00:00:00 → 00:00:01 เกิดการอักเสบเหมือนกันหน้าคุณแดงหน้าคุณ
00:00:01 → 00:00:04 ร้องอ้าวแต่ทำไมผิวดีขึ้นการอักเสบเล็กๆ
00:00:04 → 00:00:07 น้อยๆคือสิ่งหนึงที่เราไม่ค่อยใส่ใจและนำ
00:00:07 → 00:00:10 ไปสู่การเสื่อมไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดหัว
00:00:10 → 00:00:12 ใจเสื่อมสมองเสื่อมภูมิคุ้มกันเสื่อมคน
00:00:12 → 00:00:15 จึงเป็นมะเร็งเยอะขึ้นการเป็นมะเร็งจึง
00:00:15 → 00:00:17 เจอสูงขึ้นแล้วก็เจอในคนที่อายุน้อยมาก
00:00:17 → 00:00:20 ขึ้นสิ่งเหล่าเนี้ยคือปัญหาที่จะส่งผลต่อ
00:00:20 → 00:00:24 สุขภาพเราในระยะยาวและส่งผลให้เกิดปัญหา
00:00:24 → 00:00:26 ที่อันตรายต่อชีวิตเรา
00:00:26 → 00:00:29 ด้วยสวัสดีครับยินดีต้อนรับเข้าสู่ Doctor
00:00:29 → 00:00:31 Talk podcast ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญทาง
00:00:31 → 00:00:34 ด้านสุขภาพจะมาพูดคุยประเด็นเรื่องสุขภาพ
00:00:34 → 00:00:36 ต่างๆอยู่กับผมหมอจิมมี่แพทย์ผู้เชี่ยว
00:00:36 → 00:00:39 ชาญทางด้านวิทยศาสตร์ป้องกัน EP นี้เราจะ
00:00:39 → 00:00:42 มาพูดถึงการชะลอวัยถ้าพูดถึงเรื่องทอินี้
00:00:42 → 00:00:44 แล้วเนี่ยยังไงก็ต้องเจิอาจารย์ของผมครับ
00:00:44 → 00:00:47 ซึ่งเป็นเจ้าของคลินิคเป็นเจ้าของหนังสือ
00:00:47 → 00:00:49 เรียกว่า Anti aging by doct มาดขอ
00:00:49 → 00:00:51 เชิญอาจารย์มาดนะครับอาจารย์ครับสวัสดี
00:00:51 → 00:00:54 ครับสวัสดีครับอาจารย์มีความคิดยังไงบ้าง
00:00:54 → 00:00:56 เกี่ยวกับเรื่องความแก่เพราะบางคนเนี่ย
00:00:56 → 00:00:59 อุ๊ย 40 แล้วฉันเริ่มแก่หรือเปล่าฉัน
00:00:59 → 00:01:01 เริ่มมีริ้วรอย่างเงี้ยครับอาจารย์คิดว่า
00:01:01 → 00:01:02 ความแก่คืออะไรอ่ะครับความแก่มันคือ
00:01:02 → 00:01:06 เรื่องของธรรมชาติเนาซึ่งเราก็คงถ้าเคย
00:01:06 → 00:01:08 หลักการธรรมะเนี่ยเราก็คงจะได้ยินเกิดแก่
00:01:08 → 00:01:11 เจ็บตายแต่มนุษย์เราเนี่ยเป็นสิ่งที่
00:01:11 → 00:01:14 พยายามจะเอาชนะธรรมชาติเนาะเพราะฉะนั้นพอ
00:01:15 → 00:01:18 เราพบว่าเราเกิดการเจ็บป่วยเราก็พยายามหา
00:01:18 → 00:01:20 ต้นเหตุของความเจ็บป่วยนั่นคือที่มาของ
00:01:21 → 00:01:23 ศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบันแต่จริงๆแล้ว
00:01:23 → 00:01:24 ก่อนที่จะเกิดศาสตร์ของแพทย์ปัจจุบัน
00:01:24 → 00:01:26 เนี่ยเราก็มีศาสตร์แห่งการเยียวยารักษา
00:01:26 → 00:01:29 ตัวเองไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนแพทย์แผน
00:01:29 → 00:01:31 ไทยแต่ว่าศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่
00:01:31 → 00:01:33 สุดก็ต้องยอมรับว่ามันคือศาสตร์ของแพทย์
00:01:33 → 00:01:36 ปัจจุบันหรือที่เกิดขึ้นจากยุโรปนั่นเอง
00:01:36 → 00:01:38 เพราะว่ามันมีการพิสูจน์มันมีการทดลองมี
00:01:38 → 00:01:41 วิธีการคิดแบบวิทยาศาสตร์เนาะเราก็เริ่ม
00:01:41 → 00:01:44 ไปดูความแก่นะซึ่งเราก็มองว่าเอ๊ะการแก่
00:01:44 → 00:01:46 มันใช่เรื่องธรรมชาติหรือเปล่านักศาสตร์
00:01:46 → 00:01:48 ทางด้านนึงก็อาจจะมองว่าเอทุกคนยังไงก็
00:01:48 → 00:01:50 ต้องแก่แต่สิ่งนึงเราพบว่าคนที่อายุเท่า
00:01:50 → 00:01:53 กัน 60 เท่ากันทำไมหน้าตาแก่ไม่เท่ากัน
00:01:53 → 00:01:56 ทำไมบางคนป่วยบางคนยังแข็งแรงอาจารย์ยัง
00:01:56 → 00:01:58 อยู่เด็กเลยอ่าแปลว่าการแกะเนี่ยมันต้อง
00:01:58 → 00:02:01 มีต้นเหตุครับดนั้นมันก็เลยเกิดการ
00:02:01 → 00:02:03 พัฒนาศาสตร์ทางด้านนี้นะซึ่งในเมืองนอกก็
00:02:03 → 00:02:05 อาจจะใช้ชื่อว่า Anti aging ซึ่งมันเกิด
00:02:05 → 00:02:08 ในปี 1992 เนาะณวันนี้เนี่ยศาทางด้าเนี่ย
00:02:08 → 00:02:11 ค่อยๆเติบโตซึ่งตอนแรกๆในช่วงใหม่ๆก็ต้อง
00:02:11 → 00:02:14 ยอมรับว่าแพทย์บันก็ไม่ยอมรับเพราะเชื่อ
00:02:14 → 00:02:16 ว่ามันไม่มีอยู่จริงแต่พอผ่านไปสัก 20
00:02:16 → 00:02:19 นี่จะครบรอบ 30 ปีแล้วเนี่ยเราเริ่มพบว่า
00:02:19 → 00:02:22 มันมีหลักฐานการพิสูจน์ว่าเรารู้ว่าต้น
00:02:22 → 00:02:25 เหตุของการแก่แล้วเราก็พบว่าคนแต่ละคน
00:02:25 → 00:02:28 เนี่ยมีต้นเหตุของการแก่แล้วก็มีเอ่อ
00:02:28 → 00:02:31 ปัจจัยที่เร่งแก่หรือบางคนอาจจะมีปัจจัย
00:02:31 → 00:02:34 ที่ชะลอการแก่ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เนี่ยพอ
00:02:34 → 00:02:37 มันเกิดการรับรู้ในหมู่ผู้คนมากยิ่งขึ้น
00:02:37 → 00:02:40 แน่นอนมันคือสิ่งนึงที่คนหลายคนก็ไม่อยาก
00:02:40 → 00:02:43 จะแก่หรือเอาจริงๆแล้วทุกคนต้องแก่ละแต่
00:02:43 → 00:02:46 อยากแก่ให้ช้าที่สุดชะล้อให้มากที่สุด
00:02:46 → 00:02:49 หรืออยากแก่แบบมีคุณภาพชีวิตที่ดีดังนั้น
00:02:49 → 00:02:51 นี่คือที่มาของศาสตร์ทางด้านเนี้ยก็เลย
00:02:51 → 00:02:54 ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นมีคนพยายามที่
00:02:54 → 00:02:56 จะแสวงหาความรู้มากยิ่งขึ้นนะครับแล้วก็
00:02:56 → 00:03:00 ความยอมรับในหมู่ประชาชนและในขณะเดียวกัน
00:03:00 → 00:03:02 งานวิจัยก็เริ่มออกมามากยิ่งขึ้นในวงการ
00:03:02 → 00:03:06 แพทย์ก็เริ่มค่อยๆทยอยยอมรับไปช้าๆอ่า
00:03:06 → 00:03:08 อย่างอย่างที่อาจารย์เคยสอนผมเนาะตอนที่
00:03:08 → 00:03:09 ผมเรียนอาจารย์ก็จะบอกว่าเออเราควรมี
00:03:09 → 00:03:12 optimal Health คือสุขภาพแข็งแรงที่ดี
00:03:12 → 00:03:15 ที่สุดถึงแม้ว่าคุณจะอยู่วัยไหนก็แล้วแต่
00:03:15 → 00:03:18 คราวนี้เรามาดูสาเหตุของความแก่บ้างเออัน
00:03:18 → 00:03:21 หลักๆเนี่ยต้องพูดเลยก็คือเรื่องของน้ำ
00:03:21 → 00:03:25 ตาลคือน้ำตาลเนี่ยมันเหมือนยาเสพติดกิน
00:03:25 → 00:03:29 แล้วฟินยิ่งกินยิ่งอ้วนแล้วส่งผลทำให้คุณ
00:03:29 → 00:03:31 สุขภาพเสียมากยิ่งขึ้นด้วยใช่มครับเพราะ
00:03:31 → 00:03:34 ว่าเวลาที่คุณอะไรก็ได้ที่เป็นน้ำตาลหรือ
00:03:34 → 00:03:36 ส่วนผสมของน้ำตาลเนี่ยมันเกิดเขาเรียกว่า
00:03:36 → 00:03:40 ขบวนการไชขบวนการเคือน้ำตาลเนี่ยมันไป
00:03:40 → 00:03:43 อยู่กับโปรตีนและทำให้โปรตีนเราเสื่อม
00:03:43 → 00:03:47 เสียมากยิ่งขึ้นเซลล์ยิ่งตายไม่้ขึ้นพอ
00:03:47 → 00:03:49 เซลล์ตายมันก็ออกมาทางผิวหนังของเราเป็น
00:03:49 → 00:03:53 ริ้วรอยเป็นเกิดการฆ่าการอักเสบมากขึ้น
00:03:53 → 00:03:55 แล้วอาจารย์คิดว่าค่าการอักเสบเมันเกิด
00:03:55 → 00:03:57 ขึ้นได้ไงในร่างกายของเราแล้วมันเชื่อม
00:03:57 → 00:04:00 โยงกับความแก่ยังไงอ่ะครับเราพูดถึงน้ำำ
00:04:00 → 00:04:03 ตาลคนส่วนใหญ่หรือทั่วๆไปเลยก็จะรับรู้
00:04:03 → 00:04:05 ว่าน้ำตาลคือาที่ให้พลังงานคือ1ึใน
00:04:05 → 00:04:07 คาร์โบไฮเดรตนะแต่ปัจจุบันเนี่ยน้ำตาลมัน
00:04:07 → 00:04:10 มีเยอะมากขึ้นแล้วเราก็พบว่าอะไรก็ตาม
00:04:10 → 00:04:12 เยอะเกินไปก็ไม่ดีมากเกินไปก็ไม่ได้นะ
00:04:12 → 00:04:15 เพราะฉะนั้นน้ำตาลที่มากขึ้นเนี่ยเราก็
00:04:15 → 00:04:18 คิดว่ามันคือการที่ไปสะสมเป็นไขมันเป็น
00:04:18 → 00:04:21 พลังงานส่วนเกินเป็นความอ้วนแล้วที่แค่
