00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> สวัสดีครับวันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง
00:00:09 → 00:00:12 สุขภาพเมตabolิึมกันนะครับซึ่งเป็นมุมมอง
00:00:12 → 00:00:15 นึงที่สำคัญมากๆแต่หลายคนอาจจะยังไม่เคย
00:00:15 → 00:00:18 ได้ยินหรืออาจจะถูกมองข้ามไปคือเรามักจะ
00:00:18 → 00:00:21 ได้ยินกันบ่อยๆใช่มั้ครับว่าภาวะดื้อต่อ
00:00:21 → 00:00:24 อินซูลินเนี่ยเป็นตัวการหลักเลยที่ทำให้
00:00:24 → 00:00:27 เกิดภาวะก่อนเบาหวานแล้วก็เบาหวานชนิดที่
00:00:27 → 00:00:30 2 แต่ถ้าผมจะบอกว่าเรื่องราวราวมันยัง
00:00:30 → 00:00:33 ไม่จบแค่นั้นล่ะครับจริงๆแล้วที่เราพูด
00:00:33 → 00:00:35 ถึงกันเนี่ยมันเป็นแค่ครึ่งเดียวของ
00:00:35 → 00:00:37 เรื่องราวทั้งหมดครับเพราะในความเป็นจริง
00:00:37 → 00:00:39 แล้วมันมีเรื่องของความสมดุลเข้ามาเกี่ยว
00:00:39 → 00:00:42 ข้องด้วยซึ่งการทำความเข้าใจอีกครึ่งที่
00:00:42 → 00:00:45 ว่าเนี่ยสำคัญมากๆเลยนะครับสำหรับการดูแล
00:00:45 → 00:00:48 สุขภาพในระยะยาวเอาล่ะครับเรามาลงลึกใน
00:00:48 → 00:00:51 รายละเอียดกันดีกว่าปัจจัยที่ว่าที่มักจะ
00:00:51 → 00:00:54 ถูกมองข้ามไปเนี่ยนะครับเขาเรียกว่าการทำ
00:00:54 → 00:00:57 งานของเบต้าเซลล์ค่ะพูดง่ายๆก็คือมันเป็น
00:00:57 → 00:01:00 ความสามารถของร่างกายเรานี่แหละในการผลิต
00:01:00 → 00:01:04 อินซูลินออกมาในปริมาณที่พอเหมาะพอดีคือ
00:01:04 → 00:01:07 มันไม่ใช่แค่ว่าโอเคร่างกายผลิตอินซูลิน
00:01:07 → 00:01:10 ได้เยอะแค่ไหนแต่มันคือการดูว่าปริมาณที่
00:01:10 → 00:01:15 ผลิตออกมาเนี่ยมันเหมาะสมมันเพียงพอที่จะ
00:01:15 → 00:01:18 ไปชดเชยกับระดับความไวต่ออินซูลินของร่าง
00:01:18 → 00:01:22 กายในขณะนั้นๆหรือเปล่าอ่ะลองนึกภาพตามนะ
00:01:22 → 00:01:26 ครับสมมุติว่ามีคนนึงที่ร่างกายไวต่อ
00:01:26 → 00:01:28 อินซูลินมากๆเลยนั่นก็แปลว่าร่างกายของ
00:01:29 → 00:01:32 เค้าเนี่ยทำงานได้แบบมีประสิทธิภาพสุดๆพอ
00:01:32 → 00:01:35 เป็นแบบนี้ปุ๊บเบต้าเซลล์ของเขาก็สบายเลย
00:01:35 → 00:01:38 ครับไม่ต้องทำงานหนักเลยผลิตอินซูลินออก
00:01:38 → 00:01:41 มาแค่นิดเดียวก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาล
00:01:41 → 00:01:44 ในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้แล้วแต่ที
00:01:44 → 00:01:48 นี้ถ้าเกิดว่าความไวต่ออินซูลินของคนเดิม
00:01:48 → 00:01:52 เนี่ยมันลดลงล่ะเพื่อที่จะรักษาระดับน้ำ
00:01:52 → 00:01:55 ตาลในเลือดให้ปกติเหมือนเดิมเบต้าเซลล์ก็
00:01:55 → 00:01:57 ต้องเร่งเครื่องครับต้องทำงานหนักขึ้น
00:01:57 → 00:02:00 ผลิตอินซูลินออกมาให้มากขึ้นเพื่อเอาชนะ
00:02:00 → 00:02:02 ภาวะดื้อต่ออินซูลินให้ได้ซึ่งไอ้ความ
00:02:02 → 00:02:05 สามารถในการชดเชยนี่แหละครับคือหัวใจ
00:02:05 → 00:02:08 สำคัญของเรื่องนี้เลยดังนั้นเราจะเห็นได้
00:02:08 → 00:02:11 ว่าสุขภาพเมตabอิึมที่ดีเนี่ยมันก็เหมือน
00:02:11 → 00:02:13 กับการทรงตัวอยู่บนเส้นได้เลยนะครับ
00:02:13 → 00:02:16 ระหว่างความไวต่ออินซูลินกับความสามารถ
00:02:16 → 00:02:20 ของเบต้าเซลล์ที่จะชดเชยให้ได้ตราบใดที่
00:02:20 → 00:02:22 เบต้าเซลล์ยังสามารถชดเชยไหวยังผลิต
00:02:22 → 00:02:25 อินซูลินได้ทันระดับน้ำตาลในเลือดก็จะยัง
00:02:25 → 00:02:28 คงปกติอยู่ครับแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มัน
00:02:28 → 00:02:32 เริ่มทำงานไม่ทันชดเชยไม่ไหวแล้วตอนนั้น
00:02:32 → 00:02:34 ล่ะครับที่ระดับน้ำตาลในเลือดจะเริ่มสูง
00:02:34 → 00:02:37 ขึ้นจนนำไปสู่ภาวะก่อนเบาหวานและถ้าปล่อย
00:02:37 → 00:02:40 ไว้นานๆก็จะกลายเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ใน
00:02:40 → 00:02:44 ที่สุดที่น่าสนใจมากๆก็คือเราสามารถมอง
00:02:44 → 00:02:47 เห็นภาพของความสมดุลนี้ได้ชัดเจนขึ้นนะ
00:02:47 → 00:02:50 ครับด้วยเครื่องมือที่พัฒนามาจากโฮaโมเดล
00:02:50 → 00:02:53 ซึ่งจะใช้แค่ค่าน้ำตาลกับค่าซูลินตอนอด
00:02:53 → 00:02:56 อาหารมาประเมินปัจจัยสำคัญ 2 อย่างนี้ได้
00:02:56 → 00:03:00 เลยแผนแผนภูมินี้จะแสดงค่า HA BS หรือก็
00:03:01 → 00:03:04 คือความไวต่ออินซูลินเทียบกับค่า HA B
00:03:04 → 00:03:08 หรือการทำงานของเบต้าเซลล์โดยที่ค่า 100%
00:03:08 → 00:03:10 เนี่ยถือว่าเป็นเกณฑ์ปกติที่ดีเยี่ยม
00:03:10 → 00:03:13 สำหรับทั้ง 2 ค่าเลยครับมันเลยทำให้เรา
00:03:13 → 00:03:16 เหมือนมีแผนที่ที่สามารถปักหมุดได้เลยว่า
00:03:16 → 00:03:19 สุขภาพเมตabolิึมของคนนึงอยู่ตรงจุดไหน
00:03:19 → 00:03:22 เอาล่ะครับเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นเรามาดู
00:03:22 → 00:03:25 เรื่องราวของคน 4 คนแล้วลองเอาข้อมูลของ
00:03:25 → 00:03:28 พวกเขามาพลอตลงบนแผนแผนภูมินี้กันดีกว่า
00:03:28 → 00:03:32 ครับเริ่มที่คนแรกเลยคุณไมครับจะเห็นว่า
00:03:32 → 00:03:34 ค่าของเขาเนี่ยอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมเลยนะ
00:03:34 → 00:03:36 ครับเมื่อคำนวณออกมาแล้วทั้งความไวต่อ
00:03:36 → 00:03:39 อินซูลินและการทำงานของเบต้าเซลล์อยู่ที่
00:03:39 → 00:03:42 100% เป๊ะๆเลยนี่คือจุดที่เรียกว่าสมดุล
00:03:42 → 00:03:46 อย่างสมบูรณ์แบบสุขภาพดีมากๆครับทีนี้ลอง
00:03:46 → 00:03:49 มาดูคุณเจนกับคุณกันบ้างครับ 2 คนนี้
00:03:49 → 00:03:53 มีภาวะดื้อต่ออินซูลินที่สูงมากถ้าไม่
