00:00:07 → 00:00:09 อุ้ย ขอโทษนะ
00:00:10 → 00:00:13 คุณเคยไหมล่ะที่อยู่ๆก็หาว เพราะเห็นคนอื่นหาว
00:00:13 → 00:00:15 คุณไม่ได้เหนื่อยด้วย
00:00:15 → 00:00:18 แต่อยู่ดี ๆ
00:00:18 → 00:00:21 and a big yawn
00:00:22 → 00:00:23 ก็อ้าปาก...
00:00:24 → 00:00:27 แล้วก็หาว…….ฟอดใหญ่
00:00:27 → 00:00:29 และในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่เข้าใจดีนัก
00:00:29 → 00:00:30 ว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น
00:00:30 → 00:00:33 นักวิจัยก็ได้วิเคราะห์ ถึงสมมติฐานหลายอย่าง
00:00:33 → 00:00:36 ลองมาดูสมมติฐานสองสามข้อ ที่โดดเด่นที่สุดกัน
00:00:36 → 00:00:38 เริ่มด้วยสมมติฐานด้านสรีรวิทยาสองข้อ
00:00:38 → 00:00:41 ก่อนจะเป็นด้านจิตวิทยา
00:00:42 → 00:00:44 สมมติฐานแรก ด้านสรีรวิทยา
00:00:44 → 00:00:48 กล่าวว่า การหาวติดต่อนั้น ถูกกระตุ้นโดยตัวกระตุ้นตัวหนึ่ง
00:00:48 → 00:00:49 นั่นคือ การหาวเริ่มต้น
00:00:50 → 00:00:52 ทั้งหมดเป็นรูปการกระทำแบบตายตัว
00:00:53 → 00:00:55 เหมือนเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
00:00:55 → 00:00:58 การหาวของคุณทำให้ฉันหาว
00:00:58 → 00:01:02 คล้ายกับการล้มต่อ ๆ กัน ของโดนิโน การหาวของคนหนึ่ง ทำให้อีกคนหาว
00:01:02 → 00:01:04 เพียงเพราะเห็นคนแรกหาว
00:01:04 → 00:01:08 เมื่อการกระตุ้นนี้เกิดขึ้น มันจึงต้องดำเนินไปตามรูปแบบของมัน
00:01:08 → 00:01:11 คุณเคยลองหยุดหาว หลังจากที่คุณเริ่มหาวไปแล้วหรือเปล่า
00:01:11 → 00:01:14 มันเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ!
00:01:15 → 00:01:17 อีกสมมติฐานด้านสรีรวิทยา
00:01:17 → 00:01:20 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ การเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว
00:01:20 → 00:01:21 หรือ พฤติกรรมเลียนแบบ
00:01:22 → 00:01:24 มันเกิดขึ้นเมื่อคุณเลียนแบบพฤติกรรมใครสักคน
00:01:24 → 00:01:25 โดยไม่รู้ตัว
00:01:25 → 00:01:28 กลยุทธการลอกเลียนแบบ ที่ลึกลับและไม่ได้ตั้งใจ
00:01:29 → 00:01:31 คนเรามักจะเลียนแบบท่าทาง ของกันและกัน
00:01:31 → 00:01:34 ถ้าคุณนั่งตรงข้ามใครสักคน ที่นั่งไขว่ห้าง
00:01:34 → 00:01:36 คุณอาจจะนั่งไขว่ห้างบ้าง
00:01:37 → 00:01:38 สมมติฐานนี้อ้างว่า
00:01:38 → 00:01:41 เราหาวเมื่อเห็นคนอื่นหาว
00:01:41 → 00:01:44 เพราะว่าเราเลียนแบบการกระทำของเขา โดยไม่รู้ตัว
00:01:45 → 00:01:48 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า พฤติกรรมเลียนแบบ
00:01:48 → 00:01:52 เกิดขึ้นได้เพราะเซลล์ประสาทกลุ่มพิเศษ ที่เรียกว่า เซลล์กระจกเงา
00:01:53 → 00:01:55 เซลล์กระจกเงาเป็นเซลล์สมองชนิดหนึ่ง
00:01:55 → 00:01:58 ที่ตอบสนองเท่าๆ กัน เมื่อเรามีอากัปกิริยาอย่างหนึ่ง
