00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice บางทีเราก็ต้องการคนที่สอดคล้องพอ
00:00:08 → 00:00:10 ดีไปกับเราคนที่เห็นภาพเดียวกับเราคนที่
00:00:10 → 00:00:13 คิดคล้ายๆเราส่วนคนที่แบบคิดน้อยๆสบายๆ
00:00:13 → 00:00:15 ชิลๆก็อยากอยู่กับคนที่แบบชิลๆเหมือนเรา
00:00:15 → 00:00:17 อ่ะนี้ต้องบอกว่าพวกนี้มันเป็นเรื่องของ
00:00:17 → 00:00:19 ความแตกต่างส่วนบุคคลที่แต่ละคนจะมีความ
00:00:20 → 00:00:22 คิดมากคิดน้อยไม่เท่ากันเพราะงั้นเรื่อง
00:00:22 → 00:00:24 นี้บางทีอาจจะไม่ได้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม
00:00:24 → 00:00:26 ก็ได้แต่บางคนก็เป็นสิ่งนี้ผ่านการถูก
00:00:26 → 00:00:28 หล่อหลอมจากครอบครัวก็มีบางคนเนาะเกิดมา
00:00:28 → 00:00:31 พ่อแม่แบบไม่คิดอะไรมากแต่ลูกเเหมือนเตบโ
00:00:31 → 00:00:33 มาในยุที่แบสังคมเห็นว่ามันมีรายละเอียด
00:00:33 → 00:00:35 หลายอย่างที่คจะใส่ใจเช่นการวางแผนการ
00:00:35 → 00:00:38 เงินการวางแผนเรื่องสุขภาพบางทีคนยุคก่อน
00:00:38 → 00:00:40 ในครอบครัวเขาอาจจะแบบไม่ทันได้คิดเรื่อง
00:00:40 → 00:00:42 พวกนี้แต่พอเราเติบโตมาในยุคที่แบบมันมี
00:00:42 → 00:00:44 องค์ความรู้หลายๆอย่างที่มันเพิ่มพูนขึ้น
00:00:44 → 00:00:46 มาเราอาจจะกลายเป็นคนคิดมากแตกต่างจากคน
00:00:46 → 00:00:48 ในบ้านก็มีเหมือน
00:00:48 → 00:00:52 กันฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:52 → 00:00:57 รายการโรงหมอกับชันสุรีพรวงสิพรค่ะ is
00:00:58 → 00:01:01 pbsc วันนี้ค่ะคุณฟังเราจะพูดคุยกันกับ
00:01:01 → 00:01:05 เรื่องที่น่าจะเป็นคือเวลาที่เราต้องอยู่
00:01:05 → 00:01:08 กับคนนึงคิดมากกับคนนึงคิดน้อยหรือไม่คิด
00:01:08 → 00:01:11 อะไรเลยเนี่ยเอ๊ะเค้าจะอยู่กันยังไงจะมี
00:01:11 → 00:01:15 ปัญหามยความต่างมีปัญหามหรือว่าจริงๆควร
00:01:15 → 00:01:17 จะเป็นเหมือนกันเดี๋ยววันนี้คุยกับดร
00:01:17 → 00:01:19 สุววุฒิวงษ์ทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการ
00:01:19 → 00:01:21 ปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นสวัสดีครับคุณ
00:01:21 → 00:01:24 รีสวัสดีครับคุณผู้ฟังค่ะวันนี้ก็คุยกัน
00:01:24 → 00:01:26 ในแนวที่เป็นแบบว่าเหมือน 2 ขั้วที่แตก
00:01:26 → 00:01:31 ต่างกันเนาะเอ่อในขั้วหนึโหคิดมากคิดมาก
00:01:31 → 00:01:34 คิดเยอะคิดกังวลไปหมดคกอย่าทุกอย่างเอา
00:01:34 → 00:01:38 เก็บมาคิดหมดจะคิดดีไม่ดีอีกเรื่องนึงเ
00:01:38 → 00:01:41 อีกคนนึงคิดน้อยเกินไปหรือเปล่าหรืออีก
00:01:41 → 00:01:44 ฝ่ายนึงที่เป็นคนคิดมากอาจจะมองว่าไม่
00:01:44 → 00:01:47 เห็นคิดอะไรเลยเธอควรจะคิดบ้างนะหรืออะไร
00:01:47 → 00:01:49 ประมาณนี้เนาะมันก็เป็นปัญหาอยู่เหมือน
00:01:49 → 00:01:52 กันนะแต่ทีเนี้ยในความต่างของความรู้สึก
00:01:52 → 00:01:56 ความคิดแบบนี้เนี่ยมันจะมีปัญหาอะไรมย
00:01:56 → 00:01:59 หรือว่ามันก็อยู่ด้วยกันได้นะแต่อาจจะ
00:01:59 → 00:02:02 ต้องหาวิธีการอือฮึอืใช่ครับคือมันต้องหา
00:02:02 → 00:02:05 วิธีการแหละผมว่ายังไงก็ตามพอเกิดความแตก
00:02:05 → 00:02:06 ต่างขึ้นนะครับแล้วยิ่งมนุษย์เนาะ
00:02:06 → 00:02:10 ธรรมชาติมนุษย์ผู้มีความคาดหวังมนุษย์มี
00:02:10 → 00:02:12 ความคาดหวังอยู่แล้วครับแล้วก็มีความ
00:02:12 → 00:02:15 ต้องการไม่เหมือนกันเหมือนเหมือนเราไปกิน
00:02:15 → 00:02:17 ข้าวเนาะเราต้องการรสชาติของอาหารที่ที่
00:02:17 → 00:02:19 ถูกปากเราเนี่ยไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้น
00:02:19 → 00:02:22 เรื่องคิดมากคิดน้อยหรือแม้กระทั่งอยู่ใน
00:02:22 → 00:02:23 ความสัมพันธ์เหมือนที่พี่รีพูดตอนต้นนะ
00:02:24 → 00:02:26 ครับบางทีเราก็ต้องการคนที่สอดคล้องพอดี
00:02:26 → 00:02:28 ไปกับเราค่ะคนที่เห็นภาพเดียวกับเราคนที่
00:02:29 → 00:02:32 คิดคล้ายๆเราอือฮึคนที่มีความสนใจในราย
00:02:32 → 00:02:34 ละเอียดใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆที่มีความ
00:02:34 → 00:02:36 สำคัญบางครั้งเราก็อยากให้คนที่เราคุย
00:02:36 → 00:02:38 ด้วยหรืออยู่ด้วยเนี่ยเคิดและเห็นภาพ
00:02:38 → 00:02:41 เดียวกับเราส่วนคนที่แบบคิดน้อยๆสบายๆชิล
00:02:41 → 00:02:44 ๆก็อยากอยู่กับคนที่แบบชิลๆเหมือนเราอ่ะอ
00:02:44 → 00:02:47 เย็นๆเบาๆได้มล่ะอย่างเงี้ยฮะแต่ทีนี้ใน
00:02:47 → 00:02:49 ชีวิตจริงอ่ะครับอย่างที่บอกเนาะบางทีเรา
00:02:49 → 00:02:51 ก็จะมีโอกาสได้เจอคนที่พอดีกับเราเหมือน
00:02:51 → 00:02:54 กันและอาจจะได้เจอคนที่ไม่พอดีกับเราค่ะ
00:02:54 → 00:02:56 ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราอ่ะเป็นสาย
00:02:56 → 00:03:00 คิดเยอะคิดมากหรือตัวเราเป็นสายแบบชิลคิด
00:03:00 → 00:03:02 ไม่คิดอะไรเลยนะฮะทีนี้ต้องบอกว่าพวกเมัน
00:03:02 → 00:03:04 เป็นเรื่องของความแตกต่างเอ่อเรียกว่า
00:03:04 → 00:03:07 ส่วนบุคคลเป็นบุคลิกภาพส่วนบุคคลที่แต่ละ
00:03:07 → 00:03:10 คนจะมีความคิดมากคิดน้อยไม่เท่ากันแม้
00:03:10 → 00:03:12 กระทั่งเกิดในครอบครัวเดียวกันอาจจะเป็น
00:03:12 → 00:03:14 แบบพี่น้องกันเลยอย่าเงี้ยครับบางทีราย
00:03:14 → 00:03:16 ละเอียดที่ใส่ใจอาจจะไม่เท่ากันก็ได้
00:03:16 → 00:03:17 เพราะงั้นเรื่องนี้บางทีอาจจะไม่ได้ถูก
00:03:17 → 00:03:19 กำหนดโดยพันธุกรรมก็ได้แต่เป็นเรื่องของ
00:03:19 → 00:03:23 บุคลิกภาพส่วนบุคคลแต่บางคนก็เป็นเ่อ
00:03:23 → 00:03:24 เรียกว่าเป็นสิ่งนี้ผ่านการถูกหล่อหลอม
00:03:24 → 00:03:27 จากครอบครัวก็มีเช่นคนที่บ้านเป็นคนใส่ใจ
00:03:27 → 00:03:29 รายละเอียดตรงนั้นตรงนี้ตรงโน้นไปหมดแล้ว
00:03:29 → 00:03:31 บังเอิญว่าเด็กคนเนี้ยหรือเราเนี่ยที่
00:03:31 → 00:03:33 เติบโตมาในครอบครัวที่ทุกคนคิดเยอะเนี่ย
00:03:33 → 00:03:35 เรารู้สึกว่าเฮ้ยงั้นเราต้องคิดตามหรือ
00:03:35 → 00:03:37 เราอาจจะเคยถูกตำหนิถูกต่อว่าอะไรบาง
00:03:37 → 00:03:39 อย่างเรารู้สึกว่าแบบเสียใจจังเลยจากการ
00:03:39 → 00:03:42 ที่เราคิดไม่มากพอแล้วถูกตำหนิอืเราอยาก
00:03:42 → 00:03:43 รู้สึกถูกยอมรับหรือเป็นส่วนหนึ่งกับเค
00:03:43 → 00:03:45 อะไรอย่างเงี้ยเราอาจจะกลายเป็นคนที่แบบ
00:03:45 → 00:03:48 ขี้กังวลเป็นคนที่คิดเยอะคิดมากหรือ
00:03:48 → 00:03:50 พยายามจะคิดให้ละเอียดขึ้นเพื่อให้ได้รับ
00:03:50 → 00:03:53 การยอมรับหรือการถูกชื่นชมก็มีอืแต่บางคน
00:03:53 → 00:03:56 เกิดมาในครอบครัวที่ชิ้วๆอ่าฮะบางทีก็แบบ
00:03:56 → 00:03:59 เออเราก็ถูกหล่อหล้อมไปด้วยเออพ่อแม่เรา
00:03:59 → 00:04:01 ไม่เหมือนเป็นเลยอเราต่อให้แบบเดือนนี้
00:04:01 → 00:04:03 ใช้เงินเยอะเดี๋ยวเดือนหน้าก็มีใช้อ่ะ
00:04:03 → 00:04:05 สมมุติสมมติอุ้ยอยากได้ฟิวนี้ไม่ต้องบาง
00:04:05 → 00:04:07 แผหรอกอะไรเงี้ยอ่าพอเป็นอย่างงี้ปั๊บก็
00:04:08 → 00:04:10 เลยชินกับการไม่ต้องคิดเยอะคิดมากอแต่ก็
00:04:10 → 00:04:12 ต้องบอกอีกว่าบางทีบางคนเนาะเกิดมาพ่อแม่
00:04:12 → 00:04:14 แบบไม่คิดอะไรมากแต่ลูกเนี่ยเหมือนกับ
00:04:14 → 00:04:16 เติบโตมาในยุคที่แบบสังคมอ่ะเห็นว่ามันมี
00:04:16 → 00:04:19 รายละเอียดหลายอย่างที่คนจะใส่ใจเช่นการ
00:04:19 → 00:04:22 วางแผนการเงินการวางแผนเรื่องสุขภาพ
00:04:22 → 00:04:25 เรื่องววางแผนอนาคตแล้วแต่บางทีคนยุคคน
00:04:25 → 00:04:27 ยุคก่อนในครอบครัวเขาอาจจะแบบไม่ทันได้
00:04:27 → 00:04:29 คิดเรื่องพวกนี้แต่พอเราเติบโตมาในยุคที่
00:04:29 → 00:04:30 แบบมันมันมีองค์ความรู้หลายๆอย่างที่มัน
00:04:30 → 00:04:32 เพิ่มพูนขึ้นมาเราอาจจะกลายเป็นคนคิดมาก
00:04:32 → 00:04:35 แตกต่างจากคนในบ้านก็มีเหมือนกันอืมันก็
00:04:35 → 00:04:36 เป็นไปได้ในหลากหลายรูปแบบเพราะมันเป็น
00:04:36 → 00:04:39 ปัจเจกบุคคลจริงๆอ่ะเนาะเอ่อมันขึ้นอยู่
00:04:39 → 00:04:42 กับการที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนหลอหลอม
00:04:42 → 00:04:44 มาแบบไหนเพราะว่าแต่เกิดมาเนี่ยเราคงยัง
00:04:44 → 00:04:47 ไม่ต้องได้คิดอะไรหรอกแต่มันก็กลเวลาผ่าน
00:04:47 → 00:04:50 มากับสิ่งที่เจอเรื่องราวเอ่อหรือว่า
00:04:50 → 00:04:52 ประสบการณ์ต่างๆเนี่ยทำให้เราอาจจะต้อง
00:04:52 → 00:04:54 จากคนที่ไม่เคยคิดอะไรมากกลายเป็นคนคิด
00:04:55 → 00:04:58 มากไปเลยก็มีก็มีหรือคนที่คิดมากๆพอไปเจอ
00:04:58 → 00:05:01 วันนึงเอ้าเออก็ไม่เห็นต้องคิดมากนิอืๆ
00:05:01 → 00:05:04 มันก็ดีใช่ครับทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่าแต่
00:05:04 → 00:05:06 ละคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรอืเพราะ
00:05:06 → 00:05:09 ว่าคิดคิดมากมั้ยสมมุติว่าคิดมากเนาะการ
00:05:09 → 00:05:11 คิดมากหมายถึงว่ามีบางสิ่งสำคัญกับเค้า
00:05:11 → 00:05:14 ค่ะเพราะว่าปกติคนเราจะไม่คิดในเรื่องไม่
00:05:14 → 00:05:17 สำคัญจริงมั้ยไม่สำคัญก็เลยเอาจะไปคิด
00:05:17 → 00:05:20 ทำไมมันไม่สำคัญใชอ่าฮะแต่พอมันสำคัญปั๊บ
00:05:20 → 00:05:23 ก็เลยต้องคิดและก็เลยต้องกังวลเพราะมันน
00:05:23 → 00:05:27 มันสำคัญก็คือหมายความว่าในความคิดมาก
00:05:27 → 00:05:30 เนี่ยมันก็คือความวิตกกังวลวิตกกังวลอย่า
00:05:30 → 00:05:32 วิตกกังวลเป็นอาการมาหลังจากความรู้สึก
00:05:32 → 00:05:35 ว่าบางสิ่งที่มีบางสิ่งที่เราอยากให้มัน
00:05:35 → 00:05:37 เข้าที่เข้าทางให้มันเป็นอย่างที่ควรจะ
00:05:37 → 00:05:39 เป็นแต่มันอาจจะมีความเสี่ยงที่มันอาจจะ
00:05:40 → 00:05:41 ไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้เราเลยเกิดความ
00:05:42 → 00:05:46 กังวลออือในแต่ละคนก็มีความกังวลแบบเยอะ
00:05:46 → 00:05:50 แยะมากมายบางวันก็โอ้โหสารพัดเรื่องที่จะ
00:05:50 → 00:05:54 เข้ามาหรือบางคนอาจจะแบบว่าออก็กังวลนะ
00:05:54 → 00:05:58 แต่ฉันก็ยังจัดการได้หมายความว่าอ่าไม่
00:05:58 → 00:06:01 ได้จะต้องคิดมากมาจนเกินไปเพราะว่าระดับ
00:06:01 → 00:06:03 ความคิดมากของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกบาง
00:06:03 → 00:06:07 คนก็มากมากมาๆจริงๆจนแบบบางทีอาจจะต้อง
00:06:07 → 00:06:11 แบบว่าโหทำไมคนนี้คิดเยอะจังอหรือแบบอ่า
00:06:11 → 00:06:15 บางคนก็ไม่ได้คิดมากมีคำว่าคิดมากแหละมัน
00:06:15 → 00:06:17 ก็ต้องมากกว่าปกติแหละแต่แค่ว่าไม่ถึง
00:06:17 → 00:06:20 ขั้นทำให้ตัวเองอ่ะแย่อ่าใช่ครับเพราะถ้า
00:06:20 → 00:06:22 ถึงขั้นนั้นแสดงว่าอาจจะมีเรื่องเกี่ยว
00:06:22 → 00:06:24 กับฮอร์โมนก็อาจจะเป็นไปได้อุยเช่นอ่ะ
00:06:24 → 00:06:27 สมมติเรานึกภาพแบบเอ่อสาวๆประจำเดือนผม
00:06:27 → 00:06:30 พูดเรื่องนี้บ่อยมากออประจำเดือนมาปั๊บ
00:06:30 → 00:06:33 คิดมากคิดเล็กคิดน้อยซึมเศร้าหรือคิดวิตก
00:06:33 → 00:06:35 วิตกอะไรอย่าเงี้ยครับบางทีมันถูกปั่นมา
00:06:35 → 00:06:37 จากฮอร์โมนก็มีบางทีไม่ใช่แค่ประจำเดือน
00:06:37 → 00:06:40 เนาะวัยทองผมก็เคยได้เจอเอ่อเคสที่ที่
00:06:40 → 00:06:42 ปรึกษาเรื่องวัยทองเหมือนกันคือเขาไม่รู้
00:06:42 → 00:06:44 ตัวว่าเาเป็นวัยทองเขาบอกว่าปกติเรื่อง
00:06:44 → 00:06:47 เนี้ยเอ่อเขาไม่เคยคิดมากเลยแต่ไม่รู้
00:06:47 → 00:06:49 ทำไมช่วงเนี่ยช่วงท้ายๆเนี่ยตั้งแต่อายุ
00:06:49 → 00:06:52 59 60 อะไรเงี้ยครับอือฮึรู้สึกว่า
00:06:52 → 00:06:55 เรื่องนี้เขาอ่อนไหวมากมากเลยอย่างเช่น
00:06:55 → 00:06:57 แบบเห็นลูกเอ่อผิดหวังบางอย่างเมื่อก่อนเ
00:06:57 → 00:06:59 ก็แบบเอ้ยธรรมดาลูกเรื่องความผิดหวังอ่า
00:07:00 → 00:07:02 ฮะแต่ตอนนี้ปั๊บเห็นลูกผิดหวังโอ้โหร้อง
00:07:02 → 00:07:04 ไห้ตัวเองหยุดร้องไม่ได้โอเขก็งงว่าเกิด
00:07:04 → 00:07:07 อะไรขึ้นเงี้ยครับบางทีมันก็เกิดขึ้นจาก
00:07:07 → 00:07:09 เรื่องภาวะไวทองได้ก็มีเหมือนกันแต่เพียง
00:07:09 → 00:07:11 แค่ว่าเขาไม่ทันรู้ตัวหรือบางคนอาจจะมี
00:07:11 → 00:07:14 เรื่องของโรคเเรียกว่า anxiety disorder
