00:00:00 → 00:00:01 ยิ่งเราแก่ขึ้นเนี่ยนะครับสมองของเรา
00:00:01 → 00:00:05 เนี่ยมันก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลง
00:00:05 → 00:00:07 ไปเรื่อยๆเรื่อยๆซึ่งเป็นภาวะปกติอยู่
00:00:07 → 00:00:11 แล้วแต่ถ้าเกิดว่าสมองของใครเนี่ยมันแก่
00:00:11 → 00:00:15 เร็วกว่าปกติคือมันเสื่อมถอยทำงาน tas
00:00:15 → 00:00:18 บางอย่างได้ไม่ดีมากกว่าเดิมหลงๆลืมๆได้
00:00:18 → 00:00:22 มากกว่าคนปกติเนี่ยนะครับมักจะเรียกว่ามี
00:00:22 → 00:00:25 ภาวะสมองเสื่อมภาษาอังกฤษมันคือ dementia
00:00:25 → 00:00:28 แต่ส่วนใหญ่เนี่ยคนที่มีภาวะชียเนี่ยมัก
00:00:28 → 00:00:31 จะเกิดขึ้นกับคนที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้น
00:00:31 → 00:00:34 ไปนะครับแต่ว่ามันก็มีบางคนครับที่อาจจะ
00:00:34 → 00:00:37 เรียกว่าโชคร้ายหรือว่าสมองเนี่ยมัน
00:00:37 → 00:00:40 เสื่อมการทำงานได้เร็วกว่าปกติเข้าไปอีก
00:00:40 → 00:00:44 นะครับคือมีภาวะ demia ก่อนอายุ 65 เรา
00:00:44 → 00:00:47 เรียกคนกลุ่มนั้นว่ามีอาการย onset
00:00:47 → 00:00:50 dementia นะครับผมเองนะครับเพิ่งมีโอกาส
00:00:50 → 00:00:54 ไปอ่านงานวิจัยใหม่ๆทั้งในปี 2023 แล้วก็
00:00:54 → 00:00:57 จริงๆมีงานวิจัยเป็น Report เพิ่งตีพิมพ์
00:00:57 → 00:01:00 เมื่อต้นเดือนนี้เองนะครับเกี่ยวข้องกับ
00:01:00 → 00:01:03 ยัง onset dem ก็เจอว่าเค้าเนี่ยมีการ
00:01:03 → 00:01:06 สรุปกันเลยในวงการนักวิชาการที่ศึกษา
00:01:06 → 00:01:08 เรื่องเนี้ยว่ามันมี risk Factor หรือ
00:01:08 → 00:01:11 มันมีความเสี่ยงอะไรในชีวิตบ้างอ่ะเเจอ
00:01:11 → 00:01:13 ว่าคนที่อายุไม่ถึง 65 เนี่ยมีภาวะสมอง
00:01:13 → 00:01:15 เสื่อมมากยิ่งขึ้นนะครับแล้วเมื่อต้น
00:01:15 → 00:01:17 เดือนที่ผ่านมาจึงเกิดเป็นเหมือนกับ
00:01:17 → 00:01:20 ไกด์ไลน์ออกมาเลยว่ามี strategy อะไรบ้าง
00:01:20 → 00:01:22 ที่เราสามารถที่จะดูแลตัวเองได้เพื่อลด
00:01:22 → 00:01:26 ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิด demia ซึ่งเา
00:01:26 → 00:01:28 บอกว่าการทำทั้งหมดเนะครับสามารถที่จะลด
00:01:28 → 00:01:31 ความเสี่ยงได้มากถึงถึง 45% เลยเพราะงั้น
00:01:32 → 00:01:33 วันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะมาเล่าให้ทุกคุณ
00:01:33 → 00:01:36 ฟังเพราะว่าสมองคืออวัยวะที่สำคัญที่สุด
00:01:36 → 00:01:39 ที่เราควรจะดูแลครับ This is the
00:01:39 → 00:01:42 Standard podcast Eye Opening for
00:01:42 → 00:01:43 your
00:01:43 → 00:01:46 ears Top to Toe podcast สุขภาพที่
00:01:47 → 00:01:51 ใช้วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:01:51 → 00:01:54 เท้าอย่างแรกอยากจะมาชวนคุยก่อนว่าจริงๆ
00:01:54 → 00:01:57 แล้ว dem ที่บอกว่าสมองเสื่อมเนี่ยมัน
00:01:57 → 00:02:00 เหมือนหรือต่างกับการที่สมองของเรามันทำ
00:02:00 → 00:02:02 งานได้ลดน้อยลงหรือเปล่าหรือยังไงนะครับ
00:02:02 → 00:02:04 จริงๆอ่ะทุก aare ของเราเนี่ยมัน aging
00:02:04 → 00:02:07 อยู่แล้วสมองก็ก็ aging เป็นเรื่องปกติ
00:02:07 → 00:02:09 แล้วทุกครั้งที่สมองเราแก่ขึ้นน่ะมันก็ทำ
00:02:09 → 00:02:11 งานได้มีประสิทธิภาพน้อยลงอาจจะทำอะไรที่
00:02:11 → 00:02:15 มันช้าลงบ้างคิดช้าลงบ้างไอ้ทั้งหมดที่
00:02:15 → 00:02:18 สมองทำงานได้ช้าลงหรือว่ามีประสิทธิภาพ
00:02:18 → 00:02:20 น้อยลงตามไว้เนี่ยครับมันถือเป็นเรื่อง
00:02:20 → 00:02:23 ปกติไม่เรียกว่าชียนะครับแต่ว่ามันจะมี
00:02:23 → 00:02:25 อาการบางอย่างที่ specific มากกว่านั้น
00:02:25 → 00:02:27 ว่าเฮ้ยตอนนี้สมองมันเสื่อมถอยแล้วมันมัน
00:02:27 → 00:02:30 ถอยกว่าคนในอายุราวคราวเดียวกับเราเมื่อ
00:02:30 → 00:02:33 แบบนั้นแหละถึงจะเรียกว่าเข้าสู่ภาวะ dem
00:02:33 → 00:02:36 ถามว่ายกตัวอย่างได้มว่ามันคืออะไรสมมุติ
00:02:36 → 00:02:38 ว่าเราหลงๆลืมๆมบ้างในชีวิตประจำวันเนี่ย
00:02:38 → 00:02:40 ไม่ตีเป็นชียนะครับเพราะว่ามันก็เป็น
00:02:40 → 00:02:42 เรื่องปกติที่มันเกิดขึ้นได้แล้วยิ่งเรา
00:02:42 → 00:02:45 แก่มากขึ้นเราก็หลงๆลืมๆได้บ่อยมากขึ้น
00:02:45 → 00:02:49 เป็นเรื่องปกติแต่ถ้าใครก็ตามที่มักจะหลง
00:02:49 → 00:02:52 ๆลืมๆกับความทรงจำที่เป็น Short term
00:02:52 → 00:02:55 memmory ก็คือเป็นความทรงจำระยะสั้นนะ
00:02:55 → 00:02:57 ครับสังเกตได้เลยถ้าเกิดว่าใครมีญาติผู้
00:02:57 → 00:03:00 สูงอายุที่บ้านคุณปู่คุณย่าคุณตาตาคุณยาย
00:03:00 → 00:03:03 เนี่ยแล้วเาเริ่มมีปัญหาสมองเสื่อมนะครับ
00:03:03 → 00:03:05 อย่างอาม่าผมเนี่ยเวลาทุกครั้งที่เจอกัน
00:03:05 → 00:03:08 อาม่ามาก็ถามว่ากินข้าวยังเราตอบว่ากิน
00:03:08 → 00:03:12 แล้วแล้วเลืมว่าเขาถามไปแล้วประโยคนี้เค
