00:01:40 → 00:01:43 สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับสู่ด็อกเตอร์ทอล์คพอดแคสต์
00:01:43 → 00:01:45 ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
00:01:45 → 00:01:48 จะมาคุยประเด็นเรื่องสุขภาพต่างๆ
00:01:49 → 00:01:51 อยู่กับหมอเอมมี่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน
00:01:51 → 00:01:54 วันนี้นะคะอยากจะมาพูดคุยอวัยวะ
00:01:54 → 00:01:56 ที่มีความสําคัญกับร่างกายเรามาก
00:01:57 → 00:02:00 แต่ว่าเราอาจจะชอบละเลยมันเพราะว่าเรา
00:02:00 → 00:02:03 มองไม่เห็นมันหรือจับต้องมันไม่ได้นั่นก็คือ
00:02:03 → 00:02:05 สมอง สมองมีน้ําหนักเพียงแค่ 2%
00:02:05 → 00:02:08 ของร่างกายทั้งหมดแต่มันใช้
00:02:08 → 00:02:11 พลังงานออกซิเจนมากถึง 20%
00:02:11 → 00:02:13 ของอวัยวะทั้งหมดแปลว่าสมองนั้นมีความ
00:02:14 → 00:02:16 จําเป็นกับเรามากพวกเราส่วนใหญ่มัก
00:02:16 → 00:02:19 คิดว่าสมองเมื่อเราเติบโตขึ้นแล้วเป็นวัยรุ่น
00:02:19 → 00:02:22 สมองก็จะหยุดพัฒนาแต่จริง ๆ
00:02:22 → 00:02:24 แล้วไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง
00:02:24 → 00:02:27 ในสัตว์หรือการทดลองในคนไข้
00:02:27.680 → 00:02:30.160 เรามักเห็นว่าสมองมีการพัฒนาอยู่เสมอ
00:02:30 → 00:02:33 ฉะนั้นวันนี้เราก็เลย อยากมาเชิญ
00:02:33 → 00:02:36 พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของสมอง
00:02:36 → 00:02:39 ได้เชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาเพื่อที่จะได้แนะนํา
00:02:39 → 00:02:41 เราเพราะเราควรจะป้องกันและดูแล
00:02:41 → 00:02:44 สมองเราอย่างไรค่ะ ขอแนะนําอาจารย์ตูนค่ะ
00:02:44 → 00:02:47 สวัสดีครับผม
00:02:47 → 00:02:49 นายแพทย์ กิตติธัช บุญเจริญนะครับ
00:02:49 → 00:02:52 เป็นหมอสมอง หรือ เรียกว่าอายุรแพทย์ประสาทวิทยา นะครับ
00:02:52 → 00:02:54 ในโรงพยาบาลแล้วก็เรียก
00:02:54 → 00:02:57 กันว่านิวโรเม็กซ์ครับผม
00:02:57 → 00:03:00 เชี่ยวชาญเรื่องโรคอัลไซเมอร์แล้วก็ภาวะสมองเสื่อมนะครับ
00:03:00 → 00:03:03 ปัจจุบันประจําอยู่ที่แผนกประสาทวิทยานะครับ
00:03:03 → 00:03:06 ที่โรงพยาบาลพญาไทหนึ่ง แล้วก็เป็นอาจารย์พิเศษครับผม
00:03:06 → 00:03:09 ที่คลินิกความจําที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
00:03:09 → 00:03:12 สภากาชาดไทยครับ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณนะคะ
00:03:12 → 00:03:15 หมอตูนมาก ๆ เลยนะคะ
00:03:15 → 00:03:17 ที่มารายการ ด็อกเตอร์ทอล์ค เรารู้ว่าเรื่องสมองเนี่ยค่ะ
00:03:17 → 00:03:20 เป็นอะไรที่แบบมันสําคัญแต่มันก็มี
00:03:20 → 00:03:23 ความซับซ้อนมาก ๆ นะคะ
00:03:23 → 00:03:25 แล้วก็คิดว่ามีผู้ชมหลายคนน่ะค่ะ ที่อยากเข้าใจกับ
00:03:25 → 00:03:28 เรื่องสมองมากขึ้น สมองเนี่ยอย่างที่เรารู้กัน
00:03:28 → 00:03:30 ก็คือว่ามันช่วยให้เราเนี่ยค่ะ
00:03:30 → 00:03:32 มีความทรงจํานะคะ ที่ดีเนาะ
00:03:33 → 00:03:35 การตัดสินใจ ความรู้สึกอะไรต่าง ๆ เนี่ยค่ะ
00:03:35 → 00:03:37 ใช้สมองหมดเลย แต่มันค่อนข้างซับซ้อนมาก
00:03:38 → 00:03:40 คราวนี้ก่อนที่เราจะไปคุยเรื่องโรคต่าง ๆ นะคะ
00:03:40 → 00:03:43 หรือการพัฒนาสมองเนี่ย อยากให้อาจารย์ตูนเนี่ยค่ะ
00:03:43 → 00:03:46 ช่วยแนะนํานิดนึงนะคะ ว่าสมองเราเนี่ย
00:03:46 → 00:03:49 ประกอบด้วยอะไรบ้าง ยินดีมาก ๆ เลยครับ
00:03:49 → 00:03:51 วันนี้ไหน ๆ ที่จะต้องมาพูดเรื่องของสมองเนี่ยค่ะ
00:03:51 → 00:03:54 วันนี้ผมเตรียมอุปกรณ์มาด้วยครับ
00:03:54 → 00:03:57 นั่นก็คือโมเดลสมอง ค่ะ อันนี้เลยนะครับ
00:03:57 → 00:04:00 เดี๋ยวอาจาร์ยเอาไว้ข้างหน้าได้เลยค่ะ ได้ครับ
00:04:00 → 00:04:03 อันนี้เนี่ยก็จะเป็นสมองของเรานะครับ ค่ะ
00:04:03 → 00:04:05 มาดูกันนะครับว่า มันส่วนประกอบด้วยอะไรบ้างนะครับ
00:04:05.550 → 00:04:08.120 ค่ะ เดี๋ยวให้ดูตรงนี้ก่อนนะครับ
00:04:08 → 00:04:11 ก็หลัก ๆ ก็จะประกอบด้วย 3 ส่วนนะครับ
00:04:11 → 00:04:14 ใหญ่ ๆ นี่ทั้งหมดเลยนะครับ ค่ะ เรียกว่าสมองใหญ่
00:04:14 → 00:04:16 หรือว่า ซีรีบรัม (cerebrum) นะครับ
00:04:16 → 00:04:19 เล็ก ๆ สีเขียวนะครับ เล็กลงมานะครับเรียกว่า
00:04:19 → 00:04:22 สมองน้อยหรือว่าซีรีเบลลัม(Cerebellum)นะครับแล้วก็
00:04:22 → 00:04:25 ส่วนขาว ๆ ที่เป็นเป็นก้าน ๆ เนี่ยนะครับ
00:04:25 → 00:04:27 เรียกว่าก้านสมองนะครับ วันนี้ก็อาจจะขอพูดเยอะหน่อย
00:04:27 → 00:04:30 ในเรื่องของสมองใหญ่นะครับ
00:04:30 → 00:04:32 ก็คิดว่าทุกคนน่าจะสนใจเพราะว่า
00:04:32 → 00:04:35 มันมีหน้าที่หลากหลายนะครับ สมองใหญ่ก็ขอ
00:04:35 → 00:04:37 แบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อย ๆ นะครับ
00:04:38 → 00:04:41 ส่วนที่สําคัญที่สุดก็น่าจะเป็นส่วนหน้านะครับ
00:04:41 → 00:04:43 ก็จะเห็นว่ามี สีครีม สีเหลือง
00:04:43 → 00:04:46 สีแดงนะครับ ก็เป็นสมองส่วนหน้านะครับ
00:04:46 → 00:04:49 ส่วนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ
00:04:49 → 00:04:52 ความฉลาดหลักแหลมนะครับ การตัดสินใจนะครับ
00:04:52 → 00:04:55 การแก้ปัญหานะครับ
00:04:55 → 00:04:57 แล้วก็เรื่องของการใช้ภาษาพูด
00:04:57 → 00:05:00 ความเร็วโดยการพูดนะครับ
00:05:00 → 00:05:03 เรื่องของการยับยั้งชั่งใจ เรื่องของพฤติกรรม
00:05:03 → 00:05:05 ความเห็นอกเห็นใจนะครับ ใช้สมองส่วนหน้าทั้งหมดนะครับ
00:05:05 → 00:05:08 ส่วนที่สองก็จะเห็นเป็นสีน้ําเงิน
00:05:08 → 00:05:11 สีม่วงนะครับ แล้วก็สีออกครีม ๆ
00:05:11 → 00:05:14 ข้างหลังนะครับ ส่วนสีน้ําเงินเนี่ย
00:05:14 → 00:05:16 เป็นบริเวณที่รับรู้เรื่องความรู้สึกนะครับ
00:05:16 → 00:05:19 สองข้างเนาะ แต่ว่ามันก็จะสลับซ้ายขวาใช่มั้ยครับ
00:05:19 → 00:05:22 ค่ะ แขนขาข้างขวาก็รับรู้
00:05:22 → 00:05:25 ความรู้สึกด้วยสมองซ้ายนะ
00:05:25 → 00:05:27 แขนขาข้างซ้ายก็รับรู้ความรู้สึกด้วยสมองขวานะครับ
00:05:27 → 00:05:29 ส่วนสีม่วง สีเหลืองเนี่ย
00:05:29 → 00:05:31 ก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของทักษะ
00:05:31 → 00:05:34 การใช้มือนะครับ เรื่องของถ้าเป็นด้านซ้าย
00:05:34 → 00:05:37 ก็จะเป็นเรื่องของการเขียนนะครับ
00:05:37 → 00:05:40 การแยกแยะซ้ายขวานะครับ
00:05:40 → 00:05:43 แล้วก็การคํานวณนะครับ ส่วนข้างขวาเนี่ยก็จะเป็น
00:05:43 → 00:05:46 ลักษณะของการแต่งตัวนะครับ
00:05:46 → 00:05:48 การกะระยะทางอะไรแบบนี้นะครับ
00:05:48 → 00:05:51 ส่วนถัดไปนะครับส่วนที่ 3 ของสมองใหญ่นะ
00:05:51 → 00:05:54 ก็คือข้างหลัง ส่วนหลังเรียกว่า ออกซิปิทัล โลป\h(Occipital lobe)
00:05:54 → 00:05:57 ก็มีหน้าที่เกี่ยวกับการแปลความหมายของภาพนะ
00:05:57 → 00:06:00 และการกะระยะทางนะครับ
00:06:00 → 00:06:03 แล้วก็ส่วนที่สําคัญ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องพูดวันนี้เลยนะครับ
00:06:03 → 00:06:06 ก็คือสมองส่วนล่าง
00:06:06 → 00:06:09 ก็จะเห็นเป็นคล้าย ๆ กับถุงมืออย่างนี้เนอะ
00:06:09 → 00:06:11 ซ้ายแล้ว ก็ขวานะครับ
00:06:11 → 00:06:14 ด้านซ้ายเนี่ยเกี่ยวข้องกับภาษา อ่า โอเค
00:06:14 → 00:06:17 การนึกคำนะครับ คลังคําศัพท์นะครับ การเข้าใจความหมายของคํา
00:06:17 → 00:06:20 ค่ะ นะครับ ข้างขวาก็เกี่ยวข้องกับอารมณ์
00:06:20 → 00:06:22 เกี่ยวกับความรู้สึก ความเห็นอกเห็นใจ
00:06:22 → 00:06:25 อะไรแบบนี้นะครับ โอเค ทีเนี้ยสมองใหญ่จบไปนะครับ
00:06:25 → 00:06:28 สมองน้อยก็จะมีหน้าที่
00:06:28 → 00:06:30 เกี่ยวกับการทรงตัวนะครับ
00:06:31 → 00:06:34 การกะระยะนะครับ การก้าวเดินนะครับ
00:06:34 → 00:06:37 ส่วนก้าวสมองก็จะค่อนข้างที่ ดั้งเดิม(Primitive)หน่อย
00:06:37 → 00:06:39 ก็คือส่วนสัตว์ก็จะ มีส่วนสัตว์ทั้งหลาย
00:06:39 → 00:06:42 ก็จะมีส่วนนี้ทั้งหมดนะครับ ก็คือเช่น
00:06:42 → 00:06:45 เป็นศูนย์การเต้นของหัวใจ
00:06:45 → 00:06:48 ศูนย์หายใจนะครับ ศูนย์ความตื่นรู้
00:06:48 → 00:06:50 อะไรแบบเนี้ย ศูนย์ที่เกี่ยวข้องกับการหลับตื่นแบบนี้นะครับ
00:06:50 → 00:06:52 อยู่ที่ก้านสมองครับผม
00:06:53 → 00:06:55 อยากจะทราบเพิ่มเติม อีกนิดนึงค่ะ
00:06:55 → 00:06:58 ว่าเวลาเราเกิดมาอย่างที่พูดมาค่ะ
00:06:58 → 00:07:01 อาจารย์ ว่าเกิดมาเนี่ยสมองมันอาจจะเล็ก ๆ ก่อนแล้ว
00:07:01 → 00:07:04 ค่อย ๆ ใหญ่มีการเติบโตใช่มั้ยคะ อาจารย์
00:07:04 → 00:07:06 แล้วอันนี้เราจะเห็นว่ามันเติบโตแค่ขนาดอย่างเดียว
00:07:06 → 00:07:09 หรือว่ามีการเติบโตระหว่างเซลล์กับเซลล์
00:07:09 → 00:07:11 ของมันแล้วมันเติบโตอะไร ยังไงอะคะ
00:07:11 → 00:07:14 ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมขออนุญาตเปลี่ยน
00:07:14 → 00:07:17 ที่วางสมองก่อนนะครับ จากฝั่งนี้
00:07:17 → 00:07:17 เป็นฝั่งนี้ดีกว่านะครับ ได้เลยค่ะ ยินดีค่ะอาจาร์ย โอเคค่ะ
00:07:19 → 00:07:22 ในช่วง 5 ปีแรกเนี่ยหลัก ๆ
00:07:22 → 00:07:24 ก็คือจะเพิ่มในเรื่องของปริมาณเนาะ
