00:00:16 → 00:00:24 สนับสนุนโดย 7-eleven แมป่วน
00:00:24 → 00:00:28 สนุกหมอพิศลนะครับเป็นประธานคณะทำงาน
00:00:28 → 00:00:31 สร้างความเข้มแข็งประชประชาชนด้านการใช้
00:00:31 → 00:00:36 ยาอย่างสมเหตุผลย่อๆว่าสยสนะครับทำไมเรา
00:00:36 → 00:00:39 ต้องให้ความสำคัญต่อการใช้ยาอย่างสมเหตุ
00:00:39 → 00:00:42 ผลองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการใช้
00:00:42 → 00:00:45 ยาอย่างสมเหตุผลมากนะครับตอบว่าทำไมเพราะ
00:00:45 → 00:00:48 องค์การอนามัยโลกเนี่ยได้บอกว่ามากกว่า
00:00:48 → 00:00:51 ครึ่งนึงของการใช้ยาเป็นไปอย่างไม่สมเหตุ
00:00:51 → 00:00:54 ผลคำว่าใช้ยาอย่างสมเหตุผลเนี่ยมาจากภาษา
00:00:54 → 00:00:57 อังกฤษว่า rational drug use rational
00:00:57 → 00:01:00 เนี่ยมันแปลว่าสมเหตุผลนะครับครับ drug
00:01:00 → 00:01:03 use ก็คือใช้ยาอย่างสมเหตุผลนั่นเองใน
00:01:03 → 00:01:06 ประเทศไทยในวงการแพทย์เนี่ยเราก็เรียกคำ
00:01:06 → 00:01:10 เนี้ยติดปากเลยว่า rdu นะครับก็อยากจะเอา
00:01:10 → 00:01:13 คำเนี้ยมาสู่ประชาชนด้วยว่า rdu เนี่ย
00:01:13 → 00:01:15 เป็นคำในชีวิตประจำวันกันไปเลยก็แล้วกัน
00:01:15 → 00:01:18 นะครับเนื่องจากว่าเวลาหมอพูดคว่าใช้ยา
00:01:18 → 00:01:21 อย่างสมเหตผลน่ะมันยาวไงอ่ะก็ขอเอาศัพท์
00:01:21 → 00:01:23 ฝรั่งมาใช้ซะหน่อยนะ rdu หรือยังเนี่ยใช้
00:01:23 → 00:01:26 ยานี่ rdu หรือยังสมเหตุผลหรือยังประมาณ
00:01:26 → 00:01:28 อย่างเงี้ยนะครับพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสม
00:01:28 → 00:01:30 เหตุผลก็คือว่าใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น
00:01:30 → 00:01:33 นะครับใช้ยาที่เรารู้อย่างแน่ชัดว่าเป็น
00:01:33 → 00:01:37 ประโยชน์กับเราเพื่อไม่ไปแสวงหาพวกอาหาร
00:01:37 → 00:01:40 เสริมสมุนไพรจิปาถะซึ่งไม่ได้มีหลักฐาน
00:01:40 → 00:01:43 ทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่ามันเป็น
00:01:43 → 00:01:46 ประโยชน์จริงต่อตัวเรานะครับแล้วก็ใช้ยา
00:01:46 → 00:01:49 ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยจากการใช้ยาเสมอ
00:01:49 → 00:01:53 โดยการรู้รู้อยู่แก่ใจว่ายาแทบทุกชนิดที่
00:01:53 → 00:01:57 เราใช้อยู่เรียกว่ายาอันตรายมันก็อันตราย
00:01:57 → 00:02:00 จริงๆดังนั้นต้องใช้ด้วยความรอบรู้ตามสม
00:02:00 → 00:02:05 ควรนะครับแล้วก็ใช้ยาให้ถูกต้องตามฉลากยา