00:03:12 → 00:03:15 มักจะพูดประโยคเดิมๆซ้ำๆสักพักถามใหกิน
00:03:15 → 00:03:18 ข้าวยังกินข้าวยังกินข้าวยังเนี่ยแหละเา
00:03:18 → 00:03:19 มีปัญหาเรื่อง Short term Memory และ
00:03:19 → 00:03:22 ใครก็ตามที่มักมีปัญหาแบบเนี้ยก็ถือว่ามี
00:03:22 → 00:03:25 อาการของ demer นะครับสิ่งที่ผมเพิ่ง
00:03:25 → 00:03:28 เรียนรู้เกี่ยวกับ demer คือว่าไอ้ภาวะ
00:03:28 → 00:03:30 สมองเสื่อมเนี่ยโอ้โหหลายคนมักจะคุ้นเคย
00:03:30 → 00:03:33 กับแค่คำว่าแอลไอถูกป่ะแต่อัลไซเมอร์
00:03:33 → 00:03:36 เนี่ยมันเป็นแค่ภาวะสมองเสื่อมแบบเดียว
00:03:36 → 00:03:39 เองจริงๆแล้วภาวะสมองเสื่อมีเป็นมากกว่า
00:03:39 → 00:03:41 400 แบบเลยนะครับทุกคนแต่ที่เรารู้จัก
00:03:41 → 00:03:45 อัลไซเมอร์ซะส่วนใหญ่เพราะว่าจริงๆแล้ว 60
00:03:45 → 00:03:47 - 80% ของ dementia เนี่ยมันคือ
00:03:47 → 00:03:49 อัลไซเมอร์เรียกว่าเป็น number one
00:03:49 → 00:03:52 อาการของ dementia เลยนะครับผมจะยกตัว
00:03:52 → 00:03:54 อย่างสัก 2-3 ตัวแล้วกันที่เราควรจะรู้
00:03:54 → 00:03:56 จักว่า dem mania เนี่ยมันมันมีกี่แบบ
00:03:56 → 00:03:59 บ้างนะครับอย่างแรกคืออซอครับอัลไซเมอร์
00:03:59 → 00:04:01 เนี่ยเป็นรูปแบบของชียที่เราทุกคนคุ้นเคย
00:04:01 → 00:04:03 คุ้นหูมากที่สุดเพราะว่ามันเจอบ่อยสุด
00:04:03 → 00:04:06 ประมาณ 60-80 per ของคนที่มีภาวะสมอง
00:04:06 → 00:04:08 เสื่อมจะเป็นอัลไซเมอร์นะครับถามว่าต้น
00:04:08 → 00:04:11 เหตุของอัลไซเมอร์คืออะไรมันคือการที่
00:04:11 → 00:04:14 เซลล์สมองเนี่ยมันตายครับทุกคนแล้วเมื่อ
00:04:14 → 00:04:16 เซลล์สมองตายเนี่ยสิ่งที่จะตามมาก็คือเรา
00:04:16 → 00:04:19 จะมีปัญหาเรื่องของความทรงจำเราจะซึม
00:04:19 → 00:04:22 เศร้านะครับเราจะรู้สึกสับสดรู้สึกมี
00:04:22 → 00:04:25 ปัญหาด้านอารมณ์ด้านคำพูดมีเรื่องนึงอยาก
00:04:25 → 00:04:28 จะแชร์อันนี้เป็นงานวิจัยของผมเองนะครับ
00:04:28 → 00:04:30 คือผมเองเนี่ยเนี่ยเป็นที่ปรึกษาให้กับ
00:04:30 → 00:04:33 นักศึกษาปิญญาเอกคนนึงเป็นโปรเจคที่เรา
00:04:33 → 00:04:36 ต้องการที่จะทรีทอัลไซเมอร์โดยการใช้แสง
00:04:36 → 00:04:38 คลื่นแสงในการช่วยทรีทคนที่เป็น
00:04:38 → 00:04:41 อัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นนะครับการทำงาน
00:04:41 → 00:04:43 วิจัยเนี่ยมันก็เลยจำเป็นที่จะต้องมีการ
00:04:43 → 00:04:45 เลี้ยงเซลล์ประสาทขึ้นมาในห้องแลบแล้วก็
00:04:45 → 00:04:47 จำลองเหตุการให้เซลล์ประสาทนั้นเนี่ยมัน
00:04:47 → 00:04:50 ตายหรือว่าเป็นอัลไซเมอร์ฮะวิธีการที่ทำ
00:04:50 → 00:04:52 ให้เซลล์ประสาทมันตายครับทุกคนมันไม่ยาก
00:04:52 → 00:04:55 เลยครับเพียงแค่เราอ่ะครับเอาสารเคมีตัว
00:04:55 → 00:04:59 นึงครับชื่อว่าเบต้าอลอยใส่เข้าไปในอาหาร
00:04:59 → 00:05:01 ที่ที่พวกเราเนี่ยเลี้ยงเซลล์ประสาทครับ
00:05:01 → 00:05:05 โอ้โหสิ่งที่มันน่าตกใจคือว่าเซลล์ประสาท
00:05:05 → 00:05:08 ปกติมันจะตัวยืดๆแล้วก็สุขภาพแจ่มใสอ่ะ
00:05:08 → 00:05:10 มันก็จะสดใสร่าเริงเราเราดูด้วยตาเวลาเรา
00:05:10 → 00:05:11 เลี้ยงเซลล์เรารู้เลยว่าตอนนี้เซลล์
00:05:11 → 00:05:13 แฮปปี้ไม่แฮปปี้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่
00:05:13 → 00:05:17 เริ่มมีเบต้าไมลอยตั้งแต่ความเข้มข้นต่ำๆ
00:05:17 → 00:05:19 อ่ะครับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทคือ
00:05:19 → 00:05:22 เซลล์ประสาทตัวยาวๆครับทุกคนมันจะหดตัวลง
00:05:22 → 00:05:26 หดตัวลงจนสั้นจูดๆแล้วตายไปแบบรวดเร็วมาก
00:05:26 → 00:05:29 ระยะเวลาที่มันตายเร็วมากคือหลักชั่วโมง
00:05:29 → 00:05:31 ครับเม้ามอยเนี่ยผมเคยพูดไปเมื่อตอนก่อน
00:05:31 → 00:05:33 หน้านี้นะครับคือการที่สมองเนี่ยต้อง
00:05:33 → 00:05:37 กำจัดขยะออกไปจากสมองถูกมเพื่อให้สมอง
00:05:37 → 00:05:40 เนี่ยมัน Hey เบอยนี่แหละมันคือขยะในสมอง
00:05:40 → 00:05:43 ครับทุกคนแล้วถ้าเกิดว่ามันมีขยะสะสมมาก
00:05:43 → 00:05:46 ขึ้นมากขึ้นมันทำให้เซลล์สมองตายและเป็น
00:05:46 → 00:05:49 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแอลไอนั่นเองนะฮะ
00:05:50 → 00:05:52 จึงมีความจำเป็นมากที่เราทุกคนต้องช่วยดู
00:05:52 → 00:05:54 แลและทำให้สมองเนี่ยมันกำจัดไอ้เจ้าเบต้า
00:05:54 → 00:05:56 ออยหรือว่าขยะที่อยู่ในสมองได้มี
00:05:56 → 00:05:58 ประสิทธิภาพผ่านการนอนหลับลึกแล้วก็การ
00:05:59 → 00:06:01 นอนหลับที่มีมีคุณภาพนั่นเองนะครับ demia
00:06:01 → 00:06:03 อีกแบบนึงที่เรียกว่าเกิดขึ้นเป็นอันดับ
00:06:03 → 00:06:05 ที่ 2 เป็นแบบที่ผมเองไม่เคยรู้จักมาก่อน
00:06:05 → 00:06:08 นะครับเขาเรียกว่า vascular dementia