00:07:24 → 00:07:26 ปริมาณเซลล์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนะครับ
00:07:27 → 00:07:30 ขนาดเขาก็จะแต่ละของแต่ละเซลล์
00:07:30 → 00:07:32 ก็จะโตขึ้นด้วยเนาะ เพราะฉะนั้นเนี่ยตัวเนื้อปริมาณสมอง
00:07:32 → 00:07:34 ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีแรกนะครับ
00:07:34 → 00:07:36 ตั้งแต่ 5 ปีนะครับ จนถึงเป็นวัยวัยรุ่นเนี่ย
00:07:36 → 00:07:39 ปริมาณเซลล์สมอง
00:07:39 → 00:07:42 อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเยอะนะครับ แต่ว่าที่เพิ่มขึ้นเลย
00:07:42 → 00:07:45 ก็คือขนาดเขาจะมีขนาดที่โตขึ้นนะครับ
00:07:45 → 00:07:48 อันที่สองก็คือเขาจะเริ่ม
00:07:48 → 00:07:50 มีการแตกแขนงมากขึ้นนะครับ
00:07:51 → 00:07:53 ที่ถ้าเปรียบเทียบเป็นต้นไม้เนี่ย
00:07:53 → 00:07:56 ก็จะรากก็ จะเริ่มอยากลึกมากขึ้น
00:07:56 → 00:07:59 มีฝอยแขนงมากขึ้นนะครับ มีดอก มีใบมากขึ้นนะครับ
00:07:59 → 00:08:01 แล้วก็เค้าจะมีการเรียกว่า
00:08:01 → 00:08:04 ติดต่อกับเซลล์ใกล้เคียงได้มากขึ้น
00:08:04 → 00:08:07 แล้วก็มีการติดต่อกับเซลล์ห่างไกลได้มากขึ้นนะครับ
00:08:07 → 00:08:10 ก็อันนี้ก็จะเป็นช่วง
00:08:10 → 00:08:13 วัยที่เป็นวัย 5 ปีขึ้นไปจนถึงสัก 20 ปีนะครับ
00:08:13 → 00:08:15 เพราะฉะนั้น ถ้าในช่วงนี้
00:08:15 → 00:08:18 ถ้าเราเรียนรู้และสิ่งต่างๆนะครับ ฝึกฝนทักษะ
00:08:18 → 00:08:21 ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ ด้านกีฬา ดนตรี
00:08:21 → 00:08:24 ทักษะอะไรต่าง ๆ เนี่ย มันก็จะทําให้ความถนัด
00:08:24 → 00:08:27 เรามากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นช่วงที่
00:08:27 → 00:08:29 สมองกําลังเจริญเติบโตดั้งตรงนี้นะครับผม
00:08:29 → 00:08:32 ส่วน 20 ปีถึง 40 ปีขึ้นไปเนี่ย
00:08:32 → 00:08:35 ถึงประมาณ 40 ปีหรือประมาณ 30 ปลาย ๆ เนี่ย
00:08:35 → 00:08:38 ก็จํานวนเซลล์ ก็จะอันนี้ก็จะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นละนะครับ
00:08:38 → 00:08:40 ขนาดก็จะไม่ได้ ไม่ได้โตขึ้นละนะครับ
00:08:40 → 00:08:43 แต่ว่าการเค้าเรียกว่าแต่แขนง
00:08:43 → 00:08:45 หรือว่าจะเรียกพรุนนิ่ง
00:08:45 → 00:08:48 เนี่ยก็ยังจะคงมีอย่างต่อเนื่อง
00:08:48 → 00:08:51 ถ้าเรามีการเรียนรู้การฝึกฝนนะครับแล้วก็
00:08:51 → 00:08:53 แล้วก็ฝึกปรืออย่าง อย่างเหมาะสมและแม่นยํานะครับ
00:08:53 → 00:08:56 สมองก็จะมีปริมาตรโตขึ้น ได้อีกนิดหน่อย
00:08:56 → 00:08:59 แล้วก็จากการแตกแขนงนะครับ
00:08:59 → 00:09:02 แล้วก็จากการส่งสารสื่อประสาทระหว่างเซลล์
00:09:02 → 00:09:04 ใกล้ๆ แล้วก็เซลล์ไกล ๆ ถ้าเปรียบเทียบ
00:09:04 → 00:09:07 เหมือนถนนเนี่ย มันก็จะเป็นถนนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนะ
00:09:07 → 00:09:09 แล้วก็ไปหมู่บ้านต่าง ๆ ได้มากขึ้น
00:09:09 → 00:09:11 จะเป็นลักษณะนี้นะครับ
00:09:13 → 00:09:17 ทีนี้เนี่ยเค้าจะบอกกันว่า เอ๊ะหลัง 40 เนี่ย
00:09:17 → 00:09:20 มันทําให้สมองจะเล็กลงไหมนะครับ
00:09:21 → 00:09:24 แล้วก็ปริมาณขนาดไรมันจะได้ลงขนาดไหนเนี่ย
00:09:25 → 00:09:27 จริงๆหลัง 40 ปีขึ้นไปเนี่ยเป็น
00:09:27 → 00:09:30 ช่วงที่สมองจะเริ่มจะเริ่ม
00:09:30 → 00:09:33 จะเริ่ม เอ่อ ขนาดลดลงนะครับ ในแง่ของปริมาณ
00:09:33 → 00:09:36 แล้วก็ในแง่ของการเชื่อมต่อนะครับ
00:09:36 → 00:09:39 แต่ว่าคนที่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตนะครับ
00:09:39 → 00:09:42 ทํางานที่คล่องแคล่ว(active)นะ ทํางานที่แบบ
00:09:42 → 00:09:45 ใช้สมองตลอดนะครับ หรือว่าเราเรียนรู้ตลอดชีวิต
00:09:45 → 00:09:48 ไปหาอะไรเรียนเพิ่มเติม
00:09:48 → 00:09:50 เนี่ยสมองก็ยังคงมีการสามารถแทรกซึมได้
00:09:50 → 00:09:53 ก็คือแตกแขนงแตกใบได้ยังทําได้อยู่นะครับ
00:09:53 → 00:09:56 ก็หมายถึงว่าไม่ว่าจะเป็นวัยอะไรก็ตามเนี่ย
00:09:56 → 00:09:58 เราสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลาถูกไหมคะ
00:09:58 → 00:10:01 ถูกต้องครับ เพียงแต่ว่าช่วงวัยเด็ก ๆ เนี่ย
00:10:01 → 00:10:03 ที่อาจารย์บอกก็คือเป็นช่วง
00:10:03 → 00:10:05 วัยที่ควรจะกอบโกยนิดนึง ใช่เพราะมันจะได้เร็ว
00:10:05 → 00:10:08 กว่าชาวบ้านนิดนึงเนอะ ใช่ ใช่ครับผม
00:10:08 → 00:10:11 ทีนี้เนี่ยก็ความสามารถตอนอายุ 40 เนี่ย
00:10:11 → 00:10:14 บางอย่างมันลดลงจริงนะ เช่นสมมุติว่าความจําให้
00:10:14 → 00:10:16 ถ้าให้จําดะ ๆ อย่างเช่น อ่านหนังสือไปสอบ
00:10:16 → 00:10:17 แต่สู้เด็กไม่ได้แน่ จริง นะครับ
00:10:20 → 00:10:22 ความเร็วในการคิดเนี่ยลดลงแน่นอน
00:10:22 → 00:10:25 ทักษะในการคํานวณ ทักษะในการรู้ทิศทาง
00:10:25 → 00:10:28 เนี่ยจะลดลงแน่นอนหลัง 40 นะครับ
00:10:28 → 00:10:30 แต่ว่าสิ่งที่มันเพิ่มขึ้นหลัง 40 เนี่ยก็มีนะครับ
00:10:31 → 00:10:34 เช่น ทักษะการพูดนะครับ
00:10:34 → 00:10:36 ทักษะเรื่องของความนุ่มนวลทางภาษานะครับ
00:10:37 → 00:10:40 การคิดรวบยอดนะครับ การคิดวิเคราะห์
00:10:40 → 00:10:42 ที่ใช้อาศัยประสบการณ์เข้ามาร่วม พวกนี้เนี่ย
00:10:42 → 00:10:45 ก็ยังคงดีขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ แล้วก็ฟังไป ฟังมา
00:10:45 → 00:10:48 เหมือนเป็นทักษะผู้บริหาร คือจริง จริง
00:10:48 → 00:10:51 ใช่ไหมครับ ใช่ค่ะ ก็คือหลัง 40 เนี่ย
00:10:51 → 00:10:54 คือผู้ใหญ่ 40 ขึ้นไปก็จะทําทักษะพวกนี้ได้ดี
00:10:54 → 00:10:56 ส่วนหนึ่งก็คือใช้ความรู้เดิม
00:10:56 → 00:10:59 ส่วนหนึ่งก็ใช้ประสบการณ์ แล้วก็มารวมกัน
00:10:59 → 00:11:02 ก็หมายถึงว่า แต่ละวัยมันก็มีข้อดีของมันนะคะ
00:11:02 → 00:11:04 ใช่ ไม่ใช่ว่าเราควรจะหยุด
00:11:04 → 00:11:06 ที่ใดที่หนึ่งเลย แล้วจะบอกว่าอันไหนดีที่สุด
00:11:06 → 00:11:09 มันก็ไม่ใช่ ใช่ ใช่ค่ะ หมอตูนคราวนี้
00:11:09 → 00:11:12 อยากถามนิดนึงอะค่ะ เกี่ยวกับเรื่องของสมองเนาะ
00:11:12 → 00:11:13 ที่เกี่ยวกับพาร์ทต่าง ๆ คราวนี้
00:11:13 → 00:11:16 ก็บอกว่ามีคนบอกว่า
00:11:16 → 00:11:19 เอ๊ะ แล้วถ้ามีลูกคนแรกเนี่ยเก่งในเรื่องของพวกดนตรี
00:11:19 → 00:11:21 ความคิดสร้างสรรค์อะไรอย่างเงี้ยค่ะ อาจารย์
00:11:21 → 00:11:24 แล้วก็คนที่สองเนี่ยกลับเก่งในด้านของคํานวณ
00:11:24 → 00:11:27 วิทยาศาสตร์ เก่งเลข อย่างเงี้ยแปลว่า
00:11:27 → 00:11:29 สมองสองคนเนี้ย สองพาร์ทมันไม่เท่ากันหรือเปล่า
00:11:29 → 00:11:31 หรือว่าอะไรยังไงคะ จริง ๆ อ่ะ
00:11:31 → 00:11:34 สมองก็ถ้าเป็นเรื่องของภาษา เรื่องของการคํานวณ
00:11:34 → 00:11:36 เรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของเหตุผลเนี่ย
00:11:36 → 00:11:38 จริง ๆ ข้างซ้าย เขาก็จะทํางานมากกว่า
00:11:38 → 00:11:41 ข้างขวาอยู่แล้ว แต่ว่าจริง ๆ ก็ ไม่
00:11:41 → 00:11:42 ไม่ถึงกันว่าข้างขวา ไม่ทํางานเลย ก็ช่วยกันทํางาน
00:11:42 → 00:11:45 แต่ว่าข้างซ้ายพวกก็ควบคุมทํางานเป็นหลักนะครับ
00:11:45 → 00:11:48 แล้วก็ถ้าไปเอกซเรย์ดู
00:11:48 → 00:11:51 หรือว่าไปเอ็มอาร์ไอดูอย่างเงี้ยครับ
00:11:51 → 00:11:53 ก็จะเห็นว่าสองข้างเนี่ย มันก็ไม่ได้ต่างกันเยอะนะครับ
00:11:53 → 00:11:55 ปริมาตรโดยภาพรวมเลย มันอาจจะพอ ๆ กัน
00:11:55 → 00:11:57 แต่ว่าตัวความแน่นของเนื้อ
00:11:57 → 00:12:00 หรือว่าตัวเซลล์สมองอะไรเงี้ย มันก็อาจจะมีความต่างนะครับ
00:12:00 → 00:12:03 ส่วน ๆ ข้างขวามันก็จะเป็นเรื่องของ
00:12:03 → 00:12:06 เรื่องของสุนทรีศิลปะ
00:12:06 → 00:12:09 อะไรความคิดสร้างสรรค์ อะไรลักษณะนั้นครับผม
00:12:09 → 00:12:11 ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วเนี่ย
00:12:11 → 00:12:13 เราควรที่จะทํากิจกรรมที่มัน
00:12:14 → 00:12:16 ส่งเสริมทั้งสองพาร์ทไหมคะ อาจารย์ หรือว่ายังไง
00:12:16 → 00:12:18 ครับ เพื่อที่มันจะได้เค้าเรียกว่าเติมเต็มไปด้วยกันเนาะ
00:12:18 → 00:12:20 ใช่ ใช่ครับ เพื่อควร ๆ จะ
00:12:21 → 00:12:23 คือมันก็ส่งเสริมไปด้วยกัน พอซ้ายใหญ่ขวามันก็จะใหญ่ด้วย
00:12:23 → 00:12:25 เพราะมันส่งเสริมกันอยู่แล้วครับผม
00:12:26 → 00:12:28 ทีนี้เรามาคุยเกี่ยวกับเรื่องความจํากันบ้างดีกว่าค่ะ
00:12:28 → 00:12:31 บางทีเนี่ยที่เราบอกว่า ชอบหลง ๆ
00:12:31 → 00:12:34 ลืม ๆ บ่อย ๆ วางกุญแจไว้ที่ไหน
00:12:34 → 00:12:37 วางโทรศัพท์ไว้ที่ไหน
00:12:37 → 00:12:39 อาจเกิดจากที่เรานอนน้อย แต่ที่เจอบ่อยสุดค่ะ
00:12:39 → 00:12:41 อาจจะมีแว่นตาอยู่ในตาใช่มั้ยคะ อาจารย์
00:12:41 → 00:12:43 ลืมว่าแว่นตาอยู่ที่ไหน ก็เคยเป็น คราวนี้ก็เลย
00:12:43 → 00:12:46 อยากถามอาจารย์นิดนึงว่าเนี่ยจริง ๆ แล้ว
00:12:46 → 00:12:49 พวกความจําเนี่ยมัน มันเป็นยังไงบ้างคะ
00:12:49 → 00:12:51 มันแบ่งเป็นกี่ประเภท และ มีความจําเป็นมากน้อยแค่ไหนกับเรา
00:12:51 → 00:12:53 ความจําแรก ก็คือความจํา
00:12:54 → 00:12:56 ที่เป็นความจําระยะสั้น ที่เอาไว้ใช้ทํางานนะครับ
00:12:56 → 00:12:58 ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่า
