00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับผมเชื่อว่าคงต้องมีหลายคนนะ
00:00:03 → 00:00:05 ครับเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่ามีบางคน
00:00:05 → 00:00:08 เนี่ยโดนกระทบกระแทกที่หัวแล้วหลังจาก
00:00:08 → 00:00:11 นั้นเนี่ยชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเลยจากการ
00:00:11 → 00:00:13 ที่เป็นคนทั่วไปธรรมดาเหมือนเราๆนี่แหละ
00:00:13 → 00:00:15 นะครับหลังจากโดนกระแทกที่หัวปุ๊บเนี่ย
00:00:15 → 00:00:18 ฉลาดขึ้นมาเก่งขึ้นมามีความสามารถขึ้นมา
00:00:18 → 00:00:21 ทันทีเรื่องราวนี้มันเป็นแค่เรื่องแต่ง
00:00:21 → 00:00:24 หรือเรื่องจริงถ้ามันเป็นเรื่องจริงเราจะ
00:00:24 → 00:00:26 ไปกระแทกหัวแล้วทำให้เราฉลาดขึ้นมาได้
00:00:26 → 00:00:29 จริงหรือเปล่ามันมีวิธีไหมนะครับวันนี้จะ
00:00:29 → 00:00:31 เล่าให้ฟังนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์
00:00:31 → 00:00:33 ธานีธนียวรรณนะครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่
00:00:33 → 00:00:36 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการ
00:00:36 → 00:00:38 ปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:00:38 → 00:00:40 เรื่องของการกระแทกบริเวณศีรษะแล้วทำให้
00:00:40 → 00:00:43 ฉลาดขึ้นมีความสามารถใหม่ๆเกิดขึ้นนะครับ
00:00:43 → 00:00:47 ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการคำนวณดนตรีศิลปะ
00:00:47 → 00:00:50 ความจำนะครับการคำนวณทางปฏิทินต่างๆ
00:00:50 → 00:00:53 เรื่องนี้เนี่ยเป็นเรื่องจริงนะครับไม่
00:00:53 → 00:00:55 ใช่เรื่องแต่งนะครับมันมีชื่อเรียกทางการ
00:00:55 → 00:01:00 แพทย์ด้วยคือซาฟาน synd นะครับสอบคว้าน
00:01:00 → 00:01:02 จึงรวมในกรณีที่มีการกระแทกบริเวณศีรษะ
00:01:02 → 00:01:06 แล้วเกิดความฉลาดในทางพวกนี้ขึ้นมาเราพบ
00:01:06 → 00:01:10 ว่ามันเป็นการกระแทกที่
00:01:10 → 00:01:14 หัวด้านซ้ายตรงบริเวณแถวนี้นะครับเราจะ
00:01:14 → 00:01:16 เรียกบริเวณนั้นของสมองว่า left and
00:01:16 → 00:01:18 Terrier
00:01:18 → 00:01:21 การกระแทกบริเวณนั้นทำให้สมองบริเวณนั้น
00:01:21 → 00:01:23 มันเสียหายไป
00:01:23 → 00:01:25 เราเสียหายแล้วมันฉลาดได้ยังไงนะมันเก่ง
00:01:25 → 00:01:27 ขึ้นมาได้ยังไงต้องบอกอย่างนี้ก่อนนะครับ
00:01:27 → 00:01:29 สำหรับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของสมอง
00:01:29 → 00:01:33 คร่าวๆนะครับสมองซีกซ้ายของเราเนี่ยมันจะ
00:01:33 → 00:01:35 มีหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์เป็นหลักนะ
00:01:35 → 00:01:38 ครับคิดวิเคราะห์คำนวณพวกนี้ส่วนด้านขวา
