00:00:00 → 00:00:04 สวัสดีค่ะหมอนุ่มนะคะกับคุยเรื่องสมองกับ
00:00:04 → 00:00:07 หมอนุ่มนะคะมาเริ่มกันใหม่นะคะเมื่อกี้
00:00:07 → 00:00:10 สัญญาณหลุดไปนะคะก็ไม่เป็นไรค่ะถือโอกาส
00:00:10 → 00:00:13 ได้ให้ทุกคนเนี่ยเข้ามาใหม่นะคะเดี๋ยวหมอ
00:00:13 → 00:00:15 พูดใหม่ตั้งแต่แรกเลยเพราะว่าเมื่อกี้
00:00:15 → 00:00:17 สัญญาณมันไม่ค่อยดีนะคะเนาะแล้วก็เมื่อ
00:00:17 → 00:00:20 กี้อาจจะมีบางท่านที่ยังเข้ามาไม่ทันด้วย
00:00:20 → 00:00:23 นะคะวันนี้เราจะมาคุยเรื่องอะไรกันนะคะ
00:00:23 → 00:00:26 เราจะมาคุยเรื่อง
00:00:26 → 00:00:30 แพนิคนะคะก็คือเป็นกลุ่มอาการอาการหนึ่ง
00:00:30 → 00:00:32 นะคะดูเป็นโรคโรคนึงโรคแพนิคก็คือโรคที่
00:00:32 → 00:00:35 เรารู้สึกกลัวแบบไม่ทราบสาเหตุแล้วก็เป็น
00:00:35 → 00:00:37 อาการกลัวที่
00:00:37 → 00:00:39 เรารู้สึกว่าเราทนไม่ไหวเราจัดการกับ
00:00:39 → 00:00:40 อารมณ์นี้ไม่ได้แล้วรู้สึกเหมือนว่าเรา
00:00:40 → 00:00:43 กำลังจะตายจริงๆเราเป็นโรคร้ายอยู่จริงๆ
00:00:43 → 00:00:46 นะคะซึ่งคนที่เป็นแบบนี้จริงๆอ่ะเขาอาจจะ
00:00:46 → 00:00:49 ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วอ่ะเขาเป็น
00:00:49 → 00:00:52 แพนิคอยู่นะคะวันนี้ก็จะพาวันนี้ก็จะพา
00:00:52 → 00:00:56 ทุกคนนะคะมาทำความรู้จักโรคแพนิคนะคะโรค
00:00:56 → 00:00:58 ที่เรารู้สึกกลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้ใน
00:00:58 → 00:01:04 มุมของหมอสมองกันค่ะนะคะก็เอ่ออันดับแรก
00:01:04 → 00:01:05 เลยนะคะก็
00:01:05 → 00:01:09 ทำไมถึงต้องมาพูดเรื่องแพนิคนะคะว่าหมอ
00:01:09 → 00:01:10 คิดว่า
00:01:11 → 00:01:16 คนไข้เนี่ยน่าจะยังไม่ค่อยมีความรู้หรือ
00:01:16 → 00:01:19 อาจจะยังไม่ค่อยได้ยินหรือว่าได้ฟังโรค
00:01:19 → 00:01:22 นี้อย่างละเอียดมากนักนะคะในขณะที่โรค
00:01:22 → 00:01:25 เนี่ยมันเจอมากขึ้นเรื่อยๆนะคะในโลกของ
00:01:25 → 00:01:28 เราในยุคสังคมปัจจุบันอะไรก็แล้วแต่นะคะ
00:01:28 → 00:01:30 ทำให้คนไข้เนี่ยทำให้คนเราเนี่ยมีความ
00:01:30 → 00:01:33 ง่ายต่อความเครียดมากขึ้นวิตกกังวลกันมาก
00:01:33 → 00:01:36 ขึ้นแล้วก็สุดท้ายก็คือนำไปสู่โรคแพนิค
00:01:36 → 00:01:38 กันมากขึ้นนะคะนะคะเราจะเห็นว่าช่วงหลัง
00:01:38 → 00:01:42 เนี่ยก็คือมีข่าวดารานักร้องนักแสดงหลาย
00:01:42 → 00:01:45 ท่านเลยที่ก็ออกมาบอกว่าเขาเนี่ยเป็น
00:01:45 → 00:01:48 Panic อยู่รักษาอยู่นะคะจริงอยากทำให้
00:01:48 → 00:01:52 ทุกคนรู้ว่าอาการนี้มันไม่ใช่แบบไม่ใช่
00:01:52 → 00:01:55 โรคจิตเวชที่น่ากลัวนะหรือแบบเป็นแล้วเรา
00:01:55 → 00:01:58 จะต้องรู้สึกอายรู้สึกไม่ดีนะคะเพราะจริง
00:01:58 → 00:02:00 ๆแล้วเนี่ยมันเป็นอะไรที่เจอค่อนข้างเยอะ
00:02:00 → 00:02:03 นะคะแล้วก็ถ้าเกิดเราได้รับการรักษาที่
00:02:03 → 00:02:06 ถูกต้องก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนะคะ
00:02:06 → 00:02:08 เพราะว่าคนไข้ Panic ที่ไม่ได้รักษาเนี่ย
00:02:08 → 00:02:10 น่าสงสารมากๆนะคะเพราะว่าการ Panic เนี่ย
00:02:10 → 00:02:14 เวลาเป็นเนี่ยคืออาการจะค่อนข้างแบบคนไข้
00:02:14 → 00:02:15 มักจะคิดว่าตัวเองอ่ะกำลังเป็นโรคหัวใจ
00:02:15 → 00:02:18 กำลังเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือว่า
00:02:18 → 00:02:21 เป็น Stroke หรือว่าเป็นโรคที่รุนแรงอยู่
00:02:21 → 00:02:24 นะคะเพราะว่าการเนี่ยมักจะเป็นเยอะเช่น
00:02:24 → 00:02:26 ถ้าเกิดมีอาการใจสั่นเนี่ยก็จะรู้สึกใจ
00:02:26 → 00:02:29 เต้นรัวเต้นเหมือนกลองตีรัวๆตึกๆๆๆแล้ว
00:02:29 → 00:02:32 เขาไม่สามารถคุมให้มันช้าลงหรือว่าหยุดลง
00:02:32 → 00:02:34 ได้เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปเลยหรือว่า
00:02:34 → 00:02:37 เต้นผิดจังหวะไปเลยนะคะบางคนก็จะรู้สึก
00:02:37 → 00:02:40 เหมือนหายใจไม่อิ่มแบบเหมือนจะจมน้ำนะคะ
00:02:40 → 00:02:44 หลายคนก็คือถ้ามาบอกหมอก็คือแบบหมอแบบรู้
00:02:44 → 00:02:46 สึกเหมือนเวลาเราอยู่ใต้น้ำแล้วเราหายใจ
00:02:46 → 00:02:48 ไม่ได้อย่างนั้นเลยค่ะหรือบางคนก็บอกว่า
00:02:48 → 00:02:50 เหมือนหายใจเข้าไปแล้วแต่หายใจออกไม่ได้
00:02:50 → 00:02:52 ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยคนเราก็ควรหายใจเข้า
00:02:52 → 00:02:55 ออกได้ปกติแต่ถ้าคนที่แพนิคกำเริบอยู่เขา
00:02:55 → 00:02:57 ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆนะคะแล้วก็
00:02:57 → 00:03:00 อาจจะมีอาการทางสมองนะคะหรือทางระบบ
00:03:00 → 00:03:03 ประสาทคือเรื่องของมือชาตัวชานะคะแล้วก็
00:03:03 → 00:03:06 ที่เจอบ่อยก็คือจะมีอาการมึนงงเวียนหัว
00:03:06 → 00:03:09 รู้สึกเหมือนวูบเหมือนจะเป็นลมซึ่งกลุ่ม
00:03:09 → 00:03:13 คนเหล่านี้มักจะค่อนข้าง suffer หรือว่า
00:03:13 → 00:03:15 แบบอาการมันเป็นค่อนข้างรุนแรงอ่ะมากกว่า
00:03:15 → 00:03:17 ที่แบบเรารู้ว่าเนี่ยเราตื่นเต้นเรากลัว
00:03:17 → 00:03:21 เราใจสั่นอยู่แต่ว่าคนที่เป็นแพนิคจริงๆ
00:03:21 → 00:03:24 อ่ะเขาจะแปลผลหรือว่ารับความรู้สึกหรือ
00:03:24 → 00:03:26 ว่าแปลผลอาการตรงนั้นเนี่ยว่าเขาเป็นโรค
00:03:26 → 00:03:29 หัวใจเขาเป็นโรคสมองอยู่นะคะซึ่งพอไปตรวจ
00:03:29 → 00:03:33 เอ่อตรวจร่างกายตรวจคลื่นหัวใจตรวจปอด
00:03:33 → 00:03:35 ตรวจเอกซเรย์ตรวจแลปตรวจผลเลือดทุกอย่าง
00:03:35 → 00:03:40 ก็มักจะได้รับคำตอบกลับมาว่าปกตินะซึ่งคำ
00:03:40 → 00:03:42 ว่าปกตินั้นนะคะมักจะทำให้คนไข้เนี่ย
00:03:42 → 00:03:44 เครียดหนักกว่าเดิมอีกเพราะว่าสุดท้าย
00:03:45 → 00:03:48 แล้วเราฉันเป็นอะไรเวลาเรามีอาการแต่เรา
00:03:48 → 00:03:51 ไม่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ามันว่าเป็น
00:03:51 → 00:03:54 อะไรแล้วกลับได้รับคำตอบมาว่าเราปกติมัน
00:03:54 → 00:03:55 ยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมอีกนะคะว่าแล้วเรา
00:03:55 → 00:03:58 จะผ่านตรงนี้ไปได้ยังไงนะคะอันนี้ก็เป็น
00:03:58 → 00:04:00 อะไรที่หมอก็เจอค่อนข้างบ่อยมากเลยคือคน
00:04:00 → 00:04:02 ไข้อาจมักจะมาหาหมอด้วยเรื่องแบบเวียนหัว
00:04:03 → 00:04:06 ไม่หายทำมาทุกอย่างแล้ว MRI สมองปกติกิน
00:04:06 → 00:04:08 ยาแก้เวียนหัวมาเป็นปีๆแต่ก็ไม่หายสุด
00:04:08 → 00:04:11 ท้ายพอคุยอาการตรวจกันจริงๆก็เข้าข่าย
00:04:11 → 00:04:14 เป็นแพนิคพอรักษาก็ดีขึ้นได้นะคะเนาะก็
00:04:14 → 00:04:18 อ่ะลองมาฟังกันว่าแล้วทำไมเนี่ยคนเราถึง
00:04:18 → 00:04:20 ต้องเป็น Panic อ่ะแล้ว Panic มันเกิดจะ
00:04:20 → 00:04:23 เกิดได้ยังไงเกิดจากอะไรนะคะจริงๆแพนิค
00:04:23 → 00:04:26 เนี่ยเป็นชื่อโรคๆนึงนะคะชื่อเขาแบบน่า
00:04:26 → 00:04:29 รักๆนะคะเหมือนแบบเป็นแพนิคคนไข้เดี๋ยว
00:04:29 → 00:04:31 นี้ก็พูดกันน่ะฉันเป็นแพนิคหรือเปล่าอะไร
00:04:31 → 00:04:33 อย่างเงี้ยคือคนก็ค่อนข้างจะเข้าใจคำว่า
00:04:33 → 00:04:36 Panic ละว่าเออแพนิคมันเป็นจริงๆมันก็
00:04:36 → 00:04:38 แปลว่าเหมือนแบบตื่นตระหนกตกใจอะไรอย่าง
00:04:38 → 00:04:41 นี้นะคะซึ่งแพนิคไม่ใช่โรคนะคะอาการ Panic
00:04:42 → 00:04:44 เป็นแค่อาการนะคะคนที่มีแพนิคกับแบบบางคน
00:04:44 → 00:04:47 ตกใจง่ายเช่นแบบอุ้ยเห็นงูตกใจแล้วก็ใจ
00:04:47 → 00:04:49 เต้นรัวอันนั้นอาจจะไม่ได้เป็นโรคแพนิคก็
00:04:49 → 00:04:53 ได้ก็คือเป็นแค่อาการ Panic นะคะแต่ถ้าคน
00:04:53 → 00:04:56 ที่เป็นโรคแพนิคเนี่ยก็คือเป็นแพนิคดิส
00:04:56 → 00:04:58 ออเดอร์เนี่ยอันนี้จัดว่าเป็นโรควิตก
00:04:58 → 00:05:00 กังวลอย่างหนึ่งนะคะก็คือเป็นอาการของทาง
00:05:00 → 00:05:02 โรคจิตเวชอย่างหนึ่งแหละเป็นหนึ่งในกลุ่ม
00:05:02 → 00:05:04 ที่เป็นโรควิตกกังวลซึ่งโรควิตกกังวล
00:05:04 → 00:05:07 เนี่ยมันมีเยอะมากนะคะตั้งแต่เป็นแบบ
00:05:07 → 00:05:10 กลุ่มวิตกกังวลทั่วไปคือกังวลทุกเรื่อง
00:05:10 → 00:05:16 เอ่อจะทำงานเสร็จไหมเงินไม่พอเอ้ยแบบคน
00:05:16 → 00:05:19 นี้ลูกยังไม่กลับบ้านลูกจะไปก็คือเป็น
00:05:19 → 00:05:21 generalizer เป็นกังวลทุกเรื่องเลยก็ได้
00:05:21 → 00:05:24 หรือบางคนเป็นวิตกกังวลเฉพาะเรื่องนะคะ
00:05:24 → 00:05:28 เช่นแบบอย่างพวกแบบบางคนเป็นแบบโรคกลัว
00:05:28 → 00:05:31 กลัวที่แคบไปที่แคบไม่ได้หรือบางคนเป็น
00:05:32 → 00:05:35 โรคย้ำคิดย้ำทำอะไรอย่างเงี้ยค่ะคือแพนิค
00:05:35 → 00:05:37 ออเดอร์ก็เป็นโรควิตกกังวลอย่างนึงแต่
00:05:37 → 00:05:41 เป็นโรควิตกกังวลที่มันค่อนข้าง Un นี้
00:05:41 → 00:05:44 หรือมีลักษณะจำเพาะนะคะก็คือ
00:05:44 → 00:05:48 เขามักจะมีอาการทางกายร่วมด้วยนะคะก็คือ
00:05:48 → 00:05:51 ที่บอกไปแล้วใจสั่นมือชาตัวชาหายใจไม่ได้
00:05:51 → 00:05:55 กรดไหลย้อนท้องแน่นหายอาหารไม่ย่อยรู้สึก
00:05:55 → 00:05:58 เหมือนตัวเองกำลังจะเป็นโรคร้ายและกำลัง
00:05:58 → 00:06:01 จะตายนะคะอันนี้เลยทำให้อาการ Panic
00:06:01 → 00:06:03 เนี่ยเป็นโรควิตกกังวลที่ส่วนใหญ่คนไข้
00:06:03 → 00:06:05 บางทียังไม่ได้ไปเจอจิตแพทย์เพราะว่าเขา
00:06:05 → 00:06:07 ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเครียดหรือเขากังวล
00:06:07 → 00:06:10 อะไรแต่เขามาด้วยอาการทางกายต่างหากมา
00:06:10 → 00:06:13 ด้วยอาการหัวใจต่างหากมาด้วยอาการวิง
00:06:13 → 00:06:16 เวียนปวดหัวที่ไม่ทราบสาเหตุนะคะเนาะซึ่ง
00:06:16 → 00:06:20 ตรงนี้นะคะมันอธิบายได้จากกลไกของกลไก
00:06:20 → 00:06:23 ความกลัวหลายคนก็จะบอกว่าคาถามาว่าแล้ว
00:06:23 → 00:06:25 ทำไมคนเรามันถึงต้องแบบกลัวขนาดนั้นแล้ว
00:06:25 → 00:06:28 แพนิคเกิดจากอะไรแล้วทำไมค่าเขากลัวหรือ
