00:00:00 → 00:00:02 บนโซเชียลมีการแชร์สารพัดคำเตือนห้ามแคะ
00:00:02 → 00:00:05 จมูกและขี้มูกทั้งแคะจมูกบ่อยๆทำให้จมูก
00:00:05 → 00:00:07 บานแคะจมูกมากๆเสี่ยงเชื้อแบคทีเรียเข้า
00:00:07 → 00:00:10 สู่ร่างกายและสมองอย่างไรก็ตามกลับมีข้อ
00:00:10 → 00:00:13 ความบอกว่าการกินขี้มูกนั้นดีต่อสุขภาพ
00:00:13 → 00:00:15 เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จพบคำตอบใน
00:00:15 → 00:00:17 ชัวร์ก่อนแชร์เช็คลิสต์ร้อยเรียงเรื่อง
00:00:17 → 00:00:21 ฮิตติดอันดับจากชัวร์ก่อนแชร์
00:00:21 → 00:00:23 อันดับที่ 5 ใช้นิ้วแคะจมูกบ่อยๆจะทำให้
00:00:23 → 00:00:25 จมูกบานจริงหรือ
00:00:25 → 00:00:28 >> เอานิ้วแคะขี้มูกแล้วจะทำให้จมูกบานขึ้น
00:00:28 → 00:00:30 เนี่ยเป็นความเชื่อที่ยังไม่มีหลักฐานทาง
00:00:30 → 00:00:32 การแพทย์ใดๆยืนยันว่าเป็นความเชื่อที่ถูก
00:00:33 → 00:00:35 ต้องเพราะว่าลักษณะปีกจมูกส่วนนึงถูก
00:00:35 → 00:00:37 กำหนดมาจากกรรมผมันธ์อยู่แล้วแต่การที่แค
00:00:37 → 00:00:40 จมูกบ่อยๆเนี่ยอาจจะรู้สึกว่ามันดูทำให้
00:00:40 → 00:00:42 มันยืดมันขยายขึ้นแต่ว่าจะทำให้มันบาน
00:00:43 → 00:00:45 ขึ้นเนี่ยคุณอาจจะต้องแคะหรือเอามือคาไว้
00:00:45 → 00:00:47 อย่างงั้นจริงๆอ่ะเกินวันละ 6-10 ช่มงต่อ
00:00:47 → 00:00:49 วันซึ่งในชีวิตจริงเราไม่มีทางทำอย่าง
00:00:49 → 00:00:49 นั้นครับ
00:00:50 → 00:00:52 >> สรุปแล้วเรื่องนี้ไม่จริงไม่ควรแชร์ต่อนะ
00:00:52 → 00:00:54 ครับเพราะลักษณะของจมูกและรูจมูกของแต่ละ
00:00:54 → 00:00:57 คนถูกกำหนดมาจากพันธุกรรมอยู่แล้วการใช้
00:00:57 → 00:00:59 นิ้วแคะจมูกบ่อยๆจึงไม่ได้ทำให้จมูกปลูก
00:00:59 → 00:01:02 บ้านอย่างที่แชร์กันครับอันดับที่ 4 แคะ
00:01:02 → 00:01:04 ขี้มูกอันตรายถึงชีวิตจริงหรือ
00:01:04 → 00:01:07 >> ก็จริงได้นะครับการแคะขี้มูกเนี่ยมันก็จะ
00:01:07 → 00:01:08 ทำให้เกิดการอักเสบเพราะเนื่องจากมันมี
00:01:09 → 00:01:11 แผลได้แล้วเชื้อที่อยู่ตามนิ้วมือของเรา
00:01:11 → 00:01:14 เนี่ยก็สามารถที่จะเข้าไปในกระแสเลือดได้
00:01:14 → 00:01:17 เข้าไปในเส้นเลือดได้แต่อย่างไรก็ตาม
00:01:17 → 00:01:19 เนี่ยกลไกร่างกายของเราเนี่ยต้องมีการ
00:01:19 → 00:01:22 ขจัดเชื้อโรคออกไปอยู่และโอกาสที่เชื้อ
00:01:22 → 00:01:24 โรคจะเข้าไปสู่สมองเนี่ยต้องบอกว่าน้อย