00:03:53 → 00:03:56 ต่างกันเลยแต่ผลลัพธ์กับต่างกันสุดขั้ว
00:03:56 → 00:04:00 เลยครับในขณะที่เบต้าเซลล์ของคุณเจนทำงาน
00:04:00 → 00:04:04 หนักมากผลิตอินซูลินออกมาถึง 250% เพื่อ
00:04:04 → 00:04:07 ชดเชยทำให้น้ำตาลในเลือดเกือบจะปกติแต่
00:04:07 → 00:04:10 เบต้าเซลล์ของคุณกลับทำแบบนั้นไม่ไหว
00:04:10 → 00:04:12 ครับและนั่นแหละครับคือเหตุผลที่เขาเป็น
00:04:12 → 00:04:15 เบาหวานชนิดที่ 2 และนี่เป็นอีกตัวอย่าง
00:04:15 → 00:04:20 ที่น่าสนใจมากๆเลยครับคุณเจนกับคุณโซอี้
00:04:20 → 00:04:22 ทั้งคู่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะก่อนเบา
00:04:22 → 00:04:26 หวานเหมือนกันแต่มาจากสาเหตุที่ตรงกัน
00:04:26 → 00:04:29 ข้ามกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับปัญหาของคุณ
00:04:29 → 00:04:32 เจนคือดื้ออินซูลินอย่างรุนแรงในขณะที่
00:04:32 → 00:04:35 ปัญหาของคุณโซอี้คือเบต้าเซลล์ทำงานได้
00:04:35 → 00:04:38 ไม่ดีพอทั้งๆที่ร่างกายของเธอยังไวต่อ
00:04:38 → 00:04:41 อินซูลินได้ดีเยี่ยมอยู่เลยแต่เรื่องราว
00:04:41 → 00:04:44 ของคุณเจ๊ก็แสดงให้เราเห็นนะครับว่าภาวะ
00:04:44 → 00:04:48 แบบนี้มันไม่ได้เป็นภาวะถาวรเสมอไปเพราะ
00:04:48 → 00:04:49 เขาหันมาปรับเปลี่ยนอาหารการกินและ
00:04:50 → 00:04:52 ไลฟ์สไตล์เพื่อจัดการที่ต้นเหตุของภาวะ
00:04:52 → 00:04:55 ดื้ออินซูลินความไวต่ออินซูลินของเขาก็ดี
00:04:55 → 00:04:57 ขึ้นมากเลยครับและนั่นก็ทำให้เบต้าเซลล์
00:04:57 → 00:05:00 ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไปแล้วก็กลับมาทำ
00:05:00 → 00:05:03 งานได้ 100% ตามความต้องการของร่างกายได้
00:05:03 → 00:05:07 อีกครั้งทั้งหมดนี้นำเรามาสู่ประเด็นที่
00:05:07 → 00:05:10 สำคัญที่สุดของการคุยกันในวันนี้เลยครับ
00:05:10 → 00:05:13 ว่าทำไมการมองเห็นภาพรวมทั้งหมดแบบนี้มัน
00:05:13 → 00:05:17 ถึงสำคัญมากโดยเฉพาะในเคสอย่างของคุณเจน
00:05:17 → 00:05:20 ถึงแม้ว่าผลตรวจน้ำตาในเลือดของคุณเจนจะ
00:05:20 → 00:05:23 ออกมาเกือบปกติแต่ภาวะดื้อต่ออินซูลินที่
00:05:23 → 00:05:25 ซ่อนอยู่และการที่ร่างกายต้องผลิต
00:05:25 → 00:05:28 อินซูลินในระดับสูงตลอดเวลาเพื่อชดเชย
00:05:28 → 00:05:30 หรือที่เรียกว่าไฮเปอร์ินซูลีเมียเนี่ย
00:05:30 → 00:05:33 ตัวมันเองก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อันตราย
00:05:33 → 00:05:36 มากๆอยู่แล้วครับเพราะว่าต้นตอของภาวะ
00:05:36 → 00:05:39 ดื้ออินซูลินไม่ว่าจะเป็นไขมันในช่องท้อง
00:05:39 → 00:05:42 การอักเสบเรื้อรังไขมันพอกตับมวลกล้าม
00:05:42 → 00:05:44 เนื้อน้อยหรือการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อย
00:05:44 → 00:05:47 เคลื่อนไหวปัญหาเหล่านี้ไม่ได้แค่ทำให้
00:05:47 → 00:05:50 ดื้ออินซูลินนะครับแต่มันยังเป็นปัจจัย
00:05:50 → 00:05:52 เสี่ยงโดยตรงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดโรค
00:05:52 → 00:05:56 ไตโรคตับหรือแม้แต่มะเร็งบางชนิดด้วยดัง
00:05:56 → 00:06:00 นั้นประเด็นสำคัญที่อยากจะฝากไว้ก็คือผล
00:06:00 → 00:06:03 น้ำตาลในเลือดที่ปกติอาจจะกำลังซ่อนปัญหา
00:06:03 → 00:06:05 สุขภาพที่ใหญ่กว่าเอาไว้ก็ได้การทำความ
00:06:05 → 00:06:07 เข้าใจเรื่องความสมดุลระหว่างความไวต่อ
00:06:07 → 00:06:10 อินซูลินและการทำงานของเบต้าเซลล์นี่แหละ
00:06:10 → 00:06:13 ครับคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจ
00:06:13 → 00:06:16 สุขภาพเมบolิึมของตัวเองอย่างแท้จริงและ
00:06:16 → 00:06:18 สามารถลงมือป้องกันดูแลสุขภาพในระยะยาว
00:06:18 → 00:06:23 ได้อย่างถูกจุดก่อนที่มันจะใสเกินไปค่ะ
00:06:23 → 00:06:26 สวัสดีค่ะขอต้อนต้อนรับสู่การเจาะลึก
00:06:26 → 00:06:29 ประเด็นสุขภาพนะคะวันนี้เราจะมาคุยกัน
00:06:29 → 00:06:32 เรื่องเบาหวานชนิดที่ 2 ค่ะซึ่งเอ่อหลาย
00:06:32 → 00:06:35 คนอาจจะรู้สึกว่าก็คุ้นๆกันดีอยู่แล้วโดย
00:06:35 → 00:06:38 เฉพาะคำว่าภาวะดื้ออินซูลินใช่มั้ยคะแต่
00:06:38 → 00:06:41 ว่าข้อมูลที่เราได้ศึกษามาเนี่ยค่ะเป็น
00:06:41 → 00:06:44 วีดีโอจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกับเบา
00:06:44 → 00:06:48 หวานเลยประสบการณ์กว่า 20 ปีเาชี้ว่าเอ่อ
00:06:48 → 00:06:49 ที่เราได้ยินกันน่ะมันเป็นแค่ครึ่งเดียว
00:06:49 → 00:06:50 เองค่ะ
00:06:50 → 00:06:53 >> ใช่เลยครับอีกครึ่งที่สำคัญมากๆเหมือนกัน
00:06:53 → 00:06:56 แต่เอ่อมักจะไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไหร่ก็
00:06:56 → 00:06:59 คือเรื่องความสามารถของตับอ่อนเราเองใน
00:06:59 → 00:07:02 การผลิตอินซูลินหรือที่เรียกว่าการทำงาน
00:07:02 → 00:07:05 ของ beta cell หรือ beta cell fฟังนั่น
00:07:05 → 00:07:07 แหละครับซึ่งเซลล์พวกนี้แหละที่สร้าง
00:07:07 → 00:07:08 อินซูลิน
00:07:09 → 00:07:12 >> โหน่าสนใจมากเลยค่ะงั้นเอ่อการพูดคุยของ
00:07:12 → 00:07:15 เราวันเนี้ยก็คือจะมาทำความเข้าใจกันว่า
00:07:15 → 00:07:18 ทำไมเรื่องเบต้าเซลล์เนี่ยมันถึงสำคัญพอๆ
00:07:18 → 00:07:21 กับเรื่องความไวต่ออินซูลินที่เราคุ้นเคย
00:07:21 → 00:07:24 กันแล้วเราจะพอจะประเมิน 2 อย่างนี้จากผล
00:07:24 → 00:07:26 เลือดง่ายๆที่เราอาจจะมีกันอยู่แล้วได้
00:07:26 → 00:07:29 ยังไงบ้างเพื่อให้เห็นภาพรวมสุขภาพเราชัด
00:07:29 → 00:07:32 ขึ้นนะคะมาลองลงลึกกันเลยค่ะขอเริ่มที่