00:06:28 → 00:06:29 ว่าเขาเป็นวิตกกังวลทำไมเขาจะต้องรู้สึก
00:06:29 → 00:06:32 ว่าหัวใจเขาจะหยุดเต้นนะคะจริงๆอันนี้มัน
00:06:32 → 00:06:35 เกิดจากการทำงานของเอ่อกลไกความกลัวใน
00:06:35 → 00:06:38 ร่างกายนะคะซึ่งเดี๋ยวหมอจะโชว์รูปสมอง
00:06:38 → 00:06:43 ให้ดูนะคะ
00:06:43 → 00:06:45 อันนี้นะคะอันนี้ก็เป็นภาพตัดด้านข้างของ
00:06:45 → 00:06:47 สมองนะคะจะเห็นว่าสมองเราทั้งหมดเนี่ยก็
00:06:48 → 00:06:50 ค่อนข้างใหญ่ออกเป็นอวัยวะที่สำคัญแล้วก็
00:06:50 → 00:06:54 ควบคุมก็คือแทบจะทุกอย่างของร่างกายเรา
00:06:54 → 00:06:57 เลยแหละเนาะจริงๆแล้วก็หลายคนก็สงสัยว่า
00:06:57 → 00:06:59 แล้วจริงๆที่เรากลัวจริงๆเรากลัวที่ใจแบบ
00:06:59 → 00:07:03 คิดไปเองหรือเปล่าหรือเรากลัวที่สมองนะคะ
00:07:03 → 00:07:06 มันก็พอจะอธิบายได้อันนึงว่าในสมองของเรา
00:07:06 → 00:07:09 เนี่ยมันมีวงจรวงจรความกลัวนะคะเราเรียก
00:07:09 → 00:07:12 ว่าวงจรเซียร์เนี่ยนะคะก็เป็นหนึ่งในวงจร
00:07:12 → 00:07:14 เขาเรียกว่าวงจรลิมปิก systembic เนี่ย
00:07:14 → 00:07:17 เป็นสมองส่วนกลางนะคะจะอยู่ตรงกลางตรง
00:07:17 → 00:07:20 เนี้ยคนส่วนใหญ่จะรู้จักสมองส่วนแบบส่วน
00:07:20 → 00:07:23 อ่าเขาเรียกว่าสวนกลีบที่ใหญ่ๆใช่มั้ยคะ
00:07:23 → 00:07:26 ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคุ้มกล้ามเนื้อแขน
00:07:26 → 00:07:30 ขาอ่อนแรงเอ่อความรู้สึกนึกคิดความจำนะคะ
00:07:30 → 00:07:33 หรือสมองส่วนน้อยที่คุมการทรงตัวอะไรต่าง
00:07:33 → 00:07:36 ๆแต่คนจะไม่ค่อยรู้จักว่าตรงกลางสมองของ
00:07:36 → 00:07:38 เราเนี่ยมีสมองที่ส่วนควบคุมนะคะเรื่อง
00:07:38 → 00:07:41 ของอีโมชั่นนะคะเรื่องของอารมณ์เนี่ยแล้ว
00:07:41 → 00:07:43 ก็ความจำเนี่ยเป็นหลักเลยนะคะนะคะเรา
00:07:43 → 00:07:46 เรียกวงจรใหญ่ๆว่า limb System นะคะ
00:07:46 → 00:07:48 ลิมิต System ก็ประกอบไปด้วยหลายส่วนเลย
00:07:48 → 00:07:51 ค่ะแต่เราจะเห็นเจ้าเม็ดแดงๆตรงกลางเล็กๆ
00:07:51 → 00:07:55 เนี่ยนะคะเราเรียกว่าอามิกาลานะคะอามิดา
00:07:55 → 00:07:58 เนี่ยก็มาจากรากศัพท์แปลว่าอัลมอนด์นะคะ
00:07:58 → 00:08:01 ก็คือลักษณะของเขาเนี่ยจะรูปร่างคล้าย
00:08:01 → 00:08:04 อัลมอนด์นะคะก็จะมีอยู่ 2 ข้างนะคะซึ่ง
00:08:04 → 00:08:09 ami ด้านล่างเนี่ยทำงานทำงานยังไงนะคะขอ
00:08:09 → 00:08:12 โทษทีค่ะเมื่อกี้ลืมเปิดนี่นะคะเป็นก็
00:08:12 → 00:08:14 เป็นสมองส่วน ami ด้านล่างนะคะตรงสีชมพู
00:08:14 → 00:08:17 เล็กๆตรงนี้นะคะเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อ
00:08:17 → 00:08:19 สมองทั้งหมดจะเห็นว่ามันเล็กแค่นิดเดียว
00:08:19 → 00:08:23 เองนะคะแต่ว่ามันสำคัญมากนะคะเจ้าอวัยวะ
00:08:23 → 00:08:26 เล็กๆอันเนี้ยถ้าเกิดมันมีความผิดปกติทำ
00:08:26 → 00:08:29 งานผิดปกติสามารถส่งผลให้คนคนนึงเนี่ยรู้
00:08:29 → 00:08:31 สึกเหมือนว่าเราแบบกำลังจะควบคุมตัวเอง
00:08:31 → 00:08:33 ไม่ได้กำลังจะตายแล้วสุดท้ายส่งผลกับ
00:08:33 → 00:08:37 คุณภาพชีวิตอยู่ไม่ได้ไม่มีความสุขทำงาน
00:08:37 → 00:08:39 ไม่ได้หรือแม้กระทั่งมีแต่ปัญหาคนรอบตัว
00:08:39 → 00:08:42 ละท้ายที่สุดนำไปสู่โลกซึมเศร้าได้เลยนะ
00:08:42 → 00:08:45 คะจากอวัยวะเล็กๆแค่นี้เองนะคะเนาะนี้มา
00:08:45 → 00:08:49 ดูการทำงานของ ami ด้านล่างกันนะคะ
00:08:49 → 00:09:51 เอ่ออันนี้ด้านล่างนะคะก็เอ่อ
00:09:51 → 00:09:54 ในครั้งหน้าเราก็จะเกิดการตอบสนองที่คนละ
00:09:54 → 00:09:57 แบบกับตอนที่เรายังไม่เกิดการเรียนรู้นะ
00:09:57 → 00:10:00 คะอันนี้ก็จะเป็นเหตุผลว่าทำไมอ่ะแบบ
00:10:00 → 00:10:04 ความอะไรที่แบบคือความทรงจำเรามีหลายแบบ
00:10:04 → 00:10:07 นะคะอย่างเช่นแบบความทรงจำการใช้งานเนาะ
00:10:07 → 00:10:09 เราเรียกว่า working Memory เช่นเพื่อน
00:10:09 → 00:10:11 บอกเบอร์โทรศัพท์มาแล้วเราต้องจำนะตอน
00:10:11 → 00:10:14 นั้นเลยหรือความทรงจำที่เป็นความรู้เรา
00:10:14 → 00:10:16 ต้องไปเรียนหนังสืออะไรเงี้ยไอ้พวกนี้
00:10:16 → 00:10:19 เป็นความทรงจำที่เกิดจากการบันทึกสมอง
00:10:19 → 00:10:21 เข้าไปในสมองส่วนหน้าแล้วเข้าไปที่
00:10:21 → 00:10:23 โปรแกรมปัสซึ่งไม่ได้มีเรื่องของอารมณ์
00:10:23 → 00:10:25 เข้ามาเกี่ยวข้องจะเห็นว่าเรียนเท่าไหร่
00:10:25 → 00:10:28 ก็จำไม่ได้อ่านหนังสือแทบตายจำไม่ค่อยได้
00:10:28 → 00:10:31 เพราะว่ามันต้องใช้อาศัยการบันทึกและการ
00:10:31 → 00:10:35 จดจำซ้ำๆแต่ถ้าเป็น emotional ความจำที่
00:10:35 → 00:10:39 เกี่ยวข้องกับอารมณ์นะคะจะเห็นว่า
00:10:39 → 00:10:44 จำแม่นจำนานใครที่ทำเราโกรธใครที่ทำเรา
00:10:44 → 00:10:48 เจ็บเรื่องที่เรากลัวเรื่องสะท้อนหนักๆใน
00:10:48 → 00:10:51 ชีวิตตอนเด็กเคยโดนดุแบบนี้โดนตีแบบนี้ทำ
00:10:51 → 00:10:54 ร้ายร่างกายแบบนี้อย่างเงี้ยจำแม่นมาก
00:10:54 → 00:10:56 เพราะว่ามันทำงานผ่านสมองของโซนของความ
00:10:57 → 00:11:00 กลัวหรืออะมิกาล่าแล้วก็
00:11:00 → 00:11:05 ครั้งแรกเช่นเด็กถูกสมมติถูกตีครั้งแรกก็
00:11:05 → 00:11:07 อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากอาจจะแค่รู้สึก
00:11:07 → 00:11:09 ว่าสิ่งนี้น่ากลัวจังแต่โดนบ่อยๆบ่อยๆ
00:11:09 → 00:11:11 บ่อยๆเข้าอเมริกาถูกกระตุ้น
00:11:11 → 00:11:15 เอาไปเอาไปสร้างความทรงจำเก็บสุดท้ายเก็บ
00:11:15 → 00:11:19 ไปในฮิปโปเค็มปัสระยะยาวทีนี้ไม่ต้องถูก
00:11:19 → 00:11:22 ตีค่ะแค่เห็นไม้เรียวใจสั่นละนะคะอันนี้
00:11:22 → 00:11:26 คือกลไกของสมองในการที่เราจะต้องเรียนรู้
00:11:26 → 00:11:29 ต่อความกลัวต่อความเจ็บปวดนะคะแล้วถามมา
00:11:29 → 00:11:32 ถามว่าแล้วทำไมเราต้องมีสมองส่วนนี้เอา
00:11:32 → 00:11:34 ไว้ด้วยไม่มีมันไม่ได้หรอกเราทุกคนจะได้
00:11:34 → 00:11:37 มีความสุขนะคะจะได้ไม่ทุกข์ไม่มีความกลัว
00:11:37 → 00:11:39 จริงๆแล้วความกลัวมันก็มันเหมือนเป็น
00:11:39 → 00:11:43 สัญชาตญาณของสัตว์โลกหรือว่ามันโน๊ตหรือ
00:11:43 → 00:11:47 ว่าแบบสิ่งมีชีวิตอ่ะค่ะที่ทำให้เราแบบ
00:11:47 → 00:11:49 เอ่ออยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้เนาะ
00:11:49 → 00:11:51 เพราะถ้าเกิดเราไม่มีสมองส่วนนี้เลยอ่ะ
00:11:51 → 00:11:54 เราเข้าป่าไปเราเจอสิงโตอ่ะเราเดินเข้าหา
00:11:54 → 00:11:57 โดนกินไปหมดละนะคะมันก็เป็นอวัยวะที่
00:11:57 → 00:12:02 เหมือนทำให้เราอยู่รอดนะคะอยู่รอดปลอดภัย
00:12:02 → 00:12:05 มาได้แต่ในปัจจุบันน่ะมันกลายเป็นว่าสมอง
00:12:05 → 00:12:09 ส่วนนี้หลายคนทำงานเยอะเกินไปนะคะจนกลาย
00:12:09 → 00:12:13 เป็น Panic หรือว่าเป็นโรคแพนิคนะคะเนาะ
00:12:13 → 00:12:17 ก็อันนี้ก็คือกลไกของ amita ที่อธิบายว่า
00:12:17 → 00:12:20 แล้วทำไมอ่าคนเราคนนึงถึงจะต้องมีความ
00:12:20 → 00:12:23 กลัวจนถึงกลัวได้ขนาดนั้นนะคะแล้วทีนี้
00:12:23 → 00:12:28 อามิดาค่ะเขาไม่ได้ทำงานคนเดียวคือพอพอ
00:12:28 → 00:12:31 เราเห็นสิ่งตัวกระตุ้นเช่นบางคนเป็นการ
00:12:31 → 00:12:34 กลัวแบบกลัวความมืดกลัวที่สูงอ่ะสมมุติ
00:12:34 → 00:12:37 เรากลัวที่สูงมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี
00:12:37 → 00:12:39 กับที่สูงมาเมื่อก่อนตอนเด็กๆเคยตกต้นไม้
00:12:39 → 00:12:42 อะไรอย่างนี้ก็ได้นะคะหรือว่าเรากลัวปุ๊บ
00:12:42 → 00:12:45 เราเห็นละเราไปยืนอยู่ที่สูงอ่ะ
00:12:45 → 00:12:49 ร่วมกับฮิปโปแคมปัสนะคะก็คือเป็นความทรง
00:12:49 → 00:12:51 จำในประสบการณ์อะไรต่างๆที่เราเคยเจอมา
00:12:51 → 00:12:54 สุดท้ายนะคะมันก็จะส่งกระแสสัญญาณส่งภาษา
00:12:54 → 00:12:58 ส่งเอ่อเซลล์สัญญาณต่างๆส่งไปสมองส่วน
00:12:58 → 00:13:00 อื่นนะคะส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือจะเป็นพวก
00:13:00 → 00:13:04 ของเรื่องต่อมอ่าไร้ท่อต่างๆนะคะเพื่อให้
00:13:04 → 00:13:06 ต้นทรมานหรือว่าต่อมที่เกี่ยวข้องกับการ
00:13:06 → 00:13:08 สร้างฮอร์โมนเกี่ยวกับการสร้างสรรค์สื่อ
00:13:09 → 00:13:12 ประสาทนะคะมันก็จะไปกระตุ้นการหลั่งสาร
00:13:12 → 00:13:13 สื่อประสาทหรือว่าฮอร์โมนบางตัวที่ผิด
00:13:13 → 00:13:16 ปกติเช่นพวก adrenaline นะคะหรือคอติซอล
00:13:16 → 00:13:19 ที่เป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดซึ่ง
00:13:19 → 00:13:22 ตรงเนี้ยมันก็จะถูกกระตุ้นกระตุ้นต่อไปไป
00:13:22 → 00:13:26 ที่ต่อหมวกไตย้อนกลับมาทำให้ส่งผลให้ร่าง
00:13:26 → 00:13:29 กายเราเกิดการตอบสนองออกมาก็คือ 1 ชีพจร
00:13:29 → 00:13:32 ก็คือมีการชีพจรเต้นเร็วขึ้นนะคะให้ใจ
00:13:32 → 00:13:35 เต้นแรงขึ้นให้เลือดปั๊มปิ้งดีขึ้นเพื่อ
00:13:35 → 00:13:39 อะไรเพื่อส่งออกซิเจนส่งเลือดไปเลี้ยง
00:13:39 → 00:13:41 สมองเยอะขึ้นให้เราเริ่ม Fresh แล้วงู
00:13:41 → 00:13:43 อยู่ตรงหน้าแล้วเราจะเอายังไงกับเขาดีจะ
00:13:43 → 00:13:47 หนีหรือจะอยู่เฉยๆก็คือให้เหมือนเป็นการ
00:13:47 → 00:13:50 เตรียมความร่างกายให้เราแบบพร้อมที่จะสู้
00:13:50 → 00:13:52 หรือว่าบางคนก็จะเป็นจะมีนะคะเขาเรียกว่า
00:13:52 → 00:13:55 เป็นไซส์หรือ Flight ที่แปลว่าหนีเนี่ย
00:13:55 → 00:13:57 mechanism นะคะก็คือเป็นกลไกตอบสนองของ
00:13:57 → 00:14:00 ร่างกายปกตินี่แหละเอ่อหัวใจเต้นเร็วหาย
00:14:00 → 00:14:05 ใจเร็วขึ้นนะคะแล้วก็เอ่อกล้ามเนื้อหรือ
00:14:05 → 00:14:07 อะไรก็อาจจะเริ่มเหมือนแบบตึงตัวมากขึ้น
00:14:07 → 00:14:09 ทำให้เราเหมือนพร้อม Alert อ่ะค่ะเช่นเจอ
00:14:09 → 00:14:13 งูพร้อมหนีหรืออะไรแบบนี้นะคะเอ่อซึ่ง
00:14:13 → 00:14:15 จริงๆกลไกตรงเนี้ยมันเป็นกลไกของร่างกาย
00:14:15 → 00:14:20 ปกติของเขานะคะก็คือ amidera รู้รับรู้
00:14:20 → 00:14:23 และสิ่งนี้น่ากลัวนะสิ่งนี้ไม่ชอบนะสิ่ง
