00:00:00 → 00:00:02 ทำไมมนุษย์ต้องรู้ประวัติศาสตร์
00:00:02 → 00:00:05 ประวัติศาสตร์จริงๆแล้วควรจะให้เด็กเริ่ม
00:00:05 → 00:00:08 เรียนตั้งแต่อายุเท่าไหร่อนาคตพอเโตเนี่ย
00:00:08 → 00:00:11 มันจะมีผลยังไงตทำยังไงดีให้เด็กเขาเริ่ม
00:00:11 → 00:00:14 สนใจมันเป็นเรื่องอดีตเรื่องวันนี้มันไม่
00:00:14 → 00:00:17 สามารถเอามาใช้ได้เด็กไทยเราเนี่ยมีความ
00:00:17 → 00:00:20 รู้ประวัติศาสตร์ประเทศและประวัติศาสตร์
00:00:20 → 00:00:23 รอบโลกมากน้อยแค่ไหนนักศึกษาที่เรียนมาใน
00:00:23 → 00:00:26 ระบบไทยทั้งหมดเนี่ยคุณชินกับต้องท่องจำ
00:00:26 → 00:00:30 เรื่องๆนึงเนี่ย 2 จนมองไม่เหมือนกันให้ 2
00:00:30 → 00:00:33 ฝ่ายเนี่ยเวลาเสพเรื่องประวัติศาสตร์
00:00:33 → 00:00:35 เนี่ยมันไม่ใช่แค่เรารู้อืแต่เราต้อง
00:00:35 → 00:00:38 ตระหนักว่าเฮ้ยมันมันสำคัญยังไงสิ่งที่
00:00:38 → 00:00:42 สำคัญกว่าประวัติศาสตร์จริงๆแล้วคือการ
00:00:42 → 00:00:45 เขียนประวัติศาสตร์เพหอจดหมายเหตุหอ
00:00:45 → 00:00:47 จดหมายเหตุแห่งชาติมีใครรู้มยว่าอยู่ที่
00:00:47 → 00:00:50 ไหนิงๆรู้สึกผิดทันทีเลยครับคุณูต้องรู้
00:00:50 → 00:00:53 สึกผิดแล้วค่ะนักศึกษาหลายๆคนเลยมาเรียน
00:00:53 → 00:00:56 ปริญญาตรีที่มหิดลแล้วก็ถามแบบไม่รู้ว่า
00:00:56 → 00:00:59 จะทำอะไรต่อไปอืแล้วมันไปโยงกับ
00:00:59 → 00:01:02 ประวัติศาสตร์ได้ยังไงถ้าคุณครูอยากจะ
00:01:02 → 00:01:05 เปลี่ยนระบบการเรียนการสอนของ
00:01:05 → 00:01:09 ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยสมมุติค่ะคุณู
00:01:09 → 00:01:12 อยากจะเปลี่ยนอะไรครับคนเราบอกมาโซเชียล
00:01:12 → 00:01:16 Media บอกมาเราต้องเชื่อ 100% ไหมเราดู
00:01:16 → 00:01:18 ก่อนมว่ามันมาจากใครเนี่ยค่ะ
00:01:18 → 00:01:21 historiography มันมาจากใครถ้าเรามีความ
00:01:21 → 00:01:24 รู้เรื่องประวัติศาสตร์มากขึ้นเราน่าจะ
00:01:24 → 00:01:27 สามารถแก้ปัญหาหรือ prevent ไม่ให้มัน
00:01:27 → 00:01:30 เกิดขึ้นไม่ให้ปัญหาหรือคอนฟลิกมันเกิด
00:01:30 → 00:01:33 ขึ้นได้อาจจะได้ดีกว่านี้ก็ได้ค่ะสำหรับ
00:01:33 → 00:01:36 ผมเป็นหนึ่งในพแสที่ผมประทับใจมากๆแลผม
00:01:36 → 00:01:40 ถือว่าหมอชนคุยเนี่ยที่ตั้งใจทำมาเนี่ย
00:01:40 → 00:01:45 วันนี้เป็นตอนที่บรรลุระดับนึง
00:01:45 → 00:01:48 เลยสวัสดีครับเป็นเกียรติอย่างยิ่งขอต้อน
00:01:48 → 00:01:53 รับผู้ช่วยศาสดาจารย์ดรณัฐนารี
00:01:53 → 00:01:56 โพธิ์ศรีทองด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิลัย
00:01:56 → 00:02:00 มหิดลประวัติศาสตร์เป็นอะไรที่
00:02:00 → 00:02:06 1 น่าเบื่อ 2 เด็กเข้าไปก็หลับ 3 ถึงแม้
00:02:06 → 00:02:10 จะไม่หลับก็ท่องจำเพื่อมาสอบแล้วสอบเสร็จ
00:02:10 → 00:02:15 ก็ตัวใครตัวมันได้คะแนนละค่ะอันนี้คือ
00:02:15 → 00:02:17 สิ่งที่เราเข้าใจกันมาตลอดเกี่ยวกับ
00:02:17 → 00:02:21 ประวัติศาสตร์เข้าใจค่ะทีนี้คุณครูไปไป
00:02:21 → 00:02:25 หลงกลหรือไปชอบประวัติศาสตร์ได้ยังไร
00:02:25 → 00:02:30 ค่ะจริงๆตอนเด็กๆ
00:02:30 → 00:02:33 เอิ่มตั้งแต่ไปอยุธยาครั้งแรกแล้วก็รู้
00:02:33 → 00:02:36 สึกหลงรักอันนี้อาจจะเป็นความส่วนตัวนิด
00:02:36 → 00:02:39 นึงมีความคิดว่าโอ้เราเคยเกิดอยู่ที่นี่
00:02:39 → 00:02:41 มาก่อนหรือเปล่าแต่ก็ไม่ไม่ได้ว่า
00:02:41 → 00:02:44 spiritual อะไรขนาดนั้นนะคะแต่ว่ารู้สึก
00:02:44 → 00:02:47 ชอบแล้วก็แล้วก็ไปได้ไม่เบื่อชอบโบราณ
00:02:47 → 00:02:52 สถานอ่ามแล้วพอได้มีโอกาสได้ได้ท่อง
00:02:52 → 00:02:54 เที่ยวมันก็ยิ่งรู้สึกว่าเราเวลาเราไป
00:02:54 → 00:02:57 เที่ยวแล้วเราอยากรู้ว่าที่เนี่ยมันมีที่
00:02:57 → 00:03:00 มาที่ไปอะไรยังไงอ่ะค่ะแต่ก็อย่างที่บอก
00:03:00 → 00:03:04 ว่าตอนตอนเด็กๆก็คืออยู่ในระบบไทยมาตลอด
00:03:04 → 00:03:07 เอ่อก็เรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบไทยซึ่ง
00:03:07 → 00:03:10 เราก็เก่งเพราะว่าเราก็ Enjoy เราก็ชอบ
00:03:10 → 00:03:13 ถึงแม้มันจะเป็นประวัติศาสตร์แบบด้าน
00:03:13 → 00:03:17 เดียวแต่เราก็เราก็เราก็รู้สึกว่าเราชอบ
00:03:17 → 00:03:19 ที่
00:03:19 → 00:03:23 จะเรียนรู้ต่อไปแต่จุดที่มันน่าจะพลิก
00:03:23 → 00:03:27 จริงๆก็คือได้ไปได้ไปเรียนที่อิตาลีค่ะ
00:03:27 → 00:03:32 ได้ไปอยู่อิตาลีแล้วแน่นอนมันมันคือดิน
00:03:32 → 00:03:36 แดนของประวัติศาสตร์แบบแบบว่าตั้งแต่ยุค
00:03:36 → 00:03:40 โรมันใช่มั้ยคะแล้วก็แต่นอกจากสถานที่ที่
00:03:40 → 00:03:44 มัน attractive แล้วอ่ะมันก็เป็นการได้ไป
00:03:44 → 00:03:48 เรียนแบบฝรั่ง
00:03:49 → 00:03:54 ที่ครูเ้าไม่ได้แค่สอนให้เรารู้ 1 234
00:03:54 → 00:03:57 แต่เขาสอนให้เราคิดวิเคราะห์เป็นครั้งแรก
00:03:57 → 00:04:00 อแล้วก็เปเปอร์แรกจำได้ว่าที่เขียนออกมา
00:04:00 → 00:04:04 ก็คือเกือบตกอืเพราะว่าอาจารย์เถามเรื่อง
00:04:05 → 00:04:08 สงครามโรคครั้งที่ 1 แต่แบบว่าเหตุผลอะไร
00:04:08 → 00:04:11 ที่ทำให้เกิดสงครามโรคครั้งที่ 1 แต่เรา
00:04:11 → 00:04:14 เขียนอธิบายสงครามโรคครั้งที่ 1 เกิดขึ้น
00:04:14 → 00:04:16 ยังไงยังไงอะไรอะไรยังไง
00:04:16 → 00:04:20 เอิ่มแล้วมันก็คือไม่ได้ตอบคำถาม
00:04:20 → 00:04:24 แต่คุณครูเป็นครูที่น่ารักมากค่ะเคเค้าอด
00:04:24 → 00:04:27 ทนจะให้คำว่าอดทนเพราะเค้าอดทนค่อยๆ
00:04:27 → 00:04:32 อธิบายให้เราฟังว่าอันนี้นะนัูจะต้อง
00:04:32 → 00:04:35 โฟกัสอย่างงี้อย่างงี้นี่คือการวิเคราะห์
00:04:35 → 00:04:38 เราต้องอ่านมาแล้วเราก็จะได้วิเคราะห์ได้
00:04:38 → 00:04:42 เราก็เลยได้รู้ว่าอ๋อมันเป็นอย่างงี้
00:04:42 → 00:04:45 เอิ่มพอพๆมันมันวิเคราะห์
00:04:45 → 00:04:49 ได้ก็รู้สึกว่าอสนุกสนุกมากขึ้นค่ะแล้วก็
00:04:49 → 00:04:51 อย่างที่บอกมันมันก็มีองค์ประกอบของสถาน
00:04:51 → 00:04:55 ที่แล้วก็ครูด้วยที่มันช่วยส่งเสริมกันอ
00:04:55 → 00:04:59 แล้วก็สุดท้ายก็คือจุดที่บอกว่าครั้งแรก
00:04:59 → 00:05:03 ที่ได้เห็นเอกสารชั้นต้นที่ได้ไป
00:05:03 → 00:05:07 อคฟหรือหอจดหมายเหตุได้ไปที่อังกฤษตอน
00:05:07 → 00:05:11 นั้นเรียนเป็นยาโทค่ะอือ
00:05:11 → 00:05:16 แล้วรู้สึกตื่นเต้นว่านี่คือเอกสารที่เ
00:05:16 → 00:05:19 เขียนมาตั้งแต่ยุคนั้นจริงๆเหรอแล้วมัน
00:05:19 → 00:05:20 อยู่ในมือ
00:05:20 → 00:05:27 เรามันก็เลยกลายเป็นความคิดที่เราจะต้อง
00:05:27 → 00:05:31 pursue ไปต่อกับด้านนี้ให้ให้ถึงที่สุด
00:05:31 → 00:05:35 ค่ะเพื่อเราจะได้เผยแพร่ความรู้นั้นให้
00:05:35 → 00:05:39 กับให้กับคนอื่นๆด้วยคุณครูรู้เมื่อ
00:05:39 → 00:05:43 ไหร่ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลยเกิด
00:05:43 → 00:05:45 มาเพื่อสิ่งนี้เลยเหรอค่ะ
00:05:45 → 00:05:49 ใช่ก็น่าจะเป็นช่วงท้ายๆของการเรียน
00:05:49 → 00:05:52 ปริญญาตรีอ่ะค่ะที่ตอนนั้นรู้เลยว่าใช่ละ
00:05:53 → 00:05:55 จริงๆแล้วตอนเรียนปริญญาตรีเรียน
00:05:55 → 00:05:58 สังคมศาสตร์สมัยนั้น Mu ก็มีสังคมศาสตร์
00:05:58 → 00:06:02 ใช่มั้ยคะตั้งใจจะเป็นทูตอืมันเป็นความ
00:06:02 → 00:06:07 ใฝ่ฝันอยากเป็นทูตแต่ว่าพอเราในในการ
00:06:07 → 00:06:10 เรียนสังคมศาสตร์ก็มีเรียนประวัติศาสตร์
00:06:10 → 00:06:13 ด้วยเราก็ได้รู้ว่าเอ๊เราเราเราชอบเราชอบ
00:06:13 → 00:06:17 การเรียนประวัติศาสตร์มากที่สุดอืเมื่อ
00:06:17 → 00:06:21 เราเปรียบเทียบกับทุกๆวิชาสังคมศาสตร์ใน
00:06:21 → 00:06:25 ด้านในในในในฟิลอื่นน่ะค่ะเพราะ
00:06:25 → 00:06:30 ว่ามันน่าตื่นเต้นอืมันมันมีอะไรที่ให้
00:06:30 → 00:06:33 น่าค้นขาค้นหาแล้วยิ่งเราเรียนเข้าไปเรา
00:06:33 → 00:06:36 ยิ่งรู้สึกว่าตัวเราเล็กลงความรู้เรามัน
00:06:36 → 00:06:39 น้อยลงอืออือคือคุณหมอเข้าใจใช่มั้ยคะว่า
00:06:39 → 00:06:43 เขใว่ายิ่งเราค้นเยอะมันยิ่งน้อยเขครับๆ
00:06:43 → 00:06:47 อันนี้เกิดก็รู้สึก challeng ตัวเองแบบ
00:06:47 → 00:06:49 นั้นน่ะค่ะก็เลยก็เลยอันนี้เกิดขึ้นกับ
00:06:49 → 00:06:53 ทุกวงการเวลาเราเริ่มลงลึกใช่ค่ะเบอกว่าย
00:06:53 → 00:06:57 ยิ่งรู้มากแค่ไหนยจะยิ่งรู้ว่ายไม่รู้ถู
00:06:57 → 00:07:00 มากขึ้นเรื่อยๆใช่ค่ะก็เลยคิดว่านี่แหละ
00:07:00 → 00:07:02 คือคือสิ่งที่เราจะ
00:07:02 → 00:07:07 ต้องต้องต้องไปต่อไปไปเพิ่มเติมในตรงนี้
00:07:07 → 00:07:11 ให้มันให้มันให้มันให้มันรู้ได้มากที่สุด
00:07:11 → 00:07:13 จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัว
00:07:13 → 00:07:17 เองรู้มากที่สุดยิ่งยิ่งน้อยกว่าน้อยกว่า
00:07:17 → 00:07:20 เดิมด้วยซ้ำเพราะว่าสิ่งที่เรารู้มันแค่
00:07:20 → 00:07:24 จุดนิดนิดๆเล็กๆนิดเดียวเองค่ะคุณพ่อคุณ
00:07:24 → 00:07:26 แม่เป็นนักการเมืองมั้ยคอ๋อไม่ค่ะเป็นครู
00:07:26 → 00:07:29 ค่ะเป็นครูเป็นครูเหมือนกันเหรออืซึ่งก็
00:07:29 → 00:07:31 จะบอกคุณหมอว่าที่อยากเป็นทูตเนี่ยเพราะ
00:07:31 → 00:07:36 ไม่อยากเป็นครูอืตอนเด็กๆคิดตลอดว่าพ่อ
