00:00:00 → 00:00:02 หมอถ้าเป็นมะเร็งก็พูดมาเลยนะขอแสดงความ
00:00:02 → 00:00:05 เสียใจด้วยนะครับคุณเป็น
00:00:05 → 00:00:08 มะเร็งช็อกมครับถ้าเกิดคนฟังได้ยินช็อก
00:00:08 → 00:00:10 แน่นอนฮะแบบมาไม่ทันตั้งตัวอยู่ดีหมอก็
00:00:10 → 00:00:12 ปึ้มใส่มา100รเลยพอเราบอกเเป็นมะเร็ง
00:00:12 → 00:00:14 เสร็จปุ๊บเหมือนกับทั้งโลกอ่ะมันหูดับไป
00:00:14 → 00:00:17 เลยฮะคือดับยิ่งกว่ากินพยาธหูดิบอีกอ่ะมี
00:00:17 → 00:00:19 พยาธอยู่ตัวนึงตัวนี้ร้ายมากเพราะว่าอาจ
00:00:19 → 00:00:22 จะก่อให้เกิดมะเร็งได้เลยพยาธตัวที่ก่อ
00:00:22 → 00:00:25 ให้เกิดมะเร็งเป็นมะเร็งที่เราพบบ่อยที่
00:00:25 → 00:00:27 สุดในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลกเลย
00:00:27 → 00:00:28 นั่นก็
00:00:28 → 00:00:31 คือพวกพยาหน้าตัวมันสามารถที่จะกระจายไป
00:00:31 → 00:00:33 ที่กระแสเลือดแล้วมันก็จะไปติดที่สมองได้
00:00:33 → 00:00:36 ที่ปอดได้ซึ่งจะมีการชักเกงกระตุโคม่า
00:00:36 → 00:00:38 เสียชีวิตได้เป็นมะเร็งเท่ากับตายเป็น
00:00:38 → 00:00:40 มะเร็งเท่ากับหมดทางรักษาอันนี้ไม่จริง
00:00:40 → 00:00:43 ให้ตั้งสติดีๆคนที่เป็นมะเร็งเขาจะมีความ
00:00:43 → 00:00:45 รู้สึกว่าเค้าเนี่ยอยากอยู่ต่อกำลังใจดี
00:00:45 → 00:00:48 insไซideมันดีละoutไซideมันจะดีตามมาตัว
00:00:48 → 00:00:50 โรคเนี่ยมันอาจจะชะลอลงตัวชีวิตเนี่ยมัน
00:00:50 → 00:00:52 ก็ยาวขึ้นแต่อยู่เพื่ออะไรเนี่ยอย่าอยู่
00:00:52 → 00:00:54 เพื่อใครคือการอยู่เพื่อคนอื่นไม่ใช่ความ
00:00:54 → 00:00:58 ยั่งยืนต้องอยู่เพื่อตัวเอง
00:00:58 → 00:01:03 เกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกลโรค
00:01:03 → 00:01:06 สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการเกา
00:01:06 → 00:01:09 แก้โรคค่ะวันนี้นะคะโอ้โหมาในธีมสีสันสด
00:01:09 → 00:01:11 ใสเพราะว่าเรื่องที่จะคุยวันนี้เนี่ยรับ
00:01:11 → 00:01:13 รองว่าแซ่บอ้าวไม่ใช่ข่าวบันเทิงนะคะค่อน
00:01:13 → 00:01:16 ข้างไปเรื่อยนิดนึงผ่านมา 5 เดือนแล้วค่ะ
00:01:16 → 00:01:18 5 เดือนที่ผ่านมาเนี่ยหลายๆท่านรับ
00:01:18 → 00:01:20 ประทานอะไรกันเข้าไปบ้างแล้วต้องบอกนะคะ
00:01:20 → 00:01:21 ว่าเนื้อหาที่เราจะคุยกันในวันนี้เนี่ยมา
00:01:21 → 00:01:24 จากอาหารการกินเลยรู้มั้คะว่าแค่กินสิ่ง
00:01:24 → 00:01:27 นี้นะอาจจะทำให้เราเป็นมะเร็งได้อ่าไม่รอ
00:01:27 → 00:01:28 ช้าดีกว่าวันนี้แพนด้าอยู่กับคุณหมอตุ๋ย
00:01:29 → 00:01:31 นะคะจากช่องจิ๊อกสวัสดีค่ะคุณหมอครับ
00:01:31 → 00:01:35 สวัสดีครับอือเป็นไงคะก็เวลาผ่านเวลาผ่าน
00:01:35 → 00:01:37 ไปเร็วมั้คะผ่านไปไวเหมือนโกหกไวเหมือน
00:01:37 → 00:01:40 โกหกช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาก็จะมีใครหลายๆ
00:01:40 → 00:01:43 คนนะฮะได้กินอาหารบางประเภทได้กลับบ้าน
00:01:43 → 00:01:45 คืนถิ่นนะครับก็เดี๋ยวมาดูกันว่าเป็น
00:01:45 → 00:01:48 อาหารอะไรนะครับอืได้คืนถิ่นกันไปแล้วแต่
00:01:48 → 00:01:51 เราได้คืนหรือยังคะยังเหมือนเดิมยัง
00:01:51 → 00:01:54 เหมือนเดิมวันเนี้ยที่เราพูดกันมาทั้งหมด
00:01:54 → 00:01:56 จริงๆอ่ะเราอยากคุยในเรื่องของพยาธอยาก
00:01:56 → 00:01:58 ถามก่อนอันดับแรกว่าจริงๆแล้วเนี่ยในร่าง
00:01:58 → 00:02:00 กายคนเราอ่ะการมีพยาธเนี่ยเป็นเรื่องปกติ
00:02:00 → 00:02:02 มั้คะการที่คนเรามีพยาธขึ้นมาเนี่ยครับ
00:02:02 → 00:02:04 อันนี้ไม่ใช่เรื่องปกตินะครับการที่มี
00:02:05 → 00:02:07 พยาธเนี่ยถือว่าเป็นการติดเชื้อพยาธขึ้น
00:02:07 → 00:02:09 มาซึ่งในกลุ่มนี้เนี่ยคนที่มีการติดเชื้อ
00:02:09 → 00:02:11 พยาธเนี่ยอาจจะมีอาการหรือว่าอาการแสดง
00:02:11 → 00:02:13 ของตัวโรคจากการที่ติดเชื้อพยาธขึ้นมานะ
00:02:13 → 00:02:16 ครับอคือจริงๆในร่างกายคนเราอ่ะไม่ควรจะ
00:02:16 → 00:02:19 มีพยาธไม่ควรมีครับโดยปกติก็คือไม่มีเลย
00:02:19 → 00:02:22 เหรอคะใช่ครับปกติเนี่ยเราจะไม่มีตัวพยาธ
00:02:22 → 00:02:24 อยู่ในร่างกายนะฮะสิ่งที่มันมีอยู่ในร่าง
00:02:24 → 00:02:27 กายเนี่ยนะอย่าสับสนกับพยาธมันคือเชื้อ
00:02:27 → 00:02:29 โรคประจำถิ่นหรือว่าเชื้อแบคทีเรียประจำ
00:02:29 → 00:02:32 ถิ่นซึ่งมันคนละส่วนกับพยาธนะครับอื
00:02:32 → 00:02:34 แบคทีเรียก็คือมีอยู่แล้วพยาธไม่ใช่สิ่ง
00:02:34 → 00:02:36 ที่ควรจะมีใช่ครับแบคทีเรียในร่างกาย
00:02:36 → 00:02:38 เนี่ยจะมีอยู่แล้วโดยเฉพาะอยู่ในลำไส้ของ
00:02:39 → 00:02:41 เรากระเพาะอาหารลำไส้เนี่ยจะมีแบคทีเรีย
00:02:41 → 00:02:43 ประจำถิ่นคือเป็นเจ้าถิ่นอยู่ในลำไส้อยู่
00:02:43 → 00:02:45 ในกระเพาะอาหารของเราอยู่แล้วครับแต่ว่า
00:02:45 → 00:02:47 การที่มีพยาธเข้ามาอันนั้นน่ะคือสิ่งแปลก
00:02:47 → 00:02:49 ปลอมอันนั้นไม่ใช่เรื่องปกติครับแล้วเรา
00:02:49 → 00:02:51 สามารถที่จะรับพยาธเข้ามาได้จากทางไหน
00:02:51 → 00:02:54 บ้างคะจริงๆต้องบอกว่าหลักๆเนี่ยก็จะเป็น
00:02:54 → 00:02:57 2 ทางแรกเนี่ยเป็นการกินการกินที่ว่าคือ
00:02:57 → 00:03:00 เราอาจจะกินอาหารที่มีสัดส่วนของตัวพยาธ
00:03:00 → 00:03:03 ปนอยู่หรือว่ามีไข่ของพย่าธเนี่ยปนอยู่ก็
00:03:03 → 00:03:05 จะได้รับจากเรื่องของอาหารการกินเข้าไป
00:03:05 → 00:03:08 อันที่ 2 เนี่ยคือจากผ่านทางผิวหนังเช่น
00:03:08 → 00:03:10 คนไข้เนี่ยเดินเท้าเปล่านะฮะไปเดินผ่านใน
00:03:10 → 00:03:13 ดินที่มีความชื้นหรือว่ามีพยาธอยู่นะครับ
00:03:13 → 00:03:15 ก็อาจจะติดพยาธบางชนิดเข้าไปผ่านทางผิว
00:03:15 → 00:03:19 หนังได้ก็คือเข้าทางปากการกินทางผ่านทาง
00:03:19 → 00:03:21 ระบบทางเดินอาหารกับผ่านทางผิวหนังผ่าน
00:03:21 → 00:03:24 ทางผิวหนังใช่อืค่ะแล้วอาหารประเภทไหน
00:03:24 → 00:03:27 บ้างคะที่อาจจะมีพยาธอยู่จริงๆเนี่ยอาหาร
00:03:27 → 00:03:30 ที่มันมีพยาธเนี่ยครับเราเชื่อว่าตัวพยาธ
00:03:30 → 00:03:32 เนี่ยครับส่วนใหญ่เนี่ยมันมักจะมาจาก
00:03:32 → 00:03:34 เรื่องของมูลสัตว์มูลอุจจาระต่างๆนะครับ
00:03:34 → 00:03:36 ที่มันปนเปื้อนเข้ามาสัตว์ที่มีพยาธอยู่
00:03:36 → 00:03:39 ในร่างกายขับถ่ายออกมาก็จะมีเอ่ออุจจาระ
00:03:39 → 00:03:41 เนี่ยออกมาพร้อมกับพยาธที่ปนเปื้อนออกมา
00:03:42 → 00:03:43 หรือไข่พยาธที่ปนเปื้อนออกมาดังนั้นเนี่ย
00:03:44 → 00:03:45 บางทีที่ถ่ายออกมาเนี่ยครับอาจจะไปปน
00:03:45 → 00:03:48 เปื้อนกับผักพืชผักสวนครัวผักต่างๆที่เรา
00:03:48 → 00:03:50 นำมารับประทานอันนั้นก็จะเป็นอีกหนึ่ง
00:03:50 → 00:03:52 ช่องทางนะครับที่เรามีการติดเชื้อได้อัน
00:03:52 → 00:03:54 ที่ 2 ก็มาจากตัวสัตว์ที่เรารับประทาน
00:03:54 → 00:03:57 เข้าไปโดยตรงสัตว์บางชนิดเนี่ยมีพยาธอยู่
00:03:57 → 00:03:59 ในตัวครับเวลาที่เรากินเข้าไปเนี่ยด้วย
00:03:59 → 00:04:01 กรรมพิธีในการปรุงอาหารเนี่ยอาจจะปรุงไม่
00:04:01 → 00:04:03 สุกกินแบบดิบๆก็อาจจะมีการติดเชื้อพยาธ
00:04:03 → 00:04:06 หรือว่าไข่พยาธเข้าไปในร่างกายได้ครับขอ
00:04:06 → 00:04:09 จำแนกประเภทของพยาธก่อนได้มั้คะพยาธที่
00:04:09 → 00:04:11 อาจจะเข้าสู่ร่างกายของคนเนี่ยมีกี่
00:04:11 → 00:04:14 ประเภทคะหลักๆพยาธเนี่ยเราแบ่งเป็น 2
00:04:14 → 00:04:16 กลุ่มหลักๆนะครับอันดับแรกเนี่ยก็คือเป็น
00:04:16 → 00:04:19 พยาธตัวกลมกับอันที่ 2 เี่เป็นพยาธตัวตื
00:04:19 → 00:04:22 นะครับพยาธตัวกลมเนี่ยก็จะเป็นพยาธไส้
00:04:22 → 00:04:25 เดือนพยาธปากขออย่างเงี้ยเป็นต้นอันที่ 2
00:04:25 → 00:04:26 ที่เป็นพยาธตัวตืดที่เราเคยได้ยินเช่นกัน
00:04:26 → 00:04:29 นะครับกินหมูดิบนะกินเนื้อดิบก็จะเป็น
00:04:29 → 00:04:32 พยาธตืดหมูตืดวัวนะครับหรือรวมแม้กระทั่ง
00:04:32 → 00:04:34 กลุ่มพยาธใบไม้นะฮะก็จะเป็นกลุ่มพยาธตัว
00:04:34 → 00:04:37 ตืดเช่นเดียวกันทั้ง 2 อันเนี้ยนะฮะใน
00:04:37 → 00:04:39 เรื่องของรูปแบบของการติดเชื้อหรือว่าการ
00:04:39 → 00:04:41 นำพยาธเข้าไปสู่ร่างกายเนี่ยจะแตกต่างกัน
00:04:41 → 00:04:44 ออกไปทุกตัวยกเว้นพยาทปากขนะฮะจะผ่านใน