00:01:38 → 00:01:42 เนี่ยจะเกี่ยวข้องกับความจำภาพศิลปะนะ
00:01:42 → 00:01:45 ครับความสามารถทางด้านของการดูสภาพ 3
00:01:45 → 00:01:47 มิติอะไรพวกนี้นะครับหรือที่เรียกว่า
00:01:47 → 00:01:51 Special นะครับต่างๆนะครับดังนั้นคร่าวๆ
00:01:51 → 00:01:54 คือสมองเราทำงานแบบนี้ก็เชื่อว่าถ้าสมอง
00:01:54 → 00:01:56 ส่วนหนึ่งด้านซ้ายโดยเฉพาะตรงบริเวณเล็บ
00:01:56 → 00:01:59 แอนทีเรีย Table load ตรงนี้เสียไปมันจะ
00:01:59 → 00:02:02 ทำให้สมองซีกขวาของเราเนี่ยทำงานเด่นมาก
00:02:02 → 00:02:05 ขึ้นแล้วก็มาทดแทนด้านซ้ายนะครับดังนั้น
00:02:05 → 00:02:08 จึงเป็นที่มาของการที่สมองซีกขวาพอพยายาม
00:02:08 → 00:02:10 ทำงานแทนด้านซ้ายเนี่ยความสามารถของด้าน
00:02:10 → 00:02:13 ขวามันจะเด่นมากขึ้นนะครับทั้งด้านของ
00:02:13 → 00:02:16 ความจำการมองเห็นรายละเอียดต่างๆซึ่งคน
00:02:16 → 00:02:18 อื่นทั่วไปเขาไม่ได้สนใจนะครับความคิด
00:02:18 → 00:02:20 วิเคราะห์ที่มันออกไปนอกกรอบเลยนะครับ
00:02:20 → 00:02:22 ข้างซ้ายจะคิดวิเคราะห์ตามเหตุผลแต่ข้าง
00:02:22 → 00:02:25 ขวาเนี่ยเป็นทางด้านศิลปะมันจะเป็นนอก
00:02:25 → 00:02:27 กรอบมันเป็นทุกอย่างนะครับแล้วจริงๆอัน
00:02:27 → 00:02:31 นี้มันก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งบอกๆว่าเออถ้า
00:02:31 → 00:02:33 เรามีความสามารถในการคำนวณถ้าคิดอยู่ติด
00:02:33 → 00:02:34 อยู่ในกรอบอย่างเดียวเนี่ยมันอาจจะคิดไป
00:02:34 → 00:02:36 ได้ไม่ไกลเท่ากับคนที่สามารถคิดออกนอก
00:02:36 → 00:02:39 กรอบได้นะครับแล้วก็คนที่คิดออกนอกกรอบ
00:02:39 → 00:02:42 นั้นสามารถคิดอะไรใหม่ๆขึ้นมาที่โลกเรา
00:02:42 → 00:02:44 มันยังไม่มีก็ได้นะครับ
00:02:44 → 00:02:47 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สมองมันใหญ่ขึ้น
00:02:47 → 00:02:49 อย่างเดียวนะครับแต่เซลล์ประสาทของสมอง
00:02:49 → 00:02:51 ด้านขวาเนี่ยนะครับเซลล์ประสาททุกตัว
00:02:51 → 00:02:53 เนี่ยมันจะมีการคุยกันอยู่แล้วเรียกว่า
00:02:53 → 00:02:56 เป็นการฟอร์ม Connection นะครับการฟอร์ม
00:02:56 → 00:02:57 Connection หรือการติดต่อระหว่างเซลล์
00:02:57 → 00:03:01 ถ้ามันมีความจำเป็นจะต้องเพิ่ม Connection
00:03:01 → 00:03:03 ตรงนี้เพิ่มขึ้นนะครับ Connection มันจะ
00:03:03 → 00:03:05 มีความเหนียวแน่นนะครับการติดต่อระหว่าง
00:03:05 → 00:03:07 เซลล์ประสาทจะมีความเหนียวแน่นแข็งแรง
00:03:07 → 00:03:09 เพิ่มขึ้นนะครับเป็นการเสริมประสิทธิภาพ
00:03:09 → 00:03:12 ให้กับสมองตรงบริเวณนั้นนะครับนั่นจึง
00:03:12 → 00:03:15 เป็นที่มาของคนที่โดนกระแทกบริเวณศีรษะ
00:03:15 → 00:03:17 โดยเฉพาะบริเวณด้านตรงนี้ด้านซ้ายนะครับ