00:07:32 → 00:07:35 เอ่อภาพกว้างก่อนนะคะอินซูลินเนี่ยก็คือ
00:07:35 → 00:07:37 ฮอร์โมนสำคัญเนาะที่ช่วยคลุงน้ำตาลใน
00:07:38 → 00:07:40 เลือดทีนี้เราก็ได้ยินบ่อยๆว่าภาวะดื้อ
00:07:40 → 00:07:42 อินซูลินหรือว่าเซลล์มันตอบสนองต่อ
00:07:42 → 00:07:44 อินซูลินได้ไม่ค่อยดีเหมือนเดิมเนี่ยเป็น
00:07:44 → 00:07:47 ปัญหาหลักเลยแต่ข้อมูลเนี้ยกำลังจะบอกว่า
00:07:47 → 00:07:49 เฮ้ยมันมีอีกด้านนึงที่ต้องดูคู่กันไป
00:07:49 → 00:07:50 เสมอ
00:07:50 → 00:07:53 >> ถูกต้องเลยครับคือการทำงานของเบต้าเซลล์
00:07:53 → 00:07:56 เนี่ยมันเป็นการหวัดว่าตับอ่อนเราผลิต
00:07:56 → 00:07:59 อินซูลินได้มากพอกับความต้องการของร่าง
00:07:59 → 00:08:02 กายณเวลานั้นๆหรือเปล่าซึ่งไอ้ความ
00:08:02 → 00:08:05 ต้องการเนี่ยมันก็ขึ้นอยู่กับว่าร่างกาย
00:08:05 → 00:08:09 เราตอนนั้นดื้ออินซูลินมากน้อยแค่ไหนเอ่อ
00:08:09 → 00:08:11 ลองนึกภาพตามง่ายๆนะครับสมมุติร่างกายเรา
00:08:12 → 00:08:15 เป็นรถยนต์อินซูลินเป็นน้ำมันแล้ว
00:08:15 → 00:08:17 เบต้าเซลล์เป็นเครื่องยนต์ถ้ารถเราไม่ได้
00:08:18 → 00:08:20 บรรทุกของหนักอะไรเลยก็คือไม่ได้ดื้อ
00:08:20 → 00:08:23 อินซูลินมากเครื่องยนต์หรือเบต้าเซลล์ก็
00:08:23 → 00:08:26 ไม่ต้องทำงานหนักใช้น้ำมันหรืออินซูลิน
00:08:26 → 00:08:29 นิดเดียวรถก็วิ่งได้สบายความเร็วหรือ
00:08:30 → 00:08:33 ระดับน้ำตาลก็จะนิ่งๆดีแต่พอเราเริ่ม
00:08:33 → 00:08:36 บรรทุกของหนักขึ้นเช่นน้ำหนักตัวเยอะขึ้น
00:08:36 → 00:08:38 หรือมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ดื้ออินซูลิน
00:08:38 → 00:08:41 มากขึ้นเนี่ยรถมันก็จะต้องการน้ำมันมาก
00:08:41 → 00:08:43 ขึ้นเยอะเลยเพื่อจะวิ่งให้ได้เร็วเท่า
00:08:43 → 00:08:47 เดิมคำถามสำคัญคือไอ้เครื่องยนต์ของเรา
00:08:47 → 00:08:50 เนี่ยมันยังแรงพอมั้ยที่จะสร้างกำลังเผา
00:08:50 → 00:08:53 น้ำมันที่เพิ่มขึ้นเยอะๆนั้นเพื่อให้รถ
00:08:53 → 00:08:55 ยังวิ่งเร็วเท่าเดิมได้ถ้าเครื่องยนต์ยัง
00:08:55 → 00:08:59 ไหวอยู่ยังสู้ได้ผลิตกำลังชดเชยได้เต็ม
00:08:59 → 00:09:02 ที่แม้จะบรรทุกหนักหรือดื้ออินซูลินนั่น
00:09:02 → 00:09:05 แหละรถก็ยังวิ่งได้เร็วปกติคือระดับน้ำ
00:09:06 → 00:09:08 ตาลในเลือดก็ยังคุมได้ดีอยู่อันนี้คือ
00:09:08 → 00:09:11 สถานการณ์ที่เราอาจจะบอกว่าการทำงานของ
00:09:11 → 00:09:13 เบต้าเซลล์ยังเป็น 100% นะครับแต่เป็น
00:09:13 → 00:09:16 100% สำหรับภาระงานตอนนั้นไม่ใช่ 100%
00:09:16 → 00:09:19 ของศักยภาพสูงสุดแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่
00:09:19 → 00:09:21 เครื่องยนต์เริ่มล้าเริ่มผลิตกำลังได้ไม่
00:09:21 → 00:09:24 พอตามที่ภาระงานมันต้องการแล้วเช่นอาจจะ
00:09:25 → 00:09:28 ทำได้แค่ 80% 70% หรือน้อยกว่านั้นของ
00:09:28 → 00:09:31 ที่มันจำเป็นจริงๆอ่ะครับตอนนั้นแหละความ
00:09:31 → 00:09:33 เร็วรถก็จะเริ่มตกก็คือระดับน้ำตาลใน
00:09:33 → 00:09:36 เลือดจะเริ่มค่อยๆสูงขึ้นจนอาจจะนำไปสู่
00:09:36 → 00:09:38 ภาวะก่อนเบาหวานหรือว่าเป็นเบาหวานไปเลย
00:09:38 → 00:09:39 ในที่สุดครับ
00:09:39 → 00:09:43 >> อธิบายแบบนี้เห็นภาพชัดเลยค่ะแสดงว่าคน 2
00:09:43 → 00:09:45 คนเนี่ยอาจจะดื้ออินซูลินไม่เท่ากันเลยก็
00:09:45 → 00:09:49 ได้นะคะคนนึงอาจจะดื้อมากอีกคนดื้อน้อย
00:09:49 → 00:09:52 แต่ถ้าเอ่อเครื่องยนต์หรือเบต้าเซลล์ของ
00:09:52 → 00:09:55 ทั้งคู่เนี่ยยังสามารถผลิตอินซูลินได้พอ
00:09:55 → 00:09:58 ดีเป๊ะกับระดับความดื้อของตัวเองณตอนนั้น
00:09:58 → 00:10:00 ทั้งคู่ก็อาจจะมีระดับน้ำตาลตอนอดอาหาร
00:10:00 → 00:10:02 ที่ดูปกติได้เหมือนกันหรอคะ
00:10:02 → 00:10:06 >> ใช่ครับใช่เลยประเด็นสำคัญคือคำว่าเพียง
00:10:06 → 00:10:09 พอต่อความต้องการณปัจจุบันนี่แหละครับการ
00:10:09 → 00:10:12 ทำงานของเบต้าเซลล์ที่เรียกว่า 100% ใน
00:10:12 → 00:10:16 บริบทนี้เนี่ยมันไม่ได้แปลว่าเซลล์ทำงาน
00:10:16 → 00:10:19 เต็มที่จนสุดกำลังนะแต่มันหมายถึงว่าทำ
00:10:19 → 00:10:22 งานได้พอดีพอดีที่จะรักษาสมดุลน้ำตาลใน
00:10:22 → 00:10:24 เลือดได้เมื่อเทียบกับระดับความดื้อ
00:10:24 → 00:10:28 อินซูลินตอนนั้นปัญหาจริงๆมันจะเกิดเมื่อ
00:10:28 → 00:10:30 ความสามารถในการผลิตอินซูลินเนี่ยมัน
00:10:30 → 00:10:33 เริ่มตามความต้องการที่สูงขึ้นเรื่อยๆไม่
00:10:33 → 00:10:36 ทันหรือที่เรียกว่าBac้า cell dfunction
00:10:36 → 00:10:39 นั่นแหละครับเพราะฉะนั้นการประเมินทั้ง 2
00:10:39 → 00:10:42 ด้านนี้ควบคู่กันไปจึงสำคัญมากๆเลยครับ
00:10:42 → 00:10:45 >> แล้วในทางปฏิบัติล่ะคะเราจะพอรู้ได้ยังไง
00:10:45 → 00:10:48 ว่าไอ้เครื่องยนต์หรือเบต้าเซลล์ของเรา
00:10:48 → 00:10:51 เนี่ยมันทำงานได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับ
00:10:51 → 00:10:54 ภาระหรือความดื้ออินซูลินของเราเอง
00:10:54 → 00:10:58 >> ครับก็มีแบบจำลองทางศาสตร์ที่ช่วยประเมิน
00:10:58 → 00:11:00 เรื่องนี้ได้คร่าวๆนะครับจากผลการตรวจ
00:11:00 → 00:11:02 เลือดตอนอดอาหารที่เราตรวจกันบ่อยๆนี่
00:11:02 → 00:11:06 แหละเขาเรียกว่า H2 Model ครับซึ่งมันจะ
00:11:06 → 00:11:09 ใช้ค่าระดับน้ำตาลตอนอดอาหารหรือ fasting
00:11:09 → 00:11:12 glลูคoseกับระดับอินซูลินตอนอดอาหารหรือ
00:11:12 → 00:11:14 fasting insulin มาคำนวณออกมาเป็นค่า
