00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice ในเชิงสังคมอ่ะครับเวลาเจอคนแปลก
00:00:08 → 00:00:10 หน้าหรือว่าเจอคนที่ยังไม่รู้จักสิ่งที่
00:00:10 → 00:00:12 มักจะเกิดขึ้นคือการฝึ่งขวัญท่าทีตัวเรา
00:00:12 → 00:00:15 อาจจะยังไม่โฉ่งช่างในการบอกว่าฉันคิดยัง
00:00:15 → 00:00:18 ไงกับเรื่องนี้ฉันเป็นคนทัศนคติยังไงฉัน
00:00:18 → 00:00:21 จุดยืนยังไงเราอาจจะเลือกที่จะ Play เซฟ
00:00:21 → 00:00:23 ด้วยการไม่แสดงตัวก่อนพอไม่แสดงตัวปั๊บ
00:00:23 → 00:00:25 พร้อมกับการที่เราวางตัวอยากให้คนในสังคม
00:00:25 → 00:00:28 โอเคกับเราเพราะว่าเรากำลังพยายามสังเกต
00:00:28 → 00:00:30 และเก็บข้อมูลรอกตัวว่าพื้นที่ที่ฉันไป
00:00:30 → 00:00:32 อยู่เนี่ยแต่ละคนคิดอะไรยังไงอยู่บ้างอ
00:00:32 → 00:00:34 มันเลยกลายเป็นว่าภาพลักษณ์ดูเหมือนเป็น
00:00:34 → 00:00:36 ผู้รับฟังที่ดีแต่แท้จริงแล้วเก็บข้อมูล
00:00:36 → 00:00:39 อยู่แต่บางด้านถ้าเราโชคดีอครับคนบางคน
00:00:39 → 00:00:40 ที่อาจจะเป็นคนแปลกหน้าแต่เขาเป็นคนที่
00:00:41 → 00:00:43 พร้อมรับฟังก็มีเพราะอะไรนะเราถึงเผลอไป
00:00:43 → 00:00:46 เล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้า
00:00:46 → 00:00:50 ฟังฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ is
00:00:55 → 00:00:56 tha
00:00:56 → 00:01:00 pbsc วันนี้ค่ะคุณผู้ฟังเราจะมาพูดคุย
00:01:00 → 00:01:03 กันถึงเรื่องของเรื่องส่วนตัวอไม่ได้มา
00:01:03 → 00:01:05 เล่าเรื่องส่วนตัวให้คุณผู้ฟังฟังนะคะแต่
00:01:05 → 00:01:08 เคยมยที่เราจะเล่าเรื่องส่วนตัวของเรา
00:01:08 → 00:01:12 เนี่ยให้คนที่เราไม่รู้จักได้ฟังหืทำไม
00:01:12 → 00:01:15 เป็นแบบนั้นปกติเราต้องเล่าเรื่องส่วนตัว
00:01:15 → 00:01:17 เนี่ยนะคะให้กับคนที่เราสนิทใช่มั้ยคะ
00:01:17 → 00:01:19 สนิทมากๆจริงๆถึงจะรู้เรื่องส่วนตัวของ
00:01:19 → 00:01:22 เราแบบในระดับที่ลึกลึกซึ้งหรืออะไรต่างๆ
00:01:22 → 00:01:24 เหล่านี้เอ๊ะทำไมเดี๋ยวนี้มุมมองความคิด
00:01:24 → 00:01:26 เปลี่ยนไปหรือเปล่าหรือยังไงเดี๋ยวคุยกับ
00:01:26 → 00:01:29 ดรสุววุฒิวงษ์ทานสวัสดิ์นักจิตวิทยาการ
00:01:29 → 00:01:31 ปรึกษานะคะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นครับสวัสดี