00:12:58 → 00:13:00 แม่ให้ไปซื้อของ 10 อย่างเงี้ยเราต้องจําให้
00:13:00 → 00:13:03 หมด 10 อย่างแล้วก็ซื้อของมาให้ครบนะครับ
00:13:03 → 00:13:06 หรือว่าเราจําเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้า
00:13:06 → 00:13:09 สองคนอย่างเงี้ย คนนึงก็ยาวนิดนึง คนนึงก็ยาวนิดนึงนะครับ
00:13:09 → 00:13:11 หรือว่าเราจะต้องตามที่อยู่
00:13:11 → 00:13:14 ของเพื่อนนะครับ ตั้งแต่บ้านเลขที่
00:13:14 → 00:13:16 จนถึงหลักไปรษณีย์นะครับ จําไว้อันเนี้ยครับ
00:13:17 → 00:13:19 เค้าเรียกว่าเป็นความจําระยะสั้น
00:13:19 → 00:13:21 ที่เอาไว้ทํางานชั่วคราวนะครับผม
00:13:21 → 00:13:24 อันนี้ก็จะเป็นลักษณะที่หนึ่งนะครับ
00:13:24 → 00:13:26 ความจําที่สองเนี่ยก็จะเป็นความจําเกี่ยวกับเหตุการณ์นะครับ
00:13:26 → 00:13:29 ที่เราจําว่าเมื่อวานตอนเช้าเราไปทําอะไรมานะครับ
00:13:29 → 00:13:32 เมื่อวานเย็นเรากินข้าวกะอะไรนะครับ
00:13:32 → 00:13:34 เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ยใครมาหาเราบ้าง
00:13:34 → 00:13:36 หรือว่าเราไปเที่ยวที่ไหนบ้างนะครับ
00:13:37 → 00:13:40 หรือว่าแม้กระทั่งความจํา ที่เป็นความจําเกี่ยวกับเหตุการณ์
00:13:40 → 00:13:43 ในวัยเด็กนะครับ เช่น
00:13:43 → 00:13:45 เราโดนแม่ตี พ่อให้ขนมนะครับ
00:13:45 → 00:13:48 หรือว่าพ่อพาไปเที่ยวต่างประเทศ หรืออะไรแบบนี้
00:13:48 → 00:13:51 หรืออะไรรับปริญญาอะไรแบบเนี่ย
00:13:51 → 00:13:53 อันนี้จะเป็นเหมือนกับพวกฝังใจ ใช่ไหมคะ อาจารย์
00:13:53 → 00:13:56 หรือประทับใจอะไรอย่างงี้ ใช่ไหม อะไรที่เป็นเกี่ยวข้องกับอารมณ์
00:13:56 → 00:13:59 ทั้งในแง่บวกเนอะ ค่ะ ประทับใจหรือในแง่
00:13:59 → 00:14:01 ฝังใจเนี่ยความจําในอดีต
00:14:01 → 00:14:04 มันจะจําได้ง่ายขึ้นลักษณะนั้น
00:14:04 → 00:14:06 ส่วนที่ 3 เนี่ยก็เป็นความจําเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปนะครับ
00:14:06 → 00:14:09 เช่นสับปะรด มีสีอะไรนะครับ
00:14:09 → 00:14:12 แมงกะพรุนจะมีกลิ่นยังไงนะ อะไรแบบนี้
00:14:12 → 00:14:14 หรือว่าเราเห็นแก้วน้ําเนี่ยเป็นสีแดง
00:14:14 → 00:14:16 แล้วบอกว่าเป็นน้ําผลไม้ แล้วก็คาดเดา
00:14:16 → 00:14:19 ได้ไม่กี่อย่างเนาะ เป็นสับปะรด
00:14:19 → 00:14:21 เป็นแตงโมหรือเปล่านะครับ เป็นสตรอว์เบอร์รีอะไร
00:14:21 → 00:14:24 อย่างเงี้ยครับผม แล้วชิมแล้วถึงจะรู้ว่าโอเค
00:14:25 → 00:14:27 เราจํากลิ่นและจํารสของมันได้
00:14:27 → 00:14:30 ก็อาจจะบอกได้เลยว่านี่เป็นสับปะรดนะครับ
00:14:30 → 00:14:33 เป็นแตงโมหรือสตรอว์เบอร์รีนะครับ
00:14:33 → 00:14:35 อันนี้ก็จะเป็นความจําเกี่ยวกับสิ่งทั่วไปนะครับ
00:14:35 → 00:14:37 แล้วก็สุดท้ายเนี่ยเป็นความจําที่ เกี่ยวข้องกับกระบวนท่า
00:14:37 → 00:14:40 ค่ะ เช่นนักปิงปองใช่ไหมครับ
00:14:40 → 00:14:42 นักเปียโน นักเชลโล่อะไรอย่างเงี้ย
00:14:42 → 00:14:44 เขาก็จะมีกระบวนการ กระบวนการท่าโดยการขยับมือนะครับ
00:14:45 → 00:14:50 อันนี้ก็เลยรู้สึกว่าเป็นความจําเกี่ยวกับขบวนท่านะครับ
00:14:50 → 00:14:52 พวกนี้ก็เขาเรียกว่าต้องใช้การทําบ่อย ๆ ฝึกฝนอย่างถูกวิธีนะครับ
00:14:52 → 00:14:55 เป็นความจําที่เราตรวจสอบกันไม่ได้
00:14:55 → 00:14:58 ให้อ่าน ให้เขียนกันไม่ได้ แต่ว่าต้องแสดงให้ดูเท่านั้น
00:14:58 → 00:15:00 อันนี้เหมือนจะเป็นทักษะเนาะ
00:15:00 → 00:15:01 ที่อาจารย์พูดถึง เหมือนกับว่าเราเคย
00:15:01 → 00:15:04 ปั่นจักรยานได้แล้ว แล้วเราไม่ปั่นไป 10 ปี
00:15:04 → 00:15:05 แล้วยังมาปั่นได้ อะไรอย่างเงี้ยใช่ไหมอาจารย์
00:15:06 → 00:15:08 ใช่ ใช่เพราะว่าสมองเขาจะเรียนรู้
00:15:08 → 00:15:11 เรื่องของการการขยับตามตามอุปกรณ์อะไรอย่างเงี้ย
00:15:11 → 00:15:14 ฉะนั้น บางทีก็ไม่ได้ขี่
00:15:14 → 00:15:19 รถมา 5-6 ปีอะไรอย่างเงี้ยหรือว่าไม่ได้เตะบอลมา 6-7 ปีอะไรอย่างเงี้ย
00:15:20 → 00:15:23 แบบเรียนรู้สัก 30 นาที
00:15:23 → 00:15:25 กลับมา กลับมาได้แล้ว เออเหมือนกับ
00:15:25 → 00:15:28 เรามีความทรงจำของมันอยู่ ใช่ ใช่
00:15:28 → 00:15:31 เป็นประมาณนั้นครับ ค่ะ อาจาร์ย
00:15:31 → 00:15:34 คราวนี้อยากจะถามนิดนึงว่าเราจะมีเหมือนกับว่า ทริค
00:15:34 → 00:15:36 หรือสกิลยังไง ที่ทําให้ความจําเนี่ยเราดีขึ้นได้บ้างไหมคะ
00:15:36 → 00:15:39 มันก็จะมีวิธีการที่ทําให้เราช่วยจําได้
00:15:39 → 00:15:42 อยู่ 4 ถึง 6 อย่างนะครับ
00:15:42 → 00:15:44 ผมบอกอย่างแรกก็คือเรื่องของสมาธินะครับ
00:15:44 → 00:15:47 บางทีอย่างเช่น บอกว่าลืมแว่นตา
00:15:47 → 00:15:50 ไม่รู้ตรงนี้นะครับ
00:15:50 → 00:15:52 จริง ๆ ก็พออาจจะเป็นเพราะว่าเราเนี่ย
00:15:52 → 00:15:55 ไปสนใจจดจ่อกับอย่างอื่น เราอาจจะมีงานที่เราทํายุ่งนะครับ
00:15:55 → 00:15:57 หรือว่าใจเราอาจจะคิดถึงน้องแมวที่บ้าน
00:15:57 → 00:16:00 หรือลืมให้อาหารน้องแมวอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:16:00 → 00:16:02 หรือว่าคุณแม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
00:16:02 → 00:16:05 คิดถึงแบบ เอ๊ะ จะไปไปหาคุณแม่ได้เมื่อไหร่นะครับ
00:16:05 → 00:16:07 อาจจะลืมไว้ว่าวางแว่นตา
00:16:07 → 00:16:10 นาฬิกาไว้ตรงไหน โอเคครับ
00:16:10 → 00:16:13 อันเนี่ยมันก็คือเรื่องของสตินะครับ
00:16:14 → 00:16:16 ก็คือรู้ว่าเรากระทําอะไรอยู่นะครับ
00:16:16 → 00:16:18 เพราะถ้าเรามีสติเนี่ย เราก็จะทําให้ความจําดีขึ้นนะครับ
00:16:18 → 00:16:21 อันที่สองก็คือความสนใจจดจ่อเนาะ
00:16:21 → 00:16:24 ก็คือสมาธินะครับ ถ้าเรามีสมาธิกับเรื่อง ๆ นั้นอ่ะ
00:16:24 → 00:16:26 เราจะจําได้ดีขึ้นนะครับ เช่น
00:16:26 → 00:16:28 อยากจะต้องจําเบอร์โทรศัพท์ หรือว่าอยากจําที่อยู่อะไรอย่างเงี้ย
00:16:28 → 00:16:31 ถ้าเรามีสมาธิกับมันเราจะจําได้ดีขึ้น
00:16:31 → 00:16:34 อันที่สองก็คือการการทําอะไร
00:16:34 → 00:16:36 ที่เป็นกิจวัตรนะครับ ก็อย่างเช่น
00:16:36 → 00:16:39 สมมุติว่าอย่างที่เรา เราคุณแม่อยากจะกินยาอะไรแบบเนี้ย
00:16:39 → 00:16:43 ก็เห็นละครแถลงข่าวขึ้นนะครับ
00:16:44 → 00:16:47 ก็ กินเลยอะไรแบบเนี้ยนะครับ หรือว่าการวางของเนี่ย
00:16:47 → 00:16:50 ถ้าเราวางที่ ๆ เดิม เดิม ๆ ตลอดเนี่ย
00:16:50 → 00:16:53 โอกาสลืมมันก็จะน้อยลงนะครับ
00:16:53 → 00:16:56 เช่น กระเป๋าเงินกับมือถืออะไรอย่างเงี้ย
00:16:56 → 00:16:59 เราจะวางที่ตรงโซนนี้ของโต๊ะ อะไรแบบเนี้ยนาฬิกา
00:16:59 → 00:17:01 เราก็จะวางไว้ที่ตำแหน่งนี้อะไรอย่างเงี้ย
00:17:01 → 00:17:03 โอกาสที่จะลืมเนี่ยมันก็จะน้อยลง
00:17:03 → 00:17:06 อันนี้คือการจัดระเบียบเนาะ อาจาร์ย
00:17:06 → 00:17:08 ที่อาจาร์ยพูดถึง ใช่ ใช่ค่ะ แล้วก็อีกอันนึงก็คือ
00:17:09 → 00:17:11 เรื่องเราเรียนรู้จนเชี่ยวชาญ จนมันตกผลึก
00:17:11 → 00:17:13 อันนี้มันอาจจะกลายเป็นจากความจํา ที่เป็นความจําระยะสั้นน่ะ
00:17:13 → 00:17:18 กลายเป็นความจําที่กลายเป็นความจําแบบระยะยาวเนาะ
00:17:19 → 00:17:22 อย่างเช่น หมอสมองเห็นท่าเดินคนไข้อะ
00:17:22 → 00:17:25 ก็อาจจะพอบอกได้เลยว่า ท่าเดินแบบเนี้ยเห็นบ่อย ๆ อ่ะ
00:17:25 → 00:17:27 ก็รู้เลยว่าถ้าเดินแบบเนี้ย คนไข้น่าจะเป็นโรคอะไร
00:17:27 → 00:17:29 เป็นเส้นเลือดสมองตีบไหม
00:17:30 → 00:17:33 เส้นประสาทอักเสบหรือเปล่าอะไรแบบนี้
00:17:33 → 00:17:35 หรือว่าเป็นพาร์กินสันรึเปล่าลักษณะนี้นะครับ
00:17:35 → 00:17:38 อันถัดไปก็คือการเชื่อมโยงนะครับ
00:17:38 → 00:17:40 เราอาจจะเชื่อมโยงความจําที่เราต้องการจดจํา
00:17:40 → 00:17:43 กับอะไรสักอย่างที่เราเรียนรู้นะครับ
00:17:43 → 00:17:46 เช่น สมมุติว่าเราขับรถไปจอดบนห้างอะไรแบบนี้
00:17:46 → 00:17:49 แล้วก็มันเป็นชั้นสี่ โซนเอ ใช่ไหมครับ
00:17:49 → 00:17:52 แล้วก็เป็นสี่เอ แล้วบางส่วนอาจจะจำยาก
00:17:52 → 00:17:55 ไปเชื่อมโยงกับกระดาษเอสี่
00:17:55 → 00:17:58 ก็เป็นเอสี่ สี่เอ ค่ะ อะไรแบบเนี้ยครับผม
00:17:58 → 00:18:01 ก็จะเป็นลักษณะที่ทําให้จําดีขึ้นนะครับ
00:18:01 → 00:18:04 อีกสองอย่างที่พอช่วยได้นะครับ
00:18:04 → 00:18:07 อันนึงก็คือว่าเราต้องจดบันทึกใช่มั้ย พยายาม
00:18:07 → 00:18:10 ถ้าสมมุติว่า เช่นมีวันนัดนะมีกิจกรรมที่ต้องทํา
00:18:10 → 00:18:12 แบบเป็นพิเศษเลยแล้วลืมไม่ได้ ก็อาจจะต้องจดบันทึก
00:18:12 → 00:18:14 อาจจะเป็นจดในสมุดก็ได้
00:18:14 → 00:18:17 หรือว่าเมมไว้ในมือถือ หรือ ปฎิทินได้ครับผม
00:18:17 → 00:18:20 หรือลักษณะของการที่ไม่ทําอะไรเลย
00:18:20 → 00:18:21 แต่ว่ามีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ
00:18:23 → 00:18:26 เธอ ๆช่ วยเราจําหน่อย เตือนฉันหน่อย
00:18:26 → 00:18:28 เตือนฉันหน่อยแล้ วก็จะเป็นลักษณะ
00:18:28 → 00:18:31 ที่ทําให้เราช่วยจําได้ดีขึ้น เป็นลักษณะนั้นได้นะครับ
00:18:31 → 00:18:34 นอกจากนี้เนี่ยถ้าเราอยากจะจําดีขึ้นน่ะ
00:18:34 → 00:18:37 ก็ชีวิตประจําวันพื้นฐานเราควรต้องดีด้วยนะครับ
00:18:37 → 00:18:39 เช่น นอนหลับให้เพียงพอเนาะ สองถึงแปดชั่วโมงต่อวัน