00:07:14 → 00:07:16 ที่เป็นเรื่องของเอ่อโรคความวิตกกังวลค่ะ
00:07:16 → 00:07:18 พวกนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทบาง
00:07:18 → 00:07:20 อย่างก็ได้อันนี้ถ้าถ้ามันเกินไปนะครับจน
00:07:20 → 00:07:23 กระทบการใช้ชีวิตประจำวันรู้สึกใช้ชีวิต
00:07:23 → 00:07:26 ยากและหาเหตุผลที่แบบมันอธิบายการที่เรา
00:07:26 → 00:07:28 เป็นอย่างนั้นได้ยากเงี้ยฮะอาจจะต้อง
00:07:28 → 00:07:30 ปรึกษาจิตแพทย์ร่วด้วยนั่นแสดงว่าเราอาจ
00:07:30 → 00:07:31 จะมีภาวะบางอย่างเกี่ยวกับฮอร์โมนหรือ
00:07:32 → 00:07:33 ระบบประสาทที่ทำให้เราใช้ชีวิตไม่ได้แล้ว
00:07:33 → 00:07:36 ควบคุมตัวเองเรื่องการคิดไม่ได้อันนี้มัน
00:07:36 → 00:07:39 คือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ใช่รู้สึกควบคุม
00:07:39 → 00:07:41 ไม่ไหวแล้วมันโอ้โหมันโอเวอโหลดมากๆไคือ
00:07:41 → 00:07:43 ถ้าไม่สังเกตตัวเองเมื่อกี้อย่างที่เอิ้น
00:07:43 → 00:07:45 บอกถ้าไม่สังเกตตัวเองจะไม่รู้เลยว่าเอ้ย
00:07:45 → 00:07:49 เราเกิดภาวะในความที่คิดมากขึ้นมาโดยไม่
00:07:49 → 00:07:52 รู้ตัวแต่ถ้าคนสังเกตยังพอแบบอ่าปรึกษา
00:07:52 → 00:07:55 ได้หรือไปพบจิตแพทย์หรือไปกินยาอะไรก็ว่า
00:07:55 → 00:07:58 กันไปตามตามที่ตัวเองเป็นน่ะเนาะแต่ทนี้
00:07:58 → 00:08:01 คนที่ไม่รู้ตัวเองเองดิอหรืออาจจะรู้อก็
00:08:01 → 00:08:02 ฉันเป็นคนคิดมากอ่ะแต่ก็คือฉันก็อย่าง
00:08:02 → 00:08:05 เงี้ยคือมันเปลี่ยนไม่ได้อืมันก็เหนื่อย
00:08:05 → 00:08:07 อยู่เหมือนกันก็เหนื่อยครับก็เหนื่อยที
00:08:07 → 00:08:09 นี้ก็ขึ้นกับว่าคนรอบตัวจะสามารถช่วย
00:08:09 → 00:08:12 คล้ายๆช่วยช่วยรั้งช่วยปรับจูนหรือช่วย
00:08:13 → 00:08:15 เตือนกันได้หรือเปล่าทีนี้ถ้าถ้าพอเตือน
00:08:15 → 00:08:17 กันได้ชวนบอกกันได้แล้วเจ้าตัวเนี่ยเอา
00:08:17 → 00:08:19 ด้วยหมายถึงรู้สึกว่าเออเอาจริงฉันก็รู้
00:08:19 → 00:08:21 สึกเหนื่อยกับที่ฉันเป็นคนคิดเยอะเหมือน
00:08:21 → 00:08:23 กันสมมุติถ้าเค้ารู้สึกอย่างงั้นนะเขาก็
00:08:23 → 00:08:26 อาจจะพอหาจุดที่ค่อยๆปลงค่อยๆปล่อยค่อยๆ
00:08:26 → 00:08:28 วางบางเรื่องค่อยๆปล่อยให้แบบทุกอย่าง
00:08:28 → 00:08:29 เป็นไปตามจะ
00:08:29 → 00:08:32 ที่มันจะต้องเป็นอืแต่ไม่ได้หมายความว่า
00:08:32 → 00:08:34 จากอีกขั้วไปอีกขั้วนะไม่ใช่หมายความว่า
00:08:34 → 00:08:37 เราเคยยึดมากๆเราเคยพยายามคิดมากๆวันนึง
00:08:37 → 00:08:41 เทให้หมดชันเลิกคิดทุกอย่างโอ้ยฉันชิลบาง
00:08:41 → 00:08:43 ทีอาจจะไม่สามารถข้ามได้เร็วขนาดนั้นแต่
00:08:43 → 00:08:46 อาจจะลดบางอย่างลงได้มันเป็นไปได้ด้วยหรอ
00:08:46 → 00:08:48 ถ้าจากคนคิดมากอยู่ๆมากลายเป็นคนไม่คิด
00:08:49 → 00:08:52 อะไรเลยมันดูแบบเอ่อผมคิดว่ามันจะมีความ
00:08:52 → 00:08:53 ยากอยู่นอกจากว่าจะเป็นเรื่องบางเรื่อง
00:08:53 → 00:08:57 เช่นแบบว่าเอ่อฉันเคยฉันเคยแบกภาระงานบาง
00:08:57 → 00:09:00 อย่างอือฮึปึ๊บพอจดจุดนึงฉันรู้สึกว่าฉัน
00:09:00 → 00:09:03 ทำมามากพอแล้วค่ะแล้วคนๆนี้มันอาจจะไม่
00:09:03 → 00:09:06 ใช่คนที่ฉันควรช่วยอีกต่อไปอ่าฉันก็เลย
00:09:06 → 00:09:09 วางเลยแล้วกันหลังจากนี้ฉันจะวางละฉันจะ
00:09:09 → 00:09:12 แบบตัดตัดบทบาทหน้าที่ของฉันในการแบกรับ
00:09:12 → 00:09:15 เรื่องนี้คือตกตะกอได้เฉยเลยจบางคนทำได้
00:09:15 → 00:09:17 บางคนทำได้ถ้าถ้ามันเป็นเรื่องบางเรื่อง
00:09:17 → 00:09:19 เฉพาะเรื่องที่มันสามารถตัดจบได้เป็น
00:09:19 → 00:09:22 เรื่องๆไปอ๋อก็คือมันไม่สามารถที่จะแบบ
00:09:22 → 00:09:24 ว่าอยู่ๆอีกเป็นอีกขั้วนึงมาอีกขั้วนึง
00:09:24 → 00:09:26 ได้ขนาดนั้นมันมันมีระยะเวลาแหละใช่ค่ะ
00:09:27 → 00:09:28 เพราะว่าถ้าถ้าเป็นเรื่องเนี่ยมันสามารถ
00:09:28 → 00:09:31 ตัดจบได้ถ้าการคิดตกหรือมันจบในวาระบาง
00:09:31 → 00:09:33 อย่างถูกมั้ยครับเช่นแบบว่าฉันจะทำงานถึง
00:09:33 → 00:09:36 แค่ตรงนี้พอหลังจากวันนี้ฉันจะปล่อยวางจะ
00:09:36 → 00:09:39 เกิดอะไรก็เกิดเอออย่างเงี้ยครับอ่ะแสดง
00:09:39 → 00:09:40 ว่าอันเนี้ยมันสามารถพลิกตามเรื่องตาม
00:09:40 → 00:09:43 วาระได้แต่ถ้าสมมุติพื้นฐานบุคคลิกภาพเ
00:09:43 → 00:09:45 เป็นคนใส่ใจรายละเอียดกับทุกๆเรื่องและ
00:09:45 → 00:09:48 เป็นคนขี้กลัวขี้กังวลเขามักจะ Play เซฟ
00:09:48 → 00:09:50 อ่ะครับบางทีการคิดเยอะคิดมากเกิดขึ้นจาก
00:09:50 → 00:09:52 การอยากจะป้องกันไม่ให้สิ่งที่เขาไม่ชอบ
00:09:52 → 00:09:56 เกิดขึ้นอืเช่นอ่ะสมมุติเอ่อเป็นคนอาจจะ
00:09:56 → 00:09:58 กลัวเรื่องเกี่ยวกับการเงินเช่นอ่ะสมมุติ
00:09:58 → 00:10:00 ยุคนี้เศรษฐกิจแบบโอ้โหไม่แน่นอนเลยอย่าง
00:10:00 → 00:10:02 เงี้ยครับแล้วพื้นฐานเข้าเป็นคนแบบค่อน
00:10:02 → 00:10:04 ข้างที่กังวลอยู่แล้วเรื่องการเงินกลัวจะ
00:10:04 → 00:10:07 ลำบากค่ะเขาคก็จะพยายามแบบเฮ้ยเราต้อง
00:10:07 → 00:10:09 เก็บเงินตรงนี้อย่าใช้เลยอย่างเงี้ยฮะ
00:10:09 → 00:10:11 แล้วมันก็จะเป็นอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆตลอด
00:10:11 → 00:10:14 ทุกปีทุกปีทุกปีเพราะเครู้สึกว่าอนาคตมัน
00:10:14 → 00:10:16 ยังไม่ค่อยแน่นอนค่ะเค้าก็จะวางแผนเรื่อง
00:10:16 → 00:10:18 การเงินหรืออาจจะโยงไปถึงสุขภาพก็ได้เช่น
00:10:18 → 00:10:20 เฮ้ยถ้าเกิดเราป่วยขึ้นมาไอ้เงินที่เรา
00:10:20 → 00:10:22 รู้สึกกังวลอยู่แล้วเนี่ยก็ต้องเอาเงินไป
00:10:22 → 00:10:25 ใช้เพื่อสุขภาพจะทำยังไงก็จะคิดมากเรื
00:10:25 → 00:10:28 สุขภาพอีกแล้วถ้าฉันหยุดงานไปพ่อแม่ฉันจะ
00:10:28 → 00:10:30 มีงานจะมีข้าวกินมั้ยจะมีเงินใช้มั้ยบาง
00:10:31 → 00:10:33 ทีมันก็ลากกอีกอย่างเงี้ยครับแต่เท่าที่
00:10:33 → 00:10:36 ฟังถ้าจะมันเป็นแนวนี้เนี่ยความคิดมากมัน
00:10:36 → 00:10:40 ก็มีประโยชน์ในแง่ที่ทำให้เราแบบระวัง
00:10:40 → 00:10:44 แล้วก็ได้มีความละละเอียดรอบคอบมากยิ่ง
00:10:44 → 00:10:46 ขึ้นด้วยนะใช่ใช่ครับเพราะงั้นการการคิด
00:10:46 → 00:10:49 มากการคิดละเอียดเนี่ยมีข้อดีตรงที่ว่า
00:10:49 → 00:10:51 มันจะช่วยให้เราป้องกันไม่ให้ปัญหาที่แบบ
00:10:51 → 00:10:53 มันอาจจะเกิดขึ้นเนี่ยให้มันไม่ต้องเกิด
00:10:53 → 00:10:56 อืหรือเกิดขึ้นน้อยๆเพราะเราวางแผนเตรียม
00:10:56 → 00:10:59 รับมือมาบ้างแล้วค่ะอย่างเช่นแบบว่าบางคน
00:10:59 → 00:11:01 อาจจะแบบเก็บเงินไว้อาจจะมีความกังวลจุด
00:11:01 → 00:11:05 นึงอ้าโดน L Off มันมันจะมีคนที่แบบโดน
00:11:05 → 00:11:07 Lay Off แล้วมีเงินเก็บกับ Lay Off
00:11:07 → 00:11:11 แบบไม่มีเงินเออเราเราเคยได้ยินอยู่ช่วง
00:11:11 → 00:11:12 นึงเนาะหรือบางทียุคนี้อาจจะได้ยินว่าแบบ
00:11:12 → 00:11:15 โอ้โห L Off เสร็จปั๊บไม่มีเงินเงินเก็บ
00:11:15 → 00:11:17 ก็ไม่มีเพราะว่าก่อนหน้านี้ใช้ประมาทไป
00:11:17 → 00:11:19 หน่อยค่ะอย่างเงี้ยฮะเพราะฉะนั้นคนที่โดน
00:11:19 → 00:11:21 เลยอแบบมีเงินก็คือจะได้รับผลกระทบน้อย
00:11:21 → 00:11:24 กว่าคนที่แบบไม่เตรียมการเลยเพราะฉะนั้น
00:11:24 → 00:11:26 เรื่องการคิดละเอียดคิดมากเนี่ยบางครั้ง
00:11:26 → 00:11:28 เป็นเรื่องดีแต่ถ้ามันมากเกินไปมันก็
00:11:28 → 00:11:30 สร้างคความหวาดกลัวหวาดหวันให้ชีวิตมันก็
00:11:30 → 00:11:32 ทำให้สุขภาพจิตไม่ค่อยดีมันก็จะกลายเป็น
00:11:33 → 00:11:34 คนไม่ค่อยมีความสุขอ่ะครับคือฟังแบบนี้
00:11:35 → 00:11:37 แล้วก็รู้สึกว่าเออการคิดมากมันก็ดีนะแต่
00:11:37 → 00:11:40 ว่ามันต้องเลเวลขนาดไหนระดับขนาดไหนถึง
00:11:40 → 00:11:43 รู้สึกว่าเอ้ยมันมากเกินไปละมันมันที่
00:11:43 → 00:11:45 อยู่ที่ตัวเราหรือว่าอยู่คนที่ที่คนรอบ
00:11:45 → 00:11:50 ข้างใกล้ๆตัวเราเรู้สึกว่าเฮ้ยเยอะไปแล้ว
00:11:50 → 00:11:52 นะไม่ไหวแล้วนะหรืออะไเงี้ยมันอยู่ที่ตัว
00:11:52 → 00:11:54 เราหรืออยู่ที่ใครทีนี้ทีนี้มากไปน้อยไป
00:11:54 → 00:11:57 ขึ้นกับคำว่าผลกระทบถ้าถ้าคิดระดับที่ผล
00:11:57 → 00:11:59 กระทบไม่มีปัญหามากเช่นแบบเออเออเครียด
00:11:59 → 00:12:01 บ้างแหละแต่ไม่ถึงขนาดนอนไม่หลับไม่ถึง
00:12:01 → 00:12:03 ขนาดแบบต้องอาเจียนออกมาเพราะความเครียด
00:12:03 → 00:12:06 โอบางคนบางคนคิดมากระดับอาเจียนออกมาเลย
00:12:06 → 00:12:08 ก็มีนะครับถ้ามันเยอะเกินไปแสดงว่ามัน
00:12:08 → 00:12:10 กระทบสุขภาพจิตจริงๆอถูกมั้ยฮะทีนี้ถ้า
00:12:11 → 00:12:13 เขาคคิดมากแต่รู้สึกว่าเฮ้ยเค้ายังนอน
00:12:13 → 00:12:16 หลับได้กินข้าวได้แต่เขายังคงมีความห่วง
00:12:16 → 00:12:18 เรื่องนี้อยู่ในความคิดเสมอแต่ไม่ได้ก่อ
00:12:18 → 00:12:21 กวนชีวิตมากอาจจะอยู่ในระดับที่จัดการได้
00:12:21 → 00:12:23 ควบคุมได้ค่ะเพราะงั้นอันเนี้ยผลกระทบใน
00:12:23 → 00:12:25 เชิงตัวเองอาจจะยังไม่ใช่ปัญหากับอีกด้าน
00:12:26 → 00:12:28 นึงนะครับผลกระทบที่พลาดพิงไปสู่คนอื่นที
00:12:29 → 00:12:31 นี้เนี่ยขึ้นกับว่าคนอื่นที่เรากำลังต้อง
00:12:31 → 00:12:34 ติดต่อด้วยเนี่ยเป็นคนที่มีการคิดมากกับ
00:12:34 → 00:12:36 เราอยู่บ้างหรือเปล่านั่นหมายความว่าคนๆ
00:12:37 → 00:12:38 นั้นน่ะจะเห็นว่าสิ่งที่เรากำลังคิดน่ะ
00:12:38 → 00:12:42 สำคัญเหมือนกันเค้าก็จะอ่ะไหลค้ตามเขาคก็
00:12:42 → 00:12:44 จะไม่ได้ห้ามเราแต่เขาก็จะแบบเเรียกว่า
00:12:44 → 00:12:47 รับได้อยู่กับเราได้เข้าใจเราอืแต่อาจจะ
00:12:47 → 00:12:49 มีอะไรที่มันปรามๆเบรกๆกันบ้างแต่ไม่ไม่
00:12:50 → 00:12:52 ไม่แย้งกับเราแต่ถ้าเกิดเราอยู่กับคนที่
00:12:52 → 00:12:55 แบบเป็นคนอาจจะคนสับเฒ่ากว่าชีวิตอาจจะ
00:12:55 → 00:12:58 เป็นคนไม่คิดอะไรเลยช่างมันก็เดี๋ยวให้
00:12:58 → 00:13:01 ให้ชชะตาเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้อืบางที
00:13:01 → 00:13:03 ตรงเนี้จะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นเพราะ
00:13:03 → 00:13:05 เพราะฝั่งนึงก็คืออยากให้อีกคนนึงคิดแต่
00:13:05 → 00:13:07 อีกคนนึงก็บอกว่าอย่าไปคิดสิมันแบบมันน่า
00:13:07 → 00:13:09 อึดอัดมันก็กลายเป็นว่าก็เกิดการปะทะแล้ว
00:13:09 → 00:13:11 มันก็อยู่ด้วยกันไม่ไหวอือฮึเอาแบบที่
00:13:11 → 00:13:14 ง่ายๆที่เคยเจอเนี่ยเอ่อในเลเวลที่เอ่อ
00:13:14 → 00:13:17 เราอาจจะเป็นคนคิดมากในระดับนึงแต่เราไป
00:13:17 → 00:13:19 เจอคนที่คิดมากกว่าเราไปอีกสเต็ปนึงแล้ว
00:13:20 → 00:13:22 เราก็จะรู้สึกว่าหูมันต้องคิดขนาดนี้เลย
00:13:22 → 00:13:25 หรออมันมันมันเหมือนกับว่าโอเคเขาอาจจะ
00:13:25 → 00:13:29 ต้องการเตรียมที่จะปิดช่องโหวอุดรูรั่ว
00:13:29 → 00:13:32 หรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะว่า
00:13:32 → 00:13:35 ในงานบางอย่างในความรับผิดชอบเนี่ยความ
00:13:35 → 00:13:38 ผิดพลาดเนี่ยมันไม่ควรเกิดอหรือถ้าเกิด
00:13:38 → 00:13:43 ต้องน้อยน้อยจริงๆเออฮึก็เลยทำให้เขากลาย
00:13:43 → 00:13:47 เป็นแบบอมากเกินไปอ่าเข้าใจครับทีนี้มัน
00:13:47 → 00:13:49 ขึ้นอยู่กับความการให้ความสำคัญและความ
00:13:49 → 00:13:52 ใส่ใจผมเคยเจอคุณหมอเนาะมาปรึกษาเ้าเป็น
00:13:52 → 00:13:55 คุณหมอศัลยกรรมเบอกเมีความเครียดกับ
00:13:55 → 00:13:56 เรื่องงานมากเลยเพราะว่าทุกๆครั้งที่ผ่า
00:13:57 → 00:13:59 ตัดมันเป็นเรื่องของชีวิตคนน่ะอาฮะแล้ว
00:13:59 → 00:14:02 แล้วมันมีทั้งการเซ็นเอกสารมีเรื่องกฎ
00:14:02 → 00:14:04 หมายมีเรื่องสิ่งที่เขาในฐานะคนผ่าตัด
00:14:04 → 00:14:07 ต้องรับผิดชอบเรู้สึกว่าเขาจะเราแบบต้อง
00:14:07 → 00:14:09 ระวังมากๆอ่ะเขาจะพลาดไม่ได้เพราะการพลาด
00:14:09 → 00:14:12 แต่ละอย่างอาจจะหมายถึงคนไข้เสียชีวิตค่ะ
00:14:12 → 00:14:15 เขาอาจจะซวยเองทำให้ทีมคณะแพทย์ที่ผ่า
00:14:15 → 00:14:17 ด้วยกันวันนั้นชวยหรืออาจจะถูกฟ้องร้อง
00:14:17 → 00:14:19 ทางกฎหมายอืเพราะงั้นเิดความเครียดเาเห็น
00:14:19 → 00:14:21 ว่าเรื่องเนี้ยมันมีผลกระทบรุนแรงถ้าไม่
00:14:21 → 00:14:24 รอบคอบค่ะเพราะงั้นมันจะไม่แปลกเลยที่เขา