00:04:21 → 00:04:24 นั้นคือจบแต่หลังจากนั้นเราพบว่าน้ำตาลมี
00:04:24 → 00:04:27 ปัญหาเยอะมากกว่านั้นอย่างที่บอกว่าคือ 1
00:04:27 → 00:04:30 นะครับเวลาที่มันเยอะมากๆมันก็จะจะไปเกาะ
00:04:30 → 00:04:33 กับโมเลกุลต่างๆซึ่งแน่นอนถ้ามันเป็นผิว
00:04:33 → 00:04:35 ของเราสิ่งที่เกิดขึ้นคือมันก็ทำให้เรา
00:04:35 → 00:04:38 เหี่ยวเบโทรมแก่คนหลายคนจะกลัวการแก่จาก
00:04:38 → 00:04:41 แสงแดดเพราะแสงแดดเป็นตัวทำลายคอลลาเจนทำ
00:04:41 → 00:04:42 ให้เกิดกระตุ้นมาลงมะเร็งเนาะแต่สิ่ง
00:04:42 → 00:04:44 หนึ่งที่ไม่รู้ก็คือว่าเอ้ยการที่เรากิน
00:04:44 → 00:04:47 อาหารปกติกินบิงซูกินนู่นนี่นั่นอะไรตนี้
00:04:47 → 00:04:49 อะไรเนี่ยก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่เราไปตาก
00:04:49 → 00:04:51 แดดเลยตัวเยพอมันไปเกราะโมเลกุลทำให้เกิด
00:04:51 → 00:04:54 เบรคดาวสิ่งที่สะตามมาต่อคือมันทำให้
00:04:54 → 00:04:57 โมเลกุลเหล่านั้นกลายเป็นอนุมูลอิสระหรือ
00:04:57 → 00:04:59 เราเรียกว่า Advance G cation เ Product
00:04:59 → 00:05:02 เนาซึ่งอนุมอิสระก็เป็นต้นเหตุของความ
00:05:02 → 00:05:04 เสื่อมการแกะเนาะเพราะฉะนั้นน้ำตาลก็มี
00:05:04 → 00:05:06 ขบวนการแบบนี้นะครับเวลาที่มันสูงขึ้นใน
00:05:06 → 00:05:08 กระแสเลือดอย่างรวดเร็วมันก็อาจจะไป
00:05:08 → 00:05:11 กระตุ้นฮอร์โมนอินซูลินนะครับซึ่งถ้าคน
00:05:11 → 00:05:14 ปกติทั่วไปตับอ่อนแข็งแรงดีอินซูลินก็อาจ
00:05:14 → 00:05:16 จะหลังได้มากเพียงพอแต่ทุกๆครั้งที่
00:05:16 → 00:05:18 อินซูลินหลัอินซูลินจะกระตุ้นให้เกิดการ
00:05:19 → 00:05:21 อักเสบเล็กๆซึ่งการอักเสบเล็กๆอย่างเงี้ย
00:05:21 → 00:05:24 ทางการแพทย์เนี่ยไม่สนใจเพราะเาจะสนใจ
00:05:24 → 00:05:27 อะไรที่มันรุนแรงหรือเกิดภาวะฉุกเชินเนาะ
00:05:27 → 00:05:30 ดังนั้นการอักเสบน้อยๆทีละนิดเนี่ยเราไม่
00:05:30 → 00:05:32 ได้มีอาการเจ็บปวดหรือไม่มีอาการอะไรเรา
00:05:32 → 00:05:34 ก็อาจจะไม่ไปพบแพทย์หรือแม้แต่ว่าถ้าเรา
00:05:34 → 00:05:36 มีแล้วเราไปพบแพทย์แพทย์ก็ไม่ได้สนใจ
00:05:36 → 00:05:38 เพราะว่าปัญหาอะไรที่มันเป็นปัญหาเล็กๆ
00:05:39 → 00:05:41 น้อยๆและเรื้อรังเนี่ยมันไม่ได้ส่งผล
00:05:41 → 00:05:43 กระทบในระยะสั้นๆเนี่ยมันจะถูก ignore
00:05:43 → 00:05:46 ถูกทิ้งไว้แล้วมันจะไปเห็นความเสื่อมคือ 5
00:05:46 → 00:05:49 ปีหรือ 10 ปีนะซึ่งอันเนี้ยเราก็พบว่ามัน
00:05:49 → 00:05:51 คือต้นเหตุอันหนึ่งของการที่หลอดเลือด
00:05:51 → 00:05:52 อักเสบหลอดเลือดเสื่อมเพราะกระบวนการ
00:05:52 → 00:05:55 เหล่าเนี้ยไม่ได้เกิดขึ้นใน 2 3 วัน 5
00:05:55 → 00:05:58 วัน 1 เดือนแต่มันเกิดขึ้นคือ 5 ปีหรือ 10
00:05:58 → 00:06:01 ปีดังนั้นการบริโภคระยะยาวเรากินสัก 15
00:06:01 → 00:06:04 อายุ 15-25 ปีมันเริ่มส่งผลการเสื่อม
00:06:04 → 00:06:08 35-45 แล้วมันก็เโป๊ะแตกตอน 45-55 เพราะ
00:06:08 → 00:06:10 งั้นสิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่เป็นขบวน
00:06:10 → 00:06:13 การที่มันเกิดขึ้นกระทบและต่อเนื่องการ
00:06:13 → 00:06:16 อักเสบเล็กๆน้อยๆคือสิ่งนึงที่เราไม่ค่อย
00:06:16 → 00:06:19 ใส่ใจแล้วนำไปสู่การเสื่อมไม่ว่าจะเป็น
00:06:19 → 00:06:21 หลอดเลือดหัวใจเสื่อมไม่ว่าจะเป็นสมอง
00:06:21 → 00:06:23 เสื่อมไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันเสื่อมทำ
00:06:23 → 00:06:26 ให้เกิดการแพ้ภูมิคุ้มกันแปรปวนอะไรตามมา
00:06:26 → 00:06:29 เยอะแยะมากมายนะนอกจากนี้แล้วเนี่ยน้ำตาล
00:06:29 → 00:06:32 มันสะสมเป็นส่วนเกินไปเป็นไขมันไขมันเรา
00:06:32 → 00:06:34 พบว่ามันไม่ใช่แหล่งของการสะสมพลังงานเฉย
00:06:34 → 00:06:38 ๆแต่ไขมันเองยังปล่อยสารสื่อการอักเสบ
00:06:38 → 00:06:40 ซึ่งสารสื่อการอักเสบเหล่านี้เนี่ยมันก็
00:06:40 → 00:06:44 ทำให้เกิดการอักเสบน้อยๆทบไปกับไอ้น้ำตาล
00:06:44 → 00:06:46 ที่ก่อให้เกิดปัญหาอีกนะครับและนอกจากนี้
00:06:46 → 00:06:49 แล้วน้ำตาลก็อาจจะทำให้ลำไส้เราแปปรวน
00:06:49 → 00:06:50 แล้วปัจจุบันเราก็เริ่มพบว่าน้ำตาลเอง
00:06:51 → 00:06:54 เนี่ยนะครับลำไส้ที่แปะปรวนทำให้เกิดโรค
00:06:54 → 00:06:56 เกือบทุกๆโรคที่เป็นความเสื่อมนั่นเอง
00:06:56 → 00:06:58 แล้วภาวะนี้ที่ลำไส้แปปรวนเนี่ยมักจะไม่
00:06:58 → 00:07:00 ค่อยได้รับการใส่ใจแล้วก็ไม่ค่อยได้รับ
00:07:00 → 00:07:03 การรักษาแล้วคนส่วนใหญ่ก็มีปัญหารำไส้แปบ
00:07:03 → 00:07:05 วนนี้เยอะมากพอสมควรดังนั้นเราจะเห็นได้
00:07:05 → 00:07:08 ว่าน้ำตาลโมเลกุลเดียวแค่นี้เนี่ยนะครับ
00:07:08 → 00:07:11 มันไม่ได้มีปัญหาเ่อรุนแรงขนาดนั้นหรอก
00:07:11 → 00:07:14 ถ้ามันไม่ได้มากจนเกินไปแต่ในปัจจุบัน
00:07:14 → 00:07:16 เนี่ยคนส่วนใหญ่เนี่ยบริโภคคาร์โบไฮเดรต
00:07:16 → 00:07:17 หรือน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปโดยที่ไม่
00:07:18 → 00:07:20 รู้ตัวแล้วมันก็ส่งผลให้เกิดความเสื่อม
00:07:20 → 00:07:23 อ๋อมันก็คือว่าพอเรากินนานๆไปเรื่อยๆมัน
00:07:23 → 00:07:25 คือการอักเสบแบบเรื้อรังหรือเราเรียกว่า
00:07:25 → 00:07:27 chronic inflammation ซึ่งที่จริงมัน
00:07:27 → 00:07:29 มันมีความต่างระหว่าง acute inflammation
00:07:29 → 00:07:31 กับ Chic inflation ใช่มั้ยครับอาจารย์
00:07:31 → 00:07:33 หลายคนบอกว่าอ้าวไปพิเลเซอรสิมันเกิดการ
00:07:33 → 00:07:35 อักเสบเหมือนกันหน้าคุณแดงหน้าคุณร้อง
00:07:35 → 00:07:38 อ้าวแต่ทำไมผิวดีขึ้นเออมันมันที่จริงมัน
00:07:38 → 00:07:40 แตกต่างกันนะครับเนาะคอกับคือค่อยเป็น
00:07:40 → 00:07:43 ค่อยไปคุณไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำมันเป็นภัย
00:07:43 → 00:07:46 เงียบอือแล้วคุณอาจจะโป๊ะแตกเมื่อกี้ที่
00:07:46 → 00:07:48 อาจารย์บอกมา 30 หรือ 40 ปีข้างหน้าแต่
00:07:48 → 00:07:50 acute inflammation ที่จริงมันอาจจะ
00:07:50 → 00:07:53 เป็นการรักษาของร่างกายกระบวนการที่รีบ
00:07:53 → 00:07:56 รักษาให้มันหายเร็วมันจะได้เห็นชัดมีแดง
00:07:56 → 00:07:59 มีปวดมีบัวมีร้อนที่มันชัดเจนแต่คนอมัน
00:07:59 → 00:08:02 ไม่แสดงอาการออกมาและอีกอย่างนึงคือปิ้ง
00:08:02 → 00:08:05 ย่างทำให้เราแก่มากขึ้นเพราะว่าการที่เรา
00:08:05 → 00:08:08 เอาอาหารไปโดนอุณหภูมิที่สูงมากขึ้นเนี่ย
00:08:08 → 00:08:11 ตัวโมเลกุลข้างในของอาหารไม่ว่าเป็นเนื้อ
00:08:11 → 00:08:13 สัตว์เนี่ยมันมีโปรตีนและน้ำตาลมันก็เกิด
00:08:13 → 00:08:16 ขบวนการเรียกว่าไกชนั่นเองขบวนการนี้
00:08:16 → 00:08:19 เนี่ยน้ำตาลที่ไปติดกับมอเลกุลพวกนี้ใน
00:08:19 → 00:08:21 อุณหภูมิที่สูงมากเวลาโดนความร้อนเนี่ย
00:08:21 → 00:08:24 มันจะไปทำลายเนื้อเยื่อข้างในของมันแล้ว
00:08:24 → 00:08:28 เราก็กินมันเข้าไปในร่างกายของเรากคช End
00:08:28 → 00:08:30 produc ในร่างกายของเราก็จะเพิ่มมากยิ่ง
00:08:30 → 00:08:32 ขึ้นมันยิ่งทำให้เซลล์เรายิ่งเสื่อมครับ
00:08:32 → 00:08:35 คือจริงๆแล้วเนี่ยเราก็ต้องมองมองว่ากคช