00:03:17 → 00:03:20 เกิดความฉลาดแบบนี้ขึ้นมาแต่มันไม่ได้
00:03:20 → 00:03:22 เป็นกับทุกคนที่สามารถจะเกิดแบบนั้นได้นะ
00:03:22 → 00:03:23 ครับ
00:03:23 → 00:03:27 และที่สำคัญคือมันไม่ได้มีเฉพาะการกระแทก
00:03:27 → 00:03:29 หัวเท่านั้นที่ทำให้เกิดสวรรค์ซินโดรมได้
00:03:29 → 00:03:33 มันมีกรณีอื่นๆอีกนะครับกรณีอีกอย่าง
00:03:33 → 00:03:36 หนึ่งซึ่งเราเจอแล้วก็หน้าแปลกใจกันพอสม
00:03:36 → 00:03:40 ควรนะครับคือคนที่มีโรคความจำเสื่อมเฮ้ย
00:03:40 → 00:03:43 ความจำเสื่อมแล้วอยู่ๆมันมาฉลาดมันมาเก่ง
00:03:43 → 00:03:46 ได้ยังไงนะครับก็มีคนไข้ที่ได้รับการ
00:03:46 → 00:03:48 วินิจฉัยว่าเป็น
00:03:48 → 00:03:52 frontroll dementia นะครับ fmd นะครับ
00:03:52 → 00:03:57 ftd นะครับ ftd คนที่เป็นฟันธงตรงนี้
00:03:57 → 00:04:00 เนี่ยนะครับคือสมองมันเสียไปนะครับสมอง
00:04:00 → 00:04:03 ส่วนหน้านะครับแล้วก็ตรงบริเวณด้านตรง
00:04:03 → 00:04:05 Temple loads ซึ่งมันเป็นสมองด้านข้างๆ
00:04:05 → 00:04:08 ของเราตรงนี้นะครับมันเสียทีเนี่ยโดยทั่ว
00:04:08 → 00:04:11 ไปเสียพวกนี้แล้วมักจะมีพฤติกรรมที่
00:04:11 → 00:04:14 เปลี่ยนไปนะครับผมเคยเล่าเรื่อง ftd ไป
00:04:14 → 00:04:15 แล้ว frontrolable Drop dement เชียร์
00:04:15 → 00:04:19 ไปแล้วนะครับมันสามารถทำให้คนๆนึงเนี่ยนะ
00:04:19 → 00:04:22 ครับมีความสามารถในการพูดการจะอารมณ์ต่าง
00:04:22 → 00:04:26 ๆเสียไปหมดเลยนะครับแต่หนึ่งในนั้นเนี่ย
00:04:26 → 00:04:31 ถ้าโชคดีนะครับบางคนเนี่ยจะเกิดการเชื่อม
00:04:31 → 00:04:34 ต่อของระบบประสาทเพิ่มมากขึ้นแล้วก็กลาย
00:04:34 → 00:04:37 เป็นประมาณ Syndrome จากคนที่คิดว่าเป็น
00:04:37 → 00:04:40 คนแก่แล้วก็ไม่มีความสามารถอะไรใดๆทั้ง
00:04:40 → 00:04:41 สิ้นนะครับคือ
00:04:41 → 00:04:45 อาจจะพฤติกรรมเปลี่ยนบุคลิกลักษณะนิสัย
00:04:45 → 00:04:48 เปลี่ยนแต่อยู่ๆเนี่ยอาจจะสามารถวาดรูป
00:04:48 → 00:04:51 เก่งมากนะครับเล่นดนตรีได้นะครับมีความ
00:04:51 → 00:04:53 จำเป็นเลิศขึ้นมาได้อันนี้เราก็เจอเหมือน
00:04:53 → 00:04:57 กันนะฮะและจะบอกว่าอย่างหนึ่งซึ่งเราเจอ
00:04:57 → 00:04:59 กันบ่อยที่สุดแล้วผมคิดว่าหลายๆคนเนี่ย
00:04:59 → 00:05:02 อาจจะเคยได้ยินนะครับก็คือโรคในกลุ่มที่
00:05:02 → 00:05:04 เรียกว่าออทิสซึมหรือออทิสติกนั่นเองเด็ก
00:05:04 → 00:05:07 ออทิสติกนั่นแหละครับนะฮะเด็กออทิสติกส์
00:05:07 → 00:05:10 เนี่ยเขาจะเป็นคนที่แน่นอนว่ามีโลกส่วน
00:05:10 → 00:05:12 ตัวสูงนะครับไม่ค่อยที่จะสังคมกับคนอื่น
00:05:12 → 00:05:14 นะครับไม่สบตานะครับบางคนเขาก็ไม่ยอมพูด