00:07:36 → 00:07:41 แม่เป็นครูตายายเป็นครูไม่เป็นครูดีกว่า
00:07:41 → 00:07:44 เพะมันไม่ใช่ว่าบอิมันไม่ได้น่าเบื่อนะคะ
00:07:44 → 00:07:49 แต่รู้สึกว่ามันอาจจะใกล้ตัวเกินไปไม่ได้
00:07:49 → 00:07:52 ว่าไม่ดีเราก็คิดว่ามันเป็นอาชีพที่ดีแต่
00:07:52 → 00:07:57 ว่าอาจจะอยากอยากอยากเป็นที่นอกกรอบออกไป
00:07:57 → 00:08:02 มงคะแต่พ่อแม่ก็ข้อดีคือพ่อแม่ไม่เคยไม่
00:08:02 → 00:08:05 เคยกำหนดว่าเราอยากเรียนอะไรต้องเป็น
00:08:05 → 00:08:10 อะไรเรียกว่าเป็นพ่อแม่ในยุคสมัยนั้นที่
00:08:10 → 00:08:14 ค่อนข้างเข้าใจลูกแล้วก็เป็นคนไม่เก่งเลห
00:08:14 → 00:08:17 ค่ะก็เลยก็เลยอ้าโฟกัสมาทางนี้พ่อแม่ก็
00:08:17 → 00:08:20 ไม่ว่าอะไรค่ะโอเคเต็มที่เลยไม่เคยบังคับ
00:08:20 → 00:08:23 ให้เรียนพิเศษคนคนจะคิดว่าโลูกครูจะต้อง
00:08:23 → 00:08:27 เรียนเก่งออือหรือต้องพ่อแม่จะต้องสอนที่
00:08:27 → 00:08:31 บ้านพ่อแม่ไม่เคยสอนค่ะแต่เราเราทำสิ่ง
00:08:31 → 00:08:34 ที่เราชอบแล้วก็ได้รู้ว่าทำสิ่งที่เราชอบ
00:08:34 → 00:08:38 นี่แหละดีที่สุดอื
00:08:38 → 00:08:44 ค่ะมันมีความสำคัญสำหรับมนุษย์อย่างไร
00:08:44 → 00:08:47 ทำไมมนุษย์ต้องรู้ประวัติศาสตร์ถึงแม้เรา
00:08:47 → 00:08:50 จะบอกว่ามันเป็นเรื่องอดีตเรื่องวันนี้
00:08:50 → 00:08:53 มันไม่สามารถเอามาใช้ได้และไม่สามารถนำไป
00:08:53 → 00:08:58 ใช้ในอนาคตได้มุมมองของครูนัทเป็นอย่างไร
00:08:58 → 00:09:01 ครับค่ะจริงๆจริงๆต้องเถียงกับคุณหมอก่อน
00:09:01 → 00:09:04 เลยว่ามันไม่ใช่ว่ามันไปใช้กับอนาคตไม่
00:09:04 → 00:09:07 ได้เอ่อหลักการของการเรียนประวัติศาสตร์
00:09:07 → 00:09:10 ก็คือถ้าเราไม่รู้อดีตแล้วเราจะเข้าใจ
00:09:10 → 00:09:13 ปัจจุบันและคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
00:09:13 → 00:09:17 ในอนาคตได้อย่างไรประวัติศาสตร์น่าเบื่อ
00:09:17 → 00:09:21 มยนั่นคือสิ่งที่แน่นอนล่ะค่ะนักศึกษาทุก
00:09:21 → 00:09:24 คนก็ก็คิดว่าเข้ามาเรียนปุ๊บก็ต้องคิดว่า
00:09:24 → 00:09:27 จะต้องน่าเบื่อต้องหลับแน่ๆคลาสนี้อันนี้
00:09:27 → 00:09:30 ต้องย้อนไปถึงการเรียนประวัติศาสตร์ในใน
00:09:31 → 00:09:35 ประเทศไทยด้วยว่ามันจะค่อนข้างเป็นเอ่อ
00:09:35 → 00:09:39 แพทเทิร์นที่ที่มันมีมาตรฐานของมันซึ่ง
00:09:39 → 00:09:43 ตัวตัวนัดเองก็ได้ได้เรียนอยู่ในระบบไทย
00:09:43 → 00:09:46 มาก่อนนะคะแล้วก็แล้วก็มีโอกาสได้ไปเรียน
00:09:46 → 00:09:48 ต่างประเทศก็เลยได้เห็นความแตกต่างจริงๆ
00:09:48 → 00:09:50 แล้วคือศึกษาที่เรียนมาในระบบไทยทั้งหมด
00:09:50 → 00:09:52 เนี่ยมันจะจะคุ้นชินกับการเรียน
00:09:52 → 00:09:55 ประวัติศาสตร์ที่ต้องท่องจำต้องจำวันที่
00:09:55 → 00:09:58 ต้องจำชื่อคนต้องจำว่าเหตุการณ์มันเกิด
00:09:58 → 00:10:02 อะไอะไขึ้นมีสนธิสัญญาอะไรทำให้เอ่อหรือ
00:10:02 → 00:10:05 เราก็เป็นประวัติศาสตร์ที่เน้นไปทางเอ่อ
00:10:05 → 00:10:08 ิิเอ่อสงครามอย่างงู้นอย่างงี้อย่างงั้น
00:10:08 → 00:10:11 อ่ะค่ะแต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยอย่างตัวตัว
00:10:11 → 00:10:13 นัทเองที่ได้ได้จบปริญญาเอกมาก็ไม่ได้
00:10:13 → 00:10:16 เน้นทางประวัติศาสตร์การเมืองหรือ
00:10:16 → 00:10:19 ประวัติศาสตร์การทหารหรืออะไรก็ตามจริงๆ
00:10:19 → 00:10:22 แล้วตัวเองได้เรียนได้เลือกเรียนสิ่งที่
00:10:22 → 00:10:25 ที่อยากเรียนที่สุดคือประวัติศาสตร์ทาง
00:10:25 → 00:10:28 สังคมวัฒนธรรมซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นอะไร
00:10:28 → 00:10:31 ที่ที่ใกล้ตัวเรามากเอ่อในฐานะที่เป็นทำ
00:10:31 → 00:10:33 เป็นที่เป็นอาจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์
00:10:33 → 00:10:36 ก็คือคิดว่าเอ่อเราจะทำยังไงให้เด็กคิด
00:10:36 → 00:10:38 ว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราให้มากที่สุด
00:10:38 → 00:10:41 พอเขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราเขา
00:10:41 → 00:10:44 ก็จะมองมองเห็นถึงความสำคัญว่ามันก็คือ
00:10:44 → 00:10:46 มันสามารถ explain เรื่องปัจจุบันได้หลาย
00:10:46 → 00:10:49 ๆเรื่องเลยที่มันใกล้ตัวมากๆซึ่งซึ่งซึ่ง
00:10:50 → 00:10:51 มันไม่ได้ไกลอย่างที่คิดมันไม่ได้ว่าจบไป
00:10:52 → 00:10:54 แล้วแล้วจบไปเลยแล้วก็สิ่งสำคัญที่สุดก็
00:10:54 → 00:10:58 คือคาดการณ์ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
00:10:58 → 00:11:01 มันอาจจะเป็นการเกิดซ้ำกับสิ่งที่เกิดมา
00:11:01 → 00:11:05 ก่อนแล้วถ้ามันเกิดซ้ำเราจะแก้ปัญหายังไง
00:11:05 → 00:11:07 อืก็นั่นก็คือหลักการเบื้องต้นน่ะค่ะใน
00:11:07 → 00:11:10 การในการเรียนประวัติศาสตร์หรือว่าทำให้
00:11:10 → 00:11:13 ประวัติศาสตร์น่าน่าสนใจสำหรับเอ่อนัก
00:11:13 → 00:11:16 ศึกษาที่ที่สอนอยู่นะปัจจุบันน่ะค่ะทีนี้
00:11:16 → 00:11:20 คุณครูแนะนำว่าเด็กทุกคนควรจะมีความรู้
00:11:20 → 00:11:22 เรื่องประวัติศาสตร์บ้างแน่นอนค่ะแน่นอน
00:11:22 → 00:11:25 ค่ะหลายๆหลายๆครั้งจริงๆแล้ว
00:11:25 → 00:11:27 ประวัติศาสตร์มันก็คือความรู้รอบตัวในใน
00:11:28 → 00:11:32 แบบหนึ่งแล้วมันก็ combine ไปกับศาสตร์
00:11:32 → 00:11:34 อื่นๆด้วยเช่นกันสมมุติเรารู้
00:11:34 → 00:11:36 ประวัติศาสตร์แต่เราไม่รู้ภูมิศาสตร์มัน
00:11:36 → 00:11:40 ก็มันก็ไม่ได้เชื่อมโยงกันน่ะค่ะเอ่อหรือ
00:11:40 → 00:11:43 ว่าเอ่อถ้าเราไปเที่ยวหรือเที่ยวต่าง
00:11:43 → 00:11:45 ประเทศถ้าเราได้รู้ประวัติศาสตร์เราก็จะ
00:11:45 → 00:11:49 สามารถเข้าใจถึงวัฒนธรรมสังคมเขาได้ดีมาก
00:11:49 → 00:11:53 ขึ้นความรู้รอบตัวที่ทุกคนควรจะมีไม่ว่า
00:11:53 → 00:11:56 เราจะไปเรียนเอ่อศาสตร์ไหนก็ตามอ่ะค่ะมัน
00:11:56 → 00:11:59 ก็ควรจะมีความรู้เบื้องต้นเหล่านี้ค่ะผม
00:11:59 → 00:12:01 ถามนอกรอบในฐานะผู้ปกครองอันนี้อันนี้
00:12:01 → 00:12:04 เป็นคำถามที่อาจจะดูตลกหน่อยนะว่าอยากรู้
00:12:04 → 00:12:07 จริงๆว่าเด็กอายุแค่ไหนที่เหมาะที่จะ
00:12:07 → 00:12:09 เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ค่ะจริงๆมันเริ่ม
00:12:10 → 00:12:12 ปลูกฝังได้ตั้งแต่เขาเริ่มรู้เรื่องเลยนะ
00:12:12 → 00:12:16 คะที่บ้านมีลูกหลานเก็ก็พยายามจะปลูกฝัง
00:12:16 → 00:12:18 ตั้งแต่ตั้งแต่เวลาเราไปเที่ยวด้วยกัน
00:12:18 → 00:12:21 สมมุติเช่นไปอยุธยาอย่างเงี้ยมันก็แน่นอน
00:12:21 → 00:12:22 มันเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์หรือวัด
00:12:23 → 00:12:25 พระแก้วเารู้หรือเปล่าไม่ใช่ว่าเไปเที่ยว
00:12:25 → 00:12:28 ดูว่ามันสวยงามเฉยๆแต่สามารถเราสามารถ
00:12:28 → 00:12:31 ค่อยๆคแทรกได้มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบ
00:12:31 → 00:12:35 เอ่ออะไรที่เนื้อหาแน่นลึกขนาดนั้นแต่
00:12:35 → 00:12:38 อย่างที่บอกอ่ะค่ะพยายามให้เขามารีเลทกับ
00:12:38 → 00:12:40 กับตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตามมัน
00:12:40 → 00:12:43 สามารถรทได้ช่นถ้าเป็นถ้าเป็นเด็กเล็กๆ
00:12:43 → 00:12:47 อ้าไปเที่ยวเอ่อวัดพระแก้วแล้วมาบที่มัน
00:12:47 → 00:12:49 มาจากจีนน่ะค่ะเราก็บอกได้หนูเห็นมั้ย
00:12:49 → 00:12:52 อันเนี้ยมันมันเหมือนของของจีนมั้ยหนู
00:12:52 → 00:12:56 เรียนภาษาจีนใช่มั้ยลูกอันเนี้ยมันมัน
00:12:56 → 00:12:58 แสดงว่าเรามีความสัมพันธ์กับจีนตั้งแต่
00:12:58 → 00:13:01 สมัยที่เราสร้างวัดพระแก้วแล้วนะแค่แค
00:13:01 → 00:13:03 อะไรที่มัน Simple อะไรประมาณเนี้ยค่ะอือ
00:13:03 → 00:13:07 มันได้ผมคิดถึงลูกตัวเองเวลาอย่างเงี้ย
00:13:07 → 00:13:10 วันนั้นคุยกันเรื่องสักที่จะไปที่นึง
00:13:10 → 00:13:13 เนี่ยค่ะผมก็พยายามจะแบบให้เขาิอารมณ์ให้
00:13:13 → 00:13:16 เขาอยากรู้ประวัติศาสตร์ของที่นั้นก่อนนะ
00:13:16 → 00:13:18 ค่ะก็พยายามเปิด YouTube เปิดอะไรแล้วให้
00:13:18 → 00:13:21 เค้าดูค่ะเค้าก็จะเบื่อมากเลยคุณครูเก็จะ
00:13:21 → 00:13:24 รู้สึกว่าเอ้อปะป๊าเมื่อไหร่จะเสร็จเมื่อ
00:13:24 → 00:13:28 ไหร่จะเสร็จในฐานะผู้ปกครองทำยังไงดีให้
00:13:28 → 00:13:31 เด็กเ้าเลิ่มเริ่มสนใจก่อนมีเทคนิคยังไง
00:13:31 → 00:13:34 ทำให้มันสนุกค่ะแล้วก็จริงๆแล้วก็อันนี้
00:13:34 → 00:13:36 ก็ไปใช้ในการสอนเหมือนกันว่าทำยังไงให้
00:13:36 → 00:13:38 มันสนุกก็คิดถึงตัวเองเนี่ยละค่ะว่าถ้า
00:13:38 → 00:13:42 เรียนแบบไอ้เดิมๆเนี่ยมันก็ไม่สนุกแต่ถ้า
00:13:42 → 00:13:44 เราได้เรียนแบบปฏิบัติคนอาจจะเข้าใจผิดมา
00:13:44 → 00:13:46 ตลอดว่าประวัติศาสตร์มันไม่ใช่วิชาที่จะ
00:13:46 → 00:13:50 ปฏิบัติได้จริงๆแล้วมันปฏิบัติได้อือฮึ
00:13:50 → 00:13:55 เอิ่มตอนที่ตัวเองได้มีโอกาสได้เจอเา้า
00:13:55 → 00:13:58 เรียกว่าเอกสารชั้นต้นก็คือเอกสารหรือ
00:13:58 → 00:14:00 Primary Source เอ่อที่เราใช้ใน