00:04:44 → 00:04:47 รูปแบบของการกินเข้าไปหมดเลยนะครับแต่
00:04:47 → 00:04:49 พยาธปากขเนี่ยเป็นชนิดที่ส่วนใหญ่มักจะ
00:04:49 → 00:04:51 ติดผ่านทางผิวหนังนะครับเวลาที่เราไปเดิน
00:04:51 → 00:04:54 ในพื้นที่ที่มีความชื้นนะครับอับชื้นนะใน
00:04:54 → 00:04:57 ดินแล้วเดินเท้าเปล่าพยาธเนี่ยอาจจะติด
00:04:57 → 00:04:59 ที่เท้าของเราแล้วก็ชอนชัยผ่านทางผิวหนัง
00:04:59 → 00:05:02 เข้ามาติดในร่างกายได้นะครับอืก็คือแค่
00:05:02 → 00:05:05 ไม่ต้องมีแผลด้วยซ้ำก็ถูกต้องอืไม่ต้องมี
00:05:05 → 00:05:07 แผลครับแค่เดินเท้าเปล่าเฉยๆแล้วดันมี
00:05:07 → 00:05:10 เหยียบเข้าไปในตัวพยาธแหล่งพยาธนะครับมัน
00:05:10 → 00:05:12 ก็อาจจะมีการชอนชัยเข้ามาผ่านทางผิวหนัง
00:05:12 → 00:05:14 ปกติของเราเนี่ยแหละครับอืค่ะแล้วไอ้เจ้า
00:05:15 → 00:05:17 พายาทปากคอเนี่ยค่ะแหล่งของมันคือพื้นที่
00:05:17 → 00:05:19 ประมาณไหนที่เราไม่ควรไปเหยียบส่วนใหญ่ก็
00:05:19 → 00:05:22 จะเป็นพื้นที่อยู่ในดินทั่วไปครับก็จะ
00:05:22 → 00:05:23 เป็นดินไม่ว่าจะเป็นดินทางด้านเกษตรกรรม
00:05:24 → 00:05:26 หรือไปเดินป่าตามลำธารงานห้วยอะไรต่างๆ
00:05:26 → 00:05:28 พวกเนี้ยครับเราเดินเท้าเปล่าเข้าไปก็จะ
00:05:28 → 00:05:31 ติดเชื้อจากกลุ่มพวกนี้ได้อือแต่มีพยาธ
00:05:31 → 00:05:33 อยู่ตัวนึงที่คุณหมอบอกว่าตัวนี้ร้ายมาก
00:05:33 → 00:05:35 เพราะว่าอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้เลยใช่
00:05:35 → 00:05:38 มั้ยคะใช่ครับคือจริงๆต้องตอบว่าพยาธที่
00:05:38 → 00:05:40 เราติดกันส่วนใหญ่เนี่ยไม่ได้ก่อมะเร็งนะ
00:05:40 → 00:05:43 ครับแต่ว่าจะก่อให้เกิดอาการอื่นๆในระบบ
00:05:43 → 00:05:45 ทางเดินอาหารอย่างอื่นมากกว่าแต่พยาธก่อ
00:05:45 → 00:05:48 ให้เกิดมะเร็งแล้วก็เป็นมะเร็งที่เราพบ
00:05:48 → 00:05:50 บ่อยที่สุดในประเทศไทยแล้วก็ประเทศไทย
00:05:50 → 00:05:52 เนี่ยถือว่าเป็นแหล่งที่มีการติดเชื้อ
00:05:52 → 00:05:54 มะเร็งชนิดเนี่ยมากที่สุดเป็นอันดับ 1
00:05:54 → 00:05:57 ของโลกเลยนั่นก็คือพยาธใบไม้ในตับครับอื
00:05:57 → 00:05:59 เจ้าพยาธใบไม้ในตับใช่ครับค่ะทำให้เกิด
00:05:59 → 00:06:02 มะเร็งอะไรคะพยาธใบไม้ในตับเนี่ยนะครับทำ
00:06:02 → 00:06:05 ให้เกิดมะเร็งของท่อน้ำดีซึ่งอาการหรือ
00:06:05 → 00:06:07 การแสดงของกลุ่มที่เป็นมะเร็งท่อน้ำดีพวก
00:06:07 → 00:06:08 นี้เนี่ยนะครับเดี๋ยวเราจะได้เล่าต่อว่า
00:06:08 → 00:06:10 มันเป็นยังไงกลุ่มที่ติดมะเร็งท่อใบไม้ใน
00:06:10 → 00:06:13 ตับเนี่ยครับมันจะมีการกินอาหารพวกนี้
00:06:13 → 00:06:15 เข้าไปครับเป็นอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบเป็น
00:06:15 → 00:06:17 พวกปลาดิบปลาน้ำจืดดิบๆพอรับประทานเข้าไป
00:06:17 → 00:06:19 เนี่ยตัวเชื้อโรคนะฮะหรือตัวไข่พยาธหรือ
00:06:19 → 00:06:21 ตัวเชื้อพยาธเองเนี่ยนะครับมันจะมีการ
00:06:21 → 00:06:23 วิ่งชอนชัยเข้าไปอยู่ในท่อน้ำดีพอมันเป็น
00:06:23 → 00:06:25 การชอนชัยอยู่ในท่อน้ำดีสักระยะนึงเนี่ย
00:06:25 → 00:06:28 นะครับมันจะทำให้เกิดภาวะท่อน้ำดีอักเสบ
00:06:28 → 00:06:30 ตรงเนี้ยเรื้อรังนะครับพอท่อน้ำดีที่มัน
00:06:30 → 00:06:32 อักเสบเรื้อรังซ้ำไปซ้ำมาเนี่ยครับมันก็
00:06:32 → 00:06:34 จะมีการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติเซลล์ผิดปกติ
00:06:34 → 00:06:36 ที่ว่าวันนึงมันก็สามารถที่จะแปรเปลี่ยน
00:06:36 → 00:06:38 กลายสภาพไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ก็จะกลายไป
00:06:38 → 00:06:41 เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในไทยที่สุดครับอืค่ะ
00:06:41 → 00:06:42 เดี๋ยวเราคุยเรื่องมะเร็งท่อน้ำดีกันอีก
00:06:43 → 00:06:45 ครั้งนึงเอ่อแพนด้าขอกลับไปที่เรื่อง
00:06:45 → 00:06:47 อาหารการกินนิดนึงค่ะว่าตอนที่คุณหมอบอก
00:06:47 → 00:06:50 ว่าอาหารสุกๆดิบๆหรืออาหารดิบนั่นแหละคือ
00:06:50 → 00:06:52 สุกๆดิบๆจริงๆก็ถือว่ายังเป็นอาหารดิบใช่
00:06:52 → 00:06:55 ครับอ่าค่ะที่มาจากปลาแหลแหล่งน้ำจืดหรือ
00:06:55 → 00:06:57 อะไรแบบนี้อาจจะมีพยาธแล้วบางท่านน่ะค่ะ
00:06:57 → 00:06:59 อาจจะบอกว่าเราไม่ได้กินอาหารประเภทนั้น
00:06:59 → 00:07:01 แต่เรากินผักในผักเนี่ยค่ะมีพยาธด้วยมั้
00:07:01 → 00:07:04 คะจริงๆแล้วต้องบอกว่าผักเนี่ยครับมันมี
00:07:04 → 00:07:07 พยาธปนเปื้อนอยู่แล้วแต่ว่าชนิดของพยาธ
00:07:07 → 00:07:10 อาจจะแตกต่างกันออกไปอย่างปลาน้ำจืดเนี่ย
00:07:10 → 00:07:14 ครับที่เรารับประทานเช่นปลา
00:07:14 → 00:07:17 ทะเลาพยาธใบไม้ในตับอยู่การกินอาหารใน
00:07:17 → 00:07:20 กลุ่มนี้ถ้ากินแบบดิบๆก็จะติดเชื้อพยาธใบ
00:07:20 → 00:07:22 ไม้ในตับแต่ในกลุ่มของการกินพวกผักที่
00:07:22 → 00:07:25 เป็นอาจจะปลูกตามพื้นดินนะครับมีมูลของ
00:07:25 → 00:07:27 สัตว์มูลอุจจาระอะไรเข้ามาอาจจะมีการติด
00:07:27 → 00:07:29 เชื้อทางด้านอื่นแตกต่างกันไปเช่นพยาธตัว
00:07:29 → 00:07:31 กลมที่เป็นพยาธไส้เดือนอย่างเงี้ยครับ
00:07:31 → 00:07:34 หรือว่าจะเป็นพยาธในตัวอื่นๆที่ปนเปื้อน
00:07:34 → 00:07:36 เข้ามาได้คนที่กินเนื้อหมูดิบก็จะติดพยาธ
00:07:36 → 00:07:39 ตืดหมูคนที่กินเนื้อวัวดิบก็จะติดพยาธตืด
00:07:39 → 00:07:41 วัวขึ้นมาได้นะครับเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ย
00:07:41 → 00:07:43 อาหารแต่ละชนิดเนี่ยจะมีพยาธที่แตกต่าง
00:07:43 → 00:07:45 กันในส่วนของผักก็จะมีพยาธที่อย่างที่
00:07:46 → 00:07:47 เมื่อกี้ที่ผมบอกก็จะมีความแตกต่างกันออก
00:07:47 → 00:07:50 ไปอย่างเมื่อกี้บุกหมูดิบถ้าเราไม่ได้กิน
00:07:50 → 00:07:52 หมูดิบแต่ว่ามันจะมีข่าวเนาะที่เราจะเคย
00:07:53 → 00:07:54 ได้ยินว่าใช้ตะกี้ตะเกียบอย่างเงี้ยในการ
00:07:54 → 00:07:57 ครีบของดิบไปปิ้งไปย่างหรือไปต้มแล้วเรา
00:07:57 → 00:07:59 ก็ใช้ตะเกียบนั้นกินของที่สุกแล้วด้วย
00:07:59 → 00:08:01 อย่างเงี้ยมีโอกาสติดพยาธมั้คะต้องบอกว่า
00:08:01 → 00:08:04 กรรมวิธีในการที่จะลchออกมาให้เรากิน
00:08:04 → 00:08:07 เนี่ยบางทีมันผ่านกระบวนการฟีสอาหารซึ่ง
00:08:07 → 00:08:09 การฟีสอาหารถ้าหากว่าได้อุณหภูมิตามที่
00:08:09 → 00:08:11 ต้องการเนี่ยนะครับการฟีสส่วนใหญ่จะทำให้
00:08:11 → 00:08:13 พยาธเนี่ยตายถ้าเกิดว่าเขาเพิ่งเอามาจาก
00:08:13 → 00:08:15 ช่องฟีสการใช้ตะเกียบไปครีบส่วนของที่
00:08:15 → 00:08:17 เป็นหมูดิบไปปิ้งหมูสุกแล้วเอาเข้าปาก
00:08:17 → 00:08:19 เนี่ยอาจจะไม่ได้มีผลต่อการติดเชื้ออะไร
00:08:19 → 00:08:22 มากแต่ในกลุ่มที่เป็นหมูที่แบบเพิ่งมา
00:08:22 → 00:08:24 ใหม่ๆเลยไม่ได้ฟีดกรรมวิธีในการปรุงต่างๆ
00:08:24 → 00:08:27 เี่ไม่ได้ดีการจัดเก็บไม่ดีอาจจะมีพยาธลง
00:08:27 → 00:08:29 เหลืออยู่การใช้ตะเกียบนะครับที่ไปคีบหมู
00:08:29 → 00:08:31 ดีดปิ้งให้สุกแล้วมากินเข้าปากเนี่ยอัน
00:08:31 → 00:08:33 นี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของการที่จะติด
00:08:33 → 00:08:36 เชื้อพยาธเข้าไปได้ครับอืค่ะดอกจันทร์นิด
00:08:36 → 00:08:39 นึงที่บอกว่าหมูที่ฟรีไม่ใช่หมายความว่า
00:08:39 → 00:08:41 เราเอาหมูไปใส่ฟรีซแล้วนั่นจะปลอดภัยใช่
00:08:41 → 00:08:43 มั้คะไม่ได้ปลอดภัย 100% ครับสุดท้าย
00:08:43 → 00:08:46 เนี่ยต่อให้ฟรีซมาแค่ไหนไม่ได้แปลว่าเรา
00:08:46 → 00:08:48 จะกินแบบดิบๆได้นะครับสุดท้ายเนี่ยฟรีซมา
00:08:48 → 00:08:50 เราก็ต้องมาผ่านกรรมวิธีในการปรุงอาหาร
00:08:50 → 00:08:52 ให้มันสุก 100% นะครับซึ่งอาหารที่ปรุง
00:08:52 → 00:08:54 สุก 100% ความร้อนส่วนใหญ่เนี่ยมันจะ
00:08:54 → 00:08:57 ทำลายเชื้อพยาธไปโดยอัตโนมัติครับแล้วเรา
00:08:57 → 00:08:59 สามารถที่จะสังเกตพยาธด้วยตาเปล่าได้มั้
00:08:59 → 00:09:01 คะพยาธส่วนใหญ่เนี่ยขนาดเขาเล็กก็จะไม่
00:09:01 → 00:09:03 สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าบางทีอาจจะต้อง
00:09:03 → 00:09:05 ใช้กล้องจุลทัศน์ในการดูยิ่งถ้าเป็นไข่