00:02:05 → 00:02:08 ได้แก่กินยาด้วยปริมาณยาเท่าใดกินก่อน
00:02:08 → 00:02:11 หรือหลังอาหารกินวันละกี่ครั้งกินยาไปนาน
00:02:11 → 00:02:14 เท่าใดยาบางชนิดต้องใช้ตลอดชีวิตยาบาง
00:02:14 → 00:02:18 ชนิดก็ใช้แล้วหยุดได้พวกเนี้ยก็อยู่ในคำ
00:02:19 → 00:02:22 ถามของเราที่เราใช้ได้เสมอเมื่อเราไปพบ
00:02:22 → 00:02:25 คุณหมอหรือไปที่ร้านขขยาเมื่อไปปรึกษากับ
00:02:25 → 00:02:29 เภสัชกรนะครับถ้าเรามีพฤติกรรม rdu ใน
00:02:29 → 00:02:31 ประชาชนทุกคนแล้วเนี่ยคนทุกคนก็จะมี
00:02:31 → 00:02:35 สุขภาพที่ดีขึ้นใช้ยาได้เกิดประโยชน์จริง
00:02:35 → 00:02:38 แล้วก็อันตรายที่เกิดขึ้นกับเราก็น้อยสุด
00:02:38 → 00:02:42 ท้ายเลยค่าใช้จ่ายจะต่ำลงด้วยครับที่บอก
00:02:42 → 00:02:45 ว่ากินยากันไว้ก่อนจะเป็นโรคกันได้จริง
00:02:45 → 00:02:49 หรือไม่การกินยากันไว้ก่อนเนี่ยนะครับใน
00:02:49 → 00:02:52 ทางการแพทย์จะมีน้อยกรณีมากเลยที่เราจะทำ
00:02:52 → 00:02:55 เช่นนั้นนะครับหรือเรียกว่าการใช้ยากัน
00:02:55 → 00:02:58 ไว้ก่อนเช่นยา
00:02:58 → 00:03:02 ปฏิชาครมีดในคนไข้ที่ท้องมาใช่ไหมครับ
00:03:02 → 00:03:04 แล้วเขาก็ทำสิ่งที่เรียกว่าซน section นะ
00:03:04 → 00:03:07 ครับเอาเอาผ่าตัดแล้วก็เอาเด็กออกมาอัน
00:03:07 → 00:03:09 นี้คุณหมอก็อาจจะฉีดยาปฏิชนะเพียง 1 เข็ม
00:03:09 → 00:03:12 เท่านั้นล่วงหน้าก่อนที่จะนำเด็กออกหมาย
00:03:12 → 00:03:15 ถึงก่อนที่จะกรีดมีดลงไปนั่นเองนะครับใน
00:03:15 → 00:03:17 ทางการแพทย์เนี่ยจะมีวิธีการที่ใช้ยา
00:03:17 → 00:03:20 เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียเนี่ย
00:03:20 → 00:03:22 ไม่กี่กรณีเท่านั้นที่จะใส่ไว้ในตำราว่า
00:03:22 → 00:03:25 กรณีนี้ควรใช้ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้เลยเพราะ
00:03:25 → 00:03:28 ว่าในชีวิตประจำวันเนี่ยการใช้ยาปฏิชนะนำ
00:03:28 → 00:03:30 ไปก่อนเนี่ยไม่เคยเกิดประโยชน์ใดๆเลยเอา
00:03:30 → 00:03:32 ยกตัวอย่างนะครับสมมุติว่าเราติดเชื้อ
00:03:32 → 00:03:36 ไวรัสของทางเดินหายใจนะครับแล้วเราก็คิด
00:03:36 → 00:03:39 เอาเองว่าเออมันอาจจะมีแบคทีเรียแทรกเข้า
00:03:39 → 00:03:42 มาก็ได้นะเราก็บอกว่ารู้ๆว่าเป็นไวรัสแต่
00:03:42 → 00:03:44 ขอกินยาปฏิชนะไว้ก่อนเพื่อกันการติด
00:03:44 → 00:03:47 แบคทีเรียแทรกซ้อนอันนี้ขอตอบว่าไม่เกิด