00:14:00 → 00:14:02 ประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์เขาใช้
00:14:02 → 00:14:04 กันจริงๆเนี่ยมันมันมีอะไรให้ค้นหาหลาย
00:14:04 → 00:14:08 อย่างแล้วมันก็เ่อเอามาวิเคราะห์แล้วเอา
00:14:08 → 00:14:10 มาเล่นเอามาเล่นเป็นเกมยังได้เลยค่ะเช่น
00:14:10 → 00:14:14 รูปภาพสมัยโบราณแล้วเรามาทายกันว่าคนนี้
00:14:14 → 00:14:16 เป็นใครคนนี้เป็นใครเขาทำอะไรกันอยู่
00:14:16 → 00:14:19 บุคคลสำคัญท่านนี้ในประวัติศาสตร์พูดใช้
00:14:19 → 00:14:23 คำพูดนี้อือแล้วมันจะแตกความหมายได้เป็น
00:14:23 → 00:14:26 อะไรบ้างไม่ใช่ว่าแค่เราอ่านหนังสือหรือ
00:14:26 → 00:14:29 ว่าเราดูสารคดีอืแต่ว่ามันเหมือนเราได้
00:14:30 → 00:14:33 ค้นหาด้วยตัวเองครับเอ่อสิ่งที่พยายามจะ
00:14:33 → 00:14:38 สอนนักศึกษาก็คือเราวิเคราะห์เอกสารนี้
00:14:38 → 00:14:42 แล้วเราต้องดูไปถึงว่าใครเป็นคนเขียนมัน
00:14:42 → 00:14:45 ก็คือคนๆนั้นเป็นเจ้าของเรื่องใช่มั้ยคะ
00:14:45 → 00:14:50 อือแล้วยจะยจะคิดได้หลายอย่างเลยว่าอ้าคน
00:14:50 → 00:14:52 ๆนี้คือใครเหตุผลที่เขาทำอย่างนี้ที่เขา
00:14:52 → 00:14:56 เขียนอย่างงี้ที่เขา Express มาแบบนี้มัน
00:14:56 → 00:14:59 มีเจตนายังไงอ่ะค่ะอืคุณครูเท่าที่สังเกต
00:14:59 → 00:15:04 เนี่ยเด็กไทยยกับเด็กต่างประเทศเนี่ยค่ะ
00:15:04 → 00:15:06 อันนี้จากประสบการณ์ก็แล้วกันผมไม่รู้ตัว
00:15:06 → 00:15:08 เลขเป็นยังไงแต่ว่าเด็กไทยเราเนี่ยมีความ
00:15:08 → 00:15:10 รู้ประวัติศาสตร์ประเทศและประวัติศาสตร์
00:15:10 → 00:15:15 รอบโลกมากน้อยแค่ไหนถ้าเรียนมาในระบบไทย
00:15:15 → 00:15:19 เลยก็ต้องอก็ต้องขอบอกว่าน้อยมากแล้วก็จะ
00:15:19 → 00:15:21 เป็นค่อนข้างเป็นประวัติศาสตร์ที่อย่าง
00:15:21 → 00:15:23 ได้พูดตอนแรกค่ะมันเป็นมันเป็นแพทเทิร์น
00:15:23 → 00:15:27 คือเรียนเพื่อไปสอบใช่ๆเค้าเรียนเพื่อ
00:15:27 → 00:15:30 ต้องค้องจำซีเควนอย่างงี้ใครเซ็นสัญญาวัน
00:15:30 → 00:15:33 ที่เท่าเกิดอะไรขึ้นคือท่องๆๆๆเพราะว่า
00:15:33 → 00:15:36 ระบบกวดวิชาก็เน้นคีย์เวิร์ดใช่ค่ะอย่า
00:15:36 → 00:15:38 ลืมท่องตรงนี้อย่าลืมท่องตรงนี้แต่ถามว่า
00:15:38 → 00:15:42 เอยากรู้ขนาดนั้นมไม่ค่ะไม่ค่ะแล้วก็สิ่ง
00:15:42 → 00:15:45 ที่เาชอบถามก็คือจะเน้นไปทางข้อสอบว่า
00:15:45 → 00:15:49 อาจารย์หนูต้องจำันนี้ไปตอบมั้ยอืเราก็จะ
00:15:49 → 00:15:51 บอกว่าไม่เพราะว่าข้อสอบของเราเป็นการ
00:15:51 → 00:15:54 วิเคราะห์ที่ผ่านมานะคะสอนเรื่องสงคราม
00:15:54 → 00:15:58 เย็นสงครามเย็นเนี่ยเ่ออย่างที่เรารู้กัน
00:15:58 → 00:16:02 ก็มีมีเอ่อมหาอำนาจ
00:16:02 → 00:16:05 เอ่ออเมริกากับโซเวียตยูเนียนสมัยนั้นใช่
00:16:05 → 00:16:09 มั้ยคะแต่ว่าสิ่งยุคสงครามเย็นมันมีมันมี
00:16:09 → 00:16:11 เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หลายอย่างที่
00:16:11 → 00:16:14 มันเกิดขึ้นควบคู่กันอ่าเหตุการณ์นึงใน
00:16:14 → 00:16:18 นั้นก็คือเขาเรียกว่ายุคเอ่อ de
00:16:18 → 00:16:20 colonization de colonization ก็คือ
00:16:20 → 00:16:23 การหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมเ่าเราก็จะ
00:16:23 → 00:16:27 ไปทั่วโลกเลยค่ะว่าเออมีอาณานิคมตรงไหน
00:16:27 → 00:16:31 บ้างแล้วเขาเอ่อมี proc ในการที่จะหลุด
00:16:31 → 00:16:33 พ้นจากอาณานิคมในการเป็นเมืองขึ้นอย่างไร
00:16:33 → 00:16:37 Indian independence อืแยกประเทศเ่อ
00:16:37 → 00:16:39 พิชัปากีสถาน
00:16:39 → 00:16:43 อินเดียคือเด็กจะงงมากเอ้าแล้วยังไงแล้ว
00:16:43 → 00:16:45 เขาเกลียดกันยังไงแล้วทำไมจะต้องแยกอะไร
00:16:45 → 00:16:49 เงี้ยค่ะเราก็เลยเอาเอกสารชั้นต้นมาให้ดู
00:16:49 → 00:16:55 spe ของ prim minister ของอังกฤษนะเขา
00:16:55 → 00:16:59 มองว่าเหตุผลของการที่จะต้องออกจาก
00:16:59 → 00:17:03 British อินดียคือเป็นเพราะว่าเราไม่มี
00:17:03 → 00:17:07 เงินแหละเอ่อเพราะว่าหลังสงครามเอ่อ
00:17:07 → 00:17:10 อังกฤษสูญเสียไปเยอะมากถึงแม้จะชนะสงคราม
00:17:10 → 00:17:12 ก็ตามแต่ก็ไม่มีเงินที่จะช่วยซัพพอร์ต
00:17:12 → 00:17:15 แล้วอันเนี้ยค่ะมันเป็นมันเป็นองค์รวมที่
00:17:15 → 00:17:18 ให้เขาเห็นว่าไอ้ความเข้าใจของโอ้การเกิด
00:17:18 → 00:17:20 ประเทศ 2 ประเทศเนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้น
00:17:20 → 00:17:23 แค่เพราะว่าเขาอยากจะให้เอกราชกับ 2
00:17:23 → 00:17:26 ประเทศนี้แต่มันมันเป็นเพราะว่าอังกฤษเ่อ
00:17:26 → 00:17:28 ประเทศมหาอำนาจ
00:17:28 → 00:17:33 ในตอนนั้นไม่มีเงินแล้วก็ต้องการที่จะ Get
00:17:33 → 00:17:35 Out ต้องการที่จะออกมาอย่างเร็วที่สุด
00:17:35 → 00:17:38 แล้วมันก็เกิดเกิดเป็น consequence ก็คือ
00:17:38 → 00:17:42 เ่อมีปัญหาในการแบ่งแบ่งกันมีการอพยพแล้ว
00:17:42 → 00:17:46 ก็ leave Out บางกลุ่มบางบางศาสนาที่ไม่
00:17:47 → 00:17:50 ได้ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนก็รู้สึกภูมิใจค่ะ
00:17:50 → 00:17:53 ว่าพอพอสอนทอิเจบแล้วทุกคนจะแบบโอ๊ยชอบ
00:17:53 → 00:17:57 ชอบเรื่อง Indian parti อืสอบมยออกสอบมย
00:17:57 → 00:18:00 อยากให้ออกสอบเอออะไรอย่างเงี้ยค่ะคุณครู
00:18:00 → 00:18:03 กำลังจะแนะนำว่าสอนเชิงวิเคราะห์มันน่าจะ
00:18:03 → 00:18:06 ทำให้เด็กสนุกกว่าแนนอนใช่ดีกว่าสอนให้
00:18:06 → 00:18:08 เด็กท่องจำค่ะผมอาทิตย์หน้าคิดว่าจะพา
00:18:08 → 00:18:13 เด็กไปฝั่งสมุทรสาครสมุทรสงครามค่ะ Fi
00:18:13 → 00:18:15 trips ก็ดีค่ะ f trips คือพาเด็กไป
00:18:15 → 00:18:19 อย่างผมได้ค่ะน่าก็น่าจะเริ่มจากเอ่อ
00:18:19 → 00:18:22 ราฟี่ก่อนค่ะว่าเราเห็นอะไรบ้างคนคนเขา
00:18:22 → 00:18:26 พูดสำเนียงแบบไหนแตกต่างจากแตกต่างจาก
00:18:26 → 00:18:29 เอ่อกรุงเทพฯมั้ยแตกต่างที่ที่เรามามั้ย
00:18:29 → 00:18:32 คิดว่า influence เหล่านี้มันมาจากไหน
00:18:32 → 00:18:37 สมัยก่อนเนี่ยมันจะมายังไงกันแล้วเมาค้น
00:18:37 → 00:18:39 พบที่ตรงนี้ได้ยังไงสมัยรัชกาลที่เท่า
00:18:39 → 00:18:43 ไหร่อะไรอย่างเงี้ยค่ะอือน่าจะช่วยๆ่กัน
00:18:43 → 00:18:47 ค้นหาก็เป็นอยากให้อยากให้จริงๆแล้วอยาก
00:18:47 → 00:18:49 ให้เด็กรุ่นใหม่ที่เรียนประวัติศาสตร์มอง
00:18:49 → 00:18:53 ตัวเองว่าเป็น indi Jones คือแบบเป็นมัน
00:18:53 → 00:18:56 เราไม่ใช่นั่งดูเอกสารอย่างเดียวเรา
00:18:56 → 00:18:58 สามารถ observe ในสิ่งรอบๆตัวเราได้ทุก
00:18:58 → 00:19:01 อย่างอย่าอ่ะค่ะว่าอือที่นี้มันมีที่มา
00:19:01 → 00:19:04 ที่ไปอย่างไรคุณครูมองว่าถ้าเราฝึกเด็ก
00:19:04 → 00:19:08 ตั้งแต่ตอนนี้เนี่ยอนาคตพอเโตเนี่ยมันจะ
00:19:08 → 00:19:10 มีผลยังไงต่อเขาถ้าถ้าตอบเป็นแพทเทิร์นก็
00:19:10 → 00:19:13 เด็กก็คืออนาคตของชาติใช่มั้ยคะแน่นอนค่ะ
00:19:14 → 00:19:17 ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะไปจะไปเป็นคนที่เป็น
00:19:17 → 00:19:21 decision maker แต่ว่าถ้าเรามองถึง
00:19:21 → 00:19:25 สถานการณ์ปัจจุบันของไม่ใช่แค่ประเทศเราเ
00:19:25 → 00:19:27 แต่ทั้งโลกเนี่ยถ้าเรามีความรู้เรื่อง
00:19:27 → 00:19:30 ประวัติศาสตร์มากขึ้นเราน่าจะสามารถแก้
00:19:30 → 00:19:33 ปัญหาหรือ prevent ไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่
00:19:33 → 00:19:36 ให้ปัญหาหรือคอนฟลิกมันเกิดขึ้นได้อาจจะ
00:19:36 → 00:19:39 ได้ดีกว่านี้ก็ได้ค่ะสงครามระหว่าง
00:19:39 → 00:19:42 ปาเลสไตน์อิสราเอลอย่างเงี้ยทุกคนรู้ทุก
00:19:42 → 00:19:46 คนเห็นว่ามันมีความรุนแรงเกิดขึ้นเอ่ออาจ
00:19:46 → 00:19:51 จะมีบางคน Take S ด้วยซ้ำว่าโอ้
00:19:51 → 00:19:55 ปาเลสไตน์ผิดหรืออิสราเอลผิดแต่จริงๆแล้ว
00:19:55 → 00:19:58 ถ้าเราเรียนจากประวัติศาสตร์เราจะรู้ว่า
00:19:58 → 00:20:04 มันไม่ได้มีใครผิดอืเอิมมันเป็นความผิด
00:20:04 → 00:20:09 พลาดของการของการเมืองของการเมืองโลกในใน
00:20:09 → 00:20:13 ในตอนนั้นมันทำให้เกิดการสร้างดินแดนขึ้น
00:20:13 → 00:20:16 มาโดยที่ไม่ได้ศึกษานั่นน่ะค่ะก็เขาดการ
00:20:16 → 00:20:20 ศึกษาจริงๆแล้วคนสมัยนั้นที่เขาสร้าง
00:20:20 → 00:20:23 อิสราเอลก็ไม่ก็อาจจะไม่ได้ศึกษาถึง
00:20:23 → 00:20:25 ประวัติศาสตร์หรือไม่ได้ตระหนักอือถึง
00:20:25 → 00:20:29 ประวัติศาสตร์มากเพียงพอคือจริงๆแล้วการ
00:20:29 → 00:20:32 จะให้ประวัติศาสตร์มันเวิร์คเนี่ยมันควร
00:20:32 → 00:20:37 จะคิดถึงความตระหนักอืมันไม่ใช่แค่เรารู้
00:20:37 → 00:20:40 อืแต่เราต้องตระหนักว่าเฮ้ยมันมันสำคัญ
00:20:40 → 00:20:44 ยังไงจะตัดสินใจทำอะไรเอ่อถ้าเราได้ไป
00:20:44 → 00:20:47 อยู่ในในจุดตรงนั้นการที่เด็กมีความรู้
00:20:47 → 00:20:49 เรื่องประวัติศาสตร์เวลาเขาตัดสินเนี่ย
00:20:49 → 00:20:52 เขาจะตัดสินโดยผลพื้นฐานความเข้าใจและ
00:20:52 → 00:20:55 ตระหนักมากขึ้นค่ะใช่ค่ะใช่ผมว่าคุณครู
00:20:55 → 00:20:57 กำลังจะสื่อให้เห็นว่าปัจจุบันที่มีการ