00:11:14 → 00:11:18 ประมาณ 2 ค่าหลักๆค่าแรกก็คือ Homa S
00:11:18 → 00:11:21 ครับตัว S นี่คือ sensitivity หรือความไว
00:11:21 → 00:11:23 ต่ออินซูลินค่านี้จะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์
00:11:23 → 00:11:27 เทียบกับค่าปกติที่ 100% ถ้าได้ 100% ก็
00:11:27 → 00:11:30 คือวัยปกติแต่ถ้านี้ยิ่งต่ำลงก็แปลว่าเรา
00:11:30 → 00:11:33 ยิ่งดื้ออินซูลินมากขึ้นเรื่อยๆครับส่วน
00:11:33 → 00:11:36 ค่าที่ 2 คือhฮเปอร์เซ็นต B ตัว B ก็คือ
00:11:36 → 00:11:39 Bตell Function หรือการทำงานของเบต้า
00:11:39 → 00:11:41 เซลล์อันนี้ก็เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์เหมือน
00:11:41 → 00:11:44 กันแต่ 100% ของ HMA เปอร์เซ็นต์ B เนี่ย
00:11:44 → 00:11:46 ความหมายมันต่างนิดนึงนะครับมันหมายถึง
00:11:46 → 00:11:49 ว่าเบต้าซลทำงานได้เพียงพอพอดีกับระดับ
00:11:49 → 00:11:52 ความไวต่ออินซูลินหรือเปอร์เซ็นต์ S ใน
00:11:52 → 00:11:55 ตอนนั้นๆไม่ได้แปลว่าทำงานเต็มที่นะครับ
00:11:55 → 00:11:58 และที่สำคัญมากๆคือค่าโฮม่าเปอร์เซ็นต์ B
00:11:58 → 00:12:00 เนี่ยต้องแปรผลกับ HA เปอร์เซ็นต์ S เสมอ
00:12:01 → 00:12:02 เลยครับจะดูเดี่ยวๆไม่ได้
00:12:02 → 00:12:06 >> ฟันดูมีประด่วนมากๆเลยนะคะแต่เอ๊ะทำไมเรา
00:12:06 → 00:12:10 ไม่ค่อยเห็นค่าโฮม่าพวกนี้ในใบรายงานผล
00:12:10 → 00:12:12 เลือดตามคลินิกหรือโรงพยาบาลทั่วไปเท่า
00:12:12 → 00:12:13 ไหร่เลยล่ะคะ
00:12:13 → 00:12:18 >> อ๋อครับเหตุผลหลักๆก็คือการคำนวณ HA 2
00:12:18 → 00:12:20 ให้มันแม่นยำตามแบบจำลองดั้งเดิมจริงๆ
00:12:20 → 00:12:23 เนี่ยมันต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะ
00:12:23 → 00:12:25 Time นิดนึงครับซึ่งอาจจะมีเรื่อง
00:12:25 → 00:12:27 ลิขสิทธิ์หรือว่าไม่ได้ติดตั้งใช้งานกัน
00:12:27 → 00:12:31 ทั่วไปในห้องแลบมาตรฐานแต่ว่าเอ่อใน
00:12:31 → 00:12:33 วีดีโอที่เราศึกษากันมาเนี่ยผู้เชี่ยวชาญ
00:12:33 → 00:12:36 ท่านนั้นเค้าก็ได้สร้างกราฟขึ้นมาอันนึง
00:12:36 → 00:12:39 ซึ่งกราฟนี้มันอิงจากข้อมูล Homa 2 นี่
00:12:39 → 00:12:41 แหละครับมันช่วยให้เราพอจะประเมินสถานะ
00:12:41 → 00:12:44 คร่าวๆของตัวเองได้เหมือนกันวิธีใช้ก็ไม่
00:12:44 → 00:12:47 ยากครับคือเราก็เอาค่า Fasting GLูoseของ
00:12:47 → 00:12:51 เราแต่ต้องแปลงเป็นหน่วย mm ก่อนนะครับ
00:12:51 → 00:12:54 ถ้าผลเป็น mgdl ต้องเอา 18 ไปหารก่อนนะ
00:12:54 → 00:12:55 ครับ
00:12:55 → 00:12:56 >> ค่ะ
00:12:56 → 00:13:00 >> กับค่า fasting insulin หน่วยเป็น mu
00:13:00 → 00:13:03 หรือบางทีก็เขียนซึ่งมักจะใช้แทนกันได้
00:13:03 → 00:13:07 เอา 2 ค่านี้มาพอตเป็นจุดลงบนกราฟนั้นเลย
00:13:07 → 00:13:09 ครับแล้วเราก็จะเห็นว่าจุดของเรามันตก
00:13:09 → 00:13:13 อยู่ในโซนไหนซึ่งแต่ละโซนบนกราฟเนี่ยมัน
00:13:13 → 00:13:15 จะสะท้อนค่าhโมเปอร์เซ็นต์ s กับโม
00:13:15 → 00:13:17 เปอร์เซ็นต์ b โดยประมาณให้เราเห็นภาพ
00:13:17 → 00:13:20 คร่าวๆได้ครับแล้วการเตรียมตัวก่อนไปเจาะ
00:13:20 → 00:13:22 เลือดล่ะคะเพื่อให้ค่าที่ได้มันน่าเชื่อ
00:13:22 → 00:13:25 ถือที่สุดควรจะต้องทำยังไงบ้าง
00:13:25 → 00:13:28 >> อันนี้สำคัญมากๆเลยครับควรจะเจาะเลือดตอน
00:13:28 → 00:13:31 เช้านะครับหลังจากอดอาหารมาอย่างน้อยสัก
00:13:31 → 00:13:35 10 ช่มงและควรจะเป็นวันที่ร่างกายเรา
00:13:35 → 00:13:38 อยู่ในภาวะปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
00:13:38 → 00:13:41 หมายถึงว่าคืนก่อนหน้าไม่ควรกินมื้อดึก
00:13:41 → 00:13:45 หรือมื้อที่มันหนักผิดปกติไปจากเดิมไม่
00:13:45 → 00:13:47 ดื่มแอลกอฮอล์เยอะแล้วก็ไม่ควรอยู่ในช่วง
00:13:47 → 00:13:51 ที่ป่วยหรือพึ่งหายป่วยใหม่ๆนะครับและใน
00:13:51 → 00:13:54 ช่วงสัก 2-3 วันก่อนเจาะเลือดก็ควรจะใช้
00:13:54 → 00:13:56 ชีวิตตามปกติไม่ได้ออกกำลังกายหนักกว่า
00:13:57 → 00:14:00 เดิมหรือน้อยกว่าเดิมมากๆเพื่อให้ผลเลือด
00:14:00 → 00:14:03 มันสะท้อนสภาวะพื้นฐานของเราจริงๆครับ
00:14:03 → 00:14:05 >> มีข้อควรระวังอื่นๆไหมคะในการที่เราจะเอา
00:14:06 → 00:14:08 ค่าไปพลอตหรือแปรผลจากกราฟนี้
00:14:08 → 00:14:11 >> ครับต้องย้ำกันอีกทีนะครับว่าค่า HMA IS
00:14:11 → 00:14:14 กับ B ที่เราได้จากกราฟเนี่ยมันเป็นแค่
00:14:14 → 00:14:17 ค่าประมาณนะครับไม่ใช่ค่าที่วัดได้โดยตรง
00:14:17 → 00:14:19 เป๊ะเป๊ะเหมือนการตรวจด้วยเทคนิคขั้นสูง
00:14:19 → 00:14:21 หรือ gold standard ซึ่งมันซับซ้อนมาก
00:14:21 → 00:14:24 และไม่ค่อยทำกันในการตรวจสุขภาพทั่วไปดัง
00:14:24 → 00:14:26 นั้นเนี่ยควรมองผลที่ได้เป็นการประเมิน
00:14:26 → 00:14:29 แนวโน้มคร่าวๆมากกว่าหรืออาจจะใช้เป็นตัว
00:14:29 → 00:14:31 บ่งชี้ว่าเอ๊ะเราควรจะไปปรึกษาคุณหมอ
00:14:32 → 00:14:34 เพื่อตรวจละเอียดเพิ่มเติมมยไม่ควรจะไป
00:14:34 → 00:14:36 ยึดติดกับตัวเลขเป๊ะๆหรือว่ากังวลกับการ
00:14:36 → 00:14:38 เปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในการตรวจแต่ละ
00:14:38 → 00:14:39 ครั้งมากเกินไปครับ
00:14:39 → 00:14:42 >> โอเคค่ะเข้าใจแล้วค่ะทีนี้เพื่อให้เห็น
00:14:42 → 00:14:46 ภาพชัดๆขึ้นไปอีกในแหล่งข้อมูลที่เราดูมี
00:14:46 → 00:14:48 ตัวอย่างเคสจริงจริงประกอบด้วยมั้ยคะ
00:14:48 → 00:14:52 >> มีครับมีแล้วก็น่าสนใจมากๆเลยครับมันทำ