00:09:05 → 00:09:07 พยาธเนี่ยต้องบอกว่าเป็นไปแทบไม่ได้เลยนะ
00:09:07 → 00:09:09 ที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่จะมีพยาธ
00:09:10 → 00:09:12 บางชนิดนะครับที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตา
00:09:12 → 00:09:14 เปล่าก็คือพยาธตืดหมูแล้วก็พยาธตืดวัว
00:09:15 → 00:09:16 หรือพยาธกลุ่มที่เป็นพยาธไส้เดือน
00:09:16 → 00:09:18 อันเนี้ยเราเห็นได้ด้วยตาเปล่าบางครั้ง
00:09:18 → 00:09:20 เนี่ยนะครับจะเคยเห็นในคลิป YouTube หรือ
00:09:20 → 00:09:23 ว่ามีข่าวออกบ่อยๆนะฮะว่าคนไข้มีปัญหาลำ
00:09:23 → 00:09:26 ไส้อุดตันผ่ามาช่องท้องเห็นเป็นพยาธไส้
00:09:26 → 00:09:28 เดือนเต็มท้องไปหมดเลยอันเนี้ยก็เป็นอีก
00:09:28 → 00:09:30 อันนึงที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็
00:09:30 → 00:09:33 คือเป็นพยาธไส้เดือนแต่ว่าจำนวนเ้าเนี่ย
00:09:33 → 00:09:34 ไม่ได้มีอยู่แค่ตัวเดียวมันกระจุกเป็น
00:09:34 → 00:09:37 เหมือนเส้นผมกองกันอุดตันกันอยู่ในลำไส้
00:09:37 → 00:09:40 ทำให้คนไข้มีภาวะลำไส้อุดตันครับอืค่ะก็
00:09:40 → 00:09:43 ถ้ามันตัวใหญ่ก็จะมองเห็นใช่ฮะแต่ว่าด้วย
00:09:43 → 00:09:45 ส่วนมากจริงๆตัวเล็กมองไม่เห็นมองไม่เห็น
00:09:45 → 00:09:48 อืค่ะแล้วถ้าคนที่บอกว่าเรากินอาหารสุกๆ
00:09:48 → 00:09:50 ดิบๆหรืออาหารดิบนั่นแหละกินปึ๊บกินยา
00:09:50 → 00:09:53 ถ่ายพยาธตามแบบนี้ได้มั้คะคือจะบอกว่า
00:09:53 → 00:09:55 จริงๆเนี่ยการทำแบบเนี้ยครับมันก็ไม่ได้
00:09:55 → 00:09:57 ถูกซะทีเดียวทางที่ดีที่สุดเนี่ยคือเราจะ
00:09:57 → 00:09:59 ต้องกินอาหารที่เป็นอาหารปรุงสุกใช่มั้ย
00:09:59 → 00:10:02 ครับการกินอาหารเพียงสุกดิบๆหรือกึ่งสุก
00:10:02 → 00:10:04 กึ่งดิบเนี่ยเข้าไปเนี่ยนะครับแล้วกินยา
00:10:04 → 00:10:06 พยาธตามทันทีมันไม่สามารถที่จะขับพยาธออก
00:10:06 → 00:10:08 มาได้อย่าง 100% บางทีมันอาจจะมีส่วนนึง
00:10:08 → 00:10:10 ที่มันหลงเหลือติดอยู่ในร่างกายถึงแม้ว่า
00:10:10 → 00:10:13 เราจะกินยาขับพยาธตามทันทีก็ตามอาจจะมี
00:10:13 → 00:10:15 อยู่ส่วนนึงที่มันหลงเหลือติดอยู่ในลำไส้
00:10:15 → 00:10:18 ชอนชัยลำไส้ติดเข้าไปอยู่ในท่อน้ำดีเรานะ
00:10:18 → 00:10:20 ครับซึ่งยาขับพยาธเอาไม่ออกแล้วสุดท้าย
00:10:20 → 00:10:23 แล้วเนี่ยต่อให้จะกินยาขับพยาธตามไปมาก
00:10:23 → 00:10:24 แค่ไหนเนี่ยนะครับก็ไม่สามารถที่จะขับ
00:10:24 → 00:10:26 พยาธออกไปได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นแล้วดีที่
00:10:26 → 00:10:28 สุดเนี่ยควรจะต้องหลีกเลี่ยงพวกอาหารดิบ
00:10:28 → 00:10:32 นะครับทำไมพญาธถึงชอบไปที่ท่อน้ำดีคะเค้า
00:10:32 → 00:10:34 ไปตรงอื่นมั้ยคะพยาธทุกตัวไม่ได้ไปที่ท่อ
00:10:34 → 00:10:36 น้ำดีครับตัวที่มันชอบไปเนี่ยคือพยาธใบ
00:10:36 → 00:10:39 ไม้ในตับนะครับพยาธใบไม้ในตับตัวนี้เนี่ย
00:10:39 → 00:10:42 มันมีชื่อภาษาอังกฤษนะครับมันคือชื่อOpิ
00:10:42 → 00:10:44 Viverini ตัวนี้น่ะเป็นตัวเดียวที่มันจะ
00:10:44 → 00:10:47 ชอบไปแตกตัวอยู่ในตำแหน่งของลำไส้เล็ก
00:10:47 → 00:10:49 ส่วนต้นนะครับแล้วก็จะชอนชัยออกมาเข้าไป
00:10:49 → 00:10:51 แทรกซึมอยู่ในตำแหน่งของบริเวณท่อท่อน้ำ
00:10:51 → 00:10:53 ดีมันก็จะกลายเป็นพยาธในท่อน้ำดีที่มัน
00:10:53 → 00:10:56 ขังอยู่ในนั้นไม่ยอมออกไปไหนครับอืค่ะที
00:10:56 → 00:10:59 นี้น่าจะมีหลายๆท่านสงสัยคะว่าอยากเช็ค
00:10:59 → 00:11:02 อาหารกับคุณหมอว่าอาหารประเภทเนี้ยอาจจะ
00:11:02 → 00:11:04 มีพยาธใบไม้ตับอยู่หรือเปล่าเช่นส้มตำปู
00:11:04 → 00:11:07 ปลาร้าอันนี้น่ากลัวมั้คะโอเคผมจะพูดถึง
00:11:07 → 00:11:10 อาหารนะครับที่เป็นความเสี่ยงของการที่จะ
00:11:10 → 00:11:12 มีโอกาสในการติดเชื้อพยาธใบไม้ในตับปลา
00:11:12 → 00:11:15 น้ำจืดของไทยทุกชนิดเลยเช่นปลาตะเพียนปลา
00:11:15 → 00:11:18 แก้มช้ำอะไรที่ผมบอกไปนะครับปลาสร้อยพวก
00:11:18 → 00:11:20 เนี้ยมีหมดถ้าเราเกิดกินเข้าไปดิบๆจะมี
00:11:20 → 00:11:22 พยาธใบไม้ให้ตับอยู่อันที่ 2 เนี่ยอาหาร
00:11:22 → 00:11:25 พวกอีสานอาหารอีสานเนี่ยทั้งหลายแหละไม่
00:11:25 → 00:11:27 ว่าจะเป็นเรื่องของตัวส้มตำปลาร้าที่ไม่
00:11:28 → 00:11:30 ได้เป็นปลาร้าสูบผ่านกรรมวิธีมาแบบไม่ถูก
00:11:30 → 00:11:32 ต้องอันเนี้ยเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
00:11:32 → 00:11:35 ได้พวกลาบก้อยดิบๆเนื้อดิบอันเนี้ยมีความ
00:11:35 → 00:11:37 เสี่ยงทั้งหมดนะฮะก้อยปลาก้อยอะไรทั้ง
00:11:37 → 00:11:39 หลายแหละอันนี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก
00:11:39 → 00:11:41 เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยการกินอาหารที่เป็น
00:11:41 → 00:11:43 อาหารดิบๆในลักษณะแบบเนี้ยจะเพิ่มความ
00:11:43 → 00:11:46 เสี่ยงให้กับคนที่รับประทานเข้าไปก็จะมี
00:11:46 → 00:11:49 การติดเชื้อได้จึงไม่แปลกใจว่าทำไมในภาค
00:11:49 → 00:11:51 อีสานของเราเนี่ยนะครับจึงเป็นภาคที่เรา
00:11:51 → 00:11:54 พบว่ามีการติดเชื้อเนี่ยในท่อน้ำดีเนี่ย
00:11:54 → 00:11:56 มากที่สุดไปดู data ที่เป็นข้อมูลว่าจริง
00:11:56 → 00:11:59 ๆแล้วภาคอีสานเนี่ยมีการติดเชื้อของตัว
00:11:59 → 00:12:01 มะเร็งท่อน้ำดีเนี่ยนะฮะจากตัวพยาธใบไม้
00:12:01 → 00:12:04 ในตับเนี่ยถ้าตามรายงานนะฮะเมื่อ 2-3 ปี
00:12:04 → 00:12:06 ที่แล้วเนี่ยนะครับข้อมูลอัปเดตว่าใน
00:12:06 → 00:12:08 ประชากร 100,000 คนเนี่ยมีคนติดเชื้อ
00:12:08 → 00:12:11 ประมาณ 82-83 คนซึ่งถือว่าเยอะนะครับใน
00:12:11 → 00:12:13 ขณะที่ประเทศอื่นโดยเฉพาะในโซนยุโรปเนี่ย
00:12:13 → 00:12:15 มีคนติดเชื้อพวกเนี้ยอยู่ในกลุ่มที่ 0.6-1
00:12:15 → 00:12:18 6-1 คนต่อประชากรแสนคนเรามากกว่าคนยุโรป
00:12:18 → 00:12:20 80 เท่าเรามากกว่าคนไต้หวันไต้หวันมี
00:12:20 → 00:12:23 ประมาณ 1-2 เท่านะครับงั้นอาหารเป็นสิ่ง
00:12:23 → 00:12:25 ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะว่า
00:12:25 → 00:12:28 วัฒนธรรมการกินรูปแบบของอาหารของคนอีสาน
00:12:28 → 00:12:30 บ้านเราเนี่ยมักจะเป็นลักษณะที่เป็นแบบ
00:12:30 → 00:12:32 กึ่งสุกกึ่งดิบแบบนี้ครับมีคำถามนึงคือ
00:12:32 → 00:12:34 สมมุติเรากินของดิบแต่ว่าเรามีการบีบ
00:12:35 → 00:12:37 มะนาวลงไปหรือว่ามีการปรุงแล้วอ่ะค่ะหรือ
00:12:37 → 00:12:39 น้ำจิ้มซีฟู้ดอย่างเงี้ยเราจะเข้าใจว่า
00:12:39 → 00:12:41 เฮ้ยเนี่ยฆ่าพยาธได้แล้วเพราะว่ามันแสบ
00:12:41 → 00:12:44 อย่างงี้ผิดหรือถูกคะจริงๆต้องบอกว่าเป็น
00:12:44 → 00:12:46 ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องไม่มีความเป็นกรด
00:12:46 → 00:12:49 ของมะนาวความเปรี้ยวของมะนาวความเผ็ดของ
00:12:49 → 00:12:51 พริกความแสบร้อนของมันเนี่ยไม่ได้ทำให้
00:12:51 → 00:12:53 พยาธตายสิ่งที่จะทำให้พยาธตายได้มีแค่
00:12:53 → 00:12:56 ความเย็นกว่าความร้อนดังนั้นเนี่ยเย็นคือ
00:12:56 → 00:12:58 เราฟีสมาโอเคมันอาจจะตายไปนะครับอย่างปลา
00:12:58 → 00:13:00 แซลมอนปลาอะไรที่เราทานปลาดิบกันใช่มั้
00:13:01 → 00:13:02 ครับแต่ถ้ามันเป็นอาหารที่เรากลับมาปรุง
00:13:03 → 00:13:04 อย่างเงี้ยฮะต้องปรุงให้สุกถ้าเราปรุงไม่
00:13:04 → 00:13:06 สุกความร้อนไม่ถึงแน่นอนมันก็ยังมีเชื้อ
00:13:06 → 00:13:09 พยาธลงเหลืออยู่ถึงแม้ว่าเราจะใช้มะนาว
00:13:09 → 00:13:12 เป็นฤทธิ์เลยนะฮะใช้พริกออกมาจุ่มเต็มที่
00:13:12 → 00:13:14 เลยมันก็ยังมีเชื้อพยาธอยู่ไม่สามารถที่
00:13:14 → 00:13:16 จะฆ่าฆ่าเชื้อพยาธออกไปได้นะครับอือย่าง
00:13:16 → 00:13:18 หอยอย่างปูที่เรากินที่แบบปูดองอย่าง
00:13:18 → 00:13:22 เงี้ยก็มีครับมีพยาธหอยเอยหอยนางลมหอยทุก
00:13:22 → 00:13:24 อย่างเลยครับถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ปรุงสุก
00:13:24 → 00:13:26 เนี่ยนะครับก็จะมีพยาธอยู่แต่ว่าพยาธแต่
00:13:26 → 00:13:28 ละตัวมีความแตกต่างก่อนออกไปหรือบางทีไม่