00:05:14 → 00:05:17 ด้วยหรือเวลาเราพูดกับเขาเนี่ยเขาก็จะมอง
00:05:17 → 00:05:18 ไปทางอื่นแต่เขาอาจจะพูดกับเราก็ได้นะ
00:05:18 → 00:05:22 ครับแล้วก็มีสมาธิที่อาจจะสั้นนะครับใน
00:05:22 → 00:05:24 สิ่งที่เขาไม่ได้สนใจแต่เขาก็จะมีสมาธิ
00:05:24 → 00:05:27 สูงมากๆกับสิ่งที่เขาสนใจหมกมุ่นแล้วก็มี
00:05:27 → 00:05:29 ภาวะอันหนึ่งเรียกว่า obsessive
00:05:29 → 00:05:31 compassive this out หรือ ocd นะครับ
00:05:31 → 00:05:34 เป็นการที่เขาสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเขา
00:05:34 → 00:05:36 จะย้ำคิดย้ำถามเขาเรื่องนั้นอยู่มากๆนะ
00:05:36 → 00:05:39 ครับมีความย้ำคิดย้ำทำอยู่มากๆแล้วทีนี้
00:05:39 → 00:05:42 เนี่ยประมาณสัก 10% ของเด็กออทิสติกนะ
00:05:42 → 00:05:46 ครับจะมีสมาร์ทซินโดรมเกิดขึ้นนะครับโดย
00:05:46 → 00:05:48 เราพบว่ามีในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงซึ่ง
00:05:48 → 00:05:50 อันเนี้ยยังไม่ทราบว่าทำไมถึงเกิดขึ้นใน
00:05:50 → 00:05:52 ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนะครับ
00:05:52 → 00:05:55 และถ้าเกิดว่าใครดู American Got Talent
00:05:55 → 00:05:58 เนี่ยนะครับคนคือคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็ก
00:05:58 → 00:06:01 ออทิสติกนะครับแล้วมีสมาร์ทซินโดรมเกิด
00:06:01 → 00:06:04 ขึ้นชนะ American Got Talent Season
00:06:04 → 00:06:06 น่าจะ 14 มั้งครับชื่อโคดี้ลีนะครับผมคิด
00:06:06 → 00:06:08 ว่าได้คนคงจะเคยได้เห็นคลิปของเขาแล้วนะ
00:06:08 → 00:06:13 ครับเป็นผู้ชายตาบอดนะครับตาบอดแต่ว่า
00:06:13 → 00:06:16 เล่นเปียโนร้องเพลงเก่งมากนะครับแล้วก็
00:06:16 → 00:06:19 สามารถได้ Golden buzzer แล้วก็ชนะ
00:06:19 → 00:06:21 American Got Talent Season นั้นไปนะ
00:06:21 → 00:06:24 ครับ Code ก็คือเป็นเด็กที่มีออทิสติกส์
00:06:24 → 00:06:27 นะครับหรือบางคนเป็นเด็กกลุ่มที่เรียกว่า
00:06:27 → 00:06:29 as purger Syndrome อยู่ในกลุ่มขาย
00:06:29 → 00:06:31 เดียวกับออทิสติกส์นะครับแต่ว่าเขาไม่ได้
00:06:31 → 00:06:33 แย่ขนาดเด็กออทิสติกส์และในกลุ่มพวกนี้
00:06:33 → 00:06:36 คือ 10% มันจะมีอาการแบบนี้เกิดขึ้นสิ่ง
00:06:36 → 00:06:38 ที่เราเจอบ่อยที่สุดในกรณีของ
00:06:38 → 00:06:41 สาบานซินโดรมเนี่ยคือความสามารถในการทำ
00:06:41 → 00:06:43 สิ่งแปลกๆซึ่งคนอื่นเขาทำกันไม่ได้นะครับ
00:06:44 → 00:06:48 อ่ายกตัวอย่างเช่นสามารถคำนวณปฏิทินได้
00:06:48 → 00:06:51 เลยว่าโอ้เมื่อ 2-300 ปีก่อนเนี่ยวันที่
00:06:51 → 00:06:53 เท่าไหร่เป็นเป็นวันอะไรวันพฤหัสบดีวัน
00:06:54 → 00:06:55 จันทร์วันอะไรอย่างนี้เขาสามารถบอกได้