00:03:47 → 00:03:50 ประโยชน์ใดๆเลยนะครับไม่สามารถป้องกันการ
00:03:50 → 00:03:53 ติดแบคทีเรียแทรกซ้อนได้เลยดังนั้นอย่า
00:03:53 → 00:03:57 ใช้ประโยคนี้นะครับในการพยายามที่จะสั่ง
00:03:57 → 00:04:00 ยาปฏิชุณหรือพยายามที่จะจะกินยา
00:04:00 → 00:04:04 ปฏิชาครคชนแต่อย่างใดครับดังนั้นในเรื่อง
00:04:04 → 00:04:08 ของการที่กินยากันไว้ก่อนเนี่ยแทบทุกกรณี
00:04:08 → 00:04:10 เลยไม่เคยเกิดประโยชน์ใดๆถ้าจะเกิด
00:04:10 → 00:04:12 ประโยชน์แปลว่าคุณหมอเป็นผู้สั่งให้เราทำ
00:04:12 → 00:04:16 เท่านั้นนะครับอย่าทำเองเป็นอันขาดกินยา
00:04:16 → 00:04:19 เยอะๆจะช่วยให้ยิ่งหายเร็วจริงหรือไม่กิน
00:04:19 → 00:04:23 ยามันเยอะๆมันต้องได้ผลดีก็ถูกบ้างไม่ถูก
00:04:23 → 00:04:27 บ้างนะครับคือยาเนี่ยถ้าเราใช้ในปริมาณ
00:04:27 → 00:04:30 สูงฤทธิ์ของมันก็จะเพิ่มขึ้นแต่ลิติของ
00:04:30 → 00:04:34 มันเนี่ยจะไปจำกัดที่ค่าค่าหนึยกตัวอย่าง
00:04:34 → 00:04:37 เช่นนะครับพาราเซตามอลเนี่ยเมดนึง 500 มก
00:04:37 → 00:04:40 เราจะกินเกิน 2 เมตคือ 1,000 มกรไม่ได้
00:04:40 → 00:04:41 เลยนะ
00:04:41 → 00:04:44 ครับเรารู้อยู่แล้วว่าพาราเซตามอลเรากิน
00:04:44 → 00:04:48 ตามน้ำหนักตัวใช่มยคือ 10-15 มกรต่อน้ำ
00:04:48 → 00:04:52 หนักตัว 1 กกรถ้าเราหนัก 50 กเอา 10 ไป
00:04:52 → 00:04:55 คูณ 500 เอา 10 ไปคูณ 50 เนี่ยก็ได้ 500
00:04:55 → 00:04:58 ก็ 1 เมตถูกต้องเลยหรือเอา 15 ไปคูณได้
00:04:58 → 00:05:02 750 ก็แปลว่าเม็ดครึ่งดังนั้นใครที่หนัก
00:05:02 → 00:05:05 แถวๆ 50 กลแล้วกินพาราเซตามอล 2 เม็ด
00:05:05 → 00:05:08 เนี่ยกินเกินและถามว่าแล้วกินเกินแล้วมัน
00:05:08 → 00:05:11 เดือดร้อนตรงไหนคำตอบก็คือกินเกินไม่ได้
00:05:11 → 00:05:14 ช่วยให้ไข้ลดลงดีขึ้นและยังอาจจะเกิดพิษ
00:05:14 → 00:05:18 ต่อตับด้วยดังนั้นค่าสูงสุดของยาเนี่ยจะ
00:05:18 → 00:05:20 เป็นสิ่งที่หมอจะต้องจ้องมองอยู่เสมอว่า
00:05:20 → 00:05:22 ยาตัวนี้ต้องไม่เกินเท่านั้นเท่านี้นะดัง
00:05:22 → 00:05:25 นั้นประชาชนก็ต้องคิดตรงนี้ด้วยว่าเมื่อ
00:05:25 → 00:05:27 หมอสัั่งมาเท่านี้เท่านี้เนี่ยเราก็ควรจะ
00:05:27 → 00:05:30 ใช้ตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัดโดย
00:05:30 → 00:05:33 เฉพาะอย่างยิ่งยาบางชนิดเมื่อใช้มากขึ้น
00:05:33 → 00:05:37 มากขึ้นผลมันจะตามไปเรื่อยๆเช่นยาลดน้ำ
00:05:37 → 00:05:40 ตาลในเลือดเรากินเม็ดนึงมันก็ได้ผลที่ค่า