00:01:31 → 00:01:34 ครับคุณดีสวัสดีครับคุณผู้ฟังออวันนี้มา
00:01:34 → 00:01:37 แปลกปกติมีอะไรเราก็จะคุยกับคนที่เราสนิท
00:01:37 → 00:01:41 เนาะเพราะถือว่าก็รู้พื้นฐานรู้เรื่องของ
00:01:41 → 00:01:44 เรารู้ทุกอย่างและแบกชีวิตเราเวลาปรึกษา
00:01:45 → 00:01:47 อะไรเจะเข้าใจบไม่ต้องเล่าซ้ำไม่ต้อง
00:01:47 → 00:01:49 อารัมภบทอะไรยาวนานหรือบางทีเรื่องที่
00:01:49 → 00:01:53 เล่าก็ซ้ำเรื่องเดิมครับแต่เนี่ยมันกลาย
00:01:53 → 00:01:56 เป็นว่ามีหลายๆคนเลยไม่ไม่น้อยเลยแหละที่
00:01:56 → 00:02:00 เลือกที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับคนที่
00:02:00 → 00:02:04 เราไม่รู้จักฟังอืๆครับต้องต้องออกตัวงี้
00:02:04 → 00:02:07 ก่อนครับจริงๆแล้วผมเนี่ยแทบจะเป็นคนที่
00:02:07 → 00:02:10 เป็นคนที่คนอื่นไม่รู้จักอันแนว
00:02:10 → 00:02:12 อินโทรเวิร์ตรือเปล่าคือต้องบอกอย่างงี้
00:02:12 → 00:02:14 ฮะผมผมทำอาชีพเป็นนักจิตวิทยาถูกมั้ยครับ
00:02:14 → 00:02:18 อือคนที่เข้ามาหาผมเนี่ยแทบจะ 99% ไม่รู้
00:02:18 → 00:02:21 จักจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันส่วนตัวเออใช่
00:02:21 → 00:02:24 ๆๆอ่ะแต่อันนี้คือในในเชิงของการที่มาเจอ
00:02:24 → 00:02:28 มาคุยอ่าฮะเป็นอาชีพอชีอ่าซึ่งซึ่งการที่
00:02:28 → 00:02:30 แต่ละคนเดินเข้ามาหาผมเนี่ยครับแน่นอน
00:02:30 → 00:02:33 เค้าไม่รู้จักผมผมไม่รู้จักเค้าค่ะแต่
00:02:33 → 00:02:37 เค้าเลือกเข้ามาคิดเพราะอะไรครับก็มันจะ
00:02:37 → 00:02:41 ก็ดีไม่รู้จักเราก็ดีไงคืออเอิ่มจะอธิบาย
00:02:41 → 00:02:46 ว่าไงดีอ่ะเหมือนกับว่ามันจะมันก็ไม่มา
00:02:46 → 00:02:49 รู้ background หรือว่าจะมาครับแบคเมลฉัน
00:02:49 → 00:02:52 ได้หรือว่าจะมาแบบไปเล่าต่อหรือใดๆให้คน
00:02:52 → 00:02:56 อื่นฟังได้ว่าอ้าสุรีพรมาปรึกษาฉันเออ
00:02:56 → 00:02:59 แล้วก็ไปเล่าต่อแล้วไอ้คนที่ไปพูดต่อ
00:02:59 → 00:03:01 เนี่ยเมารู้จักเราหรืออะไรเงี้ยคือเรื่อง
00:03:01 → 00:03:04 บางเรื่องเราไม่ได้ต้องการให้ใครรู้อืใช่
00:03:04 → 00:03:07 ครับทีนี้บอก 2 เงื่อนไขครับว่ามันจะมี
00:03:07 → 00:03:09 อันนึงคือเจ้าของเรื่องมีแรงอัดบางอย่าง
00:03:10 → 00:03:12 อยู่ข้างในจิตใจที่รู้สึกอยากจะเล่าออมัน