00:06:08 → 00:06:11 vascular มันก็คือแปลว่าเป็นเส้นเลือด
00:06:11 → 00:06:13 อ่ะเนาะ vascular deen เนี่ยเกิดบ่อย
00:06:13 → 00:06:15 เป็นอันดับ 2 ประมาณ 20% ของ dementia
00:06:15 → 00:06:18 ทั้งหมดนะครับสาเหตุหลักเกิดจากการที่
00:06:18 → 00:06:22 สมองขาดเลือดไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามที่ทำ
00:06:22 → 00:06:25 ให้เลือดมาเลี้ยงสมองได้น้อยลงสามารถจะ
00:06:25 → 00:06:27 ส่งผลให้เกิด vascular dementia ได้ทั้ง
00:06:27 → 00:06:29 สิ้นนะครับถามว่าอาการของมันเนี่ยเนี่ย
00:06:29 → 00:06:32 คืออะไรอาการของมันเนี่ยคือเราจะรู้สึก
00:06:32 → 00:06:34 สับสนหรือเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นคือ
00:06:35 → 00:06:38 เรามักจะวางของสำคัญำคัญผิดที่อ่ะเราเก็บ
00:06:38 → 00:06:40 เตารีดไปไว้ในตู้เย็นที่ไม่ควรจะทำหรือ
00:06:40 → 00:06:44 ว่าเราเอากระเป๋าสตางใส่ไปในถังขยะอย่าง
00:06:44 → 00:06:46 เงี้ยโดยที่เราไม่รู้ตัวอันเนี้ยมันเกิด
00:06:46 → 00:06:48 จากความผิดพลาดในการทำงานของสมองที่เป็น
00:06:48 → 00:06:50 พวก vascular dementia นะครับหรือบาง
00:06:50 → 00:06:52 ครั้งมันทำให้เราขาดโฟกัสในการทำอะไรให้
00:06:52 → 00:06:55 มันสำเร็จหรือว่าทำ Task ใด Task นึงให้
00:06:55 → 00:06:56 มันจบ Task นะครับนั่นคือ vascular
00:06:56 → 00:06:59 dementia อีกหนึ่งอย่างที่หลายคนอาจจะ
00:06:59 → 00:07:02 คุ้นเคยเพราะว่ามักจะเคยเห็นในชีวิตประจำ
00:07:02 → 00:07:04 วันคือ Parkinson ครับ Parkinson เนี่ย
00:07:04 → 00:07:07 มันก็เป็นหนึ่งใน demer นะครับคนที่เป็น
00:07:07 → 00:07:10 Parkinson คือจะมีปัญหาในการให้เหตุผลใน
00:07:10 → 00:07:13 การตัดสินใจหรือว่ามีปัญหาในการพูดหรือ
00:07:13 → 00:07:15 แล้วคนอาจจะเห็นว่าคนที่เป็น Parkinson
00:07:15 → 00:07:18 เนี่ยอาจจะมีอาการที่ร่างกายสั่นมากกว่า
00:07:18 → 00:07:21 ปกตินะครับนี่คือ demia 3 รูปแบบที่เรา
00:07:21 → 00:07:24 อาจจะคุ้นเคยหรือว่าแนะนำให้คนรู้จัก
00:07:24 → 00:07:26 เพราะว่ามันมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆนะครับที
00:07:26 → 00:07:30 นี้เราจะรู้ได้ไงว่าเรามีสัญญาณเป็น dem
00:07:30 → 00:07:33 หรือเปล่านะครับผมก็ไปลิตมาให้จริงๆต้อง
00:07:33 → 00:07:35 บอกว่าอาการของคนที่เป็น dem เนี่ยมันไม่
00:07:35 → 00:07:37 เหมือนกันเพราะว่ามันขึ้นอยู่กับว่าสมอง
00:07:37 → 00:07:40 ส่วนไหนเนี่ยมันได้รับความเสียหายสมองแต่
00:07:40 → 00:07:42 ละส่วนเนี่ยมันดูแลฟังก์ชันแตกต่างกันออก
00:07:43 → 00:07:45 ไปเนาะทีนี้อาการที่เตือนว่าสมองเสื่อม 10
00:07:45 → 00:07:47 อย่างเนี่ยมันมีอะไรบ้างเดี๋ยวลองมาไล่
00:07:47 → 00:07:49 กันไปทีละข้อลองเช็คดูว่าคุณเคยมีอาการ
00:07:50 → 00:07:51 เหล่านั้นหรือเปล่านะครับอย่างแรกนะครับ
00:07:51 → 00:07:53 คือความจำเสื่อมเมื่อกี้พูดไปว่าเรามักจะ
00:07:54 → 00:07:56 ลืม Short term Memories หรือว่าความจำ
00:07:56 → 00:07:58 ที่เพิ่งเกิดขึ้นในระยะสั้นๆนะครับคือลืม
00:07:58 → 00:08:00 สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นซึ่งมันแตกต่างกับ
00:08:00 → 00:08:03 อาการขี้หลงขี้ลืมอย่างที่ผมอธิบายไป
00:08:03 → 00:08:06 อย่างที่ 2 ครับคือมีปัญหากับกิจกรรมหรือ
00:08:06 → 00:08:09 ว่า Task ง่ายๆในชีวิตประจำวันที่เราทำ
00:08:09 → 00:08:12 กันเป็นประจำคุ้นเคยนะครับเช่นการแปรงฟัน
00:08:12 → 00:08:16 การอาบน้ำการซักผ้าการรีดผ้านะครับบางที
00:08:16 → 00:08:18 เนี่ยเราอาจจะเอาผ้าที่ยังไม่ได้ซักเนี่ย
00:08:18 → 00:08:20 มารีดโดยที่เราไม่รู้ว่าเราทำไปอย่างนั้น
00:08:21 → 00:08:23 ทำไมนะครับอย่างที่ 3 ครับคือเราจะหลง
00:08:23 → 00:08:27 เวลาแล้วก็หลงสถานที่บางทีลืมสับสนว่า
00:08:27 → 00:08:29 อะไรคือกลางวันอะไรคือกลางคืนนะครับพอตอน
00:08:29 → 00:08:31 กลางวันเนี่ยก็เตรียมตัวเข้านอนแล้วทั้ง
00:08:31 → 00:08:33 ที่แสงสว่างมันยังสว่างอยู่เลยนะครับหรือ
00:08:33 → 00:08:36 ว่าสถานที่ที่เราคุ้นเคยที่เราควรจะไปได้
00:08:36 → 00:08:38 ไม่หลงลืมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเนี่ยเรา
00:08:38 → 00:08:41 กลับลืมเส้นทางได้ง่ายๆไม่คุ้นเคยกับสถาน
00:08:41 → 00:08:44 ที่นั้นอีกต่อไปนะครับอย่างที่ 4 ครับคือ
00:08:44 → 00:08:49 เรามักจะตัดสินใจอะไรที่มันผิดปกติคือมัน
00:08:49 → 00:08:51 ไม่ควรจะตัดสินใจอย่างนั้นน่ะบางอย่างมัน
00:08:51 → 00:08:54 เป็นเรื่องที่เป็นสัญชาตญานมากๆแล้วเรา
00:08:54 → 00:08:55 มักจะตัดสินใจได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความ
00:08:56 → 00:08:58 พยายามอะไรเลยนะครับอย่างเช่นสมมุติเราจะ