00:14:24 → 00:14:26 จะแบบพยายามรัดกุมทุกๆอย่างในการทำงานผ่า
00:14:26 → 00:14:28 ตัดตรงนั้นแต่แน่นอนเก็ต้องบอกว่าคุณหมอ
00:14:28 → 00:14:30 แต่ละท่านก็จะให้น้ำหนักกับตรงเนี้ยไม่
00:14:30 → 00:14:33 เท่ากันคนบางคนรู้แหละมันซีเรียสแต่จะมี
00:14:33 → 00:14:35 ความเชื่อมั่นว่าแบบไม่มีอะไรหรอกอะไ
00:14:35 → 00:14:37 อย่างเงี้ยไม่มีอะไรหรอกอ่ะผ่าไปหรือบาง
00:14:38 → 00:14:39 คนอาจจะแบบถ้าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดช่าง
00:14:39 → 00:14:42 มันตายก็ตายสมมุตินะเพราะว่าเรื่องนี้
00:14:42 → 00:14:44 ต้องบอกว่าคุณหมอแต่ละท่านจะมีการวางใจ
00:14:44 → 00:14:47 ไม่เหมือนกันการการผ่าตัดจะมีทั้งเคสที่
00:14:47 → 00:14:49 ช่วยได้และช่วยไม่ได้ทีนี้ขึ้นกับว่าคุณ
00:14:49 → 00:14:52 หมอเขามีความเข้าใจชีวิตระดับไหนด้วยเข้า
00:14:52 → 00:14:55 ใจเงื่อนไขในการรักษาคนระดับไหนกับอีก
00:14:55 → 00:14:57 ส่วนนึงคือเขามีความใส่ใจในคุณค่าของ
00:14:57 → 00:14:59 ชีวิตแค่ไหนด้วยอืก็ต้องบอกว่าคุณหมอแต่
00:14:59 → 00:15:01 ละท่านเนี่ยผมผมค่อนข้างเชื่อว่าแต่ละคน
00:15:02 → 00:15:04 จะมีระดับการให้คุณค่าต่อชีวิตได้ไม่เท่า
00:15:04 → 00:15:06 กันทั้งหมดค่ะจะมีคนที่ให้คุณค่าสูงมาก
00:15:06 → 00:15:09 กับคนที่ให้คุณค่าน้อยๆก็แล้วแต่แล้วแต่
00:15:09 → 00:15:11 คนเพรางั้นระดับความกังวลความคิดมากก็จะ
00:15:11 → 00:15:13 ไม่เท่ากันอก็คงจะเหมือนกับเราอ่ะเนาะว่า
00:15:14 → 00:15:17 ในแต่ละเรื่องที่เราทำอยู่เนี่ยมันมีความ
00:15:17 → 00:15:20 สำคัญมากน้อยแค่ไหนหรือโอกาสที่จะต้องผิด
00:15:20 → 00:15:22 พลาดเนี่ยมันได้แค่ไหนใช่เรามองว่ามัน
00:15:22 → 00:15:24 สำคัญแค่ไหนสุดท้ายตัวเราเป็นคนตีตีความ
00:15:24 → 00:15:27 ได้ตัดสินนะว่าเรื่องเยซีเรียสหรือเปล่าอ
00:15:27 → 00:15:30 อืออันนี้ในโหมดของคนที่ที่คิดมากแต่กับ
00:15:30 → 00:15:33 คนอีกคนนนึงที่ไม่คิดอะไรเลยใชอือๆคนที่
00:15:33 → 00:15:34 ไม่คิดอะไรเลยก็จะมีข้อดีคือเขาก็จะเป็น
00:15:35 → 00:15:38 คนเย็นๆชิวๆแต่แต่ดาบ 2 คมเนาะอีกด้านนึง
00:15:38 → 00:15:41 คือเมื่อเขาไม่คิดไม่ตะเตรียมไม่วางแผน
00:15:41 → 00:15:43 มันอาจจะมีผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นกับ
00:15:43 → 00:15:45 เขาโดยตรงเช่นอย่างที่บอกนะว่าถ้าเราไม่
00:15:45 → 00:15:48 วางแผนการเงินไม่วางแผนสุขภาพมันกลายเป็น
00:15:48 → 00:15:50 ว่าจุดนึงเมื่อเกิดเหตุขึ้นที่สุขภาพเรา
00:15:50 → 00:15:53 ไม่ดีและเงินไม่มีอใชอ่าเป็นไงครับก็คือ
00:15:53 → 00:15:55 โอ้โหค่อนข้างเละเลยทีนี้แต่ละคนก็จะมี
00:15:55 → 00:15:57 วิธีการรับมือช่วงนั้นได้เหมือนกันเช่น
00:15:57 → 00:16:01 บางคนอาจจะแบบชิยังชิลอยู่คือไม่เป็นไร
00:16:01 → 00:16:03 ชีวิตก็เท่านี้แหละจะตายก็ตายเงินไม่มี
00:16:03 → 00:16:06 กินก็ไม่เป็นไรก็ขอเข้าวัดอ่ะสมมุตินะถ้า
00:16:06 → 00:16:09 เขาบอกว่าเขาสามารถลดเกรดชีวิตลงได้โดย
00:16:09 → 00:16:11 ที่เขาไม่มีปัญหาอะไรอ่ะเขาอาจจะเป็นคน
00:16:11 → 00:16:13 ที่สามารถเย็นแล้วไม่คิดอะไรมากต่อไปได้
00:16:13 → 00:16:16 ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุขได้ค่ะแต่บางคนที่
00:16:16 → 00:16:19 ไม่ได้เย็นจริงแต่เป็นาคนที่ประมาทถึงจุด
00:16:19 → 00:16:22 นั้นเาก็จะร้อนลนนะครับอืกังวลกลัวเฮ้ย
00:16:22 → 00:16:24 ฉันจะอยู่ยังไงต้องไปขอยืมเงินลำบากคน
00:16:24 → 00:16:26 อื่นอีกสุดท้ายสิ่งที่เขาเป็นเนี่ยมัน
00:16:26 → 00:16:28 สร้างผลกระทบให้ตัวเขาเองและคนอื่นด้วย
00:16:28 → 00:16:31 ค่ะเพราะงั้นการไม่คิดเลยก็ไม่ใช่เรื่อง
00:16:31 → 00:16:33 ดีเหมือนกันแต่พอคิดเยอะไปก็ไม่ดีเช่นกัน
00:16:33 → 00:16:35 เพราะฉะนั้นมันเลยต้องมีเรื่องที่มันพอดี
00:16:35 → 00:16:38 พอดีเนาะเอ่อเราไม่ประมาทในสิ่งที่ควร
00:16:38 → 00:16:40 ระวังในขณะเดียวกันเราก็ไม่ยึดติดกบาง
00:16:41 → 00:16:43 สิ่งมากไปจนชีวิตหาความสุขไม่ได้ค่ะเพราะ
00:16:43 → 00:16:45 งั้นเรื่องเรื่องพวกเนี้ยคมันเลยไม่ได้มี
00:16:45 → 00:16:48 ผิดไม่มีถูกสุดท้ายมันจบที่ว่าเราได้ค้น
00:16:48 → 00:16:51 พบวิธีการมีความสุขสงบได้จริงๆหรือเปล่า
00:16:51 → 00:16:54 โดยที่สุขสงบในปัจจุบันด้วยพร้อมไปกับการ
00:16:54 → 00:16:57 วางแผนเพื่อที่จะเ่อเรียกว่าประคับประคอง
00:16:57 → 00:16:59 ให้ความสุขสงบนี้เกิดขึ้นเลยะยาวด้วยอ
00:16:59 → 00:17:02 เพราะบางทีสกสงบอาจจะแบบรู้สึกว่าเฮ้ยแค่
00:17:02 → 00:17:04 วันนี้ประมาณนี้พอสงบวันนี้แต่พอประมาท
00:17:05 → 00:17:07 บางอย่างปั๊บเดี๋ยววันหน้าจะไม่สงบะเออ
00:17:07 → 00:17:08 เพราะงั้นเรื่องเนี้ยครับมันเลยต้องวาง
00:17:08 → 00:17:11 แผนควบคู่กันที่ว่าวันนี้มีความสงบประมาณ
00:17:11 → 00:17:14 นึงอ่าแล้วเราก็สามารถหล่อเลี้ยงความสงบ
00:17:14 → 00:17:16 เนี้ยในระยะยาวไปได้ด้วยอืออ่าอย่างเงี้ย
00:17:16 → 00:17:19 มันจะยั่งยืนกว่าครับมันก็มีประโยคบาง
00:17:19 → 00:17:21 ประโยคเหมือนกันนะคะคุณเอิ้นว่าเอ่อไม่
00:17:21 → 00:17:24 รู้คุณผู้ฟังเคยเจอประโยคแบบนี้มยทำไมแค่
00:17:24 → 00:17:27 นี้คิดไม่ไม่ได้หรออันนี้แสดงว่าเป็นราย
00:17:27 → 00:17:29 ละเอียดเรื่องงานะไม่คิดอะไรเลยเหรออะไร
00:17:29 → 00:17:32 บางอย่างแล้วเออเออมันต้องเจอหรือหรือแม้
00:17:32 → 00:17:36 กระทั่งแบบความสัมพันธ์ที่เป็นเอ่อ
00:17:36 → 00:17:39 ครอบครัวพ่อแม่ลูกนะคะบางทีลูกอาจจะไม่
00:17:39 → 00:17:42 ได้คิดอะไรเลยอเจนใหม่เไม่ค่อยคิดเยอะเออ
00:17:42 → 00:17:45 หรือว่าแบบเป็นคู่รักแฟนกันแบบทำไมเธอไม่
00:17:45 → 00:17:47 คิดอะไรเลยหรออ่ะผู้หญิงจะละเอียดกว่าผู้
00:17:47 → 00:17:50 ชายอ่ะโดยโดยธรรมชาติอยู่แล้วอ่ะนะออือๆ
00:17:50 → 00:17:52 มันจะมีประโยชนแบบเนี้ยอันนี้คือคนที่แบบ
00:17:53 → 00:17:57 เค้าก็เค้าอาจจะบอกว่าก็ก็คิดนะแต่แต่แต่
00:17:57 → 00:18:00 ไม่ใช่ไม่คิดแต่นึกไม่ถึงว่าจะขนาดนี้มัน
00:18:00 → 00:18:03 ต้องคิดขนาดไหนอ่ะอือๆเอออะไรประมาณเนี้ย
00:18:03 → 00:18:04 ครับบางทีเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของการ
00:18:04 → 00:18:06 ที่ค่อยๆเรียนรู้กันแล้วะกันน่ะอือย่าง
00:18:06 → 00:18:08 เช่นอสมมุติยกเรื่องยกเรื่องผู้หญิงก่อน
00:18:08 → 00:18:11 ก็ได้ผู้หญิงผู้ชายคบหากันผู้หญิงก็อาจจะ
00:18:11 → 00:18:14 แบบเรื่องแค่นี้ทำไมคุณคิดไม่ได้วะคุณไม่
00:18:14 → 00:18:17 รู้เหรอผู้หญิงต้องการอะไรเออฉันไปยืน
00:18:17 → 00:18:19 จ้องอยู่ตั้งนานแล้วเธอยังไม่รู้ว่าฉัน
00:18:19 → 00:18:21 ต้องการสิ่งนี้ใช่มั้ยใช่ๆครับบางทีมัน
00:18:21 → 00:18:23 เป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศจริงๆอ
00:18:23 → 00:18:26 บางทีผู้ชายผู้ชายจะคิดในมุมผู้ชายแล้วก็
00:18:26 → 00:18:29 จะเข้าใจผู้อื่นผ่านมุมมองของผู้ชายอ่า
00:18:29 → 00:18:31 เออเขาคก็เลยคิดว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือน
00:18:31 → 00:18:33 เรามั้งเรื่องนี้ไม่มีอะไรหรอกเรื่องนี้
00:18:33 → 00:18:35 ไม่คิดอะไรหรอกอย่างเงี้ยฮะมันก็เลยไม่
00:18:35 → 00:18:38 รู้จริงๆครับคือใช้คำว่าหัวกลวงเลยไม่รู้
00:18:38 → 00:18:41 จริงๆไม่รู้จริงๆส่วนผู้หญิงก็จะแบบทำไม
00:18:41 → 00:18:44 แกมันทึ่มขนาดนี้ทำไมเรื่องนี้แกไม่รู้
00:18:44 → 00:18:46 อย่าเงี้ยฮะแต่เนี่ยก็ต้องบอกว่ามันเป็น
00:18:46 → 00:18:50 เหมือนเรียกอะไรอ่ะสิ่งที่เป็นปกติในมุม
00:18:50 → 00:18:52 ผู้ชายคิดกับสิ่งที่เป็นปกติในมุมผู้หญิง
00:18:52 → 00:18:55 คิดอืผู้หญิงก็จะคิดว่าเรื่องเควรใส่ใจ
00:18:55 → 00:18:57 เรื่องนี้มีรายละเอียดเรื่องนี้ควรให้
00:18:57 → 00:18:59 ความสำคัญมันก็จะเจอประจกกลับมาว่าเฮ้ย
00:18:59 → 00:19:02 คิดมากไปอ่าทีนี้มันเลยขึ้นอยู่กับว่าคน
00:19:02 → 00:19:04 ที่พูดว่าคิดมากไปเนี่ยเอ่อเป็นคนที่ไม่
00:19:04 → 00:19:08 ใส่ใจหรือละเลยบางเรื่องหรือเปล่าหรือตัว
00:19:08 → 00:19:11 เขาคก็มองว่าอ๋อจริงๆแล้วสำหรับคนอื่นน่ะ
00:19:11 → 00:19:13 คนอื่นให้ความสำคัญกับบางสิ่งที่สำคัญ
00:19:13 → 00:19:15 จริงๆและเาควรจะเรียนรู้เพราะงั้นเรื่อง
00:19:15 → 00:19:17 พวกเยครับมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้
00:19:17 → 00:19:20 ระหว่างกันอือ่าสมมุติถ้าเรารู้สึกว่าคนๆ
00:19:20 → 00:19:22 นี้คิดมากไปเราก็มีสิทธิ์จะวิจารณ์เค้า
00:19:22 → 00:19:25 อย่างนั้นว่าเค้าคิดมากไปเนาะทีนี้ต้องมา
00:19:25 → 00:19:27 ดูต่อว่าแล้วเรากับเค้ายังจำเป็นต้องอยู่
00:19:27 → 00:19:30 ด้วยกันมยถ้ายังจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันและ
00:19:30 → 00:19:32 เห็นว่าสำคัญจริงๆเราควรเลยรู้อ่ะครับใน
00:19:33 → 00:19:34 เรื่องความแตกต่างว่าอีกฝ่ายเขาให้ความ
00:19:34 → 00:19:38 สำคัญกับเรื่องอะไรค่ะและและเราจะคล้ายๆ
00:19:38 → 00:19:41 สนับสนุนหรือมีจุดที่แบบคล้อยตามเขาบ้าง
00:19:41 → 00:19:43 เพื่อให้เขารู้สึกว่ามันมีการจูนกันมีการ
00:19:43 → 00:19:46 เชื่อมกันได้ยังไงค่ะไอ้ตรงเจะทำให้ชีวิต
00:19:46 → 00:19:48 คู่ยั่งยืนแต่ถ้าเกิดสมมุติว่าคิดมากไป
00:19:48 → 00:19:51 ทุกอย่างถูกปฏิเสธหมดว่าไม่สำคัญอีกฝ่าย
00:19:51 → 00:19:54 ก็จะรู้สึกท้อแท้ว่าสิ่งที่เขาให้ค่ากลับ
00:19:54 → 00:19:56 ไม่ถูกให้ค่าเลยจากอีกคนนึงอืไอ้ตรงเนี้ย
00:19:56 → 00:19:58 ความสัมพันธ์ก็จะเริ่มมีปัญหาฟังแล้วมัน
00:19:58 → 00:20:01 ก็กลับไปตอนต้นที่คุณเอิ้นบอกว่ามันคือ
00:20:01 → 00:20:04 ความคาดหวังมันคือความคาดหวังเออใช่ครับ
00:20:04 → 00:20:07 จริงๆแล้วตัวผมเนี่ยพอพอทำงานจิตวิทยา
00:20:07 → 00:20:10 เนาะผมก็จะมองว่าทุกุกคนมีสิทธิ์จะเลือก
00:20:10 → 00:20:13 ว่าตัวเองจะให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรผม
00:20:13 → 00:20:15 ก็จะมีส่วนที่ผมให้ความสำคัญเรื่องนี้
00:20:15 → 00:20:17 เรื่องนี้พี่รีหรือคุณผู้ฟังก็จะมีจุดที่
00:20:17 → 00:20:20 ให้ความสำคัญคนละเรื่องกันอ่าฮะทีเยครับ
00:20:20 → 00:20:22 ในการอยู่ร่วมกันมันเป็นเรื่องของมิตรภาพ
00:20:22 → 00:20:25 บนบนความแตกต่างถ้าเรารู้สึกว่ามิตภาพนี้
00:20:25 → 00:20:28 ยังคงมีความหมายกับเราและเราคงยังคงอยาก
00:20:28 → 00:20:30 มีสัมพันธ์ที่ดีกับคนๆนี้อะไรเงี้ยฮะบาง
00:20:30 → 00:20:33 ทีการเรียนรู้ความแตกต่างว่าแต่ละคนให้
00:20:33 → 00:20:35 ความสำคัญกับอะไรเ้าซีเรียสเรื่องอะไรไอ้
00:20:35 → 00:20:37 ตรงเนี้ยเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มิตรภาพ
00:20:37 → 00:20:41 ยังคงอยู่แต่ขณะเดียวกันถ้าเรารู้สึกว่า
00:20:41 → 00:20:43 คนๆนี้เราไม่ได้อยากอยู่ด้วยะรู้สึก
00:20:43 → 00:20:45 เหนื่อยจังในการคุยอะไคนนี้มีรายละเอียด
00:20:45 → 00:20:47 เยอะไปอะไรอย่างเงี้ยฮะเรารู้สึกไม่ฟิต
00:20:47 → 00:20:49 กันก็ไม่ใช่เรื่องผิดและไม่ใช่เรื่องที่
00:20:49 → 00:20:51 จะเอาไปว่าให้คนนั้นเป็นคนไม่ดีด้วยแต่
00:20:51 → 00:20:53 แค่เป็นความแตกต่างที่เรารู้สึกว่ามัน
00:20:53 → 00:20:56 เหมือนกับมันไม่จูนกันน่ะเหมือนทีมฟุตบอล
00:20:56 → 00:20:58 น่ะอาจจะเก่งทั้งคู่แต่ไปอยู่อยู่ทีม
00:20:58 → 00:21:01 เดียวกันแล้วตีกันตายเงี้ยฮะเออนั่นแสดง
00:21:01 → 00:21:04 ว่ามันไม่ไม่แมชกันไม่เป็นทีมเวิร์คที่ดี
00:21:04 → 00:21:06 อืบางทีการแยกย้ายสามารถเกิดขึ้นได้เพื่อ
00:21:06 → 00:21:09 ให้แต่ละคนได้มีสิทธิ์ในการจะเป็นตัวเอง
00:21:09 → 00:21:11 คนที่ไม่ต้องคิดเยอะก็ไปอยู่ในพื้นที่ตัว
00:21:11 → 00:21:13 เองซะแล้วก็ไปหาชุมชนของตัวเองที่สบายใจ
00:21:13 → 00:21:16 ก็มีสิทธิ์นั้นคนที่คิดรายละเอียดคิดมาก
00:21:16 → 00:21:18 ก็อาจจะต้องหาเพื่อนที่คิดและเข้าใจในมุม
00:21:18 → 00:21:21 มองเดียวกันอเพื่อที่จะได้คลอยตามกันแล้ว
00:21:21 → 00:21:22 มันก็จะกลายเป็นว่าคน 2 ฝั่งนี้เมื่อเจอ