00:06:55 → 00:06:58 เป๊ะเลยนะครับความจำเนี่ยก็จะเร็วมากนะ
00:06:58 → 00:07:00 ครับพวกนี้เวลาอ่านหนังสือแล้วถ้าเกิดว่า
00:07:00 → 00:07:02 เขาสนใจเนี่ยเขาจำหนังสือได้ทั้งเล่มหรือ
00:07:02 → 00:07:05 เห็นจุดผิดพลาดที่คนอื่นเขาไม่เห็นนะครับ
00:07:05 → 00:07:07 เห็นคำซ้ำเห็นตัวนี้ลืมเติมไม้เอกไม้โท
00:07:07 → 00:07:10 เขาจะเห็นหมดนะครับคิดอะไรออกนอกกรอบได้
00:07:10 → 00:07:13 หรือท่านบางท่านก็อาจจะเคยเห็นบางคนทำไม
00:07:13 → 00:07:16 มองแว๊บเดียวปุ๊บเอาไปวาดรูปได้เหมือน
00:07:16 → 00:07:18 เปี๊ยบเลยนะครับนั่นก็คือสหรัฐ Syndrome
00:07:18 → 00:07:21 รูปแบบหนึ่งนั่นเองนะครับแล้วพวกนี้เนี่ย
00:07:21 → 00:07:23 นะฮะคือถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเนี่ยมันก็จะ
00:07:23 → 00:07:26 อยู่ติดตัวไปเรื่อยๆนะครับมีความสามารถ
00:07:26 → 00:07:27 ส่วนใหญ่ที่เราเจอกันเนี่ยจะเป็นทางด้าน
00:07:27 → 00:07:31 ของความสามารถในการจำการมองเห็นนะครับการ
00:07:31 → 00:07:34 เล่นดนตรีการคำนวณแบบคนที่คิดเลขเร็ว
00:07:34 → 00:07:36 เนี่ยบางคนก็เป็น smart Syndrome นะครับ
00:07:36 → 00:07:40 หรือบางคนเนี่ยสามารถมีความสามารถทางด้าน
00:07:40 → 00:07:42 ศิลปะดนตรีสูงมากๆนะครับนี่ก็เป็นกลุ่ม
00:07:42 → 00:07:45 สาระซินโดรมทีนี้พอเราพูดมาถึงตรงนี้แล้ว
00:07:45 → 00:07:49 เนี่ยคงสงสัยว่าเออไอ้เคสแรกเนี่ยที่โดน
00:07:49 → 00:07:52 ตีหัวแล้วมันทำไมฉลาดขึ้นน่ะเรามีวิธีที่
00:07:52 → 00:07:54 จะให้ฉลาดแบบนั้นได้ไหมเราอยากไปโดนตีหัว
00:07:54 → 00:07:55 มาก
00:07:55 → 00:07:58 แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนนะครับคือไอ้การไปตี
00:07:58 → 00:07:59 หัวแล้วเกิดแบบนั้นขึ้นมาเนี่ยต่อให้เรา
00:08:00 → 00:08:01 รู้ว่าตีบริเวณนี้แล้วสมองตรงนี้มันเสีย
00:08:01 → 00:08:04 ไปมันไม่ได้แปลว่าทุกคนเนี่ยนะครับจะเกิด
00:08:04 → 00:08:06 สวรรค์สิ่งโรมและฉลาดขึ้นมาได้นะครับ
00:08:06 → 00:08:09 อย่างไรก็ตามในทางการแพทย์นี้ก็มีการ
00:08:09 → 00:08:10 วิจัยเรื่องนี้นะครับเพราะว่าเขาต้องการ
00:08:10 → 00:08:14 ลองดูซิว่าเราทำให้คนเราเนี่ยเกิดภาวะซึม
00:08:14 → 00:08:17 ได้ไหมปรากฏว่าได้ครับได้
00:08:17 → 00:08:21 มันมีวิธีอันนึงเรียกว่า
00:08:21 → 00:08:24 translamel magnetics simulation เป็น
00:08:24 → 00:08:27 การให้คลื่นแม่เหล็กเข้าไปกระตุ้นบาง
00:08:27 → 00:08:29 บริเวณแล้วก็ไปยับยั้งบางบริเวณนะครับโดย
00:08:29 → 00:08:30 เขาให้คลื่นแม่เหล็กเข้าไปยับยั้งบริเวณ
00:08:30 → 00:08:34 และ anterior ซึ่งเป็นบริเวณที่คนๆนั้น
00:08:34 → 00:08:38 โดนตีนะครับให้ตรงนี้อาสาสมัครมานะครับ