00:08:35 → 00:08:37 เนี่ยคือกระบวนการที่คาร์โบไฮเดรตไปเกาะ
00:08:37 → 00:08:40 กับโมเลกุลต่างๆเนาะความร้อนอาจจะช่วยใน
00:08:40 → 00:08:42 ขณะเดียวกันอาหารที่เรากินเอ้ยไม่มีน้ำ
00:08:42 → 00:08:44 ตาลแต่เครื่องปรุงมันต้องมีอยู่แล้วนะ
00:08:44 → 00:08:46 แล้วโดยเอ่อวัตถุดิบของอาหารเนี่ยมันจะมี
00:08:46 → 00:08:48 คาร์โบไฮเดรตในตัวของมันเองอยู่แล้วแต่
00:08:48 → 00:08:50 สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของอาหารกลิ้ง
00:08:50 → 00:08:52 ย่างก็คืออุณหภูมิที่สูงนะเพราะฉะนั้นการ
00:08:52 → 00:08:55 บริโภคอาหารที่อุณหภูมิสูงเกินไปนะมันก็
00:08:55 → 00:08:57 จะก่อให้เกิดอัน้ำมูลอิสระเพราะว่าโครง
00:08:57 → 00:09:00 สร้างของคาร์โบไฮเดรตเองโปรตีนหรือไขมัน
00:09:00 → 00:09:03 เองเนี่ยถ้ามันไม่ทนต่อความร้อนแล้วมัน
00:09:03 → 00:09:05 โดนความร้อนเยอะนะครับอนุอิสระก็คือการ
00:09:05 → 00:09:08 ที่โมเลกุลต่างๆมันอยู่มันปกติดีแล้วมัน
00:09:08 → 00:09:11 ได้รับพลังงานส่วนเกินพลังงานส่วนเกินที่
00:09:11 → 00:09:14 เยอะอย่างเช่นแสงแดดมลพิษมลภาวะหรือ
00:09:14 → 00:09:16 อุณหภูมิจากการปิ้งย่างอบเบเกอรี่อะไร
00:09:16 → 00:09:18 ทั้งหลายเนี่ยล้วนแล้วแต่ทำให้โครงสร้าง
00:09:18 → 00:09:21 ของสารอาหารเปลี่ยนอย่างที่เรารู้กันอยู่
00:09:21 → 00:09:24 อย่างเช่นน้ำมันพอทอดหลายๆรอบก็คือสาร
00:09:24 → 00:09:27 ก่อบมะเร็งเนาะหรือโปรตีนพอมันไหม้มันก็
00:09:27 → 00:09:30 จะเป็นดำๆนะทั้งรสชาติทั้งโครงสร้างก็ไม่
00:09:30 → 00:09:33 เหมือนแล้วมันก็เป็นสารกอมะเร็งดังนั้น
00:09:33 → 00:09:35 พวกของเหล่านี้เนี่ยที่อุณหภูมิสูงเนี่ย
00:09:35 → 00:09:38 มันก็เป็นสิ่งที่เป็นผลเสียต่อร่างกายโดย
00:09:38 → 00:09:40 ตรงอยู่แล้วแล้วใครๆก็ยอมรับอยู่แล้วเนาะ
00:09:40 → 00:09:42 และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งเหล่านี้
00:09:42 → 00:09:45 เนี่ยบางครั้งมันไม่ได้ออกแบบมาในรูปที่
00:09:45 → 00:09:48 เรามองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างเช่นเวลาที่
00:09:48 → 00:09:51 น้ำมันทอดหลายๆรอบมันดำเนาะหรือว่าสาร
00:09:51 → 00:09:53 ปิ้งย่างมันดูไหม้นะแต่บางครั้งอุณหภูมิ
00:09:53 → 00:09:57 สูงๆอย่างเช่นอบหรือเบคนะหรือว่าเบเกอรี่
00:09:57 → 00:09:59 อะไรทั้งหลายเหล่านี้นะมันก็ดูหน้าตา
00:09:59 → 00:10:01 อย่างสวยอยู่เลยแต่อุณหภูมิที่สูงเหล่า
00:10:01 → 00:10:03 นั้นมันเปลี่ยนโครงสร้างโดยที่เรามองไม่
00:10:03 → 00:10:05 เห็นนะหรือแม้แต่ลมควางอย่างเงี้ยซึ่ง
00:10:05 → 00:10:08 อุณหภูมิอาจจะ 500 - 1,000 องเซซสิ่ง
00:10:08 → 00:10:10 เหล่านี้คือสิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อย
00:10:10 → 00:10:12 คอนเซิร์นแล้วก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นะ
00:10:12 → 00:10:15 เพราะว่าหน้าตามันยังดูดีอยู่หรือพูดง่าย
00:10:15 → 00:10:18 ๆว่าบางครั้งเนี่ยมันดูเป็นของที่ดูชั่ว
00:10:18 → 00:10:21 ร้ายแต่มันไปถูกใส่ตะกร้าล้างน้ำซะมันก็
00:10:21 → 00:10:22 เลยทำให้คนไม่รู้ว่าเบื้องหลังของมัน
00:10:22 → 00:10:25 เนี่ยมีความชั่วร้ายยังไงแล้วสิ่งเหล่าเ
00:10:25 → 00:10:27 คือสิ่งที่เราจะมองเห็นได้ว่าเออทำไมคน
00:10:27 → 00:10:30 จึงเป็นมะเร็งเยอะขึ้นการเป็นมะเร็งจึง
00:10:30 → 00:10:32 เจอสูงขึ้นแล้วก็เจอในคนที่อายุน้อยมาก
00:10:32 → 00:10:35 ขึ้นนะครับและในบางครั้งเองเนี่ยเราจะ
00:10:35 → 00:10:37 เห็นได้ว่าอย่างเช่นท้องผูกเนี่ยเป็น
00:10:37 → 00:10:39 ปัจจัยเสี่ยงอันนึงของการเกิดมะเร็งลำไส้
00:10:39 → 00:10:42 ซึ่งบางครั้งท้องผูกมันอาจจะสัก 20-30 ปี
00:10:42 → 00:10:44 ถึงค่อยเป็นแต่เดี๋ยวนี้บางคนเนี่ยอายุ
00:10:44 → 00:10:47 เอ่อท้องผูกมาสัก 5-10 ปีอายุ 28 ปีเป็น
00:10:47 → 00:10:49 มะเร็งลำไส้อย่างเงี้ยนะครับแล้วเป็นระยะ
00:10:49 → 00:10:52 4 ระยะสุดท้ายเราเจอเยอะมากยิ่งขึ้นสิ่ง
00:10:52 → 00:10:54 หนึ่งที่เราควรจะต้องคิดคือมลพิษมลภาวะ
00:10:54 → 00:10:56 ที่มันอยู่รอบตัวเราแล้วเราคุ้นเคยกับมัน
00:10:56 → 00:10:59 เพราะเราไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่าเนี้ยคือ
00:10:59 → 00:11:03 ปัญหาที่จะส่งผลต่อสุขภาพเราในระยะยาวและ
00:11:03 → 00:11:05 ส่งผลให้เกิดปัญหาที่อันตรายต่อชีวิตเรา
00:11:05 → 00:11:08 ด้วยอย่างงั้นเนี่ยถ้าเราไม่อยากแก่เรา
00:11:08 → 00:11:10 ไม่ต้องกินน้ำตาลไม่กินอาหารปิ้งย่างแต่
00:11:10 → 00:11:13 ถ้าเราติดหวานจริงๆอ่ะครับอาจารย์แล้วแบบ
00:11:13 → 00:11:16 อยากกินชานมไข่มุกอยากกินของหวานๆพวก
00:11:16 → 00:11:18 เนี้ยเราจะมีวิธีการไหนบ้างที่ทำให้เรา
00:11:18 → 00:11:21 ไม่แก่และเราอร่อยไปด้วยอ่ะครับเอ่อทาง
00:11:21 → 00:11:24 เลือกที่มันมีอยู่แล้วก็คือสารทดแทนความ
00:11:24 → 00:11:26 หวานแทนน้ำตาลเนาะซึ่งจริงๆแล้วสารทดแทน
00:11:26 → 00:11:29 ความหวานแทนน้ำตาลเนี่ยก็ถือว่าเป็นการ
00:11:29 → 00:11:31 หลีกเลี่ยงน้ำตาลที่น่าสนใจอันนึงแต่
00:11:31 → 00:11:33 ประเด็นคือถ้าเมื่อไหร่ที่มันเป็นสาร
00:11:33 → 00:11:35 สังเคราะห์อย่างที่เราเห็นกันอยู่ใน
00:11:35 → 00:11:38 ผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปนะครับแล้วเพราะว่าสาร
00:11:38 → 00:11:40 เคมีเหล่านี้เนี่ยจริงๆแล้วบางตัวมีการ
00:11:40 → 00:11:42 ใช้มาเป็น 100 ปีแต่พอตอนหลังๆก็เริ่ม
00:11:42 → 00:11:44 เพราะว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับการเกิด
00:11:44 → 00:11:46 มะเร็งในสัตว์ทดลองหรือเปล่าหรือว่าบาง
00:11:46 → 00:11:49 ตัวเองเนี่ยพอระยะยาวก็อาจจะส่งให้ผลการ
00:11:49 → 00:11:52 เกิดการอักเสบหรือการเอ่อเสื่อมของระบบ
00:11:52 → 00:11:54 ประสาทหรืออะไรต่างๆซึ่งอันนี้ก็คงจะเป็น
00:11:54 → 00:11:56 อีกสิ่งหนึ่งที่เราคงจะต้องเลี่ยงว่าเออ
00:11:56 → 00:11:58 เราจะเลือกอะไรดีระหว่างไม่เอาน้ำตาลหน้า
00:11:58 → 00:12:01 นี้ีเสือมาปะจระเข้อีกแบบนึงหรือเปล่าโดย
00:12:01 → 00:12:03 ส่วนตัวพี่เองพี่ก็เพราะว่าบางครั้งสารทด
00:12:03 → 00:12:05 แทนความหวานแทนน้ำตาลเองเนี่ยมันก็ไม่ได้
00:12:05 → 00:12:07 เลวร้ายซักทีเดียวเพราะว่ามันยังมีสารทด
00:12:07 → 00:12:10 แทนความหวานเ่อแทนน้ำตาลที่เอ่อเป็น
00:12:10 → 00:12:13 ธรรมชาติแล้วก็ยังไม่พบว่ามีผลข้างเคียง
00:12:13 → 00:12:16 ยกตัวอย่างเช่นสารสกัดจากย้าหวานนะแล้วก็
00:12:16 → 00:12:19 เอ่อตัวหล่ออังกวยเหล่านี้นะซึ่งพวก
00:12:19 → 00:12:22 เนี้ยยเป็นสารธรรมชาติแล้วก็ยังไม่พบว่า
00:12:22 → 00:12:25 มีผลข้างเคียงในการใช้ระยะยาวนะแล้วก็
00:12:25 → 00:12:27 เป็นตัวเลือกอีกอันนึงเพียงแต่ข้อเสียของ
00:12:27 → 00:12:30 พวกนี้เนี่ยมันอาจจะมี After Test ก็คือ
00:12:30 → 00:12:33 แบบว่าหลังจากหวานไปแล้วมันรู้สึกมันขมๆ
00:12:33 → 00:12:35 ปะแล่มๆมซึ่งมันจะต่างจากน้ำตาลนิดนึง
00:12:35 → 00:12:38 ซึ่งโดยส่วนตัวพี่เองเนี่ยพี่ก็ยังเ่อใช้