00:14:23 → 00:14:26 นี้อันตรายอาจไปกระตุ้นสมองหลั่งฮอร์โมน
00:14:26 → 00:14:29 ออกมาฮอร์โมนร่างกายตอบสนองใจเต้นเร็วหัว
00:14:29 → 00:14:33 ใจเต้นเร็วกล้ามเนื้อพร้อมทำงาน
00:14:33 → 00:14:37 พร้อมจะจัดการกับสิ่งข้างหน้ายังไงแต่
00:14:37 → 00:14:40 ซึ่งมันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ
00:14:40 → 00:14:44 แต่ว่าสุดท้ายคือที่มันไม่ปกติก็คือว่าคน
00:14:44 → 00:14:48 ไข้ Panic เนี่ยรับรู้การตอบสนองของร่าง
00:14:48 → 00:14:52 กายอันนี้ผิดไปนะคะก็คือใช้คำว่าแปลผลผิด
00:14:52 → 00:14:55 นะคะส่วนหนึ่งก็คืออาจจะเกิดจากการที่
00:14:55 → 00:14:59 เขาเกิดบ่อยนะคะมันมีหลายสาเหตุมากเลยมี
00:14:59 → 00:15:01 คนพยายามถามว่าทำไมคนเราถึงเป็น Panic นะ
00:15:01 → 00:15:03 คะซึ่งกลไกการเกิดเนี่ยมันก็ยังไม่ได้แน่
00:15:03 → 00:15:06 ชัดนะคะว่าเกี่ยวข้องกับอะไรบ้างนะคะอัน
00:15:06 → 00:15:09 นึงที่เจอก็คือก็อาจจะเกี่ยวกับพันธุกรรม
00:15:09 → 00:15:13 นะคะปกติโรคโรคทางจิตเวชหลายๆโรคไม่ว่าจะ
00:15:13 → 00:15:15 เป็นโรควิตกกังวลโรคซึมเศร้านะคะรวมไปถึง
00:15:15 → 00:15:19 โรคแพนิคเองเนี่ยมาในระยะหลังเลยเนี่ยเขา
00:15:19 → 00:15:21 ก็พบว่าค่อนข้างสัมพันธ์กับเรื่อง
00:15:21 → 00:15:23 เจนเนอติคหรือว่าพันธุกรรมเนี่ยค่อนข้าง
00:15:23 → 00:15:26 เยอะเลยนะคะแค่นี้ก็คือเจอได้ 30-40% เลย
00:15:26 → 00:15:29 ถ้าคนมีญาติสายตรงเป็นแพนิคก็มีโอกาสที่
00:15:29 → 00:15:31 เอ่อเช่นคุณพ่อเป็นแพนิคหรือคุณลุกเป็น
00:15:31 → 00:15:33 แพนเอ้ยคุณแม่เป็นแพนเนี่ยก็มีโอกาสที่
00:15:33 → 00:15:37 ลูกจะมีโอกาสเป็นแพนิคได้ง่ายขึ้นนะคะอัน
00:15:37 → 00:15:39 ที่ 2 ก็คือเรื่องของ
00:15:39 → 00:15:41 environment สิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดูตั้ง
00:15:41 → 00:15:44 แต่ในวัยเด็กนะคะถูกเลี้ยงดูมายังไงตอบ
00:15:44 → 00:15:46 สนองยังไงนะคะเช่น
00:15:46 → 00:15:52 ในวัยเด็กเคยแบบได้รับการเลี้ยงดูแบบนี้
00:15:52 → 00:15:56 อย่างเช่นทำอะไรผิดถูกสอนให้แบบว่ายอมรับ
00:15:56 → 00:15:59 หรืออะไรโดยที่ไม่มีไม้เรียวอาจแต่ถ้า
00:15:59 → 00:16:01 เกิดอีกด้านนึงเป็นทำเลผิดอ่ะลองใช้ไม้
00:16:01 → 00:16:05 เรียวซิเด็กก็จะมีความปรับตัวต่อ
00:16:05 → 00:16:08 สถานการณ์นั้นๆน่ะค่ะต่างกันนะคะก็จะทำ
00:16:08 → 00:16:12 ให้เกิดเป็นพัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่ที่มีความ
00:16:12 → 00:16:14 รู้สึกนึกคิดหรือว่าการตอบสนองที่ต่างๆ
00:16:14 → 00:16:17 กันไปนะคะสุดท้ายก็คือเรื่องของภาวะ
00:16:17 → 00:16:21 stress ต่างๆนะคะที่มากับต้นนะคะหมอเจอ
00:16:21 → 00:16:24 บ่อยก็คือคนไข้เนี่ย
00:16:24 → 00:16:27 มักจะมีอะไรสักอย่างมากระตุ้นจนสุดท้าย
00:16:27 → 00:16:31 เกิดเป็นแพนิคแต่จุดที่คนไข้เริ่มกระตุ้น
00:16:31 → 00:16:33 น่ะบางทีเขาไม่รู้ตัวเขาไม่ได้รับรู้ว่า
00:16:33 → 00:16:35 เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เขากังวลหรือ
00:16:35 → 00:16:38 เขาเครียดนะคะซึ่งคนไข้ Panic เป็นแบบ
00:16:38 → 00:16:40 นั้นเลยค่ะไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีเรื่อง
00:16:40 → 00:16:43 เครียดที่ที่จัดการไม่ได้นะคะเช่นไม่ใช่
00:16:43 → 00:16:49 ว่าแบบเพิ่งถูกแฟนทิ้งอกหักตกงานเป็นหนี้
00:16:49 → 00:16:51 บางทีเราอาจจะไม่ได้เจอตัวกระตุ้นอะไรที่
00:16:51 → 00:16:56 ชัดๆแบบนี้แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่ที่
00:16:56 → 00:16:59 มันไปทำให้เขารู้สึกกังวลแบบที่เขาอาจจะ
00:16:59 → 00:17:01 ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำนะคะอย่างที่บอกเคยเจอคน
00:17:01 → 00:17:04 นึงก็คือเอ่ออาการ Panic เนี่ยกำเริบหลัง
00:17:04 → 00:17:08 จากผ่าตัดนะคะก็เอ่อเป็นสมมุติเป็นเนื้อ
00:17:08 → 00:17:11 งอกมดลูกอย่างเงี้ยค่ะเขาก็กังวลไปและอีก
00:17:11 → 00:17:13 2 เดือนหมอนัดผ่าไอ้ 2 เดือนนั้นกังวลไป
00:17:13 → 00:17:17 ละผ่าจะเป็นยังไงจะดีไหมเรียบร้อยไหมหรือ
00:17:18 → 00:17:20 อะไรคือมันก็มีความกังวลแบบอ่ะตามสไตล์คน
00:17:20 → 00:17:23 ปกติจะรักษาจะผ่าตัดมันก็ควรมีความกังวล
00:17:23 → 00:17:24 บ้าง
00:17:24 → 00:17:26 ซึ่งก็ไม่ได้อ่าตอนนั้นก็ยังไม่ได้มี
00:17:26 → 00:17:28 อาการ Panic อะไรปรากฏว่าพอวันที่ 8 ไป
00:17:28 → 00:17:32 รักษาจริงๆอ่ะค่ะเออมันมีภาวะแทรกซ้อนนะ
00:17:32 → 00:17:36 คะก็คือมีตกเลือดมีต้องผ่าตัดที่ใหญ่ขึ้น
00:17:36 → 00:17:39 ที่ไม่ได้คาดไว้ตั้งแต่แรกปรากฏว่าพอกับ
00:17:39 → 00:17:41 ออกจากโรงพยาบาลนะทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
00:17:41 → 00:17:43 นะคะคนไข้ก็เรียบร้อยดีคุณหมอบอกปลอดภัย
00:17:43 → 00:17:46 แล้วไม่มีปัญหาอะไรผ่านไปอาทิตย์ 2
00:17:46 → 00:17:50 อาทิตย์นอนไม่ได้กระสับกระส่ายใจสั่นมือ
00:17:50 → 00:17:51 ชา
00:17:51 → 00:17:53 เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเลยเหมือนแบบเป็น
00:17:53 → 00:17:57 โรคหัวใจเลยจนแบบกระทั่งแบบคนไข้ไปตรวจ
00:17:57 → 00:18:00 อย่างอื่นอีกไม่มากไปหาหมอหัวใจไปหาหมอ
00:18:00 → 00:18:02 โรคปอดแบบอยู่ไม่ได้หายใจไม่อิ่มอะไร
00:18:02 → 00:18:05 อย่างนี้ค่ะแล้วก็สุดท้ายก็คือ
00:18:05 → 00:18:09 ตัวทุกอย่างมามันก็ปกติเขาก็สงสัยว่าจะ
00:18:09 → 00:18:11 เป็นอะไรก็ได้มีโอกาสได้มาเพราะว่าก็มา
00:18:11 → 00:18:14 ด้วยเรื่องอาชาก็จะมาเจอหมอสมองละอะไร
00:18:15 → 00:18:18 อย่างนี้ค่ะถามไปคุยไปคุยประวัติไปก็ย้อน
00:18:18 → 00:18:21 เท้าความไปได้ว่าแพนิคเนี่ยมันเริ่มมาจาก
00:18:21 → 00:18:23 หลังออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่าตัดที่มี
00:18:23 → 00:18:26 ภาวะแทรกซ้อนพอรักษาแพนิคคนไข้ก็ดีขึ้น
00:18:26 → 00:18:29 เลยนะคะอย่างเงี้ยค่ะคือจุดกำเนิดของความ
00:18:29 → 00:18:32 กระตุ้นของแต่ละคนเนี่ยบางทีมันไม่ชัดนะ
00:18:32 → 00:18:37 คะบางเคสก็เป็นแบบเอ่อศูนย์เอ่อศูนย์เสีย
00:18:37 → 00:18:39 น้องหมาแต่ตอนสูญเสียน้องหมาไม่เป็นไรนะ
00:18:39 → 00:18:42 คะร้องไห้ร้องไห้ทุกอย่างก็คนเหมือนปกติ
00:18:42 → 00:18:45 คนสูญเสียคนรักสูญเสียของรักร้องไห้อยู่
00:18:45 → 00:18:47 ประมาณเดือนนึงก็เข้าใจว่าก็น่าจะผ่านไป
00:18:48 → 00:18:51 ได้ละนะคะแต่ปรากฏว่าเดือนต่อๆมาอ้าว
00:18:51 → 00:18:53 แพนิคกำเริบอย่างเงี้ยค่ะก็มีเหมือนกัน
00:18:54 → 00:18:56 ซึ่งพอเวลาแบบไปถามถ้าเราไม่ได้เป็นย้อน
00:18:56 → 00:18:59 กลับไปเหตุการณ์นะตอนนั้นจริงๆเลยเราก็จะ
00:18:59 → 00:19:02 แบบไม่เจอตัวกระตุ้นนะคะก็จะบอกว่าไม่
00:19:02 → 00:19:03 เป็นไรไม่มีอะไรค่ะช่วงนี้ไม่ได้เครียด
00:19:03 → 00:19:06 เลยทุกอย่างแบบโอเคสบายดีอะไรอย่างนี้แต่
00:19:06 → 00:19:10 ทำไมถึงเป็น Panic ได้นะคะเนาะก็จะมีอะไร
00:19:10 → 00:19:13 ประมาณนี้นะคะ
00:19:13 → 00:19:16 ก็ที่นี้เนี่ย
00:19:16 → 00:19:21 ถามว่าแล้ว Panic Panic แค่ไหนคือ Planet
00:19:21 → 00:19:23 จริงๆมันเป็นคำเรียกทั่วไปเนอะก็คือตื่น
00:19:23 → 00:19:26 ตระหนกแล้วคนคนทุกคนก็ควรจะมีแพนิคอยู่
00:19:26 → 00:19:29 แล้วสักครั้งหนึ่งในชีวิตนะคะเขาพบว่าคน
00:19:29 → 00:19:33 เราเนี่ยประมาณสัก 30% ต้องเคยมี Planet
00:19:33 → 00:19:35 สักครั้งแหละมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึก
00:19:35 → 00:19:37 กลัวตกใจหรืออะไรมากจนเราแบบ
00:19:37 → 00:19:41 จนเรา pandor สถานการณ์นั้นไม่ได้แล้ว
00:19:41 → 00:19:44 เมื่อไหร่ล่ะเราถึงจะสงสัยว่าเราอ่ะจะ
00:19:44 → 00:19:47 เป็นโรคแพนิคนะคะก็คืออันนี้มันจะเปิดอัน
00:19:47 → 00:19:49 นี้ให้ดูเนาะก็คือเป็นเหมือนเป็นวงจร
00:19:49 → 00:19:53 แพนิคนะคะอันเนี้ยต้องการแสดงให้เห็นว่า
00:19:53 → 00:19:56 คนที่เป็นแพนิคอ่ะไม่จำเป็นต้องเป็นโรค
00:19:56 → 00:19:59 แพนิคนะคะ 4 วงจรสีน้ำเงินน่ะคืออาการ
00:19:59 → 00:20:01 Panic attack ก็คือมีอาการ Pad อีก
00:20:01 → 00:20:03 กำเริบ 1 ครั้ง
00:20:03 → 00:20:06 แต่ว่าสีแดงเนี่ยก็คือเกิดจากวงจรสีฟ้าๆ
00:20:06 → 00:20:11 ซ้ำๆๆๆๆๆจนกระทั่งกลายเป็นโรคแพนิคนะคะคน
00:20:11 → 00:20:14 เราเนี่ยจะมีเอ่อที่บอกมีปัจจัยต่างกัน
00:20:14 → 00:20:17 ไม่ว่าจะทันทุกคำไม่ว่าจะสิ่งแวดล้อมการ
00:20:17 → 00:20:19 เรียนรู้หรือสภาวะที่เราอยู่ในตรงนี้เป็น
00:20:19 → 00:20:23 สภาวะเศรษฐกิจอะไรต่างๆเนี่ยมันก็จะไป
00:20:23 → 00:20:26 กระตุ้นวงจรสีน้ำเงินก่อนนะคะมันจะไป
00:20:26 → 00:20:29 กระตุ้นเนาะให้เราอ่ะมีอาการที่เหมือน
00:20:29 → 00:20:32 เป็นอาการที่กระตุ้นอารมณ์ดีล่าแล้วก็ส่ง
00:20:32 → 00:20:35 ต่อมาจนเกิดเป็นความกลัวความอะไรต่างๆก็
00:20:35 → 00:20:37 ได้นะคะเกิดจนเป็นความกังวล
00:20:37 → 00:20:40 จนเรารู้สึกเราใจสั่นเราหายใจไม่อิ่มละนะ
00:20:40 → 00:20:44 คะปกติวงจรเนี่ยจบจบก็คือจบ 1 ครั้งตัว
00:20:44 → 00:20:47 กระตุ้นหายไปก็คือจบนะคะแต่คนไข้ Panic
00:20:47 → 00:20:52 ก็คือมีอาการหนึ่งครั้งจริงนะคะแต่เป็น
00:20:52 → 00:20:55 หนึ่งครั้งที่มีความกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น
00:20:55 → 00:20:59 อีกนะคะซึ่งเขาหยุดคิดไม่ได้ว่าเอ้ย
00:20:59 → 00:21:01 เดี๋ยวมันจะมาอีกไหมแล้วเขาจะตายไหมแล้ว
00:21:01 → 00:21:04 เขาจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านะคะหรือ 2
00:21:04 → 00:21:07 ไม่ได้เป็น 1 ครั้งเป็นบ่อยๆเลยอันนี้ชัด
00:21:07 → 00:21:11 เจนถ้าแพนิคกำเริบบ่อยๆบ่อยๆเดือนนึงมา
00:21:11 → 00:21:13 หลายๆรอบมาหลายๆเดือนติดกันอันนี้ก็ค่อน