00:13:28 → 00:13:30 มีพยาธแต่จะมีเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นๆที่
00:13:30 → 00:13:33 มันสะสมอยู่ในตัวพวกหอยอาหารทะเลบางชนิด
00:13:33 → 00:13:36 นะครับอืซึ่งแบคทีเรียพวกนี้ก็อาจจะเข้า
00:13:36 → 00:13:38 ไปรบกวนแบคทีเรียประจำถิ่นในร่างกายเรา
00:13:38 → 00:13:40 จริงๆนะเบอกว่ามันไม่ได้เข้าไปรบกวนอย่าง
00:13:40 → 00:13:42 เดียวมันเข้าไปทำให้ร่างกายเนี่ยเกิดความ
00:13:42 → 00:13:44 ผิดปกติเลยคือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
00:13:45 → 00:13:48 ดังกล่าวเลยนะครับเช่นบางคนกินอาหารที่
00:13:48 → 00:13:50 เป็นอาหารทะเลแบบดิบๆผมยกตัวอย่างเช่นกิน
00:13:50 → 00:13:53 หอยน้ลมแบบดิบๆเลยแล้วก็จิ้มซอสซีฟู้ดนะ
00:13:53 → 00:13:55 ฮะน้ำจิ้มซีฟู้ดกินเข้าไปเสร็จปุ๊บเนี่ย
00:13:55 → 00:13:57 ท้องเสียท้องร่วงเป็นวันเป็นอาทิตย์เลยยก
00:13:57 → 00:13:59 ตัวอย่างจากตัวผมเองเนี่ยตลอดชีวิตนี้ผม
00:13:59 → 00:14:01 กินไม่ได้ละเพราะว่าทุกครั้งที่พอผมกิน
00:14:01 → 00:14:03 เข้าไปเนี่ยปัญหาที่ตามมาคือผมจะถ่ายเหลว
00:14:03 → 00:14:05 มีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเนี่ยเป็นอาทิตย์
00:14:05 → 00:14:08 เป็นสัปดาห์เลยเกือบตายทำงานแทบไม่ได้เลย
00:14:08 → 00:14:10 นะครับก็เพราะว่าเราติดเชื้อแบคทีเรียบาง
00:14:10 → 00:14:13 ตัวที่มันสะสมอยู่ในตัวอาหารทะเลที่เรา
00:14:13 → 00:14:14 ไม่ได้ปรุงให้เป็นสุขไม่ใช่แค่พยาธเนาะ
00:14:14 → 00:14:16 แบคทีเรียก็น่ากลัวเหมือนกันถูกต้องถูก
00:14:16 → 00:14:18 ต้องครับอืค่ะแล้วพยาธตัวอื่นๆที่ไม่ใช่
00:14:18 → 00:14:21 พยาธใบไม้ตับอ่ะค่ะเขาจะไปชอบอยู่อาศัย
00:14:21 → 00:14:24 ตรงไหนในร่างกายของเราบ้างคะก็คือจริงๆ
00:14:24 → 00:14:26 แล้วเนี่ยมันมีหลายพยาทใช่มั้ยครับถ้า
00:14:26 → 00:14:28 เป็นพยาธไส้เดือนเนี่ยไม่ชอบไปไหนชอบอยู่
00:14:28 → 00:14:31 แต่ในลำไส้ของเรามันก็จะเจริญเติบโตออก
00:14:31 → 00:14:33 ไข่ออกลูกออกหลานมันจนสุดท้ายเนี่ยมันก็
00:14:33 → 00:14:35 จะยั้วเยี้ยอยู่ในลำไส้ของเราจนเกิดลำไส้
00:14:35 → 00:14:38 อุตันอันที่ 2 คือเป็นพวกพยาธตืดหมูพยาธ
00:14:38 → 00:14:40 ตืดหมูเนี่ยนะครับคุณสมบัตินึงของมัน
00:14:40 → 00:14:42 เนี่ยตัวมันสามารถที่จะกระจายไปที่กระแส
00:14:42 → 00:14:44 เลือดแล้วมันก็ก็จะไปติดที่สมองได้ที่ปอด
00:14:44 → 00:14:47 ได้นะครับซึ่งการที่มีพยาธตืดหมูเนี่ย
00:14:47 → 00:14:49 กระจายเข้าไปที่สมองเนี่ยมันก็จะไข่ออกมา
00:14:49 → 00:14:51 นะครับเป็นตัวไข่ที่ฝังอยู่ในตัวเนื้อ
00:14:51 → 00:14:53 สมองเราเนี่ยเต็มไปหมดบางทีสามารถเห็นได้
00:14:53 → 00:14:56 จากตัว Xray คอมพิวเตอร์สแกน CT สแกนเข้า
00:14:56 → 00:14:57 ไปเนี่ยก็สามารถเห็นได้เป็นเนี่ยอาจจะมี
00:14:58 → 00:15:00 อาการชักเกงกระตุโคม่าเสียชีวิตได้นะครับ
00:15:00 → 00:15:04 อืค่ะเราจะเคยได้ยินว่าบางพยาธอาจจะทำให้
00:15:04 → 00:15:06 หูดับอ่าอันนี้คือพยาทตัวไหนคะอก็เป็น
00:15:06 → 00:15:08 พยาธหมูนะครับแต่จากการที่เรากินหมูดิบ
00:15:09 → 00:15:11 เข้าไปก็จะมีเชื้อโรคในกลุ่มเนี้ยครับใน
00:15:11 → 00:15:13 ตัวของพยาธซึ่งมันก็จะทำให้เกิดอาการก็
00:15:13 → 00:15:16 คือหูดับการได้ยินลดลงนะครับก็เป็นจากการ
00:15:16 → 00:15:18 ที่เราไปกินพวกหมูดิบอะไรอย่างเงี้ยเข้า
00:15:18 → 00:15:20 ไปครับค่ะอาการหูดับที่เกิดขึ้นจากการที่
00:15:20 → 00:15:22 ได้รับพยาธตัวตืดหมูเนี่ยเข้าไปเนี่ยค่ะ
00:15:22 → 00:15:24 มันสามารถที่จะกลับมาได้ยินเหมือนเดิมได้
00:15:24 → 00:15:26 มั้คะหรือว่ามันจะเสียการได้ยินไปตลอดเลย
00:15:26 → 00:15:29 จริงๆถ้าสมมุติว่าติดไปแล้วเนี่ยพยาธตัว
00:15:29 → 00:15:33 เนี้ยครับมันจะทำให้หูดับเป็นอย่างถาวรอ
00:15:33 → 00:15:35 นะครับน้อยครับมีมีบางส่วนที่กลับมาแต่
00:15:36 → 00:15:38 ว่าน้อยคือกลับมาก็อาจจะไม่ 100% ไม่ได้
00:15:38 → 00:15:39 ยินเหมือนเดิมไม่ได้กลับมาแบบทุกอย่างได้
00:15:39 → 00:15:43 ยินชัดเจนปกติค่ะจริงๆแล้วก็คือพยายามกิน
00:15:43 → 00:15:45 สุกไว้ดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าถ้ากินดิบนี่
00:15:45 → 00:15:48 รู้จะไปเจอพยาธตัวไหนใช่ครับอืค่ะใช่ครับ
00:15:48 → 00:15:50 เดี๋ยวกลับมาที่มะเร็งท่อน้ำดีนิดนึงค่ะ
00:15:50 → 00:15:53 ว่าเจ้าพยาธใบไม้ตับที่จะทำให้เกิดมะเร็ง
00:15:53 → 00:15:55 ท่อน้ำดีได้เนี่ยค่ะแล้วอาการมะเร็งท่อ
00:15:55 → 00:15:57 น้ำดีเนี่ยมันเป็นยังไงบ้างน่ากลัวยังไง
00:15:57 → 00:15:59 อ่ะค่ะมะเร็งท่อน้ำดีเนี่ยครับอาการที่
00:15:59 → 00:16:02 น่ากลัวของมันเนี่ยคือไม่มีอาการมันเป็น
00:16:02 → 00:16:04 silent symptom เวลาเราติดเชื้อเข้าไป
00:16:04 → 00:16:06 หรือเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในระยะแรกๆเนี่ย
00:16:06 → 00:16:08 ครับมันจะไม่ออกอาการอะไรเลยครับทุกอย่าง
00:16:08 → 00:16:10 จะเหมือนคนปกติใช้ชีวิตนอนกินหลับอะไรได้
00:16:10 → 00:16:14 ทุกอย่างได้ปกตินะนะครับไม่มีปวดท้องอา
00:16:14 → 00:16:16 ต่างๆทานได้หมดนี่คือความน่ากลัวของมัน
00:16:16 → 00:16:18 วันที่มันจะน่ากลัวไปมากกว่านั้นอีกก็คือ
00:16:18 → 00:16:20 วันที่มันเริ่มออกอาการซึ่งการที่มันออก
00:16:20 → 00:16:22 อาการเนี่ยนะครับก็จะมีอาการเรื่องของปวด
00:16:22 → 00:16:25 จุกแน่นลิ้นปี่ปวดท้องนะครับมีเรื่องของ
00:16:25 → 00:16:27 ตัวเบื่ออาหารน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วคำ
00:16:27 → 00:16:29 ว่าน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเนี่ยคือมัน
00:16:29 → 00:16:31 ไม่ได้ลงแบบเดือนละ
00:16:31 → 00:16:35 กลึง 10 ก 15 กผ่านไป 3 เดือนลงไป 20 กล
00:16:35 → 00:16:37 แบบเนี้ยครับหรือถัดมาคนไข้อาจจะมีอาการ
00:16:37 → 00:16:40 เหมือนตัวเหลืองตาเหลืองผิดปกติมีคันตาม
00:16:40 → 00:16:42 ตัวเกิดขึ้นบางรายก็จะมาด้วยภาวะแทรกซ้อน
00:16:42 → 00:16:45 แล้วเช่นท่อน้ำดีอักเสบท่อน้ำดีอุดตันแบบ
00:16:45 → 00:16:47 นี้เป็นต้นความน่ากลัวของมันคืออย่างที่
00:16:47 → 00:16:49 ผมบอกเนี่ยมันคือไม่มีอาการแล้วพอมาอีกที
00:16:49 → 00:16:51 นึงเมื่อมีอาการแล้วมันมักจะเป็นระยะที่
00:16:51 → 00:16:53 มันค่อนข้างไปไกลแล้วซึ่งเจ้ามะเร็งท่อ
00:16:54 → 00:16:56 น้ำดีพอเป็นอาการมันจะคล้ายๆกับคราวที่
00:16:56 → 00:16:58 แล้วที่เราเคยคุยกันคือเรื่องของนิ่วคะมี
00:16:58 → 00:17:01 ความใกล้เคียงครับแต่ว่าสาเหตุหลักๆมัน
00:17:01 → 00:17:03 ไม่ได้เหมือนกันถ้าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
00:17:03 → 00:17:05 เนี่ยครับมันก็จะปวดท้องมีอาการเรื่องของ
00:17:05 → 00:17:08 แบบจุกแน่นนะอาจจะไม่มีตัวเหลืองตาเหลือง
00:17:08 → 00:17:10 แต่คนที่เป็นมะเร็งท่อน้ำดีเนี่ยอันเนี้ย
00:17:10 → 00:17:12 มันจะเป็นปวดปวดท้องอาจจะไม่ค่อยเด่นมาก
00:17:12 → 00:17:14 บางรายจะไม่ปวดเลยแต่แค่อึดๆท้องไม่อยาก
00:17:14 → 00:17:16 กินอะไรน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วร่วมกับมี
00:17:16 → 00:17:19 อาการตัวเหลืองตาเหลืองผิดปกติคือเหลือง
00:17:19 → 00:17:21 มากเป็นดีซ่านเลยนะครับมีคันตามตัว
00:17:21 → 00:17:24 ปัสสาวะสีเข้มขึ้นนะครับอุจจาระสีซีก
00:17:24 → 00:17:26 ปัสสาวะสีเข้มเนี่ยคือเข้มเหมือนแบบสี
00:17:26 → 00:17:28 เก๊กฮวยอย่างงั้นเลยเข้มๆเหลืองๆเข้ม
00:17:28 → 00:17:30 อย่างนั้นเลยอ่ะครับอคือความน่ากลัวของ
00:17:30 → 00:17:32 มะเร็งทอดน้ำดีเพราะว่าอย่างที่คุณหมอบอก
00:17:32 → 00:17:34 ว่าไม่ได้มีอาการแต่มารู้ตัวอีกทีนึงคือ
00:17:34 → 00:17:36 เป็นเยอะแล้วซึ่งไอ้ระยะที่เป็นเยอะเนี่ย
00:17:36 → 00:17:38 ค่ะความน่ากลัวคือเจ้ามะเร็งเนี้ยมันจะ
00:17:38 → 00:17:41 แพร่ไปที่อวัยวะอื่นใช่มั้ยคะถูกต้องครับ
00:17:41 → 00:17:44 คือส่วนใหญ่เนี่ยต้องบอกว่าเวลาที่คนไข้
00:17:44 → 00:17:46 มีอาการมาแล้วเนี่ยนะฮะจะตัวเหลืองตา