00:12:38 → 00:12:40 ของพวกอย่างเงี้ยในการทดแทนเมื่อเทียบกับ
00:12:40 → 00:12:43 สารทดแทนความหวานที่เป็นสิ่งที่มนุษย์
00:12:43 → 00:12:46 ประดิษฐ์หรือไม่เคยมีมาก่อนจริงๆแล้วหลัก
00:12:46 → 00:12:48 การดูแลสุขภาพคือที่ง่ายที่สุดหรือถ้าใคร
00:12:48 → 00:12:50 จำอะไรไม่ได้เลยรู้สึกวุ่นวายวินหัวปลด
00:12:50 → 00:12:54 หัวเนี่ยนะพยายามคิดว่ายุคก่อนที่มนุษย์
00:12:54 → 00:12:56 เราจะเจริญเติบโตพัฒนาเนี่ยสิ่งเหล่านี้
00:12:56 → 00:12:59 มันมีหรือเปล่าในโลกใบนี้ถ้ามันมีอยู่
00:12:59 → 00:13:01 แล้วตามธรรมชาติเนี่ยโอกาสที่มันจะเกิด
00:13:01 → 00:13:03 ปัญหาต่อชีวิตเราเนี่ยมันค่อนข้างน้อยแต่
00:13:03 → 00:13:05 อะไรก็ตามที่มนุษย์เราพยายามเอาชนะและ
00:13:05 → 00:13:08 ประดิษฐ์และคิดค้นขึ้นมาเกือบจะแทบทุก
00:13:08 → 00:13:11 อย่างเนี่ยส่งผลต่อสุขภาพชีวิตเราในระยะ
00:13:11 → 00:13:13 ยาวแทบทั้งสิ้นดังนั้นเวลาเราคิดในมุมนี้
00:13:13 → 00:13:17 เนี่ยอะไรก็ตามที่มันเบสิคธรรมชาติหรือ
00:13:17 → 00:13:19 เป็นธรรมชาติมากที่สุดอันนั้นคือสิ่งที่
00:13:19 → 00:13:21 น่าจะปลอดภัยกับชีวิตเรามากที่สุดครับ
00:13:21 → 00:13:22 อย่างเมื่อกี้อาจารย์แนะนำมาเรื่องของ
00:13:22 → 00:13:24 อาหารหวานถูกมั้ยครับว่าอ่ะควรลดยังไง
00:13:24 → 00:13:27 ปรับใช้พวกหญ้าหวานทดแทนถูกมั้ยครับส่วน
00:13:27 → 00:13:29 เรื่องอาหารปิ้งย่างเนี่ยคือถ้าเราจะกิน
00:13:29 → 00:13:31 ยังไงให้อาหารปิ้งย่างมันดีมากยิ่งขึ้น
00:13:31 → 00:13:34 ที่อันเนี้ยผมไปนั่งอ่านมาเ้าก็แนะนำว่า
00:13:34 → 00:13:36 เนื้อสัตว์ที่เราจะเอามาปิ้งย่างครับเขา
00:13:36 → 00:13:39 แนะนำว่าถ้าอยากลดเรื่องของไชันะครับเอา
00:13:39 → 00:13:41 ไปหมักก่อนไว้ 1 ชั่วมงหมักเดหรือว่า
00:13:41 → 00:13:44 มาริตเนี่ยด้วยอะไรที่เป็นกรดไม่ว่าจะ
00:13:44 → 00:13:47 เป็นไวนน้ำส้มสายชูน้ำมะนาวน้ำส้มพวก
00:13:47 → 00:13:50 เนี้ยครับการที่เอาไปหมักกับกรดพวกเนี้ย
00:13:50 → 00:13:53 มันจะลดกคชได้เกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว
00:13:53 → 00:13:56 แล้วเวลาที่คุณเอาไปปิ้งเอาไปย่างปิ้งนาน
00:13:56 → 00:14:00 ๆปิ้งช้าๆและใช้อุณหภูมิต่ำๆเพื่อเกิดการ
00:14:00 → 00:14:03 ป้องกันของไกชเวลาที่คุณกินเข้าไปช้าๆมัน
00:14:03 → 00:14:06 จะได้ไม่ทำให้สุขภาพคุณเสื่อมไปเร็วและ
00:14:06 → 00:14:08 อีกอันนึงที่อยากจะถามอาจารย์เหมือนกัน
00:14:08 → 00:14:10 ครับเรื่องของ fre Radical หรืออนุมูล
00:14:10 → 00:14:12 อิสระอนุมูลอิสระมันทำยังไงกับร่างกายของ
00:14:12 → 00:14:15 เราครับถ้าเรามันมีมากๆอ่ะครับอาจารย์คือ
00:14:15 → 00:14:18 อนุอิสระเนี่ยคือทฤษฎีอันแรกที่เราเจอว่า
00:14:18 → 00:14:20 มันทำให้เกิดความเสื่อมนะหลักการมันคือ
00:14:20 → 00:14:23 ง่ายๆเลยว่าเซลล์ทุกๆเซลล์เนี่ยที่ยังมี
00:14:23 → 00:14:26 ชีวิตอยู่เนี่ยมันต้องมีพลังงานนะแล้ว
00:14:26 → 00:14:29 พลังงานส่วนหนึเนี่ยเกิดจากอีอิเล็กตรอน
00:14:29 → 00:14:31 และโปรตอนที่อยู่ในโครงสร้างที่เล็กที่
00:14:31 → 00:14:33 สุดของมันมันเกิดการเคลื่อนไหวและการ
00:14:33 → 00:14:36 เคลื่อนไหวเหล่านี้เนี่ยถ้าเมื่อไหร่มี
00:14:36 → 00:14:38 การส่งต่อพลังงานอิเล็กตรอนที่มันหลุด
00:14:38 → 00:14:41 กระเด็นออกจากวงโคจรเนี่ยมันทำให้เกิด
00:14:41 → 00:14:44 ความไม่เสถียรเราต้องนึกถึงง่ายๆว่าถ้า
00:14:44 → 00:14:47 เกิดว่าเราเสถียรตเราอยู่ดีๆมันเหมือนลูก
00:14:47 → 00:14:49 ขางที่เรากำลังหมุนๆๆอย่างสวยๆเสร็จแล้ว
00:14:49 → 00:14:51 เนี่ยเรากำลังหมุนอยู่ดีๆมีพลังงานอะไร
00:14:51 → 00:14:53 สักอย่างนึงปึ้งแล้วเราก็เหวี่ยงหมดวง
00:14:53 → 00:14:57 สวิงนั่นคือความที่มันไม่เสถียรดังนั้นพอ
00:14:57 → 00:14:59 เกิดความไม่เสถียรทุกๆคนน่ะไม่ไม่ว่าเ่อ
00:14:59 → 00:15:01 อิเล็กตรอนเองหรือว่าตัวเราเองเนาะถ้าเรา
00:15:01 → 00:15:04 เริ่มมีความไม่เสถียรเราจะเริ่มไขว่คว้า
00:15:04 → 00:15:06 ที่จะหาอะไรสักอย่างนึงเพื่อให้เรากลับมา
00:15:06 → 00:15:09 เสถียรดังนั้นพออิเล็กตรอนมันหายไปมันก็
00:15:09 → 00:15:11 จะต้องพยายามทำให้ตัวเองเสถียรโดยที่การ
00:15:11 → 00:15:14 ที่เอาจะไปเบียดเบียนคนข้างๆเพื่อที่จะ
00:15:14 → 00:15:17 ให้ตัวเองเสถียรแล้วการเบียดเบียนนั้นก็
00:15:17 → 00:15:19 จะเกิดการลุกลามต่อไปจากโครงสร้างโมเลกุล
00:15:20 → 00:15:22 เล็กๆก็จะกลายไปสู่โครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น
00:15:22 → 00:15:25 นะไปสู่เซลล์ไปสู่สารพันธุกรรมไปสู่เอ่อ
00:15:25 → 00:15:28 เอ่อโครงสร้างต่างๆแล้วก็นำไปสู่ความ
00:15:28 → 00:15:30 เสื่อมซึ่งถ้าเปรียบเทียบให้ชัดเจนก็คงจะ
00:15:30 → 00:15:33 คล้ายกับสนิมซึ่งเวลาที่มันเกิดอันเล็กๆ
00:15:33 → 00:15:35 เรามองไม่เห็นแต่ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้มัน
00:15:35 → 00:15:37 เริ่มลามแล้วเราก็เห็นชัดเจนมากจริงขึ้น
00:15:37 → 00:15:39 แต่อิเล็กตรอนหรือประจุเหล่านั้นเนี่ยมัน
00:15:39 → 00:15:42 ลุกลามและเกิดขึ้นเร็วและไวกว่าตัวของ
00:15:42 → 00:15:45 สนิมนะเพราะฉะนั้นอันนี้เนี่ยมันก็เป็น
00:15:45 → 00:15:47 สิ่งหนึ่งที่เราพบว่าโรคเสื่อมต่างๆทั้ง
00:15:47 → 00:15:49 หลายเนี่ยล้วนแล้วแต่เกิดจากการที่เกิด
00:15:49 → 00:15:53 อนุมูลอิสระแทบทั้งสิ้นซึ่งในอนุมูลอิสระ
00:15:53 → 00:15:56 นี้เนี่ยคนปกติก็มีนะเพราะว่าเวลาที่เรา
00:15:56 → 00:15:59 หายใจนะเราได้ออกซิเจนเข้าไปเรากินอาหาร
00:15:59 → 00:16:02 การสันดาบออกซิเจนการสันดาบอาหารเหล่า
00:16:02 → 00:16:05 นั้นต้องมีการขนส่งอิเล็กตรอนและมันก็จะ
00:16:05 → 00:16:08 เกิดอนุมิตขึ้นในขณะเดียวกันร่างกายเราก็
00:16:08 → 00:16:11 มีกลไกในการปกป้องเราก็จะมีสารต้านอนุ
00:16:11 → 00:16:13 อิสระซึ่งสารต้านอนุอิสระเนี่ยก็จะเป็น
00:16:13 → 00:16:16 ตัวที่มีอิเล็กตรอนมากเพียงพอแล้วก็
00:16:16 → 00:16:19 บริจาคอิเล็กตรอนให้กับตัวที่มันหายไป
00:16:19 → 00:16:21 แอนติออกซิแดนท์เนี่ยร่างกายเราก็มีการ
00:16:21 → 00:16:24 สร้างนะครับแต่ประเด็นก็คือว่าถ้าเมื่อ
00:16:24 → 00:16:26 ไหร่เราเสียสมดุลนะครับเสียสมดุลคือ
00:16:26 → 00:16:29 อนุมูลสลมากเกินไปนะครับแล้วสารต้านอนุสา
00:16:29 → 00:16:32 ที่เราสร้างไม่พอมันก็ทำให้เกิดเราเรียก
00:16:32 → 00:16:34 ว่า oxidative stress ก็คือเราเรียกง่าย
00:16:34 → 00:16:38 ๆว่าเกิดผลลบนะหรือเกิดการเสียสมดุลนะ
00:16:38 → 00:16:41 ซึ่งเมื่อนั้นน่ะมันก็จะทำให้เกิดความ
00:16:41 → 00:16:44 ปัญหาต่อสุขภาพของเราในระยะยาวนะครับซึ่ง
00:16:44 → 00:16:47 อ่อการที่เกิดปัญหาเหล่านี้เนี่ย 1 นอก
00:16:47 → 00:16:50 จากที่เราการมีการสร้างอนุอิสระเยอะอย่าง
00:16:50 → 00:16:52 เช่นกินเยอะหรือออกกำลังกายเยอะหรือ
00:16:52 → 00:16:55 เครียดหรือมีการติดเชื้อในขณะเดียวกันใน
00:16:55 → 00:16:58 บางครั้งอนุสระเราอาจจะไม่เยอะแต่สารต้าน
00:16:58 → 00:17:01 อนุสระที่เราสร้างเนี่ยมันอาจจะต้องอาศัย