00:05:40 → 00:05:43 ขั้นนึงใช่มั้ยเราดันกินไปหลายๆเม็ดน่ะ
00:05:43 → 00:05:48 น้ำตาลก็ต่ำลงต่ำลงจนถึงจุดที่หมดสติได้
00:05:48 → 00:05:51 ยาลดความดันเลือดกิน 1 เม็ดลดมา 10 มลม
00:05:51 → 00:05:54 ปลอดอ้าเรากินหลายๆเม็ดมันโลดลงไปมากมาย
00:05:54 → 00:05:57 เนี่ยเราก็หน้ามืดเป็นลมหมดสติอีกดังนั้น
00:05:57 → 00:06:00 การใช้ยาจึงมีความสำคัญที่ว่าด้วยเรื่อง
00:06:00 → 00:06:05 ขนาดยาใช้น้อยไปไม่ออกฤทธิ์ใช้มากไปเป็น
00:06:05 → 00:06:09 พิษดังนั้นการตัดสินใจเรื่องขนาดยาพยายาม
00:06:09 → 00:06:13 ไม่ตัดสินใจเองนะครับพยายามไม่ตัดสินใจ
00:06:13 → 00:06:16 เองและปรึกษาคุณหมอคุณเพสก่อนเสมอหมาย
00:06:17 → 00:06:19 ความว่าเราอาจจะมีความคิดในใจของเราอ่ะ
00:06:19 → 00:06:22 ได้ว่ายานี้น้อยไปมากไปอ่ะได้แต่ควร
00:06:22 → 00:06:26 ปรึกษาก่อนที่จะตัดสินใจไปเองครับถ้าลืม
00:06:26 → 00:06:30 กินยาสามารถกินยารวบยอดได้หรือไม่แล้วถ้า
00:06:30 → 00:06:32 เราลืมกินนยาเรามากินรวบยอดได้ไหมก็จะ
00:06:32 → 00:06:36 กลับไปถึงเรื่องของขนาดยาถูกไหมมครับก็
00:06:36 → 00:06:39 ต้องดูอย่างนี้ครับสมมุติว่าเรากินยาลด
00:06:39 → 00:06:41 ความดันเลือดใช่ไหมมครับแล้วหมอเขาบอกว่า
00:06:41 → 00:06:46 ให้กินวันละครั้งวันละ 1 เม็ดสมมุติว่า
00:06:46 → 00:06:50 เราก็เคยกินปกติก็ 7:00 นนะถ้าเรามานึก
00:06:50 → 00:06:52 ออกตอนสัก 10:00 นเนเนี่ยก็ไม่เป็นไรก็
00:06:52 → 00:06:57 กินไปเลยแต่สมมุติว่าเรามานึกออกอีกทีนึง
00:06:57 → 00:06:59 นะก็เรียกว่าตื่นนอนของอีกวันนึงนึงแล้ว
00:06:59 → 00:07:02 อ่ะมันจะต้องกินยาเม็ดที่ของอีกวันนึง
00:07:02 → 00:07:04 แล้วแล้วมันก็ชิดกันมากถ้าเรากินไปเลยตง
00:07:04 → 00:07:07 เนี้ยก็จะเท่ากับเรากินยา 2 เม็ดในวัน
00:07:07 → 00:07:11 นั้นความหมายก็คือว่าถ้าเราลืมแล้วระยะ
00:07:11 → 00:07:14 เวลาที่เราลืมเนี่ยไม่นานจนเกินไปเราก็
00:07:14 → 00:07:18 กินซ้ำกินไปเลยกินเม็ดที่เราลืมอ่ะกินได้
00:07:18 → 00:07:22 แต่ถ้าเรามานึกออกตอนที่มันคิดกับยาโดส
00:07:22 → 00:07:25 ถัดไปเนี่ยอันนี้ก็ไม่ควรทำเพราะมันจะ
00:07:25 → 00:07:27 เท่ากับในมื้อนั้นน่ะเรากินยาเป็นดับเบิล
00:07:28 → 00:07:31 ose ดับเบิลดสคือกิน 2 เท่านะครับยาบาง
00:07:31 → 00:07:34 อย่างถ้ากินไป 2 เท่าเนี่ยจะเกิดปัญหาได้
00:07:34 → 00:07:37 นะครับส่วนเรื่องของการกินยาที่ว่าก่อน