00:21:13 → 00:21:16 ข้างว่าน่าจะเสี่ยงจะเป็นโรคแพนิคละนะคะ
00:21:16 → 00:21:21 หรือ 3 มาไม่บ่อยเป็นครั้งเดียวแต่ที่บอก
00:21:21 → 00:21:24 คือเขามีความกลัวมากๆว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำ
00:21:24 → 00:21:27 จนทำให้เขามีการเปลี่ยนพฤติกรรม
00:21:27 → 00:21:29 การใช้ชีวิตไปเลยค่ะเช่นหมอเคยเจอเคสนึง
00:21:29 → 00:21:32 ก็คืออาการ Panic เนี่ยไปกำเริบที่ห้าง
00:21:32 → 00:21:35 สรรพสินค้ามักจะเป็นแบบตอนที่ไปซื้อของ
00:21:35 → 00:21:38 ตอนที่แบบอยู่ในที่ที่เหมือนแบบโล่งๆ
00:21:38 → 00:21:42 กว้างๆแล้วอยู่ดีๆเค้าก็เหมือนโลกทุกข้าง
00:21:42 → 00:21:44 ๆหายไปเหมือนเค้ายืนอยู่คนเดียวแล้วเขา
00:21:44 → 00:21:46 ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแบบใจสั่นใจ
00:21:46 → 00:21:49 เต้นเร็วแล้วรู้สึกว่าจะเป็นลมจริงๆอาการ
00:21:49 → 00:21:51 เป็นไม่เยอะเลยนะคะตอนที่ว่าเจอเนี่ยก็
00:21:51 → 00:21:54 คือเพิ่งเป็นไปประมาณครั้งเดียวแต่เขา
00:21:54 → 00:21:56 เลือกใช้ชีวิตโดยการไม่ไปเดินห้าง
00:21:56 → 00:21:59 สรรพสินค้าอีกเลยนะคะซึ่งก็ค่อนข้างลำบาก
00:21:59 → 00:22:02 ในการที่แบบไม่ออกไปซื้อของหรืออะไรอย่าง
00:22:02 → 00:22:05 นี้ค่ะอันนี้ก็สงสัยแล้วว่าน่าจะเข้าขาย
00:22:05 → 00:22:11 ที่จะเป็นโรคแพนิคได้เหมือนกันนะคะเนาะ
00:22:11 → 00:22:15 ก็สมมุติว่าคนที่มีอาการ Panic นะคะแล้ว
00:22:15 → 00:22:20 สงสัยว่าน่าจะเป็นโรคแพนิคนะคะเอ่อถามว่า
00:22:20 → 00:22:21 ส่วนใหญ่เนี่ย
00:22:21 → 00:22:24 หมอเจอคนไข้ช่วงไหนจริงๆแล้วก็เป็นคนวัย
00:22:24 → 00:22:27 ทำงานอย่างเรานี่แหละค่ะก็อายุที่เริ่ม
00:22:27 → 00:22:30 เป็นเนี่ยส่วนใหญ่จะเริ่มที่ประมาณ 20
00:22:30 → 00:22:32 กว่าๆสถานการณ์ที่เจอบ่อยก็คือน้องนัก
00:22:32 → 00:22:35 ศึกษาเพิ่งเรียนจบแล้วก็เข้าทำงานอันนี้
00:22:35 → 00:22:37 ก็เป็นเหตุการณ์ที่กระตุ้นแพนิคได้บ่อย
00:22:37 → 00:22:39 เหมือนกันนะคะเปลี่ยนสถานที่ทำงานเปลี่ยน
00:22:39 → 00:22:43 อะไรต่างๆเจอหัวหน้าดุหรืออะไรก็แล้วแต่
00:22:43 → 00:22:45 ก็จะเป็นอายุที่เจอบ่อย 20 กว่าๆถึง
00:22:45 → 00:22:50 ประมาณสัก 30 กว่าๆคนที่อายุหลังจาก 45
00:22:50 → 00:22:52 ปีเนี่ยไม่ค่อยเจอแต่จริงๆเป็นได้ช่วงทุก
00:22:52 → 00:22:55 ช่วงอายุนะคะอ่าแต่ที่เจอบ่อยก็จะเป็น
00:22:55 → 00:22:58 ช่วง 20-30 นะคะหรือไปไม่เกินซักประมาณ 40
00:22:58 → 00:23:00 เนี่ยก็จะเป็นกลุ่มคนไข้ที่มาหากันบ่อย
00:23:00 → 00:23:04 แล้วก็ผู้ชายกับผู้หญิงจริงๆเป็นได้พอๆ
00:23:04 → 00:23:07 กันเลยนะคะอ่าแต่มีเขามีบอกว่ามีข้อ
00:23:07 → 00:23:09 สังเกตอยู่อย่างนึงว่าถ้าเกิดเป็นแบบเป็น
00:23:09 → 00:23:13 แพนิคที่แบบเรารู้สึกว่าเราไม่กล้าอยู่คน
00:23:13 → 00:23:14 เดียวด้วยคือ Panic เนี่ยพอเวลาเรากลัว
00:23:15 → 00:23:18 มากๆกลัวว่าเราแบบจะเป็นลมแล้วก็อยู่ดีๆ
00:23:18 → 00:23:20 หัวใจเราจะอยู่เต้นแล้วเราจะตายไปเลย
00:23:20 → 00:23:22 เนี่ยสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไข้ปรับตัวคือ
00:23:22 → 00:23:25 เขาจะไม่อยู่คนเดียวอีกต่อไปนะคะมีคนนึง
00:23:25 → 00:23:28 ก็คือแฟนเป็นคนพามาหาหมอคือคนไข้อ่ะไม่
00:23:28 → 00:23:31 ได้รู้สึกว่าอาการเป็นอะไรแต่แฟนพามา
00:23:31 → 00:23:34 เพราะว่าเขาบอกว่าเขาออกไปทำงานไม่ได้เลย
00:23:34 → 00:23:36 คือออกไปได้ประมาณ 10 นาทีคือแฟนโทรตาม
00:23:36 → 00:23:38 กลับบ้านว่าอยู่ไม่ได้อยู่คนเดียวไม่ได้
00:23:38 → 00:23:41 ใจสัตว์อะไรอย่างเงี้ยนะคะเนาะถ้ามีอาการ
00:23:41 → 00:23:44 แบบเป็นการกลัวการอยู่คนเดียวรู้สึกว่า
00:23:44 → 00:23:46 เราจะสะเทือนไม่ได้อันนี้เจอในผู้หญิง
00:23:46 → 00:23:49 เยอะกว่าในผู้ชายไม่ค่อยเจอนะคะแต่ทั้ง
00:23:49 → 00:23:53 นี้ทั้งนั้นก็คือเจอได้ทุกๆวันทุกเพศพอๆ
00:23:53 → 00:23:58 กันนะคะเนาะทีนี้นะคะก็สิ่งที่อยากให้คน
00:23:58 → 00:23:59 ไข้อ่ะ
00:23:59 → 00:24:02 เอ่อตานะถึงภาวะนี้ก็คือว่าถ้าเกิดเรา
00:24:02 → 00:24:05 สงสารนะคะว่าเราจะมีอาการ Panic แล้วนะคะ
00:24:05 → 00:24:09 มารักษาเถอะนะคะเพราะว่าคนไข้ Panic
00:24:09 → 00:24:12 เนี่ยเป็นคนไข้ที่รักษาแล้วดีขึ้นเร็วมาก
00:24:12 → 00:24:16 นะคะแล้วก็ตอบสนองต่อการรักษาดีมากนะคะ
00:24:16 → 00:24:20 เอ่อส่วนหนึ่งก็คือที่หมอจะคนไข้อ่ะกลัว
00:24:20 → 00:24:23 อยู่แล้วคือเขามีความกลัวตายเป็นเป็นทุน
00:24:23 → 00:24:25 เดิมอยู่แล้วว่าเขากลัวว่าหัวใจเขาจะหยุด
00:24:25 → 00:24:28 เต้นกลัวว่าเขาจะเป็น Stroke เหมือนจริงๆ
00:24:28 → 00:24:32 กลุ่มนี้คนไข้ร่วมมือกับการรักษาดีมากนะ
00:24:32 → 00:24:35 คะเนาะที่นี้เอ่ออาการที่เราจะส่วนใหญ่
00:24:35 → 00:24:37 เมื่อไหร่หมอจะสงสัยว่าคนไข้หน้าจะมี
00:24:37 → 00:24:40 แพนิคก็เหมือนที่เล่าไปเลยค่ะก็คือมี
00:24:40 → 00:24:43 อาการหลายๆระบบนะคะอย่างเช่นระบบหัวใจก็
00:24:43 → 00:24:47 คือมีอาการใจสั่นใจเต้นแรงใจเต้นเร็วนะคะ
00:24:47 → 00:24:49 รู้สึกหัวใจมันเหมือนจะแบบออกจากหน้าอก
00:24:49 → 00:24:52 ออกมาละ 2 ระบบหายใจนะคะก็คือหายใจไม่
00:24:52 → 00:24:56 อิ่มติดขัดเหมือนจมน้ำหายใจไม่สะดวกนะคะ
00:24:56 → 00:25:01 โดยที่ออกซิเจนปกตินะคะ 3 มีอาการทางเดิน
00:25:01 → 00:25:04 อาหารนะคะเช่นอาหารไม่ย่อยกรดไหลย้อนรู้
00:25:04 → 00:25:06 สึกแน่นเหมือนมีอะไรเจ็บคอเหมือนเราแบบ
00:25:06 → 00:25:09 กลืนอะไรไม่ลงเหมือนจะสำลักตลอดเวลานะคะ
00:25:09 → 00:25:13 แล้วก็สุดท้ายก็เป็นอาการของที่จะมาหาหมอ
00:25:13 → 00:25:16 เองก็คือจะเป็นพวกเรื่องของชาตามตัวชาแบบ
00:25:16 → 00:25:20 บางคนก็ชาทั้งตัวเลยชาหน้านะคะวิงเวียน
00:25:20 → 00:25:23 ศีรษะแบบไปหาสาเหตุอะไรก็ไม่เจอนะคะกลุ่ม
00:25:23 → 00:25:26 นี้ส่วนใหญ่จะเป็นแค่เวียนหัวแต่มักจะไม่
00:25:26 → 00:25:30 ถึงกับบ้านหมุนนะคะมีอาการมึนหัวปวดหัวนะ
00:25:30 → 00:25:35 คะนอนไม่หลับนะคะเอ่อมีความกังวลนะคะมาก
00:25:35 → 00:25:40 กว่าปกตินะคะก็อาการเหล่านี้ค่ะจะเห็นว่า
00:25:40 → 00:25:43 คนไข้เนี่ยส่วนใหญ่มักจะมีอาการถ้าเอา
00:25:43 → 00:25:45 เกณฑ์การวินิจฉัย Panic จริงๆเนาะเอามาก
00:25:45 → 00:25:46 กว่า 4 อาการเป็นต้นไปเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:25:46 → 00:25:50 ส่วนใหญ่คือที่เจอมานะคะคือทุกคนมีครบใจ
00:25:50 → 00:25:53 สั่นหายใจไม่อิ่มนะคะมวนท้องแล้วก็ของหมอ
00:25:53 → 00:25:57 คือเวียนหัวอ่าชานะคะส่วนใหญ่มีครบนะคะ
00:25:57 → 00:26:02 เอ่อซึ่งคนเราเนี่ยเวลาจะมีอาการผิดปกติ
00:26:02 → 00:26:07 ตั้ง 4 ระบบเนี่ยมันยากมากเลยที่เวลาเรา
00:26:07 → 00:26:09 ไปตรวจร่างกายหรือว่าไปตรวจหาโรคแล้วเรา
00:26:09 → 00:26:12 จะเจอโรคเช่นคนๆนั้นต้องเป็นโรคหัวใจด้วย
00:26:12 → 00:26:15 มีโรคปอดด้วยเอ่ออาจจะมีแผลในกระเพาะด้วย
00:26:15 → 00:26:18 แล้วก็เป็นโรคสมองอีกมันเป็นไปค่อนข้าง
00:26:18 → 00:26:20 ได้ยากนะคะอ่าแต่ก็จะมีสิ่งนึงที่ทำให้
00:26:20 → 00:26:22 อาการคล้ายๆแบบนี้ได้เหมือนกันก็คือเช่น
00:26:22 → 00:26:25 โรคของพวกต่อมไร้ท่อต่างๆนะคะซึ่งก็เป็น
00:26:25 → 00:26:28 เหตุผลว่าส่วนใหญ่เวลาคนไข้มาเจอเนี่ยมัก
00:26:28 → 00:26:30 จะต้องได้รับการตรวจโรคทางการโดยเฉพาะ
00:26:30 → 00:26:33 เช่นไทรอยด์ออกไปก่อนนะคะเพราะไทรอยด์
00:26:33 → 00:26:37 อธิบายอาการแบบนี้ได้หมดเลยนะคะหรือยาที่
00:26:37 → 00:26:40 รับประทานอยู่นะคะยาหลายๆตัวทำให้คนไข้มี
00:26:40 → 00:26:43 อาการใจสั่นแล้วเวียนหัวแล้วชาแล้วก็รู้
00:26:43 → 00:26:45 สึกเหมือนจะเป็นอาการ Panic ได้นะคะโดย
00:26:45 → 00:26:48 เฉพาะเด็กแยกอย่างเช่นยากลุ่มพวกกลุ่ม
00:26:48 → 00:26:53 ยายาลดน้ำมูกนะคะพวกกลุ่ม effician อะไร
00:26:53 → 00:26:55 ต่างๆยาขยายหลอดลมอะไรพวกเนี้ยจะมีไซซ์
00:26:55 → 00:26:58 effect พวกเนี้ยค่อนข้างเยอะนะคะเอ่อ
00:26:58 → 00:27:01 แล้วก็อีกอันนึงก็คือพวกอาหารนะคะอาหาร
00:27:01 → 00:27:05 พวกกลุ่มที่กระตุ้นหัวใจนะคะพวกคาเฟอีน
00:27:05 → 00:27:09 ต่างๆชากาแฟน้ำอัดลมแอลกอฮอล์พวกเนี้ย
00:27:09 → 00:27:12 สามารถทำให้อ่ามีอาการที่รู้สึกไม่สุข
00:27:12 → 00:27:14 สบายแล้วก็คล้ายๆ Panic ได้นะคะเวลาเรา
00:27:14 → 00:27:17 เจอคนไข้เนี่ยเราก็ต้องวินิจฉัยแยกโรคพวก
00:27:17 → 00:27:20 อื่นๆออกไปก่อนนะคะแต่ส่วนใหญ่คนที่มา
00:27:20 → 00:27:23 เนี่ยก็มักจะได้รับการตรวจมาหมดละตรวจทุก
00:27:23 → 00:27:26 อย่างนะคะแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ปกติก็จะค่อน
00:27:26 → 00:27:29 ข้างวินิจฉัยได้ง่ายว่าน่าจะเป็น Panic
00:27:29 → 00:27:33 นะคะสำหรับ Panic นะคะรักษายังไงนะคะก็
00:27:33 → 00:27:36 จริงๆแล้วนะคะแพนิคต้องบอกว่าเหมือนเป็น
00:27:36 → 00:27:38 โรควิตกกังวลอย่างหนึ่งเนาะคนส่วนใหญ่
00:27:38 → 00:27:42 เนี่ยที่ตอนยังไม่ได้มารักษาอ่ะเขาจะบอก
00:27:42 → 00:27:47 ว่าเขามักจะได้รับการรักษาการการปลอบหรือ
00:27:47 → 00:27:50 ว่าคนใกล้ตัวมักจะบอกว่าเอ้ยเธอไม่ได้
00:27:50 → 00:27:53 เป็นอะไรหรอกอะไรอย่างนี้แบบอย่าเครียด
00:27:53 → 00:27:56 อย่าคิดมากอ่าอะไรอย่างเงี้ยค่ะซึ่งจริงๆ
00:27:56 → 00:27:59 เนี่ยคำพูดเหล่านี้กับคนไข้ Panic อ่ะค่ะ
00:27:59 → 00:28:01 บางทีมันยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นด้วยนะ
00:28:01 → 00:28:04 คะเพราะว่าจริงๆแล้วมันเป็นการแปลผลของ
00:28:04 → 00:28:09 สมองที่อ่าต่อต่อร่างกายต่อต่อสภาวะอาการ
00:28:09 → 00:28:11 ที่เขาเป็นน่ะมันผิดแปลกไปต่อให้แบบเรา
00:28:11 → 00:28:13 พยายามจะพูดยังไงอ่ะบางทีคนไข้ไม่เข้าใจ