00:17:01 → 00:17:04 เกลือแร่วิตามินหรืออะไรบางอย่างซึ่งถ้า
00:17:04 → 00:17:07 เราขาดเหล่านี้เนี่ยสารต้านออนุอิสระที่
00:17:07 → 00:17:09 เราสร้างขึ้นมามันก็ทำงานได้ไม่มี
00:17:09 → 00:17:11 ประสิทธิภาพเต็มที่ดังนั้นมันก็จะเกิด
00:17:11 → 00:17:14 oxidative stress หรือเกิดผลลบนะครับ
00:17:14 → 00:17:17 แล้วจะเห็นได้ว่าคนบางคนเนี่ยถ้ามีอนุวิท
00:17:17 → 00:17:20 เยอะเค้าก็จะแกะเร็วอย่างเช่นคุณไปโดนแดด
00:17:20 → 00:17:22 เยอะๆแล้วคุณไม่มีอะไรป้องกันคุณก็จะแกะ
00:17:22 → 00:17:25 เร็วกว่าคนที่โดนแดดน้อยๆหรือคนบางคนที่
00:17:25 → 00:17:28 ออกกำลังกายหนักมากๆเราก็จะเห็นว่าเออ
00:17:28 → 00:17:30 ทำไมมันดูแข็งแรงนะแต่มันดูผิวเหี่ยวๆ
00:17:30 → 00:17:33 โทรมๆหรือบางคนที่แบบป่วยหนักอย่างเงี้ย
00:17:33 → 00:17:36 เราก็จะเห็นได้ว่าอนุอิสระเคก็จะเยอะกว่า
00:17:36 → 00:17:38 คนปกติมันก็จะทำให้ร่างกายเดูโทรมเร็ว
00:17:38 → 00:17:41 กว่าปกตินั่นเองดังนั้นนี่ก็คือภาพที่
00:17:41 → 00:17:43 อธิบายให้เห็นจากทฤษฎีมาสู่ภาพปฏิบัติ
00:17:43 → 00:17:46 ง่ายๆให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าอนุมูลอิสระ
00:17:46 → 00:17:50 มันมีบทบาทต่อการแก่หรือการเจ็บป่วยของ
00:17:50 → 00:17:52 เรายังไงโอเห็นเห็นภาพชัดมากเลยครับที่
00:17:52 → 00:17:54 อาจารย์ออกมาแล้วเมื่อกี้อาจารย์มีพูด
00:17:54 → 00:17:56 เรื่องของแสงแดดถูกมั้ยครับอาจารย์คราว
00:17:56 → 00:17:58 นี้เนี่ยเราจำเป็นต้องทาครีมกันแดดตลอด
00:17:58 → 00:18:00 เวลามั้ยครับอาจารย์หรือเวลาแบบอยู่ในรถ
00:18:00 → 00:18:02 อยู่ในร่มอะไรอย่างเงี้ยครับบางคนก็บอก
00:18:02 → 00:18:05 อ้าวก็อยู่ในที่ร่มกันแดดแล้วทำไมต้องทา
00:18:05 → 00:18:08 ครีมกันแดดมันส่งผลกระทบต่ออ่ะ oxidative
00:18:08 → 00:18:10 stress fre Radical ผิวหนังเราหรือ
00:18:10 → 00:18:12 เปล่าซึ่งครีมกันแดดของเราปกติเราก็ต้อง
00:18:12 → 00:18:14 ป้องกัน uva uvb ใช่มั้ยครับอาจารย์แล้ว
00:18:14 → 00:18:17 ครีมกันแดดเดี๋ยวเนี้ยมีเยอะมากอาจารย์มี
00:18:17 → 00:18:18 ความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องของเรา
00:18:18 → 00:18:21 ต้องทาจำเป็นมครับที่ต้องทาครีมกันแดด
00:18:21 → 00:18:23 ปัญหาอย่างนึงก็คือแสงแดดในปัจจุบันมัน
00:18:23 → 00:18:26 น่ากลัวกว่าสมัยก่อนนะเ่อก๊าซเรือนกระจก
00:18:26 → 00:18:29 รั่วนู่นนี่นั่นอะไรก็ว่ากันไปเอาง่ายๆ
00:18:29 → 00:18:31 เราไม่ต้องถามว่าเราต้องทาครีมกันแดดมั้ย
00:18:31 → 00:18:34 หรือเปล่าเราเอาง่ายๆก่อนว่าแค่ทาครีมกัน
00:18:34 → 00:18:37 แดดจริงๆเนี่ยก็ยังปกป้องไม่ได้ 100% เลย
00:18:37 → 00:18:40 นะครับเพราะอะไรครับเพราะว่า 1 ครีมกัน
00:18:40 → 00:18:43 แดดเนี่ยที่ได้มาตรฐานตามข้างที่เลเบล
00:18:43 → 00:18:46 เนี่ยบางทีก็ไม่ได้ดังนั้นนะครับ 2 ถึง
00:18:46 → 00:18:49 แม้ได้มาตรฐานเต็มจริงๆแต่เราทามไม่ถูก
00:18:49 → 00:18:51 วิธีก็ได้ไม่เต็มอย่างที่ควรจะเป็นซึ่ง
00:18:52 → 00:18:54 บางครั้งเนี่ยเบอกว่ามีวิธีการทานะ 1 ข้อ
00:18:54 → 00:18:57 2 ข้ออะไรทาอะไรก็ว่ากันไปงไว้ 30 นาที
00:18:57 → 00:18:59 อะไรอย่าเงี้ครับแล้วบางพอเราทาครีมกัน
00:18:59 → 00:19:02 แดดอย่างดีแล้วก็ตามเนี่ยนะครับมันอยู่
00:19:02 → 00:19:04 ไม่ทนนะโดนเหงื่อโดนอะไรต่อไม่ไรมันก็
00:19:04 → 00:19:06 หลุดลอกแล้วมันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพใน
00:19:06 → 00:19:08 การปกป้องเท่าที่ควรจะเป็นโดยความเห็น
00:19:08 → 00:19:11 ส่วนตัวของพี่เองเนี่ยพี่คิดว่านอกจากทา
00:19:11 → 00:19:13 ครีมกันแดดแล้วเนี่ยอาจจะต้องใช้แป้งแข็ง
00:19:13 → 00:19:16 รองพื้นที่มีกันแดดทับอีกทีนึงด้วยซ้ำไป
00:19:16 → 00:19:19 เพื่อให้ครีมกันแดดนั้นมันติดทนกว่าปกติ
00:19:19 → 00:19:22 รวมไปถึงพอ 2 ช่วโมงหรือ 3 ชั่วโมงถ้าเรา
00:19:22 → 00:19:24 จำเป็นต้องออกแดดจริงๆหรือมีแดดเนี่ยอาจ
00:19:24 → 00:19:26 จะต้องใช้แป้งแข็งรองพื้นที่มีกันแดดนั่น
00:19:26 → 00:19:29 น่ะทับอีกรอบนึงเพราะว่าพวกนี้เนี่ยมัน
00:19:29 → 00:19:31 ต้องทาซ้ำทุก 2 ช่มมันไม่ได้ทาปุ๊บแล้ว
00:19:31 → 00:19:33 มันอยู่ได้ยาวนะเพราะอย่างที่บอกว่า
00:19:33 → 00:19:35 เทคนิคการทาของเราก็ไม่ได้ว่าจะดีอะไร
00:19:35 → 00:19:38 ขนาดนั้นถูกมดังนั้นแล้วเนี่ยเอ่อเหตุผล
00:19:38 → 00:19:41 อันนึงคือแสงแดดคือตัวทำลายผิวที่สำคัญ
00:19:41 → 00:19:44 ที่สุดแต่สิ่งหนึงก็ต้องรู้ว่าบางคนมันก็
00:19:44 → 00:19:47 บอกเอ้ยจริงๆแล้วแสงแดดได้วิตามินดีนะอ
00:19:47 → 00:19:49 ซึ่งซึ่งวิตามินดีคือสิ่งที่จำเป็นและ
00:19:49 → 00:19:51 สำคัญแล้วเราก็พบว่าคุณต้องเลือกเอาแล้ว
00:19:51 → 00:19:54 ล่ะว่าคุณจะเอาวิตามินดีหรือคุณจะเอาแสง
00:19:54 → 00:19:59 แดดนะที่เ่อที่ที่มันทำลายถูกมโดยส่วนตัว
00:19:59 → 00:20:01 พี่พี่เลือกพี่คิดว่าพี่ป้องกันแสงแดด
00:20:01 → 00:20:03 ก่อนดีกว่าส่วนวิตามินดีเนี่ยใช้กินเอา
00:20:03 → 00:20:07 เนาะซึ่งมันก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงผลลัพธ์
00:20:07 → 00:20:09 ที่มันไม่ต้องการทั้งคู่ดังนั้นนี่คือนี่
00:20:09 → 00:20:12 คือข้อดีของสารเสริมอาหารที่เข้ามาช่วยนะ
00:20:12 → 00:20:15 ครับแล้วอีกอย่างนึงถ้าเราจะไปโดนแดดจริง
00:20:15 → 00:20:18 ๆเนี่ยแค่หน้าแค่ตัวไม่ต้องทาครีมกันแดด
00:20:18 → 00:20:20 เนี่ยไม่พอเพราะคุณจะต้องแก้ผ้าทั้งตัว
00:20:20 → 00:20:24 เลยนะตากแดดประมาณสัก 1 ชมงปิ้งไปปิ้งมา
00:20:24 → 00:20:26 ต้องใช้พื้นที่ผิวทั้งตัวถึงจะได้วิตามิน
00:20:26 → 00:20:29 ดีที่เพียงพอนะครับคือถ้าเกิดจะเอาแค่
00:20:29 → 00:20:32 ป้องกันกระดูกหักกระดูกพุนอาจจะแค่โดนแดด
00:20:32 → 00:20:35 นิดๆหน่อยๆแล้วผิวแค่นี้ได้แต่ปัจจุบัน
00:20:35 → 00:20:37 เรามีงานวิจัยที่พบว่าวิตมินดีต้องการมาก
00:20:37 → 00:20:39 กว่านั้นเยอะแล้วก็มีประโยชน์มากกว่าแค่
00:20:39 → 00:20:41 กระดูกและฟันดังนั้นอย่างที่บอกอ่ะมัน
00:20:41 → 00:20:44 ต้องการถึงขนาดนี้ซึ่งถ้าเราไม่สามารถโดน
00:20:44 → 00:20:46 แดดได้ก็ทาครีมกันแดดเถอะแล้วก็กินอาหาร
00:20:46 → 00:20:49 เสริมวิตามินดีเอาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
00:20:49 → 00:20:51 ที่สุดครับอคือคือผมไปนั่งอ่านมาครับคือ
00:20:51 → 00:20:54 เมืองไทยเราร้อนมากแล้วแสง UV คือแบบแรง
00:20:54 → 00:20:57 มากๆคือถ้าเราไปดูค่า UV อ่ะครับในเมือง
00:20:57 → 00:21:00 ไทยเนี่ยปกติเนี่ย 5 ไม่สูงมากไม่สูงคือ
00:21:00 → 00:21:03 ไม่เกิน 8 นะครับเนาะอันเนี้ยถือว่ายัง
00:21:03 → 00:21:05 โอเคแต่ยังไงคุณก็ต้องคาครีมกันแดดอยู่ดี
00:21:05 → 00:21:07 เพื่อป้องกันความเสื่อมของผิวหนังแต่
00:21:07 → 00:21:10 เมืองไทยถ้าผมมาดูทั้งประเทศแล้วเนี่ยคือ
00:21:10 → 00:21:12 อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 11-12 หมดเลยสูงมาก
00:21:12 → 00:21:15 แล้วยิ่งสูงที่สุดก็คือภาคใต้ของเราภาค