00:18:39 → 00:18:42 กินข้าวให้พอเหมาะพอดีนะครับ
00:18:42 → 00:18:45 กินมากไปเลือดก็ไปลงท้องเยอะใช่มั้ยครับ
00:18:45 → 00:18:50 ตอนบ่าย ๆ ก็อาจจะเริ่มแบบเหมือนง่วง ๆ
00:18:50 → 00:18:52 อะไรอย่างเงี้ย ก็ทําให้สิ่งที่เข้าไป
00:18:52 → 00:18:54 มันก็หลุดออกไปได้ง่ายขึ้นอะไรแบบนั้นนะครับ
00:18:54 → 00:18:57 หรือว่าอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมอะไรแบบเนี้ย
00:18:57 → 00:18:59 สุขภาพกาย สุขภาพใจดี ความจําเราก็จะดีขึ้นครับผม
00:18:59 → 00:19:02 ทีนี้เนี่ยมันก็จะมีอะไรบางอย่าง
00:19:02 → 00:19:05 ที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจํานะครับ
00:19:05 → 00:19:07 แต่ว่ามันจําเข้าไปได้เองนะครับผม
00:19:08 → 00:19:11 ก็ยกตัวอย่างสองอันละกันนะครับ
00:19:11 → 00:19:13 อันแรกก็คือว่าอะไรที่มันมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
00:19:13 → 00:19:15 เหมือนเมื่อกี้ที่คุณหมอเอมมี่พูดนะครับ
00:19:15 → 00:19:18 เช่น สมมุติว่าถ้าตอนเด็กอ่ะเราโดนคุณครูตี
00:19:18 → 00:19:21 ด้วยเรื่องปัญหาอะไรสักสักอย่างนะครับ
00:19:21 → 00:19:23 ไม่ทําการบ้านอะไรแบบเนี้ย เราก็อาจจะจําเหตุการณ์นั้นได้
00:19:23 → 00:19:26 เพราะว่าเราจะไม่ทําแบบนั้นอีก
00:19:26 → 00:19:28 เราจะไม่ทําการบ้าน เราจะต้องทําการบ้านละ
00:19:28 → 00:19:30 เพราะว่าเราก็กลัวว่าจะโดนตีอย่างงั้นอีกอะไรแบบนี้
00:19:30 → 00:19:35 มันก็จะเป็นเหตุการณ์ ที่ทําให้เป็นฝังใจนะครับ
00:19:35 → 00:19:38 หรือว่ายืนความยินดีปรีดา เช่น ลูกรับปริญญาละ
00:19:38 → 00:19:40 ลูกเรียนจบคุณพ่อคุณแม่ ก็ปราบปลื้มใจนะครับ
00:19:40 → 00:19:43 เป็นอัลไซเมอร์ไป 4-5 ปี
00:19:43 → 00:19:45 ก็ยังคงจําเหตุการณ์นั้นได้อยู่เพราะ
00:19:45 → 00:19:48 เป็นเหตุการณ์ที่มีความประทับใจนะครับ
00:19:48 → 00:19:50 มันก็จะผ่านสมองส่วนที่เรียกว่าอะมิดาล่า(Amygdala)
00:19:50 → 00:19:53 สมองส่วนนั้นมันเกี่ยวข้องกับอารมณ์
00:19:53 → 00:19:55 อันนี้ก็จะทําให้เราจําดีขึ้นนะครับ
00:19:55 → 00:19:58 แล้วก็อีกอันก็คือ เรื่องของความโดดเด่นนะครับ
00:19:58 → 00:20:01 บางทีเนี่ยเราไปซื้อสมมุติ
00:20:01 → 00:20:03 ไปซื้อดอกไม้หรือซื้ออะไรดี
00:20:03 → 00:20:06 เคสโทรศัพท์มือถือในโซนที่แบบทุกร้านเป็น
00:20:06 → 00:20:09 มือถือหมดอะไรแบบเนี้ย
00:20:09 → 00:20:12 แต่ว่ามีร้านนึง ก็คือแม่ค้าใส่หมวกสีแดงตลอด
00:20:12 → 00:20:15 แล้วก็แบบพูดเสียงดัง ๆ เสียงแจ๋น ๆ หน่อย
00:20:15 → 00:20:18 ก็จะจํารู้สึกว่าจําร้านนี้ได้
00:20:18 → 00:20:20 รู้สึกว่าเออยังไง ก็สนใจแล้วนี้อยากจะไปซื้อร้านนี้นะครับ
00:20:20 → 00:20:23 เพราะว่ามันมีความโดดเด่น
00:20:23 → 00:20:25 และก็แตกต่างไปทําให้เราจําได้อะไรแบบนี้
00:20:25 → 00:20:28 ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วเนี่ยความจําเรามันก็
00:20:28 → 00:20:30 ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับอารมณ์ค่อนข้างเยอะ
00:20:30 → 00:20:31 เหมือนกันนะอาจารย์เนอะ ใช่เนอะ
00:20:31 → 00:20:34 เพราะว่าไม่ว่าจะพูดถึงว่าลักษณะในการโดดเด่น
00:20:34 → 00:20:37 ความชอบ ความอะไรนะ เค้าเรียกว่าชอบ
00:20:37 → 00:20:39 ไม่ชอบอะไร ต่าง ๆ เนี่ย มันเกี่ยวข้องกับความจํา
00:20:39 → 00:20:42 เราค่อนข้างเหมือนกัน ใช่ ใช่ครับผม
00:20:42 → 00:20:45 ถ้าเป็นชอบหรือไม่ชอบเนี่ย แต่จะจําได้ดีไอ้ที่เป็นกลางๆเนี่ย
00:20:45 → 00:20:48 อาจจะแบบจําไม่ค่อยได้ ใช่ ใช่ ใช่ครับ
00:20:48 → 00:20:50 แบบว่าอารมณ์เราพื้นฐานอารมณ์ของเรา
00:20:50 → 00:20:53 ก็ค่อนข้างสําคัญกับความจําเช่นเดียวกัน
00:20:53 → 00:20:55 ใช่ ใช่ครับผม แล้วยิ่งถ้าสมมุติว่าช่วงนี้ก็คือพักผ่อนดี
00:20:55 → 00:20:58 ก็อาจจะจําได้ดี ช่วงไหนที่อารมณ์ขุ่นมัว
00:20:58 → 00:21:01 สิ่งที่เข้ามาอาจจะหลุดง่าย อะไรอย่างเงี้ยครับผม
00:21:01 → 00:21:03 ฉะนั้นเรื่องความจําเนี่ยก็คือ
00:21:03 → 00:21:06 ก็คือนอกจากร่างกายแล้วจิตใจ ก็สําคัญเช่นเดียวกัน
00:21:06 → 00:21:09 ใช่ครับ ใช่ครับ คราวนี้ค่ะอาจารย์มันมี
00:21:09 → 00:21:12 สิ่ง ๆ นึงอ่ะค่ะ ที่สามารถป้องกันสมองเนาะ
00:21:12 → 00:21:14 จากการเป็นโรคอัลไซเมอร์อะค่ะ โรคสมองเสื่อมได้
00:21:15 → 00:21:17 สิ่งนั้นก็คือการออกกําลังกายหรือเปล่าคะ
00:21:17 → 00:21:19 ใช่ครับ การออกกําลังกายเนี่ย
00:21:20 → 00:21:23 ก็เป็นส่วนหนึ่งนะครับ ที่เค้าเรียกว่าจะช่วย
00:21:23 → 00:21:26 ป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้นะครับ
00:21:26 → 00:21:28 อาจจะไม่ได้เป็นถึงขั้นเป็นยาวิเศษอะไร
00:21:28 → 00:21:31 แต่ว่าการออกกําลังกายเนี่ยดีแน่นอนนะครับ
00:21:31 → 00:21:33 นอกจากดีต่อสมอง แล้วยังดีต่อสุขภาพกายโดยรวมด้วยนะครับ
00:21:33 → 00:21:36 ทีนี้เนี่ยมันดีต่อสมองยังไงนะครับ
00:21:36 → 00:21:39 ก็อาจจะมีอยู่ 3-4 ข้อนะครับ
00:21:40 → 00:21:42 ข้อแรกเนี่ยก็คือว่าช่วงที่เราออกกําลังกายเนี่ย
00:21:43 → 00:21:46 ร่างกายจะขับของเสียที่อยู่ในสมองนะครับ
00:21:46 → 00:21:48 ผ่านหลอดเลือดดํา เลือดดําเล็ก ๆ
00:21:48 → 00:21:51 กับหลอดน้ําเหลืองเล็ก ๆ นะครับ ได้ดีกว่าช่วงปกติ
00:21:51 → 00:21:54 ทําให้ของเสีย มันถูกขับออกได้เยอะนะครับผม
00:21:54 → 00:21:56 อันที่สองก็คือว่าเซลล์อักเสบนะครับ
00:21:57 → 00:22:00 มันก็จะลดลงนะครับ
00:22:00 → 00:22:02 ถ้าเราได้ออกกําลังกายนะครับ
00:22:02 → 00:22:05 สารต้านอนุมูลอิสระก็ผลิตได้มากขึ้น
00:22:05 → 00:22:08 ในช่วงที่ออกกําลังกายนะครับผม
00:22:08 → 00:22:10 นอกจากนั้นเนี่ยมันก็ยังเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองนะครับ
00:22:10 → 00:22:13 ทําให้เป็นการฟื้นฟูไปในอีกทางนึงนะครับ
00:22:13 → 00:22:16 ก็ ๆ จะมีประโยชน์กับสมองในประมาณ สามแง่นะครับผม
00:22:16 → 00:22:19 คราวนี้มันมีแบบว่าการที่ประโยชน์ต่าง ๆ
00:22:19 → 00:22:21 ที่อาจารย์อธิบายมาเงี้ยค่ะ
00:22:21 → 00:22:24 มันเกี่ยวข้องไหมว่าต้องออกกําลังกายแบบไหน
00:22:24 → 00:22:26 ท่าไหนหรืออะไรแบบไหนอย่างเงี้ยค่ะ
00:22:26 → 00:22:28 อาจารย์ อยากให้อาจารย์อธิบายทริคเล็ก ๆ ว่า
00:22:28 → 00:22:30 ถ้าคนทั่วไปอยากออกกําลังกาย
00:22:30 → 00:22:33 เพื่อทําให้สมองเราเนี่ยดีขึ้น ป้องกันอัลไซเมอร์เนี่ย
00:22:33 → 00:22:36 เราควรออกกําลังกายแบบไหนได้บ้างค่ะ
00:22:36 → 00:22:38 ถ้าเป็นคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก
00:22:38 → 00:22:41 หรือดับเบิลยูเอชโอเนี่ย ถ้าจะออกกําลังกาย
00:22:41 → 00:22:44 เพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมเนี่ย
00:22:44 → 00:22:47 ก็จะถ้าสมมุติว่าอาจจะแบ่งเป็นอายุ 60 ปี ขึ้นไป
00:22:47 → 00:22:49 กับน้อยกว่า 60 ปีแล้วกันนะครับ
00:22:49 → 00:22:55 60 ปีขึ้นไปเนี่ยก็อยากจะให้ 150 นาทีต่อสัปดาห์นะครับ
00:22:55 → 00:22:58 ด้วยความหนักแบบปานกลาง
00:22:58 → 00:23:00 ความหนักแบบปานกลางสําหรับผู้สูงอายุ นี่คืออะไร
00:23:00 → 00:23:03 เช่น อาจจะเป็นลักษณะของการเดินนะครับ
00:23:03 → 00:23:06 การเต้นรําง่าย ๆ นะครับ ทําสวนง่าย ๆ
00:23:06 → 00:23:08 หรืออะไรแบบเนี้ย ก็คือความหนักแบบปานกลาง
00:23:08 → 00:23:11 ก็คือให้พอพูดได้เป็นประโยค
00:23:12 → 00:23:14 เป็นลักษณะนั้น หรือว่าถ้าจะเป็นเอานาฬิกามาวัด
00:23:15 → 00:23:17 ก็อาจจะเป็นลักษณะเป็นโซน 3 นะครับ
00:23:17 → 00:23:20 ถ้าอายุน้อยกว่า 60 ปีแล้ว
00:23:20 → 00:23:22 ก็ออกหนักขึ้นได้อีกนิดนึงที่จะเป็นโซน 3 นะครับ
00:23:22 → 00:23:25 ก็เอ่อถ้าเป็นร้อยกว่า 60 ปีเนี่ยก็จะให้ออก
00:23:25 → 00:23:28 ประมาณ 300 นาทีต่อสัปดาห์
00:23:28 → 00:23:30 ด้วยความหนักปานกลางนะครับ
00:23:31 → 00:23:34 ถ้าเป็นแอโรบิคได้ก็จะยิ่งดี
00:23:34 → 00:23:36 ก็คือวิ่งปั่นจักรยาน ว่ายน้ํา ลักษณะแบบนี้นะครับ
00:23:36 → 00:23:39 อันที่สอง ถ้าจะออกแบบวิโกลัสก็คือ
00:23:39 → 00:23:41 ออกด้วยความหนักหน่วงที่มากขึ้น
00:23:42 → 00:23:45 ก็คือหัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกนิดนึงเป็นโซน 4 นะครับ
00:23:45 → 00:23:48 ถ้าเราจะวัดง่าย ๆ ก็คือเราอาจจะพูด
00:23:48 → 00:23:50 เป็นคําออกเสียงเป็นคําได้
00:23:50 → 00:23:53 แต่พูดเป็นประโยคไม่ได้นะครับ
00:23:53 → 00:23:56 ผู้สูงอายุก็จะ 75 นาทีต่อสัปดาห์นะครับ
00:23:56 → 00:23:59 ถ้าเป็นคนน้อยกว่า 60 ปี ก็อาจจะร้อย 50 นาที
00:23:59 → 00:24:02 ต่อสัปดาห์นะครับ ถ้าผู้สูงอายุก็จะแนะนํา
00:24:02 → 00:24:04 เช่นแบบอาจจะขุดดินอะไรแบบนี้เนาะ
00:24:05 → 00:24:07 แล้วก็ตีเทนนิสอะไรแบบเนี้ย
00:24:07 → 00:24:10 ขี่จักรยานเร็ว ๆ หรือว่าวิ่งเบา ๆ นะครับ
00:24:10 → 00:24:13 อันนี้แล้วแต่คน แล้วก็แล้วแต่สุขภาพก็ได้
00:24:13 → 00:24:15 บางคนบอกว่าถ้าเข่าเสื่อมทํายังไง
00:24:15 → 00:24:18 แล้วถ้าเป็นโรคหัวใจทํายังไง หรือถ้าตาไม่ดีทํายังไง
00:24:18 → 00:24:20 ก็คือเอาเท่าที่สุขภาพกายด้าน อื่น ๆ