00:01:58 → 00:02:01 ตอนที่เห็นใครบางคน ทำอากัปกิริยานั้น ๆ
00:02:01 → 00:02:04 เซลล์ประสาทเหล่านี้มีความสำคัญ ต่อการเรียนรู้และรู้ตัว
00:02:04 → 00:02:07 ยกตัวอย่างเช่น การมองใครสักคน ที่กำลังทำอะไรบางอย่าง
00:02:07 → 00:02:10 เช่น ถักไหมพรม หรือทาลิปสติก
00:02:10 → 00:02:14 จะช่วยให้คุณทำสิ่งเดียวกันนั้น ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
00:02:14 → 00:02:19 การศึกษาภาพถ่ายเซลล์ประสาทโดยใช้ fMRI
00:02:19 → 00:02:23 แสดงให้เห็นว่า เมื่อเราเห็นใครสักคนหาว หรือเพียงแค่ได้ยินเสียงหาว
00:02:23 → 00:02:27 พื้นที่จำเพาะส่วนหนึ่งในสมอง ที่เป็นที่อยู่ของเซลล์กระจกเงา
00:02:27 → 00:02:28 มักจะสว่างขึ้น
00:02:28 → 00:02:32 ซึ่งทำให้เราตอบสนอง ด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน
00:02:32 → 00:02:33 การหาว นั่นเอง!
00:02:34 → 00:02:38 สมมติฐานด้านจิตวิทยาของเรา ก็เข้ามาเกี่ยวข้อง กับการทำงานของเซลล์กระจกเงาเหล่านี้ด้วย
00:02:38 → 00:02:41 เราจะเรียกมันว่า การร่วมหาว
00:02:42 → 00:02:45 การเกิดความรู้สึกร่วม เป็นความสามารถในการเข้าใจ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร
00:02:45 → 00:02:46 ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับเขา
00:02:46 → 00:02:49 ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญยิ่ง สำหรับสัตว์สังคมอย่างพวกเรา
00:02:50 → 00:02:54 ไม่นานมานี้ นักประสาทวิทยาได้พบว่า หน่วยย่อยของเซลล์กระจกเงานี้
00:02:54 → 00:02:56 ทำให้เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น
00:02:56 → 00:02:57 ในขั้นที่ลึกซึ้งกว่า
00:02:57 → 00:02:58 (หาว)
00:02:58 → 00:03:01 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ การตอบสนองแบบรู้สึกร่วมต่อการหาว
00:03:01 → 00:03:03 ระหว่างการทดสอบสมมติฐานแรก
00:03:03 → 00:03:05 ที่เรียกว่า พฤติกรรมแบบตายตัว
00:03:05 → 00:03:08 การศึกษานี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า สุนัขจะแสดงการตอบสนองโดยการหาว
00:03:08 → 00:03:11 เพียงแค่ได้ยินเสียงมนุษย์หาว
00:03:12 → 00:03:15 ในขณะที่การศึกษาของพวกเขาแสดงให้เห็นว่านี่เป็นความจริง พวกเขาพบอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ
00:03:16 → 00:03:19 สุนัขหาวเมื่อได้ยินเสียงหาวที่คุ้นเคย
00:03:19 → 00:03:21 เช่นเสียงหาวของนาย
00:03:21 → 00:03:23 ถี่กว่าเสียงหาวที่ไม่คุ้นเคยจากคนแปลกหน้า
00:03:24 → 00:03:27 การศึกษาอื่น ๆ ไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ทำต่อเนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้
00:03:27 → 00:03:29 ได้แสดงให้เห็นว่าการหาวติดต่อนั้น
00:03:29 → 00:03:32 เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในกลุ่มเพื่อน ๆ มากกว่าในกลุ่มคนแปลกหน้า