00:21:23 → 00:21:25 ชุมชนที่เหมาะกับตัวเองก็จะเป็นคนที่สบาย
00:21:25 → 00:21:29 ใจทั้งคู่ฮะนั่นหมายความว่าถ้าเกิดว่าว่า
00:21:29 → 00:21:32 เอ่อเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ต่างคนต่างถ้ามี
00:21:32 → 00:21:35 โอกาสที่จะไปอยู่ในจุดที่ตัวเองเหมาะสม
00:21:35 → 00:21:38 เนี่ยมันมันก็คงดีแต่บางคนเขาก็ไม่ได้จะ
00:21:38 → 00:21:41 มีโอกาสได้แบบเลือกได้หรือจะขยับขยายไป
00:21:41 → 00:21:44 ตรงไหนได้ถ้างั้นมันก็คือสิ่งที่คิดคือ
00:21:44 → 00:21:47 การยอมรับในความแตกต่างนั้นใช่ครับยอมรับ
00:21:48 → 00:21:50 ในความแตกต่างแต่แต่ต้องกำกับงี้นะครับ
00:21:50 → 00:21:52 ชีวิตมันมีหลายมิติอืต่อให้ยอมรับในความ
00:21:52 → 00:21:55 แตกต่างแล้วมันก็จะมีภารกิจชีวิตแต่ละ
00:21:55 → 00:21:59 อย่างที่มันแล้วแต่หน้างานหน้างานบางอัน
00:21:59 → 00:22:02 จำเป็นต้องอาศัยคนที่มีความคิดมากเพราะ
00:22:02 → 00:22:05 มันละเอียดมากอืแต่หน้างานบางอย่างให้คน
00:22:05 → 00:22:08 ที่แบบไม่ต้องคิดเยอะทำงานน่าจะดีค่ะเออ
00:22:08 → 00:22:10 เพราะบางอย่างต้องการความเร็วความ Flow
00:22:10 → 00:22:14 มดแต่คิดมดแต่คิดไม่ได้ทำอ่าฮะอะไรเงี้ย
00:22:14 → 00:22:16 ฮะเออเพราะงั้นเรื่องเนี้ยมันเลยต้องแยก
00:22:16 → 00:22:19 แยกไปตามตามบริบทของตัวสถานการณ์อ่าฮะ
00:22:19 → 00:22:22 สถานการณ์บางอย่างจำเป็นที่จะต้องคิดมาก
00:22:22 → 00:22:25 อืสถานการณ์บางอย่างอาจจะต้องคิดน้อยๆ
00:22:25 → 00:22:27 หน่อยแล้วก็ให้มัน Flow ให้มันไหลไปถ้า
00:22:27 → 00:22:30 งั้นเราจะหาจุดตรงกลางร่วมกันได้มั้ยจุด
00:22:30 → 00:22:32 ตรงกลางมันขึ้นอยู่กับว่า
00:22:32 → 00:22:36 เอ่อเราให้ความสำคัญในเรื่องเดียวกันอยู่
00:22:36 → 00:22:40 หรือเปล่าคนที่ให้คนที่เอ่ออาจจะสมมุติ
00:22:40 → 00:22:42 คิดเป็นคนคิดเยอะคิดละเอียดนะครับจริงๆ
00:22:42 → 00:22:43 แล้วการให้ความสำคัญเนี่ยมันจะมี 2
00:22:43 → 00:22:46 เรื่องอันนึงคือผลงานกับอีกอันนึงคือ
00:22:46 → 00:22:50 สุขภาพจิตมันจะมี 2 มิติเนี้ยควบคู่กันอื
00:22:50 → 00:22:52 คนที่คิดเยอะคิดมากอาจจะให้ความสำคัญ
00:22:52 → 00:22:55 เรื่องผลงานแต่จะไม่สนใจเรื่องสุขภาพจิต
00:22:55 → 00:22:58 อ่าาฮะอ่าแต่คนที่ชิลคนที่แบบเป็นคนคิด
00:22:58 → 00:23:00 ไม่เยอะอาจจะให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมาก
00:23:00 → 00:23:03 กว่าชิ้นงานอือทีเนี้ยพอมันมีเป้า 2
00:23:03 → 00:23:05 อย่างเนี้ยครับขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะ
00:23:05 → 00:23:08 เห็นเป้า 2 ชิ้นนี้พร้อมกันหรือเปล่าอื
00:23:08 → 00:23:11 หรือหรือในสายตาเเห็นชิ้นเดียวว่าเรื่อง
00:23:11 → 00:23:15 นี้เอาชิ้นงานฉันไม่สนสุขภาพจิตหรืออีกคน
00:23:15 → 00:23:18 นึงคิดว่าเอาสุขภาพจิตพออย่าไปสฝนชิ้นงาน
00:23:18 → 00:23:20 คือถ้าต่างคนต่างโฟกัสคนละที่อ่ะครับมัน
00:23:20 → 00:23:22 ไม่มีทางจูนกันได้เลยแต่ถ้าเกิดทั้ง 2 คน
00:23:22 → 00:23:25 เนี้ยเห็นว่าในในสิ่งที่เรากำลังทำเนี้ย
00:23:25 → 00:23:28 มี 2 สิ่งที่เราต้องคำนึงคู่กันเลยอย่าง
00:23:28 → 00:23:32 เงี้ยฮะมันจะทำให้คนที่คิดมากคิดเยอะอาจ
00:23:32 → 00:23:34 จะสนใจชิ้นงานอยู่แต่เมื่อเขาใส่ใจเรื่อง
00:23:34 → 00:23:37 สุขภาพจิตและมิตภาพเข้ามาด้วยเขาอาจจะยอม
00:23:37 → 00:23:39 ลดบางอย่างลงมาเพื่อให้ 2 อย่างเนี้ยเป้า
00:23:40 → 00:23:42 หมาย 2 อย่างเนี้ยยังคงได้ควบคู่กันคนที่
00:23:42 → 00:23:45 ไม่คิดอะไรเลยนะครับจากเดิมที่เขาสนใจ
00:23:45 → 00:23:47 สุขภาพจิตอย่างเดียวเาอาจจะเห็นว่าจริงๆ
00:23:47 → 00:23:50 ไอ้เรื่องชิ้นงานหรือผลงานที่ออกก็ควรจะ
00:23:50 → 00:23:52 สำคัญนะเขคก็จะยกตัวเองขึ้นมาให้ใส่ใจรา
00:23:53 → 00:23:55 ละเอียดและยอมรับเอ่อมิติบางอย่างที่อีก
00:23:55 → 00:23:58 คนนำเสนอมากขึ้นตรงเจะเป็นจุดที่สมดุลอ
00:23:58 → 00:24:01 มันก็อยู่ที่ว่าถ้ายังอยู่ในจุดเดียว
00:24:01 → 00:24:05 กันหหมาเกันเห็นสิ่งที่สำคัญเหมือนๆกันอ
00:24:05 → 00:24:08 มันก็จะเกิดการแคร์กันแล้วก็เอ่อเข้าใจ
00:24:08 → 00:24:11 ถึงความแตกต่างหรืออ๋อเยอมรับในความที่
00:24:11 → 00:24:14 อ๋อเเก็เป็นแบบนี้แหละอคิดมากเออมันก็ดี
00:24:14 → 00:24:17 ในบางมุมแต่ถ้าเกิดมากไปเราอาจจะบอกเฮ้ย
00:24:17 → 00:24:20 มากไปละหรือคนที่ไม่คิดอะไรเลยคนที่คิด
00:24:20 → 00:24:24 เยอะๆอาจจะบอกว่าคิดบ้างก็ได้เออใช่ครับ
00:24:24 → 00:24:26 มันไม่ใช่ว่าต้องดีดจากแบบไม่คิดไปคิดคิด
00:24:26 → 00:24:29 คิดๆหนักๆมันมันฝืนธรรมชาตมากส่วนคนที่
00:24:29 → 00:24:31 คิดิดๆจะบอกไม่คิดอะไรเลยมันก็ไม่ใช่เอีก
00:24:31 → 00:24:33 ฮะเพราะงั้นมันเลยเป็นเรื่องของการปรับ
00:24:33 → 00:24:35 จูนว่าลดระดับลงมายังไงให้บาานกับการใช้
00:24:35 → 00:24:38 ชีวิตให้ยังคงมีความสุขด้วยและใช้ชีวิต
00:24:38 → 00:24:41 ได้ดีด้วยอืเพราะท้ายที่สุดแล้วเอ่อมัน
00:24:41 → 00:24:44 สำคัญอยู่ตรงที่ว่ายังจะอยู่ด้วยกันมอ่า
00:24:44 → 00:24:46 เนาะในบางความสัมพันธ์น่ะมันต้องอยู่ด้วย
00:24:46 → 00:24:50 กันอยู่ด้วยกันไปไปตลอดไปอีกนานแสนนานแต่
00:24:50 → 00:24:52 บางความสัมพันธ์มันอาจจะไม่ได้อยู่ได้นาน
00:24:52 → 00:24:55 ออาจจะแบบขยับขยายแยกย้ายกันไปเติบโตอะไร
00:24:55 → 00:24:57 ก็ากันไปยใช่ครับถ้าแยกย้ายแล้วมีความสุข
00:24:57 → 00:24:59 ก็แยกย้าย้วมันไม่จำเป็นต้องแบบมานั่ง
00:24:59 → 00:25:01 เปลี่ยนกันและกันอะไรมากฮะคือถ้าเกิดได้
00:25:01 → 00:25:04 แยกย้ายก็คิดว่าน่าจะเป็นไปเติบโตแบบนั้น
00:25:04 → 00:25:06 นะน่าจะมีความสุขมากกว่านะคะอันนี้เป็น
00:25:06 → 00:25:10 แนวทางให้สำหรับในมุมมองของหลายๆคนที่อาจ
00:25:10 → 00:25:13 จะรู้สึกว่าเอ้ยฉันเป็นฉันเป็นคนคิดน้อย
00:25:13 → 00:25:15 ไปหรือเปล่าไปเจอคนคิดเยอะกว่าหรือบางคน
00:25:15 → 00:25:19 บอกว่าโอฉันเป็นคนที่คิดเยอะไปพอไปเจอคน
00:25:19 → 00:25:22 ที่ไม่ค่อยได้คิดเยอะเค้าก็อาจจะคิดแหละ
00:25:22 → 00:25:24 แต่คิดไม่เยอะเท่าเราหรืออะไรอย่าเงี้ยนะ
00:25:24 → 00:25:26 คะมันมีความแตกต่างกันอยู่แต่ว่าอเป้า
00:25:26 → 00:25:28 หมายเป็นแบบไหนอย่างที่คุณเอิ้นบอกนะนะคะ
00:25:28 → 00:25:31 อฝากไวค่ะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสวัสดีค่ะหมด
00:25:31 → 00:25:33 เวลาค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้ากับ
00:25:33 → 00:25:36 รายการโรงหมอทางไทย PBS podcast นะคะวัน
00:25:36 → 00:25:40 นี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is tha PBS
00:25:40 → 00:25:43 podcast อาการปวดคอเป็นอะไรได้บ้างที่
00:25:43 → 00:25:45 มากกว่าแค่การเป็นออฟิ Syndrome มีวิธี
00:25:45 → 00:25:48 การสังเกตอย่างไรดรนายแพทย์จตุพลคงถาวร
00:25:48 → 00:25:50 สกุลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อ
00:25:50 → 00:25:54 กระดูกและข้อมาเล่าให้ฟังครับคนทั่วไป
00:25:54 → 00:25:58 เนี่ยคิดว่าการปวดคอปวดคอโอ๊ยต้องไปนวด
00:25:58 → 00:26:00 ไอ้นวดเนี่ยมันเป็นการรักษาไอ้ดัดก็การ
00:26:00 → 00:26:04 รักษาไคโรแพคติกก็การรักษากินยาก็การ
00:26:04 → 00:26:07 รักษาดึงคอก็การรักษากายภาพก็การรักษาปวด
00:26:07 → 00:26:09 คอเนี่ยเป็นได้ 1 กล้ามเนื้ออักเสบที่
00:26:09 → 00:26:12 เป็นกันบ่อยๆ 2 หมอนรองกระดูกคอทับเส้น
00:26:12 → 00:26:16 ประสาท 3 ไขสันหลังอักเสบ 4 เส้นเอ็นตรง
00:26:16 → 00:26:19 รอบๆกระดูกอักเสบสิ่งพวกนี้เนี่ยนะมันทำ
00:26:19 → 00:26:22 ให้เราเนี่ยมีอาการปวดคอยได้ทั้งหมดอาการ
00:26:22 → 00:26:26 ปวดคอพวกเนี้ยถ้าเราเนี่ยนะไประบุว่ามัน
00:26:26 → 00:26:30 เป็น Office syndrome จบเลยถามว่าอิมคือ
00:26:30 → 00:26:31 อะไรอ่ะคือกล้ามเนื้ออักเสบป่ะหรือเป็น
00:26:31 → 00:26:33 หมอรองกระดูกคอรับเส้นไม่ใช่อยู่ดีมันก็
00:26:33 → 00:26:36 คือคำรวมๆว่าอ๋อน่าจะเป็นกลุ่มพวกเนี้ยอื
00:26:36 → 00:26:38 ผมว่ามันไม่มีมันมันไม่มีประโยชน์ที่เดิน
00:26:38 → 00:26:41 ไปหาหมอแล้วบอกหมอบอกอ๋อเป็นอินโดมแล้ว
00:26:41 → 00:26:43 กลับบ้านแต่คนไข้ก็ยอมรับเพราะอะไรคนไข้
00:26:43 → 00:26:45 รู้สึกว่าเหมือนหมอวินิจฉัยเลยไงว่าเป็น
00:26:45 → 00:26:47 อินโดมแต่จริงๆไม่ใช่ Office syr ไม่ใช่
00:26:47 → 00:26:49 วินิจฉัยเพราะฉะนั้นการที่คุณไปหาหมอหรือ
00:26:49 → 00:26:51 พบแพทย์เนี่ยนะสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ
00:26:52 → 00:26:55 ว่าคุณจะต้องได้อะไรที่เป็นวินิจฉัยกลับ
00:26:55 → 00:26:58 บ้านคุณต้องถามหมอเลยกล้ามเนื้ออักเสบหรึ
00:26:58 → 00:27:00 เ่ะไขสลังอักเสบหรือเปล่าหรือเป็นหมอนรอง
00:27:00 → 00:27:02 กระดูกคอทับเส้นหรือเป็นหมอนรองกระดูกคอ
00:27:02 → 00:27:06 เสื่อมเนี่ยฉันเป็นอะไรกันแน่สมมุติวัน
00:27:06 → 00:27:07 นี้เราบอกว่าเราอยู่ไกลมากหรือเราไม่อยาก
00:27:07 → 00:27:09 ไปโรงพยาบาลอะไมันเปลืองมันแพงเหลือเกิน
00:27:10 → 00:27:12 เราวินิจฉัยตัวเองก่อนก้ามเนื้ออักเสบ
00:27:12 → 00:27:14 เนี่ยอาการนะมีจุดกดเจ็บชัดเจนกดปุ๊บเจ็บ
00:27:14 → 00:27:17 แป๊บกดปุ๊บเจ็บปั๊บอันนั้นน่ะกล้ามเนื้อ
00:27:17 → 00:27:19 อักเสบคุณใช้เยอะไม่ว่าจะเป็นเฉียบพันธุ์
00:27:19 → 00:27:21 หรือเรื้อรังก็ตามยังไงกดมันต้องเจ็บหมอน
00:27:21 → 00:27:23 รอกระดูกคอทำเส้นประสาทอาการเป็นยังไงมัน
00:27:23 → 00:27:26 จะปวดร้าวลงกลางสะบักปวดร้าวลงแขนถ้าเป็น
00:27:26 → 00:27:28 แค่หมอนรองกระดูกคอเสื่อมเนี่ยกระดูกคอ
00:27:28 → 00:27:30 เสื่อมกระดูกคอมันอยู่ข้างในใช่มั้ยล่ะ
00:27:30 → 00:27:32 เราก็จะงงว่าเอ้ยทำไมอยู่ข้างในมันไม่
00:27:32 → 00:27:35 เจ็บตรงคอ่ะทำไมมันกดข้างในไม่ได้ก็มัน
00:27:35 → 00:27:37 อยู่ข้างในไปกดได้ยังไงกดไม่ถึงเส้น
00:27:37 → 00:27:40 ประสาทที่มันวิ่งออกมาเนี่ยแล้วมันเลี้ยง
00:27:40 → 00:27:42 หรือรับความรู้สึกตรงบริเวณกระดูกคอเนี่ย
00:27:42 → 00:27:44 มันอยู่ที่เดียวกับตรงสบักเพราะฉะนั้นพอ
00:27:44 → 00:27:47 เวลาคุณเจ็บตรงสบักแต่หาจุดกดเจ็บไม่ได้
00:27:47 → 00:27:49 เนี่ยให้คิดไว้เลยว่าอันนี้เป็นหมอนรอง
00:27:49 → 00:27:51 กระดูกคอเสื่อมคุณมีอาการอย่างงี้ปุ๊บ
00:27:51 → 00:27:53 เอ้ยแล้วจะคอนเฟิร์มยังไงวะเสื่อมก็เป็น
00:27:53 → 00:27:56 เซเรย์เห็นเลยมีแคลเซียมเกาะตรงบริเวณที่
00:27:56 → 00:27:58 หมอนหมอนลองกระดูกคออยู่ถ้ามีงั้นก็จบเลย
00:27:58 → 00:28:01 คุณเป็นหมอนรองกระดูกคอเสื่อมไปนวดแล้ว
00:28:01 → 00:28:03 มันจะหายได้ไงมันอยู่ข้างในนวดเนี่ยมันก็
00:28:03 → 00:28:05 จะเปลี่ยนความรู้สึกจากการป่วดข้างในให้
00:28:05 → 00:28:07 มันรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อยดีขึ้นแป๊บๆถ้า
00:28:07 → 00:28:10 เป็นหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทอันนี้
00:28:10 → 00:28:14 ง่ายอาการก็ชัดเลยอยู่ดีๆอยู่ดีๆเลยนะไม่
00:28:14 → 00:28:17 ได้ทำอะไรอาจจะไอจามอาจจะไปยุของหนักหรือ
00:28:17 → 00:28:20 อาจจะนอนผิดท่าหรืออาจจะนั่งทำงานนานๆเ
00:28:20 → 00:28:22 ถึงเรียกว่าอยู่ดีๆไงแต่จริงๆอ่ะมันอยู่
00:28:22 → 00:28:26 ในท่าที่มันไม่ดีอยู่ไม่ดีก็เลยปวดพอมัน
00:28:26 → 00:28:28 ปิ้นขึ้นมาปุ๊บเนี่ยจะปวดลงแขกเลยจะมีการ
00:28:28 → 00:28:30 ชานิ้วส่วนใหญ่่นิ้วที่สุดฮิตก็คือนิ้ว
00:28:30 → 00:28:33 ชี้ปลายนิ้วชี้ชาถ้าปลายนิ้วชี้ชาปุ๊บ
00:28:33 → 00:28:36 แล้วเกิดอาการปวดร้าวลงแขนก็รู้ได้เลยว่า
00:28:36 → 00:28:40 อันเนี้ยเป็นหมอนรองกระดูกคอทเส้น
00:28:41 → 00:28:45 ประสาท This Is Thai PBS
00:28:45 → 00:28:48 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:28:48 → 00:28:52 podcast ได้ทางเว็บไซต์ www.thai PBS
00:28:52 → 00:28:58 podcast docomo
00:28:58 → 00:29:02 ช่องทางอื่นๆ spotify YouTube Apple
00:29:02 → 00:29:05 podcast และ soundcloud