00:24:20 → 00:24:23 เอื้ออํานวยให้ออกกําลังกาย
00:24:23 → 00:24:26 ด้วยความเหมาะสม อันนี้ก็พูดเหมือนเป็น
00:24:26 → 00:24:29 พูดกว้าง ๆ พื้นฐานทั่วไปนะครับ ก็คือยังไงก็ตาม
00:24:29 → 00:24:31 ก็คือการออกกําลังกายก็ช่วยได้อยู่ดีเนอะ
00:24:31 → 00:24:33 อาจารย์ ครับผม คราวนี้ค่ะอาจารย์
00:24:33 → 00:24:36 อยากคุยเรื่องของกีฬาเจาะลึกอีกนิดนึงค่ะ
00:24:36 → 00:24:39 อาจารย์คือเคยได้ยินว่า ถ้าเราเล่นกีฬา
00:24:39 → 00:24:42 พวกแบล็คเกจสปอร์ตอะค่ะ ไม่ว่าจะเป็น เทนนิส ตีแบด
00:24:42 → 00:24:44 อะไรอย่างเงี้ย จะทําให้สมองความจําอะไรเงี้ยค่ะ
00:24:44 → 00:24:47 ค่อนข้างจะดีกว่ากีฬาประเภทอื่น ๆ รึเปล่าคะ
00:24:47 → 00:24:50 ดีกว่าหรือไม่ดีกว่ากีฬาประเภทอื่น อะไรอย่างเงี้ย
00:24:50 → 00:24:52 อาจจะบอกได้ไม่เต็มปาก แต่สิ่งที่แบล็คเก็ต สปอร์ต
00:24:52 → 00:24:55 เช่นแบบเทนนิส แบดมิลตัน สคอต
00:24:55 → 00:24:57 หรือว่าปิงปองอะไรอย่างเงี้ยทําได้
00:24:57 → 00:24:59 ก็คืออันที่หนึ่ง ก็คือมันเป็นออกกําลังกายอยู่ละ
00:24:59 → 00:25:01 มันได้ทางกายภาพอยู่แล้วนะครับ
00:25:01 → 00:25:04 อันที่สองก็คือมันได้cognition(ความรู้ความเข้าใจ)ด้วย
00:25:04 → 00:25:06 มันได้ฝึกสมองด้วยนะครับ ค็อกเนชั่นในที่นี้ก็หมายถึงความสามารถ
00:25:06 → 00:25:09 ของสมองนะครับ ก็คือความสามารถด้านความจํา
00:25:09 → 00:25:12 เรื่องของความคิดการแก้ปัญหา เรื่องภาษา
00:25:12 → 00:25:15 การกะระยะทาง ก็คือความสามารถสมองนั่นเอง
00:25:15 → 00:25:17 เช่น เขาตีมาอย่างงี้เราต้องไปยังไงนะ
00:25:17 → 00:25:20 แล้วเราต้องหยอดดีหรือตีแรงดี หรือว่าหลอบข้ามไปดีอะไรแบบนี้
00:25:20 → 00:25:22 แล้วได้ใช้สมองคิดนะครับ
00:25:22 → 00:25:25 แล้วก็สุดท้ายเนี่ยมันได้สังคมด้วย แล้วก็จะได้ตีเสร็จ
00:25:25 → 00:25:28 ก็เอามาคุยกันใช้แบต ก็เป็นก๊วนใช่ไหมครับ
00:25:28 → 00:25:31 เทนนิสก็อาจจะเป็นก๊วนได้ ก็ตีเสร็จคุยกัน
00:25:31 → 00:25:33 ก็ได้ทั้งเรื่องของกายภาพ เรื่องของค็อกนิชั่น
00:25:33 → 00:25:36 เรื่องของสังคม มันก็ได้ประโยชน์ทั้ง 3 ทาง
00:25:36 → 00:25:39 ทีนี้ก็อาจจะไม่ใช่แค่ blacked ก็ได้
00:25:39 → 00:25:41 อาจจะเป็นกีฬาอย่างอื่นที่เราทําร่วมกัน
00:25:41 → 00:25:44 แล้วมันได้ทั้ง 3 อย่างอะไรแบบเนี้ย
00:25:44 → 00:25:46 มันก็จะไปด้วยกันได้ ก็แปลว่ากีฬาอะไรก็ตาม
00:25:46 → 00:25:49 ที่มันมีความซับซ้อน ที่มันต้องวางแผนนิดนึง
00:25:49 → 00:25:52 ในการเล่น แล้วก็ต้องมีเล่นเป็นทีมเนี่ย
00:25:52 → 00:25:54 ก็คือจะสามารถช่วยด้านนี้ได้
00:25:54 → 00:25:56 เหมือนกันถูกไหมคะใ ช่ครับ
00:25:56 → 00:25:59 ฉะนั้นถ้าอย่างบ้านเราก็คือพวกพวกเค้าเรียกว่าอะไร
00:25:59 → 00:26:01 เตะบอลก็พอช่วยได้สิอาจารย์ เตะบอลใช่ไหม
00:26:01 → 00:26:04 ทางกายภาพได้แน่นอน สัมคมได้แน่นอน คอกนิชชั่นนี่ก็ได้เนาะ
00:26:04 → 00:26:09 เราจะเลือกว่าเราจะเล่นเอง หรือส่งให้คนอื่นอะไรแบบเนี้ย
00:26:09 → 00:26:11 หรือเราจะช้า หรือเร็วอะไรแบบเนี้ย เราจะ ใช่ครับ
00:26:12 → 00:26:14 มันก็ มันก็เป็นได้ทั้ง สังคม กายภาพ
00:26:14 → 00:26:16 แล้วก็ ความรู้ความเข้าใจ แปลว่าถ้าเทียบนั่นก็คือ
00:26:16 → 00:26:19 เล่นเป็นทีมแล้วก็ อะไรที่มันซับซ้อนหน่อย
00:26:19 → 00:26:21 ก็จะดีกว่าเล่นเดี่ยว ๆ คนเดียว ที่ ที่ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ
00:26:21 → 00:26:23 เล่นเดี่ยวจริง ๆ ก็คิดเยอะเหมือนกันนะ เช่น
00:26:23 → 00:26:26 เช่น แบตตีเดียวอย่างเงี้ย มันก็ต้องก็คิดอยู่
00:26:26 → 00:26:29 มันถึงจะตีกับคนตรงข้าม ใช่ ๆ
00:26:29 → 00:26:31 ที่เอมมี่หมายถึงเนี่ย หมายถึงว่าเล่นอะไรคนเดียว
00:26:31 → 00:26:34 เช่นวิ่งคนเดียว หรือว่า
00:26:34 → 00:26:37 หรือว่าแบบว่าออกเวทเทรนคนเดียวอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ใช่ ๆ
00:26:37 → 00:26:40 คือถ้าในแง่ของ สังคม กับ ความรู้ความเข้าใจ น่ะ
00:26:40 → 00:26:42 ถ้าเป็นเล่นคนเดียวก็อาจจะมีประโยชน์น้อยกว่านะ
00:26:42 → 00:26:45 ถ้าเวทเทรนนิ่งหรืออะไรแบบ
00:26:45 → 00:26:47 หรือวิ่งมาราธอนอะไรอย่างเงี้ย แต่มันก็มี
00:26:47 → 00:26:50 ข้อดีของมันนะ เช่นแบบการได้ทบทวนตัวเอง
00:26:50 → 00:26:53 การมีสมาธิอะไรแบบนี้อะครับ ต้องบอกว่ากีฬา
00:26:53 → 00:26:55 แต่ละอย่างมันก็มีประโยชน์ไม่เหมือนกัน
00:26:55 → 00:26:58 ก็คืออาจจะต้องเล่นหลาย ๆ อย่างนิดนึง ใช่ครับ
00:26:58 → 00:27:00 เผอิญเมื่อกี้ที่เราคุยไปกับเรื่องของกีฬาค่ะอาจารย์
00:27:00 → 00:27:02 ที่พูดว่า เออกีฬาถ้าเราเล่นเป็นทีมความจําดีขึ้น
00:27:04 → 00:27:06 แล้วสิ่งที่อาจารย์พูดอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากเลย
00:27:06 → 00:27:09 ก็คือเรื่องของโซเชียลหรือสังคมอะค่ะ
00:27:09 → 00:27:11 คราวนี้ก็เลยอยากรู้นิดนึงว่า ถ้าสมมุติว่าระหว่างเราเนี่ยค่ะ
00:27:11 → 00:27:14 อยู่ตัวคนเดียวนะคะกับแบบ
00:27:14 → 00:27:16 อยู่กับเพื่อนในสังคมอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:27:16 → 00:27:18 ทําให้สมองเราเนี่ยมีการเติบโตอะไรที่แตกต่างกันรึเปล่าคะ
00:27:21 → 00:27:24 ก็มีงานวิจัยนะครับ หลากหลายที่บอกว่า social isolation (การแยกตัวออกจากสังคม) เนี่ย
00:27:24 → 00:27:27 ก็คือการอยู่คนเดียวเนาะ
00:27:27 → 00:27:30 โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ได้เข้าสังคมนะครับ
00:27:30 → 00:27:33 ไม่ได้อยู่กับลูกหรืออยู่กับสามี ภรรยานะครับ
00:27:33 → 00:27:35 หรือว่าอยู่กับพี่น้องเนี่ย
00:27:35 → 00:27:38 ก็จะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นภาวะสมองเสื่อมเนี่ย
00:27:40 → 00:27:43 ได้มากกว่าคนที่เขามี โซเชียลปกตินะครับ
00:27:43 → 00:27:46 อันนี้ก็คําว่าอยู่คนเดียวเนี่ย ไม่ได้หมายความว่า
00:27:46 → 00:27:48 เป็นโสดหรือว่าเป็นหม้ายนะครับ
00:27:49 → 00:27:52 แต่ก็ลักษณะหมายถึงว่า ในชีวิตประจําวันน่ะ
00:27:52 → 00:27:54 ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ไม่ได้ไปสังสรรค์กับใคร
00:27:54 → 00:27:57 แต่ว่าถ้าเราเป็นโสดเป็นหม้ายนะครับ
00:27:57 → 00:28:00 แต่ว่าเราได้แบบทํางานสังคมนะครับ
00:28:00 → 00:28:02 หรือว่าไปคุยกับข้างบ้านตลอด
00:28:02 → 00:28:05 โทรคุยกับลูกตลอด วิดีโอคอลลูกกับลูกตลอดนะครับ
00:28:05 → 00:28:07 หรือว่าสามีทํางานพักคนละที่
00:28:07 → 00:28:10 แต่ว่าได้เจอกันเสาร์อาทิตย์หรืออะไรแบบนี้
00:28:10 → 00:28:13 หรือว่าเราไปเยี่ยม เจอกันทุกเสาร์อาทิตย์อะไรแบบเนี้ย
00:28:15 → 00:28:18 อันนี้ก็ก็ไม่ได้นับเป็นการเรียกว่า social isolation
00:28:18 → 00:28:21 หรือว่าแยกออกจากสังคมนะครับ
00:28:21 → 00:28:23 ทีนี้เนี่ยไอ้การที่เราได้อยู่ กันเป็นสังคมเหมือน
00:28:23 → 00:28:26 ได้คุยกันเนี่ยมัน มันดียังไงนะครับ
00:28:27 → 00:28:29 อันที่หนึ่งก็คือว่าการที่เราได้คุยกันนะ
00:28:29 → 00:28:32 การคุยคือการคิดเนาะ เราได้ใช้สมอง
00:28:33 → 00:28:35 ได้ยินปุ๊บสมองคิดละ โอเคจะทํายังไงดี
00:28:35 → 00:28:38 จะได้ช่วยเค้ายังไงนะครับ
00:28:38 → 00:28:40 เราจะแก้ไขปัญหาตรงนี้เพื่อคนอื่นหรือเพื่อตัวเองยังไงนะครับผม
00:28:43 → 00:28:46 อันที่หนึ่งก็คือว่า การได้เจอกันคือการได้ ได้ใช้สมองคิดนะครับ
00:28:46 → 00:28:51 อันที่สองคือการได้เจอกันเนี่ย มันมักจะนําไปสู่การที่เค้ามีกิจกรรม
00:28:52 → 00:28:54 อะไรอื่น ๆ ร่วมกันอย่างเช่นแบบไปเที่ยวด้วยกัน
00:28:57 → 00:28:59 ไปแบบทํางานสังคมด้วยกันอะไรแบบเนี้ย
00:28:59 → 00:29:00 ก็จะเป็นการเหมือนกับช่วย
00:29:01 → 00:29:03 ปฏิสัมพันธ์ความจํา การวางแผนอะไรต่าง ๆ อย่างงี้ใช่มั้ยคะ
00:29:05 → 00:29:08 ช่วยพัฒนาสมองในจุดนี้ใช่ครับผม
00:29:08 → 00:29:11 ก็แปลว่าจริงจริงแล้วเนี่ย เรื่องของการที่อยู่โดดเดี่ยว
00:29:11 → 00:29:14 และเดียวดายเนี่ย ด้วยคําว่าเดียวดายเนอะ
00:29:14 → 00:29:16 ก็คือมีความสําคัญเกี่ยวกับเรื่องของความจํา
00:29:16 → 00:29:18 แล้วก็การทํางานสมองค่อนข้างเยอะทีเดียว
00:29:18 → 00:29:20 ใช่ ใช่ ก็จริง ๆ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมเนอะ
00:29:20 → 00:29:22 เราก็แบบว่าจําเป็นที่ต้องแบบว่ามีปฎิสัมพันธ์
00:29:22 → 00:29:25 การไปสัมผัสกับคนอื่นอะไรคนอื่นเงี้ยค่ะ
00:29:25 → 00:29:27 อันที่อาจารย์อธิบายมาเนี่ย ก็คือเห็นภาพมาก และมันก็ดีมากแต่จริง ๆ แล้วเนี่ย
00:29:29 → 00:29:32 มันก็มีงานวิจัยว่าถ้าเราอย่างเงี้ยค่ะ
00:29:32 → 00:29:35 แค่ออกจากบ้านเนาะ แล้วก็ไปซื้อกาแฟมาแก้วนึงเงี้ยค่ะ
00:29:35 → 00:29:37 แล้วก็ได้แค่พูดคุยไรเงี้ย
00:29:37 → 00:29:39 มันก็มีปฏิสัมพันธ์กับคนละก็ ทําให้สมองเราเนี่ย
00:29:40 → 00:29:42 ได้มีการพัฒนาและการได้ใช้ตลอดเวลา
00:29:42 → 00:29:44 หรือว่าเราออกจากบ้านแล้วจําเป็นต้อง
00:29:44 → 00:29:46 เหมือนกับว่าโทรสั่งเดลิเวอรี่
00:29:46 → 00:29:49 ไปซักผ้าหยอดเหรียญอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:29:49 → 00:29:51 ก็ทําให้เรามีปฏิสัมพันธ์ล่ะไม่จําเป็น