00:20:57 → 00:21:00 ตัดสินอาจจะไม่ตรงซักเท่าไหร่อาจจะเป็น
00:21:00 → 00:21:03 เพราะเขาขาดความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของ
00:21:03 → 00:21:07 ท้องถิ่นนั้นๆขาดความรอบรู้ค่ะรรู้ด้วย
00:21:07 → 00:21:09 ขาดความตระหนักถึงความสำคัญทาง
00:21:09 → 00:21:11 ประวัติศาสตร์ซึ่งประวัติศาสตร์มันจะสอน
00:21:11 → 00:21:15 เรามาอยู่แล้วว่ามันมี Factor อะไรมันมี
00:21:15 → 00:21:19 มันมีองค์ประกอบอะไรที่เราจะต้องตระหนัก
00:21:19 → 00:21:21 ถึงมันถ้าเกิดเราจะตัดสินใจทำอะไรอย่าง
00:21:21 → 00:21:26 นี้ซึ่งซึ่งมันไม่ใช่ว่าแบบโอแบบปัญหาโลก
00:21:26 → 00:21:29 เท่านั้นที่ที่มันจะเอาไปคลายได้จริงๆ
00:21:29 → 00:21:33 แล้วเรื่องส่วนตัวในชีวิตถามว่าหลายๆนัก
00:21:33 → 00:21:36 ศึกษาหลายๆคนเลยมาเรียนปริญญาตรีที่มหิดล
00:21:36 → 00:21:39 แล้วก็ถามแบบไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปอื
00:21:39 → 00:21:42 แล้วมันไปโยงกับประวัติศาสตร์ได้ยังไงก็
00:21:42 → 00:21:44 ถ้าถ้าเรารู้ว่าจริงๆแล้วถ้าเราทบทวนตัว
00:21:44 → 00:21:49 เองไคะว่าเราชอบอะไรอาฮะเรามีแชั่นกับ
00:21:49 → 00:21:52 เรื่องอะไรแล้วเรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่
00:21:52 → 00:21:55 หรือเปล่าแต่หลายๆคนเยไม่ได้รู้ว่าเรา
00:21:55 → 00:21:58 มาเรียนที่นี่เพื่อเพื่อต้องการที่จะจอบ
00:21:58 → 00:22:00 ตอโจทย์ในชีวิตเพราะเขายังไม่รู้เลยว่า
00:22:00 → 00:22:04 เขาอยากทำอะไรอืแต่ถ้าเขารู้จักการคิด
00:22:04 → 00:22:08 วิเคราะห์คือมันเพิ่มมันเพิ่มสกิลในการใน
00:22:08 → 00:22:11 การวิเคราะห์แม้กระทั่งวิเคราะห์ decision
00:22:11 → 00:22:14 ของตัวเองอื้อหือโอ้ตอนแรกผมคิดไม่ได้เลย
00:22:14 → 00:22:17 นะว่าเออการประวติศาสตร์เนี่ยมันจะช่วย
00:22:17 → 00:22:20 ให้เคตัดสินใจชีวิตสรุปคุณครูกำลังบอกว่า
00:22:20 → 00:22:22 การเรียนประวติศาสตร์มันสอนการวิเคราะห์
00:22:23 → 00:22:27 แน่นอนค่ะสอนการแยกระหว่างการถูกการผิด
00:22:27 → 00:22:31 และสอนให้มันไม่มีคำตอบที่ผิดนะค่ะมันไม่
00:22:31 → 00:22:34 มีคำตอบที่ผิดเหมือนเวลาเราเหมือนเวลานัก
00:22:34 → 00:22:38 ศึกษาบางคนแพนิคมากจะทำข้อสอบมันจะผิดมย
00:22:38 → 00:22:42 อาจารย์ถ้าหนูตอบอย่างงี้อือเราก็จะบอก
00:22:42 → 00:22:46 เสมอว่ามันไม่มีคำตอบที่ผิดค่ะมันมีแต่
00:22:46 → 00:22:48 ว่าคำตอบที่ถูกแล้ว you back up your
00:22:48 → 00:22:52 Answer ยังไงเอ you เอา support อะไร you
00:22:52 → 00:22:54 เอา argument อะไร you เอา evidence อะไร
00:22:55 → 00:22:58 การเรียนด้วยการใช้หลักฐานอืคือเราสามารถ
00:22:59 → 00:23:01 วิเคราะห์ไปได้ต่างๆนานามันมีคำตอบหลาย
00:23:01 → 00:23:04 หลังมากอย่างเช่นอย่างเช่นที่เล่าให้คุณ
00:23:04 → 00:23:07 หมอฟังก่อนหน้านี้ว่าในเอกสารนึงมัน
00:23:07 → 00:23:10 สามารถ interpret มันสามารถวิเคราะห์ไป
00:23:10 → 00:23:14 ได้หลายทางเลยอือแต่ว่าเราจะเอาส่วนไหนมา
00:23:14 → 00:23:19 ัพว่าอันเนี้ยคือทางที่ถูกที่สุดอยากนะ
00:23:19 → 00:23:22 มันก็ไม่มันก็ไม่ถึงกับยากแล้วค่ะแล้ว
00:23:22 → 00:23:25 เวลาครูให้คะแนนนี้ให้คะแนนยังไงเเพราะ
00:23:25 → 00:23:28 ว่ามันก็ถูกหมดมันไม่มีอะไรผิดแค่ว่าเ
00:23:28 → 00:23:31 หลักฐานมากน้อยแค่ไหนแล้วคุณครูให้คะแนน
00:23:31 → 00:23:35 ยังไงครับให้คะแนนความหนักแน่นของของการ
00:23:35 → 00:23:38 ของการที่มีหลักฐานมายืนยันน่ะค่ะถ้าคือ
00:23:38 → 00:23:41 เด็กที่ขยันหน่อยก็จะอ่านเยอะอ่านเยอะ
00:23:41 → 00:23:45 แล้วก็จะมีข้อมูลมากขึ้นคือคุณบอกว่าขึ้น
00:23:45 → 00:23:47 อยู่กับ logical reasoning สิ่งที่เขา
00:23:47 → 00:23:50 ให้เหตุผลเนี่ยมันรู้แหละมันไม่มีถูกไม่
00:23:50 → 00:23:53 มีผิดค่ะแต่ขึ้นอยู่ว่าสิ่งที่เขาพูด
00:23:53 → 00:23:56 เนี่ยเขาสนับสนุนด้วยข้อมูลที่หนาแน่น
00:23:56 → 00:23:59 หนักแน่นมากน้อยแค่ไหนค่ะใช่ถ้าเมีข้อมูล
00:23:59 → 00:24:04 ที่สมเหตุสมผลค่ะเก็จะได้คะแนนมากกว่าอัน
00:24:04 → 00:24:07 นี้ก็เชื่อมไปกับอีกเรื่องนึงนะคะคือ
00:24:07 → 00:24:09 เรื่องเรื่องความเข้าใจผิดของการเรียน
00:24:09 → 00:24:13 ประวัติศาสตร์และการตอบเอ่อข้อสอบแนว
00:24:14 → 00:24:16 ประวัติศาสตร์คือเขาจะชอบคิดว่าอุ๊ยต้อง
00:24:16 → 00:24:20 ตอบเยอะๆดีเทลเยอะๆเขียนให้เต็มหน้า
00:24:20 → 00:24:25 กระดาษจริงๆเราไม่ใช่นะคะจริงๆแล้วคือถ้า
00:24:25 → 00:24:29 เกิดต่อมาเยอะแต่มันไม่ตรงประเด็นอืมันก็
00:24:29 → 00:24:32 ไม่มีผลอ่าฉะนั้นมันก็เกี่ยวกับการกรอง
00:24:32 → 00:24:36 ข้อมูลอีกล่ะค่ะว่าเราจะตอบให้ถูกประเด็น
00:24:36 → 00:24:39 เนี้ยเราจะใช้ข้อมูลอะไร 1 2 3 4 แต่
00:24:40 → 00:24:43 ไม่ใช่การท่องจำเอ่อไม่ใช่การท่องจำว่า
00:24:43 → 00:24:46 โอ้อันนี้เกิดประวัติศาสตร์เอ่อสงครามโรค
00:24:46 → 00:24:51 ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปีนี้ๆๆๆๆออืคือ
00:24:51 → 00:24:56 แต่ว่าถ้าคำถามถามว่าเหตุผลของกรณีนี้
00:24:56 → 00:24:59 เกิดขึ้นเพราะอะไรคุณก็ต้องวิเคราะห์ไป
00:24:59 → 00:25:03 ถึงเหตุผลก่อนสอบก็คือก็จะเน้นไปว่าไม่
00:25:03 → 00:25:07 ใช่ว่าเห็นคีย์เวิร์ดแล้วตอบเลยนะคะอืม
00:25:07 → 00:25:12 เกสอ่านด้วยว่าต้องการอะไรออืดังนั้นถ้า
00:25:12 → 00:25:16 ให้ผมสรุปทำยังไงให้เด็กคือตอนถึงจุดนี้
00:25:16 → 00:25:17 ผมเชื่อว่าคนที่ฟังน่าจะเห็นแล้วว่าคุณ
00:25:17 → 00:25:21 ครูพยายามจะเชื่อมโยงระหว่างความสำคัญของ
00:25:21 → 00:25:23 การรู้ประวัติศาสตร์ตั้งแต่เด็กนำไปสู่
00:25:23 → 00:25:27 อนาคตของเขาหลักการอันนึงที่คุณครูพยายาม
00:25:27 → 00:25:30 จะบอกคือมันสอนให้เด็กวิเคราะห์คิดโดยใช้
00:25:30 → 00:25:33 ข้อมูลมาสนับสนุนไม่ได้มีอะไรถูกไม่ได้มี
00:25:34 → 00:25:37 อะไรผิดแต่เขายิ่งทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน
00:25:37 → 00:25:41 โอกาสที่เขาจะได้คำตอบที่ถูกต้องมากที่
00:25:41 → 00:25:43 สุดก็จะเยอะอันที่ 2 คือการเรียน
00:25:43 → 00:25:45 ประวัติศาสตร์เนี่ยมันช่วยให้เด็ก
00:25:45 → 00:25:48 วิเคราะห์สถานการณ์เป็นไม่พอมันวิเคราะห์
00:25:49 → 00:25:52 ตัวเองด้วยแล้วก็ 3 มันเปิดโลกให้เด็กรู้
00:25:52 → 00:25:55 เพื่ออนาคตเวลาถ้าเขาไปอยู่ในตำแหน่งที่
00:25:55 → 00:25:57 ต้องตัดสินเกี่ยวกับบ้านเมืองเนี่ยเขาจะ
00:25:57 → 00:26:01 เข้าใจและคุณครูใช้คำว่าตระหนักมากขึ้น
00:26:01 → 00:26:04 เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่มาที่ไปอีกอันนึงที่
00:26:04 → 00:26:08 ผมชอบนะฮะที่คุณครูกำลังพยายามจะสื่อให้
00:26:08 → 00:26:10 เราเห็นทางอ้อมว่าการเรียนประวัติศาสตร์
00:26:10 → 00:26:17 ในเมืองไทยเนี่ยที่เราเน้นการท่องจำและเ
00:26:17 → 00:26:20 เรียกว่าข้อสอบมุ่งเน้นไปทางตอบข้อสอบโดย
00:26:20 → 00:26:22 ดูกันคีย์เวิร์ดเนี่ยอันนี้อาจจะทำให้
00:26:22 → 00:26:25 เด็กเนี่ยไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์เท่า
00:26:25 → 00:26:28 ไหร่งั้นในฐานะผู้ปกครองก็อาจจะเริ่มดย
00:26:28 → 00:26:31 การ Fi ทริปไปทริปแล้วลองค่อยๆหยอด
00:26:31 → 00:26:33 ประวัติศาสตร์โดยโดยให้เด็กเนี่ยเป็น
00:26:33 → 00:26:37 อินเดียหน้าโจรคือให้เราเไปคุ้ยกับเราดู
00:26:37 → 00:26:39 ว่ามีอะไรที่เขาเชื่อมโยงได้กับ
00:26:39 → 00:26:41 ประวัติศาสตร์แล้วก็ได้เรียนรู้อะไรต่าง
00:26:41 → 00:26:44 จากทีนี้จบเรื่อง
00:26:44 → 00:26:47 เด็กผมชอบนะฮะทีนี้มันเป็นคำถามที่เราไม่
00:26:47 → 00:26:49 ได้เตรียมกันมาผมเตรียมอีกอย่างแต่ว่าคุณ
00:26:49 → 00:26:53 ครูได้เลยค่ะพูดไปแล้วผมเกิดคำถามทีนี้คำ
00:26:53 → 00:27:02 ถามที่ 2 ที่เกิดเป็นประเด็นในสังคม
00:27:02 → 00:27:05 ประวัติศาสตร์เนี่ยจริงๆผมก็ยังเชื่อว่า
00:27:05 → 00:27:07 ยังไม่มีใครรู้จริงหรอกครับรู้มากรู้น้อย
00:27:07 → 00:27:11 แค่นั้นที่มันเกิดระหว่าง 2 ขั้วตอนนี้นะ
00:27:11 → 00:27:15 ค่ะก็คือรุ่นรุ่นเจนก่อนๆที่คิดว่ารู้
00:27:15 → 00:27:18 ประวัติศาสตร์ผ่านมาแล้วะกับเจนปัจจุบัน
00:27:18 → 00:27:21 ที่เสพประวัติศาสตร์ได้มากกว่าผ่านทาง
00:27:21 → 00:27:23 สื่อ
00:27:23 → 00:27:27 โซเชียลผ่านทางข้อมูลเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ
00:27:27 → 00:27:30 ปัญญหาสังคมอันนึงรุ่นนึงก็ดู
00:27:31 → 00:27:34 ประวัติศาสตร์มาในอีกมุมนึงรุ่นใหม่ก็เสพ
00:27:34 → 00:27:38 ประวัติศาสตร์มาอีกมุมนึงต่างคนต่างมอง
00:27:38 → 00:27:41 ต่างคนต่างมีข้อมูลไม่เหมือนกันค่ะแล้วก็
00:27:41 → 00:27:43 อย่างที่คุณครูบอกว่ามันมันไม่มีอะไรถูก
00:27:43 → 00:27:45 ผิดแต่มันขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนวิเคราะห์
00:27:45 → 00:27:49 อย่างไรค่ะทีนี้ปัญหาคือว่าพอ 2 ขั้ว
00:27:49 → 00:27:52 เนี่ยมันเห็นต่างหรือเสพข้อมูลมาไม่ค่อย
00:27:52 → 00:27:54 คล้ายกันหรือวิเคราะห์มาไม่ค่อยตรงกัน