00:01:24 → 00:01:27 มากอาจจะต้องในกรณีที่คนไข้เนี่ยมีโรค
00:01:27 → 00:01:30 ประจำตัวไม่แข็งแรงแงอยู่แล้วทำให้เชื้อ
00:01:30 → 00:01:32 โรคเมันสามารถกระจายเข้าไปได้
00:01:32 → 00:01:34 >> สรุปแล้วเรื่องนี้จริงบางส่วนการแค้ขี้
00:01:34 → 00:01:37 มูกอาจทำให้เกิดแผลอักเสบเชื้อโรคจากนิ้ว
00:01:37 → 00:01:39 มือจะเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไรก็ตามโอกาส
00:01:39 → 00:01:42 ไปทำอันตรายจนถึงชีวิตมีค่อนข้างน้อยเว้น
00:01:42 → 00:01:44 แต่เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวต้องระวัง
00:01:44 → 00:01:47 นะครับอันดับที่ 3 เหตุผลที่ไม่ควรสั่ง
00:01:47 → 00:01:49 น้ำมูกแรงเกินไปจริงหรือ
00:01:49 → 00:01:51 >> มันมีส่วนที่จริงก็คือการสั่งน้ำมูกที่
00:01:51 → 00:01:53 ค่อนข้างแรงมีผลกระทบส่วนรายละเอียดอาจจะ
00:01:53 → 00:01:56 มีบางส่วนที่ยังไม่ถูกต้องเวลาที่เราสั่ง
00:01:56 → 00:01:59 น้ำมูกโดยที่สั่งแรงๆถามว่ามีโอกาสที่จะ
00:01:59 → 00:02:01 ทำให้เกิดการป่วยศีรษะได้มั้ก็ต้องตอบว่า
00:02:01 → 00:02:01 คงมี
00:02:01 → 00:02:04 >> ใช้นิ้วหัวแม่โป้งปิดรูจมูกข้างนึงและ
00:02:04 → 00:02:06 ค่อยๆพ่นลมออกจากอีกข้างนึงอย่างเบาๆล่ะ
00:02:06 → 00:02:07 ครับ
00:02:07 → 00:02:09 >> คำแนะนำที่ถูกต้องน่าจะเป็นว่าเราค่อยๆ
00:02:09 → 00:02:11 สั่งเพียงแต่ว่าจะปิดหรือไม่ปิดเนี่ยก็
00:02:11 → 00:02:13 ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมันเหมือนแค่เป็นการ
00:02:13 → 00:02:16 เพิ่มแรงดันมากขึ้นถ้าจะปิดแล้วเราสั่ง
00:02:16 → 00:02:17 อย่างเบาก็ไม่น่าจะมีอะไร
00:02:18 → 00:02:19 >> สรุปแล้วเรื่องนี้จริงบางส่วนยังไม่ควร
00:02:19 → 00:02:22 แชร์ต่อครับข้อมูลที่บอกว่าการสั่งน้ำมูก
00:02:22 → 00:02:24 แรงเกินไปจะไปเพิ่มแรงดันในโพรงจมูก
00:02:24 → 00:02:26 กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะและปวดหูนั้น
00:02:26 → 00:02:29 เป็นเรื่องจริงอย่างไรก็ตามที่แชร์ว่าให้
00:02:29 → 00:02:31 ปิดรูจมูก 1 ข้างแล้วสั่งน้ำมูกแรงไม่ควร
00:02:31 → 00:02:34 ทำตามเพราะอาจเสี่ยงอันตรายตามมาได้ครับ
00:02:34 → 00:02:37 อันดับที่ 2 สีน้ำมูกบอกโรคได้จริงหรือ
00:02:37 → 00:02:39 >> บอกได้คร่าวๆนะครับไม่ได้บอกได้ทั้งหมด
00:02:39 → 00:02:42 เนื่องจากจมูกเนี่ยมันเป็นอวัยวะที่ต่อ