00:28:13 → 00:28:16 จริงๆว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรนะคะน้องเพราะ
00:28:16 → 00:28:18 ฉะนั้นเนี่ยเอ่อส่วนใหญ่เนี่ยก็มักจะต้อง
00:28:18 → 00:28:21 มารักษาเถอะนะคะเพราะว่าส่วนใหญ่พอไม่ได้
00:28:21 → 00:28:25 ไม่ได้รักษามักจะอาการแย่ลงนะคะการรักษา
00:28:25 → 00:28:27 นะคะปัจจุบันก็จะมีการรักษาหลากหลายอยู่ 2
00:28:27 → 00:28:30 อย่างนะคะอันแรกก็คือใช้ยาอันที่ 2 ก็คือ
00:28:30 → 00:28:34 เป็นการรักษาบำบัดทางซัพพอร์ตจิตใจนะคะ
00:28:34 → 00:28:36 เราเรียกเหมือนเราเรียก cbt cocknitive
00:28:36 → 00:28:38 recaperal therapy อะไรอย่างนี้นะคะใน
00:28:38 → 00:28:40 อดีตเนี่ยเวลาเรารักษาโรควิตกกังวลหรือ
00:28:40 → 00:28:43 ว่าโรคทางจิตเวชต่างๆเนี่ยบางทีเราจะได้
00:28:43 → 00:28:47 รับการคือคนไข้ส่วนใหญ่เมื่อก่อนค่อนข้าง
00:28:47 → 00:28:51 จะต่อต้านกับยาจิตเวชนะคะมีความกลัวหูย
00:28:51 → 00:28:53 เป็นขนาดถึงต้องกินยาพวกยาซึมเศร้าเลยหรอ
00:28:53 → 00:28:58 หรือแบบเอิ่มรู้สึกเป็นเรื่องแบบไม่กล้า
00:28:58 → 00:29:00 บอกใครว่าเรากินยาอยู่อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:29:00 → 00:29:03 ก็เลยทำให้การรักษาเมื่อก่อนเนี่ยจะไม่
00:29:03 → 00:29:05 ค่อยได้ใช้ยาแล้วก็จะเป็นการรักษาแบบเน้น
00:29:05 → 00:29:07 แนว support จิตใจเป็นหลักแต่หลังๆนะคะใน
00:29:07 → 00:29:10 ยุคหลังเนี่ยปัจจุบันเค้าค้นพบแล้วว่าการ
00:29:10 → 00:29:12 รักษาโรคต่างๆเหล่านี้ด้วยความที่มันมี
00:29:12 → 00:29:14 การตอบสนองหรือว่าสารสื่อประสาทที่ผิด
00:29:14 → 00:29:15 ปกติ
00:29:15 → 00:29:19 ยังไงอ่ะคนไข้ต้องได้ยานะคะถึงจะอาการดี
00:29:19 → 00:29:22 ขึ้นนะคะเรียกว่า 50 50 เลยยาช่วย 50%
00:29:23 → 00:29:25 cosmitive หรือว่าการซัพพอร์ตจิตใจช่วย
00:29:25 → 00:29:28 อีก 50 เพราะฉะนั้นบางคนพอแอนตี้ต่อต้าน
00:29:28 → 00:29:30 หรือว่าไม่ยอมมารักษาไม่ยอมทานยาเนี่ยคือ
00:29:30 → 00:29:33 ถามว่าดีขึ้นได้ไหมได้แต่ช้าแล้วก็มักจะ
00:29:33 → 00:29:36 เกิดผลข้างเคียงหรืออาการอื่นๆไปก่อนนะคะ
00:29:36 → 00:29:39 งั้นจริงๆคือพอเรามารักษาเนี่ยเราทำควบ
00:29:39 → 00:29:42 คู่กันไปจะได้ผลเร็วขึ้นนะคะการรักษาด้วย
00:29:42 → 00:29:44 ยาในของกลุ่มแพนิคก็จะมีตั้งแต่การให้ยา
00:29:44 → 00:29:48 กลุ่มคล้ายๆกลุ่มพวกยาคลายเครียดนะคะใคร
00:29:48 → 00:29:53 วิตกกังวลยากลุ่มต้านทราบนะคะแต่ว่าจะใช้
00:29:53 → 00:29:55 ขนาดไม่ได้เยอะเหมือนกับโรคซึมเศร้าอะไร
00:29:55 → 00:29:59 แบบนั้นนะคะแล้วก็ยาลดอาการใจสั่นอะไรพวก
00:29:59 → 00:30:03 นี้นะคะก็จะมีเอ่อการรักษาที่ตอบสนองค่อน
00:30:03 → 00:30:06 ข้างดีนะคะคนไข้เวลามาหาหมอเนี่ยก็คือ
00:30:06 → 00:30:09 เวลามาเจอกันครั้งแรกเนี่ยคุยกันเลยค่ะ
00:30:09 → 00:30:13 ประมาณสักครึ่งชั่วโมงนึงก็คือเอ่อต้องทำ
00:30:13 → 00:30:17 อ่าเขาเรียกว่าให้ให้ความมั่นใจอธิบายให้
00:30:17 → 00:30:20 เขารู้ให้ได้ว่าเอ่อที่ตรวจมาทุกอย่าง
00:30:20 → 00:30:24 เนี่ยมันปกตินะไม่ได้เป็นโรครุนแรงแล้ว
00:30:24 → 00:30:27 เขาจะผ่านมันไปได้นะคะเอ่ออาการที่เขา
00:30:27 → 00:30:31 เป็นเนี่ยไม่ทำให้ถึงกับเสียชีวิตนะคะ
00:30:31 → 00:30:34 เพราะฉะนั้นเนี่ยครั้งหน้าถ้าเป็น
00:30:34 → 00:30:38 ให้นึกไว้ว่าเราตรวจมาทุกอย่างแล้วอาการ
00:30:38 → 00:30:41 เราไม่ถึงกับเป็นโรครุนแรงอะไรแล้วเรามี
00:30:41 → 00:30:44 วิธีจัดการกับอารมณ์หรือว่ากับอาการทาง
00:30:44 → 00:30:47 กายที่เกิดขึ้นมันก็จะอาการดีขึ้นนะคะ
00:30:47 → 00:30:50 ส่วนใหญ่ที่ต้องให้เวลาเยอะเนี่ยเพราะว่า
00:30:50 → 00:30:53 คนไข้ Panic อ่ะค่ะต่อให้กินยาไปนะคะกว่า
00:30:53 → 00:30:57 ยาจะออกฤทธิ์คือประมาณ 2 สัปดาห์เพราะ
00:30:57 → 00:30:59 ฉะนั้นเนี่ยถ้าเกิดบางคนไม่เข้าใจหลายคน
00:31:00 → 00:31:03 น่ะค่ะเคยได้ไปรับการรักษามากินยาไม่ถึง 2
00:31:03 → 00:31:04 อาทิตย์เลยด้วยซ้ำแล้วบอกว่ารักษาเราไม่
00:31:04 → 00:31:08 ดีขึ้นนะคะเพราะว่ายามันยังไม่ออกฤทธิ์นะ
00:31:08 → 00:31:11 คะยาในกลุ่มพวกนี้มันใช้เวลาค่อนข้างนาน
00:31:11 → 00:31:14 ในการที่ทำให้แบบเอ่อ
00:31:14 → 00:31:18 ค่อยๆไต่ระดับจนไปปรับสารสื่อประสาทจนทำ
00:31:18 → 00:31:20 ให้อาการเราดีขึ้นอย่างน้อยก็คือประมาณ 2
00:31:20 → 00:31:23 สัปดาห์และบางคนเนี่ย 2 สัปดาห์แรกอ่ะค่ะ
00:31:23 → 00:31:26 อาจจะมีอาการแย่ลงด้วยซ้ำนะคะเพราะว่ามัน
00:31:26 → 00:31:29 เหมือนเอ่อเกิดใช้เอฟเฟคจากยาหรืออะไรก็
00:31:29 → 00:31:31 แล้วแต่นะคะเพราะฉะนั้นเวลาคุยเนี่ยก็จะ
00:31:31 → 00:31:33 ค่อนข้างย้ำกับคนไข้แล้วก็คนดูแลหรือว่า
00:31:33 → 00:31:36 ญาติที่พามาว่า 2 อาทิตย์แรกเนี่ย
00:31:36 → 00:31:40 อาจจะต้องดูแลใกล้ชิดหน่อยนะคะเอ่อรอจน
00:31:40 → 00:31:43 กระทั่งยาออดิทอาการคนไข้จะดีขึ้นซึ่งก็
00:31:43 → 00:31:45 เป็นอย่างนั้นจริงๆส่วนใหญ่เวลาหมอนัดติด
00:31:45 → 00:31:47 ตามอาการ 2 สัปดาห์เนี่ย 2 สัปดาห์กลับมา
00:31:47 → 00:31:50 นี่คือคนละคนเลยค่ะมาวันแรกนี่คือเป็น
00:31:50 → 00:31:54 เนื้องอกสมองไหมคะเป็นอะไรไหมคะ 2
00:31:54 → 00:31:57 อาทิตย์ถัดมาเดินเข้ามายืมๆแล้วก็คุณหมอ
00:31:57 → 00:32:01 คะหายแล้วค่ะก็จะค่อนข้างค่อนข้างตอบสนอง
00:32:01 → 00:32:04 ดีแล้วก็ตอบสนองเร็วนะคะแต่ว่าสิ่งหนึ่ง
00:32:04 → 00:32:08 เลยที่สำคัญเลยนะคะก็จะย้ำกับคนไข้ว่าดี
00:32:08 → 00:32:12 แล้วห้ามหยุดยานะคะอีกอันนึงที่เจอบ่อย
00:32:12 → 00:32:14 เลยสำหรับคนไข้ Panic คืออาการดีขึ้นเร็ว
00:32:14 → 00:32:16 บางคนกินยาเดือนเดียว 2 เดือนดีขึ้นแล้ว
00:32:16 → 00:32:20 ค่ะก็มักจะหยุดยากันเร็วนะคะหยุดยากันเอง
00:32:20 → 00:32:23 อยู่ว่าแบบบางทีโอเคแบบมีไซส์เอฟเฟคก็เลย
00:32:23 → 00:32:26 หยุดไปหรืออะไรอย่างนี้แต่พบว่าคนไข้กลับ
00:32:26 → 00:32:29 มาเป็นซ้ำเยอะมากค่ะเยอะมากๆบ่อยมากๆนะคะ
00:32:29 → 00:32:32 ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยการรักษาแพนิคจะให้ได้
00:32:32 → 00:32:35 ผลดีนะคะอย่างน้อยต้องทานยานะคะประมาณ 6
00:32:35 → 00:32:38 เดือนขึ้นไปโดยเฉลี่ยเนี่ยประมาณ 9-12
00:32:38 → 00:32:41 เดือนเลยด้วยซ้ำนะคะขึ้นอยู่กับเด็กลาย
00:32:41 → 00:32:44 เอ่อนิสัยของแต่ละคนความกลัวของแต่ละคน
00:32:44 → 00:32:46 แล้วก็ภาวะ Street ที่มากระตุ้นด้วยนะคะ
00:32:46 → 00:32:49 บางคนไม่มี stress แต่เป็นเรื่องของกรรม
00:32:49 → 00:32:50 พันธุ์หรืออะไรแล้วแต่อันนี้จะหยุดยาได้
00:32:50 → 00:32:53 เร็วหน่อยแต่บางคนที่มี Street แล้วก็
00:32:53 → 00:32:56 เอ่อมีอาการที่เอ่อ
00:32:56 → 00:32:59 ยังมีตัวกระตุ้นนั้นอยู่นะคะเช่นปัญหาที่
00:32:59 → 00:33:03 ทำงานยังเจอกับหัวหน้าคนเดิมและอ่าเราก็
00:33:03 → 00:33:05 ยังทำงานต่อไปอะไรอย่างเงี้ยกลุ่มนี้อาจ
00:33:05 → 00:33:09 จะต้องทานยานานขึ้นนะคะอันที่ 2 ก็คือ
00:33:09 → 00:33:12 เรื่องของการรักษาโดยการ support จิตใจนะ
00:33:12 → 00:33:15 คะการทำ connective reherapy นะคะคนไข้
00:33:15 → 00:33:18 Panic เลยสิ่งหนึ่งเลยนะคะหมอจะแนะนำนะ
00:33:18 → 00:33:21 คะคนไข้ก็คือเรื่องของการฝึกการหายใจอัน
00:33:21 → 00:33:24 นี้เป็นสิ่งสำคัญมากนะคะเพราะว่าเวลาที่
00:33:24 → 00:33:27 แพนิคกำเริบเกิดขึ้นคือคนไข้จะหายใจเร็ว
00:33:27 → 00:33:30 มากหายใจเป็นแบบหอบเลยค่ะแบบ
00:33:30 → 00:33:33 อย่างนี้แล้วเขาควบคุมให้มันช้าลงไม่ได้
00:33:33 → 00:33:37 นะคะซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเมื่อเวลาเรา
00:33:37 → 00:33:40 หายใจเร็วๆมากๆแบบนี้
00:33:40 → 00:33:44 ออกไซด์อาจจะคลั่งถ้ามากๆเข้าก็จะเห็น
00:33:44 → 00:33:47 เหมือนคนที่เวลาต้องไปห้องฉุกเฉินนะคะคือ
00:33:47 → 00:33:49 คนไข้จะเหมือนตัวเกร็งแล้วก็คือมือจีบจาก
00:33:49 → 00:33:52 การที่แบบคาร์บอนไดออกไซด์เอามันคลั่ง
00:33:52 → 00:33:54 แล้วระดับแคลเซียมในเลือดผิดปกตินะคะจน
00:33:54 → 00:33:56 มือจีบเก่งแล้วก็คลายออกเองไม่ได้เลยก็
00:33:56 → 00:33:59 คือเกิดจากการที่เราแบบหายใจเร็วเกินไปนะ
00:33:59 → 00:34:02 คะฉะนั้นเนี่ยเอ่อสิ่งนึงที่ต้องฝึกก็คือ
00:34:02 → 00:34:06 ว่าพอเวลาเกิดอาการแพนิคกำเริบขึ้นมาเรา
00:34:06 → 00:34:10 ต้องพยายามหายใจเข้าออกให้ช้าลงแต่ถ้าเรา
00:34:10 → 00:34:14 ไม่เคยฝึกการหายใจไว้เลย Panic มาไม่มี
00:34:14 → 00:34:16 ใครควบคุมให้ตัวเองหายใจช้าลงได้อยู่แล้ว
00:34:16 → 00:34:20 นะคะเพราะว่ามันเหมือนคนคนฝึกว่ายน้ำอ่ะ
00:34:20 → 00:34:22 ค่ะถ้าเราไม่เคยฝึกว่ายน้ำเลยแล้วอยู่ดีๆ
00:34:22 → 00:34:24 เราตกลงไปในน้ำอ่ะมันไม่มีทางที่เราจะไป
00:34:24 → 00:34:27 ว่ายน้ำตอนนั้นได้แต่เราต้องฝึกว่ายน้ำ
00:34:27 → 00:34:30 ไว้ก่อนฝึกฝึกเสร็จวันนึงเราตกน้ำเราจม
00:34:30 → 00:34:33 น้ำเราก็จะไหว้กับฝังเข้ามาได้นะคะอันนี้
00:34:33 → 00:34:35 ก็เหมือนกันคนไข้แพนิคถ้าไม่เคยฝึกหายใจ
00:34:35 → 00:34:37 ไว้เลยแล้วอยู่ดีๆรอให้แพนิคกำเริบก่อน
00:34:37 → 00:34:41 มันไม่มีทางที่เราจะทำให้เราหายใจได้ได้
00:34:41 → 00:34:44 ช้าลงนะคะเพราะว่าณตอนนั้นเนี่ยก็คือยิ่ง
00:34:45 → 00:34:47 ตื่นตระหนกตกใจไปหมดแล้วว่าแบบฉันจะเป็น
00:34:47 → 00:34:51 อะไรฉันจะเป็นอะไรจอดแบบอ่าจะแบบลองหาไป
00:34:51 → 00:34:53 โรงพยาบาลอย่างเดียวเลยนะคะเพราะงั้นก็
00:34:53 → 00:34:57 คือทุกคนเนี่ยควรจะฝึกหายใจจริงๆการฝึก
00:34:57 → 00:35:01 หายใจมันก็คือการที่เราหายใจเข้าออกช้าๆ
00:35:01 → 00:35:04 นะคะเมื่อไรที่เราหายใจเข้าออกช้าๆมัน
00:35:04 → 00:35:07 เป็นการกดนะคะเป็นการเพิ่มเพรสเชอร์ในปอด
00:35:07 → 00:35:10 นะคะแล้วก็มันก็จะเป็นการกดกันไหลเวียน
