ลงรายละเอียดค่อนข้างที่จะลึกให้หลายคน
00:32:24 → 00:32:27 ฟังนะครับอาจจะไม่ลึกพอสำหรับคนที่เค้า
00:32:27 → 00:32:29 เข้าใจวิทยาศาสตร์จริงจิรจะบอกโอ้ยทำไมผม
00:32:29 → 00:32:30 ไม่ได้พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องนั้น
00:32:30 → 00:32:32 ลืมบ้างไอ้กราฟนี้ข้ามบ้างอ่านไม่เป็น
00:32:32 → 00:32:35 หรือเปล่าผมอ่านได้ครับแต่ว่าคือถ้าเล่า
00:32:35 → 00:32:38 ลึกกว่าเนี้ยคนทั่วไปคงจะไม่ไหวแน่ๆนะ
00:32:38 → 00:32:41 ครับอาจจะยากเกินไปนะฮะดังนั้นก็เลยสรุป
00:32:41 → 00:32:43 ให้ฟังเพียงเท่านี้นะครับสำหรับใครที่
00:32:43 → 00:32:45 อยากจะอ่านงานวิจัยแบบนี้เป็นก็ลองอ่าน
00:32:45 → 00:32:47 ซ้ำเรื่อยๆนะครับเดี๋ยวก็จะเก่งเองนะครับ
00:32:48 → 00:32:49 ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะฮะแล้วอันเนี้ย
00:32:49 → 00:32:52 ผมคิดว่ามันเป็นก้าวแรกของการดีไซน์
00:32:52 → 00:32:55 วัคซีนที่น่าจะมีประโยชน์ในอนาคตนะครับ
00:32:55 → 00:32:58 แต่ก็คงจะอีกยาวไกลกว่าจะสามารถทำให้
00:32:58 → 00:33:00 สำเร็จได้โดยมีข้อจำกัดอย่างที่ผมได้เล่า
00:33:00 → 00:33:04 ไปข้างต้นให้ทุกคนฟังนะครับโอเควันนี้ก็
00:33:04 → 00:33:05 เล่าให้ฟังเพียงเท่านี้นะครับถ้าใครสงสัย
00:33:05 → 00:33:08 อะไรมาก็สอบถามนะครับขอบคุณมากครับสวัสดี
00:33:08 → 00:33:11 ครับ