00:17:46 → 00:17:48 เหลืองหรือจะน้ำหนักลงอะไรมาก็ตามเนี่ย
00:17:48 → 00:17:51 ต้องบอกว่าเกือบครึ่งนะฮะประมาณสัก 30-40%
00:17:51 → 00:17:53 เนี่ยที่เราเจอเวลาเราไป staging staging
00:17:53 → 00:17:55 คือการกำหนดระยะโลกนะครับว่าเขาเป็น
00:17:55 → 00:17:58 มะเร็งท่อน้ำดีระยะอะไรเรามักจะพบว่าไอ้
00:17:58 → 00:18:00 มะเร็งท่อน้ำดีที่ว่าเนี่ยมันมักจะมีการ
00:18:00 → 00:18:03 กระจายของตัวโรคไปอวัยวะส่วนอื่นเช่นไป
00:18:03 → 00:18:05 ที่ตับไปที่ปอดอะไรต่างๆเนี่ยเป็นที่
00:18:05 → 00:18:07 เรียบร้อยแล้วแล้วการเป็นมะเร็งท่อน้ำดี
00:18:07 → 00:18:10 เนี่ยคะถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รู้ตัวมาก่อน
00:18:10 → 00:18:12 เนาะแต่ว่าพอเรารู้แล้วเราไปหาคุณหมอเรา
00:18:12 → 00:18:14 เนี่ยค่ะมีการรักษายังไงบ้างคะเราต้องได้
00:18:14 → 00:18:16 การวินิจฉัยใช่มั้ยครับคนไข้ก็จะมีอาการ
00:18:16 → 00:18:18 แบบเนี้ยครับมีลักษณะคือน้ำหนักลดลงอย่าง
00:18:18 → 00:18:21 รวดเร็วมีตัวเหลืองตาเหลืองผิดปกติกิน
00:18:21 → 00:18:22 อะไรไม่ค่อยได้เบื่ออาหารอะไรอย่างเงี้ย
00:18:22 → 00:18:25 นะครับเราก็จะสงสัยและเอ๊ะมันมีการอุดตัน
00:18:25 → 00:18:27 หรือการอักเสบการบาดเจ็บของท่อน้ำดีอะไร
00:18:27 → 00:18:30 หรือเปล่าอาจจะไปเข้าอุโมงค์ CT สแกนมี
00:18:30 → 00:18:32 การเจาะเลือดดูซึ่งถ้าเกิดว่าเราพบว่ามัน
00:18:32 → 00:18:34 เป็นมะเร็งท่อน้ำดีนะครับก็จะมาประเมิน
00:18:34 → 00:18:36 เรื่องของการรักษาการรักษาเนี่ยขึ้นอยู่
00:18:36 → 00:18:39 กับระยะของตัวโรคว่าเป็นระยะไหนถ้าเป็น
00:18:39 → 00:18:42 ระยะ 1 2 3 นะครับอันเนี้ยยังมีโอกาส
00:18:42 → 00:18:45 ที่จะรักษาให้หายขาดได้แต่เมื่อไหร่ก็ตาม
00:18:45 → 00:18:47 ที่เป็นระยะ 4 ระยะ 4 คือมีการกระจายของ
00:18:47 → 00:18:49 ตัวโรคไปที่อวัยวะส่วนอื่นๆอันเนี้ยการ
00:18:50 → 00:18:52 รักษาไม่ได้มุ่งเน้นให้หายขาดเพราะหายขาด
00:18:52 → 00:18:53 ไม่ได้ก็จะเป็นมุ่งเน้นในการรักษาแบบ
00:18:53 → 00:18:56 ประคับประคองบรรเทาอาการการรักษาหลักใน
00:18:56 → 00:18:58 กลุ่มที่เป็นมะเร็งท่อน้ำดีถ้าจะให้ดีที่
00:18:58 → 00:19:00 สุดคือการผ่าตัดก็คือเราก็จะตัดส่วนของ
00:19:00 → 00:19:02 ท่อน้ำดีที่มีเรื่องของตัวมะเร็งหรือว่า
00:19:02 → 00:19:04 เนื้องอกตัวนั้นออกไปอาจจะมีการตัดท่อน้ำ
00:19:04 → 00:19:07 ดีตัดตับออกในบางส่วนมีการตัดต่อท่อน้ำดี
00:19:07 → 00:19:09 นั่นเป็นรายละเอียดของการผ่าตัดนะครับอัน
00:19:09 → 00:19:11 ที่ 2 ถ้าไม่ได้ผ่าตัดจะทำอะไรเราก็จะมี
00:19:11 → 00:19:14 เรื่องของการให้ยาเคมีบำบัดนะฮะเพื่อทำ
00:19:14 → 00:19:16 ให้เรื่องของตัวมะเร็งเนี่ยต่างๆมันยุบลง
00:19:16 → 00:19:19 ไปอันที่ 3 ก็เป็นการรักษาแก้ไขไปตาม
00:19:19 → 00:19:22 อาการเช่นมีท่อน้ำดีอุดตันก็อาจจะมีการ
00:19:22 → 00:19:24 ส่องกล้องทางเดือนอาหารท่อน้ำดีเพื่อใส่
00:19:24 → 00:19:27 สายระบายท่อน้ำดีหรือมีการเจาะสายระบาย
00:19:27 → 00:19:29 ท่อน้ำดีออกมาผ่านทางหน้าท้องนั่นก็จะ
00:19:29 → 00:19:31 เป็นอีกวิธีการนึงนะครับอยากให้คุณหมอ
00:19:31 → 00:19:34 ช่วยแชร์เคสการรักษาผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำ
00:19:34 → 00:19:37 ดีให้เป็นวิทยาทานหน่อยได้มั้คะจริงๆมี
00:19:37 → 00:19:39 หลายเคสนะฮะที่เจอเพราะว่าโรงพยาบาลตอน
00:19:39 → 00:19:41 ที่ผมอยู่เนี่ยก็ค่อนข้างที่จะรับเคสพวก
00:19:41 → 00:19:43 นี้มาค่อนข้างเยอะจะเจอความหลากหลายของ
00:19:43 → 00:19:46 ตัวเคสหลากหลายของระยะของตัวโรคนะครับผม
00:19:46 → 00:19:50 แชร์ในเคสที่แฮปปี้แฮyก่อนนะครับเคสนี้ก็
00:19:50 → 00:19:53 เป็นผู้หญิงอายุเนี่ยประมาณสัก 70 ปีก็
00:19:53 → 00:19:55 สุขภาพก็แข็งแรงดีฮะจริงๆบ้านเนี่ยเป็นคน
00:19:55 → 00:19:58 อยู่แถวบุรีรัมย์พอดีเขาส่งตัวมานะพอยืม
00:19:58 → 00:20:01 มาอยู่กับญาติแถวๆเนี่ยครับรอบๆก็มารักษา
00:20:01 → 00:20:03 คนไข้ก็มาด้วยอาการตัวเหลืองตาเหลืองผิด
00:20:03 → 00:20:06 ปกติแล้วก็บ่นว่าคันตามตัวน้ำหนักลงแต่
00:20:06 → 00:20:08 ก่อนเนี่ยคุณป้าเนี่ยอ้วนนะครับประมาณซัก
00:20:08 → 00:20:11 90- 100 กลอยู่ดีลงมาเหลือประมาณ 60
00:20:11 → 00:20:13 กว่าอย่างรวดเร็วภายใน 3 เดือนเขาก็เลยพา
00:20:13 → 00:20:15 มาที่โรงพยาบาลตอนพามาโรงพยาบาลเนี่ยคน
00:20:15 → 00:20:18 ไข้เหลืองค่อนข้างเยอะมากก็แอดมิขึ้นไปนะ
00:20:18 → 00:20:21 ครับไปรักษาเรื่องของภาวะการกินไม่ได้มี
00:20:21 → 00:20:22 ภาวะเหลืองเยอะให้น้ำเกลืออะไรอย่างเงี้ย
00:20:22 → 00:20:25 ก็ไปตรวจโดยการเซrเรยคอมพิวเตอร์แล้วก็พบ
00:20:25 → 00:20:28 ว่าคนไข้เนี่ยมีลักษณะของมะเร็งท่อน้ำดี
00:20:28 → 00:20:30 เกิดขึ้นระยะที่คนไข้เป็นเนี่ยเป็นระยะ
00:20:30 → 00:20:33 ประมาณ 2 ค่อนไปทางจะ 3 และเราก็ประเมิน
00:20:33 → 00:20:35 คนไข้คุยกับคนไข้เรื่องของการผ่าตัดก็
00:20:35 → 00:20:37 เตรียมคนไข้เรียบร้อยก็รักษาคนไข้ด้วยการ
00:20:37 → 00:20:40 ผ่าตัดตัดตัดท่อน้ำดีออกครับแล้วก็ตัดตับ
00:20:40 → 00:20:42 ออกบางส่วนออกไปด้วยคนไข้ก็อยู่พักฟื้น
00:20:42 → 00:20:44 นอนโรงพยาบาลประมาณสัก 1 อาทิตย์ก็ไม่มี
00:20:44 → 00:20:47 ปัญหาอะไรก็กลับบ้านนั่นก็เป็นวิธีในการ
00:20:47 → 00:20:49 รักษาคนไข้ในกลุ่มนึงที่เราสามารถรักษา
00:20:49 → 00:20:52 โดยการผ่าตัดได้ผมมีอีกเคสนึงนะครับเป็น
00:20:52 → 00:20:54 เคสล่าสุดที่เพิ่งเจอเป็นผู้หญิงอายุ
00:20:54 → 00:20:58 ประมาณสัก 47 ฮะ 47-48 โดยประมาณนะครับจำ
00:20:58 → 00:21:01 ตัวเลขไม่ไม่ exactly หรอกคนไข้เนี่ยเขา
00:21:01 → 00:21:05 ก็มาที่โรงพยาบาลมากับสามีฮะแล้วก็ตอนแรก
00:21:05 → 00:21:08 เนี่ยคนไข้ก็ยังไม่ได้มีอาการอะไรชัดเจน
00:21:08 → 00:21:10 เจนแค่บ่นว่าเหมือนอืดแน่นท้องธรรมดาส่อง
00:21:10 → 00:21:13 กล้องไปไม่ดีขึ้นเอ๊ะมันก็ไม่ได้ใช่โรค
00:21:13 → 00:21:15 กระเพาะผมก็เลยให้ไปสแกนท้องดูถ้าคนไข้มา
00:21:15 → 00:21:17 หาเราเนี่ยแปลว่าเขาต้องมีอะไรคอนเซิร์น
00:21:17 → 00:21:20 มากๆะเขาถึงมาหาเราคนเราอืดแน่นท้องอย่าง
00:21:20 → 00:21:22 เดียวไม่มาหาเราแปลว่ามันต้องอืดแน่นท้อง
00:21:22 → 00:21:25 มากจนผิดปกติจนเขามาหาเราผมไปสแกนท้อง
00:21:25 → 00:21:28 เนี่ยก็เลยเจอว่าเขา้ามีเนื้องอกที่ตรง
00:21:28 → 00:21:31 ขั้วของน้ำดีเป็นท่อน้ำดีตรงส่วนขั้วมัน
00:21:31 → 00:21:34 เลยซึ่งไอ้ตัวมะเร็งท่อน้ำดีเนี่ยมันอยู่
00:21:34 → 00:21:36 ตรงขั้วมันทำให้คนไข้เนี่ยอาจจะเริ่มมี
00:21:36 → 00:21:38 อาการอ่อนเพลียมีจุกแน่นท้องผ่านไปไม่นาน
00:21:38 → 00:21:40 ฮะหลังจากเจอผมสักพักนึงคนไข้ก็มีอาการ
00:21:40 → 00:21:43 ตัวเหลืองตาเหลืองเrayไปตอนนั้นเนี่ยครับ
00:21:43 → 00:21:46 ตัวโรคของเขาเนี่ยนะครับมันมีการกระจายไป
00:21:46 → 00:21:49 ที่ตับบางส่วนละแล้วก็มีต่อมน้ำเหลืองบาง
00:21:49 → 00:21:51 ส่วนละซึ่งในกลุ่มคนไข้กลุ่มเนี้ยเรา
00:21:51 → 00:21:54 รักษาให้หายขาดไม่ได้การรักษาที่ว่าก็เลย
00:21:54 → 00:21:56 เป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการผมก็
00:21:56 → 00:21:59 พิจารณาจะให้ยาเคมีบำบัดให้กับคนไข้แต่
00:21:59 → 00:22:02 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่าผมไม่สามารถที่จะ
00:22:02 → 00:22:05 ให้ยาเคมีบำบัดได้เมื่อคนไข้เหลืองขึ้นพอ
00:22:05 → 00:22:06 คนไข้เหลืองขึ้นเนี่ยเราให้ยาไม่ได้เพราะ
00:22:07 → 00:22:09 ว่าการให้ยาเคมีบำบัดเนี่ยมันจะมีพิษต่อ
00:22:09 → 00:22:11 ตับการที่คนไข้เหลืองอยู่นะครับก็แปลว่า
00:22:11 → 00:22:13 ถ้ายิ่งให้ไปเนี่ยโอกาสที่จะตับไวนก็จะ
00:22:13 → 00:22:16 มากขึ้นผมก็คุยกับคนไข้ว่าตอนเนี้ยเดี๋ยว
00:22:16 → 00:22:19 จะหาทางในการระบายน้ำเหลืองออกให้หมดก่อน
00:22:19 → 00:22:21 นะเพื่อจะได้ให้ค่าเหลืองลงและให้ยาเคมี
00:22:21 → 00:22:23 บำบัดคนไข้ก็คุยกับผมพอเ้ารู้เป็นระยะ 4
00:22:24 → 00:22:27 ใช่มั้ผมก็บอกเขาเขาบอกว่าจะทันประมาณ