00:14:52 → 00:14:55 ให้เราเห็นความแตกต่างหลากหลายของแต่ละคน
00:14:55 → 00:14:58 ได้ดีขึ้นเยอะเลยลองดูตัวอย่างพวกนี้กัน
00:14:58 → 00:15:01 นะครับแน่นอนว่าเป็นชื่อสุมุตินะครับ
00:15:01 → 00:15:04 เพื่อความเป็นส่วนตัวเริ่มที่คนแรกชื่อ
00:15:04 → 00:15:07 ไมคนะครับคนนี้คือตัวอย่างของคนที่มี
00:15:07 → 00:15:11 สุขภาพ metabolism ดีเยี่ยมเลยค่า fasting
00:15:11 → 00:15:14 glลูคoseของเขาอยู่ที่ 4.4 4 มลโม/ลิตร
00:15:14 → 00:15:17 ก็ประมาณ 79 mg dl เท่านั้นเองส่วน
00:15:17 → 00:15:20 fasting insulin ก็ต่ำดีครับอยู่ที่
00:15:20 → 00:15:23 ประมาณ 5 มลิตรพอเอาค่านี้ไปพลอตลงบนกราฟ
00:15:24 → 00:15:26 เนี่ยจะเห็นเลยว่าเขาอยู่ในโซนที่hฮoma
00:15:26 → 00:15:29 เปอร์เซ็นต์ s ประมาณ 100% ก็คือไวต่อ
00:15:29 → 00:15:32 อินซูลินดีมากและhฮเปอร์เซ็นต์ B ก็อยู่
00:15:32 → 00:15:35 ที่ 100% ด้วยซึ่งหมายความว่าเบตเตลของ
00:15:35 → 00:15:38 เขาผลิตอินซูลินได้เพียงพอพอดีเป๊ะกับ
00:15:38 → 00:15:41 ความต้องการที่ไม่สูงของร่างกายนั่นเองผล
00:15:41 → 00:15:44 ก็คือคุมน้ำตาลตาได้ดีเยี่ยมสะท้อนจากค่า
00:15:44 → 00:15:48 HPA 1C ที่ต่ำแค่ 4.8% 8% ครับ
00:15:48 → 00:15:51 >> ค่ะอย่างที่ย้ำกันไปเมื่อกี้นี้นะคะ HA
00:15:51 → 00:15:54 Per B 100% ของไมคไม่ได้แปลว่าเบต้าซล
00:15:54 → 00:15:57 เขาผลิตได้เท่านี้แต่หมายถึงผลิตได้พอดี
00:15:57 → 00:16:00 กับความต้องการณตอนนั้นซึ่งเป็นความ
00:16:00 → 00:16:02 ต้องการที่ต่ำเพราะเขาไวต่ออินซูลินมาก
00:16:02 → 00:16:03 อยู่แล้ว
00:16:03 → 00:16:06 >> ถูกต้องครับทีนี้ลองมาดูเคสที่ต่างออกไป
00:16:06 → 00:16:10 บ้างเจกครับเขาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่
00:16:10 → 00:16:13 ตอนแรกเนี่ยยังคุมได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
00:16:13 → 00:16:15 ตอนที่เขาเริ่มเข้าโปรแกรม Fasting
00:16:15 → 00:16:20 GLูคoseสูงถึง 12.8 มลมลหรือราวๆ 231 มกั
00:16:21 → 00:16:23 เดซลเลยนะครับและ fasting insulin ก็สูง
00:16:23 → 00:16:27 ตามไปด้วยที่ 21.8 8 ไมครยูitมลิลลิตร
00:16:28 → 00:16:31 ค่า HBA 1C ตอนนั้นก็ประมาณ 10% ทั้งๆ
00:16:31 → 00:16:34 ที่ก็ใช้ยาเบาหวานอยู่ด้วยนะครับพอพลอตลง
00:16:34 → 00:16:38 GRฟนี่เห็นชัดเลยครับ HMA เปอ S ต่ำมากๆ
00:16:38 → 00:16:41 แค่ประมาณ 10% เองคือดื้ออินซูลินรุนแรง
00:16:41 → 00:16:44 มากส่วน HA เปอร์เซ็นต์ B อยู่ที่ประมาณ
00:16:44 → 00:16:48 42% ซึ่งต้องอ่านว่า 42% ของที่จำเป็น
00:16:48 → 00:16:51 สำหรับความดื้อระดับนั้นนะครับแปลง่ายๆก็
00:16:51 → 00:16:53 คือเบต้าซลพยายามผลิตอินซูลินออกมาแล้ว
00:16:53 → 00:16:56 แหละแต่ก็ยังไม่พออย่างแรงแงเมื่อเทียบ
00:16:56 → 00:16:58 กับความต้องการที่มันสูงปรี๊ดเพราะความ
00:16:58 → 00:17:00 ดื้อนั่นเอง
00:17:00 → 00:17:02 >> มีประเด็นที่น่าสนใจด้วยใช่ไหมคะเกี่ยว
00:17:02 → 00:17:05 กับระดับอินซูลินของถ้าเทียบกับไมค
00:17:05 → 00:17:07 ถึงแม้โฮม่าเปอร์เซ็นต์ B ของเจกจะดูต่ำ
00:17:07 → 00:17:08 กว่า
00:17:08 → 00:17:11 >> ใช่ครับจุดนี้สำคัญมากเลยครับแม้ว่า HMA
00:17:11 → 00:17:15 IIB ของเจคจะแค่ 42% ซึ่งดูเหมือนน้อย
00:17:15 → 00:17:17 กว่าไมคที่เป็น 100% ใช่ไหมั้ครับแต่
00:17:17 → 00:17:19 ปริมาณอินซูลินจริงๆที่ร่างกายของเจค
00:17:19 → 00:17:22 หลั่งออกมาเนี่ยโดยเฉพาะหลังกินอาหารอาจ
00:17:22 → 00:17:25 จะสูงกว่าของไม้หลายเท่าตัวเลยก็ได้นะ
00:17:25 → 00:17:27 ครับเพราะว่าร่างกายเขาพยายามเค้นการผลิต
00:17:27 → 00:17:29 ออกมาสุดๆเพื่อจะสู้กับภาวะดื้ออินซูลิน
00:17:29 → 00:17:32 ที่มันรุนแรงมากๆแต่ถึงจะเค้นออกมามากแค่
00:17:32 → 00:17:34 ไหนมันก็ยังไม่พออยู่ดีสำหรับระดับความ
00:17:34 → 00:17:37 ดื้อของเขาในตอนนั้นนี่แหละครับมันตอกย้ำ
00:17:37 → 00:17:40 เลยว่าทำไมเราต้องดู HMA NR เทียบกับ HMA
00:17:40 → 00:17:43 RNIB เสมอไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ V
00:17:43 → 00:17:44 เดียว
00:17:44 → 00:17:46 >> แล้วเจกเป็นยังไงต่อคะหลังจากที่เขาปรับ
00:17:46 → 00:17:49 เปลี่ยนวิถีชีวิตมีอะไรดีขึ้นบ้างมั้ยคะ
00:17:49 → 00:17:53 >> มีข่าวดีครับหลังจากที่เจกปรับอาหารแล้ว
00:17:53 → 00:17:56 ก็ไลฟ์สไตล์อย่างจริงจังไปประมาณ 8 เดือน
00:17:56 → 00:17:58 ค่าต่างๆของเขาดีขึ้นเยอะมากเลยครับ
00:17:58 → 00:18:01 Fasting Glucose ลดลงมาเหลือ 5.8 8
00:18:01 → 00:18:05 มลม/ลิประมาณ 105 มกัเดซลิ Fasting
00:18:06 → 00:18:10 Insulin ก็ลดลงมาเหลือ 13/ มลตผลคือ Homa
00:18:10 → 00:18:13 Perse S
00:18:13 → 00:18:16 ประมาณ 30% ครับคือก็ยังดื้ออยู่แหละแต่
00:18:16 → 00:18:19 ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากและที่น่าทึ่งมากๆ
00:18:19 → 00:18:23 คือ Homa Per B ของเขาขยับขึ้นมาใกล้ๆ
00:18:23 → 00:18:26 100% เลยครับแต่เป็น 100% ของที่จำเป็น
00:18:27 → 00:18:29 สำหรับความดื้อระดับใหม่ที่ลดลงแล้วนี้นะ
00:18:29 → 00:18:33 ครับผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากๆก็คือ HBA 1C
00:18:33 → 00:18:36 ของเขาลดลงเหลือ 5.8% 8% แล้วเขาก็
00:18:36 → 00:18:39 สามารถลดยาเบาหวานลงได้ด้วยครับถือเป็น
00:18:39 → 00:18:42 ตัวอย่างที่สร้างกำลังใจได้ดีมากๆเลยว่า
00:18:42 → 00:18:45 การเปลี่ยนแปลงมันสร้างผลลัพธ์ได้จริงๆ