00:03:12 → 00:03:14 ต้องมีแรงอัดที่รู้สึกอยากจะพูดก่อนมัน
00:03:14 → 00:03:16 ต้องเป็นแรงบีบถูกมั้ยครับเรื่องมันถึงจะ
00:03:16 → 00:03:18 ออกอือถ้าเกิดไม่มีแรงบีบไม่รู้จะเล่า
00:03:18 → 00:03:20 เรื่องอะไรมันก็ไม่รู้จะไปคุยกับใครทำไม
00:03:20 → 00:03:23 เพราะว่าไม่มีเรื่องให้เล่าเออเออแสดงว่า
00:03:23 → 00:03:25 ในใจของเจ้าของเรื่องอ่ะครับมีบางสิ่งที่
00:03:25 → 00:03:27 เป็นเรื่องที่วนอยู่ในตัวเองหรืออาจจะ
00:03:27 → 00:03:30 เป็นอะไรสักอย่างที่อยากถูกเข้าใจอยู่
00:03:30 → 00:03:32 แล้วเป็นพื้นฐานกับอวันที่ 2 เนี่ยครับ
00:03:32 → 00:03:34 การที่เขาเดินเข้ามาหานางจิตวิทยามันจะมี
00:03:34 → 00:03:38 ของคำว่าความไว้วางใจอือ่าไว้วางใจอะไร
00:03:38 → 00:03:40 อย่างเช่นอย่างแรกคือคนๆนี้เป็นนัก
00:03:40 → 00:03:43 วิชาชีพเน่าจะมีความรู้นะในการที่จะรับ
00:03:43 → 00:03:46 ฟังเรื่องของเขาใช้คำว่าน่าจะมีความรู้
00:03:46 → 00:03:48 น่าจะเพราะว่าจริงๆแล้วเราไม่รู้ไม่รู้
00:03:48 → 00:03:50 จักกันเพราะฉะนั้นเขาจะตีความประเมินเอา
00:03:50 → 00:03:52 ตามชื่อวิชาชีพเราแล้วก็ความรู้ที่เรา
00:03:52 → 00:03:55 เรียนมาอืเขาก็จะมีความเชื่อโดยในเบื้อง
00:03:55 → 00:03:59 ต้นว่าเฮ้ยคนที่แบบเรียนจบติวิทยามาเนี่ย
00:03:59 → 00:04:01 น่าจะมีมีความสามารถในการที่จะสามารถช่วย
00:04:01 → 00:04:03 เขาได้คือแต่แต่การบอกว่าช่วยเขาได้จริง
00:04:03 → 00:04:05 เนี่ยมันจะต้องเกิดผลลัพธ์ก่อนเถึงจะบอก
00:04:05 → 00:04:08 ว่าคนคนนี้ช่วยเขาได้จริงอือ่าเพราะงั้น
00:04:08 → 00:04:10 ในเบื้องต้นก่อนจะเริ่มเล่าเนี่ยเขาจะ
00:04:10 → 00:04:13 เข้ามาหาเราด้วยการเชื่อมั่นเชื่อมั่นไป
00:04:13 → 00:04:15 ก่อนว่าคนนี้น่าจะช่วยได้และพอมันเป็น
00:04:15 → 00:04:17 เรื่องเชิงวิชาชีพปั๊บมันมีเรื่อง
00:04:17 → 00:04:19 จรรยาบรรณเข้ามาเกี่ยวอาฮะนักจิตวิทยาน่า
00:04:19 → 00:04:22 จะไม่เอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง
00:04:22 → 00:04:25 ค่ะหรือไม่แพร่งพรายเนาะแล้วก็มากกว่า
00:04:25 → 00:04:28 นั้นคือพะนักจิตวิทยาคนเนี้ยไม่ได้อยู่ใน
00:04:28 → 00:04:30 วิถีชีวิตส่วนตัวของครับเคไม่ได้ต้องเจอ
00:04:30 → 00:04:34 หน้ากันอือฮึอ่าเราเป็นคนนอกอย่างแท้จริง