00:08:38 → 00:08:41 แล้วก็เปรียบเทียบเลยครับก่อนกับหลัง
00:08:41 → 00:08:43 กระตุ้นหรือว่าไปยับยั้งการทำงานของสมอง
00:08:43 → 00:08:46 บริเวณนี้นะครับพอยับยั้งสมองบริเวณตรง
00:08:46 → 00:08:48 นี้เนี่ยนะครับสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเอ๊ะ
00:08:48 → 00:08:51 คนเหล่านี้เนี่ยได้ความสามารถพิเศษขึ้นมา
00:08:51 → 00:08:53 แต่ความสามารถพิเศษนั้นมันก็อยู่แค่
00:08:53 → 00:08:55 ประมาณสักชั่วโมง
00:08:55 → 00:08:57 หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
00:08:57 → 00:09:03 แต่มันเป็นการบอกว่าเฮ้ยมันทำได้มันทำได้
00:09:03 → 00:09:06 นะครับอันนี้เป็นงานวิจัยคร่าวๆนะครับ
00:09:06 → 00:09:08 สามารถอยู่ได้แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นแต่
00:09:08 → 00:09:12 คิดว่าถ้าในอนาคตมีวิธีที่มันทำให้มันผล
00:09:12 → 00:09:14 อันนี้มันอยู่นานกว่านั้นนะครับอาจจะมี
00:09:14 → 00:09:18 การสามารถที่จะทำให้คนที่ความสามารถเสีย
00:09:18 → 00:09:21 ไปเนี่ยกลับมาเป็นปกติได้นะครับแล้วก็แน่
00:09:21 → 00:09:23 นอนว่าอาจจะมีงานวิจัยเพิ่มเติมว่าถ้าเรา
00:09:23 → 00:09:26 ทำเรื่องของ translaniel Magnetic
00:09:26 → 00:09:29 simulation นะครับหรือ tms หรือบางคน
00:09:29 → 00:09:32 เรียกว่า tmr ตัวนี้นะครับมันจะถ้าเราทำ
00:09:32 → 00:09:35 กับเราอื่นๆของสมองละนะครับมันอาจจะได้
00:09:35 → 00:09:37 ประโยชน์ขึ้นมาแล้วจริงๆคือ tmr ตัวนี้นะ
00:09:37 → 00:09:41 ครับมีคนเอามาใช้ในโรคซึมเศร้านะครับแล้ว
00:09:41 → 00:09:43 มันได้ผลซะด้วยนะฮะซึ่งอันนี้เป็น
00:09:43 → 00:09:47 วิวัฒนาการของการแพทย์ใหม่ๆนะครับที่เรา
00:09:47 → 00:09:50 เอามาใช้ในการรักษาบางอย่างได้นะครับเรา
00:09:50 → 00:09:53 อาจจะเป็นในอนาคตคือเอามาใช้เสริม
00:09:53 → 00:09:56 สมรรถภาพของมนุษย์ก็ได้นะครับไม่ใช่เพียง
00:09:56 → 00:09:58 แค่ว่าเรารักษาสมรรถภาพไว้แต่นี่เราเสริม
00:09:58 → 00:10:02 เข้าไปเลยนะครับวันนี้ก็เลยอาจจะอยากจะมา
00:10:02 → 00:10:04 พูดเล่นๆเรื่องนี้สนุกๆแล้วกันเพราะว่า
00:10:04 → 00:10:06 วันก่อนผมไปเปิด YouTube เจอแล้วคลิปของ
00:10:06 → 00:10:09 โคดี้ลีเขาขึ้นมานะครับผมก็ได้แรงบันดาล
00:10:09 → 00:10:11 ใจก็เลยอยากจะมาเล่าทุกคนฟังว่าเออจริงๆ
00:10:11 → 00:10:14 มันมีจริงๆนะครับงั้นโดยสรุปเนี่ย Smart
00:10:14 → 00:10:16 Syndrome เป็นภาวะที่สมองบางส่วนของร่าง
00:10:16 → 00:10:19 กายเนี่ยมีการเจริญเติบโตมีการสร้างความ
00:10:19 → 00:10:22 สัมพันธ์ระหว่างเส้นประสาทเพิ่มมากขึ้นนะ
00:10:22 → 00:10:23 ครับระหว่างเซลล์ประสาทเพิ่มมากขึ้นทำให้
00:10:23 → 00:10:25 เกิดความสามารถพวกนี้แล้วในเด็ก