00:35:10 → 00:35:13 เลือดกลับทำให้หัวใจนอกจากจะหายใจช้าลง
00:35:13 → 00:35:15 แล้วชีพจรเราก็เต้นช้าลงด้วยเพราะฉะนั้น
00:35:15 → 00:35:17 ตอนที่แพนิคแล้วแบบมีอาการกำเริบใจเต้น
00:35:17 → 00:35:19 รัวมากถ้าเราหายใจเข้าออกช้าๆชีพจรเราก็
00:35:19 → 00:35:22 ค่อยๆชาร์จลงนะคะหลักการตรงนี้จริงๆมันก็
00:35:22 → 00:35:27 เหมือนกันทำสมาธิการนั่งสมาธิการฝึกการ
00:35:27 → 00:35:31 หายใจแบบคนไข้โยคะนะคะก็คือหายใจเข้าออก
00:35:31 → 00:35:34 ช้าๆให้เต็มต่อนะคะสำหรับคนไข้ Panic ถ้า
00:35:34 → 00:35:37 ไม่เคยนั่งสมาธิไม่เคยฝึกอย่างอื่นเนี่ย
00:35:37 → 00:35:40 เราก็อาจจะลองให้โอเคฝึกหายใจอย่างเดียว
00:35:40 → 00:35:44 นะคะส่วนใหญ่ก็ให้อยู่ในที่สงบๆอาจจะเป็น
00:35:44 → 00:35:48 ตอนกลางคืนนะคะให้เราพักผ่อนร่างกายทุก
00:35:48 → 00:35:51 อย่างให้เต็มที่นะคะเอ่ออาจจะนอนในในช่วง
00:35:51 → 00:35:54 แรกก็คือนอนนอนสบายๆเลยรู้สึกให้กล้าม
00:35:54 → 00:35:57 เนื้อทุกอย่างมันผ่อนคลายแล้วโฟกัสอยู่
00:35:57 → 00:36:00 ที่แค่ลมหายใจอย่างเดียวนะคะหายใจเข้าออก
00:36:00 → 00:36:04 ให้ได้มากที่สุดนะคะอย่างน้อยประมาณช่วง
00:36:04 → 00:36:06 แรกอ่ะอาจจะได้แค่ประมาณ 5 วินาทีเพราะ
00:36:06 → 00:36:08 ว่าถ้าเรานานกว่านั้นอ่ะบางคนจะรู้สึกอึด
00:36:08 → 00:36:11 อัดแล้วเหมือนสื่อนะคะแต่ว่าถ้าทำบ่อยๆ
00:36:11 → 00:36:13 เข้าก็อาจจะได้สัก 10 วินาทีเนาะก็ค่อยๆ
00:36:13 → 00:36:15 หายใจเข้า
00:36:15 → 00:36:18 ให้ได้สักประมาณ 5 วินาทีถึง 10 ปีนะคะ
00:36:18 → 00:36:23 ค้างไว้แล้วก็ค่อยๆหายใจออกให้ยาวที่สุด
00:36:23 → 00:36:29 ดูลมหายใจไปนะคะดูให้เห็นว่าลมหายใจยาวนะ
00:36:29 → 00:36:33 คะส่วนใหญ่เราควรจะฝึกทุกวันนะคะทำวันละ
00:36:33 → 00:36:35 อย่างน้อย 10-15 นาทีต่อให้ไม่เป็นแพนิค
00:36:35 → 00:36:38 นะคะเราก็ฝึกได้นะคะเวลาเราเจอสถานการณ์
00:36:38 → 00:36:40 อะไรที่เรา
00:36:40 → 00:36:44 อารมณ์ไม่โอเคมีเรื่องโกรธมีเรื่องเครียด
00:36:44 → 00:36:47 แล้วเรากลับมาอยู่กับลมหายใจมันก็ทำให้
00:36:47 → 00:36:51 เราสงบขึ้นชีพจรเต้นช้าลงนะคะอารมณ์ต่างๆ
00:36:51 → 00:36:54 หรือว่าภาวะความเครียดภาวะฮอร์โมนความ
00:36:54 → 00:36:56 เครียด stress ต่างๆที่แบบมันหลั่งออกมา
00:36:56 → 00:36:59 มันก็จะน้อยลงไปด้วยนะคะอันนี้ก็คือ
00:36:59 → 00:37:01 เรื่องของการฝึกหายใจอันที่ 2 คนไข้ Panic
00:37:01 → 00:37:06 ทุกคนหมอแนะนำให้ไปออกกำลังกายค่ะการออก
00:37:06 → 00:37:09 กำลังกายเนี่ยคือเขาเรียกว่ามาคลินิกหรือ
00:37:09 → 00:37:11 ว่ามาหาหมอหรือทุกคนเนี่ยจะได้รับการบอก
00:37:11 → 00:37:14 ว่าออกกำลังกายเถอะนะคะนอกจากจะป้องกัน
00:37:14 → 00:37:17 โรคแบบโรคหัวใจโรคหลอดเลือดโรค Stock ไข
00:37:17 → 00:37:21 มันความดันโล่งเครียดโรคแพนิคยังช่วยป้อง
00:37:21 → 00:37:24 กันอัลไซเมอร์ภาคินสารคือข้อมูลของการออก
00:37:24 → 00:37:27 กำลังกายมันช่วยป้องกันโรคได้เยอะมากนะคะ
00:37:27 → 00:37:30 ส่วนใหญ่เราก็จะติดแค่ว่าไม่เริ่มออกไม่
00:37:30 → 00:37:33 มีเวลาหรือแม้กระทั่งคนไข้ Panic เองสิ่ง
00:37:33 → 00:37:35 หนึ่งที่ติดที่เขาออกกำลังกายไม่ได้เพราะ
00:37:35 → 00:37:38 ว่าเขาใจสั่นค่ะเวลาคนไข้แพนิคเรามีอาการ
00:37:38 → 00:37:41 หายใจไม่อิ่มใจเต้นรัวเนี่ยถ้าเกิดยังไม่
00:37:41 → 00:37:43 ได้รักษาแล้วหมอไล่ไปออกกำลังกายเลยบอก
00:37:43 → 00:37:45 ว่าไปวิ่งกลายเป็นว่าคนไข้อ่ะใจเต้นเร็ว
00:37:45 → 00:37:47 กว่าเดิมเขาจะรู้สึกทรมานกว่าเดิมในช่วง
00:37:47 → 00:37:50 แรกนะคะเพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่อยากจะไปออก
00:37:50 → 00:37:53 กำลังกายนะคะเพราะฉะนั้นสิ่งนึงก็คือโอเค
00:37:53 → 00:37:57 เรารักษาคนไข้ก่อนนะคะช่วงแรกเราไม่ซ้อ
00:37:57 → 00:38:00 หรือไม่บางครั้งนะคะให้คนไข้รู้สึกควบคุม
00:38:00 → 00:38:02 อาการของตัวเองได้ระดับหนึ่งนะคะอาการ
00:38:02 → 00:38:05 Panic ไม่ค่อยกำเริบและสุดท้ายคือเรา
00:38:05 → 00:38:08 กลับไปออกกำลังกายออกให้เป็นกิจวัตรนะคะ
00:38:08 → 00:38:11 การออกกำลังกายที่ดีคือควรทำเป็นประจำนะ
00:38:11 → 00:38:14 คะอย่างน้อยเนี่ยหมอจะขอบอกออกกำลังกาย
00:38:14 → 00:38:17 แบบไม่ต้องไม่ต้องแบบโหวิ่งวิ่งแบบเร็ว
00:38:17 → 00:38:20 มากๆขอเป็น moderate ระดับปานกลางนะคะให้
00:38:20 → 00:38:23 ชีพจรของเราเนี่ยเต้นกว่าเบสไลน์ของเรา
00:38:23 → 00:38:26 ขึ้นมาเล็กน้อยนะคะอย่างเช่นเบสซายเรา
00:38:26 → 00:38:28 ประมาณ 70-80 เราก็เอามาอยู่สักประมาณโซน
00:38:28 → 00:38:31 2 นะคะโซน 2 ไม่เกินโซน 3 แต่ขอให้ได้
00:38:31 → 00:38:35 อย่างน้อยประมาณ 30-14-15 นาทีนะคะแล้วก็
00:38:35 → 00:38:37 ทำให้ต่อเนื่องนะคะอาทิตย์นึงเนี่ยจริงๆ
00:38:37 → 00:38:40 เขาก็แนะนำ 5 วันเนาะแต่ว่าเอ่อความเป็น
00:38:40 → 00:38:43 จริงอาจจะ 3-5 วันก็โอเคแล้วหรือเรารู้
00:38:43 → 00:38:46 ว่าเรา 3 วันเราอาจจะเป็น 3 วันแบบ 45-50
00:38:46 → 00:38:49 นาทีถ้า 5 วันได้ก็วันละครึ่งชั่วโมงวัน
00:38:49 → 00:38:52 ละ 30 นาทีอะไรแบบนี้นะคะเพราะว่าคนไข้
00:38:52 → 00:38:56 ที่สุดท้ายกินยาอาการดีขึ้นปรับอ่าการใช้
00:38:56 → 00:38:58 ชีวิตอะไรแล้วแล้วไปออกกำลังกายจะหยุดยา
00:38:58 → 00:39:01 ได้เร็วค่ะหลายคนจะถามว่าต้องกินยาไปนาน
00:39:01 → 00:39:04 ไหมคะหมอก็จะบอกว่าถ้าเราปรับวิธีการคลาย
00:39:04 → 00:39:08 ความเครียดวิธีการเอ่อใช้ชีวิตแล้วก็การ
00:39:08 → 00:39:09 พักผ่อนอะไรต่างๆเนี่ยแล้วออกกำลังกาย
00:39:09 → 00:39:13 หรือเอ่อพักผ่อนให้เต็มที่เนี่ยคนเราก็จะ
00:39:13 → 00:39:16 หยุดยาได้เร็วอาการก็จะดีขึ้นได้เร็วนะคะ
00:39:16 → 00:39:17 เนาะ
00:39:17 → 00:39:20 ทีนี้ก็อีกอันนึงก็คือเรื่องของ
00:39:20 → 00:39:24 นอกจากฝึกหายใจออกกำลังกายแล้วก็จะเป็น
00:39:24 → 00:39:26 เรื่องของอาหารนะคะคนไข้ Panic ต้องระมัด
00:39:26 → 00:39:29 ระวังเรื่องอาหารนิดนึงนะคะที่จะย้ำเน้น
00:39:29 → 00:39:32 เลยอยู่ 2 อันก็คือเรื่องของอาหารที่แบบ
00:39:32 → 00:39:36 มีคาเฟอีนนะคะหลายคนก็จะแบบกินชากาแฟน้ำ
00:39:36 → 00:39:37 อัดลมโดยที่ไม่รู้ว่าอันนี้มันกระตุ้น
00:39:37 → 00:39:41 แพนิคได้ปรากฏว่าวันนั้นแบบขับรถอยู่ง่วง
00:39:41 → 00:39:45 กินชื่อซื้อแบบชาเย็นขึ้นมากินอ้าวปรากฏ
00:39:45 → 00:39:48 แบบอาการเป็นกำเริบตอนขับรถอะไรแบบนี้นะ
00:39:48 → 00:39:50 คะโดยเฉพาะช่วงแรกเนี่ยอาการเรายังควบคุม
00:39:50 → 00:39:52 ได้ไม่ดีนะก็อาจจะต้องเลี่ยงอาหารพวกนี้
00:39:52 → 00:39:54 ไปก่อนนะคะแล้วอีกอันนึงก็คือพวก
00:39:54 → 00:39:56 แอลกอฮอล์นะคะอันที่ 2 ก็คือจะเป็นพวก
00:39:57 → 00:40:00 อาหารที่เอ่อกระตุ้นให้เราใจสั่นได้ง่าย
00:40:00 → 00:40:02 นะคะเพราะฉะนั้นอาหารของหวานมากๆเนี่ย
00:40:02 → 00:40:04 เพราะว่าเวลาแบบเรากินของหวานมากๆเนี่ย
00:40:04 → 00:40:06 ร่างกายเราต้องหลั่งพวกฮอร์โมนออกมาในการ
00:40:06 → 00:40:09 ลดระดับน้ำตาลนะคะบางทีก็จะรู้สึกเพลีย
00:40:09 → 00:40:12 หรืออะไรเงี้ยนะคะแล้วก็อ่าจะรู้สึกสมอง
00:40:12 → 00:40:15 ตื้อๆหวานจัดอย่างเงี้ยหวานจัดเค็มจัด
00:40:15 → 00:40:17 อะไรเงี้ยต้องลดไปก่อนนะคะแล้วก็กระเพาะ
00:40:17 → 00:40:20 อาหารพวกผงชูรสนะคะผงชูรสเนี่ยจะกระตุ้น
00:40:21 → 00:40:24 ให้เราบางทีเรามีอาการปากชามือชาหรือว่า
00:40:24 → 00:40:26 ใจสั่นได้ซึ่งอาการจะคล้ายกับ Panic นะคะ
00:40:26 → 00:40:28 ถ้าเราไปกินอาหารแบบนั้นก็อาจจะกระตุ้น
00:40:28 → 00:40:32 อาการได้ง่ายนะคะแล้วก็เข้านอนนะคะการ
00:40:32 → 00:40:34 เข้านอนแพนิคก็คือคนไข้ก็ต้องนอนให้เพียง
00:40:34 → 00:40:37 พอจริงๆก็เหมือนทุกโรคนะคะก็คือต้องพัก
00:40:37 → 00:40:39 ผ่อนได้เพียงพอถ้าเกิดเรานอนไม่พอหรือว่า
00:40:39 → 00:40:42 เรานอนดึกเกินไปเนี่ยพอตื่นเช้ามาค่ะมัน
00:40:42 → 00:40:44 จะทำให้เรารู้สึกใจสั่นง่ายแล้วก็รู้สึก
00:40:44 → 00:40:47 มึนหัวเวียนหัวง่ายก็จะไปกระตุ้นอาการ
00:40:47 → 00:40:51 แพนิคได้เหมือนกันนะคะเนาะส่วนสำหรับใคร
00:40:51 → 00:40:53 ใกล้ตัวที่มีคนใกล้ตัวสงสัยแล้วว่าน่าจะ
00:40:53 → 00:40:57 เป็น Panic เรามีแฟนเป็นแพนิคนะคะมีคนใน
00:40:57 → 00:41:00 บ้านเป็นแพนิคเราจะดูแลเขาได้ยังไงนะคะ
00:41:00 → 00:41:04 อันแรกเลยนะคะคือหมอว่าหนึ่งเราต้องเข้า
00:41:04 → 00:41:07 ใจนะคะเราต้องเข้าใจเขาก่อนว่าการที่เขา
00:41:07 → 00:41:10 รู้สึกว่าเขากำลังจะตายหรือว่าการที่เขา
00:41:10 → 00:41:12 ใจเต้นหายใจไม่อิ่มแล้วเขารู้สึกเขาทรมาน
00:41:12 → 00:41:15 มากแล้วเขารู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไหวแล้วแบบ
00:41:15 → 00:41:19 ดูทุรนทุรายเนี่ยคือพอคนนอกมองเนี่ยบางที
00:41:19 → 00:41:23 เราจะไปเผลอมองว่าเป็นอะไรแบบก็ไปตรวจทุก
00:41:23 → 00:41:26 อย่างแล้วมันก็ปกติอะไรอย่างเงี้ยค่ะเอ่อ
00:41:26 → 00:41:29 แล้วก็บางทีเราก็จะไปเผลอพูดว่าเธอไม่ได้
00:41:29 → 00:41:31 เป็นอะไรหรอกคิดไปเองเครียดอะไรอย่าง
00:41:31 → 00:41:34 เงี้ยค่ะอันนี้อาจจะต้องเป็นคำหลีกเลี่ยง
00:41:34 → 00:41:37 ต้องห้ามนะคะเอ่อเพราะว่าช่วงแรกเนี่ยอาจ
00:41:37 → 00:41:40 จะทำให้อาการเค้ายิ่งแบบเค้ายิ่งแย่ลง
00:41:40 → 00:41:43 แล้วก็เขาก็จะรู้สึกแบบเหมือนเค้าเป็น
00:41:43 → 00:41:47 ภาระหรือว่าเป็นแบบเอ่อไม่กล้าบอกอาการ
00:41:47 → 00:41:50 กับคนอื่นได้แล้วก็กลายเป็นแบบยิ่งทำให้
00:41:50 → 00:41:53 มันเป็นหนักขึ้นหรือกลายเป็นซึมเศร้าเก็บ
00:41:53 → 00:41:56 กดไปเลยก็ได้เหมือนกันนะคะวิธีที่จะใช้
00:41:56 → 00:42:00 คือส่วนใหญ่ก็หนึ่งคืออยู่ใกล้ๆนะคะถ้า