00:04:34 → 00:04:35 เพราะฉะนั้นการที่เขาเล่าเรื่องเนี้ยมัน
00:04:35 → 00:04:37 เหมือนเอาเรื่องไปทิ้งนอกบ้านอ่ะที่ที่
00:04:37 → 00:04:39 ไม่ต้องวนอยู่ในบ้านตัวเองอือเขาคก็จะรู้
00:04:39 → 00:04:41 สึกว่าแบบว่าเอ้ยมันเรื่องนี้มันปลอดภัย
00:04:41 → 00:04:44 เพราะทั้งถูกเก็บความลับด้วยและเรื่องนี้
00:04:44 → 00:04:47 เป็นเรื่องที่แบบคนอื่นนอกวงการเขารับรู้
00:04:47 → 00:04:50 โดยที่แบบจะไม่ถูกวนกลับไปทำให้เขาเสีย
00:04:50 → 00:04:52 หายอือ่าเพราะฉะนั้นเขาจะมีความรู้สึก
00:04:52 → 00:04:55 สบายใจที่จะเล่ามากกว่าค่ะอ่ะพอนึกภาพออก
00:04:55 → 00:04:57 มั้ยฮะนึกออกนึกออกแต่อันนี้มันคือเป็นใน
00:04:57 → 00:05:00 เชิงวิชาชีพวิชาชีพใช่อก็เลยที่ที่พูด
00:05:00 → 00:05:02 เรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่ามันคือโมเดลเทียบ
00:05:02 → 00:05:05 เคียงที่เราจะหาคำอธิบายได้ว่าเพราะอะไร
00:05:05 → 00:05:07 นะเราถึงเผลอไปเล่าเรื่องส่วนตัวให้คน
00:05:07 → 00:05:10 แปลกหน้าฟังใช้คำว่าเผลอเผลอใช้คำว่าเผลอ
00:05:10 → 00:05:12 เพจริงๆตอนที่เราคุยกันเนี่ยเราเซตหัวข้อ
00:05:12 → 00:05:16 ว่าเอ้ยเราเผลออ่ะเราเผลอเราเผลอเออแต่
00:05:16 → 00:05:18 ถ้าเกิดคนมาหานจิวิยาคือเคตั้งใจใช่ๆมัน
00:05:18 → 00:05:21 มันมันคนละโมเมนกันเนาะด้วยความความที่
00:05:21 → 00:05:24 อยากจะคลี่คลายหรือว่าอยากจะหาหังอองหรือ
00:05:24 → 00:05:27 แค่อยากจะระบายสิ่งที่มันเต็มอัดอั้นกด
00:05:27 → 00:05:29 ดันอยู่ในใจอ่ะให้กับใครสักคนนึงฟังใน
00:05:29 → 00:05:30 ครับ
00:05:30 → 00:05:34 ณอันนี้ก็เป็นในการที่จะต้องแบบเอ่อมีค่า
00:05:34 → 00:05:36 ใช้จ่ายหรืออะไรก็ว่ากันไปเนาะแต่ถ้าเกิด
00:05:36 → 00:05:39 อย่างแบบว่าเอ้ยเราเพิ่งรู้จักกันคุณ
00:05:39 → 00:05:42 เอิ้นอ่าแต่มีความรู้สึกว่าเอ้ยเราไว้ใจ
00:05:42 → 00:05:46 เธอได้อ่ะเราก็เลยเล่าให้เธอฟังครับโดย
00:05:46 → 00:05:48 ที่ไม่ได้เธอไม่ได้เป็นนักวิชาชีพนักกิต
00:05:48 → 00:05:51 วิทยากึคนผ่านไปผ่านมาแถวนี้ที่เพิ่งรู้
00:05:51 → 00:05:53 จักกันเออมารู้จักกันในงานใงานหนึ่งอะไร
00:05:53 → 00:05:56 ก็แล้วแต่แต่เรารู้สึกว่าเฮ้ยเธอเฟรนลี่
00:05:56 → 00:05:59 ดีอ่ะเฮ้ยคุยดีอ่ะดูแล้วเป็นคนมีหลักการ