00:29:51 → 00:29:53 จะต้องมีเพื่อนฝูงมาก ๆ ก็ได้แต่ขอให้ได้ก้าวออกจากบ้าน
00:29:54 → 00:29:56 คราวนี้ก็มีดูจากในงานวิจัยเหมือนกันค่ะอาจารย์
00:29:56 → 00:29:58 เพราะมันมีประเด็นสําคัญว่า ในญี่ปุ่นน่ะ
00:29:58 → 00:30:01 คนแก่ส่วนใหญ่อ่ะมักจะอยู่คนเดียว
00:30:01 → 00:30:04 เนี่ยเค้าก็เลยว่า เอ๊ะจะทํายังไงดีให้แบบว่า
00:30:04 → 00:30:07 คนแก่เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
00:30:07 → 00:30:10 เค้าก็เลยใช้เอไอเข้ามาช่วยก็ปรากฏว่า
00:30:10 → 00:30:12 เอไอเหล่านั้นน่ะ กลายเป็นเพื่อนที่ดีของคนแก่ด้วยซ้ํา
00:30:12 → 00:30:14 เพราะว่ามีการพูดกันมีการตอบสนองกันเงี้ยค่ะ
00:30:14 → 00:30:17 ก็เลยบอกว่าจริง ๆ การปฎิสัมพันธ์
00:30:17 → 00:30:19 อาจจะไม่จําเป็นจะต้องมีเพื่อนฝูงเยอะ
00:30:19 → 00:30:21 ก็ได้แต่ขอให้คนไข้เหล่านั้นน่ะ
00:30:21 → 00:30:24 มีปฏิสัมพันธ์กับอะไรสักอย่าง ได้ออกจากบ้านบ้าง
00:30:24 → 00:30:26 ได้คุยกับเพื่อนบ้าง บ้างก็ได้เงี้ยค่ะ
00:30:26 → 00:30:29 ก็คิดว่าคนไข้เหล่าเนี้ยน่าจะมีอะไรที่ดีขึ้น
00:30:29 → 00:30:32 นอกจากเรื่องของที่เรื่องโซเชียลแล้วอะค่ะอาจารย์
00:30:32 → 00:30:34 มีอีกอันนึง ที่ช่วงเนี้ยค่อนข้างเป็นฮิตฮอตที่เราเห็นในทางโซเชียล
00:30:36 → 00:30:39 ค่อนข้างเยอะเลยค่ะอาจารย์ คือการทําไอซ์บาสค่ะ
00:30:39 → 00:30:41 อาจารย์ก็คือบอกว่าไอซ์บาสเนี่ย
00:30:41 → 00:30:44 หมายถึงว่าการที่เราตัวเราแช่ในถังน้ําแข็งเนาะ
00:30:44 → 00:30:46 เย็น ๆ แล้วเขาบอกว่าอุณหภูมิเนี่ย ศูนย์องศา
00:30:46 → 00:30:49 แล้วก็แช่ประมาณสักแบบสองนาทีอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:30:49 → 00:30:51 อาจารย์ แล้วเค้าบอกว่ามันจะช่วยเรื่องของ
00:30:51 → 00:30:53 การทํางานของหัวใจ หลอดเลือดของสมองด้วย
00:30:53 → 00:30:55 อันนี้มันเป็นยังไงอะคะอาจารย์
00:30:55 → 00:30:58 จริง ๆ มันก็จะมีสองอันใช่มั้ยครับ
00:30:58 → 00:31:00 อันแรกก็คือโคชาวเวอร์ก็คืออาบน้ําเย็น
00:31:00 → 00:31:03 ที่อุณหภูมิต่ํากว่า 15 องศานะครับ
00:31:03 → 00:31:05 แล้วก็ไอซ์บาสที่เหมือนหมอนี่พูดไป
00:31:06 → 00:31:08 ก็คือว่าเอาตัว ยกเว้นแค่คอกับหัวไปจุ่มลงไปในน้ําแข็ง
00:31:08 → 00:31:10 น้ําผสมน้ําแข็งนะครั บจริงก็หลักการมันก็คือเหมือน
00:31:10 → 00:31:13 เค้าเรียกว่าคล้าย ๆ กับเทอราบิลติกไฮโปเธอร์เมีย
00:31:16 → 00:31:18 ก็คือให้ร่างกายอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานนะครับ
00:31:18 → 00:31:21 เพราะฉะนั้นสมอง ก็จะสร้างของเสีย
00:31:21 → 00:31:24 สร้างสารพิษลดลงนะครับ ก็จะมีเหมือนกับ
00:31:24 → 00:31:26 ให้สมอง ได้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
00:31:26 → 00:31:29 ประโยชน์ของสมองก็จะเป็นลักษณะนั้นนะครับ
00:31:32 → 00:31:34 บางการวิจัยก็บอกว่ามันก็อาจจะมีการเพิ่มสารบางอย่าง
00:31:34 → 00:31:37 ที่เป็นช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์
00:31:37 → 00:31:39 เช่นสาร บีดีเอ็มเอฟนะครับ
00:31:39 → 00:31:42 ในช่วงที่มีการจุ่มไอซ์บาสเนาะ แต่ว่ามันก็เป็นในช่วง
00:31:42 → 00:31:44 ระยะเวลาสั้น ๆ นะครับ ถามว่าทีนี้
00:31:44 → 00:31:47 ถ้าใครจะทําได้บ้าง คนสุขภาพดีอายุ ไม่เยอะ
00:31:47 → 00:31:50 วัยรุ่นอะไรแบบเนี้ย ทําได้
00:31:50 → 00:31:52 ผมว่าไม่มีปัญหา แต่ว่าถ้าเป็นผู้สูงอายุ
00:31:52 → 00:31:55 หรือว่าถ้าคนมีโรคประจําตัวเยอะ ๆ
00:31:55 → 00:31:57 หรือว่ากลุ่มเปราะบางเนี่ย ไปแช่น้ําแข็ง
00:31:57 → 00:32:00 เนี่ยโอกาสที่มีความเสี่ยงก็เยอะ
00:32:00 → 00:32:02 เพราะว่าทําให้อุณหภูมิลดลงต่ำเร็ว ก็มีอาจจะมีผล
00:32:02 → 00:32:05 ต่อหัวใจนะครับ หรือบางรายก็สามารถ
00:32:05 → 00:32:08 ถ้าแช่นาน ๆ เกินไป แล้วขึ้นไม่ทันก็อาจจะ
00:32:08 → 00:32:10 หัวใจหยุดเต้นได้ จากการที่อุณหภูมิร่างกาย
00:32:10 → 00:32:13 โดยภาพรวมมันต่ำเกินไปอย่างเงี้ยครับผม
00:32:13 → 00:32:15 แต่ถ้าส่วนตัวเองอ่ะ ถ้าผู้สูงอายุมาปรึกษาอะไรอย่างเงี้ย
00:32:15 → 00:32:17 จะ ๆ ไม่ได้ค่อยแนะนําจุดนี้เท่าไหร่
00:32:17 → 00:32:20 เพราะว่ามันเปราะบางเนอะ อาจารย์เนอะ
00:32:20 → 00:32:23 แต่ว่าสมมติว่าถ้าเป็นทางคุณผู้ชม
00:32:23 → 00:32:26 ถ้าอยากไปแข็งแรงก็คือ ลองได้ ลองได้ โอเค
00:32:26 → 00:32:27 แต่ว่าอีกอันหนึ่งนักกีฬาก็มีประโยชน์
00:32:27 → 00:32:30 นักกีฬาก็มีประโยชน์ ใช่ไหมคะ อาจารย์
00:32:30 → 00:32:32 อันนี้ขอถามอาจารย์นิดนึงไหมคะ อาจจะนอกเรื่องนิดนึง
00:32:32 → 00:32:35 ก็คืออย่างของฝั่งเอมมี่เวชศาสตร์ป้องกันและการชะลอวัย
00:32:35 → 00:32:38 ในไวน์มันมีสาร เรสเวอราทรอล (Resveratrol) นะ
00:32:38 → 00:32:40 ช่วยต้านแก่เป็นสารอนุมูลอิสระ อะไรประมาณนี้
00:32:43 → 00:32:45 คราวนี้การกินไวน์ เล็ก ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ อาจารย์
00:32:45 → 00:32:48 ไม่ได้เยอะมากต่อวันเนี่ย มันช่วยบํารุงสมองบ้างไหมคะ
00:32:48 → 00:32:50 จริง ๆ อันนี้ดีนะครับมีประโยชน์
00:32:50 → 00:32:53 ก็คือเขาบอกว่ากินการกินแอลกอฮอล์แต่พอเหมาะ
00:32:53 → 00:32:56 ก็คือว่าสัปดาห์หนึ่งอ่ะไม่เกิน 14 ยูนิตนะครับผม
00:32:56 → 00:32:58 ยกตัวอย่าง เช่นสัปดาห์นึงกิน
00:32:59 → 00:33:02 วันหนึ่งกินเบียร์ไม่เกินหนึ่งกระป๋องใหญ่
00:33:02 → 00:33:04 หรือสองกระป๋องเล็กนะครับ
00:33:04 → 00:33:07 หรือกินไวน์วันหนึ่ง ไม่เกินสองแก้วนะครับ
00:33:07 → 00:33:11 หรือว่าถ้าเป็นถ้าเป็นเออเป็นเป๊กเล็ก ๆ นะครับ
00:33:14 → 00:33:17 ก็อาจจะไม่เกินสองเป๊กแบบเนี่ย ถ้าปริมาณไม่เกินนี้ต่อวันนะครับ
00:33:17 → 00:33:19 มีประโยชน์ต่อทั้งหัวใจและก็สมองนะครับ
00:33:19 → 00:33:22 แต่ว่าการกินแบบวินส์ คือการกินมากเกินไป
00:33:22 → 00:33:25 ก็คือเกิน 21 ยูนิตต่อสัปดาห์นะครับผม
00:33:25 → 00:33:28 ยกตัวอย่างเช่นกินไวน์เกิน 3 ขวดต่อสัปดาห์
00:33:28 → 00:33:30 หมายถึงคนเดียวกินนะครับผม
00:33:30 → 00:33:37 หรือว่าเบียร์แบบประมาณ 20 กระป๋องขึ้นไปเยอะเกินนะครับ
00:33:37 → 00:33:40 แล้วก็จะมีผลต่อสมองก็คือ หลัก ๆ ก็คือ
00:33:40 → 00:33:41 หนึ่งก็คือการทําให้วิตามินบีหนึ่ง
00:33:41 → 00:33:44 ในระบบประสาทศูนย์กลางมันลดลงนะครับ
00:33:44 → 00:33:46 สองก็คือแอลกอฮอล์เนี่ยเค้าจะเป็นอันตราย
00:33:46 → 00:33:49 ต่อเนื้อสมองส่วนสีขาวในสมอง
00:33:49 → 00:33:52 เขาเรียกว่าเป็นอันตรายต่อไวท์แมทเทอร์ของเบลน นะครับ
00:33:52 → 00:33:55 ทีนี้เนี่ยอาการก็จะเหมือนกับคิดช้านะครับ
00:33:55 → 00:33:58 หลงลืมง่ายทําอะไร ไม่ค่อยคล่องนะครับ
00:33:58 → 00:34:00 การตัดสินใจผิดพลาดนะครับ
00:34:00 → 00:34:03 ก็เป็นผลจากการที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
00:34:03 → 00:34:06 แล้วสรุปว่ากินวันละน้อย ๆ มีประโยชน์ครับผม
00:34:07 → 00:34:09 แปลว่ากินวันละน้อย ๆ บํารุง กินมากเกินไป
00:34:09 → 00:34:12 ก็คือทําร้ายสมองตัวเอง ใช่ครับ
00:34:12 → 00:34:14 คราวนี้อีกอันนึงค่ะอาจารย์ ที่เดี๋ยวนี้เรามักจะเวลา
00:34:14 → 00:34:16 เราไปไปร้านสะดวกซื้ออะไรอย่างนี้ค่ะ
00:34:16 → 00:34:18 อาจารย์ที่จะเห็นบ่อยมาก ๆ ในตู้แช่เนาะ อาจารย์
00:34:21 → 00:34:24 มันก็จะมีน้ําดื่มเนาะ พวกแบบว่าวิตามินแร่ธาตุ บํารุงสมองเนี่ยค่ะ
00:34:24 → 00:34:26 อาจารย์ ไอ้พวกเนี้ยมันมีประโยชน์จริงมั้ยคะ
00:34:26 → 00:34:28 อาจารย์ จริง ๆ ก็มันก็คือเป็นน้ําที่ผสมวิตามินเข้าไปใช่ไหม
00:34:31 → 00:34:33 หลักการก็คือ คล้าย ๆ กับเหมือนกับกินวิตามินนั่นแหละ
00:34:33 → 00:34:36 คือของฝรั่งก็จะเป็น ๆ กัมมี่เนอะ
00:34:36 → 00:34:38 เป็นเหมือนกับ เป็นเยลลี่ที่ให้เคี้ยวเข้าไป
00:34:40 → 00:34:43 เของไทยก็จะมาเป็นรูปแบบน้ํา ผมก็คิดว่าเหมือน ๆ กัน
00:34:43 → 00:34:46 ก็คือว่า ถ้ามัน ถ้าคนนั้นน่ะเขาขาดวิตามินนั้นอยู่
00:34:48 → 00:34:52 มันจะได้ประโยชน์เต็ม ๆ แต่ว่าถ้าสมมติว่าวิตามินต่าง ๆ เขาพอแล้ว
00:34:52 → 00:34:55 กินเข้าไปก็คือเหมือนกิน กินน้ําแล้วก็เดี๋ยว
00:34:55 → 00:34:58 พอวิตามินบีมันเกินมันก็จะขับกับปัสสาวะออกไป
00:34:58 → 00:35:01 ใช่ ๆ ก็คือต้องดูว่า หนึ่งอาหารหลักคุณกินพอมั้ย
00:35:03 → 00:35:06 สองร่างกายคุณมีสารอาหารเหล่านั้นพอหรือเปล่า
00:35:06 → 00:35:08 ถ้าไม่พอค่อยเสริม ใช่ ใช่ครับ
00:35:09 → 00:35:11 คือ วิตามิน บี1 บี12 เนี่ย ครับ
00:35:11 → 00:35:14 ผมไม่ค่อยกังวลเพราะว่ากินแบบเป็นกำอะไรแบบนี้
00:35:14 → 00:35:17 ก็ยังไม่มีผลเสียครับผม แต่ว่าบางที เอ่ ถ้ามัน
00:35:17 → 00:35:20 ผสมวิตามินบี 6 เยอะเกินไปเรากินวิตามินบี 6 เยอะเกินไปอ่ะ
00:35:22 → 00:35:25 ก็อาจจะทําให้เส้นประสาทอักเสบได้ ในคนที่กินเยอะ ๆ
00:35:25 → 00:35:27 เพราะฉะนั้นก็คือถ้าเราต้องดูว่า
00:35:27 → 00:35:30 วิตามิน บี 1 บี6 บี 12 ถ้าดูว่ามันเรากินมานานละ
00:35:30 → 00:35:33 หรือว่ามันรู้สึกว่ามันไม่ได้จําเป็นแล้ว