00:07:37 → 00:07:40 หรือหลังอาหารเนี่ยข้อความรู้เป็นเช่นนี้
00:07:40 → 00:07:44 นะครับคือยาบางชนิดถ้าหากเรากินขณะที่มี
00:07:44 → 00:07:47 อาหารอยู่ในกระเพาะของเรานะครับการดูดซึม
00:07:47 → 00:07:52 ยาจะลดลงดูดซึมลดลงหมายความว่าเรากินไป
00:07:52 → 00:07:53 100 มิลกรัม
00:07:53 → 00:07:57 ปกติเนี่ยมันก็จะดูดซึมไปใช้ได้จำนวนนึง
00:07:57 → 00:07:59 ไม่ใช่ทั้งร้อยนะครับสมมติสมมุติว่าดูด
00:07:59 → 00:08:04 ซึมไปใช้ได้สัก 70 ยาก็เข้าสู่ร่างกาย 70
00:08:04 → 00:08:08 แต่ถ้ามีอาหารอยู่ด้วยอาจจะเข้าแค่ 50 นะ
00:08:08 → 00:08:11 ครับก็เลยทำให้ผลของการออกฤทธิ์ของยานี้
00:08:11 → 00:08:15 ไม่ดีพอก็ควรที่จะกินตามที่หมอบอกนั่น
00:08:15 → 00:08:18 แหละคำว่าก่อนอาหารเนี่ยมีความหมายว่ากิน
00:08:18 → 00:08:21 ขณะท้องว่างนั่นเองครับเพื่อไม่ให้ยาไป
00:08:21 → 00:08:24 คลุกกับอาหารแล้วก็ทำให้การดูดซึมมันเสีย
00:08:24 → 00:08:27 ไปนะครับเมื่อเราเข้าใจแล้วว่าก่อนอาหาร
00:08:27 → 00:08:29 แปลลว่าท้องว่างเนี่ยเรากินหลังอาหารก็
00:08:29 → 00:08:33 ได้นะแต่ต้องหลัง 2 ชั่วโมงเพราะหลัง 2
00:08:33 → 00:08:35 ชั่วโมงเนี่ยอาหารมันผ่านไปหมดแล้วไงตอน
00:08:35 → 00:08:37 นั้นก็เรียกว่าเรากินขนาดท้องว่างอันนี้
00:08:37 → 00:08:40 ก็เลยเป็นข้อความรู้ที่ดีสำหรับประชาชนนะ
00:08:40 → 00:08:43 ครับเพราะว่ายาก่อนอาหารเนี่ยลืมบ่อยมาก
00:08:43 → 00:08:45 อันนี้อ้าแล้วยาที่เหมาะให้กินหลังอาหาร
00:08:45 → 00:08:48 น่ะทำไมมันต้องกินหลังอาหารด้วยคำตอบก็
00:08:48 → 00:08:51 คือว่าถ้าคุณกินยาเหล่าเนี้ยขณะท้องว่าง
00:08:51 → 00:08:55 เช่นแสปนยาเอเสเอเสนะครับเช่นพอนสแตนเวลา
00:08:55 → 00:08:59 ผู้หญิงเขาปวดประจำเดือนนะครับไอบูเฟนไดฟ
00:08:59 → 00:09:02 ฟีกพวกเนี้ยเป็นเอ็นเสดเนี่ยมันรบกวน
00:09:02 → 00:09:05 กระเพาะถ้าเรากินตอนท้องว่างเนี่ยเราก็จะ
00:09:05 → 00:09:10 คลื่นไส้นะครับอาเจียนปวดท้องแสบท้อง
00:09:10 → 00:09:13 อย่างนี้เป็นต้นดังนั้นเวลาเขาเขียนเนี่ย
00:09:13 → 00:09:15 เขาจะเขียนอย่างนี้ด้วยนะกินหลังอาหารทัน
00:09:15 → 00:09:18 ทีก็เพื่อว่าให้มันมีอาหารเยอะๆอยู่ใน
00:09:18 → 00:09:22 ท้องแล้วก็กินยาเข้าไปก็จะได้รวบกวนทาง
00:09:22 → 00:09:26 เดินอาหารน้อยลงอันนี้มันมียาอีกกลุ่มนึง
00:09:26 → 00:09:29 นะอาหารไม่รบกวนการดูดซึม
00:09:29 → 00:09:33 ยาไม่รบกวนกระเพาะก็แปลว่ากินตอนไหนก็ได้