00:03:33 → 00:03:35 ที่จริงแล้ว การหาวติดต่อ เริ่มจะเกิดขึ้น
00:03:35 → 00:03:38 เมื่อเราอายุได้สี่หรือห้าขวบ
00:03:38 → 00:03:39 เป็นจุดที่เด็ก ๆ
00:03:39 → 00:03:42 กำลังพัฒนาความสามารถ ที่จะบ่งบอกอารมณ์ของคนอื่นได้เป็นอย่างดี
00:03:43 → 00:03:47 ถึงกระนั้น ในขณะที่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ พุ่งเป้าไปที่การพิสูจน์ว่าการหาวติดต่อ
00:03:47 → 00:03:49 ขึ้นอยู่กับความสามารถ ของการมีความรู้สึกร่วม
00:03:49 → 00:03:52 เรายังต้องการงานวิจัยอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้
00:03:53 → 00:03:56 มันเป็นไปได้ ที่คำตอบนั้น จะอยู่ในสมมติฐานตัวอื่น
00:03:57 → 00:03:59 ครั้งหน้า ถ้าคุณโดนจับได้ว่าหาว
00:03:59 → 00:04:01 ลองใช้เวลาสักนิด คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
00:04:02 → 00:04:04 คุณกำลังคิดถึงการหาวอยู่หรือเปล่า
00:04:05 → 00:04:06 หรือใครบางคนใกล้ ๆ กำลังหาวอยู่
00:04:07 → 00:04:09 คนคนนั้นเป็นคนแปลกหน้า หรือเป็นคนสนิท
00:04:11 → 00:04:14 และตอนนี้...คุณกำลังหาวอยู่หรือเปล่า
00:04:14 → 00:04:18 (หาวยาว)
00:04:19 → 00:04:20 (ขยับริมฝีปาก)
00:00:07 → 00:00:09 อุ้ย ขอโทษนะ
00:00:10 → 00:00:13 คุณเคยไหมล่ะที่อยู่ๆก็หาว เพราะเห็นคนอื่นหาว
00:00:13 → 00:00:15 คุณไม่ได้เหนื่อยด้วย
00:00:15 → 00:00:18 แต่อยู่ดี ๆ
00:00:18 → 00:00:21 and a big yawn
00:00:22 → 00:00:23 ก็อ้าปาก...
00:00:24 → 00:00:27 แล้วก็หาว…….ฟอดใหญ่
00:00:27 → 00:00:29 และในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่เข้าใจดีนัก
00:00:29 → 00:00:30 ว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น
00:00:30 → 00:00:33 นักวิจัยก็ได้วิเคราะห์ ถึงสมมติฐานหลายอย่าง
00:00:33 → 00:00:36 ลองมาดูสมมติฐานสองสามข้อ ที่โดดเด่นที่สุดกัน
00:00:36 → 00:00:38 เริ่มด้วยสมมติฐานด้านสรีรวิทยาสองข้อ
00:00:38 → 00:00:41 ก่อนจะเป็นด้านจิตวิทยา
00:00:42 → 00:00:44 สมมติฐานแรก ด้านสรีรวิทยา
00:00:44 → 00:00:48 กล่าวว่า การหาวติดต่อนั้น ถูกกระตุ้นโดยตัวกระตุ้นตัวหนึ่ง
00:00:48 → 00:00:49 นั่นคือ การหาวเริ่มต้น
00:00:50 → 00:00:52 ทั้งหมดเป็นรูปการกระทำแบบตายตัว
00:00:53 → 00:00:55 เหมือนเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
00:00:55 → 00:00:58 การหาวของคุณทำให้ฉันหาว
00:00:58 → 00:01:02 คล้ายกับการล้มต่อ ๆ กัน ของโดนิโน การหาวของคนหนึ่ง ทำให้อีกคนหาว
00:01:02 → 00:01:04 เพียงเพราะเห็นคนแรกหาว
00:01:04 → 00:01:08 เมื่อการกระตุ้นนี้เกิดขึ้น มันจึงต้องดำเนินไปตามรูปแบบของมัน
00:01:08 → 00:01:11 คุณเคยลองหยุดหาว หลังจากที่คุณเริ่มหาวไปแล้วหรือเปล่า
00:01:11 → 00:01:14 มันเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ!