00:27:54 → 00:27:58 เนี่ยมันเกิดการปะทะกันการเห็นต่างมันมัน
00:27:58 → 00:28:02 ก็เลยเกิดปัญหาการแก้ปัญหาไม่ไม่จบเพราะ
00:28:02 → 00:28:06 ต่างเจนเห็นต่างมุมในฐานะครูสอน
00:28:06 → 00:28:09 ประวัติศาสตร์อยากจะแนะนำอย่าง
00:28:09 → 00:28:14 ไรการเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ดีคือต้อง
00:28:14 → 00:28:19 ฟังต้องค้นหาต้องเอ่อ
00:28:19 → 00:28:25 เปิดทุกมุมไม่ใช่ว่าเจนเจนรุ่นใหม่หรือ
00:28:25 → 00:28:29 เจนรุ่นเก่าเอ่อจะผิดนะนะคะแต่หมายความ
00:28:29 → 00:28:33 ว่าทั้ง 2 เจนเนี่ยอ่าอาจจะรับข้อมูลใน
00:28:33 → 00:28:34 ด้าน
00:28:34 → 00:28:39 เดียวก็คือการแก้ไขก็น่าจะต้องพยายามเปิด
00:28:39 → 00:28:42 การรับข้อมูลในทุกๆด้านเจนใหม่ก็ต้องกลับ
00:28:43 → 00:28:48 กลับมาดูถึงเหตุผลที่มาที่ไปของการเอ่อ
00:28:48 → 00:28:52 ของของความคิดของรุ่นเก่าว่าทำไมเขาถึง
00:28:52 → 00:28:55 คิดอย่างนั้นเอ่อการเรียนถ้าในฐานะนัก
00:28:55 → 00:28:59 ประวัติศาสตร์ก็คือความคิดของคนมันก็ถูก
00:28:59 → 00:29:03 เชฟไปกับสถานการณ์ที่เค้า
00:29:03 → 00:29:08 เอิ่มที่เา้าถูกลายล้อมณณตอนนั้นในเมื่อ
00:29:08 → 00:29:12 สถานการณ์ในช่วงนั้นของคนยุคนึงเขาหล่อ
00:29:12 → 00:29:16 หลอมให้เขามีความคิดเป็นแบบนึงเราก็ต้อง
00:29:16 → 00:29:19 treat เ with respect แต่ว่าถ้าคนรุ่น
00:29:19 → 00:29:24 ใหม่เราๆมีมุมมองใหม่เราได้เสพอย่างที่
00:29:24 → 00:29:27 อย่างที่หมอบอกเราได้เสพข้อมูลใหม่ๆที่
00:29:27 → 00:29:31 มันเอ่อที่เขาคิดว่ามันคือข้อมูลที่ถูก
00:29:31 → 00:29:36 ต้องแต่อย่าลืมว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไป
00:29:36 → 00:29:39 ในยุคที่เขายืนอยู่กับยุคของคนรุ่นเก่า
00:29:39 → 00:29:42 ที่เขาก่อนหน้านี้เขาเป็นยังไงก็คือถ้า
00:29:42 → 00:29:45 กับนักศึกษาที่ที่ที่ได้สอนอยู่ใน
00:29:45 → 00:29:48 ปัจจุบันก็ค่อนข้างมีความมั่นใจว่าเาจะ
00:29:49 → 00:29:52 ตระหนักถึงความแตกต่างนี้อไม่ได้มองว่า
00:29:52 → 00:29:56 มันจะต้องแชไม่ได้มองว่ามันคือสิ่งที่
00:29:56 → 00:30:00 เอ่อโอ้คนรุ่นกล่าวผิดถ้าถ้าพูดในมุมของ
00:30:01 → 00:30:03 ของนักศึกษาที่ได้สัมผัสณปัจจุบันนะคะอ
00:30:03 → 00:30:07 เอิ่มที่ได้ที่ได้สอนเอิไม่ได้ว่านัก
00:30:07 → 00:30:10 ศึกษาเราจะดีจะดีกว่าที่อื่นแต่ว่าเราคิด
00:30:11 → 00:30:14 ว่าเา้ามีความเข้าใจว่าโ้อ้เหตุผลที่มา
00:30:14 → 00:30:17 ที่ไปของความคิดที่เขาบอกที่เขาเลเบลว่า
00:30:17 → 00:30:21 มันเป็นแบบเก่าเนี่ยมันก็มีเหตุผลมีที่มา
00:30:21 → 00:30:25 ที่ไปมีว่าเค้าทำไมถึงคิดอย่างนั้นแล้ว
00:30:25 → 00:30:28 ทำไมต้องแสดงออกแบบนั้นอืนี่ก็คือการการ
00:30:28 → 00:30:32 เปิดใจอย่างนึงในการรับข้อมูลอือคือเราก็
00:30:32 → 00:30:35 มองแบบนี้เรา criticize ได้อแต่ไม่จำเป็น
00:30:35 → 00:30:39 ต้องแชอครับค่ะ
00:30:39 → 00:30:44 อืครับเห็นภาพเลยแล้วก็ก็คืออีกอย่างนึง
00:30:44 → 00:30:46 ก็คือก็ต้องเอาข้อมูลทั้ง 2 ด้านเนี่ย
00:30:46 → 00:30:49 แหละมา Balance มารวมกัน
00:30:49 → 00:30:53 เอิมอีก Point นึงที่ที่อยากจะเสนอไว้
00:30:53 → 00:30:56 ด้วยตรงนี้ก็คือว่าเวลาเราเราเรียน
00:30:57 → 00:31:01 ประวัติศาสตร์นะค่ะในในในในระบบไทยซึ่ง
00:31:01 → 00:31:03 ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
00:31:03 → 00:31:07 หรรือยังนะคะเราจะเราจะเรียนถึงแค่ข้อมูล
00:31:07 → 00:31:10 แต่เราไม่ได้เรียนรู้ว่าการเขียน
00:31:10 → 00:31:12 ประวัติศาสตร์นั้นเกิดขึ้นอย่างไรหรือที่
00:31:12 → 00:31:14 ฝรั่งเคภาษาอังกฤษก็คือ historiography
00:31:14 → 00:31:19 อืมันก็แปลว่าการเขียนประวัติศาสตร์อือ
00:31:19 → 00:31:21 คือเวลาเราเรียนประวัติศาสตร์สิ่งที่
00:31:21 → 00:31:25 สำคัญกกว่าประวัติศาสตร์จริงๆแล้วคือการ
00:31:25 → 00:31:27 เขียนประวัติศาสตร์เพราะว่าถ้าเรารู้ว่า
00:31:27 → 00:31:32 เค้าเขียนมายังไงเช่น motive อย่างที่บอก
00:31:32 → 00:31:36 อ่ะค่ะสมมุติคนๆนี้เป็นคนร่าง
00:31:36 → 00:31:39 ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ขึ้นมาเราต้อง
00:31:39 → 00:31:44 ดูว่าคนๆนั้นเป็นใครเขาเขียนขึ้นสมัยไหนอ
00:31:44 → 00:31:49 แล้วเามีเต้องการที่จะสื่ออะไรกับคนอ่าน
00:31:49 → 00:31:54 อาฮะซึ่งในตอนนั้นอาจจะเป็นการสร้างชาติ
00:31:54 → 00:31:58 อืนน่าจะพูดได้ถึงอย่างเช่นประวัติศาสตร์
00:31:58 → 00:32:02 ชาติไทยอือฮึความเป็นชาติชาติไทยเนี่ยมัน
00:32:02 → 00:32:05 เกิดขึ้น
00:32:05 → 00:32:10 อ่ามเมื่อกรมพญาดำรงราชานุภาพเป็นคนร่าง
00:32:10 → 00:32:12 ประวัติศาสตร์ขึ้นมาที่บอกว่าเอ่อเมือง
00:32:12 → 00:32:16 หลวงของประเทศไทยที่แรกคือสุโขทัยแล้วก็
00:32:16 → 00:32:19 ย้ายมาอยุธยาแล้วก็อะไรพวกเยค่ะมันก็คือ
00:32:20 → 00:32:22 ตอบโจทย์เตอนนั้นว่าเราต้องการจะสร้าง
00:32:22 → 00:32:26 ชาติสร้างชาติไทยให้เกิดขึ้น
00:32:26 → 00:32:30 เอ่อ define ว่าคนไทยคือใครอะไรอย่าง
00:32:30 → 00:32:34 เงี้ยค่ะแต่ว่าเราเราเราก็รู้แล้วว่ามิ
00:32:34 → 00:32:38 ของท่านณตอนนั้นคือเรื่องนี้แต่ถามว่าถ้า
00:32:38 → 00:32:41 เรามองในมุมของฝรั่งที่มองไทยเราไปอ่าน
00:32:41 → 00:32:45 หนังสือของเอ่อบันทึกของ missionary เาก็
00:32:45 → 00:32:50 อาจจะมองอีกมุมนึงว่าไม่ใช่แบบนี้หรือนัก
00:32:50 → 00:32:53 หรือนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เขาก็จะมอง
00:32:53 → 00:32:55 กันว่ามันไม่ใช่ประเทศไทยไม่ได้สร้างมา
00:32:55 → 00:33:00 แบบนั้นถามว่ามันต้องแชมอืโอ้เราต้องไป
00:33:00 → 00:33:02 ต่อสู้เพื่อจะรื้อฟื้นประวัติศาสตร์เขียน
00:33:02 → 00:33:05 ใหม่มันก็ไม่ใช่ค่ะแต่เราน่าจะสอะแทรกการ
00:33:06 → 00:33:08 ความเข้าใจของการเขียนประวัติศาสตร์เข้า
00:33:08 → 00:33:09 ไป
00:33:09 → 00:33:13 โอ้โหสุดยอดคุณครูขนลุกเลยนะฮะแล้วก็สุด
00:33:13 → 00:33:19 ยอดครับเห็นภาพคุณครูกำลังจะบอกว่ามัน
00:33:19 → 00:33:23 ต่างกันได้อยู่แล้วแต่อย่าไปแชกันอันที่ 1
00:33:23 → 00:33:26 อันที่ 2 คือเปิดข้อมูลของแต่ละด้านแล้ว
00:33:26 → 00:33:29 มาวิเคราะห์แล้วรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด
00:33:29 → 00:33:33 อันที่ 3 คุณครูเสนอว่านอกจากจะดูที่มา
00:33:33 → 00:33:37 ที่ไปของคนที่เขียนแล้วหรือเรียก history
00:33:37 → 00:33:41 ให้ดูจากคนนอก his historiography ค่ะ
00:33:41 → 00:33:45 historiography นอกจากจะดูของคนในเขียน
00:33:45 → 00:33:49 ให้กับตนเองแล้วให้ดูคนนอกที่เขามองเรา
00:33:49 → 00:33:53 หรือเขียนให้กับเรามาผมมันเป็นมันเป็นการ
00:33:53 → 00:33:56 วิเคราะห์มากๆเลยนะผมเพิ่งเข้าใจว่าการ
00:33:56 → 00:33:58 เรียนประวัติศาสตร์จริงๆ
00:33:58 → 00:34:01 มันคือการวิเคราะห์แล้วมันมันต้องรวบรวม
00:34:01 → 00:34:04 หลักฐานมากๆเลยนะเพื่อที่จะค่ะนำมาสู่การ
00:34:04 → 00:34:07 สรุปแล้วหลักฐานพวกนี้มันไปหาได้จากไหน
00:34:07 → 00:34:11 มันยมีคนเก็บเหรอฮะคุณครูค่ะอันเนี้ยค่ะ
00:34:11 → 00:34:15 เป็นเป็นข้อสำคัญที่จริงๆแล้วอาจจะเชื่อม
00:34:15 → 00:34:18 ไปถึงคำถามของคุณหมอด้วยว่าอนาคตของการ
00:34:18 → 00:34:22 เรียนประวัติศาสตร์มันควรจะพัฒนาที่อะไร
00:34:22 → 00:34:24 เอิ่มตามหลักการแล้วการเรียน
00:34:24 → 00:34:26 ประวัติศาสตร์เอกศาสตร์เอกสาร
00:34:26 → 00:34:28 ประวัติศาสตร์
00:34:28 → 00:34:31 ที่เป็นเอกสาร official หรือเอกสารทางทาง
00:34:31 → 00:34:35 เอ่อทางราชการเนี่ยจะถูกเก็บที่ที่เรา
00:34:35 → 00:34:38 เรียกว่าหอจดหมายเหตุอือฮึเคยเคยได้ยิน
00:34:39 → 00:34:41 มั้ยคะไม่เคยครับเนี่ยแหละค่ะก็เป็นคำถาม
00:34:41 → 00:34:44 ที่ถามนักศึกษาอยู่ทุกอยู่ทุกเทอมค่ะว่า
00:34:44 → 00:34:47 หอจดหมายเหตุหอจดหมายเหตุแห่งชาติมีใคร
00:34:47 → 00:34:51 รู้มยว่าอยู่ที่ไหนไม่รู้เลยครับก็อยู่
00:34:51 → 00:34:54 ที่หอสมุทรแห่งชาติค่ะอืซึ่งก็อีกค่ะนัก
00:34:54 → 00:34:57 ศึกษาเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าอยู่ที่
00:34:57 → 00:35:02 ไหนเอิมแต่ถ้าเราไปเมืองนอกถ้าเราไป
00:35:02 → 00:35:06 ยุโรปทุกคนไปเที่ยว National Library
00:35:06 → 00:35:09 ของประเทศนั้นๆใช่มั้คะใช่เพราะมันสวยไป
00:35:09 → 00:35:12 ถ่ายรูปไปนู่นไปนี่แต่เราไม่รู้ว่าหอ
00:35:12 → 00:35:16 สมุทรแห่งชาติประเทศเราอยู่ที่ไหน
00:35:16 → 00:35:20 ยะผมรู้สึกผิดทันทีเลยครับคุณูจริงๆต้อง
00:35:20 → 00:35:23 รู้สึกผิดแล้วค่ะมันก็ไม่ใช่ความผิดของ
00:35:23 → 00:35:30 ของใครมันก็น่าจะเป็นก็ถ้าจะถ้าจะให้ให้
00:35:30 → 00:35:33 ให้คิดถึงอนาคตของการเรียนประวัติศาสตร์
00:35:33 → 00:35:36 เราก็ต้องมาดูถึง
00:35:36 → 00:35:40 facilities ว่ามันอำนวยต่อการเรียนหรือ
00:35:40 → 00:35:42 ไม่ค่ะอย่างเช่นอย่างที่บอกค่ะหอจดหมาย
00:35:42 → 00:35:45 เหตุแห่งชาติคือที่ที่จริงๆแล้วสำคัญที่