00:02:42 → 00:02:45 กับอากาศภายนอกเมื่อเราหายใจเข้าไปก็จะมี
00:02:45 → 00:02:47 ฝุ่นละอองสิ่งแปลกปลอมเข้าไปมันจะไปติด
00:02:47 → 00:02:49 อยู่ในจมูกช่องจมูกการที่มีน้ำมูกเนี่ยก็
00:02:50 → 00:02:52 เพื่อที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปสีน้ำ
00:02:52 → 00:02:54 มูกที่เขาแชร์กันมีดังนี้ครับสีใสๆแปลว่า
00:02:54 → 00:02:55 เป็นหวัด
00:02:55 → 00:02:57 >> ถูกต้องนะฮะน้ำมูกสีดำพบในคนสูบบุหรี่
00:02:57 → 00:03:00 หรือติดเชื้อราในโพรงจมูกสูบบุหรี่นี่ไม่
00:03:00 → 00:03:03 จำเป็นจะต้องเป็นสีดำมีสีดำแต่เจอในคนที่
00:03:03 → 00:03:08 เจอมลภาวะพวกนี้มักจะเป็นใสหรือขุ่นแล้ว
00:03:08 → 00:03:11 ก็มีฝุ่นสีดำป่นแต่ถ้าเป็นสีดำออกมาเลย
00:03:11 → 00:03:14 เนี่ยต้องสงสัยภาวะอื่นๆอันนึงก็คือต้อง
00:03:14 → 00:03:15 ระวางเลือกติดเชื้อรา
00:03:15 → 00:03:17 >> สรุปแล้วเรื่องนี้จริงบางส่วนยังไม่ควร
00:03:17 → 00:03:19 แชร์ต่อครับข้อความอย่างน้ำมูกสีใสแสดง
00:03:19 → 00:03:21 ว่าเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้นั้นเป็นความ
00:03:21 → 00:03:23 จริงอย่างไรก็ตามที่แชร์ว่าน้ำมูกสีดำพบ
00:03:23 → 00:03:26 ในคนสู่บุหรี่หรือติดเชื้อราในโพรงจมูก
00:03:26 → 00:03:28 นั้นไม่จริงเสมอไปนะครับเพราะอาจจะเจอใน
00:03:28 → 00:03:30 คนที่สูดดมฝุ่นหรือมีมลภาวะเยอะก็ได้
00:03:31 → 00:03:33 เรื่องนี้จึงยังไม่ควรแชร์ต่อครับและ
00:03:33 → 00:03:36 อันดับที่ 1 กินขี้มูกสุขภาพดีจริงหรือ
00:03:36 → 00:03:38 >> ก็ต้องบอกว่าไม่จริงเพราะว่าตัวน้ำมุกเอง
00:03:38 → 00:03:41 เนี่ยไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากเพียงพอที่
00:03:41 → 00:03:44 จะทานตัวน้ำมุกเข้าไปแล้วจะทำให้ก่อให้
00:03:44 → 00:03:46 เกิดประโยชน์ต่อร่างกายเราได้จริงๆตัวต้น
00:03:46 → 00:03:49 ฉบับเองของนักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมาจริงๆ
00:03:49 → 00:03:52 เหมือนเขาพูดเป็นไอเดียว่าตัวน้ำมูกเนี่ย
00:03:52 → 00:03:54 ถ้าเรากินเข้าไปเนี่ยให้มันจะไปสร้างภูมิ
00:03:54 → 00:03:57 คุ้มกันที่เกิดขึ้นมาได้หรือเปล่าเหมือน
00:03:57 → 00:03:59 เขาเป็นคำพูดที่สอนนักศึกษาแล้วก็เหมือน
00:03:59 → 00:04:01 พูดจุดประกายขึ้นมาแต่ว่าไม่รู้ว่ามัน