00:42:00 → 00:42:04 เขาแบนเอกกำเริบขึ้นมาอยู่ใกล้ๆนะคะรับ
00:42:04 → 00:42:07 ฟังเนาะแบบรับฟังอย่าเพิ่งไปตัดสินอย่า
00:42:07 → 00:42:09 เพิ่งไปเธอทำไมต้องเป็นอีกแล้วอย่าเพิ่ง
00:42:09 → 00:42:11 ไปอย่าเพิ่งไปอะไรเยอะนะคะอยู่ใกล้ๆเขา
00:42:11 → 00:42:15 สัมผัสร่างกายจับมือหรืออะไรก็ได้ให้เขา
00:42:15 → 00:42:18 รู้สึกปลอดภัยว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวนะ
00:42:18 → 00:42:20 คะแล้วก็
00:42:20 → 00:42:24 ถ้าเขาเริ่มสงบขึ้นนะคะช่วงแรกมันจะแบบ
00:42:24 → 00:42:27 กระวนกระวายมากเราไปบอกให้เขาหายใจเข้า
00:42:27 → 00:42:30 ออกเขาอาจจะเขาอาจจะยังไม่ไม่ฟังเราหรือ
00:42:30 → 00:42:34 อะไรอย่างเงี้ยนะคะก็ถ้าเริ่มสงบขึ้นให้
00:42:34 → 00:42:38 เราไกด์การหายใจนะคะไกด์การหายใจให้นะคะ
00:42:38 → 00:42:41 ว่าเอ่อเช่นสมมติว่ารู้แล้วว่าเขาเริ่ม
00:42:41 → 00:42:43 หายใจเร็วแล้วเขาใจสั่นแล้วเขาเริ่มดู
00:42:43 → 00:42:47 หน้าซีดละเหมือนจะเป็นลมละอ่างั้นหายใจ
00:42:47 → 00:42:50 เข้าออกช้าๆนะอ่ะทำตามนะคะค่อยๆทำตามนะคะ
00:42:50 → 00:42:53 ก็คือแบบอาจจะใช้มือช่วยก็ได้อ่ะหายใจ
00:42:53 → 00:42:55 เข้า
00:42:55 → 00:42:58 หายใจออก
00:42:58 → 00:43:00 อย่างเงี้ยค่ะหายใจเข้า
00:43:00 → 00:43:05 หายใจออกนะคะเราเองก็จะสงบแล้วเขาก็จะสงบ
00:43:05 → 00:43:08 ขึ้นนะคะทำไปเรื่อยๆสักประมาณ 10 ไซเคิล
00:43:08 → 00:43:12 ก็จะเริ่มรู้สึกดีขึ้นนะคะเนาะบางคนที่
00:43:12 → 00:43:15 แบบหลายคนเห็นหลายเทคนิคที่ว่าเวลาหายใจ
00:43:15 → 00:43:19 เร็วมากๆจะต้องใช้ถุงมาครอบนะคะปัจจุบัน
00:43:19 → 00:43:22 ถามว่าจำเป็นไหมคือคือถ้าเขาควบคุมไม่ได้
00:43:22 → 00:43:25 จริงๆแล้วตอนที่เขาไม่ฟังเลยแล้วแบบทำ
00:43:25 → 00:43:28 อะไรไม่ได้เลยจริงๆอ่ะเราอาจจะใช้ได้แต่
00:43:28 → 00:43:30 ว่าแนะนำว่าขอเป็นถุงกระดาษนะคะเพราะว่า
00:43:30 → 00:43:32 เวลาแบบถ้าเป็นถุงพลาสติกเนี่ยบางทีมัน
00:43:32 → 00:43:35 แน่นเกินไปกลายเป็นคนไข้หายใจไม่ออกแทน
00:43:35 → 00:43:37 แล้วก็ในจังหวะที่เขาแพนิคกำเริบอยู่ที่
00:43:37 → 00:43:40 เขารู้สึกว่าเขากำลังจะจมน้ำอ่ะยิ่งถ้า
00:43:40 → 00:43:42 เราไปครอบอ่ะมันยิ่งทำให้เขาแบบรู้สึก
00:43:42 → 00:43:44 เหมือนเค้าแบบยิ่งอึดอัดอ่ะค่ะอาการอาจจะ
00:43:44 → 00:43:47 ยิ่งแย่ลงนะคะจริงๆถ้าถ้าไม่จำเป็นเนี่ย
00:43:47 → 00:43:50 ใช้การหายใจแบบช้าๆแล้วนำจะดีกว่านะคะแต่
00:43:50 → 00:43:52 ถ้าเกิดแบบตอนนั้นมันไม่ไหวแล้วก็อาจจะ
00:43:52 → 00:43:55 ใช้ถุงกระดาษบางๆนะคะให้เขาหายใจผ่านถุง
00:43:55 → 00:43:58 นั้นสัก 10 ทีก็จะเริ่มดีขึ้นอาการ Panic
00:43:58 → 00:44:01 เนี่ยส่วนใหญ่มันมักไม่อยู่ยาวนานนะคะมัก
00:44:01 → 00:44:05 จะมาแบบประมาณ 10 นาทีเนี่ยพีคเลยสมมติ
00:44:05 → 00:44:08 เราเริ่มละกำลังจะมาละ 10 นาทีเนี่ยจะไต่
00:44:08 → 00:44:10 ให้ปรับอาการเป็นหนักสุดประมาณ 10-15
00:44:10 → 00:44:13 นาทีแล้วก็มักจะไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะ
00:44:13 → 00:44:17 หายไปหรือบางคนอาจจะประมาณได้ถึงประมาณ 1
00:44:17 → 00:44:19 ชั่วโมงนะคะแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือคน
00:44:19 → 00:44:22 ไข้จะรู้สึกแบบอ่อนเพลียไม่มีแรงเหมือน
00:44:22 → 00:44:26 แบบเหมือนแบบไปออกกำลังกายหนักๆมาได้มา
00:44:26 → 00:44:28 ได้เลยนะคะน้องก็ฉะนั้นก็คือถ้าเกิดอาการ
00:44:28 → 00:44:32 เขากำเริบเนี่ยอ่ะเราก็อยู่ข้างๆเอ่อปลอบ
00:44:32 → 00:44:35 ใจรับฟังก่อนนะคะถ้ายังไม่รู้จะพูดอะไรก็
00:44:35 → 00:44:39 เงียบๆไปก่อนอ่ะให้เขาค่อยๆหายใจช้าลงนะ
00:44:39 → 00:44:42 คะสุดท้ายถ้าเขาเริ่มโอเคอาการเริ่มดี
00:44:42 → 00:44:45 ขึ้นแล้วฟังมากขึ้นเรารีแอชัวร์นะคะให้
00:44:45 → 00:44:49 กำลังใจเขาว่าคุณหมอบอกแล้วนะว่าไม่ได้
00:44:49 → 00:44:52 เป็นอะไรรุนแรงไม่มีไปตรวจทุกอย่างแล้ว
00:44:52 → 00:44:56 ปกตินะอ่าอาการที่เป็นเนี่ยไม่ทำให้หมด
00:44:56 → 00:44:59 หยุดหายใจตายไม่ทำให้เสียชีวิตนะคะคือ
00:44:59 → 00:45:02 รีแอชัวร์ให้เขามั่นใจขึ้นมาอีกรอบนึงนะ
00:45:02 → 00:45:06 คะเขาก็จะผ่าน attack นั้นไปได้นะคะแล้ว
00:45:06 → 00:45:09 ก็สำหรับใครที่เอ่อ
00:45:09 → 00:45:12 มีอาการแบบเขาเรียกว่าเป็นบางสถานการณ์
00:45:12 → 00:45:13 อ่ะค่ะเช่น
00:45:13 → 00:45:17 คนไข้บางคนของหมอแบบแพนิคจนจนไม่กล้าขับ
00:45:17 → 00:45:21 รถคือไปเคยไปแพนิค attack บนรถแล้วก็ทำ
00:45:21 → 00:45:25 อะไรไม่ถูกจนจนมันต้องจอดจอดรถคาขวาง
00:45:25 → 00:45:28 เรียกคนมาช่วยอะไรอย่างนี้คือมันก็ค่อน
00:45:28 → 00:45:30 ข้างแบบสำหรับเขาคือมันเรื่องใหญ่มากแล้ว
00:45:30 → 00:45:32 หลังจากนั้นเขาคือไม่ขับรถเด็กเลยนะคะ
00:45:32 → 00:45:36 สำหรับคนไข้ Panic ถ้ารักษาดีแล้วฝึกหาย
00:45:36 → 00:45:39 ใจได้ดีรู้จักว่าจะจัดสะท้านจาจะจัดการ
00:45:39 → 00:45:41 สถานการณ์ยังไงนะคะเราสามารถกลับไปใช้
00:45:41 → 00:45:43 ชีวิตได้ปกตินะคะอย่างเช่นเรื่องของการ
00:45:43 → 00:45:45 ขับรถอย่างนี้เหมือนกันมันก็แนะนำว่า
00:45:45 → 00:45:48 สามารถขับได้หลังจากรักษาไประยะนึงสามารถ
00:45:48 → 00:45:52 ขับได้นะค่อยๆเริ่มเริ่มจากใกล้ๆก่อนใน
00:45:52 → 00:45:56 หมู่บ้านอ่าหมู่บ้านมั่นใจละเขยิบออกไป
00:45:56 → 00:45:59 ข้างนอกอ่าพอจะเริ่มไปไกลขึ้นครั้งแรกอาจ
00:45:59 → 00:46:03 จะมีคนนั่งไปด้วยอ่ะไม่มีอาการก็ค่อยไปคน
00:46:03 → 00:46:05 เดียวนะคะแล้วก็ค่อยๆฝึกไปอย่างที่บอกคือ
00:46:05 → 00:46:07 อันนี้อันนี้ด้านล่างมันเป็นเรื่องของการ
00:46:07 → 00:46:10 จดจำความกลัวเนอะเพราะฉะนั้นพอพอมันเคย
00:46:10 → 00:46:13 เกิดสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วฝังใจไปแล้วว่า
00:46:13 → 00:46:15 เดี๋ยวมันจะเกิดขึ้นเนี่ยมันทำให้เขากลัว
00:46:15 → 00:46:18 แล้วก็ไม่กล้าทำสิ่งต่างๆเพราะฉะนั้นเรา
00:46:18 → 00:46:22 ก็เหมือนรื้อใหม่ค่ะก็ค่อยๆฝึกให้เผชิญ
00:46:22 → 00:46:25 กับสถานการณ์นั้นและทำให้รู้ว่ามันไม่ได้
00:46:25 → 00:46:27 น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะไม่ได้น่ากลัวหรือ
00:46:27 → 00:46:29 ไม่ได้ไม่ได้จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก
00:46:29 → 00:46:32 เหมือนเป็นการเรียนรู้กับเขาไปใหม่
00:46:32 → 00:46:35 โปรแกรมมิ่งไปเข้าไปใหม่นะคะอันนี้เอามา
00:46:35 → 00:46:37 ประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆก็ได้นะคะอย่าง
00:46:37 → 00:46:41 เช่นใครเคยทำธุรกิจหรือว่าทำงานหรือเด็ก
00:46:41 → 00:46:45 เคยทำอะไรแล้ว fail หรือล้มเหลวบางทีกลัว
00:46:45 → 00:46:47 การทำสิ่งใหม่ๆไปเลยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:46:47 → 00:46:49 จริงๆพวกเนี้ยก็คือเราก็สามารถค่อยๆเรียน
00:46:49 → 00:46:54 รู้กลับไปใหม่ได้นะคะเนาะอ่าก็
00:46:54 → 00:46:59 ยากพอสมควรมาดูคอมเมนต์บ้างนะคะเดี๋ยวหมอ
00:46:59 → 00:47:04 ตอบคอมเมนต์นิดนึงโอเคโอเคอ่ะหมอตอบกัน
00:47:04 → 00:47:07 เลยนะคะคนแรกนะคะอาการที่หมอบอกผมเคยเป็น
00:47:07 → 00:47:09 มาแล้วค่ะชาตามแขนขาไล่ขึ้นมาคลอลิ้น
00:47:09 → 00:47:11 เหงื่อไหลไม่หยุดหายใจสั่นรวมเหมือนหัวใจ
00:47:11 → 00:47:14 จะวายหมอที่โรงพยาบาลให้ยาแก้ใจสั่นมากิน
00:47:14 → 00:47:18 การตรวจไทรอยด์ก็ปกติก็อันนี้ค่ะก็คือ
00:47:18 → 00:47:20 เป็นอาการเหมือนเป็นอาการ Panic ได้เลยนะ
00:47:20 → 00:47:23 คะแต่อย่างที่บอกคือเราเราอาจจะไม่จำเป็น
00:47:24 → 00:47:26 ต้องเป็นโรคแพนิคคือณวันนั้นที่เกิดขึ้น
00:47:26 → 00:47:28 อาจจะมีอะไรมากระตุ้นแต่อาการที่เกิดขึ้น
00:47:28 → 00:47:30 ในเราเรียกว่าเป็น Panic attack ก็คือ
00:47:30 → 00:47:33 เป็นอาการกำเริบนะคะซึ่งถ้าเกิดเป็นครั้ง
00:47:33 → 00:47:36 เดียวแล้วหายไปตอนนี้ใช้ชีวิตได้ปกติไม่
00:47:36 → 00:47:38 เป็นไรนะคะยังไม่ต้องทำอะไรแต่อาจจะ
00:47:38 → 00:47:42 พยายามปรับตัวปรับการใช้ชีวิตให้เราไม่มี
00:47:42 → 00:47:45 โอกาสกลับไปเป็นอีกนะคะเสี่ยงกับการกลับ
00:47:45 → 00:47:48 ไปเป็นให้น้อยที่สุดเช่นอากินอาหารอย่าง
00:47:48 → 00:47:50 ที่บอกนะคะหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นนอน
00:47:50 → 00:47:53 ให้พอออกกำลังกายฝึกหายใจนะคะถ้าครั้ง
00:47:53 → 00:47:56 หน้ามาอ่ะเราก็จะรับมือได้ดีขึ้นแต่ถ้า
00:47:56 → 00:47:59 เป็นบ่อยๆขึ้นเป็นซ้ำๆบ่อยๆเข้าจนรู้สึก
00:47:59 → 00:48:02 ว่ามันเริ่มเอฟเฟคกับการทำงานกับการใช้
00:48:02 → 00:48:04 ชีวิตอันนี้อาจจะต้องไปปรึกษาคุณหมอนะคะ
00:48:04 → 00:48:08 เพื่อรับการรักษานะคะจะได้ไม่ต้องคือไม่
00:48:08 → 00:48:10 ต้องมาคอยกังวลว่าแบบเอออาการมันจะมา
00:48:10 → 00:48:12 เมื่อไหร่นะคะเพราะว่าการของคนไข้ Panic
00:48:12 → 00:48:14 เนี่ยเขาใช้คำว่า
00:48:14 → 00:48:17 อ่า expected คือไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
00:48:18 → 00:48:20 แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมาสถานการณ์ไหนด้วยคือ
00:48:20 → 00:48:22 หาความสัมพันธ์ไม่ค่อยได้มันจะไม่เหมือน
00:48:22 → 00:48:25 โรคบางโรคที่เป็นโรคกลัวบางอย่างเช่นบาง
00:48:25 → 00:48:29 คนโรคกลัวการอยู่คนเดียวก็อาการก็จะมาแค่
00:48:29 → 00:48:32 ตอนที่อยู่คนเดียวอะไรแบบนี้นะคะแต่ Panic
00:48:32 → 00:48:35 เนี่ยคือมันมักจะคาดเดาไม่ค่อยได้ว่าอะไร
00:48:35 → 00:48:37 จะมากระตุ้นนะคะ
00:48:37 → 00:48:40 เป็นครบทุกอย่างแต่ไทรอยด์ไม่เป็นรับยา
00:48:40 → 00:48:43 แล้วดีขึ้นก็ขอให้
00:48:43 → 00:48:46 อาการดีขึ้นโดยเร็วนะคะแล้วก็ที่สำคัญเลย