00:08:58 → 00:09:00 ทำกับข้าวสักอย่างอย่างนึงเนี่ยเราก็ไป
00:09:00 → 00:09:02 ตลาดซวดิบใช่มั้ยเราก็จะสามารถจะกะได้ว่า
00:09:02 → 00:09:04 ควรจะซื้อประมาณเท่าไหนหรือซื้อของกินมา
00:09:04 → 00:09:06 ไว้ที่บ้านเท่าไหนถึงจะกินเพียงพอแต่ถ้า
00:09:06 → 00:09:08 เกิดสมองถูกทำลายเนี่ยอาจจะซื้อมาเยอะ
00:09:08 → 00:09:11 เกินจนแบบเออไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงซื้อ
00:09:11 → 00:09:14 เยอะขนาดนั้นเพราะว่าความสามารถในการ
00:09:14 → 00:09:16 judgment หรือการตัดสินใจเนี่ยมันลดลงนะ
00:09:16 → 00:09:20 ครับหรือเราเลือกที่จะหยิบเสื้อผ้าหนาๆ
00:09:20 → 00:09:22 เสื้อกันหนาวมาใส่ในช่วงฤดูร้อนเป็นต้น
00:09:22 → 00:09:24 ซึ่งมันไม่ make sense เลยอย่างที่ 5 นะ
00:09:24 → 00:09:27 ครับบุคลิกนิสัยหรือว่าอารมของเราเนี่ย
00:09:27 → 00:09:29 มันอาจจะเปลี่ยนแล้วมันก็อาจจะแปลกไปแบบ
00:09:29 → 00:09:32 ปกตินะครับบางทีเราอาจจะงงๆเนาะคือสมมุติ
00:09:32 → 00:09:34 ว่าคนทั่วไปเนี่ยถ้าเกิดเล่าเรื่องตลกให้
00:09:34 → 00:09:36 ฟังก็อาจจะหัวเราะได้แต่บางครั้งเนี่ยถ้า
00:09:36 → 00:09:38 เกิดว่าเราเล่าเรื่องตลกให้กับคนที่มี
00:09:38 → 00:09:42 ภาวะชียอาจจะรู้สึกเศร้ารู้สึกเสียใจแล้ว
00:09:42 → 00:09:44 อาจจะร้องไห้ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นแบบ
00:09:44 → 00:09:47 นั้นก็คือสมองส่วนที่ดูแลเรื่องอารมณ์
00:09:47 → 00:09:50 เนี่ยมีการทำงานผิดพลาดนะครับอย่างที่ 6
00:09:50 → 00:09:53 ครับสายตาของเราการมองเห็นเนี่ยมีปัญหา
00:09:53 → 00:09:56 คือเราจะเริ่มกะระยะใกล้ไกลเนี่ยไม่ค่อย
00:09:56 → 00:10:00 ได้ยกตัวอย่างเช่นเราอยากจะหยิบของเรากะ
00:10:00 → 00:10:02 ระยะผิดพลาดในการเอื้อมมือหรือบางครั้ง
00:10:02 → 00:10:05 เนี่ยเรามีของ 2 อย่างคนละสีเราไม่สามารถ
00:10:05 → 00:10:08 จะแยกสีเข้มสีอ่อนได้ทั้งๆที่สีมันแตก
00:10:08 → 00:10:10 ต่างกันมากเพราะว่าส่วนของสมองที่ทำหน้า
00:10:10 → 00:10:11 ที่ในการรับภาพหรือว่ารับแสงเนี่ยมันทำ
00:10:11 → 00:10:14 งานได้แย่ลงฮะอย่างที่ 7 วางของผิดที่
00:10:14 → 00:10:17 ครับเมื่อกี้พูดไปแล้วเนาะแบบเอาเตาลีไป
00:10:17 → 00:10:20 อยู่ในตู้เย็นบ้างหรือว่าเพิ่งซื้อกาแฟ
00:10:20 → 00:10:23 ใหม่ๆมาเนี่ยเอ้าดันจะทิ้งขยะปึ๊บเปิด
00:10:23 → 00:10:25 สถังขยะแล้วดันทิ้งแก้วกาแฟไปซะงั้นนะ
00:10:25 → 00:10:28 ครับโดยที่เราไม่รู้ตัวนะครับอย่างที่ 8
00:10:28 → 00:10:30 คือแี้โซเชียลไม่เอาสังคมเลยคือไม่อยาก
00:10:30 → 00:10:33 ยุ่งกับใครรู้สึกอยากปลีกเวิวสามารถจะ
00:10:33 → 00:10:34 นั่งมองโทรทัศน์ที่มันไม่ได้เปิดได้เป็น
00:10:34 → 00:10:37 ระยะเวลานานๆซึ่งมันก็แปลกไปกว่าปกตินะ
00:10:37 → 00:10:39 ครับอย่างที่ 9 ครับมีปัญหาในเรื่องของ
00:10:39 → 00:10:41 การสื่อสารแล้วก็เรื่องของภาษาก็คือบาง
00:10:41 → 00:10:44 ครั้งเนี่ยเรานึกคำง่ายๆไม่ออกเช่นเนี่ย
00:10:44 → 00:10:47 เราจากที่เคยรู้ว่าสิ่งๆนี้เรียกว่า
00:10:47 → 00:10:49 แท็บเล็ตเราลืมไปแล้วว่ามันเรียกว่า
00:10:49 → 00:10:51 แท็บเล็ตนะครับแล้วก็ต้องใช้เวลาสักพัก
00:10:52 → 00:10:54 หรือว่าเวลาจะเรียกมันน่ะเราก็อาจจะต้อง
00:10:54 → 00:10:56 พยายามอธิบายแทนว่าเฮ้ยมันคือสิ่งที่มี
00:10:56 → 00:11:00 แบบตัวหนังสือขึ้นได้เราจิ้มได้โดยที่ลืม
00:11:00 → 00:11:03 คำว่าแท็บเล็ตไปสุดท้ายนะครับคือเราไม่
00:11:03 → 00:11:04 สามารถที่จะแก้ปัญหาหรือไม่สามารถที่จะ
00:11:04 → 00:11:07 วางแผนในการทำกิจกรรมอะไรบางอย่างได้นะ
00:11:07 → 00:11:09 ครับทั้งๆที่ในภาวะปกติเนี่ยเราสามารถจะ
00:11:09 → 00:11:12 ทำได้เป็นเรื่องธรรมดาเลยนะครับทั้งหมดเ
00:11:12 → 00:11:14 คือสัญญาณนะครับที่ถ้าเกิดขึ้นกับเราบ่อย
00:11:14 → 00:11:17 ๆเป็นการเตือนว่าเฮ้ยสมองเราเริ่มจะมี
00:11:17 → 00:11:20 ปัญหาหรือว่าอาจจะเข้าสู่ภาวะชียแล้วถ้า
00:11:20 → 00:11:23 เกิดขึ้นกับใครที่อายุต่ำกว่า 65 คุณมี
00:11:23 → 00:11:26 โอกาสเป็นัง onset dementia นะครับก็คือ
00:11:26 → 00:11:29 มีภาวะสมองเสื่อมก่อนไวเนาะทีนี้อาการของ
00:11:29 → 00:11:32 demia มันก็สามารถจะแบ่งได้หลายระดับตาม
00:11:32 → 00:11:34 ความรุนแรงของมันก็คือเบากลางๆไปถึงหนัก
00:11:34 → 00:11:36 นะครับคือถ้าเกิดว่าเพิ่งเป็นเริ่มต้นเรา
00:11:36 → 00:11:39 จะเรียกว่าเบาหรือว่า Early dementia นะ
00:11:39 → 00:11:41 ครับเรายังสามารถที่จะดูแลตัวเองได้อยู่
00:11:41 → 00:11:44 ในชีวิตประจำวันแต่ถ้าเริ่มเป็นระยะกลางๆ
00:11:44 → 00:11:46 เป็นมากขึ้นเนี่ยในการทำกิจกรรมบางอย่าง
00:11:46 → 00:11:49 อาจจะต้องมีคนช่วยดูแลเราแล้วแต่ถ้าเป็น
00:11:49 → 00:11:51 หนักมากโดยเฉพาะผู้สงอายุที่เป็น
00:11:51 → 00:11:54 อัลไซเมอร์เนี่ยครับแทบจะต้องมีคนดูแล