00:21:15 → 00:21:17 ใต้นี่คือประมาณ 13 เลยตอนเนี้ยที่เราพูด
00:21:17 → 00:21:19 ถึงอยู่อ่ะครับ UV ประมาณ 13 โดยส่วนตัว
00:21:19 → 00:21:22 พี่เนี่ยสมพี่เจอคนที่อยู่ภาคใต้เนี่ยนะ
00:21:22 → 00:21:24 พี่จะพบว่าเขาจะมีลักษณะของการเป็นฝ้าที่
00:21:24 → 00:21:27 แปลกกว่าคนภาคอื่นๆนั่นคือสิ่งหนึ่งที่
00:21:27 → 00:21:30 พี่สังเกตเห็นนะครับ 1 ค่อนข้างลึกเยอะ
00:21:30 → 00:21:33 แล้วก็รักษายากเพราะงั้นอันเนี้ยก็เไม่
00:21:33 → 00:21:35 รู้อ่ะแต่คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับ
00:21:35 → 00:21:38 เส้นสูยสูตรเกี่ยวข้องกับแสงแดดบริเวณ
00:21:38 → 00:21:41 บริเวณอียนั้นตามที่เราพูดมานะเพราะงั้น
00:21:41 → 00:21:43 นี่คือข้อสังเกตอันนึงอย่างที่บอกแล้วว่า
00:21:43 → 00:21:45 ไม่ว่าจะเราอยู่ที่ไหนอะไรยังไงก็ทาครีม
00:21:45 → 00:21:48 กันแดดดีกว่าและถึงแม้จะทาครีมกันแดดลอง
00:21:48 → 00:21:50 พื้นเต็มที่พี่บอกได้เลยว่าเวลาออกแดด
00:21:50 → 00:21:54 จริงๆหมวกกระดาษร่มมือผ้าทุกสิ่งอย่างก็
00:21:54 → 00:21:56 ควรจะต้องปกป้องเพราะว่าเวลาเราาครีมกัน
00:21:57 → 00:21:59 แดด 100% แล้วเนี่ยมันมันก็ไม่ได้ปกป้อง
00:21:59 → 00:22:02 ได้ 100% ถ้าใครทุกคนเห็นนะทาครีมกันแดด
00:22:02 → 00:22:04 เสร็จปุ๊บไปออกแดดนู่นนี่นั่นกลับมาก็ดำ
00:22:04 → 00:22:07 นะเหตุผลอันนึงคือมันไม่ได้ปกป้องได้ 100%
00:22:07 → 00:22:10 นะครับแต่อย่างน้อยมันป้องกันแมจนะป้อง
00:22:10 → 00:22:12 กันอันตรายสูงสุดได้แต่ว่าเรื่องของดำ
00:22:12 → 00:22:14 เรื่องของอะไรเนี่ยยังไงก็ตามก็ไม่สามารถ
00:22:14 → 00:22:16 ที่จะปกป้องได้ 100% แล้วจริงๆถ้าเรา
00:22:16 → 00:22:19 ต้องการลดสารอนุมูลอิสระในร่างกายของเรา
00:22:19 → 00:22:21 ครับที่จริงเราต้องมองไปที่สายรุ้งไม่ได้
00:22:21 → 00:22:23 ไม่ได้มองขึ้นบนเพดานนะครับอาจารย์มัน
00:22:23 → 00:22:27 หมายความว่าสายรุ้งคืออาหารของเราคือทาน
00:22:27 → 00:22:29 อาหารยังไงก็ได้ที่มีหลากหลายสีเมื่อกี้
00:22:29 → 00:22:31 อาจารย์พูดถึงเรื่องของแอนตี้ออกซินแล้ว
00:22:31 → 00:22:33 ถูกมั้ยครับอาหารที่มันมีหลากหลายสีปกติ
00:22:33 → 00:22:36 มันมี 5 สีด้วยกันนะครับสีแดงสีส้มนะครับ
00:22:36 → 00:22:39 เนาะสีเขียวสีฟ้าสีม่วงอยู่ด้วยกันแล้วก็
00:22:39 → 00:22:41 สีขาวสารอาหารพวกเนี้ยห้ามันอยู่ในจานของ
00:22:41 → 00:22:45 เรามันครบมันก็จะทำให้เรามีสารต้านอนุมูล
00:22:45 → 00:22:48 อิสระได้ค่อนข้างดีเพราะพวกเนี้ที่จริง
00:22:48 → 00:22:51 เจอในผักและผลไม้อาหารสดได้ทั้งหมดเลยไม่
00:22:51 → 00:22:54 ว่าผักใบเขียวพริกหยวกผลไม้ต่างๆใช่มั้ย
00:22:54 → 00:22:56 ครับเนาะซึ่งสารพวกเนี้มันช่วยป้องกัน
00:22:56 → 00:23:00 หลายๆโรคเลยและทำให้สารอนุมูลอิสระในร่าง
00:23:00 → 00:23:02 กายเราลดไปนั่นเองอย่างที่บอกครับว่าสาร
00:23:02 → 00:23:04 แอนติออกซิแดนท์เนี่ยคือโครงสร้างของ
00:23:04 → 00:23:06 โมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนเยอะคือแอนติ
00:23:06 → 00:23:08 ออกซิแดนที่ค่อนข้างเสถียรเนี่ยดันพบใน
00:23:08 → 00:23:11 ผักผลไม้แล้วสารพวกเนี้ยเป็นสารที่ทำให้
00:23:11 → 00:23:14 ผักผลไม้นั้นมีสีดังนั้นเวลาที่มันมีสี
00:23:14 → 00:23:16 เนี่ยสีแต่ละสีที่แตกต่างกันเนี่ยเราก็พบ
00:23:16 → 00:23:18 ว่ามันเป็นสารที่มีโครงสร้างที่ไม่เหมือน
00:23:18 → 00:23:21 กันและโครงสร้างที่ไม่เหมือนกันก็มีบทบาท
00:23:21 → 00:23:23 หน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปนี่คือที่มาที่
00:23:23 → 00:23:26 บอกว่าเออทำไมเราจึงกินผักให้มันมีความ
00:23:26 → 00:23:29 หลากสีเพราะว่ามันก็จะได้สารต้านอนุสระ
00:23:29 → 00:23:33 ที่มันมีความหลากหลายแล้วก็ทำงานที่ครบวง
00:23:33 → 00:23:36 จรนะแล้วนั่นคือที่มาว่าทำไมเรากินผัก
00:23:36 → 00:23:39 ผลไม้สดจากธรรมชาติจึงอาจจะน่าจะดีกว่า
00:23:39 → 00:23:42 การที่เราสกัดสารอาหารบางอย่างมาเป็น
00:23:42 → 00:23:44 วิตามินเสริมเพราะในความเป็นจริงแล้ว
00:23:44 → 00:23:47 เนี่ยเรามักจะลืมพฤกษะเคมีต่างๆที่มีอยู่
00:23:47 → 00:23:50 ตามธรรมชาติในผักผลไม้ซึ่งไม่ได้มี
00:23:50 → 00:23:54 ประโยชน์เพียงแค่ทำให้ผักผลไม้มีสีแต่ทำ
00:23:54 → 00:23:57 ให้การทำงานของร่างกายต่างๆเนี่ยเกิดความ
00:23:57 → 00:23:58 สมดุล
00:23:58 → 00:24:00 แล้วก็ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมาก
00:24:00 → 00:24:02 ที่สุดด้วยแล้วอีกอันนึงก็คือที่เมื่อกี้
00:24:02 → 00:24:04 อาจารย์พูดมาหลายผู้หญิงหลายๆคนถูกมยครับ
00:24:04 → 00:24:07 เนาะก็รักแน่นอนรักสวยรักงามไม่อยากแกถูก
00:24:07 → 00:24:10 มยครับคราวนี้อ่ะไปฉีดโบท็อกซ์ไปฉีด
00:24:10 → 00:24:12 ฟิลเลอร์แต่ไม่แก้ที่ฮอร์โมนแล้วไอผู้
00:24:12 → 00:24:15 หญิงเนี่ยมันมีการเข้าวทองหรือเข้าเมโน
00:24:15 → 00:24:18 พอสนั่นเองเนี่ยอฉีดพวกโบท็อกซ์แค่เนี้ย
00:24:18 → 00:24:21 พอไหมครับแต่ไม่แก้ฮอร์โมนก็แล้วแต่ว่า
00:24:21 → 00:24:24 คุณต้องการอะไรนะครับเ่อวงการแพทย์เนี่ย
00:24:24 → 00:24:28 มันก็เหมือนกับเรามีหน้าเราปุปะแล้วก็ลอง
00:24:28 → 00:24:31 พื้นโปะๆๆมันก็ได้ระดับนึงเนาะพอเราล้าง
00:24:31 → 00:24:34 หน้าก็คืนร่างเดิมใช่มแต่ถ้าเกิดว่าเราจะ
00:24:34 → 00:24:37 แบบบูรณปฏิสังขรเลยเราก็คงจะต้องทำอะไร
00:24:37 → 00:24:40 จากภายในดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าเค้าค
00:24:40 → 00:24:42 คำนึงถึงอะไรนะครับเพราะงั้นการทำความงาม
00:24:42 → 00:24:45 แบบภายนอกท็อกซินฟลอร์อะไรทั้งหลายเนี่ย
00:24:45 → 00:24:47 มันก็ได้ประโยชน์เพราะบางครั้งเนี่ยการดู
00:24:47 → 00:24:49 แลจากภายในอย่างเดียวก็ช่วยไม่ได้นะครับ
00:24:50 → 00:24:52 โดยประสบการณ์ตัวเองที่เห็นเนี่ยคนไข้ที่
00:24:52 → 00:24:55 ฉีดท็อกซินฟอรหรือทำความงามอย่างเดียว
00:24:55 → 00:24:58 เนี่ยมักจะอายุสั้นอายุสั้นนี่ไม่ใช่ายุ
00:24:58 → 00:25:01 ไขเคนะหมายความว่ามันหมดฤทธิ์เร็วแล้วมัน
00:25:01 → 00:25:05 ก็ต้องมาทำบ่อยนะครับแล้วมันก็จะได้แค่
00:25:05 → 00:25:08 แค่สิ่งที่ได้เห็นจากเปลือกนอกแต่ภายใน
00:25:08 → 00:25:11 มันไม่ได้นะครับในขณะเดียวกันคนไข้ที่ดู
00:25:11 → 00:25:14 แลจากภายในอย่างเช่นอาหารการกินการนอนการ
00:25:14 → 00:25:16 ออกกำลังกายรวมถึงฮอร์โมนเนี่ยเราพบว่า
00:25:16 → 00:25:20 บางทีเทำน้อยลงทำช้าลงบางทีคนไข้นะมาเจอ
00:25:20 → 00:25:23 พี่เนี่ยนะจะพูดว่าพอเปิดตุมาเฮ้ยเคดูสวย
00:25:23 → 00:25:25 ขึ้นพี่ก็ทักเอ้ยสวยสวยขึ้นนะเบอกว่าไม่
00:25:25 → 00:25:28 ได้ไปทำที่ไหนนะคะบอกเปล่า
00:25:28 → 00:25:30 ไม่ได้สงสัยว่าไปทำที่ไหนแต่มันคือสวย
00:25:31 → 00:25:33 ขึ้นจริงๆซึ่งซึ่งเขก็ไม่ได้ทำที่ไหนจริง
00:25:33 → 00:25:35 ๆนะครับคือสิ่งนึงเราจะเห็นได้ว่าเอ้ยเ
00:25:35 → 00:25:38 เอ่อสิ่งที่ทำเนี่ยมันอยู่นานกว่าคนที่ทำ
00:25:38 → 00:25:41 แบบความงามฉาบฉวยนะครับและสิ่งนึงที่
00:25:41 → 00:25:44 สำคัญที่สุดก็คือว่าอารมณ์สมรรถภาพเรานึก