00:18:45 → 00:18:48 >> โหน่าทึ่งมากเลยค่ะจากสถานการณ์ที่ดูแย่
00:18:48 → 00:18:52 มากๆก็กลับมาควบคุมได้ดีขึ้นเยอะเลย
00:18:52 → 00:18:55 >> ทีนี้มาดูอีกเคสนึงครับเคสนี้ซับซ้อนไป
00:18:55 → 00:18:58 อีกแบบชื่อเจนครับ Fasting GLูสของเจน
00:18:58 → 00:19:01 เนี่ยอยู่ในเกณฑ์ปกติเลยนะครับคือ 5.4 4
00:19:01 → 00:19:06 มลมperริหรือประมาณ 97 มก/dซลแต่พอไปเจาะ
00:19:06 → 00:19:08 ดู fasting อินซูลินเท่านั้นแหละครับ
00:19:08 → 00:19:12 โอ้โหสูงปรี๊ดเลยประมาณ 37 muปมลลต
00:19:12 → 00:19:17 >> อืมน้ำตาลปกติแต่อินซูลินสูงมากๆเลยหรอคะ
00:19:17 → 00:19:19 แบบนี้มันบอกอะไรเราได้บ้างคะเนี่ย
00:19:19 → 00:19:22 >> พอเอาค่าของเจนไปพอตลงกราฟก็เจอคำตอบเลย
00:19:22 → 00:19:26 ครับ Homa S ของเจนต่ำมากๆอยู่ที่ประมาณ
00:19:26 → 00:19:29 9% เท่านั้นเองคือพูดง่ายๆว่าเจนดื้อ
00:19:29 → 00:19:32 อินซูลินรุนแรงพอพอกับเจกในตอนแรกเลยนะ
00:19:32 → 00:19:32 ครับ
00:19:32 → 00:19:33 >> เอ้า
00:19:33 → 00:19:38 >> แต่จุดที่ต่างกันคือ Homa B ของเจนกลับ
00:19:38 → 00:19:41 สูงมากๆครับสูงถึงประมาณ 250% ของที่
00:19:42 → 00:19:45 จำเป็นนี่มันหมายความว่าเบต้าเซลล์ของเจน
00:19:45 → 00:19:48 ยังแข็งแรงแล้วก็ตอบสนองได้ดีเยี่ยมมากๆ
00:19:48 → 00:19:51 สามารถผลิตอินซูลินออกมาในปริมาณมหาศาล
00:19:51 → 00:19:54 เพื่อชดเชยภาวะดื้ออินซูลินที่รุนแรงของ
00:19:54 → 00:19:57 เธอได้สำเร็จผลก็คือระดับน้ำตาลตอนอด
00:19:57 → 00:20:01 อาหารและค่าเฉลี่ยสะสมหรือ HBA1C ที่ 5.8%
00:20:01 → 00:20:04 ซึ่งก็ยังอยู่ในเกณฑ์ก่อนเบาหวานเนี่ยมัน
00:20:04 → 00:20:06 ยังดูค่อนข้างดีอยู่แต่ว่าเบื้องหลังความ
00:20:07 → 00:20:10 ดูดีนั้นน่ะมันซ่อนปัญหาภาวะดื้ออินซูลิน
00:20:10 → 00:20:12 ขั่งรุนแรงแล้วก็ภาวะที่อินซูลินในเลือด
00:20:12 → 00:20:16 สูงมากๆตลอดเวลาหรือไฮเปอร์ินซูลินเนเมีย
00:20:16 → 00:20:17 เอาไว้เต็มๆเลยครับ
00:20:17 → 00:20:20 >> โอ้โหนี้เป็นตัวอย่างคลาสสิคเลยนะคะที่
00:20:20 → 00:20:22 บอกว่าการดูแค่ระดับน้ำตาลอย่างเดียว
00:20:22 → 00:20:25 เนี่ยอาจจะทำให้เราพลาดสัญญาณเตือนภัย
00:20:25 → 00:20:27 สำคัญบางอย่างไปได้เลย
00:20:27 → 00:20:30 >> ใช่เลยครับและเพื่อให้เห็นภาพครบทุกมุม
00:20:30 → 00:20:34 จริงจริงลองดูเคสสุดท้ายครับซึ่งเหมือนจะ
00:20:34 → 00:20:38 เป็นขั้วตรงข้ามกับเจนเลย fasting glูของ
00:20:38 → 00:20:43 ก็ปกติเหมือนกันครับอยู่ที่ 5.2 2 มลมล
00:20:43 → 00:20:48 หรือ 94 มกรัเดซิลแต่ค่า HBA 1C ของเธอ
00:20:48 → 00:20:52 แตะ 6% แล้วซึ่งก็บ่งชี้ภาวะก่อนเบาหวาน
00:20:52 → 00:20:55 สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ Fasting insulin
00:20:55 → 00:20:58 ของเธอต่ำมากครับแค่ประมาณ 4 U ml เท่า
00:20:58 → 00:21:02 นั้นเองพอพลอตลงกราฟก็พบว่า HMA
00:21:02 → 00:21:05 เปอร์เซ็นต์ S ของเธออยู่ที่ประมาณ 100%
00:21:05 → 00:21:08 เลยครับคือไวต่ออินซูลินดีมากแต่ HMA
00:21:08 → 00:21:12 เปอร์เซ็นต์ B กลับอยู่ที่ประมาณ 50% ของ
00:21:12 → 00:21:14 ที่จำเป็นเท่านั้นเองครับ
00:21:14 → 00:21:18 >> ออแปลว่าปัญหาหลักของโซอี้ไม่ใช่เรื่อง
00:21:18 → 00:21:21 การดื้ออินซูลินเลยแต่เป็นที่เครื่องยนต์
00:21:21 → 00:21:24 หรือเบต้าเซลล์ของเธอเองที่เหมือนจะทำงาน
00:21:24 → 00:21:26 ได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรผลิตอินซูลินได้
00:21:26 → 00:21:29 ไม่พอแม้ว่าจริงๆแล้วร่างกายจะต้องการไม่
00:21:29 → 00:21:31 มากก็ตามอย่างนั้นหรือเปล่าคะ
00:21:31 → 00:21:35 >> ถูกต้องเลยครับกรณีของโซอี้เนี่ยมันชี้ไป
00:21:35 → 00:21:40 ที่ปัญหาเบต้าcellfunชหรือการทำงานของ
00:21:40 → 00:21:44 เบต้าเซลล์ที่บกพร่องเป็นหลักเลยดังนั้น
00:21:44 → 00:21:46 แนวทางการดูแลหรือการปรับเปลี่ยน
00:21:46 → 00:21:49 ไลฟ์สไตล์สำหรับโซี้ก็อาจจะต้องเน้นไปที่
00:21:49 → 00:21:54 การช่วยลดภาระงานของเบต้าเซลล์เช่นอาจจะ
00:21:54 → 00:21:56 ต้องระวังเรื่องปริมาณคาร์โบไฮเดรตใน
00:21:56 → 00:22:00 อาหารหรือปรับลำดับการกินเพื่อไม่ให้
00:22:00 → 00:22:02 เบต้าเซลล์ที่อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่า
00:22:02 → 00:22:05 ไหร่ต้องทำงานหนักเกินไปครับ
00:22:05 → 00:22:08 >> โหตัวอย่างทั้ง 4 เคสนี้แสดงให้เห็นเลยนะ
00:22:08 → 00:22:10 คะว่าสุขภาพเมตต
00:22:10 → 00:22:13 ของแต่ละคนเนี่ยมันซับซ้อนแล้วก็แตกต่าง
00:22:13 → 00:22:16 กันมากๆจริงๆการมีข้อมูลทั้งระดับน้ำตาล
00:22:17 → 00:22:19 และอินซูลินมาดูคู่กันเนี่ยช่วยให้เรา
00:22:19 → 00:22:22 เข้าใจภาพรวมได้ลึกซึ้งขึ้นเยอะเลยค่ะ
00:22:22 → 00:22:24 เมื่อกี้เราพูดถึงการประเมินจากค่าเลือด
00:22:24 → 00:22:27 ตอนอดอาหารซึ่งมันก็เหมือนเป็นการถ่ายภาพ
00:22:27 → 00:22:30 นิ่งณจุดๆนึงนะคะแต่จริงๆแล้วระดับน้ำตาล
00:22:30 → 00:22:33 ในเลือดเรามันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดย
00:22:33 → 00:22:36 เฉพาะหลังอาหารมีวิธีอื่นอีกมั้ยคะที่อาจ
00:22:36 → 00:22:39 จะช่วยให้เราพอจะเห็นสัญญาณความผิดปกติ
00:22:39 → 00:22:41 แบบเอ่อเอ่อ real time หรือใกล้เคียง
00:22:41 → 00:22:42 กว่านั้นได้บ้างคะ
00:22:42 → 00:22:46 >> มีครับมีวิธีที่อาจจะช่วยได้โดยเฉพาะการ
00:22:46 → 00:22:49 ใช้เครื่องวัดระดับน้ำตาลต่อเนื่องหรือ
00:22:49 → 00:22:52 ที่เราเรียกกันว่า CGM Continuous