00:01:15 → 00:01:17 อีกสมมติฐานด้านสรีรวิทยา
00:01:17 → 00:01:20 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ การเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว
00:01:20 → 00:01:21 หรือ พฤติกรรมเลียนแบบ
00:01:22 → 00:01:24 มันเกิดขึ้นเมื่อคุณเลียนแบบพฤติกรรมใครสักคน
00:01:24 → 00:01:25 โดยไม่รู้ตัว
00:01:25 → 00:01:28 กลยุทธการลอกเลียนแบบ ที่ลึกลับและไม่ได้ตั้งใจ
00:01:29 → 00:01:31 คนเรามักจะเลียนแบบท่าทาง ของกันและกัน
00:01:31 → 00:01:34 ถ้าคุณนั่งตรงข้ามใครสักคน ที่นั่งไขว่ห้าง
00:01:34 → 00:01:36 คุณอาจจะนั่งไขว่ห้างบ้าง
00:01:37 → 00:01:38 สมมติฐานนี้อ้างว่า
00:01:38 → 00:01:41 เราหาวเมื่อเห็นคนอื่นหาว
00:01:41 → 00:01:44 เพราะว่าเราเลียนแบบการกระทำของเขา โดยไม่รู้ตัว
00:01:45 → 00:01:48 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า พฤติกรรมเลียนแบบ
00:01:48 → 00:01:52 เกิดขึ้นได้เพราะเซลล์ประสาทกลุ่มพิเศษ ที่เรียกว่า เซลล์กระจกเงา
00:01:53 → 00:01:55 เซลล์กระจกเงาเป็นเซลล์สมองชนิดหนึ่ง
00:01:55 → 00:01:58 ที่ตอบสนองเท่าๆ กัน เมื่อเรามีอากัปกิริยาอย่างหนึ่ง
00:01:58 → 00:02:01 ตอนที่เห็นใครบางคน ทำอากัปกิริยานั้น ๆ
00:02:01 → 00:02:04 เซลล์ประสาทเหล่านี้มีความสำคัญ ต่อการเรียนรู้และรู้ตัว
00:02:04 → 00:02:07 ยกตัวอย่างเช่น การมองใครสักคน ที่กำลังทำอะไรบางอย่าง
00:02:07 → 00:02:10 เช่น ถักไหมพรม หรือทาลิปสติก
00:02:10 → 00:02:14 จะช่วยให้คุณทำสิ่งเดียวกันนั้น ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
00:02:14 → 00:02:19 การศึกษาภาพถ่ายเซลล์ประสาทโดยใช้ fMRI
00:02:19 → 00:02:23 แสดงให้เห็นว่า เมื่อเราเห็นใครสักคนหาว หรือเพียงแค่ได้ยินเสียงหาว
00:02:23 → 00:02:27 พื้นที่จำเพาะส่วนหนึ่งในสมอง ที่เป็นที่อยู่ของเซลล์กระจกเงา
00:02:27 → 00:02:28 มักจะสว่างขึ้น
00:02:28 → 00:02:32 ซึ่งทำให้เราตอบสนอง ด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน
00:02:32 → 00:02:33 การหาว นั่นเอง!