00:25:44 → 00:25:47 ภาพออกมว่าเราจะทำสวยหน้าตึงคอตั้งทุก
00:25:47 → 00:25:51 สิ่งอย่างเลยแต่ในใจคือหดหู่เหี่ยวไม่มี
00:25:51 → 00:25:53 แรงไม่อยากไปไหนอารมณ์ไม่ได้เนาะเพราะ
00:25:53 → 00:25:56 ฉะนั้นจริงๆแล้วเนี่ยสิ่งนึงคือทั้ง 2
00:25:56 → 00:25:59 อย่างเนี่ยมันต้องไปด้วยกันนะมันมีงาน
00:25:59 → 00:26:03 ศึกษาวิจัยนะว่าทำหน้าสวยนะทำหน้าสวยไป
00:26:03 → 00:26:06 แล้วพอเห็นกระจกจิตใจดีขึ้นสุขภาพดีขึ้น
00:26:06 → 00:26:10 น่าหรือเราจะักจะคิดว่าสุขภาพดีขึ้นแล้ว
00:26:10 → 00:26:14 หน้าก็ผ่องขึ้นคือทั้ง 2 อันน่ะมันมันไม่
00:26:14 → 00:26:16 ใช่มันไก่กับไข่อ่ะไม่รู้อะไรเกิดก่อนกัน
00:26:16 → 00:26:19 หรอกแต่มันส่งผลซึ่งกันและกันถ้าเรามอง
00:26:19 → 00:26:21 อะไรที่มันด้านเดียวมันก็เป็นอะไรที่หนัก
00:26:21 → 00:26:24 ด้านเดียวดังนั้นบานหรือผสมผสานทั้ง 2
00:26:24 → 00:26:27 อย่างคือสิ่งที่สำคัญที่สุดอืแล้วนอกจาก
00:26:27 → 00:26:29 สารท็อกซินที่ๆที่อาจารย์พูดมาฟอแล้วตอน
00:26:29 → 00:26:32 นี้ฮิตฮอตมาก Collagen stimulator อัน
00:26:33 → 00:26:34 นี้มันมันมันช่วยจริงหรอครับอาจารย์มัน
00:26:34 → 00:26:37 มันมีกลไกยังไงครับในเวลาที่ฉีดเข้าไปใน
00:26:37 → 00:26:40 ผิวหนังของเรากลไกของมันก็คือสารเคมีที่
00:26:40 → 00:26:43 เราใส่เข้าไปแล้วมันกระตุ้นให้เกิดการ
00:26:43 → 00:26:45 อักเสบเมื่อไหร่ที่ร่างกายเกิดการอักเสบ
00:26:45 → 00:26:49 ร่างกายก็จะต้องสร้างนะสารต่างๆอย่างเช่น
00:26:49 → 00:26:53 สร้างไฟบัทิชชูคอลลาจคอลลาเจนเรานึกง่ายๆ
00:26:53 → 00:26:56 ถ้าเมื่อไหร่เรามีมีดบาตรเราก็จะเกิดการ
00:26:56 → 00:26:58 สร้างเนื้อเยอใหม่แต่เนื้อเยอใหม่ที่มัน
00:26:58 → 00:27:00 สร้างขึ้นมาในรูปแบบของวิบาทนั้นเราเรียก
00:27:00 → 00:27:02 ว่าแผเป็นนะแต่ว่าตัวนี้เนี่ยมันเป็นสาร
00:27:02 → 00:27:05 เคมีซึ่งค่อยๆซึมเข้าไปแล้วก็สร้างเนื้อ
00:27:05 → 00:27:08 เยื่อเรื่อยๆสร้างเยอะมากรุนแรงมากก็อาจ
00:27:08 → 00:27:11 จะเป็นพังผืกที่แข็งคล้ายกับแผลเป็นค่อยๆ
00:27:11 → 00:27:14 สร้างสร้างน้อยๆก็อาจจะเป็นเหมือนกับ
00:27:14 → 00:27:16 กระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติให้เพิ่มมาก
00:27:16 → 00:27:18 ขึ้นดังนั้นมันก็เป็นอีกขบวนการนึงที่
00:27:18 → 00:27:20 กระตุ้นให้เซลล์มีการฟื้นฟูซึ่งเราอย่าง
00:27:20 → 00:27:23 ที่บอกมนุษย์มันมีความเอาชนะเนาะมันมี
00:27:23 → 00:27:27 ทั้งการใช้ GR Factor ใช้โปรตีนซึ่งสาร
00:27:27 → 00:27:29 เหล่านี้เนี่ยมีการศึกษามานานแล้วก็เริ่ม
00:27:29 → 00:27:32 พบว่ามีความปลอดภัยแต่ว่าในความปลอดภัย
00:27:32 → 00:27:34 นั้นน่ะมันก็มี Range ของมันเนาะว่าแบบ
00:27:34 → 00:27:37 น้อยๆกระตุ้นน้อยๆหรือกระตุ้นมากๆกระตุ้น
00:27:37 → 00:27:40 มากๆก็เยอะหน่อยแต่ก็เสี่ยงนิดนึงนึกภาพ
00:27:40 → 00:27:42 ออกมั้ยนั่นก็คือสิ่งนึงที่เป็นธรรมชาติ
00:27:42 → 00:27:45 แหละอะไรที่มาเยอะก็ต้องระวังผลข้างเคียง
00:27:45 → 00:27:47 อะไรที่มาน้อยดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง
00:27:47 → 00:27:49 เนี่ยก็ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า
00:27:49 → 00:27:52 เอ้ยตัวไหนดีตัวไหนมากตัวไหนน้อยโดยปกติ
00:27:52 → 00:27:54 โดยส่วนตัวพี่อ่ะพี่จะชอบอะไรที่มันแบบ
00:27:54 → 00:27:58 ว่าไม่ต้องเยอะมากแล้วกลางๆแล้วพอดีๆดีนะ
00:27:58 → 00:28:01 ครับซึ่งอันนี้เนี่ยคือเราคิดว่ายังไงก็
00:28:01 → 00:28:03 ตามมันปลอดภัยที่สุดแต่แน่นอน at least
00:28:03 → 00:28:05 อย่างน้อยที่สุดสารเหล่าเนี้ยที่มีมาใน
00:28:05 → 00:28:08 ท้องตลาดมันก็ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย
00:28:08 → 00:28:11 ระดับนึงนะครับแต่ในดีเทลลึกๆอย่างที่บอก
00:28:11 → 00:28:13 เราคงต้องศึกษากันต่อไปว่าตัวไหนที่มันจะ
00:28:13 → 00:28:15 เหมาะกับเราหรือตัวไหนที่เรามองแล้วว่า
00:28:15 → 00:28:18 เอ้ยมันมันเอาแค่นี้พอไม่เอาเยอะอนั่นคือ
00:28:18 → 00:28:21 สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ต่อไปอ่าเข้าใจ
00:28:21 → 00:28:25 แล้วครับและอีกอันนึงที่คนชอบใช้กันมาก
00:28:25 → 00:28:26 หรือว่าที่ผ่านมาเรื่องเป็นเรื่องฮิตฮอต
00:28:26 → 00:28:30 เรื่องการชลอยวมากเลยครับ nad ครับอาจาน
00:28:30 → 00:28:33 nad นี่มันส่งเสริมทำให้เราชะลอไวในร่าง
00:28:33 → 00:28:35 กายเรายังไงบ้าง่ะครับเราก็ต้องบอกก่อน
00:28:35 → 00:28:37 ว่าเวลาที่เซลล์ของเรามันทำงานทุกๆวัน
00:28:37 → 00:28:40 เนาะเซลล์เด็กๆเนี่ยพลังงานเยอะเพราะ
00:28:40 → 00:28:43 เซลล์แก่ๆพลังงานมันลดลงนะมันก็เหตุผลอัน
00:28:43 → 00:28:46 นึงก็คือเตาเผาผลิตพลังงานซึ่งไอ้เตาเผา
00:28:46 → 00:28:49 ผลิตพลังงานเนี่ยมันก็เป็นเตาอันนึงซึ่ง
00:28:50 → 00:28:52 ได้สารอาหารคือน้ำตาลที่เรากินเข้าไป
00:28:52 → 00:28:55 ออกซิเจนแล้วก็ใส่เตาเผาในระหว่างที่เกิด
00:28:55 → 00:28:59 การเกิดเตาเผาเนี่ยสารตัวนึงถูกสร้างขึ้น
00:28:59 → 00:29:01 มาเพื่อขนส่งพลังงานสารตัวนั้นเราเรียก
00:29:01 → 00:29:05 ว่า nad nad คือสารที่เกิดจากวิตามิน B3
00:29:05 → 00:29:07 นะครับซึ่ง B3 เนี่ยเป็น b ต้นๆเลยและ
00:29:07 → 00:29:09 เกี่ยวข้องกับการขนส่งพลังงานดังนั้น
00:29:09 → 00:29:12 เมื่อเรากินอาหารปกติที่มี B3 เข้าไปร่าง
00:29:12 → 00:29:16 กายจะเอาไปถูกเปลี่ยนเป็นสารที่ช่วยสร้าง
00:29:16 → 00:29:19 พลังงานที่ชื่อว่า nad ขบวนการเปลี่ยนตรง
00:29:19 → 00:29:21 เมนุษย์เราต้องทำเองแล้วเราก็พบว่าเวลา
00:29:21 → 00:29:24 ที่เซลล์เราอายุมากขึ้นเนี่ยการเปลี่ยน
00:29:24 → 00:29:26 วิตามิน B3 มาเป็น nad เนี่ยมันลดลงพอ
00:29:26 → 00:29:29 เซลล์มี nad ลดลงการสร้างพลังงานก็ลดลง
00:29:29 → 00:29:32 เซลล์นั้นก็แก่แล้วเราก็พบว่าเซลล์ที่มี
00:29:32 → 00:29:35 การมีข้อจำกัดในการสร้าง nad แล้วก็มี
00:29:35 → 00:29:37 ปัญหามากที่สุดก็คือเซลล์สมองแล้วก็เซลล์
00:29:37 → 00:29:40 ตับดังนั้นในโรคเสื่อมต่างๆเหล่านี้เนี่ย
00:29:40 → 00:29:44 มีการให้สาร nad เข้าไปแล้วเราก็พบว่ามัน
00:29:44 → 00:29:46 ช่วยชะลอความเสื่อมหรือช่วยฟื้นฟูให้
00:29:46 → 00:29:48 เซลล์มีพลังงานมากขึ้นเพราะเหมือนกับว่า
00:29:48 → 00:29:51 มันเหมือนกับฉันกำลังจะแย่แล้วอ่ะแล้วฉัน
00:29:51 → 00:29:53 สร้างไม่ได้พอให้เข้าไปปุ๊บอ่ะมันก็เริ่ม
00:29:53 → 00:29:55 ฟูมากยิ่งขึ้นดังนั้นก็เลยมีงานวิจัย
00:29:55 → 00:29:58 ศึกษาในเรื่องของ N กับโรคเสื่อมเหล่านี้
00:29:58 → 00:30:01 ก็พบว่ามันช่วยให้เอ่อการฟื้นฟูหรือการลด
00:30:01 → 00:30:04 ความเสื่อมดีขึ้นนั่นเองก็เลยมี ow มีบท
00:30:04 → 00:30:08 บาทของการใช้สารตัวนี้มาในแง่ของการชะลอ
00:30:08 → 00:30:11 ความชลหรือแอนไทิมากยิ่งขึ้นซึ่งอันนี้ใน
00:30:11 → 00:30:13 แง่ของการป้องกันเนี่ยอย่างที่บอกมันต้อง
00:30:13 → 00:30:16 อาศัยงานวิจัยที่ใช้ผลระยะยาวนะครับแต่