00:29:05 → 00:29:08 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice บางทีเราก็ต้องการคนที่สอดคล้องพอ
00:00:08 → 00:00:10 ดีไปกับเราคนที่เห็นภาพเดียวกับเราคนที่
00:00:10 → 00:00:13 คิดคล้ายๆเราส่วนคนที่แบบคิดน้อยๆสบายๆ
00:00:13 → 00:00:15 ชิลๆก็อยากอยู่กับคนที่แบบชิลๆเหมือนเรา
00:00:15 → 00:00:17 อ่ะนี้ต้องบอกว่าพวกนี้มันเป็นเรื่องของ
00:00:17 → 00:00:19 ความแตกต่างส่วนบุคคลที่แต่ละคนจะมีความ
00:00:20 → 00:00:22 คิดมากคิดน้อยไม่เท่ากันเพราะงั้นเรื่อง
00:00:22 → 00:00:24 นี้บางทีอาจจะไม่ได้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม
00:00:24 → 00:00:26 ก็ได้แต่บางคนก็เป็นสิ่งนี้ผ่านการถูก
00:00:26 → 00:00:28 หล่อหลอมจากครอบครัวก็มีบางคนเนาะเกิดมา
00:00:28 → 00:00:31 พ่อแม่แบบไม่คิดอะไรมากแต่ลูกเเหมือนเตบโ
00:00:31 → 00:00:33 มาในยุที่แบสังคมเห็นว่ามันมีรายละเอียด
00:00:33 → 00:00:35 หลายอย่างที่คจะใส่ใจเช่นการวางแผนการ
00:00:35 → 00:00:38 เงินการวางแผนเรื่องสุขภาพบางทีคนยุคก่อน
00:00:38 → 00:00:40 ในครอบครัวเขาอาจจะแบบไม่ทันได้คิดเรื่อง
00:00:40 → 00:00:42 พวกนี้แต่พอเราเติบโตมาในยุคที่แบบมันมี
00:00:42 → 00:00:44 องค์ความรู้หลายๆอย่างที่มันเพิ่มพูนขึ้น
00:00:44 → 00:00:46 มาเราอาจจะกลายเป็นคนคิดมากแตกต่างจากคน
00:00:46 → 00:00:48 ในบ้านก็มีเหมือน
00:00:48 → 00:00:52 กันฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:52 → 00:00:57 รายการโรงหมอกับชันสุรีพรวงสิพรค่ะ is
00:00:58 → 00:01:01 pbsc วันนี้ค่ะคุณฟังเราจะพูดคุยกันกับ
00:01:01 → 00:01:05 เรื่องที่น่าจะเป็นคือเวลาที่เราต้องอยู่
00:01:05 → 00:01:08 กับคนนึงคิดมากกับคนนึงคิดน้อยหรือไม่คิด
00:01:08 → 00:01:11 อะไรเลยเนี่ยเอ๊ะเค้าจะอยู่กันยังไงจะมี
00:01:11 → 00:01:15 ปัญหามยความต่างมีปัญหามหรือว่าจริงๆควร
00:01:15 → 00:01:17 จะเป็นเหมือนกันเดี๋ยววันนี้คุยกับดร
00:01:17 → 00:01:19 สุววุฒิวงษ์ทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการ
00:01:19 → 00:01:21 ปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นสวัสดีครับคุณ
00:01:21 → 00:01:24 รีสวัสดีครับคุณผู้ฟังค่ะวันนี้ก็คุยกัน
00:01:24 → 00:01:26 ในแนวที่เป็นแบบว่าเหมือน 2 ขั้วที่แตก
00:01:26 → 00:01:31 ต่างกันเนาะเอ่อในขั้วหนึโหคิดมากคิดมาก
00:01:31 → 00:01:34 คิดเยอะคิดกังวลไปหมดคกอย่าทุกอย่างเอา
00:01:34 → 00:01:38 เก็บมาคิดหมดจะคิดดีไม่ดีอีกเรื่องนึงเ
00:01:38 → 00:01:41 อีกคนนึงคิดน้อยเกินไปหรือเปล่าหรืออีก
00:01:41 → 00:01:44 ฝ่ายนึงที่เป็นคนคิดมากอาจจะมองว่าไม่
00:01:44 → 00:01:47 เห็นคิดอะไรเลยเธอควรจะคิดบ้างนะหรืออะไร
00:01:47 → 00:01:49 ประมาณนี้เนาะมันก็เป็นปัญหาอยู่เหมือน
00:01:49 → 00:01:52 กันนะแต่ทีเนี้ยในความต่างของความรู้สึก
00:01:52 → 00:01:56 ความคิดแบบนี้เนี่ยมันจะมีปัญหาอะไรมย
00:01:56 → 00:01:59 หรือว่ามันก็อยู่ด้วยกันได้นะแต่อาจจะ
00:01:59 → 00:02:02 ต้องหาวิธีการอือฮึอืใช่ครับคือมันต้องหา
00:02:02 → 00:02:05 วิธีการแหละผมว่ายังไงก็ตามพอเกิดความแตก
00:02:05 → 00:02:06 ต่างขึ้นนะครับแล้วยิ่งมนุษย์เนาะ
00:02:06 → 00:02:10 ธรรมชาติมนุษย์ผู้มีความคาดหวังมนุษย์มี
00:02:10 → 00:02:12 ความคาดหวังอยู่แล้วครับแล้วก็มีความ
00:02:12 → 00:02:15 ต้องการไม่เหมือนกันเหมือนเหมือนเราไปกิน
00:02:15 → 00:02:17 ข้าวเนาะเราต้องการรสชาติของอาหารที่ที่
00:02:17 → 00:02:19 ถูกปากเราเนี่ยไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้น
00:02:19 → 00:02:22 เรื่องคิดมากคิดน้อยหรือแม้กระทั่งอยู่ใน
00:02:22 → 00:02:23 ความสัมพันธ์เหมือนที่พี่รีพูดตอนต้นนะ
00:02:24 → 00:02:26 ครับบางทีเราก็ต้องการคนที่สอดคล้องพอดี
00:02:26 → 00:02:28 ไปกับเราค่ะคนที่เห็นภาพเดียวกับเราคนที่
00:02:29 → 00:02:32 คิดคล้ายๆเราอือฮึคนที่มีความสนใจในราย
00:02:32 → 00:02:34 ละเอียดใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆที่มีความ
00:02:34 → 00:02:36 สำคัญบางครั้งเราก็อยากให้คนที่เราคุย
00:02:36 → 00:02:38 ด้วยหรืออยู่ด้วยเนี่ยเคิดและเห็นภาพ
00:02:38 → 00:02:41 เดียวกับเราส่วนคนที่แบบคิดน้อยๆสบายๆชิล
00:02:41 → 00:02:44 ๆก็อยากอยู่กับคนที่แบบชิลๆเหมือนเราอ่ะอ
00:02:44 → 00:02:47 เย็นๆเบาๆได้มล่ะอย่างเงี้ยฮะแต่ทีนี้ใน
00:02:47 → 00:02:49 ชีวิตจริงอ่ะครับอย่างที่บอกเนาะบางทีเรา
00:02:49 → 00:02:51 ก็จะมีโอกาสได้เจอคนที่พอดีกับเราเหมือน
00:02:51 → 00:02:54 กันและอาจจะได้เจอคนที่ไม่พอดีกับเราค่ะ
00:02:54 → 00:02:56 ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราอ่ะเป็นสาย
00:02:56 → 00:03:00 คิดเยอะคิดมากหรือตัวเราเป็นสายแบบชิลคิด
00:03:00 → 00:03:02 ไม่คิดอะไรเลยนะฮะทีนี้ต้องบอกว่าพวกเมัน
00:03:02 → 00:03:04 เป็นเรื่องของความแตกต่างเอ่อเรียกว่า
00:03:04 → 00:03:07 ส่วนบุคคลเป็นบุคลิกภาพส่วนบุคคลที่แต่ละ
00:03:07 → 00:03:10 คนจะมีความคิดมากคิดน้อยไม่เท่ากันแม้
00:03:10 → 00:03:12 กระทั่งเกิดในครอบครัวเดียวกันอาจจะเป็น
00:03:12 → 00:03:14 แบบพี่น้องกันเลยอย่าเงี้ยครับบางทีราย
00:03:14 → 00:03:16 ละเอียดที่ใส่ใจอาจจะไม่เท่ากันก็ได้
00:03:16 → 00:03:17 เพราะงั้นเรื่องนี้บางทีอาจจะไม่ได้ถูก
00:03:17 → 00:03:19 กำหนดโดยพันธุกรรมก็ได้แต่เป็นเรื่องของ
00:03:19 → 00:03:23 บุคลิกภาพส่วนบุคคลแต่บางคนก็เป็นเ่อ
00:03:23 → 00:03:24 เรียกว่าเป็นสิ่งนี้ผ่านการถูกหล่อหลอม
00:03:24 → 00:03:27 จากครอบครัวก็มีเช่นคนที่บ้านเป็นคนใส่ใจ
00:03:27 → 00:03:29 รายละเอียดตรงนั้นตรงนี้ตรงโน้นไปหมดแล้ว
00:03:29 → 00:03:31 บังเอิญว่าเด็กคนเนี้ยหรือเราเนี่ยที่
00:03:31 → 00:03:33 เติบโตมาในครอบครัวที่ทุกคนคิดเยอะเนี่ย
00:03:33 → 00:03:35 เรารู้สึกว่าเฮ้ยงั้นเราต้องคิดตามหรือ
00:03:35 → 00:03:37 เราอาจจะเคยถูกตำหนิถูกต่อว่าอะไรบาง
00:03:37 → 00:03:39 อย่างเรารู้สึกว่าแบบเสียใจจังเลยจากการ
00:03:39 → 00:03:42 ที่เราคิดไม่มากพอแล้วถูกตำหนิอืเราอยาก
00:03:42 → 00:03:43 รู้สึกถูกยอมรับหรือเป็นส่วนหนึ่งกับเค
00:03:43 → 00:03:45 อะไรอย่างเงี้ยเราอาจจะกลายเป็นคนที่แบบ
00:03:45 → 00:03:48 ขี้กังวลเป็นคนที่คิดเยอะคิดมากหรือ
00:03:48 → 00:03:50 พยายามจะคิดให้ละเอียดขึ้นเพื่อให้ได้รับ
00:03:50 → 00:03:53 การยอมรับหรือการถูกชื่นชมก็มีอืแต่บางคน
00:03:53 → 00:03:56 เกิดมาในครอบครัวที่ชิ้วๆอ่าฮะบางทีก็แบบ
00:03:56 → 00:03:59 เออเราก็ถูกหล่อหล้อมไปด้วยเออพ่อแม่เรา
00:03:59 → 00:04:01 ไม่เหมือนเป็นเลยอเราต่อให้แบบเดือนนี้
00:04:01 → 00:04:03 ใช้เงินเยอะเดี๋ยวเดือนหน้าก็มีใช้อ่ะ
00:04:03 → 00:04:05 สมมุติสมมติอุ้ยอยากได้ฟิวนี้ไม่ต้องบาง
00:04:05 → 00:04:07 แผหรอกอะไรเงี้ยอ่าพอเป็นอย่างงี้ปั๊บก็
00:04:08 → 00:04:10 เลยชินกับการไม่ต้องคิดเยอะคิดมากอแต่ก็
00:04:10 → 00:04:12 ต้องบอกอีกว่าบางทีบางคนเนาะเกิดมาพ่อแม่
00:04:12 → 00:04:14 แบบไม่คิดอะไรมากแต่ลูกเนี่ยเหมือนกับ
00:04:14 → 00:04:16 เติบโตมาในยุคที่แบบสังคมอ่ะเห็นว่ามันมี
00:04:16 → 00:04:19 รายละเอียดหลายอย่างที่คนจะใส่ใจเช่นการ
00:04:19 → 00:04:22 วางแผนการเงินการวางแผนเรื่องสุขภาพ
00:04:22 → 00:04:25 เรื่องววางแผนอนาคตแล้วแต่บางทีคนยุคคน
00:04:25 → 00:04:27 ยุคก่อนในครอบครัวเขาอาจจะแบบไม่ทันได้
00:04:27 → 00:04:29 คิดเรื่องพวกนี้แต่พอเราเติบโตมาในยุคที่
00:04:29 → 00:04:30 แบบมันมันมีองค์ความรู้หลายๆอย่างที่มัน
00:04:30 → 00:04:32 เพิ่มพูนขึ้นมาเราอาจจะกลายเป็นคนคิดมาก
00:04:32 → 00:04:35 แตกต่างจากคนในบ้านก็มีเหมือนกันอืมันก็
00:04:35 → 00:04:36 เป็นไปได้ในหลากหลายรูปแบบเพราะมันเป็น
00:04:36 → 00:04:39 ปัจเจกบุคคลจริงๆอ่ะเนาะเอ่อมันขึ้นอยู่
00:04:39 → 00:04:42 กับการที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนหลอหลอม
00:04:42 → 00:04:44 มาแบบไหนเพราะว่าแต่เกิดมาเนี่ยเราคงยัง
00:04:44 → 00:04:47 ไม่ต้องได้คิดอะไรหรอกแต่มันก็กลเวลาผ่าน
00:04:47 → 00:04:50 มากับสิ่งที่เจอเรื่องราวเอ่อหรือว่า
00:04:50 → 00:04:52 ประสบการณ์ต่างๆเนี่ยทำให้เราอาจจะต้อง
00:04:52 → 00:04:54 จากคนที่ไม่เคยคิดอะไรมากกลายเป็นคนคิด
00:04:55 → 00:04:58 มากไปเลยก็มีก็มีหรือคนที่คิดมากๆพอไปเจอ
00:04:58 → 00:05:01 วันนึงเอ้าเออก็ไม่เห็นต้องคิดมากนิอืๆ
00:05:01 → 00:05:04 มันก็ดีใช่ครับทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่าแต่
00:05:04 → 00:05:06 ละคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรอืเพราะ
00:05:06 → 00:05:09 ว่าคิดคิดมากมั้ยสมมุติว่าคิดมากเนาะการ
00:05:09 → 00:05:11 คิดมากหมายถึงว่ามีบางสิ่งสำคัญกับเค้า
00:05:11 → 00:05:14 ค่ะเพราะว่าปกติคนเราจะไม่คิดในเรื่องไม่
00:05:14 → 00:05:17 สำคัญจริงมั้ยไม่สำคัญก็เลยเอาจะไปคิด
00:05:17 → 00:05:20 ทำไมมันไม่สำคัญใชอ่าฮะแต่พอมันสำคัญปั๊บ
00:05:20 → 00:05:23 ก็เลยต้องคิดและก็เลยต้องกังวลเพราะมันน
00:05:23 → 00:05:27 มันสำคัญก็คือหมายความว่าในความคิดมาก
00:05:27 → 00:05:30 เนี่ยมันก็คือความวิตกกังวลวิตกกังวลอย่า
00:05:30 → 00:05:32 วิตกกังวลเป็นอาการมาหลังจากความรู้สึก
00:05:32 → 00:05:35 ว่าบางสิ่งที่มีบางสิ่งที่เราอยากให้มัน
00:05:35 → 00:05:37 เข้าที่เข้าทางให้มันเป็นอย่างที่ควรจะ
00:05:37 → 00:05:39 เป็นแต่มันอาจจะมีความเสี่ยงที่มันอาจจะ
00:05:40 → 00:05:41 ไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้เราเลยเกิดความ
00:05:42 → 00:05:46 กังวลออือในแต่ละคนก็มีความกังวลแบบเยอะ
00:05:46 → 00:05:50 แยะมากมายบางวันก็โอ้โหสารพัดเรื่องที่จะ
00:05:50 → 00:05:54 เข้ามาหรือบางคนอาจจะแบบว่าออก็กังวลนะ
00:05:54 → 00:05:58 แต่ฉันก็ยังจัดการได้หมายความว่าอ่าไม่
00:05:58 → 00:06:01 ได้จะต้องคิดมากมาจนเกินไปเพราะว่าระดับ
00:06:01 → 00:06:03 ความคิดมากของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกบาง
00:06:03 → 00:06:07 คนก็มากมากมาๆจริงๆจนแบบบางทีอาจจะต้อง
00:06:07 → 00:06:11 แบบว่าโหทำไมคนนี้คิดเยอะจังอหรือแบบอ่า
00:06:11 → 00:06:15 บางคนก็ไม่ได้คิดมากมีคำว่าคิดมากแหละมัน
00:06:15 → 00:06:17 ก็ต้องมากกว่าปกติแหละแต่แค่ว่าไม่ถึง
00:06:17 → 00:06:20 ขั้นทำให้ตัวเองอ่ะแย่อ่าใช่ครับเพราะถ้า
00:06:20 → 00:06:22 ถึงขั้นนั้นแสดงว่าอาจจะมีเรื่องเกี่ยว
00:06:22 → 00:06:24 กับฮอร์โมนก็อาจจะเป็นไปได้อุยเช่นอ่ะ
00:06:24 → 00:06:27 สมมติเรานึกภาพแบบเอ่อสาวๆประจำเดือนผม
00:06:27 → 00:06:30 พูดเรื่องนี้บ่อยมากออประจำเดือนมาปั๊บ
00:06:30 → 00:06:33 คิดมากคิดเล็กคิดน้อยซึมเศร้าหรือคิดวิตก
00:06:33 → 00:06:35 วิตกอะไรอย่าเงี้ยครับบางทีมันถูกปั่นมา
00:06:35 → 00:06:37 จากฮอร์โมนก็มีบางทีไม่ใช่แค่ประจำเดือน
00:06:37 → 00:06:40 เนาะวัยทองผมก็เคยได้เจอเอ่อเคสที่ที่
00:06:40 → 00:06:42 ปรึกษาเรื่องวัยทองเหมือนกันคือเขาไม่รู้
00:06:42 → 00:06:44 ตัวว่าเาเป็นวัยทองเขาบอกว่าปกติเรื่อง
00:06:44 → 00:06:47 เนี้ยเอ่อเขาไม่เคยคิดมากเลยแต่ไม่รู้
00:06:47 → 00:06:49 ทำไมช่วงเนี่ยช่วงท้ายๆเนี่ยตั้งแต่อายุ
00:06:49 → 00:06:52 59 60 อะไรเงี้ยครับอือฮึรู้สึกว่า
00:06:52 → 00:06:55 เรื่องนี้เขาอ่อนไหวมากมากเลยอย่างเช่น
00:06:55 → 00:06:57 แบบเห็นลูกเอ่อผิดหวังบางอย่างเมื่อก่อนเ
00:06:57 → 00:06:59 ก็แบบเอ้ยธรรมดาลูกเรื่องความผิดหวังอ่า
00:07:00 → 00:07:02 ฮะแต่ตอนนี้ปั๊บเห็นลูกผิดหวังโอ้โหร้อง
00:07:02 → 00:07:04 ไห้ตัวเองหยุดร้องไม่ได้โอเขก็งงว่าเกิด
00:07:04 → 00:07:07 อะไรขึ้นเงี้ยครับบางทีมันก็เกิดขึ้นจาก
00:07:07 → 00:07:09 เรื่องภาวะไวทองได้ก็มีเหมือนกันแต่เพียง
00:07:09 → 00:07:11 แค่ว่าเขาไม่ทันรู้ตัวหรือบางคนอาจจะมี
00:07:11 → 00:07:14 เรื่องของโรคเเรียกว่า anxiety disorder