00:04:01 → 00:04:04 เป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาได้ยังไงจนทำให้เกิด
00:04:04 → 00:04:06 การแชร์ต่อแล้วก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
00:04:06 → 00:04:08 เพราะว่าอย่างที่บอกไปว่าการกินน้ำมูก
00:04:08 → 00:04:11 ส่วนประกอบของน้ำมูกไม่ได้มีอะไรที่จะไป
00:04:11 → 00:04:13 ช่วยป้องกันเชื้อโรคได้หรือขจัดเชื้อโรค
00:04:13 → 00:04:16 ได้นอกจากนี้ในตัวน้ำมุกเองยังมีตัวเชื้อ
00:04:16 → 00:04:18 โรคซึ่งการกินตัวเชื้อโรคเข้าไปก็น่าจะ
00:04:19 → 00:04:21 ไม่ดีต้องบอกว่าไม่จริงนะครับแล้วก็ไม่
00:04:21 → 00:04:23 ควรที่จะแชร์ต่อเพราะว่าตัวน้ำมุ่งเอง
00:04:23 → 00:04:26 เนี่ยไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากเพียงพอ
00:04:26 → 00:04:28 >> สรุปแล้วเรื่องนี้ไม่จริงไม่ควรแชร์ต่อนะ
00:04:28 → 00:04:30 ครับการกินขี้มูกไม่ได้มีประโยชน์ต่อ
00:04:30 → 00:04:32 สุขภาพอย่างที่แชร์กันที่สำคัญอาจเป็นการ
00:04:32 → 00:04:35 นำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายโดยใช้เหตุด้วย
00:04:35 → 00:04:38 นะครับไม่ควรทำตามครับคุณผู้ชมสามารถรับ
00:04:38 → 00:04:40 ชมเนื้อหาโดยละเอียดของทั้ง 5 เรื่องฮิต
00:04:40 → 00:04:42 และคลิปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกกว่า 2,000
00:04:42 → 00:04:43 เรื่องได้ที่ช่อง YouTube ชัวร์ก่อนแชร์
00:04:44 → 00:04:46 นะครับทร่งเรื่องน่าสงสัยแจ้งเตือนภัยข้อ
00:04:46 → 00:04:48 มูลเท็จเพียงแอด Line ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์
00:04:48 → 00:04:50 ไว้นะครับเข้าไปที่เพิ่มเพื่อนและค้นหา
00:04:50 → 00:04:53 @ชัวร์ and Share ยังมีอีกหลายเรื่องน่า
00:04:53 → 00:04:55 สงสัยว่าสังคมออนไลน์หากได้รับอะไรมาอย่า
00:04:55 → 00:04:58 เพิ่งแชร์ต่อรวมตรวจสอบไปด้วยกันกับชัวร์
00:04:58 → 00:05:00 ก่อนแชร์
00:05:00 → 00:05:02 >> ชัวร์ก่อนแชร์cซเบอร์ระวังติtอกปลอมอ้าง
00:05:03 → 00:05:06 ธกส.ปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินขอย้ำธกส.ไม่มี
00:05:06 → 00:05:08 นโยบายให้สินเชื่อผ่านทาง TikTok หรือ
00:05:08 → 00:05:11 ช่องทางส่วนตัวใดๆทั้งสิ้นของจริงต้องใช้
00:05:11 → 00:05:14 ชื่อ @baAC Thailand เท่านั้นหากไม่มั่น
00:05:14 → 00:05:16 ใจบัญชีจริงหรือไม่ส่งมาตรวจสอบกับศูนย์
00:05:16 → 00:05:19 ชัวร์ก่อนแชร์