00:11:54 → 00:11:58 ตลอด 24 ชมงเลยเพราะฉะนั้นการดูแลตัวเอง
00:11:58 → 00:12:01 ให้เป็นเป็น dementia ช้าที่สุดน่าจะเป็น
00:12:01 → 00:12:03 เรื่องที่ดีเพราะฉะนั้นมันถึงมีงานวิจัย
00:12:03 → 00:12:05 เกี่ยวกับ demia เกิดขึ้นเยอะและเมื่อปี
00:12:05 → 00:12:07 ที่แล้วเนี่ยมันมีงานวิจัยนึงนะครับตี
00:12:07 → 00:12:09 พิมพ์ใน Lan เซ็ซึ่งเป็นวารสารดังเลยนะ
00:12:09 → 00:12:13 ครับเค้าสรุปริสหรือว่าความเสี่ยงที่ทำ
00:12:13 → 00:12:16 ให้คนเราเนี่ยเป็นชียได้มีงานวิจัยเนี้ย
00:12:16 → 00:12:20 มันเกิดขึ้นมาจากการที่เาติดตามประชากรใน
00:12:20 → 00:12:24 อังกฤษจำนวน 3,000 550,000 คนเลยนะครับ
00:12:24 → 00:12:28 เป็นระยะเวลา 10 ปีครับโดยกลุ่มอายุที่
00:12:28 → 00:12:31 เขาติดตามเนี่ยคืออายุตั้งแต่ 37 จนถึง 65
00:12:31 → 00:12:35 ก็คือไม่เกิน 65 เพราะเขาสนใจยัง onset
00:12:35 → 00:12:38 demia ก็คือสมองเสื่อมก่อนไวันคัวนะครับ
00:12:38 → 00:12:41 ติดตามดูซิว่า 10 ปีเนี่ยมีใครเป็นชีย
00:12:41 → 00:12:43 เพิ่มขึ้นหรือเปล่าก็เจอว่าใน 350,000 คน
00:12:43 → 00:12:47 เนี่ยมีคนเกือบเกือบ 500 คนที่เป็นภาวะ
00:12:47 → 00:12:50 ชียเกิดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ควรจะเป็นนะ
00:12:50 → 00:12:53 ครับเค้าก็มาวิเคราะห์ต่อว่าไอ้คนที่เป็น
00:12:53 → 00:12:56 อะไรที่มันเป็นความเสี่ยงเป็นสาเหตุที่
00:12:56 → 00:13:00 ทริกเกอร์ให้เป็นชียได้และสรุปออกมาเป็น 8
00:13:00 → 00:13:02 risk Factor เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังว่ามี
00:13:02 → 00:13:05 อะไรบ้างอย่างที่ 1 คือจนหรือว่า
00:13:05 → 00:13:06 พันธุกรรมของเรานะครับอันเนี้ยเป็นเรื่อง
00:13:06 → 00:13:08 ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแต้มบุญของเราที่
00:13:08 → 00:13:10 ส่งผ่านมาจากคุณพ่อคุณแม่นะครับอย่าง
00:13:10 → 00:13:17 ออลไทม์เองที่คนที่เป็นแอลเซอร์วิส
00:13:17 → 00:13:20 โปรตีนที่ใช้ในการช่วยในการกำจัดขยะทำได้
00:13:20 → 00:13:23 ไม่ดีมากยิ่งขึ้นนะครับเบต้าอลอยเนี่ยมัน
00:13:23 → 00:13:26 ก็เลยสะสมแล้วก็ทำให้เซลล์ประสาทตายเนี่ย
00:13:26 → 00:13:29 เกิดจากจีนเนาะสาเหตุที่ 2 ครับคือการติด
00:13:29 → 00:13:31 ติดเหล้าภาษาอังกฤษมันเรียกว่า alcohol
00:13:31 → 00:13:34 use disorder หรือว่า aud นะครับคือ
00:13:34 → 00:13:36 จริงๆมันไม่ใช่แค่เหล้าหรอกทั้งเหล้าทั้ง
00:13:36 → 00:13:38 บุหรี่หรือว่าสารเสพติดต่างๆเนี่ยนะครับ
00:13:38 → 00:13:41 มันสามารถที่จะไปทำลายสมองได้นะครับโดย
00:13:41 → 00:13:43 เฉพาะสมองส่วนหน้าหรือว่า frontal Loop
00:13:43 → 00:13:47 ซึ่งดูแลความทรงจำแล้วก็การตัดสินใจการทำ
00:13:47 → 00:13:49 งานการตัดสินใจทั้งหมดเลยนะครับมันคือ
00:13:49 → 00:13:51 อยู่ที่ frontal lo เพราะฉนั้นคนที่กิน
00:13:51 → 00:13:53 เหล้าติดเหล้าเยอะๆเนี่ยทำให้การตัดสินใจ
00:13:53 → 00:13:57 ไม่ดีนะครับอย่างที่ 3 ครับคือไม่ค่อยมี
00:13:57 → 00:13:59 Social interaction ก็คือไม่ค่อยเข้า
00:13:59 → 00:14:02 สังคมเอาจริงๆแล้วไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคน
00:14:02 → 00:14:06 extrovert เท่านั้นถึงจะมีความเสี่ยง
00:14:06 → 00:14:08 เป็นมชนน้อยกว่าคนที่เป็น introvert นะ
00:14:08 → 00:14:10 ครับการที่ไม่ค่อยเข้าสังทงหรือมี Social
00:14:10 → 00:14:12 interaction เนี่ยมันหมายถึงว่าการที่
00:14:12 → 00:14:16 เราไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต
00:14:16 → 00:14:20 ที่สามารถที่จะพูดคุยส่งสัญญาณกระตุ้น
00:14:20 → 00:14:22 อะไรเราได้ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นนะครับ
00:14:22 → 00:14:25 แต่มันอาจจะหมายรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงของ
00:14:25 → 00:14:27 เราอย่างหมาหรือแมวด้วยก็ได้นะเพราะ
00:14:27 → 00:14:31 ฉะนั้นคนที่อยู่คนเดียวแทบจะไม่ได้ยุ่ง
00:14:31 → 00:14:33 ไม่ได้สื่อสารกับใคร interact กับใครเลย
00:14:33 → 00:14:37 คนๆนั้นแหละมีแนวโน้มมากที่ไม่ใช่แค่จะ
00:14:37 → 00:14:39 เป็น depression แต่เป็น dementia ด้วยนะ
00:14:39 → 00:14:41 ครับหลักการทางชีววิทยาเนี่ยมันเขาเชื่อ
00:14:41 → 00:14:43 ว่ามนุษย์เราเนี่ยครับมันถูก evolve มา
00:14:43 → 00:14:46 สมองเราเนี่ยถูกพัฒนามาเพื่อให้เราเนี่ย
00:14:46 → 00:14:48 เข้าสังคมเพราะฉะนั้นการที่เราไม่ค่อยได้
00:14:48 → 00:14:50 เข้าสังคมสมองมันจะไม่ค่อยได้ใช้เพราะ
00:14:51 → 00:14:53 สมองไม่ค่อยได้ใช้มันก็เลยเสื่อมนั่นเอง
00:14:53 → 00:14:56 ฮะอย่างที่ 4 คือการขาดวิตามินดีครับอัน
00:14:56 → 00:14:59 นี้น่าสนใจฮะเค้าบอกว่าคนที่ขาดวิตามินดี