00:07:14 → 00:07:16 ที่เป็นเรื่องของเอ่อโรคความวิตกกังวลค่ะ
00:07:16 → 00:07:18 พวกนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทบาง
00:07:18 → 00:07:20 อย่างก็ได้อันนี้ถ้าถ้ามันเกินไปนะครับจน
00:07:20 → 00:07:23 กระทบการใช้ชีวิตประจำวันรู้สึกใช้ชีวิต
00:07:23 → 00:07:26 ยากและหาเหตุผลที่แบบมันอธิบายการที่เรา
00:07:26 → 00:07:28 เป็นอย่างนั้นได้ยากเงี้ยฮะอาจจะต้อง
00:07:28 → 00:07:30 ปรึกษาจิตแพทย์ร่วด้วยนั่นแสดงว่าเราอาจ
00:07:30 → 00:07:31 จะมีภาวะบางอย่างเกี่ยวกับฮอร์โมนหรือ
00:07:32 → 00:07:33 ระบบประสาทที่ทำให้เราใช้ชีวิตไม่ได้แล้ว
00:07:33 → 00:07:36 ควบคุมตัวเองเรื่องการคิดไม่ได้อันนี้มัน
00:07:36 → 00:07:39 คือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ใช่รู้สึกควบคุม
00:07:39 → 00:07:41 ไม่ไหวแล้วมันโอ้โหมันโอเวอโหลดมากๆไคือ
00:07:41 → 00:07:43 ถ้าไม่สังเกตตัวเองเมื่อกี้อย่างที่เอิ้น
00:07:43 → 00:07:45 บอกถ้าไม่สังเกตตัวเองจะไม่รู้เลยว่าเอ้ย
00:07:45 → 00:07:49 เราเกิดภาวะในความที่คิดมากขึ้นมาโดยไม่
00:07:49 → 00:07:52 รู้ตัวแต่ถ้าคนสังเกตยังพอแบบอ่าปรึกษา
00:07:52 → 00:07:55 ได้หรือไปพบจิตแพทย์หรือไปกินยาอะไรก็ว่า
00:07:55 → 00:07:58 กันไปตามตามที่ตัวเองเป็นน่ะเนาะแต่ทนี้
00:07:58 → 00:08:01 คนที่ไม่รู้ตัวเองเองดิอหรืออาจจะรู้อก็
00:08:01 → 00:08:02 ฉันเป็นคนคิดมากอ่ะแต่ก็คือฉันก็อย่าง
00:08:02 → 00:08:05 เงี้ยคือมันเปลี่ยนไม่ได้อืมันก็เหนื่อย
00:08:05 → 00:08:07 อยู่เหมือนกันก็เหนื่อยครับก็เหนื่อยที
00:08:07 → 00:08:09 นี้ก็ขึ้นกับว่าคนรอบตัวจะสามารถช่วย
00:08:09 → 00:08:12 คล้ายๆช่วยช่วยรั้งช่วยปรับจูนหรือช่วย
00:08:13 → 00:08:15 เตือนกันได้หรือเปล่าทีนี้ถ้าถ้าพอเตือน
00:08:15 → 00:08:17 กันได้ชวนบอกกันได้แล้วเจ้าตัวเนี่ยเอา
00:08:17 → 00:08:19 ด้วยหมายถึงรู้สึกว่าเออเอาจริงฉันก็รู้
00:08:19 → 00:08:21 สึกเหนื่อยกับที่ฉันเป็นคนคิดเยอะเหมือน
00:08:21 → 00:08:23 กันสมมุติถ้าเค้ารู้สึกอย่างงั้นนะเขาก็
00:08:23 → 00:08:26 อาจจะพอหาจุดที่ค่อยๆปลงค่อยๆปล่อยค่อยๆ
00:08:26 → 00:08:28 วางบางเรื่องค่อยๆปล่อยให้แบบทุกอย่าง
00:08:28 → 00:08:29 เป็นไปตามจะ
00:08:29 → 00:08:32 ที่มันจะต้องเป็นอืแต่ไม่ได้หมายความว่า
00:08:32 → 00:08:34 จากอีกขั้วไปอีกขั้วนะไม่ใช่หมายความว่า
00:08:34 → 00:08:37 เราเคยยึดมากๆเราเคยพยายามคิดมากๆวันนึง
00:08:37 → 00:08:41 เทให้หมดชันเลิกคิดทุกอย่างโอ้ยฉันชิลบาง
00:08:41 → 00:08:43 ทีอาจจะไม่สามารถข้ามได้เร็วขนาดนั้นแต่
00:08:43 → 00:08:46 อาจจะลดบางอย่างลงได้มันเป็นไปได้ด้วยหรอ
00:08:46 → 00:08:48 ถ้าจากคนคิดมากอยู่ๆมากลายเป็นคนไม่คิด
00:08:49 → 00:08:52 อะไรเลยมันดูแบบเอ่อผมคิดว่ามันจะมีความ
00:08:52 → 00:08:53 ยากอยู่นอกจากว่าจะเป็นเรื่องบางเรื่อง
00:08:53 → 00:08:57 เช่นแบบว่าเอ่อฉันเคยฉันเคยแบกภาระงานบาง
00:08:57 → 00:09:00 อย่างอือฮึปึ๊บพอจดจุดนึงฉันรู้สึกว่าฉัน
00:09:00 → 00:09:03 ทำมามากพอแล้วค่ะแล้วคนๆนี้มันอาจจะไม่
00:09:03 → 00:09:06 ใช่คนที่ฉันควรช่วยอีกต่อไปอ่าฉันก็เลย
00:09:06 → 00:09:09 วางเลยแล้วกันหลังจากนี้ฉันจะวางละฉันจะ
00:09:09 → 00:09:12 แบบตัดตัดบทบาทหน้าที่ของฉันในการแบกรับ
00:09:12 → 00:09:15 เรื่องนี้คือตกตะกอได้เฉยเลยจบางคนทำได้
00:09:15 → 00:09:17 บางคนทำได้ถ้าถ้ามันเป็นเรื่องบางเรื่อง
00:09:17 → 00:09:19 เฉพาะเรื่องที่มันสามารถตัดจบได้เป็น
00:09:19 → 00:09:22 เรื่องๆไปอ๋อก็คือมันไม่สามารถที่จะแบบ
00:09:22 → 00:09:24 ว่าอยู่ๆอีกเป็นอีกขั้วนึงมาอีกขั้วนึง
00:09:24 → 00:09:26 ได้ขนาดนั้นมันมันมีระยะเวลาแหละใช่ค่ะ
00:09:27 → 00:09:28 เพราะว่าถ้าถ้าเป็นเรื่องเนี่ยมันสามารถ
00:09:28 → 00:09:31 ตัดจบได้ถ้าการคิดตกหรือมันจบในวาระบาง
00:09:31 → 00:09:33 อย่างถูกมั้ยครับเช่นแบบว่าฉันจะทำงานถึง
00:09:33 → 00:09:36 แค่ตรงนี้พอหลังจากวันนี้ฉันจะปล่อยวางจะ
00:09:36 → 00:09:39 เกิดอะไรก็เกิดเอออย่างเงี้ยครับอ่ะแสดง
00:09:39 → 00:09:40 ว่าอันเนี้ยมันสามารถพลิกตามเรื่องตาม
00:09:40 → 00:09:43 วาระได้แต่ถ้าสมมุติพื้นฐานบุคคลิกภาพเ
00:09:43 → 00:09:45 เป็นคนใส่ใจรายละเอียดกับทุกๆเรื่องและ
00:09:45 → 00:09:48 เป็นคนขี้กลัวขี้กังวลเขามักจะ Play เซฟ
00:09:48 → 00:09:50 อ่ะครับบางทีการคิดเยอะคิดมากเกิดขึ้นจาก
00:09:50 → 00:09:52 การอยากจะป้องกันไม่ให้สิ่งที่เขาไม่ชอบ
00:09:52 → 00:09:56 เกิดขึ้นอืเช่นอ่ะสมมุติเอ่อเป็นคนอาจจะ
00:09:56 → 00:09:58 กลัวเรื่องเกี่ยวกับการเงินเช่นอ่ะสมมุติ
00:09:58 → 00:10:00 ยุคนี้เศรษฐกิจแบบโอ้โหไม่แน่นอนเลยอย่าง
00:10:00 → 00:10:02 เงี้ยครับแล้วพื้นฐานเข้าเป็นคนแบบค่อน
00:10:02 → 00:10:04 ข้างที่กังวลอยู่แล้วเรื่องการเงินกลัวจะ
00:10:04 → 00:10:07 ลำบากค่ะเขาคก็จะพยายามแบบเฮ้ยเราต้อง
00:10:07 → 00:10:09 เก็บเงินตรงนี้อย่าใช้เลยอย่างเงี้ยฮะ
00:10:09 → 00:10:11 แล้วมันก็จะเป็นอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆตลอด
00:10:11 → 00:10:14 ทุกปีทุกปีทุกปีเพราะเครู้สึกว่าอนาคตมัน
00:10:14 → 00:10:16 ยังไม่ค่อยแน่นอนค่ะเค้าก็จะวางแผนเรื่อง
00:10:16 → 00:10:18 การเงินหรืออาจจะโยงไปถึงสุขภาพก็ได้เช่น
00:10:18 → 00:10:20 เฮ้ยถ้าเกิดเราป่วยขึ้นมาไอ้เงินที่เรา
00:10:20 → 00:10:22 รู้สึกกังวลอยู่แล้วเนี่ยก็ต้องเอาเงินไป
00:10:22 → 00:10:25 ใช้เพื่อสุขภาพจะทำยังไงก็จะคิดมากเรื
00:10:25 → 00:10:28 สุขภาพอีกแล้วถ้าฉันหยุดงานไปพ่อแม่ฉันจะ
00:10:28 → 00:10:30 มีงานจะมีข้าวกินมั้ยจะมีเงินใช้มั้ยบาง
00:10:31 → 00:10:33 ทีมันก็ลากกอีกอย่างเงี้ยครับแต่เท่าที่
00:10:33 → 00:10:36 ฟังถ้าจะมันเป็นแนวนี้เนี่ยความคิดมากมัน
00:10:36 → 00:10:40 ก็มีประโยชน์ในแง่ที่ทำให้เราแบบระวัง
00:10:40 → 00:10:44 แล้วก็ได้มีความละละเอียดรอบคอบมากยิ่ง
00:10:44 → 00:10:46 ขึ้นด้วยนะใช่ใช่ครับเพราะงั้นการการคิด
00:10:46 → 00:10:49 มากการคิดละเอียดเนี่ยมีข้อดีตรงที่ว่า
00:10:49 → 00:10:51 มันจะช่วยให้เราป้องกันไม่ให้ปัญหาที่แบบ
00:10:51 → 00:10:53 มันอาจจะเกิดขึ้นเนี่ยให้มันไม่ต้องเกิด
00:10:53 → 00:10:56 อืหรือเกิดขึ้นน้อยๆเพราะเราวางแผนเตรียม
00:10:56 → 00:10:59 รับมือมาบ้างแล้วค่ะอย่างเช่นแบบว่าบางคน
00:10:59 → 00:11:01 อาจจะแบบเก็บเงินไว้อาจจะมีความกังวลจุด
00:11:01 → 00:11:05 นึงอ้าโดน L Off มันมันจะมีคนที่แบบโดน
00:11:05 → 00:11:07 Lay Off แล้วมีเงินเก็บกับ Lay Off
00:11:07 → 00:11:11 แบบไม่มีเงินเออเราเราเคยได้ยินอยู่ช่วง
00:11:11 → 00:11:12 นึงเนาะหรือบางทียุคนี้อาจจะได้ยินว่าแบบ
00:11:12 → 00:11:15 โอ้โห L Off เสร็จปั๊บไม่มีเงินเงินเก็บ
00:11:15 → 00:11:17 ก็ไม่มีเพราะว่าก่อนหน้านี้ใช้ประมาทไป
00:11:17 → 00:11:19 หน่อยค่ะอย่างเงี้ยฮะเพราะฉะนั้นคนที่โดน
00:11:19 → 00:11:21 เลยอแบบมีเงินก็คือจะได้รับผลกระทบน้อย
00:11:21 → 00:11:24 กว่าคนที่แบบไม่เตรียมการเลยเพราะฉะนั้น
00:11:24 → 00:11:26 เรื่องการคิดละเอียดคิดมากเนี่ยบางครั้ง
00:11:26 → 00:11:28 เป็นเรื่องดีแต่ถ้ามันมากเกินไปมันก็
00:11:28 → 00:11:30 สร้างคความหวาดกลัวหวาดหวันให้ชีวิตมันก็
00:11:30 → 00:11:32 ทำให้สุขภาพจิตไม่ค่อยดีมันก็จะกลายเป็น
00:11:33 → 00:11:34 คนไม่ค่อยมีความสุขอ่ะครับคือฟังแบบนี้
00:11:35 → 00:11:37 แล้วก็รู้สึกว่าเออการคิดมากมันก็ดีนะแต่
00:11:37 → 00:11:40 ว่ามันต้องเลเวลขนาดไหนระดับขนาดไหนถึง
00:11:40 → 00:11:43 รู้สึกว่าเอ้ยมันมากเกินไปละมันมันที่
00:11:43 → 00:11:45 อยู่ที่ตัวเราหรือว่าอยู่คนที่ที่คนรอบ
00:11:45 → 00:11:50 ข้างใกล้ๆตัวเราเรู้สึกว่าเฮ้ยเยอะไปแล้ว
00:11:50 → 00:11:52 นะไม่ไหวแล้วนะหรืออะไเงี้ยมันอยู่ที่ตัว
00:11:52 → 00:11:54 เราหรืออยู่ที่ใครทีนี้ทีนี้มากไปน้อยไป
00:11:54 → 00:11:57 ขึ้นกับคำว่าผลกระทบถ้าถ้าคิดระดับที่ผล
00:11:57 → 00:11:59 กระทบไม่มีปัญหามากเช่นแบบเออเออเครียด
00:11:59 → 00:12:01 บ้างแหละแต่ไม่ถึงขนาดนอนไม่หลับไม่ถึง
00:12:01 → 00:12:03 ขนาดแบบต้องอาเจียนออกมาเพราะความเครียด
00:12:03 → 00:12:06 โอบางคนบางคนคิดมากระดับอาเจียนออกมาเลย
00:12:06 → 00:12:08 ก็มีนะครับถ้ามันเยอะเกินไปแสดงว่ามัน
00:12:08 → 00:12:10 กระทบสุขภาพจิตจริงๆอถูกมั้ยฮะทีนี้ถ้า
00:12:11 → 00:12:13 เขาคคิดมากแต่รู้สึกว่าเฮ้ยเค้ายังนอน
00:12:13 → 00:12:16 หลับได้กินข้าวได้แต่เขายังคงมีความห่วง
00:12:16 → 00:12:18 เรื่องนี้อยู่ในความคิดเสมอแต่ไม่ได้ก่อ
00:12:18 → 00:12:21 กวนชีวิตมากอาจจะอยู่ในระดับที่จัดการได้
00:12:21 → 00:12:23 ควบคุมได้ค่ะเพราะงั้นอันเนี้ยผลกระทบใน
00:12:23 → 00:12:25 เชิงตัวเองอาจจะยังไม่ใช่ปัญหากับอีกด้าน
00:12:26 → 00:12:28 นึงนะครับผลกระทบที่พลาดพิงไปสู่คนอื่นที
00:12:29 → 00:12:31 นี้เนี่ยขึ้นกับว่าคนอื่นที่เรากำลังต้อง
00:12:31 → 00:12:34 ติดต่อด้วยเนี่ยเป็นคนที่มีการคิดมากกับ
00:12:34 → 00:12:36 เราอยู่บ้างหรือเปล่านั่นหมายความว่าคนๆ
00:12:37 → 00:12:38 นั้นน่ะจะเห็นว่าสิ่งที่เรากำลังคิดน่ะ
00:12:38 → 00:12:42 สำคัญเหมือนกันเค้าก็จะอ่ะไหลค้ตามเขาคก็
00:12:42 → 00:12:44 จะไม่ได้ห้ามเราแต่เขาก็จะแบบเเรียกว่า
00:12:44 → 00:12:47 รับได้อยู่กับเราได้เข้าใจเราอืแต่อาจจะ
00:12:47 → 00:12:49 มีอะไรที่มันปรามๆเบรกๆกันบ้างแต่ไม่ไม่
00:12:50 → 00:12:52 ไม่แย้งกับเราแต่ถ้าเกิดเราอยู่กับคนที่
00:12:52 → 00:12:55 แบบเป็นคนอาจจะคนสับเฒ่ากว่าชีวิตอาจจะ
00:12:55 → 00:12:58 เป็นคนไม่คิดอะไรเลยช่างมันก็เดี๋ยวให้
00:12:58 → 00:13:01 ให้ชชะตาเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้อืบางที
00:13:01 → 00:13:03 ตรงเนี้จะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นเพราะ
00:13:03 → 00:13:05 เพราะฝั่งนึงก็คืออยากให้อีกคนนึงคิดแต่
00:13:05 → 00:13:07 อีกคนนึงก็บอกว่าอย่าไปคิดสิมันแบบมันน่า
00:13:07 → 00:13:09 อึดอัดมันก็กลายเป็นว่าก็เกิดการปะทะแล้ว
00:13:09 → 00:13:11 มันก็อยู่ด้วยกันไม่ไหวอือฮึเอาแบบที่
00:13:11 → 00:13:14 ง่ายๆที่เคยเจอเนี่ยเอ่อในเลเวลที่เอ่อ
00:13:14 → 00:13:17 เราอาจจะเป็นคนคิดมากในระดับนึงแต่เราไป
00:13:17 → 00:13:19 เจอคนที่คิดมากกว่าเราไปอีกสเต็ปนึงแล้ว
00:13:20 → 00:13:22 เราก็จะรู้สึกว่าหูมันต้องคิดขนาดนี้เลย
00:13:22 → 00:13:25 หรออมันมันมันเหมือนกับว่าโอเคเขาอาจจะ
00:13:25 → 00:13:29 ต้องการเตรียมที่จะปิดช่องโหวอุดรูรั่ว
00:13:29 → 00:13:32 หรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะว่า
00:13:32 → 00:13:35 ในงานบางอย่างในความรับผิดชอบเนี่ยความ
00:13:35 → 00:13:38 ผิดพลาดเนี่ยมันไม่ควรเกิดอหรือถ้าเกิด
00:13:38 → 00:13:43 ต้องน้อยน้อยจริงๆเออฮึก็เลยทำให้เขากลาย
00:13:43 → 00:13:47 เป็นแบบอมากเกินไปอ่าเข้าใจครับทีนี้มัน
00:13:47 → 00:13:49 ขึ้นอยู่กับความการให้ความสำคัญและความ
00:13:49 → 00:13:52 ใส่ใจผมเคยเจอคุณหมอเนาะมาปรึกษาเ้าเป็น
00:13:52 → 00:13:55 คุณหมอศัลยกรรมเบอกเมีความเครียดกับ
00:13:55 → 00:13:56 เรื่องงานมากเลยเพราะว่าทุกๆครั้งที่ผ่า
00:13:57 → 00:13:59 ตัดมันเป็นเรื่องของชีวิตคนน่ะอาฮะแล้ว
00:13:59 → 00:14:02 แล้วมันมีทั้งการเซ็นเอกสารมีเรื่องกฎ
00:14:02 → 00:14:04 หมายมีเรื่องสิ่งที่เขาในฐานะคนผ่าตัด
00:14:04 → 00:14:07 ต้องรับผิดชอบเรู้สึกว่าเขาจะเราแบบต้อง
00:14:07 → 00:14:09 ระวังมากๆอ่ะเขาจะพลาดไม่ได้เพราะการพลาด
00:14:09 → 00:14:12 แต่ละอย่างอาจจะหมายถึงคนไข้เสียชีวิตค่ะ
00:14:12 → 00:14:15 เขาอาจจะซวยเองทำให้ทีมคณะแพทย์ที่ผ่า
00:14:15 → 00:14:17 ด้วยกันวันนั้นชวยหรืออาจจะถูกฟ้องร้อง
00:14:17 → 00:14:19 ทางกฎหมายอืเพราะงั้นเิดความเครียดเาเห็น
00:14:19 → 00:14:21 ว่าเรื่องเนี้ยมันมีผลกระทบรุนแรงถ้าไม่
00:14:21 → 00:14:24 รอบคอบค่ะเพราะงั้นมันจะไม่แปลกเลยที่เขา