00:30:16 → 00:30:19 โดยทฤษฎีแล้วเนี่ยสารตัวนี้คือสารอันนึง
00:30:19 → 00:30:22 ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินะครับมีงานศึกษาที่
00:30:22 → 00:30:26 พยายามจะใช้อนุพันธ์ของวิตามินบนะครับ
00:30:26 → 00:30:29 อย่างเช่น nmn n อะไรทั้งหลายนะครับซึ่ง
00:30:29 → 00:30:32 เค่อนข้างฮอฮิตมากพอสมควรนะครับจากการ
00:30:32 → 00:30:35 ศึกษาของพี่เองแล้วพี่ก็อ่านหลายๆอย่างก็
00:30:35 → 00:30:38 พบว่าการกินสารเหล่านี้เราหวังว่าจะให้ไป
00:30:38 → 00:30:41 สร้างเป็น nad แล้วเพบว่ามันไม่ง่ายแล้ว
00:30:41 → 00:30:44 มันไม่ตรงไปตรงมาเหตุผลเพราะว่ามันเป็น
00:30:44 → 00:30:47 เหมือนกับการเปลี่ยนประจุอย่างรวดเร็วดัง
00:30:47 → 00:30:50 นั้นสารตัวนี้จะไม่เสถียรนะครับเพราะงั้น
00:30:50 → 00:30:52 เวลาที่เรากินเข้าไปสิ่งนึงคือโอกาสที่จะ
00:30:52 → 00:30:55 เปลี่ยนเป็นเดีบางทีอาจจะไม่ได้อย่างที่
00:30:55 → 00:30:57 ควรจะเป็นนะครับเพราะงั้นโดยส่วนตัวถ้า
00:30:57 → 00:30:59 ถามพี่ว่าจะกินสารพวกนี้มั้ยพี่จะตอบว่า
00:30:59 → 00:31:02 พี่คงไม่กินแต่พี่ก็คงจะคิดว่าการกินแบบ
00:31:02 → 00:31:06 รวมๆแล้วทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์สูงสุดแล้ว
00:31:06 → 00:31:08 ร่างกายอาจจะสร้าง nid ได้อันนั้นคือ
00:31:08 → 00:31:10 คอนเซปที่น่าจะถูกต้องมากกว่าังนั้นโดย
00:31:10 → 00:31:12 ส่วนตัวพี่จะไม่ค่อยบ้าไปกินอะไรตามที่คน
00:31:12 → 00:31:15 อื่นเคเกินกันเท่าไหร่แต่เราจะใช้หลักการ
00:31:15 → 00:31:18 หรือลิแล้วในบางครั้งอาจจะต้องรองานศึกษา
00:31:18 → 00:31:21 วิจัยเนาะและการที่เราจะพฟอะไรบางสิ่งบาง
00:31:21 → 00:31:23 อย่างอาจจะต้องมองระยะยาวซึ่งสิ่งเหล่า
00:31:24 → 00:31:26 นี้เนี่ยบางครั้งอาจจะยังไม่มี Paper
00:31:26 → 00:31:28 supp แต่ว่าถ้าเราดูตตามหลักการทฤษฎี
00:31:28 → 00:31:31 อะไรแล้วเนี่ยมันมีความที่จะเป็นไปได้
00:31:31 → 00:31:33 ซึ่งหลักการของศาสตร์ antiaging เนี่ยมัน
00:31:33 → 00:31:36 เกิดจากคอนเซปอย่างนี้ก่อนนะครับและมันจะ
00:31:36 → 00:31:40 ไม่มีสารตัวเดียวที่ใช้แล้วเป็นมหัศจรรย์
00:31:40 → 00:31:43 เนาะนะครับเ่ออย่างที่บอกว่าคุณภาพชีวิต
00:31:43 → 00:31:45 ที่ดีไม่ได้เกิดจากยาเพียงนิดเดียวแต่ทุก
00:31:45 → 00:31:47 สิ่งทุกอย่างต้องมองแบบองค์รวมไปพร้อมๆ
00:31:47 → 00:31:50 กันอครับผมเนาะก็อย่างที่อาจารย์พูดมาของ
00:31:50 → 00:31:52 nd คือเรื่องของเตาเผาที่อาจารย์มันค่อย
00:31:52 → 00:31:54 ๆหมดไปเรื่อยๆถูกมั้ยครับเตาเผาในเซลล์
00:31:54 → 00:31:56 ของร่างกายเราก็คืออยู่ตรงที่
00:31:56 → 00:31:58 ไมโทคอนเดรียนั่นเองนะครับเพราะฉะนั้นเรา
00:31:58 → 00:32:01 ก็ต้องทำยังไงให้ไมโคนเดียของเรากลับมาทำ
00:32:01 → 00:32:03 งานได้เหมือนเดิมเหมือนตอนที่เราอยู่ใน
00:32:03 → 00:32:05 วัยเด็กศาสตร์ Anti aging ก็เป็นศาสตร์
00:32:05 → 00:32:08 นึงที่เราสามารถเอามาใช้ดูแลตัวเราเอง
00:32:08 → 00:32:11 หรือคนรอบข้างคนในครอบครัวของเรารวมถึงคน
00:32:11 → 00:32:13 คนไข้ของผมด้วยเนาะผมก็เอามาสาสตรนี้มา
00:32:13 → 00:32:16 ใช้เพื่อดูแลทำให้สุขภาพเขาเนี่ยดีมาก
00:32:16 → 00:32:19 ยิ่งขึ้นหรือว่าหายจากโรคที่เขาเป็นค่อยๆ
00:32:19 → 00:32:21 แก้ไปทีละจุดแล้วะกันเนาะที่เราพูดมาทั้ง
00:32:22 → 00:32:24 หมดนะครับไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมของร่าง
00:32:24 → 00:32:27 กายการลดความหวานการอาหารปิ้งย่างนะครับ
00:32:27 → 00:32:30 หรือสาเหตุต่างๆไม่ว่าจะเป็นของเรื่องของ
00:32:30 → 00:32:33 แสงแดดการป้องกันเนี่ยอันนี้ก็เป็นจุด
00:32:33 → 00:32:36 เล็กๆของของศาสตรแนจที่ผมเรียนกับอาจารย์
00:32:36 → 00:32:38 นะครับเนาะแต่ว่าอย่างน้อยเนี่ยมันอาจจะ
00:32:38 → 00:32:42 เป็นเอ่อข้อมูลที่คุณผู้ชมเนี่ยอาจจะได้
00:32:42 → 00:32:44 มีประโยชน์นะครับวันนี้ยังไงก็อยากจะ
00:32:44 → 00:32:48 ขอบคุณอาจารย์มากๆเลยนะครับที่คิวทองมาก
00:32:48 → 00:32:51 แล้วก็เสียสละมารายการเล็กๆของเรานะครับ
00:32:51 → 00:32:54 นะก็อาจารย์มีอะไรกล่าวกับผู้ชมบ้างครับ
00:32:54 → 00:32:56 ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องของศาสตรแี้ aging
00:32:57 → 00:33:00 บ้างครับโอเคก็คงอยากจะบอกว่าศาสตร์อัน
00:33:00 → 00:33:01 นี้เนี่ยนะครับในปัจจุบันเนี่ยยังไม่ได้
00:33:01 → 00:33:04 รับการยอมรับนะครับมันจัดว่าเป็นแพทย์ทาง
00:33:04 → 00:33:07 เลือกหรือแพทย์ผสมผสานซึ่งถ้าเกิดคุณ
00:33:07 → 00:33:10 สมมุติว่าคุณป่วยนะครับเราก็ต้องรักษาตาม
00:33:10 → 00:33:12 มาตรฐานของแพทย์แผนปัจจุบันไปนะครับแต่
00:33:12 → 00:33:15 สิ่งหนึ่งคือการรักษาของแพทยผบาเป็นการ
00:33:15 → 00:33:17 แก้ที่ปลายเหตุซึ่งถ้าหากว่าต้นเหตุนั้น
00:33:17 → 00:33:19 ยังอยู่และการรักษานั้นไม่ได้ครอบคลุม
00:33:19 → 00:33:22 คลุมถึงนะครับสิ่งที่เราเป็นจะกลายเป็น
00:33:22 → 00:33:24 โรคเรื้อรังเราสามารถที่จะผสมผสานสิ่ง
00:33:24 → 00:33:27 เหล่านี้เข้าไปเพื่อทำให้การรักษาได้มา
00:33:27 → 00:33:31 ฐานดีที่สุดแล้วก็ทำให้ลดการใช้ยาลดผล
00:33:31 → 00:33:34 ข้างเคียงในขณะเดียวกันในกลุ่มคนที่ยัง
00:33:34 → 00:33:36 ไม่ถึงกับป่วยนะครับการปรับวิถีชีวิตการ
00:33:37 → 00:33:40 ใช้สาสตร์แบบนี้ก็อาจจะทำให้ชะลอหรือยืด
00:33:40 → 00:33:42 ระยะเวลาการเจ็บป่วยได้นานที่สุดแต่อย่าง
00:33:43 → 00:33:46 ไรก็ตามเมื่อมันไม่มีมาตรฐานความรู้และ
00:33:46 → 00:33:50 วิจารณญาณของของแต่ละคนคือสิ่งที่สำคัญ
00:33:50 → 00:33:53 เพราะในบางครั้งคนที่อาจจะใช้ฉกฉวยโอกาส
00:33:53 → 00:33:58 อันนี้ในการที่จะใช้คำเหล่านี้หรือใช้
00:33:58 → 00:34:01 ศาสตร์แบบนี้แบบที่ถูกบ้างตรงบ้างใช่บ้าง
00:34:01 → 00:34:03 หรือไม่ใช่บ้างเราในฐานะผู้บริโภคอ่ะเรา
00:34:03 → 00:34:07 ควรที่จะต้องมีความรู้แล้วก็เตรียมตัวให้
00:34:07 → 00:34:10 ทันนะครับและสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่าหลง
00:34:10 → 00:34:13 เชื่อมันจะไม่มีวิธีการใดวิิธีการหนึ่งจะ
00:34:13 → 00:34:15 ไม่มียาตัวใดตัวหนึ่งจะไม่มีอาหารเสริม
00:34:15 → 00:34:18 เพียงแค่เม็ดหนึงที่ใช้แล้วครอบคลุมทุก
00:34:18 → 00:34:21 อย่างในจักรวาลมันเป็นไปไม่ได้นะครับ
00:34:21 → 00:34:24 เพราะฉะนั้นถ้าถามพี่ว่าอะไรสำคัญที่สุด
00:34:24 → 00:34:27 ในปัจจุบันพี่ก็คงจะต้องตอบว่าความรู้และ
00:34:27 → 00:34:30 วิจารณญาณคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะหลาย
00:34:30 → 00:34:34 ๆคนไม่รู้หรือขาดสตินั่นคือสิ่งที่นำมา
00:34:34 → 00:34:38 ซึ่งหายนะและก็สิ่งที่ดีอาจจะกลายเป็น
00:34:38 → 00:34:40 สิ่งที่เลวก็ได้ครับและนี่คือ doc Talk
00:34:40 → 00:34:42 podcast ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
00:34:42 → 00:34:45 สุขภาพจะมาพูดคุยประเด็นเรื่องสุขภาพต่าง
00:34:45 → 00:34:48 ๆถ้าชอบคทนแนวนี้ฝากกดไและ Subscribe
00:34:48 → 00:34:53 เป็นกำลังใจให้หมอด้วยนะครับสวัสดีครับ