00:09:33 → 00:09:35 อยากกินตอนไหนก็กินอย่างพาราเซตามอลเนี่ย
00:09:36 → 00:09:38 กินตอนไหนมันก็ดุดซึมเท่ากันกินไปแล้ว
00:09:38 → 00:09:40 เนี่ยมีอาหารไม่มีอาหารมันก็ไม่ได้ทำให้
00:09:40 → 00:09:43 เราแสบท้องปวดท้องแต่อย่างใดเลยดังนั้น
00:09:43 → 00:09:45 ปวดหัวตอน 3:00 นเนี่ยก็กินพาราตอน 3:00
00:09:45 → 00:09:47 นไม่ใช่ว่าต้องไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกิน
00:09:47 → 00:09:50 ยางั้นจะมียาอีกกลุ่มนึงกินตอนไหนก็ได้นะ
00:09:50 → 00:09:52 ครับเช่นยาลดความดันเลือดเนี่ยบางทีหมอ
00:09:52 → 00:09:56 เวลาสั่งก็จะเขียนว่ากินเวลาเช้ากินตอน
00:09:56 → 00:09:58 เช้าเพื่อว่าอ่ะบางคนเตั้งในกปลุกใช่มั้ย
00:09:58 → 00:10:01 อ่ะตื่นมา 7:00 นกิน 8:00 นกินคือไม่ต้อง
00:10:01 → 00:10:03 รอไปกินอาหารแล้วไงกินตอนไหนก็ได้อันนี้
00:10:03 → 00:10:06 เขาก็จะบอกไว้เป็นยา 3 กลุ่มนะครับกิน
00:10:06 → 00:10:08 ก่อนอาหารคือท่ว่างกินหลังอาหารคือมี
00:10:08 → 00:10:11 อาหารแล้วในกระเพาะแล้วก็กินเวลาใดก็ได้
00:10:11 → 00:10:14 นะครับเช่นยาปฏิชุณส่วนใหญ่ก็กินเวลาใดก็
00:10:14 → 00:10:17 ได้หมายความว่าตั้งเวลาเลยทุก 8 ช่วโมง
00:10:17 → 00:10:20 ทุก 6 ชั่วโมงก็กินไปตามนั้นแต่อันนี้ยา
00:10:20 → 00:10:24 เป็นชื่อๆไม่เหมือนกันนะก็ต้องไปดูฉลากยา
00:10:24 → 00:10:27 ดังนั้นจะสรุปตรงนี้ว่าขอให้ทุกคนอ่าน
00:10:27 → 00:10:30 ฉลากยาที่แปะมาที่ซองยาให้ละเอียดนะครับ
00:10:30 → 00:10:33 ดังนั้นซองยาเนี่ยมิใช่ว่าอ่านครั้งหนึ
00:10:33 → 00:10:35 แล้วก็ไม่ต้องอ่านอีกเลยทุกครั้งที่ได้มา
00:10:35 → 00:10:37 ก็อ่านอ่านทุกครั้งเลยครับเพราะว่ามันอาจ
00:10:37 → 00:10:40 จะมีคำสั่งที่เปลี่ยนแปลงไปที่ฉลากยาด้วย
00:10:40 → 00:10:46 นะ
00:10:46 → 00:10:50 ครับ TNN Health เราจะรวบรวมความรู้ทาง
00:10:50 → 00:10:53 ด้านสุขภาพจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
00:10:53 → 00:10:56 พร้อมก่อติดความเคลื่อนไหวจากทุกประเด็น
00:10:56 → 00:11:00 สุขภาพรอบโลกสะท้อนผ่านความคิดมุมมองของ
00:11:01 → 00:11:03 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ทางด้าน
00:11:03 → 00:11:07 ต่างๆ TNN Health เข้าถึงทุการะสุขภาพ
00:11:07 → 00:11:10 เสริมภูมิคุ้มกันรู้ทัน
00:11:10 → 00:11:27 [เพลง]
00:11:27 → 00:11:33 โรค
00:11:33 → 00:11:43 [เพลง]
00:11:43 → 00:11:46 T