00:22:27 → 00:22:30 สซักเมษายนพฤษภาคมนี้มยผมถามว่าทำไมคนไข้
00:22:30 → 00:22:33 ก็บอกผมว่าพอดีลูกชายเรียนวิศวะปี 4 และ
00:22:33 → 00:22:36 จะจบะเขาอยากจะเห็นลูกเรียนจบก่อนแต่ตอน
00:22:36 → 00:22:38 ที่เ้าถามถามผมเนี่ยเป็นช่วงตุลาคม
00:22:38 → 00:22:41 พฤศจิกายนปี 67 นะฮะเขาก็ถามจะอยู่ถึง
00:22:41 → 00:22:43 กลางปี 68 หรือเปล่าประมาณนั้นแหละเพราะ
00:22:43 → 00:22:45 ว่าลูกเขาเรียนจบคือถ้าจากตามตัวโรคอ่ะนะ
00:22:46 → 00:22:48 ฮะถ้ามันเป็นระยะ 4 แล้วไม่ได้รักษาไม่
00:22:48 → 00:22:50 ให้ยาเคมีบำบัดเนี่ยเราเชื่อว่าการ
00:22:50 → 00:22:52 ประเมินคนไข้ในกลุ่มเนี้ย F year
00:22:52 → 00:22:54 Survival คือระยะเวลาในการอยู่รอดเมื่อ
00:22:54 → 00:22:56 ผ่านไป 5 ปีเนี่ยเอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่ง
00:22:56 → 00:22:59 ใน 5% เนี่ยหมายความว่าใน 5 ปีเนี่ยคน
00:22:59 → 00:23:01 กลุ่มเนี้ย 100 คนเนี่ยจะอยู่รอดอ่ะให้
00:23:01 → 00:23:05 แค่ 5 คน 95 คนเสียชีวิตแต่ใน 95 คนที่
00:23:05 → 00:23:06 เสียชีวิตไปในช่วง 5 ปีเนี่ยส่วนใหญ่จะ
00:23:06 → 00:23:08 ตายไปในประมาณ 6 เดือน - 1 ปีแรกประมาณ
00:23:08 → 00:23:11 สัก 80% ผมก็ไม่ได้บอกอะไรนะครับผมก็แค่
00:23:11 → 00:23:14 บอกเค้าว่าไม่เป็นไรรักษาไปก่อนเดี๋ยวรอ
00:23:14 → 00:23:17 ดูกันไปก่อนอย่าเพิ่งไปมองถึงข้างหน้า
00:23:17 → 00:23:21 ระยะยาวมากเค้าก็โอเคแต่ผมก็คุยกับสามี
00:23:21 → 00:23:24 เค้านะครับว่าจริงๆถ้าตามสถิติตามข้อมูล
00:23:24 → 00:23:27 เนี่ยอาจจะได้ถึงแค่เมษายนแต่อาจจะนาน
00:23:27 → 00:23:29 กว่านั้นก็ได้ถ้าเกิดว่ากำลังใจดี
00:23:29 → 00:23:32 โภชนาการดีเกิดมาได้รับยาเคมีบำบัดทัน
00:23:32 → 00:23:34 หรืออะไรอย่างเงี้ยครับก็เป็นอีกเรื่อง
00:23:34 → 00:23:36 นึงที่คุยกับคนไข้แล้วก็เอามาแชร์ให้ฟัง
00:23:36 → 00:23:39 ว่าเป็นยังไงอค่ะโอถามต่อเลยค่ะอย่างเวลา
00:23:39 → 00:23:42 เราเจอเคสของผู้ป่วยมะเร็งค่ะแพนด้าเองก็
00:23:42 → 00:23:45 จะเคยได้ยินเนาะที่หลายๆท่านจะบอกว่าอยู่
00:23:45 → 00:23:47 ได้ด้วยกำลังใจอ่ะคืออยู่ได้นานกว่าที่
00:23:47 → 00:23:50 คุณหมอประเมินอาการไว้กำลังใจมันมีผลต่อ
00:23:50 → 00:23:53 การหายเจ็บหายป่วยได้ยังไงอ่ะคะกำลังใจ
00:23:53 → 00:23:56 ที่ดีเนี่ยนะฮะมันจะทำให้ร่างกายมันไม่
00:23:56 → 00:23:58 เครียดคือเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายมันมี
00:23:58 → 00:24:01 ความเครียดนะฮะความเครียดเนี่ยมันจะทำให้
00:24:01 → 00:24:04 ร่างกายมันมีการหลั่งสารบางตัวในร่างกาย
00:24:04 → 00:24:06 นะฮะกระตุ้นทำให้มีการอักเสบซ้ำซ้ำไปซ้ำ
00:24:06 → 00:24:08 มาในร่างกายการอักเสบที่ว่าที่มันถูก
00:24:08 → 00:24:10 กระตุ้นขึ้นมาเนี่ยซ้ำไปซ้ำมาเนี่ยมันก็
00:24:10 → 00:24:13 จะทำให้เหมือนกับร่างกายเนี่ยฮะมะเร็งก็
00:24:13 → 00:24:15 ฆ่าไม่ได้แถมยังมีมะเร็งเกิดขึ้นใหม่
00:24:15 → 00:24:17 เซลล์มะเร็งก็จะถูกเกิดใหม่ขึ้นมาตลอด
00:24:17 → 00:24:18 เวลาเพราะฉะนั้นเนี่ยในกลุ่มคนไข้ที่
00:24:18 → 00:24:21 กำลังใจดีความเครียดต่างๆเขาคงมีน้อยดัง
00:24:21 → 00:24:24 นั้นเนี่ยเอ่อเรื่องของเคมีเรื่องของเอ่อ
00:24:24 → 00:24:26 metabolism เรื่องของฮอร์โมนต่างๆในร่าง
00:24:26 → 00:24:28 กายที่จะมามีผลในการทำให้ตัวมะเร็งมันแย่
00:24:28 → 00:24:30 ลงมันคงน้อยลงตามนะครับก็เลยเป็นเหตุผล
00:24:31 → 00:24:33 ที่ทำให้กลุ่มคนไข้ที่มีกำลังใจดีต่อสู้
00:24:33 → 00:24:36 กับตัวโรคมีความเครียดน้อยๆก็สามารถที่จะ
00:24:36 → 00:24:38 ยืนระยะอยู่ได้นานกว่าคนที่เป็นมะเร็ง
00:24:38 → 00:24:42 แล้วอาจจะรู้สึกเสหรือสึกแย่เอ่อยอมแพ้
00:24:42 → 00:24:44 อะไรอย่างเงี้ยครับออืค่ะคุณหมอน่าจะน่า
00:24:44 → 00:24:48 จะเคยรับหน้าที่ในการบอกผลกับคนไข้มาเยอะ
00:24:48 → 00:24:51 มากๆใช่ครับอ่าแล้วในเวลาที่คุณหมอต้อง
00:24:51 → 00:24:53 แจ้งคนไข้ว่าเค้ามีผลเป็นมะเร็งอย่าง
00:24:54 → 00:24:56 เงี้ยเป็นยังไงบ้างคะตอนนั้นผมพูดมะเร็ง
00:24:56 → 00:24:58 โดยรวมนะครับคืออันนี้เป็นการแจ้งข่าว
00:24:58 → 00:25:01 ร้ายนะครับเป็นอีกวิชานึงในทางการแพทย์
00:25:01 → 00:25:04 เลยที่เราต้องมีการสั่งสอนกันนะฮมีการอบ
00:25:04 → 00:25:06 รมกันตั้งแต่ตอนเรายังเรียนเป็นนิสิต
00:25:06 → 00:25:08 แพทย์อยู่การแจ้งข่าวร้ายในลักษณะแบบ
00:25:08 → 00:25:10 เนี้ยครับคืออันดับแรกเนี่ยเราต้อง
00:25:10 → 00:25:13 ประเมินคนไข้ก่อนคนไข้ของเราเนี่ยเป็นคน
00:25:13 → 00:25:15 ไข้กลุ่มไหนแบบไหนเราประเมินโดยจากภายนอก
00:25:15 → 00:25:17 หรือจากการที่เราคุยupักันมาหลายเดือนติด
00:25:17 → 00:25:20 ต่อกันเนี่ยเขาเป็นคนที่จะทนต่อความจริง
00:25:20 → 00:25:22 100% ได้หรือเปล่าถ้าเราประเมินดูแล้ว
00:25:22 → 00:25:24 ว่าทนได้ผมก็จะบอกข้อมูลที่เป็นความจริง
00:25:25 → 00:25:27 ไปเช่นถ้าเกิดมีคุณลุงคุณป้าคนไหนบอกมา
00:25:27 → 00:25:29 เลยว่าหมอถ้าเป็นมะเร็งก็พูดมาเลยนะไม่
00:25:29 → 00:25:31 ต้องมาบอกว่าเป็นอย่างอื่นพูดมาเลยป้าจะ
00:25:31 → 00:25:33 ได้รู้ลุงจะได้รู้ถ้าข้อมูลตรงเนี้ยผมจะ
00:25:33 → 00:25:36 บอกว่าโอเคคุณป้าเราพิสูจน์ชิ้นเนื้อแล้ว
00:25:36 → 00:25:37 นะครับชิ้นเนื้อเนี่ยมันเป็นเรื่องของ
00:25:37 → 00:25:39 เนื้องอกเนื้อไม่ดีเป็นเนื้อร้ายนะอ่า
00:25:39 → 00:25:42 อะไรแบบเนี้ยผมก็จะจะเลี่ยงคำว่ามะเร็งเ
00:25:42 → 00:25:44 จะพูดว่าเป็นเนื้อไม่ดีเป็นเนื้อร้ายอะไร
00:25:44 → 00:25:46 อย่างเงี้ยเป็นต้นแต่ถ้าเกิดคนไข้กลุ่ม
00:25:46 → 00:25:48 ไหนที่ผมประเมินดูแล้วว่ารับความจริงไม่
00:25:48 → 00:25:51 ได้ผมอาจจะไม่ได้บอกเค้าในณปัจจุบันขณะ
00:25:51 → 00:25:53 ตรงนั้นเลยผมอาจจะเลี่ยงเช่นผลชี้เนื้อ
00:25:53 → 00:25:56 ออกมาแล้วนะครับมันเป็นเนื้อที่เอ่อหมอดู
00:25:56 → 00:25:58 แล้วเป็นเนื้อไม่ค่อยดีเท่าไหร่ผมคิดว่า
00:25:58 → 00:26:01 คงต้องมีการรักษาอื่นๆต่อไปเดี๋ยวเราค่อย
00:26:01 → 00:26:03 มาคุยเรื่องการรักษากันนะครับว่าจะรักษา
00:26:03 → 00:26:06 ยังไงผมก็จะเรียกคำที่เขาไม่อยากได้ยินนะ
00:26:06 → 00:26:08 เพราะว่าในจุดๆนั้นเนี่ยการไม่รู้ความ
00:26:08 → 00:26:10 จริงเพียงแค่ชั่วขณะนึงตอนนั้นอาจจะเป็น
00:26:10 → 00:26:12 เรื่องที่ดีกับคนไข้แต่ท้ายที่สุดยังไงคน
00:26:12 → 00:26:14 ไข้ต้องรู้แล้วเราจะทำยังไงให้เขารู้บาง
00:26:14 → 00:26:16 ทีผมก็จะพอคนไข้ออกไปผมก็มักจะคุยกับญาติ
00:26:16 → 00:26:19 คนไข้ว่าโอเคพอดีผลชี้เนื้อนะของคุณแม่
00:26:19 → 00:26:21 เนี่ยเป็นมะเร็งอะไรอย่างเงี้ยครับของคุณ
00:26:21 → 00:26:24 ลุงคุณพ่อเขาเป็นมะเร็งนะครับลูกบางคนก็
00:26:24 → 00:26:26 จะบอกว่าไม่อยากให้พ่อแม่รู้ว่าตัวเอง
00:26:26 → 00:26:28 เป็นมะเร็งหมอไม่พูดได้มยต่อไปนี้แล้วฟอ
00:26:28 → 00:26:31 ไม่ต้องพูดเลยเรื่องมะเร็งเราจะเจอบ่อยนะ
00:26:31 → 00:26:32 ครับนี่ก็จะเป็นปัญหาที่ชallengอีกว่าสุด
00:26:32 → 00:26:34 ท้ายแล้วเราจะบอกคนไข้หรือเปล่าว่าเค้า
00:26:34 → 00:26:37 เป็นอะไรกันแน่ส่วนใหญ่ก็ดูที่บริบทของ
00:26:37 → 00:26:39 สถานการณ์นะครับดูที่คนไข้นะครับว่าคนไข้
00:26:39 → 00:26:41 พร้อมหรือเปล่าแล้วก่อนจะพูดเนี่ยมันไม่
00:26:41 → 00:26:44 ใช่การพูดเหมือนในละครในละครเนี่ยขอแสดง
00:26:44 → 00:26:47 ความเสียใจด้วยนะครับคุณเป็นมะเร็งช็อก
00:26:47 → 00:26:50 มั้ครับถ้าเกิดคนฟังได้ยินช็อกแน่นอนฮะ
00:26:50 → 00:26:52 แบบมาไม่ทันตั้งตัวอยู่ดีหมอก็ปึ้มใส่มา
00:26:52 → 00:26:54 100 เลยอะไรเงี้ยครับบางทีเราอาจจะต้อง
00:26:54 → 00:26:56 มีการตะล่อมไปพูดเรื่องอื่นก่อนเวลาคนไข้
00:26:56 → 00:26:58 มาหาผมเนี่ยถ้าเป็นมะเร็งนะผมจะดูผลเนี่ย
00:26:58 → 00:27:00 ทีแรกอยู่แล้วก่อนที่คนไข้จะเดินเข้ามา
00:27:00 → 00:27:01 ด้วยซ้ำผมจะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยววันนี้
00:27:02 → 00:27:03 ต้องแจ้งข่าวร้ายคนไข้ว่าเขาเป็นมะเร็งคน
00:27:04 → 00:27:06 ไข้มานั่งเสร็จปุ๊บผมจะคุณป้าเป็นไงวัน