00:10:25 → 00:10:28 ออทิสติกส์ทุนเดิมของเขาเนี่ยมีความสนใจ
00:10:28 → 00:10:31 บางอย่างมากกว่าคนปกติอยู่แล้วนะครับมี
00:10:31 → 00:10:33 ความย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งบางสิ่งมากกว่า
00:10:33 → 00:10:36 ปกตินะฮะต่อให้อันนี้เราเพิ่มนิดนึงแล้ว
00:10:36 → 00:10:39 กันในเด็กออทิสติกส์เนี่ยถ้าเราไปดูสมอง
00:10:39 → 00:10:42 เขาจริงๆแล้วเนี่ยนะครับการเชื่อมต่อของ
00:10:42 → 00:10:45 แต่ละบริเวณในสมองเนี่ยมันไม่ค่อยดีมัน
00:10:45 → 00:10:47 ไม่ค่อยดีนะครับเช่นเชื่อมต่อระหว่างสมอง
00:10:47 → 00:10:49 ส่วนซ้ายกับส่วนขวานะครับหรือส่วนที่มัน
00:10:49 → 00:10:52 ห่างๆกันมากๆเนี่ยมันไม่ค่อยดีอ้าวแล้ว
00:10:52 → 00:10:53 ถ้าแบบนี้มันจะเกิดสวรรค์ซินโดรมได้ไง
00:10:53 → 00:10:55 เพราะว่าเมื่อกี้ผมบอกว่าสวรรค์เนี่ยเกิด
00:10:55 → 00:10:59 จากการที่เส้นประสาทมันมีการจับตัวกันหนา
00:10:59 → 00:11:01 แน่นนะครับมีจะมีการเสริมสร้าง Connection
00:11:01 → 00:11:03 หรือการติดต่อซึ่งกันและกัน
00:11:03 → 00:11:07 มันเพราะว่าในเด็กออทิสติกนะครับการ
00:11:07 → 00:11:09 เชื่อมต่อของเส้นประสาทในบริเวณที่ห่าง
00:11:09 → 00:11:11 กันไปเนี่ยมันไม่ค่อยดีแต่บริเวณที่ใกล้ๆ
00:11:12 → 00:11:15 กันเนี่ยมันดีมากมันดีมากแล้วก็การที่มี
00:11:15 → 00:11:17 การย้ำคิดย้ำทำมากๆเนี่ยยิ่งเป็นการให้
00:11:17 → 00:11:20 เส้นประสาทเหล่านั้นเนี่ยมีการเชื่อมต่อ
00:11:20 → 00:11:22 กันที่หนาแน่นมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น
00:11:22 → 00:11:25 เรื่อยๆก็เป็นการเสริมเรื่องของความ
00:11:25 → 00:11:27 สามารถพวกนี้เพิ่มขึ้นนะครับอันนี้ก็เป็น
00:11:27 → 00:11:29 เรื่องของเด็กออทิสติกส์นะครับดังนั้นผม
00:11:29 → 00:11:32 ก็คิดว่ามันน่าตื่นเต้นมากถ้าเราดูต่อไป
00:11:32 → 00:11:35 ในอนาคตวิธีนี้อาจจะเอามาใช้ทำให้เราได้
00:11:35 → 00:11:38 ผลก็ได้นะครับอาจจะเอามาใช้เอ๊ะลองไม่แน่
00:11:38 → 00:11:40 ในอนาคตอาจจะมีเอาแบบนี้มากระตุ้นเองที่
00:11:40 → 00:11:42 บ้านนะครับคนไหนที่เป็นนักดนตรีแล้วแต่ง
00:11:42 → 00:11:44 เพลงไม่ออกเอาหมวกมาใส่ให้มันกระตุ้น
00:11:44 → 00:11:46 เสร็จปุ๊บเฮ้ยเราแต่งเพลงได้ทันทีเลยเล่น
00:11:46 → 00:11:48 เพลงเพราะขึ้นมาทันทีเลยนะครับบางทีฟัง
00:11:48 → 00:11:52 ปุ๊บเล่นได้ทันทีนะครับเหมือนเปี๊ยบอ่าจะ
00:11:52 → 00:11:53 เป็นแบบนั้นก็ได้ในอนาคตนะครับเราคงจะ
00:11:54 → 00:11:56 ต้องติดตามรอดูกันต่อไปแต่ผมว่าอันเนี้ย
00:11:56 → 00:11:58 มันเจ๋งมากเลยนะครับอ่ะวันนี้เท่านี้นะ
00:11:58 → 00:12:01 ครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