00:22:52 → 00:22:56 Glucose Monitor นะครับการดูข้อมูลจาก
00:22:56 → 00:22:59 CGM อาจช่วยตรวจจับสัญญาณบางอย่างที่อาจ
00:22:59 → 00:23:02 จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของเบต้าซลล์ได้
00:23:02 → 00:23:04 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบสนองของอินซูลิน
00:23:04 → 00:23:07 ในระยะแรกๆหลังเรากินอาหารเข้าไปหรือที่
00:23:07 → 00:23:10 เรียกว่า First PH Insulin Response
00:23:11 → 00:23:11 ครับ
00:23:11 → 00:23:14 >> แล้วเราจะสังเกตเห็นสัญญาณที่ว่าเนี้ยได้
00:23:14 → 00:23:16 ยังไงจากกราฟ CGM ล่ะคะ
00:23:16 → 00:23:19 >> ครับถ้าหากเราพบรูปแบบที่ว่าหลังทานอาหาร
00:23:19 → 00:23:22 ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆเข้าไปแล้วเนี่ย
00:23:22 → 00:23:26 ระดับน้ำตาลมันพุ่งสูงขึ้นเร็วมากๆเลยผู้
00:23:26 → 00:23:28 เชี่ยวชาญในวีดีโอเเปรียบเปรยว่าเหมือน
00:23:28 → 00:23:31 จรวดพุ่งขึ้นฟ้าเลยนะครับตัวอย่างเช่น
00:23:32 → 00:23:35 ระดับน้ำตาลอาจจะพุ่งขึ้นไปแตะ 180 mdl
00:23:35 → 00:23:39 หรือ 10 mm หรืออาจจะสูงกว่านั้นภายใน
00:23:39 → 00:23:42 เวลาแค่ 30-40 นาทีแรกหลังเริ่มทานอาหาร
00:23:42 → 00:23:45 เท่านั้นเองถ้าเราเห็นรูปแบบการพุ่งขึ้น
00:23:45 → 00:23:47 ที่มันทั้งเร็วและสูงแบบนี้บ่อยๆครั้งมัน
00:23:48 → 00:23:50 อาจจะเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่าการ
00:23:50 → 00:23:53 หลั่งอินซูลินในระยะแรกซึ่งมันสำคัญมาก
00:23:53 → 00:23:55 ต่อการควบคุมน้ำตาลไม่ให้พุ่งสูงหลัง
00:23:55 → 00:23:58 อาหารอาจจะลดลงหรือทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่า
00:23:58 → 00:24:01 ที่ควรซึ่งมันก็สัมพันธ์กับการทำงานของ
00:24:01 → 00:24:04 เบต้าเซลล์ที่อาจจะไม่สมบูรณ์นักเป็นอีก
00:24:04 → 00:24:06 หนึ่งข้อมูลที่เราอาจจะนำมาพิจารณาร่วม
00:24:06 → 00:24:09 กับค่าเลือดตอนอดอาหารได้ครับทีนี้ขอถาม
00:24:09 → 00:24:12 คำถามที่อาจจะอยู่ในใจหลายๆคนนะคะโดย
00:24:12 → 00:24:15 เฉพาะอย่างยิ่งเพราะนึกถึงกรณีของเจนที่
00:24:15 → 00:24:18 ถึงแม้จะดื้ออินซูลินรุนแรงมากแต่
00:24:18 → 00:24:20 เบต้าเซลล์เขายังชดเชยได้ดีทำให้ระดับน้ำ
00:24:20 → 00:24:24 ตาลส่วนใหญ่ยังคุมได้อยู่ทำไมการพยายาม
00:24:24 → 00:24:27 ปรับปรุงความไวต่ออินซูลินหรือลดความดื้อ
00:24:27 → 00:24:29 เนี่ยถึงยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนแบบ
00:24:29 → 00:24:32 เจนอยู่ดีคะในเมื่อผลลัพธ์เรื่องน้ำตาล
00:24:32 → 00:24:34 มันก็ยังดูไม่ได้แย่มาก
00:24:34 → 00:24:38 >> โอเป็นคำถามที่ดีมากๆและตรงประเด็นสำคัญ
00:24:38 → 00:24:41 เลยครับจริงอยู่ที่ว่าเป้าหมายหลักๆในการ
00:24:41 → 00:24:44 จัดการเบาหวานเนี่ยคือการควบคุมระดับน้ำ
00:24:44 → 00:24:47 ตาลในเลือดไม่ให้มันสูงเรื้อรังเพราะว่า
00:24:47 → 00:24:49 น้ำตาลที่สูงมันเป็นพิษต่อหลอดเลือดและ
00:24:49 → 00:24:52 อวัยวะต่างๆจริงๆมันนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน
00:24:52 → 00:24:55 ที่ร้ายแรงได้มากมายเลยครับทั้งโรคหัวใจ
00:24:55 → 00:24:59 โรคไตตาบอดหรือปัญหาเส้นประสาทต่างๆแต่
00:24:59 → 00:25:01 ข้อมูลเชิงลึกที่เราได้คุยกันวันนี้มัน
00:25:01 → 00:25:03 ชี้ให้เห็นว่าเรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น
00:25:04 → 00:25:07 ครับคืออย่างนี้นะครับ 1 ภาวะดื้อ
00:25:07 → 00:25:08 อินซูลิน
00:25:08 → 00:25:10 ในตัวมันเองเนี่ยถึงแม้จะยังไม่ทำให้น้ำ
00:25:10 → 00:25:13 ตาลสูงขึ้นมาก็ตามมันก็ถูกเชื่อมโยงกับ
00:25:13 → 00:25:14 ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรัง
00:25:14 → 00:25:17 หลายชนิดอยู่แล้วเช่นโรคหัวใจและหลอด
00:25:17 → 00:25:20 เลือดหรือไขมันพอกตับโดยที่ไม่ต้องรอให้
00:25:20 → 00:25:23 ระดับน้ำตาลสูงก่อนเลยครับ 2 ภาวะ
00:25:23 → 00:25:25 อินซูลินในเลือดสูงเรื้อรังหรือ
00:25:25 → 00:25:26 ไฮเปอร์ินซูลินเนเมีย
00:25:26 → 00:25:28 ที่มันเกิดจากการที่เบต้าเซลล์ต้องทำงาน
00:25:28 → 00:25:31 หนักมากๆเพื่อชดเชยภาวะดื้ออินซูลิน
00:25:32 → 00:25:34 เหมือนในกรณีของเจนอันนี้ก็ถูกมองว่าเป็น
00:25:34 → 00:25:37 ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเช่นกันนะครับมัน
00:25:37 → 00:25:39 อาจจะไปส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์
00:25:39 → 00:25:41 บางชนิดหรืออาจจะเกี่ยวข้องกับความดัน
00:25:41 → 00:25:43 โลหิตสูงอะไรพวกนี้ได้ด้วยและที่อาจจะ
00:25:43 → 00:25:47 สำคัญที่สุดเลยก็คือไอ้สาเอดรากฐานหรือ
00:25:47 → 00:25:50 root caes ที่มันทำให้เกิดภาวะดื้อ
00:25:50 → 00:25:52 อินซูลินตั้งแต่แรกเนี่ยแหละครับไม่ว่าจะ
00:25:52 → 00:25:54 เป็นเรื่องของการอักเสบเรื้อรางทั่วร่าง
00:25:54 → 00:25:58 กายการมีไขมันสะสมผิดที่ผิดทางมากเกินไป
00:25:58 → 00:26:01 อย่างเช่นไขมันในช่องท้องในตับหรือที่มัน
00:26:01 → 00:26:04 ไปแทรกอยู่ในกล้างเนื้อการมีมวลกล้าม
00:26:04 → 00:26:07 เนื้อน้อยการใช้ชีวิตที่เอ่อเอ่อเหนื่อย
00:26:07 → 00:26:09 นิ่งไม่ค่อยเคลื่อนไหวหรืออาจจะขาดสาร
00:26:09 → 00:26:12 อาหารบางอย่างหรือมีภาวะสุขภาพอื่นๆแฟ้ง
00:26:12 → 00:26:15 อยู่เช่นภาวะหยุดหายใจขณะหลับหรือการนอน
00:26:15 → 00:26:17 ไม่พอเรื้อรังปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดนะ
00:26:18 → 00:26:20 ครับล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
00:26:20 → 00:26:23 ต่างๆนานาชนิดด้วยตัวของมันเองเลยนอก
00:26:23 → 00:26:25 เหนือไปจากผลกระทบที่มันมีต่อระดับน้ำตาล
00:26:25 → 00:26:26 ด้วยซ้ำไปครับ
00:26:26 → 00:26:30 >> เข้าใจแล้วค่ะหมายความว่าถึงแม้ใครคนนึง
00:26:30 → 00:26:33 อย่างเช่นเจนจะยังสามารถรักษาระดับน้ำตาล
00:26:33 → 00:26:36 ให้ดูโอเคได้อยู่เพราะเบต้าเซลล์ยังสู้
00:26:36 → 00:26:40 ไหวยังชดเชยได้แต่การที่ร่างกายเขาต้อง
00:26:40 → 00:26:43 เผชิญกับภาวะดื้ออินซูลินที่รุนแรงภาวะ
00:26:43 → 00:26:46 อินซูลินสูงตลอดเวลาแถมยังมีปัจจัยต้นตอ
00:26:46 → 00:26:48 ที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้นตั้งแต่แรก
00:26:48 → 00:26:51 อยู่เนี่ยมันก็แปลว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพ
00:26:51 → 00:26:54 ในระยะยาวของเขาก็ยังคงสูงอยู่ดีจากหลายๆ
00:26:54 → 00:26:56 ทางเลยไม่ใช่แค่จากเรื่องระดับน้ำตาล
00:26:56 → 00:26:57 อย่างเดียวใช่มั้ยคะ
00:26:57 → 00:27:00 >> ถูกต้องที่สุดเลยครับเพราะฉะนั้นเป้าหมาย
00:27:00 → 00:27:04 ของการดูแลสุขภาพเมตabลิึมในอุดมคติจริงๆ
00:27:04 → 00:27:06 แล้วเนี่ยมันจึงไม่ใช่แค่การพยายามจัดการ
00:27:06 → 00:27:09 ตัวเลขระดับน้ำตาลให้สวยงามเท่านั้นแต่
00:27:09 → 00:27:12 ควรจะเป็นการพยายามเข้าไปแก้ไขปัญหาที่
00:27:12 → 00:27:15 ต้นต่อให้ได้มากที่สุดคือลดภาวะดื้อ
00:27:15 → 00:27:18 อินซูลินลงและพยายามจัดการกับสาเหตุราก
00:27:18 → 00:27:21 ฐานเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะ
00:27:21 → 00:27:24 ทำได้นั่นแหละครับคือหนทางที่จะนำไปสู่
00:27:24 → 00:27:26 การลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรางต่างๆใน
00:27:26 → 00:27:29 ระยะยาวได้อย่างแท้จริงไม่ว่าระดับน้ำตาล
00:27:29 → 00:27:31 ในปัจจุบันของเราจะเป็นเท่าไหร่ก็ตามครับ
00:27:31 → 00:27:35 >> วันนี้เราได้เจาะลึกกันถึงมุมมองที่เอ่อ
00:27:35 → 00:27:37 สำคัญพันมากๆแต่ก็ยอมรับว่าซับซ้อนเหมือน
00:27:37 → 00:27:41 กันนะคะของการดูแลสุขภาพmetabบolismทำให้
00:27:41 → 00:27:44 เห็นภาพชัดขึ้นเลยว่าการมองแค่ด้านใดด้าน
00:27:44 → 00:27:47 หนึ่งเช่นมองแค่เรื่องดื้ออินซูลินอย่าง
00:27:47 → 00:27:50 เดียวหรือมองแค่น้ำตาลอย่างเดียวอาจจะไม่
00:27:50 → 00:27:53 พอจริงๆเราต้องพิจารณาทั้งความไวต่อ
00:27:53 → 00:27:57 อินซูลินที่เราพอจะประเมินคร่าวๆได้จาก HA
00:27:57 → 00:28:00 percentage H กับความสามารถในการทำงาน
00:28:00 → 00:28:02 ของเบต้าเซลล์เมื่อเทียบกับความไวต่อ
00:28:02 → 00:28:05 อินซูลินณตอนนั้นที่พอจะประเมินจากโฮม่า
00:28:05 → 00:28:08 5% B เนี่ยควบคู่กันไปเสมอเลย
00:28:08 → 00:28:11 >> ใช่ครับการเข้าใจว่าเครื่องยนต์ของเรา
00:28:11 → 00:28:14 เนี่ยมันยังผลิตเชื้อเพลิงได้เพียงพอต่อ
00:28:14 → 00:28:16 ภาระที่มันต้องแบกรับณปัจจุบันหรือไม่
00:28:16 → 00:28:20 นั้นสำคัญพอๆกับการรู้ว่าภาระนั้นมันหนัก
00:28:20 → 00:28:22 แค่ไหนเลยครับและการใช้ข้อมูล Fasting
00:28:22 → 00:28:25 GLูคoseร่วมกับ fasting insulin ถึงแม้
00:28:25 → 00:28:27 มันจะเป็นแค่การประเมินเบื้องต้นหรือใช้
00:28:27 → 00:28:30 กราฟช่วยดูเนี่ยมันก็อาจจะให้ภาพที่ชัด
00:28:30 → 00:28:32 เจนกว่าการดูค่าใดค่าหนึ่งเพียงลำพังได้
00:28:32 → 00:28:33 เยอะเลยครับ
00:28:33 → 00:28:36 >> และบทเรียนสำคัญจากกรณีศึกษาอย่างเจนก็
00:28:36 → 00:28:39 คือการที่เราต้องตระหนักว่าถึงแม้ระดับ
00:28:39 → 00:28:42 น้ำตาลอาจจะยังไม่ได้ส่งสัญญาณอันตรายออก
00:28:42 → 00:28:45 มาให้เห็นชัดๆแต่ภาวะดือินซูลินที่มัน
00:28:45 → 00:28:48 ซ่อนอยู่เบื้องหลังกับสาเหตุที่ทำให้เกิด
00:28:48 → 00:28:50 ภาวะนั้นๆเนี่ยก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่
00:28:50 → 00:28:53 เราไม่ควรมองข้ามแล้วก็ควรจะหาทางจัดการ
00:28:53 → 00:28:54 อยู่ดีนะคะ
00:28:54 → 00:28:57 >> อย่างเช่นการดูแค่ระดับน้ำตาลตอนอดอาหาร
00:28:57 → 00:29:00 หรือดูแค่ค่า HBA1C เพียงอย่างเดียวเนี่ย
00:29:00 → 00:29:02 มันอาจจะไม่ได้ให้ภาพรวมสุขภาพ
00:29:02 → 00:29:05 เมตตาบอลิเซียมที่สมบูรณ์เสมอไปนะแล้วก็
00:29:05 → 00:29:07 อาจจะมีความเสี่ยงบางอย่างที่มันซ่อนเร้น
00:29:07 → 00:29:09 อยู่มองไม่เห็นจากการดูแค่ข้อมูลเหล่า
00:29:09 → 00:29:12 นั้นอยากให้ลองกลับไปทบทวนดูครับว่ามี
00:29:12 → 00:29:15 สมมุติฐานอะไรบ้างที่เราอาจจะกำลังตั้ง
00:29:15 → 00:29:18 ขึ้นเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของตัวเราเองโดย
00:29:18 → 00:29:21 ที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเพียงเพราะเราอาศัย
00:29:21 → 00:29:23 ข้อมูลที่อาจจะจำกัดเหล่านั้นอยู่หรือ
00:29:23 → 00:29:25 เปล่าและมีคำถามอะไรที่มันลึกลงไปกว่า
00:29:25 → 00:29:28 นั้นอีกบ้างที่เราควรถามตัวเองหรืออาจจะ
00:29:28 → 00:29:31 นำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เราเข้าใจ
00:29:31 → 00:29:33 สภาพร่างกายที่แท้ทิงเราได้ดียิ่งขึ้น
00:29:34 → 00:29:36 เพื่อที่เราจะได้สามารถวางแผนดูแลสุขภาพ
00:29:36 → 00:29:38 ในระยะยาวอย่างได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
00:29:38 → 00:29:41 สูงสุดจริงๆครับ
00:29:41 → 00:29:58 [เพลง]