00:27:06 → 00:27:10 นี้มายังไงกินข้าวมาหรือยังกินได้มยใครพา
00:27:10 → 00:27:14 มาลูกพามาเหรอแล้วกลับกับใครผมจะคุย
00:27:14 → 00:27:16 เรื่องอื่นก่อนแล้วอาการตอนนี้เป็นยังไง
00:27:16 → 00:27:18 บ้างนู่นนี่นั่นน่ะคนไข้เขาจะฟังให้เกิด
00:27:18 → 00:27:20 ความสบายใจก่อนพอคุยไปสักระยะนึงนะครับ
00:27:20 → 00:27:23 เราก็จะเกริ่นว่าเอ้อเนี่ยบางทีคุณป้าก็
00:27:23 → 00:27:25 จะเริ่มบ่นออกมาว่ารู้สึกว่ามันตอนนี้
00:27:25 → 00:27:27 เริ่มปวดท้องอืดแน่นท้องมากขึ้นนะอะไร
00:27:27 → 00:27:30 อย่างเงี้ยเริ่มแบบรู้สึกว่าการแย่ลงเรา
00:27:30 → 00:27:33 ก็จะบอกว่าอ๋อที่อาการมันแย่ลงนะครับคุณ
00:27:33 → 00:27:36 ป้าพอดีว่าวันนั้นที่เราส่องกล้องไปชิ้น
00:27:36 → 00:27:38 เนื้อมันออกมาแล้วดูแล้วชิ้นเนื้อไม่ค่อย
00:27:38 → 00:27:40 ดีเท่าไหร่นี้คำว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
00:27:40 → 00:27:43 เนี่ยเาค้าก็จะถามต่อแหละว่ามันเป็นอะไร
00:27:43 → 00:27:44 มันตกลงมันเป็นมะเร็งหรือเป็นเนื้อร้าย
00:27:44 → 00:27:46 หรือเป็นอะไรเค้าก็อยากให้เราเคลียร์
00:27:46 → 00:27:48 คลัทชใช่มั้ครับถ้าเค้าโอเคผมก็จะบอกไป
00:27:48 → 00:27:52 บอกว่าโอเคป้าชิ้นเนื้อมันดูแล้วเป็น
00:27:52 → 00:27:54 เนื้อไม่ดีพูดง่ายๆเลยนะถ้าภาษาชาวบ้าน
00:27:54 → 00:27:56 เรียกกันก็บอกว่าเป็นมะเร็งอ่าเขาก็จะรู้
00:27:56 → 00:27:59 สึกว่าโอเคมันมี soft landing ไม่ใช่เรา
00:27:59 → 00:28:01 ไม่ใช่แบบปึ้งโอเคป้ามาเลยเออผลชิเนื้อ
00:28:02 → 00:28:04 วันนั้นน่ะที่ตัดไป 2 อาทิตย์ที่แล้วอ่ะ
00:28:04 → 00:28:07 มะเร็งนะป้าดูแล้วน่าจะระยะ 3 แล้วล่ะ
00:28:07 → 00:28:09 อย่างี้ตกใจมั้ครับตกใจใช่มั้ยแต่ถ้าเรา
00:28:09 → 00:28:12 แบบค่อยๆไปเป็นสเต็ปเป็นระยะๆะค่อยๆแบบ
00:28:12 → 00:28:15 ให้เขาชินกับบรรยากาศชินกับสถานที่รู้
00:28:15 → 00:28:17 จังหวะเราทุกอย่างเนี่ยเขาก็จะค่อยๆซึม
00:28:17 → 00:28:20 ซับไปมีหลายๆครั้งนะฮะช่วงที่เราแวคนไข้
00:28:20 → 00:28:22 คือเราแนะนำคนไข้ว่าเขาเป็นมะเร็งนะพอเรา
00:28:23 → 00:28:24 บอกเขาเป็นมะเร็งเสร็จปุ๊บพอผมจะพูด
00:28:24 → 00:28:26 เรื่องแพนการรักษาต่อเนี่ยเหมือนกับทั้ง
00:28:26 → 00:28:29 โลกอ่ะมันหูดับไปเลยฮะคือคือดับยิ่งกว่า
00:28:29 → 00:28:32 กินพยาธหมูดิบอีกอ่ะคือคือเไม่ฟังฟังอะไร
00:28:32 → 00:28:35 เราต่อแล้วฮะเขาแบบอึ้งเงียบแล้วก็เหมือน
00:28:35 → 00:28:38 เขาเปฏิเสธอยู่ตกลงหมอหมอเช็คดีแล้วใช่
00:28:38 → 00:28:41 มั้ยชื่อชื่อพี่ป้าแน่ใช่มั้ชื่อลุงใช่
00:28:41 → 00:28:43 มั้ยอะไรอย่างเงี้ยฮะเไม่แน่ใจละว่าตกลง
00:28:43 → 00:28:45 จริงมยนี่หมอดูแล้วใช่มั้ยชัวร์แล้วใช่
00:28:45 → 00:28:48 มั้ยแล้วหูดับไม่ว่าผมจะอธิบายการรักษา
00:28:48 → 00:28:51 อะไรต่อไปเนี่ยไม่ฟังละจนต้องนัดมาใน
00:28:51 → 00:28:54 วิสิตหน้าในในรอบหน้าว่าเอ้ยคนไข้คนไข้
00:28:54 → 00:28:57 เป็นเป็นมะเร็งแล้วจะรักษายังไงเพราะรอบ
00:28:57 → 00:28:59 แรกคุยไม่รู้เรื่องละเแบบเหมือนเหมือน
00:28:59 → 00:29:02 ช็อกรับไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยครับออืค่ะออ
00:29:02 → 00:29:05 ออแต่ว่าจริงๆก็เวลาที่ถ้าสมมุติเราเป็น
00:29:05 → 00:29:08 แล้วเราทราบผลเอ่อมันก็คงใช้เวลาในการที่
00:29:08 → 00:29:10 จะดีลกับความรู้สึกแล้วก็ความจริงตรงนี้
00:29:10 → 00:29:13 ที่เป็นความจริงที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
00:29:13 → 00:29:15 แต่ว่าเมื่อเราตั้งหลักได้แล้วเราก็จะ
00:29:15 → 00:29:18 เข้าสู่กระบวนการรักษาใช่มั้ยคะซึ่งมันก็
00:29:18 → 00:29:20 เป็นผลดีกับเราถูกต้องครับผมฝากไปเลยว่า
00:29:20 → 00:29:23 บางคนเนี่ยเข้าใจว่าเป็นมะเร็งเท่ากับตาย
00:29:23 → 00:29:24 เป็นมะเร็งเท่ากับหมดทางรักษาอันนี้ไม่
00:29:25 → 00:29:27 จริงการแพทย์ปัจจุบันเนี่ยการแพทย์สมัย
00:29:27 → 00:29:30 ใหม่ปัจจุบันเนี่ยการรักษาดีขึ้นมากนะฮะ
00:29:30 → 00:29:32 ทุกโรคเลยโดยเฉพาะโรคมะเร็งนะฮะฮะเพราะ
00:29:32 → 00:29:33 ฉะนั้นแล้วการใช้คำว่าเป็นมะเร็งเท่ากับ
00:29:33 → 00:29:35 ตายลูกเดียวอันนี้ไม่จริงนะครับเพราะ
00:29:35 → 00:29:37 ฉะนั้นผมคิดว่าถ้าคนไหนที่เพิ่งได้รับการ
00:29:37 → 00:29:40 วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือว่ากำลังกังวล
00:29:40 → 00:29:42 อยู่ว่าจะเป็นมะเร็งแล้วจะทำยังไงให้ตั้ง
00:29:42 → 00:29:45 สติดีๆคิดว่าการที่เราจะเป็นโรคอะไรก็
00:29:45 → 00:29:47 แล้วแต่ในณปัจจุบันเนี่ยนะครับมันมีรูป
00:29:47 → 00:29:50 แบบหรือวิธีการรักษาหมดจะดีมากดีน้อยไม่
00:29:50 → 00:29:52 เป็นไรแต่ให้อยู่ในกระบวนการการรักษาอย่า
00:29:52 → 00:29:55 ถอดใจครับอค่ะโออีกอันนึงที่น่าสนใจมาก
00:29:55 → 00:29:58 คือบางท่านที่รู้แล้วอันนี้ก็แปลว่าได้พา
00:29:58 → 00:30:02 ตัวเองไปตรวจละแต่ก็จะมีอีกบางท่านที่อาจ
00:30:02 → 00:30:05 จะเริ่มมีอาการแต่ก็จะมีคำพูดที่บอกว่า
00:30:05 → 00:30:08 ไม่ตรวจก็ไม่เจอไม่ตรวจก็ไม่เป็นแต่คุณ
00:30:08 → 00:30:11 หมอก็อยากจะแนะนำว่าจริงๆมาตรวจแล้วรักษา
00:30:11 → 00:30:14 เถอะใช่มั้คะคำว่าไม่ตรวจไม่เจอก็คงใช่
00:30:14 → 00:30:16 เพราะว่าถ้าไม่ตรวจเราก็คงไม่รู้หรอกว่า
00:30:16 → 00:30:18 เป็นมะเร็งใช่มั้ครับแต่ว่าไม่ตรวจอาจจะ
00:30:18 → 00:30:20 อาจจะตุยไปเลยตั้งแต่ทีแรกก็คือไม่รู้เลย
00:30:20 → 00:30:23 ก็ได้นะฮะเพราะว่ามาอีกทีนึงก็คือคงเป็น
00:30:23 → 00:30:26 ระยะที่มันไกลๆละไม่ได้ละเพราะฉะนั้นแล้ว
00:30:26 → 00:30:28 เนี่ยถ้ามีอาการตั้งแต่เริ่มแรกแล้วไม่
00:30:28 → 00:30:31 แน่ใจมาหาหมอเถอะครับไม่มีแบบว่าหมอหมอคน
00:30:31 → 00:30:33 ไหนที่จะเกี่ยงหรือว่าปฏิเสธคนไข้หรอกที่
00:30:33 → 00:30:35 คนไข้เดินเข้ามาในโรงพยาบาลมาถามอาการมา
00:30:35 → 00:30:36 ตรวจกับเรานู่นนี่นั่นซึ่งมันเป็นเรื่อง
00:30:37 → 00:30:39 ดีซะอีกนะครับว่าเจอก่อนรักษาก่อนหายก่อน
00:30:39 → 00:30:42 หายไวกว่าอะไรอย่างเงี้ยครับอืค่ะก็ถ้ามา
00:30:42 → 00:30:45 ก็มีโอกาสหายแต่ถ้าไม่มาเนี่ยไม่หายแน่
00:30:45 → 00:30:48 นอนอโอเคค่ะแล้วอยากถามเพิ่มค่ะว่าแล้วคน
00:30:48 → 00:30:51 ไข้ที่อยู่ได้นานกว่าการประเมินของคุณหมอ
00:30:51 → 00:30:54 ที่มีกำลังใจดีอ่ะคนไข้เคยมาแบบบอกคุณหมอ
00:30:54 → 00:30:57 มั้คะว่าคนไข้ใช้วิธีไหนในการที่จะสร้าง
00:30:57 → 00:30:59 กำลังใจของเขาอ่ะค่ะโอเคคือแต่ละคนเนี่ย
00:31:00 → 00:31:02 จะมีในการสร้างกำลังใจแต่ละคนไม่เหมือน
00:31:02 → 00:31:04 กันนะบางคนเนี่ยจะมีกำลังใจขึ้นได้เนี่ย
00:31:04 → 00:31:07 ต้องมาจากคนอื่นนะจากลูกหลานบางคนเนี่ย
00:31:07 → 00:31:10 กำลังใจจะถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเองนะครับ
00:31:10 → 00:31:12 คือตัวเองเสร้างมันขึ้นมาแต่ละคนมีความ
00:31:12 → 00:31:14 แตกต่างกันที่ผมเคยเจอก็จะมีบางคนเนี่ยคน
00:31:14 → 00:31:16 ส่วนใหญ่เนอายุจะเยอะคนที่เป็นมะเร็งใช่
00:31:16 → 00:31:18 มั้ยครับเขาจะมีความรู้สึกว่าเค้าเนี่ย
00:31:18 → 00:31:20 อยากอยู่ต่อเพื่อที่อย่างน้อยๆเนี่ยอย่าง
00:31:20 → 00:31:23 ที่ผมบอกเนาะอยากเห็นลูกเรียนจบอยากเห็น
00:31:23 → 00:31:25 หลานเนี่ยเรียนจบอยากเห็นหลานแต่งงานอยาก
00:31:25 → 00:31:27 เห็นลูกแต่งงานก่อนเออลูกสะใภ้ท้องอยู่
00:31:27 → 00:31:30 อยากอุ้มหลานคนแรกซึ่งเราจะเจอบ่อยที่คน
00:31:30 → 00:31:32 ไข้เนี่ยเขารู้สึกว่าเขามีแรงฮึดตรงเนี้ย
00:31:32 → 00:31:34 ที่อยากจะอยู่ต่อมันก็เลยเป็นเหตุผลที่พอ
00:31:34 → 00:31:36 เขามีแรงฮึดที่เขาอยากจะอยู่ต่อเนี่ยนะ
00:31:36 → 00:31:39 ครับกำลังใจดีไซตมันดีละoutไซideมันจะดี
00:31:39 → 00:31:42 ตามมาเขาก็จะไปหาวิธีการในการดูแลตัวเอง
00:31:42 → 00:31:44 ออกกำลังกายเบาๆเท่าที่ออกได้เลือกกิน
00:31:44 → 00:31:46 อาหารที่ดีอาหารที่เหมาะสมอาหารที่ไม่ทำ
00:31:46 → 00:31:49 ร้ายตัวเองไม่เครียดไม่กังวลซึ่งทั้งหมด