00:35:45 → 00:35:48 สุดสำหรับชาติเราเลยเป็นที่ที่เก็บเอกสาร
00:35:48 → 00:35:52 ทั้งเป็นความลับและไม่เป็นความลับเอิ่ม
00:35:52 → 00:35:56 ตั้งแต่สมัยที่เราเริ่มมีการเขียนเ่อ
00:35:56 → 00:35:58 อย่างประเทศไทยนะคะก็ก็คือหอจดหมายเหตุ
00:35:58 → 00:36:01 แห่งชาติก็อยู่ในรั้วเดียวกันกับหอสมุดร
00:36:01 → 00:36:04 แห่งชาติที่อยู่สามเสนอยู่ตรงสามเสนอ่าม
00:36:04 → 00:36:09 ก็จะเป็นที่เก็บเอกสารถ้าเอาแบบเก่าที่
00:36:09 → 00:36:13 สุดก็คือตั้งแต่ร 4 อือฮึเพราะถึงจะเริ่ม
00:36:13 → 00:36:17 มีการเขียนบันทึกอืเอ่อแล้วก็จนเอ่อก็จะ
00:36:18 → 00:36:21 เป็นเอกสารทั้งราชการต่างๆอ่ะค่ะ
00:36:21 → 00:36:24 สนธิสัญญาประกาศที่เป็น National
00:36:24 → 00:36:27 official ต่างๆอ่ะค่ะก็คือก็ถ้าเป็นนัก
00:36:27 → 00:36:29 ประวัติศาสตร์เราก็จะต้องไปที่นั่นเพื่อ
00:36:29 → 00:36:32 ไปค้นขวาคุณหมอรู้มั้ยคะว่าถ้าเกิดเรา
00:36:32 → 00:36:35 อยากไปดูหนังสือพิมพ์เก่าๆอืสมมุติเรา
00:36:35 → 00:36:40 รีเสิร์ชเรื่องสมัยจอมพลปอืแล้วเรารู้
00:36:41 → 00:36:43 แล้วว่าบ้านเรามีหนังสือพิมพ์ใช่มั้ยคะ
00:36:43 → 00:36:47 เราจะไปหาที่ไหนจริงๆหอสมุดรแห่งชาติมีมี
00:36:47 → 00:36:51 ห้องที่เก็บหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะอืหรือ
00:36:51 → 00:36:53 แม้กระทั่งใหม่กว่านั้นเช่นสมมุติว่ายุค
00:36:53 → 00:36:58 ต้มยำกุ้งยุคเอ่อ 1997 เอ่อเออยากไปดูดู
00:36:58 → 00:37:02 ว่าเรียนรู้ว่าเอ๊ะสมัยนั้นมันรุนแรงขนาด
00:37:02 → 00:37:04 ไหนเพราะเด็กสมัยนี้ก็เกิดไม่ทันนะเรียน
00:37:04 → 00:37:06 มหาลัยก็เกิดยุค 2 พันกันหมดแล้วใช่มั้ย
00:37:06 → 00:37:10 คะเอิ่มไม่มีใครรู้ว่าต้มยำกุ้งสมัยเรา
00:37:10 → 00:37:12 เป็นเด็กๆเนี่ยว่ามันมันกระทบกับสังคม
00:37:12 → 00:37:16 ขนาดไหนไปดูเลยค่ะมีหนังสือพิมพ์ที่เก็บ
00:37:16 → 00:37:20 ไว้ตั้งแต่สมัยนั้นมันมีอยู่แต่ว่าไม่มี
00:37:20 → 00:37:25 ใครรู้เท่าไหร่เพราะอะไระก็น่าจะเป็นเป็น
00:37:26 → 00:37:27 มันก็ต้องพัฒนาจากการจากการเรียน
00:37:27 → 00:37:31 ประวัติศาสตร์อค่ะอย่างเช่นที่บอกว่ามัน
00:37:31 → 00:37:34 เป็นความเข้าใจผิดและก็อาจจะระบบก็ไม่ได้
00:37:34 → 00:37:38 อำนวยให้เกิดการพัฒนาเท่าไหร่เอ่อการเข้า
00:37:39 → 00:37:42 ใจผิดที่ที่ว่าเราเราครูผู้สอนเสอนตาม
00:37:42 → 00:37:46 textbook เขียนมายังไงก็สอนตามนั้นเด็ก
00:37:46 → 00:37:49 ก็อ่านตามนั้นแต่ว่าถ้าเกิดมันมีการสอด
00:37:49 → 00:37:52 แทรกอย่างเช่นเราได้เอ่อคุณหมอได้สรุป
00:37:52 → 00:37:57 ก่อนหน้านี้ว่ามี fel ทริป fiel ทริปไปดู
00:37:57 → 00:37:59 หอสมุทรแห่งชาติไปดูว่าเขาเก็บอะไรกัน
00:38:00 → 00:38:03 บ้างอย่างเงี้ยมันก็สก็เด็กก็จะรู้มาก
00:38:03 → 00:38:06 ขึ้นแล้วก็รู้ว่าอ๋อจริงๆแล้วเราไม่ต้อง
00:38:06 → 00:38:09 ไปอ่านหนังสืออย่างเดียวอือเราไปเราไปดู
00:38:09 → 00:38:12 จากของจริงๆก็ได้นะแล้วมันก็จะเกิดความ
00:38:12 → 00:38:15 ตื่นเต้นค่ะเหมือนเหมือนตัวตัวนั้นเองที่
00:38:15 → 00:38:19 ได้ได้เจอเอกสารบันทึกครั้งแรกอุ๊ยลงชื่อ
00:38:19 → 00:38:22 ร 5 อย่างเงี้ยค่ะเฮ้ยมันเก่ามากนะมัน
00:38:22 → 00:38:27 เป็น 100 ปีแล้วเราได้จับอ่ะไม่รู้มันมัน
00:38:27 → 00:38:30 รู้ึกรู้สึกว่ามันมัน Spark Jo มันมัน
00:38:30 → 00:38:32 รู้สึกตื่นเต้นมันรู้สึกมีความสุขก็อาจจะ
00:38:32 → 00:38:35 ไม่ใช่เกิดขทุกคนน่ะค่ะแต่ว่ามันก็มันก็
00:38:35 → 00:38:39 จะสามารถสนับสนุนการการเรียนรู้ได้ถ้าเรา
00:38:39 → 00:38:41 ได้มีโอกาสแต่แต่ก็คือไม่ได้มีโอกาส
00:38:41 → 00:38:43 เหมือนกันตอนเด็กๆก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ
00:38:43 → 00:38:48 ว่าเอิ่ม National archive หรือหรือหรือ
00:38:48 → 00:38:50 หอจดหมายเหตุแห่งชาตินี่อยู่ที่ไหนจน
00:38:51 → 00:38:54 กระทั่งจนกระทั่งโตแล้วค่ะแต่ว่าก็คิดว่า
00:38:54 → 00:38:56 ถ้ามีโอกาสได้ไปตั้งแต่เด็กๆเนี่ยก็น่าจะ
00:38:56 → 00:39:02 ยิ่งสนุกสนุกกว่านี้อืแต่ในขณะเดียวกันใน
00:39:02 → 00:39:05 ต่างประเทศเนี่ยเค้าเค้าทำให้มันสนุกใน
00:39:05 → 00:39:08 การเรียนรู้เค้าทำให้
00:39:08 → 00:39:14 มันสะดวกด้วยซ้ำค่ะไปเวลาเวลาเราไปขอดู
00:39:14 → 00:39:17 เอกสารอย่างเช่นที่ที่ลอนดอนที่อังกฤษคือ
00:39:17 → 00:39:20 เราจองไปออนไลน์แล้วเขาก็เอามาตั้งไว้ให้
00:39:20 → 00:39:23 เราเลยเป็นเป็นการจองเป็นการจองที่นั่ง
00:39:23 → 00:39:25 เขาก็จะรู้ว่าเรา seat Number นี้แล้วก็
00:39:25 → 00:39:29 เราไปถึงปุ๊บเอกสารจะอยู่ตรงหน้าเราเลย
00:39:29 → 00:39:34 อืก็มันก็เป็นความแตกต่างนะคะแต่ในขณะ
00:39:34 → 00:39:38 เดียวกันประเทศไทยคือออนไลน์ก็ไม่ค่อยมี
00:39:38 → 00:39:42 เอ่อเราต้องไปดูแคตตาลอกเอ่อไล่ไล่ไล่ดู
00:39:42 → 00:39:45 ไปอ่ะค่ะว่าเราจะหาเอกสารอะไรแล้วเราก็ไป
00:39:45 → 00:39:49 Request รอให้เขาเอาเอกสารมาวางให้บางที
00:39:49 → 00:39:53 ก็ฝุ่นจับอือเอกสารคือไม่ได้ธนุบำรุงหรือ
00:39:53 → 00:39:56 บางทีก็หายไปแล้วอยู่ในแคตาลอกแต่พอ
00:39:56 → 00:39:59 Request ไปเอกสารจริงไม่มีอะไรอย่าเงี้ย
00:39:59 → 00:40:03 ค่ะอืมันก็คือการทำชนุบำรุง
00:40:03 → 00:40:08 เอ่อเอกสารประวัติศาสตร์อืคุณครูคิดว่า
00:40:08 → 00:40:11 เด็กเราล้าหลังมั้ยครับถ้าเทียบกับเด็กคน
00:40:11 → 00:40:15 อื่นไม่ล้าหลังหรอกค่ะคุณหมอแต่ว่าไอ้ล้า
00:40:15 → 00:40:18 หลังนี่ไม่ลไม่ล้าหลังแน่นอนเด็กเรามี
00:40:18 → 00:40:23 ศักยภาพที่มันขาดน่าจะเป็นความใฝ่รู้อื
00:40:23 → 00:40:28 คือเา้าน่าจะ expect ว่าทุกอย่างเป็นการ
00:40:28 → 00:40:33 ป้อนให้แต่ไม่ได้ไปใฝ่รู้เรียนเองเอ่อ
00:40:33 → 00:40:35 เอกสารประวัติศาสตร์หลายๆอย่างมันไม่ได้
00:40:35 → 00:40:40 จำเป็นที่จะต้องไปที่สถานที่เดี๋ยวนี้
00:40:40 → 00:40:43 ยิ่งๆยิ่งหลังจากยุคโควิดเนี่ยทุกอย่าง
00:40:43 → 00:40:49 มันก็ออนไลน์มากขึ้นอเอ่อเราสามารถดูโอ
00:40:49 → 00:40:53 สนธิสัญญาอะไรก็ตามอ่ะค่ะที่มันสำคัญใน
00:40:53 → 00:40:56 ประวัติศาสตร์หาออนไลน์ได้ทันทีเลยอือแต่
00:40:56 → 00:40:57 ว่าถามว่า
00:40:57 → 00:41:01 เด็กจะอยากไปอ่านมั้ยอืก็ไม่เค้าบอกว่าจะ
00:41:01 → 00:41:04 อนก็อ่านอ่านไปทำไมถ้าไม่ถ้าไม่ถ้าไม่
00:41:04 → 00:41:07 ต้องสอบแต่อ้าอ่านเอ่ออ่านเพื่อความสนใจ
00:41:07 → 00:41:11 มยก็อาจจะมีบ้างบางคนอืถ้าจะขาดก็ขาดความ
00:41:11 → 00:41:16 ใฝ่รู้มากกว่าค่ะอืมถ้าคุณครูอยากจะ
00:41:16 → 00:41:19 เปลี่ยนระบบการเรียนการสอนของ
00:41:19 → 00:41:22 ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยสมมุติค่ะคุณครู
00:41:23 → 00:41:25 อยากจะเปลี่ยนอะไรครับอยากให้เรียน
00:41:25 → 00:41:27 ประวัติศาสตร์
00:41:27 → 00:41:31 เพิ่มเพิ่มเติมการวิเคราะห์ข้อมูลเอ่อ
00:41:31 → 00:41:34 ชั้นต้นหรือเขาเรียกว่า Primary source
00:41:34 → 00:41:37 นะคะในในในประวัติศาสตร์ในการเรียนตั้ง
00:41:37 → 00:41:40 แต่เด็กประถมไปเลยก็ได้ค่ะไม่ได้จำเป็น
00:41:40 → 00:41:42 ว่าเด็กโตเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึง
00:41:43 → 00:41:46 เอกสารชั้นต้นได้จริงๆแล้วมันสามารถสอด
00:41:46 → 00:41:49 แทรกมันมีสเอกสารชั้นต้นที่แบบไม่ได้
00:41:49 → 00:41:52 Complex ไม่ได้ยากจนเกินไปที่จะเข้าใจ
00:41:52 → 00:41:56 บางทีมันก็แค่รูปภาพเอ่อ image บางทีมัน
00:41:56 → 00:41:59 ช่วยในการเรียนเรียนรู้แต่ว่าจำได้ในวัย
00:42:00 → 00:42:03 เด็กเราก็เรียนแค่จากหนังสือเล่มเดียวแต่
00:42:03 → 00:42:06 ในขณะเดียวกันพอเราไปเรียนต่างประเทศเรา
00:42:06 → 00:42:08 รู้ว่าเค้าเรียนเเรียนประวัติศาสตร์กัน
00:42:08 → 00:42:13 แบบว่าหนังสือเป็นกองอืในวิชาเดียวกันเรา
00:42:13 → 00:42:16 เรียนเมืองไทยหนังสือแค่นี้อืแล้วเราคิด
00:42:16 → 00:42:18 ว่าเราเก่งมากแหละเราอ่านหนังสือเล่มนี้
00:42:18 → 00:42:23 แล้วเราจำได้ทุกอย่างแต่อืการเรียนในวิชา
00:42:23 → 00:42:27 เดียวกันนั้นพอไปเรียนต่างประเทศเค้าอ่าน
00:42:27 → 00:42:30 หนังสือเป็นกองเพราะเขาคต้องการไม่ใช่ว่า
00:42:30 → 00:42:33 ออเรื่องเดียวเราต้องอ่านอ่านหลายเล่ม
00:42:33 → 00:42:35 เพื่ออะไรอ่านหลายเล่มเพื่อจะดูความเห็น
00:42:35 → 00:42:38 ที่มันแตกต่าง argument ที่มันแตกต่างไป
00:42:38 → 00:42:42 ในแต่แต่ละเล่มมันไม่เหมือนกันอืมุมมอง
00:42:42 → 00:42:47 ไม่เหมือนกันอืค่ะก็อยากจะให้พัฒนากการ
00:42:47 → 00:42:49 การสอนว่าประวัติศาสตร์มันไม่ใช่การอ่าน
00:42:49 → 00:42:51 หนังสือแค่เล่ม
00:42:51 → 00:42:56 เดียวมันคือการค้นคว้าในหลายๆแบบอยากกู
00:42:56 → 00:42:58 อยากจะเปลี่ยนจากการอ่านเป็นการค้นคว้า
00:42:58 → 00:43:02 มากกว่าตั้งโจทย์ใช่ค่ะแล้วค้นคว้าเหมือน
00:43:02 → 00:43:07 อินโจนใช่ค่ะครับใช่โดยเอาข้อมูลมาแบใช่
00:43:07 → 00:43:10 ค่ะคุณครูคิดว่าประวัติศาสตร์มันเปลี่ยนม