00:48:46 → 00:48:50 ที่เมื่อกี้หมอยำก็คือว่าเวลาดีขึ้นแล้ว
00:48:50 → 00:48:53 นะคะอย่าหยุดยาเองนะคะควรจะเป็นคุณหมอนะ
00:48:53 → 00:48:56 คะสั่งรถยาให้เพราะปกติยาในกลุ่มที่เป็น
00:48:57 → 00:49:00 ตับสารสื่อประสาทยาอารมณ์ต่างๆเนี่ยเรา
00:49:00 → 00:49:02 ไม่สามารถหยุดได้เลยทันทีอาจจะเกิดอาการ
00:49:02 → 00:49:05 ข้างเคียงได้ส่วนใหญ่จะต้องใช้การลดขนาด
00:49:05 → 00:49:08 ลงนะคะแล้วพอลดขนาดลงรู้ว่าอาการไม่
00:49:08 → 00:49:11 กำเริบก็ค่อยหยุดยาอีกครั้งนึงนะคะโดย
00:49:11 → 00:49:13 ทั่วไปเฉลี่ยของคนไข้ Panic เนี่ยก็ต้อง
00:49:13 → 00:49:14 กินยาอย่างน้อยประมาณ
00:49:14 → 00:49:16 6-12 เดือนนะคะ
00:49:16 → 00:49:19 เริ่มต้นที่เราจะต้องไปหาหมอต้องบอกหมอ
00:49:19 → 00:49:22 ว่ายังไงคะบอกตามอาการที่เป็นเลยไหมคะคือ
00:49:22 → 00:49:25 ส่วนใหญ่ที่หมอเจอมานะคะก็คือ
00:49:25 → 00:49:29 ด้วยความที่อาการมีหลายระบบมากๆเช่นใจ
00:49:29 → 00:49:31 สั่นบางคนจะเป็นหัวใจเด่นก็คือรู้สึกว่า
00:49:31 → 00:49:34 ใจสั่นใจเต้นเร็วนะคะบางคนก็จะเป็นหายใจ
00:49:34 → 00:49:37 ไม่อิ่มหายใจไม่เต็มปอดบางคนเป็นกรดไหล
00:49:37 → 00:49:40 ย้อนบางคนเป็นเวียนหัวนะคะเพราะฉะนั้น
00:49:40 → 00:49:44 เนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นคือลองดูว่าอาการเรา
00:49:44 → 00:49:48 เนี่ยเป็นระบบไหนเด่นถ้าไม่เคยตรวจนะคะ
00:49:48 → 00:49:52 เอ่อหาสาเหตุโรคนั้นๆแนะนำว่าเช่นๆมาด้วย
00:49:52 → 00:49:55 ใจสั่นเด่นรู้สึกใจเต้นแรงมากจริงๆก่อนจะ
00:49:55 → 00:49:58 โทษว่าเป็นแพนิคอาจจะต้องไปตรวจหัวใจก่อน
00:49:58 → 00:50:02 ว่าปกตินะคะหรือบางทีเนี่ยถ้าเรามีอาการ
00:50:02 → 00:50:04 ไหลลงไปมากๆนะคะส่วนใหญ่เนี่ยก็อาจจะได้
00:50:04 → 00:50:07 ส่งไปพบคุณหมออายุรกรรมเล่าอาการให้ครบ
00:50:07 → 00:50:09 เลยค่ะว่าเราเป็นอะไรบ้างแต่ถ้าเป็นการ
00:50:09 → 00:50:12 ตรวจครั้งแรกเนี่ยเราจะต้องตรวจเลือดหา
00:50:12 → 00:50:15 ไทรอยด์หาเอ่อตรวจคลื่นหัวใจตรวจต่อตรวจ
00:50:15 → 00:50:17 อะไรทุกอย่างให้มั่นใจก่อนว่าทุกอย่าง
00:50:17 → 00:50:20 ปกติแล้วเราก็ค่อยดูว่าอาการเข้าข่ายกับ
00:50:20 → 00:50:23 แพนิคหรือเปล่านะคะ
00:50:23 → 00:50:27 มีอาการแบบที่คุณหมอบอกเลยค่ะก็ถ้าเกิด
00:50:27 → 00:50:29 อาการเป็นบ่อยเป็นมากกว่า 1 ครั้งหรือ
00:50:29 → 00:50:32 สำคัญคีย์เวิร์ดเลยก็คือเขาใช้คำว่ามี
00:50:32 → 00:50:36 ความกลัวกลัวว่าจะเป็นอีกกลัวว่าจะเสีย
00:50:36 → 00:50:39 ชีวิตกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายนะคะอันนี้ลอง
00:50:39 → 00:50:41 ไปพบคุณหมอลองปรึกษาคุณหมอดูนะคะเพราะว่า
00:50:41 → 00:50:45 คือบางทีเนี่ยเหมือนเราคือคนไข้ Panic
00:50:45 → 00:50:47 บางทีคือด้วยความที่มันเป็นสั้นๆครั้งนึง
00:50:47 → 00:50:49 ไม่ค่อยเกินครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง
00:50:49 → 00:50:53 บางทีคนไข้มาแล้วก็อยู่กับมันแล้วก็ไม่
00:50:53 → 00:50:56 เป็นไรจบไปรอบหน้าอาม่าใหม่ตื๊ดๆจบไปไม่
00:50:56 → 00:50:58 ได้ทำการรักษาแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
00:50:58 → 00:51:02 บางครั้งมันส่งผลให้เรากลายเป็นคนกลัวการ
00:51:02 → 00:51:04 ทำอะไรบางอย่างไปเลยเช่นกลัวการออกไปข้าง
00:51:04 → 00:51:06 นอกกลัวการขับรถกลัวการอยู่คนเดียวหรือ
00:51:06 → 00:51:09 ว่าแม้กระทั่งแต่แบบบางคนก็กลัวแบบกลัว
00:51:09 → 00:51:12 ที่จะทำงานไม่กล้าไปที่ทำงานไปเลยหรือ
00:51:12 → 00:51:13 อะไรอย่างเงี้ยค่ะทำให้แบบเสียงานอะไร
00:51:13 → 00:51:16 เงี้ยได้นะคะหรือถ้าเกิดปล่อยไว้นานๆมากๆ
00:51:16 → 00:51:20 เข้าบางทีมันกลายเป็นนำไปสู่โลกอื่นได้
00:51:20 → 00:51:23 เช่นโรควิตกกังวลรุนแรงหรือว่าโรคซึม
00:51:23 → 00:51:26 เศร้าได้นะคะถ้าการเป็นบ่อยนะคะลองปรึกษา
00:51:26 → 00:51:27 คุณหมอดูนะคะ
00:51:27 → 00:51:30 อาการเป็นตอนนี้เลยใจสั่นวิวๆเหมือนจะ
00:51:30 → 00:51:34 เป็นลมพะอืดพะอมจะอาเจียนอันนี้ลองดูนะคะ
00:51:34 → 00:51:36 ว่าอันนี้เป็นอาการครั้งแรกหรือเปล่านะคะ
00:51:36 → 00:51:38 เอ่อ
00:51:38 → 00:51:40 ถ้าเกิดเคยเป็นอยู่ก่อนแล้วจริงๆใจสั่น
00:51:40 → 00:51:42 วิวๆเหมือนจะเป็นลมอำเภออื่นมองอาเจียน
00:51:42 → 00:51:45 เป็นอาการเขาเรียกว่าไม่จำเพาะเจาะจงอาจ
00:51:45 → 00:51:48 จะไม่ใช่แค่นี้ก็ได้นะคะเอ่ออาการแบบ
00:51:48 → 00:51:51 อาหารเป็นพิษ
00:51:51 → 00:51:54 เมื่อคืนนอนน้อยอะไรอย่างนี้ค่ะก็สามารถ
00:51:54 → 00:51:56 ทำให้เกิดอาการอะไรแบบนี้ได้เหมือนกันนะ
00:51:56 → 00:51:59 คะคือทั้งหมดเนี่ยมันคือเป็นแค่การทำงาน
00:51:59 → 00:52:01 ของระบบประสาทอัตโนมัติที่มันผิดปกติมัน
00:52:01 → 00:52:04 อยู่ที่ว่าสาเหตุอ่ะอะไรที่มันมากระตุ้น
00:52:04 → 00:52:08 นะคะสำหรับแผ่นนี้ก็คือว่าไม่เจอละไม่เจอ
00:52:08 → 00:52:10 เหตุอะไรเลยมากระตุ้นไม่ได้เป็นอาหารเป็น
00:52:10 → 00:52:12 พิษด้วยไม่ได้เป็นโรคกรดไหลย้อนด้วยอะไร
00:52:12 → 00:52:14 ด้วยแต่มันเกิดมาจากเนี่ยแหละค่ะความกลัว
00:52:14 → 00:52:18 ภายใต้จิตใจภายใต้แบบจิตสำนึกที่มันมาทำ
00:52:18 → 00:52:21 ให้ร่างกายเรามันมีอาการออกมานะคะไหนลอง
00:52:21 → 00:52:25 ดูนะคะถ้าเป็นอยู่เลยลองหายใจเข้าออกช้าๆ
00:52:25 → 00:52:28 แบบที่เมื่อกี้หมอบอกนะคะดูว่าสงบขึ้นไหม
00:52:28 → 00:52:30 นะคะเราลองดูก่อนด้วยว่าเป็นอาการอย่าง
00:52:30 → 00:52:32 อื่นด้วยหรือเปล่านะคะ
00:52:32 → 00:52:35 กำลังสงสัยพอดีค่ะว่ามีแพนิคหรือเปล่า
00:52:35 → 00:52:38 โอเคค่ะก็เมื่อกี้ต่อไปแล้วเนาะถ้าเป็น
00:52:38 → 00:52:40 ได้ถ้าเป็นรายได้รับการรักษามีโอกาสหาย
00:52:40 → 00:52:45 ค่ะหายได้ค่ะเอ่อแพนิคคนไข้รักษาแล้วดี
00:52:45 → 00:52:49 ขึ้นแทบทุกคนนะคะเป็นโรคที่ตอบสนองกับยา
00:52:49 → 00:52:53 ค่อนข้างดีมากยิ่งถ้าได้ทำร่วมกับการฝึก
00:52:53 → 00:52:56 หายใจการปรับความเครียดการออกกำลังกายการ
00:52:56 → 00:53:00 ปรับการใช้ชีวิตนะคะคนไข้ส่วนใหญ่กลับไป
00:53:00 → 00:53:04 ใช้ชีวิตได้ปกติหมดนะคะแต่ถามว่าหายขาด
00:53:04 → 00:53:06 ไหมคือส่วนหนึ่งเนี่ย
00:53:06 → 00:53:09 กลไกการเกิดเนี่ยมันยังไม่ค่อยแน่ชัด
00:53:09 → 00:53:10 เชือกส่วนหนึ่งเขาเชื่อว่ามันเกิดจาก
00:53:10 → 00:53:12 พันธุกรรมการเรียนรู้อะไรมาตั้งแต่วัย
00:53:12 → 00:53:15 เด็กเขาพบว่าคนไข้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
00:53:15 → 00:53:18 ได้นะคะถ้าไปเจอเหตุการณ์หรือว่าเจอสิ่ง
00:53:18 → 00:53:22 บางอย่างกระตุ้นแต่เท่าที่รักษามานะคะถ้า
00:53:22 → 00:53:25 เกิดแบบคนไข้เนี่ยกินยานานพอ
00:53:25 → 00:53:31 ปรับยาแบบค่อยๆลดยานะคะปรับการใช้ชีวิตก็
00:53:31 → 00:53:33 มักจะโอกาสกลับมาเป็นซ้ำยากนะคะส่วนใหญ่
00:53:33 → 00:53:37 เนี่ยจะเจอการเป็นซ้ำในคนที่ทานยาไม่ครบ
00:53:37 → 00:53:40 คอร์สของครั้งแรกมากกว่าเคยเจอบ่อยแบบ
00:53:40 → 00:53:42 เป็นแพนิคกินยาอยู่ 3 เดือนแล้วหายไป
00:53:42 → 00:53:46 อาการดีขึ้นอยู่ได้ปี 2 ปีอายุโควิดมา
00:53:46 → 00:53:48 อยู่แต่บ้านอยู่คนเดียวคิดเยอะแพนิค
00:53:48 → 00:53:50 กำเริบอะไรเงี้ยค่ะก็คือแบบครั้งนั้น
00:53:51 → 00:53:54 รักษาไม่ครบไม่ครบระยะเวลาที่ควรจะอย่าง
00:53:54 → 00:53:56 เงี้ยค่ะก็จะมีอาการกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้
00:53:56 → 00:53:58 ค่ะ
00:53:58 → 00:54:02 โอเคคอมเมนต์หมดแล้วนะคะก็ก็ถ้าเกิดใครมี
00:54:02 → 00:54:03 คำถามนะคะหรือสงสัยว่าตัวเองจะเป็นหรือ
00:54:03 → 00:54:06 เปล่านะคะก็ลองถามทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้นะคะ
00:54:06 → 00:54:10 เดี๋ยวหมอจะมาตอบให้อีกทีนึงนะคะอันนี้ก็
00:54:10 → 00:54:15 เอ่ออยากให้ทุกคนได้เข้าใจรู้โรคแพนิคมาก
00:54:15 → 00:54:19 ขึ้นนะคะในมุมในมุมของหมอสมอนะคะที่ก็ได้
00:54:19 → 00:54:23 มีโอกาสเจอคนไข้เรื่อยๆระดับนึงเลยคือหมอ
00:54:23 → 00:54:26 จะเจอคนไข้ในมุมที่แบบชาไม่ทราบสาเหตุมาก
00:54:26 → 00:54:28 กว่าแล้วก็แบบเวียนหัวไม่หายอันนี้บ่อย
00:54:28 → 00:54:31 เลยแบบเวียนหัวทำมาทุกอย่างแล้วแล้วก็กิน
00:54:31 → 00:54:34 ยามาทุกอย่าง MRI สมองปกติอะไรอย่างเงี้ย
00:54:34 → 00:54:37 ค่ะก็จะมาได้รับการปรึกษาพอคุยซักประวัติ
00:54:37 → 00:54:41 หรืออาการจริงๆก็เข้าได้นะคะก็ได้รับการ
00:54:41 → 00:54:44 รักษาก็ดีขึ้นนะคะอ่าก็เลยอยากจะมาแชร์
00:54:44 → 00:54:47 ประสบการณ์ตรงนี้ว่าคนที่มีอาการเหล่า
00:54:47 → 00:54:50 เนี้ยคือคิดว่าหลายคนก็คงจะมีอาการใดๆ
00:54:50 → 00:54:53 เหล่านี้บ้างแหละใจสั่นมือชาเอ่อเวียนหัว
00:54:53 → 00:54:57 ปวดหัวเอ่อหายใจลำบากอะไรเงี้ยแล้วก็ตรวจ
00:54:57 → 00:54:59 อะไรแล้วก็เพราะปกติแล้วเราไม่รู้จะตรวจ
00:54:59 → 00:55:02 อะไรต่อแล้วให้นึกถึงโรคนี้เอาไว้บ้างนะ
00:55:02 → 00:55:05 คะว่าเรามีโอกาสอาจจะเป็นได้นะคะก็ลอง
00:55:05 → 00:55:07 สังเกตอาการตัวเองดูหรือว่าสังเกตคนรอบ
00:55:07 → 00:55:11 ข้างดูนะคะเพราะว่าโรคนี้นะคะถ้าเกิดเรา
00:55:11 → 00:55:14 ตระหนักว่าอาจจะเป็นแล้วก็มารับการรักษา
00:55:14 → 00:55:17 ได้อย่างถูกต้องนะคะก็จะทำให้คุณภาพชีวิต
00:55:17 → 00:55:21 ดีขึ้นทั้งต่อตัวเราเองต่อคนรอบข้างนะคะ
00:55:21 → 00:55:24 ต่อเพื่อร่วมงานต่างๆนะคะเนาะก็หวังว่า
00:55:24 → 00:55:27 คลิปนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะก็
00:55:27 → 00:55:29 เดี๋ยวไว้คราวหน้าก็มาไลฟ์กันใหม่นะคะ
00:55:29 → 00:55:31 เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอะไรก็ติดตามกันอีกที
00:55:31 → 00:55:35 นึงนะคะสวัสดีค่ะ