00:31:49 → 00:31:50 เนี่ยนะครับมันก็จะเป็นองค์ประกอบที่ทำ
00:31:50 → 00:31:53 ให้ตัวโรคเนี่ยมันอาจจะชะลอลงในเรื่องของ
00:31:53 → 00:31:56 ความรุนแรงแล้วก็ระยะเวลาในการยืนอยู่ของ
00:31:56 → 00:31:58 ตัวชีวิตเนี่ยมันก็ยาวขึ้นอ่าก็แปลว่า
00:31:58 → 00:32:00 กำลังใจเนี่ยแต่ละคนมีวิธีสร้างต่างกัน
00:32:00 → 00:32:02 แต่ว่าอย่างนึงที่คุณหมอบอกมาเมื่อกี้
00:32:02 → 00:32:04 แล้วแพนด้าว่าน่าจะสำคัญมากๆคือ live
00:32:05 → 00:32:07 with purpose คืออยู่ด้วยจุดประสงค์
00:32:07 → 00:32:09 อะไรเนาะใช่ครับเออพอเรารู้ว่าเราจะอยู่
00:32:09 → 00:32:12 เพื่ออะไรเราก็จะหาวิธีที่จะทำให้เราอยู่
00:32:12 → 00:32:14 ต่อไปได้แต่อยู่แต่อยู่เพื่ออะไรเนี่ย
00:32:14 → 00:32:17 อย่าอย่าอยู่เพื่อใครอืผมไม่ให้แบบอยู่
00:32:17 → 00:32:19 เพื่อใครนะคือการอยู่เพื่อคนอื่นไม่ใช่
00:32:19 → 00:32:21 ความยั่งยืนต้องอยู่เพื่อตัวเองเพราะว่า
00:32:21 → 00:32:23 เราต้องทำให้ตัวเองเนี่ยมันมีความสุข
00:32:24 → 00:32:26 เพราะสุดท้ายร่างกายมันจะเหลือแค่เราถ้า
00:32:26 → 00:32:28 เราไม่มีความสุขตั้งแต่ตอนนี้นะครับเราทำ
00:32:28 → 00:32:30 ให้คนอื่นพอใจหรือเราอยู่เพื่อคนอื่นคาด
00:32:30 → 00:32:32 หวังว่าอยากจะให้คนอื่นเป็นแบบนั้นแบบนี้
00:32:32 → 00:32:34 แล้วจะดีไม่ใช่จริงๆแล้วต้องอยู่ที่ตัว
00:32:34 → 00:32:36 เราคือเราต้องอยู่เพื่อตัวเองให้ตัวเองมี
00:32:36 → 00:32:38 ความสุขให้ดื่มด่ำกับความสุขของตัวเองการ
00:32:38 → 00:32:41 มีครอบครัวที่ดีการมีอาหารกินที่อร่อย
00:32:41 → 00:32:43 อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนั้นเนี่ยมัน
00:32:43 → 00:32:45 เหมือน appreciate ในชีวิตให้ชีวิตมีความ
00:32:45 → 00:32:47 สุขเพราะฉะนั้นการที่จะอยู่ live with
00:32:47 → 00:32:49 purpose หรืออะไรทั้งหลายแหล่เนี่ยครับ
00:32:49 → 00:32:51 มันควรจะ living for myself คือเราต้อง
00:32:51 → 00:32:54 อยู่เพื่อตัวเองก่อนพอเราทำให้ตัวเองให้
00:32:54 → 00:32:55 ดีอันนี้ผมพูดโดยรวมไม่ใช่เรื่องของการ
00:32:55 → 00:32:58 เจ็บป่วยนะฮะถ้าเราอยู่แล้วตัวเองเรามี
00:32:58 → 00:33:01 ความสุขเราแฮปปี้ชีวิตเราดีแล้วเราจะมี
00:33:01 → 00:33:02 ความรู้สึกว่าเราอยากจะแชร์สิ่งเนี้ยออก
00:33:03 → 00:33:05 ไปข้างนอกถ้าข้างในเรายังไม่ดีเนี่ยนะเรา
00:33:05 → 00:33:08 จะพ่นแต่ความ toxic ออกไปแต่ถ้าข้างในเรา
00:33:08 → 00:33:11 ดีเนี่ยถ้าข้างในเราเรามี good mind
00:33:11 → 00:33:13 ทั้งหลายแหล่เนี่ยมันจะมี positive a
00:33:13 → 00:33:15 การที่มี positive a เนี่ยมันก็จะดึงดึง
00:33:16 → 00:33:18 ดูดแต่สิ่งดีๆเข้ามาเราไปเราก็จะแชร์แต่
00:33:18 → 00:33:20 positive aa ไปให้คนอื่นด้วยเคยมีคำพูด
00:33:20 → 00:33:23 นึงนะเขาบอกผมชอบมากเลยผมอ่านในหนังสือ
00:33:23 → 00:33:26 เขาบอกว่าให้ไปอยู่กับคนที่ทัศนคติที่ดี 5
00:33:26 → 00:33:28 คนแล้ววันนึงเราจะกลายเป็นคนที่ 6 คือแบบ
00:33:28 → 00:33:30 นั้นเลยฮะคือการที่เราเป็นคนที่ดีดีจาก
00:33:30 → 00:33:33 ภายในดีจากตัวเองความคิดดีอะไรดีทุกอย่าง
00:33:33 → 00:33:36 ดีกำลังใจสร้างขึ้นจากตัวเองทัศนคติที่ดี
00:33:36 → 00:33:38 เนี่ยมันก็จะทำให้เราเนี่ยไปอยู่ที่ไหนคน
00:33:38 → 00:33:40 ก็จะรักเราคนก็จะชอบเราเราอยู่ที่ไหนก็
00:33:40 → 00:33:42 แฮปปี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้อะไรประมาณ
00:33:42 → 00:33:45 เนี้ยครับอจากที่คุยกันมาทั้งหมดเนาะ
00:33:45 → 00:33:48 เริ่มจากพยาธการกินที่อาจจะมีพยาธไม่ว่า
00:33:48 → 00:33:51 จะเป็นพยาธตัวตืดหมูพยาธใบไม้ตับพยาธปาก
00:33:51 → 00:33:53 ขอหรืออะไรก็ตามจริงๆไม่ว่าจะพยาธไหนอ่ะ
00:33:53 → 00:33:55 ก็อย่าให้เข้าสู่ร่างกายเลยเพราะว่าจริงๆ
00:33:55 → 00:33:58 ร่างกายของคนเราเนี่ยไม่ควรจะมีพยาธถูก
00:33:58 → 00:34:00 ต้องครับค่ะแล้วก็ไปดูแลตัวเองกันในส่วน
00:34:00 → 00:34:03 นวมถึงถ้าเจ้าพยาธใบไม้ตับเนี่ยได้เข้า
00:34:03 → 00:34:06 สู่ร่างกายแล้วไปที่ท่อน้ำดีเนี่ยก็อาจจะ
00:34:06 → 00:34:08 ทำให้เป็นมะเร็งท่อน้ำดีได้ซึ่งไอ้เจ้า
00:34:08 → 00:34:09 มะเร็งทอดน้ำดีเนี่ยความน่ากลัวคือเราไม่
00:34:10 → 00:34:12 รู้ตัวรู้อีกทีนึงก็อาจจะแบบกระจายเป็น
00:34:12 → 00:34:15 ระยะที่ลุกลามแล้วเพราะฉะนั้นก็อยากให้
00:34:15 → 00:34:17 สังเกตอาการตัวเองกันแล้วก็ถ้าป่วยหรือ
00:34:17 → 00:34:20 ถ้าเริ่มรู้สึกว่าเริ่มไม่ปกติของตัวเอง
00:34:20 → 00:34:23 ละก็อยากให้ไปหาคุณหมออ่าอย่าอย่าฝืนหรือ
00:34:23 → 00:34:24 อย่ารู้สึกว่าเออไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็
00:34:24 → 00:34:27 ตายอันนี้ก็มันก็จะไม่เหมือนกันเนาะอ่า
00:34:27 → 00:34:29 ยังไงก็พาตัวเองไปสู่ขั้นตอนการรักษาถึง
00:34:29 → 00:34:32 แม้ว่าเราอาจจะรู้สึกว่าบางความจริงน่า
00:34:32 → 00:34:35 กลัวจังเลยหรือบางความจริงไม่อยากเจอเลย
00:34:35 → 00:34:38 แต่ว่าถ้าเราก้าวข้ามผ่านความจริงตรงนั้น
00:34:38 → 00:34:40 ไปได้มันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้มี
00:34:40 → 00:34:43 ชีวิตต่อถูกต้องค่ะเออค่ะโอวันนี้ได้อะไร
00:34:43 → 00:34:45 ดีๆเยอะมากๆค่ะรวมถึงอาหารการกินเนาะ
00:34:45 → 00:34:47 อย่างที่บอกเช็คๆกันไปอ่าแซ่บๆเลยหลายๆ
00:34:47 → 00:34:50 อย่างใช่ครับก็ก็ก็ต้องระวังอย่างที่บอก
00:34:50 → 00:34:52 ครับเรื่องของการเข้าใจผิดเรื่องของอาหาร
00:34:53 → 00:34:55 การกินบางอย่างการทำแบบนั้นแล้วแปลว่าจะ
00:34:55 → 00:34:57 ไม่เป็นแบบนี้หรืออะไรอย่างเงี้ยซึ่งจริง
00:34:57 → 00:34:59 ๆเนี่ยถ้าดีที่สุดเนี่ยนะครับปรึกษาแพทย์
00:34:59 → 00:35:02 เลยครับเพราะว่าอย่างที่มีคำพูดเชื่อหมอ
00:35:02 → 00:35:04 หมอเรียนมาอารมณ์ประมาณนั้นเลยครับเพราะ
00:35:04 → 00:35:06 ว่าเราเรียนมาเรารู้มาว่าทำแบบเนี้ยจะดี
00:35:06 → 00:35:09 หรือไม่ดีทำแบบนี้จะดีกับร่างกายทำแบบนี้
00:35:09 → 00:35:11 จะไม่ดีกับร่างกายของเราอค่ะจริงๆเนาะ
00:35:11 → 00:35:13 หลายๆท่านอาจจะฟังหลายๆรายการแล้วก็หลายๆ
00:35:14 → 00:35:16 คุณหมอหลายๆอาจจะสับสนได้ค่ะว่าเอ้ยห้าม
00:35:16 → 00:35:19 นั่นห้ามนี่แต่จริงๆสุดท้ายแล้วเนี่ยคือ
00:35:19 → 00:35:22 กลับมาใส่ใจกิจวัตรเนาะการนอนการออกกำลัง
00:35:22 → 00:35:25 การกินให้ดีทุกอย่างจริงๆไม่ใช่แค่โรคนี้
00:35:25 → 00:35:26 หลายๆโรคก็จะไม่เกิดขึ้นด้วยเพราะว่าจริง
00:35:26 → 00:35:28 ๆอีกอย่างนึงก็คือความเครียดอย่างที่คุณ
00:35:28 → 00:35:30 หมอบอกว่าไอ้ความเครียดเนี่ยน่ากลัวที่
00:35:30 → 00:35:32 สุดแล้วถึงแม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดโรคโดย
00:35:32 → 00:35:34 ตรงแต่เป็นตัวการนึงที่จะทำให้โรคเนี่ย
00:35:34 → 00:35:37 อยู่ยั่งยืนยงได้เลยถูกต้องครับหายช้านะ
00:35:37 → 00:35:40 ครับหรือว่าเป็นหนักกว่าเดิมอืวันนี้ก็
00:35:40 → 00:35:43 ต้องขอขอบคุณคุณหมอสุ๋ยจากช่องเอกนะคะ
00:35:43 → 00:35:44 แล้วก็ฝากกดไลก์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ทีม
00:35:44 → 00:35:46 งานเกลาด้วยนะคะคอมเมนต์บอกกันได้นะว่า
00:35:47 → 00:35:48 อยากฟังอะไรจากคุณหมอสุยแล้วก็แพนด้าอีก
00:35:48 → 00:35:51 นะเดี๋แพนด้ามาถามให้แล้วก็ก่อนจากไปวัน
00:35:51 → 00:35:53 นี้ค่ะเกลามีเสื้อมามอบให้คุณหมออีกค่ะ
00:35:53 → 00:35:56 ครับขอบคุณนะครับเสื้อเกลาเราค่ะเอาไว้
00:35:56 → 00:36:01 ใส่อ่าไว้กินอาหารดีๆแล้วกัน
00:36:01 → 00:36:03 ใส่ไว้เตือนตัวเองใช่ๆค่ะอ่าแล้วก็ถ้า
00:36:03 → 00:36:05 ท่านผู้ชมคนไหนนะคะสนใจเสื้อเกลาแบบนี้นะ
00:36:05 → 00:36:07 คะก็สั่งซื้อได้ที่ใต้ description นี้
00:36:07 → 00:36:10 เลยนะคะสามารถคลิกได้ง่ายๆเลยค่ะแล้วก็
00:36:10 → 00:36:12 ยังมีกระเป๋าผ้านะคะแล้วก็หมวกเกลาด้วย
00:36:12 → 00:36:14 ฝากอุดหนุนพวกเราด้วยนะคะอันนี้ให้คุณหมอ
00:36:14 → 00:36:17 เลยค่ะครับขอบคุณขอบคุณนะคะสวัสดีครับ
00:36:17 → 00:36:20 ขอบคุณค่ะ
00:36:20 → 00:36:39 [เพลง]