00:43:10 → 00:43:13 คือคำถามผมอาจจะไม่เคลียร์นะแต่หมายถึง
00:43:13 → 00:43:15 ว่าเนื่องจากยุค
00:43:15 → 00:43:19 เทคโนโลยีสังคมมันเร็วขึ้นเรื่อยๆค่ะการ
00:43:19 → 00:43:22 เปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ยุคก่อนมันจะ
00:43:22 → 00:43:27 ช้ายุคนี้มันเร็วขึ้นมยมันคือคือ of the
00:43:27 → 00:43:30 Society อือฮึ And History Evolution
00:43:30 → 00:43:33 มันมันเปลี่ยนไปมันเปลี่ยนเร็ว
00:43:33 → 00:43:36 ประวัติศาสตร์มันเปลี่ยนเร็วขึ้นมเหรอคะ
00:43:36 → 00:43:39 คือเหตุการณ์มันเยอะขึ้น Event มันเยอะ
00:43:39 → 00:43:42 ขึ้นจริงๆ
00:43:42 → 00:43:45 แล้วส่วนตัวไม่ได้คิดว่ามันเปลี่ยนเร็ว
00:43:45 → 00:43:47 ขึ้นแต่เรา perceive ข้อมูลได้เร็วขึ้น
00:43:47 → 00:43:50 อือฮึเราได้รับข้อมูลเร็วขึ้นเราได้รับ
00:43:50 → 00:43:55 ข้อมูลจากหลายทางมากขึ้นและหลายฝ่ายมาก
00:43:55 → 00:43:57 ขึ้นสมมุติใน Conflict เดียวกันหรือ
00:43:57 → 00:44:01 เรื่องเดียวกันสมัยก่อนเราอาจจะรับได้ทาง
00:44:01 → 00:44:05 เดียวคือจากสื่อสื่อทางการของประเทศเรา
00:44:05 → 00:44:10 เท่านั้นอืเอ่อแต่ว่าในปัจจุบันนี้จะเอา
00:44:10 → 00:44:13 สื่อจากไหนจากด้านไหนเราเราได้หมดมันก็
00:44:13 → 00:44:15 เลยดูเหมือนเร็วขึ้นค่ะแต่จริงๆแล้วไม่
00:44:15 → 00:44:19 ได้ไม่ได้คิดว่าเพสมันมันเร็วไปมากกว่า
00:44:19 → 00:44:23 เดิมสักสักเท่าไหร่อืมครับแล้วมันก็ดี
00:44:23 → 00:44:27 ด้วยซ้ำเราได้มองหลายๆมุมใช่
00:44:27 → 00:44:31 จริงๆแล้วปัจจุบันมันทำให้การเรียน
00:44:31 → 00:44:35 ประวัติศาสตร์ง่ายขึ้นด้วยซ้ำเพราะเรา
00:44:35 → 00:44:37 วิเคราะห์ได้เร็วขึ้นเนื่องจากเราไม่ต้อง
00:44:37 → 00:44:44 ไปค้นหาเพิ่มเติมเอ่อหรือไปถ้าเป็นแบบ
00:44:44 → 00:44:47 สมัยนักประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์โบราณ
00:44:47 → 00:44:50 สมมุติเราจะค้นหาเรื่องนึงเราอาจจะต้องไป
00:44:50 → 00:44:53 เดินทางไปที่เหล่านั้นเพื่อไปหาใช่มั้ยคะ
00:44:53 → 00:44:56 เดี๋ยวนี้เราก็นั่งอยู่ที่บ้านเสิรชมันก็
00:44:56 → 00:45:00 มันก็ได้ครบค่อนข้างครบค่ะความเชื่อผิดๆ
00:45:00 → 00:45:03 เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เอาแบบคลาสสิคเลย
00:45:03 → 00:45:07 ที่ที่ทุกคนคิดนะ
00:45:07 → 00:45:11 คะขอแก้คำถามนิดนึงมันไม่ผิดแต่ว่ามัน
00:45:11 → 00:45:16 เป็นการมองด้านเดียวกับด้านที่เขาคุ้นชิน
00:45:16 → 00:45:23 เอาง่ายๆก็ทำไมเราต้องเกลียดพม่าอื
00:45:23 → 00:45:27 อืทุกคนรู้ว่าเอ่อพม่าเป็น
00:45:27 → 00:45:30 enemy ในเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
00:45:30 → 00:45:33 อืทำไมต้องเป็นอย่างนั้นน่ะคะเราก็ถาม
00:45:33 → 00:45:37 เด็กว่าทำไมทำไมยูถึงคิดว่าอย่างงั้น
00:45:37 → 00:45:40 อ่าบางทีการเรียนประวัติศาสตร์คือการเข้า
00:45:40 → 00:45:44 ใจคซโดยรวมอย่างเช่นเรื่องเรื่องเรื่อง
00:45:44 → 00:45:48 นี้ก็คือเรื่องทฤษฎีการสร้างชาติ
00:45:48 → 00:45:50 nationalism การสร้างชาติ Nation
00:45:50 → 00:45:53 Building ว่าชาติมันมาได้ยังไงเ่อ
00:45:53 → 00:45:57 Element นึงของการสร้างชาติก็คือเราต้อง
00:45:57 → 00:45:58 สร้าง
00:45:58 → 00:46:01 enemy อืเราต้องสร้าง Common enemy
00:46:01 → 00:46:05 เพราะว่าอย่าลืมว่าคนไทยเราไม่ได้เหมือน
00:46:05 → 00:46:07 กันทุกคนเราไม่ได้มาจากที่เดียวกันทุกคน
00:46:07 → 00:46:10 ใช่มยคะอืออ่าเรามีหลายหลากหลายเชื้อชาติ
00:46:10 → 00:46:14 ศาสนาเอ่อแล้วเราจะรวมยังไงให้คนรู้สึก
00:46:14 → 00:46:18 ความเป็นชาติเเรียกว่าสร้าง Common enemy
00:46:18 → 00:46:22 ศัตรูที่เราแชร์ด้วยกันอ่าข้าสร้างศัตรู
00:46:22 → 00:46:24 เดียวกันใช่ค่ะที่มันจะเขียนใน
00:46:24 → 00:46:27 ประวัติศาสตร์แล้วมันสนุกแล้วมันสามารถ
00:46:27 → 00:46:32 กระตุ้นให้เราอ่ะรักในความเป็นชาติชนชาติ
00:46:32 → 00:46:34 เราได้มากขึ้น
00:46:34 → 00:46:37 ออก็ไม่ได้ว่าเบลมว่าท่านที่เขาเขียน
00:46:37 → 00:46:40 ประวัติศาสตร์ผิดนะคะเออก็ไม่ผิดอันนี้ก็
00:46:40 → 00:46:44 คล้ายๆกับคำถามที่เราคุยกันไปตอนแรกในมุม
00:46:44 → 00:46:47 มองเตอนนั้นสิ่งที่เขาทำมันอาจจะจำเป็น
00:46:47 → 00:46:50 จำเป็นเออครับแต่ในมองมุมมองเราตอนนี้ถาม
00:46:50 → 00:46:53 ว่าเด็กสมัยนี้หรือตัวเราเองก็ตามเราต้อง
00:46:53 → 00:46:59 เกลียดพม่าด้วยมยเออเคยเคยมีถามคนถามคน
00:46:59 → 00:47:01 ที่รู้จักนะเขว่าเ้ยไปเที่ยวพม่ากันมั้ย
00:47:01 → 00:47:06 โอ๊ยไม่ไปอ่ะมันมันขโมยเขาขโมยเอิ่ทองไป
00:47:07 → 00:47:10 ชเวดากองอย่างเงี้ยมันก็เป็นความคิดว่า
00:47:10 → 00:47:14 สมัยเออยุธยาเมาเผาบ้านเมืองเราเออแล้ว
00:47:14 → 00:47:16 เอาทองไปสร้างเจดีย์ชเวดากองอะไรอย่าง
00:47:16 → 00:47:19 เงี้ยค่ะมันก็อาจจะจริงหรือไม่จริงเราไม่
00:47:20 → 00:47:23 รู้เพราะเราไม่มีรูปเราไม่มีตอนนั้นมัน
00:47:23 → 00:47:25 ไม่มีโฟกี่มันไม่เราไม่ได้ถ่ายอะไรมาใช่
00:47:25 → 00:47:28 มั้ยคะเราไม่รู้ว่าพม่าเอาทองจากอยุธยาไป
00:47:28 → 00:47:32 สร้างจริงหรือเปล่าเออแต่โอ้ความคิดนี้
00:47:32 → 00:47:35 มันไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นในสมัยนี้
00:47:35 → 00:47:39 อืความคิดนี้มันควรจะมองในมุมที่ลึกเข้า
00:47:39 → 00:47:42 ไปอย่างอย่างที่บอกค่ะวิเคราะห์เข้าไปว่า
00:47:42 → 00:47:45 ไอ้ความคิดนี้มันเกิดขึ้นตอนนั้นคือตอน
00:47:45 → 00:47:48 ที่เรากำลังสร้างชาติแล้ว Element ของการ
00:47:48 → 00:47:50 สร้างชาติมีอะไรบ้าง
00:47:50 → 00:47:55 อืแล้วก็โอเคก็เข้าใจเข้าใจมันในรูปแบบ
00:47:55 → 00:47:59 นั้นอือืแล้วก็ไม่ได้ต้องคิดว่าโอ้พม่า
00:47:59 → 00:48:03 คือประเทศที่ขโมยทองไปจากเรา
00:48:03 → 00:48:07 อืคือมันจบแล้วคุณครูกำลังจะบอกแล้วยุค
00:48:07 → 00:48:10 นั้นมันมีบริบทของมันมันมีที่มาที่ไปของ
00:48:10 → 00:48:13 มันบถูกต้องค่ะแล้วมันจบตั้งแต่ยุคนั้น
00:48:13 → 00:48:17 เราไม่ควรจะลากข้ามยุคข้ามสมัยมาถึง
00:48:17 → 00:48:20 ปัจจุบันนคแต่เข้าใจในในเรียกว่าเข้าใจใน
00:48:20 → 00:48:25 เลนส์ของยุคนั้นเออใส่เหมือนใส่กรอบแว่น
00:48:25 → 00:48:29 ใส่แว่นของของของยุคนั้นเพื่อที่จะเข้าใจ
00:48:29 → 00:48:33 มันคือทุกประเทศมีค่ะอย่างเช่นจีนจีน
00:48:33 → 00:48:37 ญี่ปุ่นเกาหลีเอ่อเขาคก็มีเก็มี Part of
00:48:37 → 00:48:40 History ที่มันเบลมซึ่งกันและกันอย่าง
00:48:40 → 00:48:44 เงี้ยค่ะเบลมว่าเขทำเราเราทำเค้าลาวไทย
00:48:44 → 00:48:48 พม่าไทยเขมรไทยมีหมดมีครับซิกกับอิสลามก็
00:48:48 → 00:48:55 มีซิกกับอิสลามมีครับทีนี้การที่เราเยอัน
00:48:55 → 00:48:58 นี้ถามแบบไม่รู้คำถามนี่ถูกหรือเปล่านะ
00:48:58 → 00:49:00 เรื่องหัวข้อวันนี้มัน sensitive หลายๆ
00:49:00 → 00:49:02 เรื่องนะผมก็จะระวังคำพูดแต่ว่าอยากให้
00:49:02 → 00:49:07 เข้าใจเจตนาผมนะโอเคการที่เราไม่หรือเรา
00:49:07 → 00:49:11 ลืมประวัติศาสตร์อือย่างที่คุณครูบอกมัน
00:49:11 → 00:49:16 เป็นยุคยุคสมัยควรจะผ่านไปได้ค่ะถ้าเรา
00:49:16 → 00:49:18 ลืมมันหรือเราเเรียกว่าเรา Move on เรา
00:49:18 → 00:49:21 get Over มันแล้วเรามองในเลนสว่ามัน
00:49:21 → 00:49:24 เป็นปัญหาของยุเราจะถูกมองว่าเด็กคนนี้
00:49:24 → 00:49:28 มันลืมประวัติศาสตร์ไอ้เด็กคนนี้มันอย่าง
00:49:28 → 00:49:31 เงี้ยที่บอกว่ามันไม่เกลียดพม่าเออมันลืม
00:49:31 → 00:49:36 ประวัติศาสตร์มันลืมอืออดีตมันว่าเขาเคย
00:49:36 → 00:49:39 ทำอย่างนี้กับพ่อแม่บรรพบุรุษเราค่ะคุณ
00:49:39 → 00:49:42 ครูจะตอบว่าไงครับเราก็มองกลับไปคนนั้น
00:49:42 → 00:49:45 ใหม่ว่าเขาอเสพประวัติศาสตร์มาในแบบไหน
00:49:45 → 00:49:48 อือแล้วอะไรทำให้เขาเชื่อในความในความคิด
00:49:48 → 00:49:51 นั้นอืออย่า
00:49:51 → 00:49:55 ไปก็ก็อย่าแต่ไม่ได้ว่าให้ันะคะไม่ได้ให้
00:49:55 → 00:49:59 ตัดสินคนด้วยคามความคิดของคนคนนั้นแต่ว่า
00:49:59 → 00:50:02 เราเราน่าจะวิเคราะห์ใช้ความใช้ใช้
00:50:02 → 00:50:06 ability ใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ว่า
00:50:06 → 00:50:09 สิ่งที่เขาพูดออกมาเนี่ยมันเป็นเพราะความ
00:50:09 → 00:50:13 คิดที่เขาถูกเชฟมาเป็นแบบนี้อืเราไม่
00:50:13 → 00:50:18 จำเป็นต้องไปโต้ตอบหรือไม่จำเป็นต้องไป
00:50:18 → 00:50:22 เอ่อไป attack เหรือว่าไป correct เมัน
00:50:22 → 00:50:27 เปนมันอาจจะไม่จำเป็นก็กับเ at the end
00:50:27 → 00:50:31 โลกนี้มันก็คือความแตกต่างอืมอืเราเรา
00:50:31 → 00:50:34 เรียนประวัติศาสตร์ไปก็เพื่อเพื่อให้เข้า
00:50:34 → 00:50:37 ใจความแตกต่างด้วยเ้อันนี้โดนมากครับครับ
00:50:37 → 00:50:40 โอ้อันนี้อันนี้ผมว่าเป็นเราเรียน
00:50:40 → 00:50:43 ประวัติศาสตร์เพื่อในที่สุดให้เข้าใจว่า
00:50:43 → 00:50:47 มนุษย์มีความแตกต่างใช่ค่ะให้เข้าใจว่า
00:50:47 → 00:50:52 ทุกอย่างมัน evolve overt นะค่ะมันมัน