00:14:24 → 00:14:26 จะแบบพยายามรัดกุมทุกๆอย่างในการทำงานผ่า
00:14:26 → 00:14:28 ตัดตรงนั้นแต่แน่นอนเก็ต้องบอกว่าคุณหมอ
00:14:28 → 00:14:30 แต่ละท่านก็จะให้น้ำหนักกับตรงเนี้ยไม่
00:14:30 → 00:14:33 เท่ากันคนบางคนรู้แหละมันซีเรียสแต่จะมี
00:14:33 → 00:14:35 ความเชื่อมั่นว่าแบบไม่มีอะไรหรอกอะไ
00:14:35 → 00:14:37 อย่างเงี้ยไม่มีอะไรหรอกอ่ะผ่าไปหรือบาง
00:14:38 → 00:14:39 คนอาจจะแบบถ้าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดช่าง
00:14:39 → 00:14:42 มันตายก็ตายสมมุตินะเพราะว่าเรื่องนี้
00:14:42 → 00:14:44 ต้องบอกว่าคุณหมอแต่ละท่านจะมีการวางใจ
00:14:44 → 00:14:47 ไม่เหมือนกันการการผ่าตัดจะมีทั้งเคสที่
00:14:47 → 00:14:49 ช่วยได้และช่วยไม่ได้ทีนี้ขึ้นกับว่าคุณ
00:14:49 → 00:14:52 หมอเขามีความเข้าใจชีวิตระดับไหนด้วยเข้า
00:14:52 → 00:14:55 ใจเงื่อนไขในการรักษาคนระดับไหนกับอีก
00:14:55 → 00:14:57 ส่วนนึงคือเขามีความใส่ใจในคุณค่าของ
00:14:57 → 00:14:59 ชีวิตแค่ไหนด้วยอืก็ต้องบอกว่าคุณหมอแต่
00:14:59 → 00:15:01 ละท่านเนี่ยผมผมค่อนข้างเชื่อว่าแต่ละคน
00:15:02 → 00:15:04 จะมีระดับการให้คุณค่าต่อชีวิตได้ไม่เท่า
00:15:04 → 00:15:06 กันทั้งหมดค่ะจะมีคนที่ให้คุณค่าสูงมาก
00:15:06 → 00:15:09 กับคนที่ให้คุณค่าน้อยๆก็แล้วแต่แล้วแต่
00:15:09 → 00:15:11 คนเพรางั้นระดับความกังวลความคิดมากก็จะ
00:15:11 → 00:15:13 ไม่เท่ากันอก็คงจะเหมือนกับเราอ่ะเนาะว่า
00:15:14 → 00:15:17 ในแต่ละเรื่องที่เราทำอยู่เนี่ยมันมีความ
00:15:17 → 00:15:20 สำคัญมากน้อยแค่ไหนหรือโอกาสที่จะต้องผิด
00:15:20 → 00:15:22 พลาดเนี่ยมันได้แค่ไหนใช่เรามองว่ามัน
00:15:22 → 00:15:24 สำคัญแค่ไหนสุดท้ายตัวเราเป็นคนตีตีความ
00:15:24 → 00:15:27 ได้ตัดสินนะว่าเรื่องเยซีเรียสหรือเปล่าอ
00:15:27 → 00:15:30 อืออันนี้ในโหมดของคนที่ที่คิดมากแต่กับ
00:15:30 → 00:15:33 คนอีกคนนนึงที่ไม่คิดอะไรเลยใชอือๆคนที่
00:15:33 → 00:15:34 ไม่คิดอะไรเลยก็จะมีข้อดีคือเขาก็จะเป็น
00:15:35 → 00:15:38 คนเย็นๆชิวๆแต่แต่ดาบ 2 คมเนาะอีกด้านนึง
00:15:38 → 00:15:41 คือเมื่อเขาไม่คิดไม่ตะเตรียมไม่วางแผน
00:15:41 → 00:15:43 มันอาจจะมีผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นกับ
00:15:43 → 00:15:45 เขาโดยตรงเช่นอย่างที่บอกนะว่าถ้าเราไม่
00:15:45 → 00:15:48 วางแผนการเงินไม่วางแผนสุขภาพมันกลายเป็น
00:15:48 → 00:15:50 ว่าจุดนึงเมื่อเกิดเหตุขึ้นที่สุขภาพเรา
00:15:50 → 00:15:53 ไม่ดีและเงินไม่มีอใชอ่าเป็นไงครับก็คือ
00:15:53 → 00:15:55 โอ้โหค่อนข้างเละเลยทีนี้แต่ละคนก็จะมี
00:15:55 → 00:15:57 วิธีการรับมือช่วงนั้นได้เหมือนกันเช่น
00:15:57 → 00:16:01 บางคนอาจจะแบบชิยังชิลอยู่คือไม่เป็นไร
00:16:01 → 00:16:03 ชีวิตก็เท่านี้แหละจะตายก็ตายเงินไม่มี
00:16:03 → 00:16:06 กินก็ไม่เป็นไรก็ขอเข้าวัดอ่ะสมมุตินะถ้า
00:16:06 → 00:16:09 เขาบอกว่าเขาสามารถลดเกรดชีวิตลงได้โดย
00:16:09 → 00:16:11 ที่เขาไม่มีปัญหาอะไรอ่ะเขาอาจจะเป็นคน
00:16:11 → 00:16:13 ที่สามารถเย็นแล้วไม่คิดอะไรมากต่อไปได้
00:16:13 → 00:16:16 ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุขได้ค่ะแต่บางคนที่
00:16:16 → 00:16:19 ไม่ได้เย็นจริงแต่เป็นาคนที่ประมาทถึงจุด
00:16:19 → 00:16:22 นั้นเาก็จะร้อนลนนะครับอืกังวลกลัวเฮ้ย
00:16:22 → 00:16:24 ฉันจะอยู่ยังไงต้องไปขอยืมเงินลำบากคน
00:16:24 → 00:16:26 อื่นอีกสุดท้ายสิ่งที่เขาเป็นเนี่ยมัน
00:16:26 → 00:16:28 สร้างผลกระทบให้ตัวเขาเองและคนอื่นด้วย
00:16:28 → 00:16:31 ค่ะเพราะงั้นการไม่คิดเลยก็ไม่ใช่เรื่อง
00:16:31 → 00:16:33 ดีเหมือนกันแต่พอคิดเยอะไปก็ไม่ดีเช่นกัน
00:16:33 → 00:16:35 เพราะฉะนั้นมันเลยต้องมีเรื่องที่มันพอดี
00:16:35 → 00:16:38 พอดีเนาะเอ่อเราไม่ประมาทในสิ่งที่ควร
00:16:38 → 00:16:40 ระวังในขณะเดียวกันเราก็ไม่ยึดติดกบาง
00:16:41 → 00:16:43 สิ่งมากไปจนชีวิตหาความสุขไม่ได้ค่ะเพราะ
00:16:43 → 00:16:45 งั้นเรื่องเรื่องพวกเนี้ยคมันเลยไม่ได้มี
00:16:45 → 00:16:48 ผิดไม่มีถูกสุดท้ายมันจบที่ว่าเราได้ค้น
00:16:48 → 00:16:51 พบวิธีการมีความสุขสงบได้จริงๆหรือเปล่า
00:16:51 → 00:16:54 โดยที่สุขสงบในปัจจุบันด้วยพร้อมไปกับการ
00:16:54 → 00:16:57 วางแผนเพื่อที่จะเ่อเรียกว่าประคับประคอง
00:16:57 → 00:16:59 ให้ความสุขสงบนี้เกิดขึ้นเลยะยาวด้วยอ
00:16:59 → 00:17:02 เพราะบางทีสกสงบอาจจะแบบรู้สึกว่าเฮ้ยแค่
00:17:02 → 00:17:04 วันนี้ประมาณนี้พอสงบวันนี้แต่พอประมาท
00:17:05 → 00:17:07 บางอย่างปั๊บเดี๋ยววันหน้าจะไม่สงบะเออ
00:17:07 → 00:17:08 เพราะงั้นเรื่องเนี้ยครับมันเลยต้องวาง
00:17:08 → 00:17:11 แผนควบคู่กันที่ว่าวันนี้มีความสงบประมาณ
00:17:11 → 00:17:14 นึงอ่าแล้วเราก็สามารถหล่อเลี้ยงความสงบ
00:17:14 → 00:17:16 เนี้ยในระยะยาวไปได้ด้วยอืออ่าอย่างเงี้ย
00:17:16 → 00:17:19 มันจะยั่งยืนกว่าครับมันก็มีประโยคบาง
00:17:19 → 00:17:21 ประโยคเหมือนกันนะคะคุณเอิ้นว่าเอ่อไม่
00:17:21 → 00:17:24 รู้คุณผู้ฟังเคยเจอประโยคแบบนี้มยทำไมแค่
00:17:24 → 00:17:27 นี้คิดไม่ไม่ได้หรออันนี้แสดงว่าเป็นราย
00:17:27 → 00:17:29 ละเอียดเรื่องงานะไม่คิดอะไรเลยเหรออะไร
00:17:29 → 00:17:32 บางอย่างแล้วเออเออมันต้องเจอหรือหรือแม้
00:17:32 → 00:17:36 กระทั่งแบบความสัมพันธ์ที่เป็นเอ่อ
00:17:36 → 00:17:39 ครอบครัวพ่อแม่ลูกนะคะบางทีลูกอาจจะไม่
00:17:39 → 00:17:42 ได้คิดอะไรเลยอเจนใหม่เไม่ค่อยคิดเยอะเออ
00:17:42 → 00:17:45 หรือว่าแบบเป็นคู่รักแฟนกันแบบทำไมเธอไม่
00:17:45 → 00:17:47 คิดอะไรเลยหรออ่ะผู้หญิงจะละเอียดกว่าผู้
00:17:47 → 00:17:50 ชายอ่ะโดยโดยธรรมชาติอยู่แล้วอ่ะนะออือๆ
00:17:50 → 00:17:52 มันจะมีประโยชนแบบเนี้ยอันนี้คือคนที่แบบ
00:17:53 → 00:17:57 เค้าก็เค้าอาจจะบอกว่าก็ก็คิดนะแต่แต่แต่
00:17:57 → 00:18:00 ไม่ใช่ไม่คิดแต่นึกไม่ถึงว่าจะขนาดนี้มัน
00:18:00 → 00:18:03 ต้องคิดขนาดไหนอ่ะอือๆเอออะไรประมาณเนี้ย
00:18:03 → 00:18:04 ครับบางทีเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของการ
00:18:04 → 00:18:06 ที่ค่อยๆเรียนรู้กันแล้วะกันน่ะอือย่าง
00:18:06 → 00:18:08 เช่นอสมมุติยกเรื่องยกเรื่องผู้หญิงก่อน
00:18:08 → 00:18:11 ก็ได้ผู้หญิงผู้ชายคบหากันผู้หญิงก็อาจจะ
00:18:11 → 00:18:14 แบบเรื่องแค่นี้ทำไมคุณคิดไม่ได้วะคุณไม่
00:18:14 → 00:18:17 รู้เหรอผู้หญิงต้องการอะไรเออฉันไปยืน
00:18:17 → 00:18:19 จ้องอยู่ตั้งนานแล้วเธอยังไม่รู้ว่าฉัน
00:18:19 → 00:18:21 ต้องการสิ่งนี้ใช่มั้ยใช่ๆครับบางทีมัน
00:18:21 → 00:18:23 เป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศจริงๆอ
00:18:23 → 00:18:26 บางทีผู้ชายผู้ชายจะคิดในมุมผู้ชายแล้วก็
00:18:26 → 00:18:29 จะเข้าใจผู้อื่นผ่านมุมมองของผู้ชายอ่า
00:18:29 → 00:18:31 เออเขาคก็เลยคิดว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือน
00:18:31 → 00:18:33 เรามั้งเรื่องนี้ไม่มีอะไรหรอกเรื่องนี้
00:18:33 → 00:18:35 ไม่คิดอะไรหรอกอย่างเงี้ยฮะมันก็เลยไม่
00:18:35 → 00:18:38 รู้จริงๆครับคือใช้คำว่าหัวกลวงเลยไม่รู้
00:18:38 → 00:18:41 จริงๆไม่รู้จริงๆส่วนผู้หญิงก็จะแบบทำไม
00:18:41 → 00:18:44 แกมันทึ่มขนาดนี้ทำไมเรื่องนี้แกไม่รู้
00:18:44 → 00:18:46 อย่าเงี้ยฮะแต่เนี่ยก็ต้องบอกว่ามันเป็น
00:18:46 → 00:18:50 เหมือนเรียกอะไรอ่ะสิ่งที่เป็นปกติในมุม
00:18:50 → 00:18:52 ผู้ชายคิดกับสิ่งที่เป็นปกติในมุมผู้หญิง
00:18:52 → 00:18:55 คิดอืผู้หญิงก็จะคิดว่าเรื่องเควรใส่ใจ
00:18:55 → 00:18:57 เรื่องนี้มีรายละเอียดเรื่องนี้ควรให้
00:18:57 → 00:18:59 ความสำคัญมันก็จะเจอประจกกลับมาว่าเฮ้ย
00:18:59 → 00:19:02 คิดมากไปอ่าทีนี้มันเลยขึ้นอยู่กับว่าคน
00:19:02 → 00:19:04 ที่พูดว่าคิดมากไปเนี่ยเอ่อเป็นคนที่ไม่
00:19:04 → 00:19:08 ใส่ใจหรือละเลยบางเรื่องหรือเปล่าหรือตัว
00:19:08 → 00:19:11 เขาคก็มองว่าอ๋อจริงๆแล้วสำหรับคนอื่นน่ะ
00:19:11 → 00:19:13 คนอื่นให้ความสำคัญกับบางสิ่งที่สำคัญ
00:19:13 → 00:19:15 จริงๆและเาควรจะเรียนรู้เพราะงั้นเรื่อง
00:19:15 → 00:19:17 พวกเยครับมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้
00:19:17 → 00:19:20 ระหว่างกันอือ่าสมมุติถ้าเรารู้สึกว่าคนๆ
00:19:20 → 00:19:22 นี้คิดมากไปเราก็มีสิทธิ์จะวิจารณ์เค้า
00:19:22 → 00:19:25 อย่างนั้นว่าเค้าคิดมากไปเนาะทีนี้ต้องมา
00:19:25 → 00:19:27 ดูต่อว่าแล้วเรากับเค้ายังจำเป็นต้องอยู่
00:19:27 → 00:19:30 ด้วยกันมยถ้ายังจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันและ
00:19:30 → 00:19:32 เห็นว่าสำคัญจริงๆเราควรเลยรู้อ่ะครับใน
00:19:33 → 00:19:34 เรื่องความแตกต่างว่าอีกฝ่ายเขาให้ความ
00:19:34 → 00:19:38 สำคัญกับเรื่องอะไรค่ะและและเราจะคล้ายๆ
00:19:38 → 00:19:41 สนับสนุนหรือมีจุดที่แบบคล้อยตามเขาบ้าง
00:19:41 → 00:19:43 เพื่อให้เขารู้สึกว่ามันมีการจูนกันมีการ
00:19:43 → 00:19:46 เชื่อมกันได้ยังไงค่ะไอ้ตรงเจะทำให้ชีวิต
00:19:46 → 00:19:48 คู่ยั่งยืนแต่ถ้าเกิดสมมุติว่าคิดมากไป
00:19:48 → 00:19:51 ทุกอย่างถูกปฏิเสธหมดว่าไม่สำคัญอีกฝ่าย
00:19:51 → 00:19:54 ก็จะรู้สึกท้อแท้ว่าสิ่งที่เขาให้ค่ากลับ
00:19:54 → 00:19:56 ไม่ถูกให้ค่าเลยจากอีกคนนึงอืไอ้ตรงเนี้ย
00:19:56 → 00:19:58 ความสัมพันธ์ก็จะเริ่มมีปัญหาฟังแล้วมัน
00:19:58 → 00:20:01 ก็กลับไปตอนต้นที่คุณเอิ้นบอกว่ามันคือ
00:20:01 → 00:20:04 ความคาดหวังมันคือความคาดหวังเออใช่ครับ
00:20:04 → 00:20:07 จริงๆแล้วตัวผมเนี่ยพอพอทำงานจิตวิทยา
00:20:07 → 00:20:10 เนาะผมก็จะมองว่าทุกุกคนมีสิทธิ์จะเลือก
00:20:10 → 00:20:13 ว่าตัวเองจะให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรผม
00:20:13 → 00:20:15 ก็จะมีส่วนที่ผมให้ความสำคัญเรื่องนี้
00:20:15 → 00:20:17 เรื่องนี้พี่รีหรือคุณผู้ฟังก็จะมีจุดที่
00:20:17 → 00:20:20 ให้ความสำคัญคนละเรื่องกันอ่าฮะทีเยครับ
00:20:20 → 00:20:22 ในการอยู่ร่วมกันมันเป็นเรื่องของมิตรภาพ
00:20:22 → 00:20:25 บนบนความแตกต่างถ้าเรารู้สึกว่ามิตภาพนี้
00:20:25 → 00:20:28 ยังคงมีความหมายกับเราและเราคงยังคงอยาก
00:20:28 → 00:20:30 มีสัมพันธ์ที่ดีกับคนๆนี้อะไรเงี้ยฮะบาง
00:20:30 → 00:20:33 ทีการเรียนรู้ความแตกต่างว่าแต่ละคนให้
00:20:33 → 00:20:35 ความสำคัญกับอะไรเ้าซีเรียสเรื่องอะไรไอ้
00:20:35 → 00:20:37 ตรงเนี้ยเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มิตรภาพ
00:20:37 → 00:20:41 ยังคงอยู่แต่ขณะเดียวกันถ้าเรารู้สึกว่า
00:20:41 → 00:20:43 คนๆนี้เราไม่ได้อยากอยู่ด้วยะรู้สึก
00:20:43 → 00:20:45 เหนื่อยจังในการคุยอะไคนนี้มีรายละเอียด
00:20:45 → 00:20:47 เยอะไปอะไรอย่างเงี้ยฮะเรารู้สึกไม่ฟิต
00:20:47 → 00:20:49 กันก็ไม่ใช่เรื่องผิดและไม่ใช่เรื่องที่
00:20:49 → 00:20:51 จะเอาไปว่าให้คนนั้นเป็นคนไม่ดีด้วยแต่
00:20:51 → 00:20:53 แค่เป็นความแตกต่างที่เรารู้สึกว่ามัน
00:20:53 → 00:20:56 เหมือนกับมันไม่จูนกันน่ะเหมือนทีมฟุตบอล
00:20:56 → 00:20:58 น่ะอาจจะเก่งทั้งคู่แต่ไปอยู่อยู่ทีม
00:20:58 → 00:21:01 เดียวกันแล้วตีกันตายเงี้ยฮะเออนั่นแสดง
00:21:01 → 00:21:04 ว่ามันไม่ไม่แมชกันไม่เป็นทีมเวิร์คที่ดี
00:21:04 → 00:21:06 อืบางทีการแยกย้ายสามารถเกิดขึ้นได้เพื่อ
00:21:06 → 00:21:09 ให้แต่ละคนได้มีสิทธิ์ในการจะเป็นตัวเอง
00:21:09 → 00:21:11 คนที่ไม่ต้องคิดเยอะก็ไปอยู่ในพื้นที่ตัว
00:21:11 → 00:21:13 เองซะแล้วก็ไปหาชุมชนของตัวเองที่สบายใจ
00:21:13 → 00:21:16 ก็มีสิทธิ์นั้นคนที่คิดรายละเอียดคิดมาก
00:21:16 → 00:21:18 ก็อาจจะต้องหาเพื่อนที่คิดและเข้าใจในมุม
00:21:18 → 00:21:21 มองเดียวกันอเพื่อที่จะได้คลอยตามกันแล้ว
00:21:21 → 00:21:22 มันก็จะกลายเป็นว่าคน 2 ฝั่งนี้เมื่อเจอ