00:14:59 → 00:15:02 นะครับมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสบาง
00:15:02 → 00:15:05 อย่างมากขึ้นกว่าคนปกติแล้วมีเชื้อไวรัส
00:15:05 → 00:15:09 หลายๆตัวเลยนะครับที่ถ้าติดบ่อยครั้งหรือ
00:15:09 → 00:15:10 แม้กระทั่งติดครั้งเดียวเก็สามารถทำให้
00:15:10 → 00:15:13 สมองเสื่อมหรือว่าตายได้เลยนะครับถามว่า
00:15:13 → 00:15:16 มีไวรัสอะไรบ้างนะครับอย่างเช่น influenza
00:15:16 → 00:15:19 คือตระกูลแบบไวรัสไข้หวัดใหญ่เนี่ยเป็น
00:15:19 → 00:15:21 บ่อยๆติดบ่อยๆก็ทำให้สมองเสื่อมได้หรือ
00:15:21 → 00:15:26 ว่า F stb ไวรัสก็ส่งผลให้โรคเสื่อมทาง
00:15:26 → 00:15:28 สมองบางอย่างเนี่ยมันเกิดขึ้นได้นะครับ
00:15:28 → 00:15:32 งั้นวิตามินดีเป็นต้นต่อที่ีดไปสู่สมอง
00:15:32 → 00:15:34 เสื่อมได้ด้วยนะฮะอย่างที่ 5 ครับการได้
00:15:34 → 00:15:37 ยินที่ไม่ดีครับอันเนี้ยเป็นสิ่งที่เป็น
00:15:37 → 00:15:39 ความรู้ใหม่ของผมเลยนะครับเบอกว่าการที่
00:15:40 → 00:15:42 หูเราทำงานได้ไม่ดีทำงานได้บกพร่องหรือ
00:15:42 → 00:15:45 ว่าได้ยินเสียงน้อยลงเนี่ยครับมันส่งผล
00:15:45 → 00:15:49 ให้การกระตุ้นสมองเนี่ยมันทำงานได้น้อยลง
00:15:49 → 00:15:52 เพราะทุกครั้งที่มีเสียงวิ่งเข้าไปเข้าไป
00:15:52 → 00:15:55 ถึงสมองของเราเสียงเนี่ยนะครับมันสามารถ
00:15:55 → 00:15:59 จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาทเสมองที่ทำหน้าที่
00:15:59 → 00:16:01 ในการรับผิดชอบกับการประมวลเสียงเนี่ยนะ
00:16:01 → 00:16:05 ครับมันทำงานในเมื่อหูเราทำงานไม่ดีเสียง
00:16:05 → 00:16:07 ไปถึงสมองน้อยลงเซลล์ประสาทได้รับการ
00:16:07 → 00:16:09 กระตุ้นน้อยลงก็เหมือนกับสมองไม่ค่อยได้
00:16:09 → 00:16:13 ทำงานน่ะมันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่หู
00:16:13 → 00:16:15 ไม่ดีสมองจะเสื่อมง่ายตามไปด้วยนะครับ
00:16:15 → 00:16:18 เพราะว่า Social interaction แล้วก็จะลด
00:16:18 → 00:16:21 น้อยลงจึงมีคำแนะนำเลยว่าถ้าใครที่หู
00:16:21 → 00:16:24 เสื่อมแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อทำ
00:16:24 → 00:16:26 ให้เราได้ยินมากขึ้นความสามารถในการ
00:16:26 → 00:16:28 Social interaction เราก็จะยัง maintain
00:16:28 → 00:16:29 อยู่แล้วสมองเราก็จะไม่ค่อยเสื่อมความ
00:16:29 → 00:16:31 เสี่ยงที่ 6 คือเคยเป็น Stroke หรือว่า
00:16:31 → 00:16:34 หลอดเลือดในสมองตีบมาก่อนนะครับหลอดเลือด
00:16:34 → 00:16:37 ในสมองตีบแน่นอนเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง
00:16:37 → 00:16:39 เมื่อกี้เล่าถึง vascular deen ไปแล้ว
00:16:39 → 00:16:42 นี่คือเหตุผลหลักเลยที่สมองถูกทำลายนะ
00:16:42 → 00:16:44 ครับแล้วถ้าเกิดว่าสมองถูกทำลายเพราะว่า
00:16:44 → 00:16:47 เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอก็จะนำไปสู่
00:16:47 → 00:16:49 ภาวะที่เรียกว่า vascular demia นั่นเอง
00:16:49 → 00:16:51 นะฮะอย่างที่ 7 โรคหัวใจหลักการเดียวกัน
00:16:51 → 00:16:54 กับ Stroke ครับใครที่เป็นโรคหัวใจก็จะ
00:16:54 → 00:16:56 เสี่ยงสกแลเสี่ยงเลือดไปเลี้ยงสมองไม่
00:16:56 → 00:16:59 เพียงพอแล้วก็เป็น vascular dem เชีย
00:16:59 → 00:17:02 อย่างที่ 8 เบาหวานครับโดยเฉพาะผู้ชายนะ
00:17:02 → 00:17:05 ครับเาเจอว่าผู้ชายในวัยกลางคนเนี่ยที่
00:17:05 → 00:17:08 อายุยังไม่ถึง 65 แล้วมีภาวะเบาหวานเนี่ย
00:17:08 → 00:17:12 นะครับมักจะมีอาการที่เรียกว่ามินิกก็คือ
00:17:12 → 00:17:16 แน่นอนน่ะเบาหวานน่ะเส้นเลือดมันมันตีบลง
00:17:16 → 00:17:18 เพราะฉะนั้นเนี่ยมันจะมีเส้นเลือดในสมอง
00:17:18 → 00:17:22 บางส่วนมันทยอยตีบแต่มันยังไม่ตีบมากจน
00:17:22 → 00:17:24 ถึงจุดิิอที่ทำให้ขาดเลือดแต่การที่เลือด
00:17:24 → 00:17:27 มัน Flow ได้แย่ลงเนี่ยครับมันก็ทำให้
00:17:27 → 00:17:30 ออกซิเจนเอยอาหารเนี่ยมันไปเลี้ยงสมองได้
00:17:30 → 00:17:32 น้อยลงแล้วก็ทำให้สมองเสื่อมนั่นเองงั้น
00:17:32 → 00:17:34 นี่คือ 8 ข้อที่เขาสรุปออกมานะครับแล้ว
00:17:34 → 00:17:36 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาครับมีอีก 1
00:17:36 → 00:17:39 Report ออกมาย้ำเลยครับว่าแล้วอย่าง
00:17:39 → 00:17:41 เงี้ยเราจะมีวิธีในการป้องกันลดความ
00:17:41 → 00:17:44 เสี่ยงไม่ให้เกิด demer ได้ยังไงเป็นลิ
00:17:44 → 00:17:46 ออกมาเลยเป็น 14 strategy นะครับซึ่งถ้า
00:17:46 → 00:17:50 ทำเนี่ยจะลดโอกาสเป็นชียได้ถึง 45% เลย
00:17:50 → 00:17:54 ถามว่ามีอะไรบ้างผมสรุปใหม่ให้จาก 14 ข้อ
00:17:54 → 00:17:57 เนี่ยสรุปเป็นเหลือประมาณ 5-6 ข้อนะครับ
00:17:57 → 00:17:59 เพื่อให้ทุกคนเนี่ยจะจำแล้วเอาไปใช้งาน
00:17:59 → 00:18:02 ได้มากยิ่งขึ้นนะครับถ้าจะให้สรุปเนี่ย