00:50:52 → 00:50:56 เปลี่ยนแปลงใช่ค่ะตามกาลเวลาถูกต้องค่ะ
00:50:56 → 00:50:57 แม้กระทั่งงการเขียนประวัติศาสตร์การเข้า
00:50:57 → 00:51:00 ใจประวัติศาสตร์ความเข้าใจประวัติศาสตร์
00:51:00 → 00:51:02 มันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาสมัยก่อนเราเข้า
00:51:02 → 00:51:04 ใจว่าอย่าง
00:51:04 → 00:51:08 งี้ขึ้นมายุคพ่อแม่เราเข้าใจแบบนี้มาถึง
00:51:08 → 00:51:11 ยุคเรายุคลูกหลานก็จะเข้าใจอีกแบบนึงมัน
00:51:11 → 00:51:14 ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร
00:51:15 → 00:51:20 แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือให้เชว่าใน
00:51:20 → 00:51:22 ฐานะนักศึกษานัก
00:51:22 → 00:51:27 ประวัติศาสตร์หรือเอ่อผู้ที่มีความสนใจ
00:51:27 → 00:51:29 ทางประวัติศาสตร์เนี่ยเราก็ควรตระหนักถึง
00:51:29 → 00:51:32 ตระหนักถึงว่าข้อมูลที่ได้เราที่เราได้
00:51:32 → 00:51:36 รับมามันไม่ใช่ด้านเดียวอืมันต้องมีหลายๆ
00:51:36 → 00:51:40 ด้านมาประกอบกันแล้วเราก็วิเคราะห์ว่าเรา
00:51:40 → 00:51:44 ควรจะเชื่ออันไหนมากที่สุดอืหรือไม่ต้อง
00:51:44 → 00:51:46 เชื่ออันไหนเลยก็ได้
00:51:47 → 00:51:50 อืค่ะแล้วถ้าไม่เชื่อมันหมายความว่าอะไร
00:51:50 → 00:51:52 นะถไม่เชื่อเลยมันก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่มี
00:51:52 → 00:51:56 จุดยืนิครับมันก็มันก็แปลว่าเราเลือกที่
00:51:56 → 00:51:59 จะไม่เชื่อเพราะว่ามันไม่ได้มีหลักฐาน
00:51:59 → 00:52:02 เพียงพอ
00:52:02 → 00:52:05 เอ่อแต่เรารู้เราตระหนักว่ามันมีอะไรบ้าง
00:52:05 → 00:52:08 แล้วมีความคิดแบบไหนที่เกิดขึ้นบ้างออื
00:52:08 → 00:52:11 เรารู้ที่มาที่ไปแต่แค่เรามีจุดยืนว่าเรา
00:52:11 → 00:52:14 ไม่ได้เอนไปทางด้านถูกต้องค่ะ
00:52:14 → 00:52:18 อืสุดยอดครับวันนี้เป็นเป็นพแสที่สำหรับ
00:52:18 → 00:52:22 ผมนะเป็นหนึ่งในพแสที่ผมชอบมากนะครับ
00:52:22 → 00:52:25 สำหรับผมเป็นหนึ่งในพแสที่ผมประทับใจมากๆ
00:52:25 → 00:52:29 แลผมถือว่าว่าหมอชนคุยเนี่ยที่ตั้งใจทำมา
00:52:29 → 00:52:34 เนี่ยวันนี้เป็นตอนที่บรรลุระดับนึงเลยนะ
00:52:34 → 00:52:38 ครับต้องชื่นชมคุณครูมากๆนะครับว่าที่สละ
00:52:38 → 00:52:42 เวลาแล้วคุณครูผมว่าสื่อสารได้เคลียร์
00:52:42 → 00:52:45 แล้วผมก็ขอโทษเพราะว่าคำถามที่ผมเตรียม
00:52:45 → 00:52:49 กับ Flow ที่มันเกิดมันคนละเรื่องเลยครับ
00:52:49 → 00:52:54 แล้วคุณครูก็ก็ตอบผมแบบความซื่อตรงได้ดี
00:52:54 → 00:52:57 มากแบบ Authentic and siner Answer นะ
00:52:57 → 00:52:59 ขอบคุณค่ะคำถามที่เราเตรียมกันหลังบ้าน
00:52:59 → 00:53:01 ที่ผมส่งให้คุณครูเนี่ยกับวันนี้ที่คุย
00:53:01 → 00:53:05 กันเนี่ยมันคนละมุมเลยเพราะว่าเราในฐานะ
00:53:05 → 00:53:10 คนสัมภาษณ์นะ Flow ของการคุยอ่ะมันออกมา
00:53:10 → 00:53:12 มันเป็นงานครีเอทีฟอ่ะมันออกมาออกมาออกมา
00:53:12 → 00:53:15 เองโดยที่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจแต่สุดท้ายคนู
00:53:15 → 00:53:19 อยากมีอะไรจะเสริมจะเพิ่มหรืออยากทิ้ง
00:53:19 → 00:53:23 ท้ายอะไรมครับก็ก็คงจะบอก
00:53:23 → 00:53:29 ว่าอยากให้คุณพ่อคุณแม่แล้วก็เด็กๆรุ่น
00:53:29 → 00:53:31 ใหม่ไม่ไม่ไม่ล้าทิ้งการเรียน
00:53:31 → 00:53:34 ประวัติศาสตร์แล้วก็ไม่อย่าไปมี B แอสกับ
00:53:34 → 00:53:40 มันอย่าไปมีความเชื่อด้านใดด้านนึงไม่ค่ะ
00:53:40 → 00:53:43 อย่าอย่าไปไบแอสกับการเรียนประวัติศาสตร์
00:53:43 → 00:53:47 by แอภาษาไทยถ้าให้แอคติเอออย่าไปมีอคติ
00:53:47 → 00:53:50 กับมันว่าโอ๊ยเข้ามาเรียนคลาสเนี้ยต้อง
00:53:50 → 00:53:55 หลับแน่ๆเออหรือเรียนๆไปทำข้อสอบเสร็จ
00:53:55 → 00:53:58 โอเคก็พอแล้วเดี๋ยวก็ทิ้งโน้ตแล้วก็ลืม
00:53:58 → 00:54:02 มันไม่ใช่การเรียนเพื่อเอาข้อมูลมันไม่
00:54:02 → 00:54:05 ใช่ informative Learning มันเป็นเรา
00:54:05 → 00:54:09 อยากให้นักเรียนรู้จักการวิเคราะห์แล้วก็
00:54:09 → 00:54:12 เอาไป Apply กับอย่างอื่นแล้วก็
00:54:12 → 00:54:15 ประวัติศาสตร์มันก็ไม่ใช่แค่
00:54:15 → 00:54:18 ประวัติศาสตร์เท่านั้นคือว่าอะไรเกิดเกิด
00:54:18 → 00:54:20 1 2 3 4 แต่อยากให้รู้จักการเอาไป
00:54:20 → 00:54:23 เชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆในชีวิตประจำวัน
00:54:23 → 00:54:27 อืแล้วก็คือที่สำคัญที่สุดก็ก็คือตระหนัก
00:54:27 → 00:54:30 รู้ถึง
00:54:30 → 00:54:34 เอ่อข้อมูลมันเป็นการอีกอย่างนึงมันก็คือ
00:54:34 → 00:54:39 การฝึกสกิลในการรับข้อมูลอือว่าซึ่งซึนัท
00:54:39 → 00:54:43 คิดว่าตอนนี้คือปัญหาที่ระดับชาติสำหรับ
00:54:43 → 00:54:47 เด็กรุ่นใหม่หรือคนในปัจจุบันก็ตามก็คือ
00:54:47 → 00:54:49 เรารับข้อมูลแบบ
00:54:49 → 00:54:53 ว่าเรารับอย่างเดียวอืเราเราไม่ได้คิด
00:54:53 → 00:54:54 วิเคราะห์ซึ่งีินี้ก็คือสกิลนัก
00:54:55 → 00:54:58 ประวัติศาสตร์คือเรากรองข้อมูลก่อนที่เรา
00:54:58 → 00:55:01 จะเชื่ออืหรืออย่างที่คุยกันมันไม่ต้อง
00:55:01 → 00:55:05 เชื่อก็ได้อืมันก็มันก็เหมือนกันเสพสื่อ
00:55:05 → 00:55:08 เสพทุกอย่างในปัจจุบันเยค่ะข้อมูลบาง
00:55:08 → 00:55:12 อย่างคนเราบอกมาโซเชียล Media บอกมาเรา
00:55:12 → 00:55:16 ต้องเชื่อ 100% มเราดูก่อนมยว่ามันมาจาก
00:55:16 → 00:55:19 ใครเนี่ยค่ะ historiography มันมาจากใคร
00:55:19 → 00:55:22 ใครเป็นคนพูดเาต้องการอะไรในการเสนอ
00:55:22 → 00:55:25 เรื่องนี้ขึ้นมา
00:55:25 → 00:55:29 อืค่ะขอบพระคุณคุณครูมากครับที่สละเวลามา
00:55:29 → 00:55:34 ส่ะผมเชื่อว่าเราหลายคนน่าจะได้อะไรจาก
00:55:34 → 00:55:39 ตอนนี้นะครับนั่นคือเหตุผลที่เวทีพอดแคส
00:55:39 → 00:55:43 หมอชนคุยเกิดขึ้นมาก็เพราะว่าผมเองก็มอง
00:55:43 → 00:55:49 เห็นอะไรบางอย่างและมองเห็นปัญหาของสังคม
00:55:49 → 00:55:53 เลยอยากจะเชิญชวนคนที่เก่งกว่าผมในเวทีใน
00:55:53 → 00:55:58 สาขานั้นๆมาแบ่งปันบนเวทีเพื่อที่ให้เรา
00:55:58 → 00:55:59 เนี่ย
00:55:59 → 00:56:02 วิเคราะห์เราสังเกตมั้ยครับจากคนที่เค้า
00:56:02 → 00:56:06 อยู่ในงานจริงๆเนี่ยคนที่เค้ามีความ
00:56:06 → 00:56:09 เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆเนี่ยเค้าจะไม่ให้
00:56:09 → 00:56:13 ข้อมูลแบบฟันธงให้เราแต่เขาจะวิเคราะห์
00:56:13 → 00:56:17 และนำเสนอข้อมูลให้เราและให้เราเป็นคนคิด
00:56:17 → 00:56:21 นั่นครับคือหน้าที่ของสื่อที่ดีสื่อที่ดี
00:56:21 → 00:56:26 คือการเอาข้อมูลทั้ง 2 ด้านมาให้เราแต่
00:56:26 → 00:56:29 สื่อที่วิทยากรเองเนี่ยพยายามจะโน้มน้าว
00:56:29 → 00:56:32 เราพยายามจะให้ข้อมูล
00:56:32 → 00:56:36 ที่ที่สื่อให้เห็นว่าวิทยากรเองก็เชื่อ
00:56:36 → 00:56:38 อย่างนั้นเนี่ยเป็นสื่อที่อาจจะไม่ตรง
00:56:38 → 00:56:41 เท่าไหร่ไม่ได้เป็นสื่อป้อนมากกว่าไม่ใช่
00:56:41 → 00:56:44 สื่อที่สอนให้เราวิเคราะห์นะครับนั้นผม
00:56:44 → 00:56:48 เชื่อว่าครูนัทเนี่ยได้ทำหน้าที่ของตนเอง
00:56:48 → 00:56:51 อย่างสมบูรณ์นะที่สละเวลามาแล้วพยายาม
00:56:51 → 00:56:55 กระตุ้นให้เราคิดว่าทุกข้อมูลที่เราเสฟ
00:56:55 → 00:56:57 ก่อนที่เราจะชื่อเชื่อเราถอยหลังเรา
00:56:57 → 00:57:00 วิเคราะห์เราเปิดโอกาสให้ตัวเองมองเห็น
00:57:00 → 00:57:04 ภาพรวมแล้วหรือยังเพราะปัญหาบ้านเมืองที่
00:57:04 → 00:57:07 เรากำลังเห็นปัจจุบันคือเราเสพเราไม่ได้
00:57:07 → 00:57:11 วิเคราะห์และเรามาประทับกันวันนี้ผมได้
00:57:11 → 00:57:13 เรียนรู้อะไรเยอะมากแล้วก็คุณครูได้เตือน
00:57:13 → 00:57:18 สติอะไรผมอีกหลายๆด้านขอไม่
00:57:18 → 00:57:24 พอกผมก็จะเก็บไปใช้กับลูกๆนะครับก็ก็ฝัน
00:57:24 → 00:57:27 ครับก็อยากให้ลูกเราเนี่ยอย่างน้อยได้
00:57:27 → 00:57:30 บุคลิกบางอย่างของคุณครูแค่นี้ก็เพียงพอ
00:57:30 → 00:57:34 นะครับโครูเนี่ยสำคัญสำหรับประเทศนะผมว่า
00:57:34 → 00:57:39 นะถ้ามีคุณครูแบบครูนัเนี่ยที่ปลุกระดม
00:57:39 → 00:57:43 ให้เด็กๆคิดได้วิเคราะห์เป็นเนี่ยก็ฝาก
00:57:43 → 00:57:46 บ้านเมืองไว้ขอบคุณครูอันนี้กราบด้วยด้วย
00:57:46 → 00:57:50 ใจจริงนะครับความเป็นครูพสนี้น่าจะเกิด
00:57:50 → 00:57:54 ประโยชน์แลฝากแชร์ให้กับคนรากยากให้มาก
00:57:54 → 00:57:57 ที่สุดและกระตุ้นยังไงให้เเห็นภาพให้เฟัง
00:57:57 → 00:58:01 จนจบนะครับหน้าที่ผมก็แค่ดึงคนที่ผมเห็น
00:58:01 → 00:58:05 ว่ามีศักยภาพมาแบ่งปันในเวทีหมอชวนคุยใน
00:58:05 → 00:58:08 ภาษาบ้านๆนะครับเพื่อให้เกิดการเปลี่ยน
00:58:08 → 00:58:10 แปลงในบ้านเมือง
00:58:10 → 00:58:14 เพราะหน้าที่การพัฒนาบ้านเมืองเป็นโจทย์
00:58:14 → 00:58:17 ของเราทุกคนไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงาน
00:58:17 → 00:58:22 หนึ่งนะครับแขกรับเชิญคนต่อไปจะเป็นใครรอ
00:58:22 → 00:58:26 ติดตามสำหรับผมหมอวินัยเวทีหมอชวนคุยขอลา
00:58:26 → 00:58:29 นะครับสวัสดีครับ