00:21:23 → 00:21:25 ชุมชนที่เหมาะกับตัวเองก็จะเป็นคนที่สบาย
00:21:25 → 00:21:29 ใจทั้งคู่ฮะนั่นหมายความว่าถ้าเกิดว่าว่า
00:21:29 → 00:21:32 เอ่อเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ต่างคนต่างถ้ามี
00:21:32 → 00:21:35 โอกาสที่จะไปอยู่ในจุดที่ตัวเองเหมาะสม
00:21:35 → 00:21:38 เนี่ยมันมันก็คงดีแต่บางคนเขาก็ไม่ได้จะ
00:21:38 → 00:21:41 มีโอกาสได้แบบเลือกได้หรือจะขยับขยายไป
00:21:41 → 00:21:44 ตรงไหนได้ถ้างั้นมันก็คือสิ่งที่คิดคือ
00:21:44 → 00:21:47 การยอมรับในความแตกต่างนั้นใช่ครับยอมรับ
00:21:48 → 00:21:50 ในความแตกต่างแต่แต่ต้องกำกับงี้นะครับ
00:21:50 → 00:21:52 ชีวิตมันมีหลายมิติอืต่อให้ยอมรับในความ
00:21:52 → 00:21:55 แตกต่างแล้วมันก็จะมีภารกิจชีวิตแต่ละ
00:21:55 → 00:21:59 อย่างที่มันแล้วแต่หน้างานหน้างานบางอัน
00:21:59 → 00:22:02 จำเป็นต้องอาศัยคนที่มีความคิดมากเพราะ
00:22:02 → 00:22:05 มันละเอียดมากอืแต่หน้างานบางอย่างให้คน
00:22:05 → 00:22:08 ที่แบบไม่ต้องคิดเยอะทำงานน่าจะดีค่ะเออ
00:22:08 → 00:22:10 เพราะบางอย่างต้องการความเร็วความ Flow
00:22:10 → 00:22:14 มดแต่คิดมดแต่คิดไม่ได้ทำอ่าฮะอะไรเงี้ย
00:22:14 → 00:22:16 ฮะเออเพราะงั้นเรื่องเนี้ยมันเลยต้องแยก
00:22:16 → 00:22:19 แยกไปตามตามบริบทของตัวสถานการณ์อ่าฮะ
00:22:19 → 00:22:22 สถานการณ์บางอย่างจำเป็นที่จะต้องคิดมาก
00:22:22 → 00:22:25 อืสถานการณ์บางอย่างอาจจะต้องคิดน้อยๆ
00:22:25 → 00:22:27 หน่อยแล้วก็ให้มัน Flow ให้มันไหลไปถ้า
00:22:27 → 00:22:30 งั้นเราจะหาจุดตรงกลางร่วมกันได้มั้ยจุด
00:22:30 → 00:22:32 ตรงกลางมันขึ้นอยู่กับว่า
00:22:32 → 00:22:36 เอ่อเราให้ความสำคัญในเรื่องเดียวกันอยู่
00:22:36 → 00:22:40 หรือเปล่าคนที่ให้คนที่เอ่ออาจจะสมมุติ
00:22:40 → 00:22:42 คิดเป็นคนคิดเยอะคิดละเอียดนะครับจริงๆ
00:22:42 → 00:22:43 แล้วการให้ความสำคัญเนี่ยมันจะมี 2
00:22:43 → 00:22:46 เรื่องอันนึงคือผลงานกับอีกอันนึงคือ
00:22:46 → 00:22:50 สุขภาพจิตมันจะมี 2 มิติเนี้ยควบคู่กันอื
00:22:50 → 00:22:52 คนที่คิดเยอะคิดมากอาจจะให้ความสำคัญ
00:22:52 → 00:22:55 เรื่องผลงานแต่จะไม่สนใจเรื่องสุขภาพจิต
00:22:55 → 00:22:58 อ่าาฮะอ่าแต่คนที่ชิลคนที่แบบเป็นคนคิด
00:22:58 → 00:23:00 ไม่เยอะอาจจะให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมาก
00:23:00 → 00:23:03 กว่าชิ้นงานอือทีเนี้ยพอมันมีเป้า 2
00:23:03 → 00:23:05 อย่างเนี้ยครับขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะ
00:23:05 → 00:23:08 เห็นเป้า 2 ชิ้นนี้พร้อมกันหรือเปล่าอื
00:23:08 → 00:23:11 หรือหรือในสายตาเเห็นชิ้นเดียวว่าเรื่อง
00:23:11 → 00:23:15 นี้เอาชิ้นงานฉันไม่สนสุขภาพจิตหรืออีกคน
00:23:15 → 00:23:18 นึงคิดว่าเอาสุขภาพจิตพออย่าไปสฝนชิ้นงาน
00:23:18 → 00:23:20 คือถ้าต่างคนต่างโฟกัสคนละที่อ่ะครับมัน
00:23:20 → 00:23:22 ไม่มีทางจูนกันได้เลยแต่ถ้าเกิดทั้ง 2 คน
00:23:22 → 00:23:25 เนี้ยเห็นว่าในในสิ่งที่เรากำลังทำเนี้ย
00:23:25 → 00:23:28 มี 2 สิ่งที่เราต้องคำนึงคู่กันเลยอย่าง
00:23:28 → 00:23:32 เงี้ยฮะมันจะทำให้คนที่คิดมากคิดเยอะอาจ
00:23:32 → 00:23:34 จะสนใจชิ้นงานอยู่แต่เมื่อเขาใส่ใจเรื่อง
00:23:34 → 00:23:37 สุขภาพจิตและมิตภาพเข้ามาด้วยเขาอาจจะยอม
00:23:37 → 00:23:39 ลดบางอย่างลงมาเพื่อให้ 2 อย่างเนี้ยเป้า
00:23:40 → 00:23:42 หมาย 2 อย่างเนี้ยยังคงได้ควบคู่กันคนที่
00:23:42 → 00:23:45 ไม่คิดอะไรเลยนะครับจากเดิมที่เขาสนใจ
00:23:45 → 00:23:47 สุขภาพจิตอย่างเดียวเาอาจจะเห็นว่าจริงๆ
00:23:47 → 00:23:50 ไอ้เรื่องชิ้นงานหรือผลงานที่ออกก็ควรจะ
00:23:50 → 00:23:52 สำคัญนะเขคก็จะยกตัวเองขึ้นมาให้ใส่ใจรา
00:23:53 → 00:23:55 ละเอียดและยอมรับเอ่อมิติบางอย่างที่อีก
00:23:55 → 00:23:58 คนนำเสนอมากขึ้นตรงเจะเป็นจุดที่สมดุลอ
00:23:58 → 00:24:01 มันก็อยู่ที่ว่าถ้ายังอยู่ในจุดเดียว
00:24:01 → 00:24:05 กันหหมาเกันเห็นสิ่งที่สำคัญเหมือนๆกันอ
00:24:05 → 00:24:08 มันก็จะเกิดการแคร์กันแล้วก็เอ่อเข้าใจ
00:24:08 → 00:24:11 ถึงความแตกต่างหรืออ๋อเยอมรับในความที่
00:24:11 → 00:24:14 อ๋อเเก็เป็นแบบนี้แหละอคิดมากเออมันก็ดี
00:24:14 → 00:24:17 ในบางมุมแต่ถ้าเกิดมากไปเราอาจจะบอกเฮ้ย
00:24:17 → 00:24:20 มากไปละหรือคนที่ไม่คิดอะไรเลยคนที่คิด
00:24:20 → 00:24:24 เยอะๆอาจจะบอกว่าคิดบ้างก็ได้เออใช่ครับ
00:24:24 → 00:24:26 มันไม่ใช่ว่าต้องดีดจากแบบไม่คิดไปคิดคิด
00:24:26 → 00:24:29 คิดๆหนักๆมันมันฝืนธรรมชาตมากส่วนคนที่
00:24:29 → 00:24:31 คิดิดๆจะบอกไม่คิดอะไรเลยมันก็ไม่ใช่เอีก
00:24:31 → 00:24:33 ฮะเพราะงั้นมันเลยเป็นเรื่องของการปรับ
00:24:33 → 00:24:35 จูนว่าลดระดับลงมายังไงให้บาานกับการใช้
00:24:35 → 00:24:38 ชีวิตให้ยังคงมีความสุขด้วยและใช้ชีวิต
00:24:38 → 00:24:41 ได้ดีด้วยอืเพราะท้ายที่สุดแล้วเอ่อมัน
00:24:41 → 00:24:44 สำคัญอยู่ตรงที่ว่ายังจะอยู่ด้วยกันมอ่า
00:24:44 → 00:24:46 เนาะในบางความสัมพันธ์น่ะมันต้องอยู่ด้วย
00:24:46 → 00:24:50 กันอยู่ด้วยกันไปไปตลอดไปอีกนานแสนนานแต่
00:24:50 → 00:24:52 บางความสัมพันธ์มันอาจจะไม่ได้อยู่ได้นาน
00:24:52 → 00:24:55 ออาจจะแบบขยับขยายแยกย้ายกันไปเติบโตอะไร
00:24:55 → 00:24:57 ก็ากันไปยใช่ครับถ้าแยกย้ายแล้วมีความสุข
00:24:57 → 00:24:59 ก็แยกย้าย้วมันไม่จำเป็นต้องแบบมานั่ง
00:24:59 → 00:25:01 เปลี่ยนกันและกันอะไรมากฮะคือถ้าเกิดได้
00:25:01 → 00:25:04 แยกย้ายก็คิดว่าน่าจะเป็นไปเติบโตแบบนั้น
00:25:04 → 00:25:06 นะน่าจะมีความสุขมากกว่านะคะอันนี้เป็น
00:25:06 → 00:25:10 แนวทางให้สำหรับในมุมมองของหลายๆคนที่อาจ
00:25:10 → 00:25:13 จะรู้สึกว่าเอ้ยฉันเป็นฉันเป็นคนคิดน้อย
00:25:13 → 00:25:15 ไปหรือเปล่าไปเจอคนคิดเยอะกว่าหรือบางคน
00:25:15 → 00:25:19 บอกว่าโอฉันเป็นคนที่คิดเยอะไปพอไปเจอคน
00:25:19 → 00:25:22 ที่ไม่ค่อยได้คิดเยอะเค้าก็อาจจะคิดแหละ
00:25:22 → 00:25:24 แต่คิดไม่เยอะเท่าเราหรืออะไรอย่าเงี้ยนะ
00:25:24 → 00:25:26 คะมันมีความแตกต่างกันอยู่แต่ว่าอเป้า
00:25:26 → 00:25:28 หมายเป็นแบบไหนอย่างที่คุณเอิ้นบอกนะนะคะ
00:25:28 → 00:25:31 อฝากไวค่ะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสวัสดีค่ะหมด
00:25:31 → 00:25:33 เวลาค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้ากับ
00:25:33 → 00:25:36 รายการโรงหมอทางไทย PBS podcast นะคะวัน
00:25:36 → 00:25:40 นี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is tha PBS
00:25:40 → 00:25:43 podcast อาการปวดคอเป็นอะไรได้บ้างที่
00:25:43 → 00:25:45 มากกว่าแค่การเป็นออฟิ Syndrome มีวิธี
00:25:45 → 00:25:48 การสังเกตอย่างไรดรนายแพทย์จตุพลคงถาวร
00:25:48 → 00:25:50 สกุลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อ
00:25:50 → 00:25:54 กระดูกและข้อมาเล่าให้ฟังครับคนทั่วไป
00:25:54 → 00:25:58 เนี่ยคิดว่าการปวดคอปวดคอโอ๊ยต้องไปนวด
00:25:58 → 00:26:00 ไอ้นวดเนี่ยมันเป็นการรักษาไอ้ดัดก็การ
00:26:00 → 00:26:04 รักษาไคโรแพคติกก็การรักษากินยาก็การ
00:26:04 → 00:26:07 รักษาดึงคอก็การรักษากายภาพก็การรักษาปวด
00:26:07 → 00:26:09 คอเนี่ยเป็นได้ 1 กล้ามเนื้ออักเสบที่
00:26:09 → 00:26:12 เป็นกันบ่อยๆ 2 หมอนรองกระดูกคอทับเส้น
00:26:12 → 00:26:16 ประสาท 3 ไขสันหลังอักเสบ 4 เส้นเอ็นตรง
00:26:16 → 00:26:19 รอบๆกระดูกอักเสบสิ่งพวกนี้เนี่ยนะมันทำ
00:26:19 → 00:26:22 ให้เราเนี่ยมีอาการปวดคอยได้ทั้งหมดอาการ
00:26:22 → 00:26:26 ปวดคอพวกเนี้ยถ้าเราเนี่ยนะไประบุว่ามัน
00:26:26 → 00:26:30 เป็น Office syndrome จบเลยถามว่าอิมคือ
00:26:30 → 00:26:31 อะไรอ่ะคือกล้ามเนื้ออักเสบป่ะหรือเป็น
00:26:31 → 00:26:33 หมอรองกระดูกคอรับเส้นไม่ใช่อยู่ดีมันก็
00:26:33 → 00:26:36 คือคำรวมๆว่าอ๋อน่าจะเป็นกลุ่มพวกเนี้ยอื
00:26:36 → 00:26:38 ผมว่ามันไม่มีมันมันไม่มีประโยชน์ที่เดิน
00:26:38 → 00:26:41 ไปหาหมอแล้วบอกหมอบอกอ๋อเป็นอินโดมแล้ว
00:26:41 → 00:26:43 กลับบ้านแต่คนไข้ก็ยอมรับเพราะอะไรคนไข้
00:26:43 → 00:26:45 รู้สึกว่าเหมือนหมอวินิจฉัยเลยไงว่าเป็น
00:26:45 → 00:26:47 อินโดมแต่จริงๆไม่ใช่ Office syr ไม่ใช่
00:26:47 → 00:26:49 วินิจฉัยเพราะฉะนั้นการที่คุณไปหาหมอหรือ
00:26:49 → 00:26:51 พบแพทย์เนี่ยนะสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ
00:26:52 → 00:26:55 ว่าคุณจะต้องได้อะไรที่เป็นวินิจฉัยกลับ
00:26:55 → 00:26:58 บ้านคุณต้องถามหมอเลยกล้ามเนื้ออักเสบหรึ
00:26:58 → 00:27:00 เ่ะไขสลังอักเสบหรือเปล่าหรือเป็นหมอนรอง
00:27:00 → 00:27:02 กระดูกคอทับเส้นหรือเป็นหมอนรองกระดูกคอ
00:27:02 → 00:27:06 เสื่อมเนี่ยฉันเป็นอะไรกันแน่สมมุติวัน
00:27:06 → 00:27:07 นี้เราบอกว่าเราอยู่ไกลมากหรือเราไม่อยาก
00:27:07 → 00:27:09 ไปโรงพยาบาลอะไมันเปลืองมันแพงเหลือเกิน
00:27:10 → 00:27:12 เราวินิจฉัยตัวเองก่อนก้ามเนื้ออักเสบ
00:27:12 → 00:27:14 เนี่ยอาการนะมีจุดกดเจ็บชัดเจนกดปุ๊บเจ็บ
00:27:14 → 00:27:17 แป๊บกดปุ๊บเจ็บปั๊บอันนั้นน่ะกล้ามเนื้อ
00:27:17 → 00:27:19 อักเสบคุณใช้เยอะไม่ว่าจะเป็นเฉียบพันธุ์
00:27:19 → 00:27:21 หรือเรื้อรังก็ตามยังไงกดมันต้องเจ็บหมอน
00:27:21 → 00:27:23 รอกระดูกคอทำเส้นประสาทอาการเป็นยังไงมัน
00:27:23 → 00:27:26 จะปวดร้าวลงกลางสะบักปวดร้าวลงแขนถ้าเป็น
00:27:26 → 00:27:28 แค่หมอนรองกระดูกคอเสื่อมเนี่ยกระดูกคอ
00:27:28 → 00:27:30 เสื่อมกระดูกคอมันอยู่ข้างในใช่มั้ยล่ะ
00:27:30 → 00:27:32 เราก็จะงงว่าเอ้ยทำไมอยู่ข้างในมันไม่
00:27:32 → 00:27:35 เจ็บตรงคอ่ะทำไมมันกดข้างในไม่ได้ก็มัน
00:27:35 → 00:27:37 อยู่ข้างในไปกดได้ยังไงกดไม่ถึงเส้น
00:27:37 → 00:27:40 ประสาทที่มันวิ่งออกมาเนี่ยแล้วมันเลี้ยง
00:27:40 → 00:27:42 หรือรับความรู้สึกตรงบริเวณกระดูกคอเนี่ย
00:27:42 → 00:27:44 มันอยู่ที่เดียวกับตรงสบักเพราะฉะนั้นพอ
00:27:44 → 00:27:47 เวลาคุณเจ็บตรงสบักแต่หาจุดกดเจ็บไม่ได้
00:27:47 → 00:27:49 เนี่ยให้คิดไว้เลยว่าอันนี้เป็นหมอนรอง
00:27:49 → 00:27:51 กระดูกคอเสื่อมคุณมีอาการอย่างงี้ปุ๊บ
00:27:51 → 00:27:53 เอ้ยแล้วจะคอนเฟิร์มยังไงวะเสื่อมก็เป็น
00:27:53 → 00:27:56 เซเรย์เห็นเลยมีแคลเซียมเกาะตรงบริเวณที่
00:27:56 → 00:27:58 หมอนหมอนลองกระดูกคออยู่ถ้ามีงั้นก็จบเลย
00:27:58 → 00:28:01 คุณเป็นหมอนรองกระดูกคอเสื่อมไปนวดแล้ว
00:28:01 → 00:28:03 มันจะหายได้ไงมันอยู่ข้างในนวดเนี่ยมันก็
00:28:03 → 00:28:05 จะเปลี่ยนความรู้สึกจากการป่วดข้างในให้
00:28:05 → 00:28:07 มันรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อยดีขึ้นแป๊บๆถ้า
00:28:07 → 00:28:10 เป็นหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทอันนี้
00:28:10 → 00:28:14 ง่ายอาการก็ชัดเลยอยู่ดีๆอยู่ดีๆเลยนะไม่
00:28:14 → 00:28:17 ได้ทำอะไรอาจจะไอจามอาจจะไปยุของหนักหรือ
00:28:17 → 00:28:20 อาจจะนอนผิดท่าหรืออาจจะนั่งทำงานนานๆเ
00:28:20 → 00:28:22 ถึงเรียกว่าอยู่ดีๆไงแต่จริงๆอ่ะมันอยู่
00:28:22 → 00:28:26 ในท่าที่มันไม่ดีอยู่ไม่ดีก็เลยปวดพอมัน
00:28:26 → 00:28:28 ปิ้นขึ้นมาปุ๊บเนี่ยจะปวดลงแขกเลยจะมีการ
00:28:28 → 00:28:30 ชานิ้วส่วนใหญ่่นิ้วที่สุดฮิตก็คือนิ้ว
00:28:30 → 00:28:33 ชี้ปลายนิ้วชี้ชาถ้าปลายนิ้วชี้ชาปุ๊บ
00:28:33 → 00:28:36 แล้วเกิดอาการปวดร้าวลงแขนก็รู้ได้เลยว่า
00:28:36 → 00:28:40 อันเนี้ยเป็นหมอนรองกระดูกคอทเส้น
00:28:41 → 00:28:45 ประสาท This Is Thai PBS
00:28:45 → 00:28:48 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:28:48 → 00:28:52 podcast ได้ทางเว็บไซต์ www.thai PBS
00:28:52 → 00:28:58 podcast docomo
00:28:58 → 00:29:02 ช่องทางอื่นๆ spotify YouTube Apple
00:29:02 → 00:29:05 podcast และ soundcloud
00:29:05 → 00:29:08 [เพลง]