00:18:02 → 00:18:04 เราเรียนรู้มาแล้วเนาะว่าสมองเนี่ยถูก
00:18:04 → 00:18:06 ทำลายด้วยความเสี่ยงอะไรบ้างวิธีการป้อง
00:18:06 → 00:18:08 กันก็คือการลดความเสี่ยงนั่นเองนะครับ
00:18:08 → 00:18:10 อย่างแรกความเสี่ยงสำคัญมันคือขยะในสมอง
00:18:10 → 00:18:13 นะครับเพราะฉะนั้นวิธีการคือทำยังไงก็ได้
00:18:13 → 00:18:17 ให้สมองเนี่ยมีขยะลดน้อยลงกระบวนการกำจัด
00:18:17 → 00:18:19 ขยะในสมองที่ดีก็คือการฟลัชขยะนะครับทำ
00:18:20 → 00:18:22 งานได้ดีที่สุดตอนที่เรานอนหลับลึกหรือ
00:18:22 → 00:18:24 ว่า Deep Sleep เพราะฉะนั้นการที่เราใส่
00:18:24 → 00:18:28 ใจให้เราหลับลึกได้มีประสิทธิภาพยาวนาน
00:18:28 → 00:18:31 ที่สุดจะช่วยให้ขยะในสมองลดน้อยลงแล้วก็
00:18:31 → 00:18:33 สมองเสื่อมน้อยลงนะครับเดี๋ยวไว้มีโอกาส
00:18:33 → 00:18:35 เราจะเจาะ EP Sleep สักตอนนึงดีกว่านะ
00:18:35 → 00:18:37 ครับแต่พูดก่อนเลยว่า EP Sleep เนี่ยมัน
00:18:37 → 00:18:39 มักจะเกิดขึ้นในช่วง 5 ชมงแรกของการนอน
00:18:39 → 00:18:42 หลับเพราะฉะนั้นถ้าเราป้องกันไม่ให้มี
00:18:42 → 00:18:45 อะไรก็ตามมารบกวนแลทำให้เราตื่นในช่วง 5
00:18:45 → 00:18:46 ช่วโมงแรกของการนอนหลับจะทำให้
00:18:46 → 00:18:48 ประสิทธิภาพของ Deep Sleep เนี่ยมันดีนะ
00:18:48 → 00:18:51 ครับอีกวิธีนึงที่ช่วยในการเคลียร์ขยะ
00:18:51 → 00:18:55 เนี่ยมันคืออ fy ครับก็คือขยะภายในเซลล์
00:18:55 → 00:18:57 เพิ่งเล่าไปเรื่อง ampk นะครับมันลิงกัน
00:18:57 → 00:19:00 หมดเลยเห็นมั้ยฮะถ้าถ้าเกิดว่าเราออก
00:19:00 → 00:19:02 กำลังกายเพื่อลดพลังงานนะครับกินน้้อยลง
00:19:02 → 00:19:06 อย่างเงี้ย ampa ทำงานกระตุ้นให้ auty ทำ
00:19:06 → 00:19:09 งานขยะในเซลล์สมองก็ลดน้อยลงสมองก็จะ
00:19:09 → 00:19:11 เสื่อมลดน้อยลงครับสจีที่ 2 ในการป้องกัน
00:19:11 → 00:19:15 ชียนะครับก็คือการให้สมองเนี่ยมันได้ใช้
00:19:15 → 00:19:17 งานอยู่บ่อยๆเพราะว่าถ้าเกิดว่าสมองไม่
00:19:17 → 00:19:19 ค่อยได้ใช้งานแน่นอนมันจะเสื่อมนะครับ
00:19:19 → 00:19:22 อย่างแรกใช้งานยังไงอ่ะใช้งานก็คือการที่
00:19:22 → 00:19:25 เราพาตัวเองไป socialize คือการ interact
00:19:25 → 00:19:27 กับคนอื่นหรือ interact กับสิ่งมีชีวิต
00:19:27 → 00:19:29 อื่นๆที่สามารถที่จะ
00:19:29 → 00:19:31 ตอบสนองหรือว่าส่งสัญญาณเล่นกับเราได้นะ
00:19:31 → 00:19:34 ครับถามว่าโอมันสำคัญยังไงเวลาที่เรามี
00:19:34 → 00:19:37 Social interaction นะครับเราจะต้องมี
00:19:37 → 00:19:41 การพูดคุยก็คือตาต้องมองหูต้องฟังถูกมั้
00:19:41 → 00:19:44 ครับคำพูดที่เราได้ยินและเสียงที่คนอื่น
00:19:44 → 00:19:46 เขาพูดเราเสียงที่หมากับแมวมันเห่ามัน
00:19:46 → 00:19:50 ร้องใส่เราเนี่ยครับมันคือ signal ที่
00:19:50 → 00:19:53 วิ่งเข้าไปในสมองนะครับซึ่งถ้ามี signal
00:19:53 → 00:19:55 วิ่งเข้าไปในสมองบ่อยๆสมองจะถูกทำงานและ
00:19:55 → 00:19:58 เมื่อมี signal มาปึ๊บโดยปกติเราก็จะมี
00:19:58 → 00:20:00 การตอบสนองเช่นเพูดมาเราก็พูดกลับตอบโต้
00:20:00 → 00:20:04 กลับนะครับการตอบโต้กลับเนี่ยก็เป็นอีก
00:20:04 → 00:20:06 หนึการทำงานของสมองซึ่งใช้อีกคนละส่วนของ
00:20:07 → 00:20:09 สมองในการทำงานนั้น Social interaction
00:20:09 → 00:20:11 เนี่ยได้ทั้งกระตุ้น input แล้วก็กระตุ้น
00:20:11 → 00:20:14 การทำงาน output ของสมองด้วยทำให้สมองยัง
00:20:14 → 00:20:16 ทำงานอยู่นะครับทีนี้ sensory ฟังก์ชัน
00:20:16 → 00:20:19 ที่สำคัญก็เมื่อกี้พูดไปคือหูแล้วก็ตานะ
00:20:19 → 00:20:22 ครับเราควรจะดูแลหูกับตาเพราะหูสำคัญใน
00:20:22 → 00:20:25 การฟังตาสำคัญในการอ่านถูกมั้ยครับถ้าหู
00:20:25 → 00:20:27 ใครเสื่อมเร็วมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหู
00:20:27 → 00:20:30 ควรจะดูแลไม่ได้ยินใช้เครื่องช่วยหูฟังจะ
00:20:30 → 00:20:33 ดีนะครับตาผู้สูงอายุหรือจริงๆอายุ 40
00:20:33 → 00:20:36 ขึ้นไปครับเคยคุยกับหมอยุ้ยไว้ใช่มยว่า
00:20:36 → 00:20:38 อายุ 40 ปุ๊บตาเริ่มเสื่อมตาเราเสื่อม
00:20:38 → 00:20:41 เนี่ยครับเราควรจะใส่ใจนะครับสมมุติใคร
00:20:41 → 00:20:43 ที่เป็นต้อกระจกแล้วก็เอ้อใช้ชีวิตอยู่
00:20:43 → 00:20:46 ได้น่าแบบไม่เห็นจะต้องไปผ่าตัดเปลี่ยน
00:20:46 → 00:20:49 ต้อกระจกเลยนะครับแนะนำไปเปลี่ยนต้อกระจก
00:20:49 → 00:20:52 เถอะมันไม่ได้อันตรายเลยผ่าตัดง่ายมาก
00:20:52 → 00:20:54 เดี๋ยวนี้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวตาคุณจะใส่
00:20:54 → 00:20:56 วิงกลับมามองเห็นได้ดีเหมือนเดิมการมอง
00:20:56 → 00:20:58 เห็นที่ดีสำคัญมากที่จะช่วยในกกระตุ้นให้
00:20:59 → 00:21:01 สมองของเราทำงานนะครับอย่าปล่อยให้การสูญ