00:35:33 → 00:35:34 กินแล้วก็มันอาการไม่ได้ดีขึ้น จริง ๆ ก็อยากจะให้
00:35:35 → 00:35:38 ลองถามหมอว่าหยุดดีมั้ยนะครับ ถ้าเป็นบี 6 ค่ะ
00:35:38 → 00:35:41 จริง ๆ เอมมี่เคยเจอเคสนะคะ อาจาร์ย
00:35:41 → 00:35:44 เป็นคนไข้แบบว่าคนไข้ต่างชาติเนอะ ครับผม
00:35:44 → 00:35:47 เขาชอบกินวิตามินมาก กินทุกตัว เราไม่ได้สั่งนะ
00:35:47 → 00:35:49 คนไข้ซื้อเองแล้วพอมาเจอเราอย่างเงี้ย
00:35:49 → 00:35:51 บางครั้งเราก็เออบอกว่าเออแนะนําให้กินวิตามินบีเพิ่ม
00:35:51 → 00:35:53 เราถามคนไข้แล้วนะ แต่คนไข้บอกว่าไม่ได้กิน
00:35:53 → 00:35:55 แต่จริง ๆ คนไข้กินไง แล้วกินจนกระทั่ง
00:35:55 → 00:35:58 วันนึงเค้าไม่ได้มาหาเราแล้วหายไป
00:35:58 → 00:36:00 เป็นปีแล้วกลับมาเจอเราเงี้ย
00:36:00 → 00:36:02 แล้วก็บอกว่า เนี่ยอยู่ ๆ แบบมือเท้า ชามือ
00:36:02 → 00:36:05 ความรู้สึกผิดปกติอย่างเงี้ยค่ะ อาจารย์
00:36:05 → 00:36:07 ปรากฏว่าเช็ควิตามินบี 6 อย่างที่อาจารย์ว่าเลย
00:36:07 → 00:36:10 สูงมาก ครับผม กลายเป็นแบบว่ามันมีผลต่อเส้นประสาทของคนไข้
00:36:10 → 00:36:12 เพราะเขากินเยอะเกินไป วิตามินบี 6
00:36:12 → 00:36:14 เป็นอันหนึ่งที่ต้องระวัง คราวนี้อยากถามอาจารย์นิดนึงค่ะ
00:36:14 → 00:36:17 ว่าสมมติว่าแบบว่า มีเด็กเนี่ย
00:36:17 → 00:36:20 พรุ่งนี้แบบกําลังจะสอบเลยเนาะ แบบว่าสอบ
00:36:20 → 00:36:22 แบบสําคัญมาก หรือแบบว่าวัยทํางานเนี่ย
00:36:22 → 00:36:24 พรุ่งนี้ฉันต้องไปพรีเซนต์งานอะไรเงี้ย
00:36:24 → 00:36:26 ทําให้สมองฉันโลดเล่นจําได้ดีอะไรอย่างเงี้ย
00:36:26 → 00:36:29 คราวเนี้ยอาจารย์มีคําแนะนําไหมคะ ว่าควรปฏิบัติตัว
00:36:29 → 00:36:31 หรือทํายังไง หรือกินอะไรเป็นพิเศษอย่างเงี้ยค่ะ
00:36:31 → 00:36:33 เอาจริง ๆ ที่สําคัญก็คือเรื่องของการพักผ่อนเนอะ
00:36:33 → 00:36:35 อย่างน้อยก็คือ อยากให้พักผ่อนให้เพียงพอนะครับ
00:36:38 → 00:36:41 ก่อนวันที่จะเข้าไปเนี่ย อาจจะต้องเหมือนกับมีการรีแลกซ์
00:36:41 → 00:36:44 ตัวเองนิดนึงนะครับ อาจจะฟังเพลง อาจจะไปนวด
00:36:45 → 00:36:47 หรืออะไรก็ทําให้สมองผ่อนคลายนะครับ
00:36:47 → 00:36:50 ก็จะทําให้คุณภาพในการเรียนรู้ หรือคุณภาพในการ
00:36:51 → 00:36:55 ส่งผ่านความรู้ในวันถัด ๆ ไปทําได้ดีขึ้นนะครับผม
00:36:56 → 00:36:58 ถ้าคนที่เคยออกกําลังกายอยู่แล้ว
00:36:58 → 00:37:00 ก็เป็นประจําอยู่แล้ว ก็ออกได้เป็นประจําได้นะครับ
00:37:00 → 00:37:03 แต่ว่าถ้าเรื่องอาหาร หรืออาหารเสริม
00:37:03 → 00:37:05 ที่เราจะแอดออนเข้าไปเนี่ย
00:37:06 → 00:37:09 ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเหมือนกับคุณค่าทางใจ
00:37:09 → 00:37:11 คุณค่าทางใจมากกว่าเพราะฉันได้กินรังนก
00:37:11 → 00:37:14 ฉันได้กินแบบพรุน ฉันได้กินสารสกัดที่เป็นซุปไก่
00:37:17 → 00:37:20 อะไรแบบนี้ มันอาจจะไม่ได้มีผลในแง่ของความสามารถสมอง
00:37:23 → 00:37:26 ณ ตอนนั้น แล้วตอนต่อไป มากขึ้นเท่าไหร่ครับผม
00:37:26 → 00:37:29 แต่ว่ามันก็เขาเรียกว่าเป็น placebo effect (ปรากฏการณ์ยาหลอก) ได้
00:37:29 → 00:37:31 ก็คือว่าเหมือนกับ บํารุงทางใจ ใช่ครับ
00:37:31 → 00:37:33 ก็หมายถึงว่าจะกิน ก็กินได้แหละ อะไรอย่างเงี้ย
00:37:33 → 00:37:36 แต่ว่าผลอาจจะไม่ชัดเจน อะไรอย่างเงี้ยแต่ว่า
00:37:36 → 00:37:39 การนอนการพักผ่อนอะไรอย่างเงี้ยสําคัญกว่า
00:37:39 → 00:37:42 ใช่ ใช่การเตรียมตัว การเตรียมตัวใช่ครับผม
00:37:42 → 00:37:45 ทุกสามวินาทีมีคนเป็นโรคสมองเสื่อมและ
00:37:45 → 00:37:48 มากกว่า 55 ล้านคนในโลกนี้กําลังเผชิญปัญหานี้อยู่
00:37:48 → 00:37:50 ตัวเลขน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
00:37:50 → 00:37:52 คราวนี้เลยอยากถามอาจารย์นิดนึงอะค่ะ
00:37:52 → 00:37:55 ว่าโรคสมองเสื่อมกับอัลไซเมอร์เนี่ยมันคือ
00:37:55 → 00:37:57 อันเดียวกันไหม หรือว่ามันคนละอันกัน
00:37:57 → 00:37:59 แล้วก็มันเกิดขึ้นได้ยังไงอะคะอาจารย์
00:37:59 → 00:38:02 งั้นขอเริ่มที่ภาวะสมองเสื่อมก่อนนะครับ
00:38:02 → 00:38:04 จริง ๆ สมองเสื่อมเนี่ยเป็นภาวะนะ ไม่ใช่โรคนะครับ
00:38:04 → 00:38:10 ก็คือมัน ก็คือภาวะที่ความสามารถสมองของเราเนี่ยมันลดลงเยอะ
00:38:10 → 00:38:15 มาก ๆ จนที่เราเนี่ย หรือคน คนนั้นเนี่ย ไม่สามารถดำเนินชีวิต
00:38:15 → 00:38:17 ประจําวันได้ด้วยตัวเองนะครับ
00:38:17 → 00:38:20 เช่น ไปซื้อของด้วยตัวเองไม่ได้ ขับรถเองไม่ได้นะครับ
00:38:20 → 00:38:22 หรือว่าทํากับข้าวเองไม่ได้ อันนี้ก็จะเรียกว่า
00:38:22 → 00:38:25 เป็นภาวะสมองเสื่อมนะ เพราะว่าสมองเสื่อม
00:38:25 → 00:38:28 เกิดจากได้หลากหลายโรคนะครับ
00:38:28 → 00:38:31 โรคอัลไซเมอร์ก็เป็นโรคหนึ่ง ที่ทําให้เกิดภาวะสมองนะครับ
00:38:31 → 00:38:34 โรคอัลไซเมอร์เนี่ย ก็จะเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะสมองเสื่อม
00:38:36 → 00:38:39 ประมาณ 60 ถึง 80 % ครับผม
00:38:39 → 00:38:41 ทีนี้เนี่ยอัลไซเมอร์เนี่ย มันคืออะไรเนอะ
00:38:41 → 00:38:44 อัลไซเมอร์ก็คือโรค ๆ นึงที่เป็นโรคสมองนะครับ
00:38:44 → 00:38:47 ที่เกิดจากการสะสมของโปรตีนสองชนิดในสมอง
00:38:50 → 00:38:53 ก็คือโปรตีนอะมีลอย แล้วก็โปรตีนทาวน์ ค่ะ
00:38:53 → 00:38:56 ที่เป็นพิษนะครับแล้วก็สะสมอยู่ในสมอง
00:38:56 → 00:38:58 เมื่อสะสมสมองมากเข้านะครับ
00:38:59 → 00:39:01 ก็เป็นอันตรายต่อเซลล์สมอง ทําให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง
00:39:01 → 00:39:07 พอเซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง ลงเนื้อสมองก็จะเหี่ยวลง
00:39:07 → 00:39:10 พอเนื้อสมองเหี่ยวลง ก็จะเริ่มมีอาการนะครับ
00:39:10 → 00:39:13 เริ่มมีหลงลืม เริ่มมีคิดช้า ตัดสินใจผิดพลาด
00:39:15 → 00:39:19 นึกคําไม่ออกนะครับ แล้วถ้ามีอาการเหล่านั้นมากจนถึง
00:39:19 → 00:39:22 ระยะเวลาหนึ่ง จนทํากิจวัตรประจําวันไม่ได้
00:39:22 → 00:39:25 อันนั้นก็จะเรียกว่าอัลไซเมอร์เนี่ย
00:39:25 → 00:39:27 เข้าสู่ระยะที่เป็นภาวะสมองเสื่อม อาจจะมีการวิธี
00:39:27 → 00:39:30 การสังเกตในชีวิตประจําวันง่าย ๆ ไหมคะอาจารย์
00:39:30 → 00:39:33 ว่ามีอะไรที่มันเช่นเรียกว่าผิดปกติไว
00:39:33 → 00:39:34 หรืออันนี้เขาเรียกว่าหลงลืมเฉย ๆ อะไรอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์
00:39:34 → 00:39:36 อันที่ดีนะครับที่ผมทําวิจัยด้วย
00:39:36 → 00:39:39 ก็คือเรื่องของเรื่องของความจําเกี่ยวกับเหตุการณ์นะครับ
00:39:41 → 00:39:45 เช่น เช้านี้เรากินข้าวกับอะไรนะ ส่วนมากก็จะไม่ค่อยลืม
00:39:45 → 00:39:48 หรือถ้าลืมก็จะไม่ได้ลืมบ่อยนะครับ แต่ว่าถ้าเกิดว่าหลงลืม
00:39:50 → 00:39:53 เหตุการณ์เช่น เช้านี้ลืมว่ากินข้าวกับอะไร
00:39:54 → 00:39:56 10 นาทีพูดเรื่องอะไร สักอย่างนึงที่สําคัญ
00:39:56 → 00:39:59 ลืมไปแล้วว่า 10 นาทีพูดเรื่องนี้นะครับ
00:39:59 → 00:40:01 หรือว่าหลานคนโปรดอะมาเยี่ยมเมื่อวาน
00:40:01 → 00:40:04 หลานไม่ได้มา 3 4 5 เดือน
00:40:04 → 00:40:07 หลานคนโปรดมาเยี่ยมเมื่อวานตอนเย็นจําไม่ได้อะไรแบบเนี้ย
00:40:07 → 00:40:12 เหตุการณ์ระยะสั้นที่เพิ่งเกิดขึ้นเนี่ย ถ้าลืมเนี่ยอันเนี่ยเป็น
00:40:13 → 00:40:16 ทริคสําคัญว่าเขาอาจจะเริ่มมีภาวะอัลไซเมอร์
00:40:16 → 00:40:18 ในระยะต้นรึเปล่านะครับผม
00:40:19 → 00:40:21 มันไม่เกี่ยวกับว่าลืมกุญแจที่ไหน ลืมแว่นตาที่ไหน
00:40:21 → 00:40:24 อะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะอาจารย์
00:40:24 → 00:40:26 จะมีคนชอบถามบ่อยเรื่องลืมของเนี่ย อันนี้เราก็สังเกตง่าย ๆ
00:40:26 → 00:40:29 ได้เหมือนกัน สมมุติว่าเราลืมกุญแจเนี่ย
00:40:29 → 00:40:31 สมมุติว่าเดือนละครั้ง อันนี้อาจจะเป็นปกติ
00:40:31 → 00:40:34 แล้วอาจจะแบบช่วงนั้นไม่มีสมาธิ ไม่ได้สนใจจดจ่อนะ
00:40:36 → 00:40:39 หรือว่าลืมนาฬิกานาน ๆ ที
00:40:39 → 00:40:42 ลืมกระเป๋าตังค์นาน ๆ ที หรือว่า เอะ ลืมว่าเข้าห้องมา
00:40:42 → 00:40:44 เข้าห้องครัวมาจะมาทําอะไรวะ อะไรแบบนี้
00:40:45 → 00:40:48 ถ้านาน ๆ ทีอาทิตย์ละครั้งเนี่ย
00:40:48 → 00:40:50 ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีปัญหาเป็นตามวัย
00:40:50 → 00:40:53 หรือเป็นตามสมาธิได้นะครับ
00:40:53 → 00:40:56 แต่ว่าถ้ามันเริ่มบ่อย เช่นเริ่มแบบใน
00:40:56 → 00:40:59 หนึ่งเดือนเนี่ยมีหม้อไหม้ 3 ครั้งเพราะลืมปิดแก๊สนะครับ
00:40:59 → 00:41:02 มีน้ําแบบท่วมบ้าน 2 ครั้ง เพราะว่าลืมปิดน้ําอะไรแบบนี้
00:41:04 → 00:41:07 หรือว่า ลืมแล้ว ตามไม่ได้นะครับ
00:41:08 → 00:41:11 เช่น ลืมอะไรกุญแจบ้านที่เขาต้องไขประจําอ่ะ
00:41:11 → 00:41:14 ตามไม่ได้เลยว่ามันน่าจะอยู่ตรงไหน
00:41:14 → 00:41:16 ตรงไหนคือตามไม่ได้เลย หรือลืมที่ไม่ควรลืม
00:41:16 → 00:41:22 เช่น เอาอะไรดีเอา กุญแจรถเอาไปแช่ไว้ในช่องฟรีซอะไรแบบนี้
00:41:22 → 00:41:24 อันเนี่ยมันมันแลดูจากผิดปกติเยอะ อย่างนี้อะครับ
00:41:27 → 00:41:29 อันนี้ก็จะเป็น หลงลืมที่อาจจะต้องพามาลองตรวจดู