00:02:34 → 00:02:38 สมมติฐานด้านจิตวิทยาของเรา ก็เข้ามาเกี่ยวข้อง กับการทำงานของเซลล์กระจกเงาเหล่านี้ด้วย
00:02:38 → 00:02:41 เราจะเรียกมันว่า การร่วมหาว
00:02:42 → 00:02:45 การเกิดความรู้สึกร่วม เป็นความสามารถในการเข้าใจ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร
00:02:45 → 00:02:46 ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับเขา
00:02:46 → 00:02:49 ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญยิ่ง สำหรับสัตว์สังคมอย่างพวกเรา
00:02:50 → 00:02:54 ไม่นานมานี้ นักประสาทวิทยาได้พบว่า หน่วยย่อยของเซลล์กระจกเงานี้
00:02:54 → 00:02:56 ทำให้เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น
00:02:56 → 00:02:57 ในขั้นที่ลึกซึ้งกว่า
00:02:57 → 00:02:58 (หาว)
00:02:58 → 00:03:01 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ การตอบสนองแบบรู้สึกร่วมต่อการหาว
00:03:01 → 00:03:03 ระหว่างการทดสอบสมมติฐานแรก
00:03:03 → 00:03:05 ที่เรียกว่า พฤติกรรมแบบตายตัว
00:03:05 → 00:03:08 การศึกษานี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า สุนัขจะแสดงการตอบสนองโดยการหาว
00:03:08 → 00:03:11 เพียงแค่ได้ยินเสียงมนุษย์หาว
00:03:12 → 00:03:15 ในขณะที่การศึกษาของพวกเขาแสดงให้เห็นว่านี่เป็นความจริง พวกเขาพบอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ
00:03:16 → 00:03:19 สุนัขหาวเมื่อได้ยินเสียงหาวที่คุ้นเคย
00:03:19 → 00:03:21 เช่นเสียงหาวของนาย
00:03:21 → 00:03:23 ถี่กว่าเสียงหาวที่ไม่คุ้นเคยจากคนแปลกหน้า
00:03:24 → 00:03:27 การศึกษาอื่น ๆ ไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ทำต่อเนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้
00:03:27 → 00:03:29 ได้แสดงให้เห็นว่าการหาวติดต่อนั้น
00:03:29 → 00:03:32 เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในกลุ่มเพื่อน ๆ มากกว่าในกลุ่มคนแปลกหน้า
00:03:33 → 00:03:35 ที่จริงแล้ว การหาวติดต่อ เริ่มจะเกิดขึ้น
00:03:35 → 00:03:38 เมื่อเราอายุได้สี่หรือห้าขวบ
00:03:38 → 00:03:39 เป็นจุดที่เด็ก ๆ
00:03:39 → 00:03:42 กำลังพัฒนาความสามารถ ที่จะบ่งบอกอารมณ์ของคนอื่นได้เป็นอย่างดี
00:03:43 → 00:03:47 ถึงกระนั้น ในขณะที่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ พุ่งเป้าไปที่การพิสูจน์ว่าการหาวติดต่อ
00:03:47 → 00:03:49 ขึ้นอยู่กับความสามารถ ของการมีความรู้สึกร่วม
00:03:49 → 00:03:52 เรายังต้องการงานวิจัยอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้
00:03:53 → 00:03:56 มันเป็นไปได้ ที่คำตอบนั้น จะอยู่ในสมมติฐานตัวอื่น
00:03:57 → 00:03:59 ครั้งหน้า ถ้าคุณโดนจับได้ว่าหาว
00:03:59 → 00:04:01 ลองใช้เวลาสักนิด คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
00:04:02 → 00:04:04 คุณกำลังคิดถึงการหาวอยู่หรือเปล่า
00:04:05 → 00:04:06 หรือใครบางคนใกล้ ๆ กำลังหาวอยู่
00:04:07 → 00:04:09 คนคนนั้นเป็นคนแปลกหน้า หรือเป็นคนสนิท
00:04:11 → 00:04:14 และตอนนี้...คุณกำลังหาวอยู่หรือเปล่า
00:04:14 → 00:04:18 (หาวยาว)
00:04:19 → 00:04:20 (ขยับริมฝีปาก)