00:21:01 → 00:21:04 เสียการมองเห็นของคุณเนี่ยส่งผลไปถึงสมอง
00:21:04 → 00:21:06 นะครับอย่างที่ 3 คือเลือดมาเลี้ยงสมอง
00:21:06 → 00:21:08 ไม่พอ strategy ที่ดีคือทำยังไงก็ได้ป้อง
00:21:08 → 00:21:11 กันให้ไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นนะครับ
00:21:11 → 00:21:14 เริ่มที่อะไรล่ะเริ่มที่น้ำตาลครับน้ำตาล
00:21:14 → 00:21:16 คือต้นเหตุที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่
00:21:16 → 00:21:21 พอเพราะกินน้ำตาลเยอะแฟตเยอะแฟตเยอะเกิด
00:21:21 → 00:21:26 การอักเสบผนังหลอดเลือดอักเสบทำให้ a b
00:21:26 → 00:21:29 ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในถุง L เนี่ยมัน
00:21:29 → 00:21:33 ถูกแปเข้าไปในผนังหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น
00:21:33 → 00:21:36 บ่อยมากขึ้นเกิดเป็นพลาที่บล็อกไม่ให้
00:21:36 → 00:21:38 เลือดเนี่ยมันวิ่งได้ดีมากยิ่งขึ้นทีนี้
00:21:38 → 00:21:41 พอเลือดไหลเวียนได้ไม่ดีมากยิ่งขึ้นปึ๊บ
00:21:41 → 00:21:45 ก็ส่งไปถึงสมองไม่เพียงพอกลายเป็นสกเซลล์
00:21:45 → 00:21:49 สมองขาดเลือดก็ทำให้เกิด vascular demia
00:21:49 → 00:21:52 นะครับต้นเหตุทั้งหมดคือน้ำตาลผมเคยแชร์
00:21:52 → 00:21:54 หลายเทคนิคในการป้องกันไม่ให้น้ำตาลใน
00:21:54 → 00:21:56 เลือดเมันพุ่งเร็วมากเกินไปก็จะลดโอกาส
00:21:56 → 00:21:59 ที่อินซูลิน spike นะครับลดการเป็นเบา
00:21:59 → 00:22:03 หวานลดการสะสมของ ldl แล้วก็ลดภาวะความ
00:22:03 → 00:22:05 ดันเลือดสูงแล้วมันก็ช่วยป้องกันอันตราย
00:22:05 → 00:22:08 ที่เกิดขึ้นกับสมองนะครับอย่างที่ 4 ครับ
00:22:08 → 00:22:10 คือป้องกันไม่ให้สมองเนี่ยติดเชื้อหรือ
00:22:10 → 00:22:12 ได้รับความเสียหายนะครับติดเชื้อเป็น
00:22:12 → 00:22:14 เพราะขาดวิตามินดีเพราะฉะนั้นกิน
00:22:14 → 00:22:17 วิตามินดีให้เพียงพอทำ Outdoor activity
00:22:17 → 00:22:19 บ้างไปเจอแสงแดดบ้างนะครับเพราะว่า
00:22:19 → 00:22:21 วิตามิน D3 เนี่ยได้จากแสงแดดเลยนะฮะแล้ว
00:22:21 → 00:22:24 ก็อาจจะกินนแมกนีเซียมแคลเซียมช่วยเพราะ
00:22:24 → 00:22:26 ว่าแคลเซียมแมกนีเซียมวิตามิน D3 เนี่ยทำ
00:22:26 → 00:22:29 งานเป็นทีมเวิร์คนะครับแล้วก็ระมัดระวัง
00:22:29 → 00:22:31 ไม่ให้สมองเราเนี่ยมันถูกกระแทกครับทุกคน
00:22:31 → 00:22:33 ถ้าเกิดว่าสมองถูกกระแทกได้รับการกระทบ
00:22:33 → 00:22:36 กระเทือนแล้วเราไม่รู้เนี่ยนะครับมันก็ทำ
00:22:36 → 00:22:39 ให้มันเสื่อมได้ครับสุดท้ายครับอย่างที่ 5
00:22:39 → 00:22:41 คือพยายามป้องกันไม่ให้มีสารพิษที่ทำลาย
00:22:41 → 00:22:44 สมองเนี่ยเข้ามาในร่างกายบ่อยมากเกินไป
00:22:44 → 00:22:47 ถามว่าสารพิษมีอะไรบ้าง 1 คือแอลกอฮอล์ 2
00:22:47 → 00:22:51 คือบุหรี่ 3 คือสารเสพติดและ 4 คือ Air
00:22:51 → 00:22:53 pollution หรือว่ามลพิษทางอากาศนะครับใน
00:22:53 → 00:22:56 recom ล่าสุดในการป้องกันชียเนี่ยมีการ
00:22:56 → 00:22:58 เพิ่ม Air pollution เข้ามานะครับเพราะ
00:22:58 → 00:23:00 ว่าว่าเป็นปัญหาใหญ่ในโลกปัจจุบันนี้โดย
00:23:00 → 00:23:02 เฉพาะในประเทศไทยเพราะฉะนั้นพยายามป้อง
00:23:02 → 00:23:05 กันตัวเองจากฝุ่นเล็กๆพวก PM 2.5 นะครับ
00:23:05 → 00:23:07 เพราะมันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำลายสมอง
00:23:07 → 00:23:10 ได้ครับสุดท้ายครับผมอยากจะย้ำกับทุกคน
00:23:10 → 00:23:12 อีกทีนึงว่าภาวะสมองเสือบเนี่ยมันไม่ใช่
00:23:12 → 00:23:15 ว่าต้องรอตอนเราแก่นะครับคือ 65 70 ปึ๊บ
00:23:15 → 00:23:17 สวิตช์มันจะเปิดแล้วสมองมันถึงจะเสื่อม
00:23:17 → 00:23:20 แต่สมองของเราเนี่ยมันค่อยๆเสื่อมไป
00:23:20 → 00:23:23 เรื่อยๆถูกทำลายไปเรื่อยๆทางที่ดีเนี่ย
00:23:23 → 00:23:25 ถ้าเรารีบดูแลสมองตั้งแต่ตอนที่เรายัง
00:23:25 → 00:23:27 อายุน้อยๆเนี่ยครับมันจะช่วยลดความเสี่ยง
00:23:27 → 00:23:30 ลดโอกาที่จะทำให้เกิดสมองเสื่อมเลยนะครับ
00:23:30 → 00:23:32 วิธีการมันไม่ได้ยากเกินไปเลยทุกคนสามารถ
00:23:32 → 00:23:35 ทำได้ 3 อย่างถ้าเกิดว่าจะให้ผมแนะนำนะ
00:23:35 → 00:23:39 ครับหลับลึกให้ดี 2 คือใช้งานบ่อยๆคือ
00:23:39 → 00:23:41 Exercise สมองนะครับด้วยการใช้ความคิด
00:23:41 → 00:23:43 ของสมองรวมไปถึง Exercise ในการออกกำลัง
00:23:43 → 00:23:47 กายด้วยและ 3 คือการดูแลปริมาณน้ำตาลเข้า
00:23:47 → 00:23:49 ร่างกายครับเพียงแค่ทำ 3 อย่างนี้รับรอง
00:23:50 → 00:23:53 ว่าโอกาสที่คุณจะเป็นชียหรือว่ายัง onset
00:23:53 → 00:23:55 dementia สมองเสื่อมก่อนไว้เนี่ยลดน้อย
00:23:55 → 00:24:00 ลงแล้วก็ไม่ต้องกังวลแน่นอนครับ
00:24:00 → 00:24:03 To To To the Standard podcast I
00:24:04 → 00:24:07 Opening for your