00:41:29 → 00:41:32 เรื่องของความถี่แล้ว ก็เรื่องของความแปลก
00:41:32 → 00:41:35 ค่ะ ใช่ครับ มันจะมีอะไรที่พอช่วยชะลอ
00:41:35 → 00:41:37 หรือช่วยลดของคนไข้ที่เป็นอัลไซเมอร์ไหมคะ
00:41:40 → 00:41:42 โอเค อันที่หนึ่งก็เมื่อกี้เหมือนที่เราคุย ๆ กัน นะครับ
00:41:42 → 00:41:45 เรื่องของการออกกําลังกายนะครับผม
00:41:45 → 00:41:48 อันที่สองก็คือเรื่องของอาหารนะครับที่ได้
00:41:48 → 00:41:50 พอบอกไปคร่าว ๆ แต่ว่าก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว
00:41:50 → 00:41:52 คนไข้อัลไซเมอร์เค้าจะกินยากนิดนึง
00:41:53 → 00:41:55 บางทีเค้าชอบของหวาน หรือบางทีเค้าก็
00:41:57 → 00:42:00 ไม่มีคอนเซ็ปของอาหารสุขภาพนะครับ
00:42:00 → 00:42:02 จริงก็คือขอแค่ให้กินให้สารอาหารเพียงพอ
00:42:02 → 00:42:05 เป็นอันดับแรกก่อน แล้วค่อยตามด้วยอาหารที่มีคุณภาพนะครับ
00:42:08 → 00:42:11 อันถัดไปก็คือเรื่องของการมีกิจกรรมเนาะ
00:42:11 → 00:42:14 อย่างเช่นผมยกตัวอย่างเช่นนะ เช่น
00:42:14 → 00:42:17 อ่า ให้ดูรูปภาพเก่า ๆ แล้วลองบรรยายดูซินะครับ
00:42:17 → 00:42:20 เช่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตอนไปเที่ยวกัน
00:42:22 → 00:42:25 ลองบรรยาย ว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน
00:42:25 → 00:42:28 ในรูปนี้เป็นใครบ้าง แล้วเรากําลังทําอะไรกันเหตุการณ์
00:42:28 → 00:42:30 ก่อนหน้านี้ กับหลังจากนี้เป็นอะไรนะครับผม
00:42:31 → 00:42:34 นอกนั้นก็จะเป็นการฝึกสมอง ซึ่งการฝึกสมองเนี่ย
00:42:34 → 00:42:37 ส่วนมากก็จะเน้นว่าเคยเล่นมาก่อนแล้ว
00:42:37 → 00:42:39 เคยชอบคนชอบ เช่น เล่นหมากรุก
00:42:39 → 00:42:42 ก็หมากรุก บางคนชอบเล่นไพ่
00:42:43 → 00:42:45 ชอบเล่นบอร์ดเกม ชอบเล่นการ์ด ชอบเล่นครอสเวิร์ดอะไร
00:42:45 → 00:42:48 แบบซูโดกุอะไรแบบนี้ ถ้าเคยเล่นมาก่อน
00:42:48 → 00:42:51 ก็เอาอันเดิมนะครับ แต่ถ้าไม่เคยเล่นมาก่อน
00:42:51 → 00:42:53 ก็จะเน้นเป็นกิจกรรมที่สันทนาการเนาะ
00:42:53 → 00:42:59 ร้องเพลงนะครับ ทํากิจกรรมกลุ่มเลี้ยงสัตว์อะไรแบบนี้ครับ
00:43:02 → 00:43:04 เต้นรําอะไรแบบเนี่ยก็ช่วยได้นะครับ
00:43:04 → 00:43:07 ก็อย่างน้อยเนี่ยเป็นการช่วยชะลอนะครับ
00:43:07 → 00:43:10 ซึ่งก็ต้องบอกว่าพวกนี้มันดูเหมือนเป็น
00:43:10 → 00:43:12 กิจกรรมสันทนาการนะครับแต่ว่าประโยชน์เนี่ย
00:43:12 → 00:43:15 บางสําหรับในบางคนเนี่ย เทียบเท่ายาหรือ
00:43:15 → 00:43:17 มากกว่ายาด้วยซ้ํา ใช่ครับก็แปลว่าจริง ๆ แล้ว
00:43:17 → 00:43:19 กิจกรรมเนี่ยค่อนข้างสําคัญ
00:43:19 → 00:43:22 เช่นเดียวกันใช่ ใช่การได้คอนเน็คกับคนอะไรอย่างเงี้ย
00:43:22 → 00:43:24 คือการได้การได้ยิ้มตลอดเวลาอะไรแบบเนี้ย
00:43:24 → 00:43:27 การได้ ได้ทดลองหยิบจับนู่นนี่นั่นอะไรแบบเนี้ย ค่ะ
00:43:30 → 00:43:32 เพราะเป็นประโยชน์ค่ะ โรคซึมเศร้ากับโรคสมองเสื่อม
00:43:32 → 00:43:34 มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่ออันนี้มันจริงมั้ยคะ
00:43:34 → 00:43:37 จริงครับ จริงในแง่นี้ก็คือว่า 3 อย่างเลย
00:43:40 → 00:43:43 อันที่หนึ่งก็คือว่าซึมเศร้าเนี่ยเป็นความเสี่ยง
00:43:43 → 00:43:46 ของภาวะสมองเสื่อม อันที่หนึ่งนะครับ
00:43:46 → 00:43:49 อันที่สองก็คือว่าสมองเสื่อมมีโอกาสที่
00:43:49 → 00:43:52 คนไข้สมองเสื่อมจะมีโอกาสมีอาการซึมเศร้า
00:43:52 → 00:43:55 มากกว่าคนทั่วไปนะครับ และอันที่สามเนี่ย
00:43:55 → 00:43:58 ก็คือคนไข้โรคสมองเสื่อมอ่ะ
00:43:58 → 00:44:01 อาจจะการแลกที่เป็นอาการซึมเศร้า
00:44:01 → 00:44:03 ที่นํามาก่อนอาการหลงลืมได้
00:44:03 → 00:44:06 เพราะฉะนั้นมันก็จะมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันนะครับ
00:44:09 → 00:44:12 ทีนี้มันมีความเหมือนในแง่กลไกกันยังไง
00:44:12 → 00:44:14 และค่ะขอเบื้องต้นคร่าว ๆ ก็แล้วกันนะครับ
00:44:14 → 00:44:17 ก็คือสารพวกสารอักเสบสารอนุมูลอิสระ
00:44:17 → 00:44:20 ในหัวคนไข้อัลไซเมอร์มีมากขึ้น
00:44:20 → 00:44:23 ในคนไข้ซึมเศร้าก็จะมากขึ้นด้วยนะครับ
00:44:23 → 00:44:26 สารสื่อประสาทในสมองของคนไข้อัลไซเมอร์
00:44:28 → 00:44:31 ลดลงนะครับของคนไข้ซึมเศร้าเค้าก็ลดลงด้วยนะครับผม
00:44:31 → 00:44:34 ทีนี้เนี่ยแต่ซึมเศร้าเนี่ยมันมักจะ
00:44:34 → 00:44:37 รีเวิร์สได้หมายความว่าถ้าเรารักษาได้ดี
00:44:37 → 00:44:39 จิตใจเรากลับมาเป็นปกติมันสามารถกลับมา
00:44:39 → 00:44:42 เป็นปกตินะครับแต่อัลไซเมอร์เนี่ยมัน
00:44:42 → 00:44:45 เกิดจากโปรตีนผิดปกติที่เป็นพิษเยอะสะสม
00:44:45 → 00:44:48 เพราะฉะนั้นเนี่ยสมองเสื่อมจากอัลไซเมอร์
00:44:48 → 00:44:51 เนี่ยมันมักจะไปข้างหน้าแล้วก็สุดท้าย
00:44:51 → 00:44:53 และไม่สามารถรีเวิร์สกลับได้ครับผม
00:44:54 → 00:44:56 ก็แปลว่ามันมีความเชื่อมโยงกันค่อนข้างเยอะมาก
00:44:56 → 00:44:58 ใช่ เพียงแต่ว่า ไอ้อันถ้าเป็นตัวที่ซึมเศร้าธรรมดา
00:44:58 → 00:45:01 ส่วนใหญ่รักษาแล้วอาจจะหายไปเลยถูกมั้ยคะ
00:45:04 → 00:45:06 หายได้เลยแต่ว่าถ้าเป็นอัลไซเมอร์นี่คือ ส่วนใหญ่มันได้
00:45:06 → 00:45:08 แค่อาจชะลอนิดนึงใช่มั้ยคะ ใช่ ใช่เพราะฉะนั้น
00:45:08 → 00:45:11 เค้าถึงบอกว่าคนที่เป็นซึมเศร้าเนี่ย ต้องรีบไปรักษาให้เร็วที่สุดนะครับ
00:45:13 → 00:45:16 ไม่ว่าจะใช้ยาหรือไม่ใช้ยาการรักษาเร็วโอกาส
00:45:17 → 00:45:20 ที่จะสมองเสื่อมก็น้อยลงนะครับ หรือว่าถ้าเขาเป็นอัลไซเมอร์เนี่ย
00:45:22 → 00:45:26 โอกาสที่จะชะลอก็จะมากขึ้นนะครับ
00:45:26 → 00:45:29 ดีกว่าปล่อยให้ไป ๆ นาน ๆ เนอะก็สารที่เป็น
00:45:30 → 00:45:33 เช่นสารบีดีเอ็มเอฟ ที่เป็นสารดีต่อสมองเนี่ย
00:45:33 → 00:45:35 มันก็จะลดลงนะครับ ก็จะแย่สําหรับโรค
00:45:35 → 00:45:38 อัลติเมอร์ด้วย ก็แปลว่าต้องหนึ่งต้องสังเกต
00:45:38 → 00:45:40 ให้ทันท่วงทีเนอะ อาจารย์เนอะตรงที่
00:45:40 → 00:45:42 ถ้ารู้ถึงความผิดปกติแล้วไม่รู้แหละ
00:45:42 → 00:45:45 ว่าจะเป็นซึมเศร้าเฉย ๆ หรืออัลไซเมอร์เฉย ๆ
00:45:45 → 00:45:48 ให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะได้
00:45:48 → 00:45:50 รักษาและป้องกันได้ถูกวิธีถูกมั้ยคะ ใช่ ใช่ครับ
00:45:50 → 00:45:52 ยังไงวันนี้ก็ขอขอบคุณอาจารย์ตูนมาก ๆ เลยนะคะ
00:45:52 → 00:45:55 ที่มาคุยสมองกันในวันนี้ วันนี้ก็ค่อนข้างยาวคอนเทนต์
00:45:55 → 00:45:57 ค่อนข้างเยอะแล้วก็ได้
00:45:57 → 00:45:59 ประโยชน์เยอะ ๆ มากเลยค่ะ อาจารย์
00:45:59 → 00:46:01 คราวนี้อยากฝากอาจารย์นิดนึงค่ะว่าอาจารย์มีอะไร
00:46:01 → 00:46:04 อยากฝากให้คุณผู้ชมไหมคะว่าเกี่ยวกับ
00:46:04 → 00:46:07 เรื่องโรคสมองสมองเสื่อมต่าง ๆ เนี่ยมันจะมีทริค
00:46:07 → 00:46:09 หรืออะไรนิดนึงที่อาจารย์อยากแนะนําไหมคะ
00:46:09 → 00:46:11 โอเคครับงั้นขอฝากว่าเป็นในอนาคต
00:46:11 → 00:46:14 ข้างหน้านะครับเราจะวินิจฉัยอัลไซเมอร์กันยังไงละกัน
00:46:14 → 00:46:16 นะครับคือตอนนี้เนี่ย
00:46:18 → 00:46:21 โลกพัฒนาไปเร็วมากเราสามารถตรวจโปรตีนที่
00:46:21 → 00:46:23 สะสมเนี่ยชื่ออะไมรอยด์กับทาวน์
00:46:23 → 00:46:26 สมัยก่อนตรวจจากการทําเพชรสแกนสมอง
00:46:26 → 00:46:29 หรือเจาะน้ําไขสันหลัง ปัจจุบันสามารถ
00:46:29 → 00:46:32 ตรวจในเลือดได้ละก็คือเราสามารถตรวจได้
00:46:32 → 00:46:34 ตั้งแต่ยังมีอาการเล็กน้อยนะครับ หรือ
00:46:34 → 00:46:37 ในงานวิจัยในเมืองนอกอ่ะ เขาตรวจได้ตั้งแต่
00:46:37 → 00:46:40 ก่อนมีอาการด้วยซ้ํานะครับว่าสมมุติว่า
00:46:40 → 00:46:42 แต่อะไมรอยขึ้น ทาว์นขึ้นในเลือด
00:46:43 → 00:46:46 โอกาสที่อนาคต 4-5 ปีข้างหน้าคุณจะอาการแย่ลง
00:46:46 → 00:46:49 จนเป็นภาวะสมองเสื่อมได้นะครับ
00:46:50 → 00:46:53 อนาคตอ่ะโลกจะเปลี่ยนไปเยอะนะครับ
00:46:53 → 00:46:55 ถ้างานวิจัยเหล่านี้เนี่ยมันเข้ามาสู่
00:46:55 → 00:46:58 การปฏิบัติจริงนะครับไม่แน่ว่าอีก 5 ปี
00:46:58 → 00:47:00 10 ปีข้างหน้าเออคนอายุ 60 ทุกคนอ่ะ
00:47:00 → 00:47:03 แล้วก็เจาะเลือดเขาแล้วก็ดูว่า
00:47:03 → 00:47:05 เขามีโปรตีนสองอันนี้โปรตีนรึเปล่า
00:47:05 → 00:47:08 แล้วก็นําไปสู่การวินิจฉัยอย่างรวดเร็วด้วย
00:47:08 → 00:47:11 แล้วก็รักษาอย่างรวดเร็วด้วยยาใหม่ที่จะ
00:47:11 → 00:47:14 เข้ามาครับผมแต่แปลว่าอันนี้อาจจะต้อง
00:47:14 → 00:47:16 อดใจลอยนิดนึงใช่มั้ยคะ เค้ายังไม่มาเนาะ
00:47:17 → 00:47:20 จริง ๆ มาแล้วแต่ว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ได้
00:47:20 → 00:47:23 แนะนําให้ตรวจในคนที่ยังไม่มีอาการ
00:47:23 → 00:47:26 เฉพาะคนที่มีอาการเท่านั้นใช่ ๆ
00:47:26 → 00:47:29 และนี่คือด็อกเตอร์ทอร์คซ์พอดแคสต์รายการที่หมอและผู้เชี่ยวชาญ
00:47:29 → 00:47:31 ด้านสุขภาพจะมาคุยประเด็นเรื่องสุขภาพ
00:47:31 → 00:47:34 ต่าง ๆ ถ้าชอบคอนเทนต์แนวนี้ฝากกด
00:47:34 → 00:47:37 ติดตามกดซับสไกรบ์เป็นกําลังใจให้หมอด้วยนะคะ
00:47:37 → 00:47:39 แล้วติดตามกันใหม่อีพีหน้า
00:47:39 → 00:47:41 สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