00:05:59 → 00:06:02 มีเหตเหตุผลแล้วน่าจะเป็นคนที่รับฟังใช้
00:06:02 → 00:06:04 คำว่าน่าจะอีกแล้วเห็นมั้น่าจะเออเนาะเรา
00:06:04 → 00:06:07 มักจะประเมินคนที่เราจะคุยอ่ะด้วยคำว่า
00:06:07 → 00:06:11 น่าจะครับแล้วก็คิดว่าด้วยความผิวเผินเรา
00:06:11 → 00:06:15 ก็คิดว่าการพูดจาดีเอ่อบุคลิกดีดูน่า
00:06:15 → 00:06:17 เชื่อถือก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจ
00:06:17 → 00:06:21 ที่อยากจะเล่าเล่าใช่ให้ฟังใช่ทีนี้สิ่ง
00:06:21 → 00:06:24 ที่เราต้องไม่ลืมคือว่าในเชิงสังคมอครับ
00:06:24 → 00:06:26 เอ่อเวลาเจอคนแปลกหน้าหรือว่าเจอคนที่ยัง
00:06:26 → 00:06:28 ไม่รู้จักสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นคือการสง
00:06:28 → 00:06:30 ขวัญท่าที
00:06:30 → 00:06:33 อืมจริงมสงวนท่าทีใช่ๆทีนี้ครับการสงวน
00:06:33 → 00:06:37 ท่าทีหมายถึงว่าตัวเราอาจจะยังไม่โฉงชาง
00:06:37 → 00:06:40 ในการบอกว่าฉันคิดยังไงกับเรื่องนี้ฉัน
00:06:40 → 00:06:43 เป็นคนทัศนคติยังไงฉันจุดยืนยังไงอเราอาจ
00:06:43 → 00:06:45 จะเลือกที่จะ Play เซฟด้วยกันไม่แสดงตัว
00:06:45 → 00:06:48 ก่อนค่ะพอไม่แสดงตัวปั๊บพร้อมกับการที่
00:06:48 → 00:06:51 เราวางตัวอยากให้คนในสังคมโอเคกับเราเรา
00:06:51 → 00:06:53 อาจจะแบบวางตัวเองเป็นเหมือนผู้รับฟังที่
00:06:53 → 00:06:56 ดีค่ะเพราะเพราะว่าเรากำลังพยายามสังเกต
00:06:56 → 00:06:58 และเก็บข้อมูลรอบตัวว่าเอ๊ะรอบตัวตรง
00:06:59 → 00:07:01 เนี้ยพืที่ที่ฉันไปอยู่เนี่ยแต่ละคนคิด
00:07:01 → 00:07:03 อะไรยังไงอยู่บ้างอืเพราะงั้นบางทีพื้น
00:07:03 → 00:07:05 ฐานเาสมมุติคนๆเอาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรับ
00:07:05 → 00:07:07 ฟังคนอื่นก็ได้แต่พอเขาไปอยู่ในสังคมที่
00:07:07 → 00:07:09 เขาไม่รู้จักเาอาจจะเลือกที่จะเ้าเรียก
00:07:09 → 00:07:12 ว่าสงบสงบตัวเองแล้วพยายามเก็บข้อมูลฟัง
00:07:12 → 00:07:14 จากคนอื่นว่ารอบตัวเขาเป็นยังไงกันอยู่
00:07:14 → 00:07:16 ค่ะมันเลยกลายเป็นว่าภาพลักษณ์ดูเหมือน
00:07:16 → 00:07:19 เป็นผู้รับฟังที่ดีแต่แท้จริงแล้วเก็บข้อ
00:07:19 → 00:07:22 มูลอยู่อ๋ออันนี้อันนี้พูดในด้านนึงนะแต่
00:07:22 → 00:07:24 แต่บางด้านถ้าเราโชคดีอครับคนบางคนที่อาจ
00:07:24 → 00:07:26 จะเป็นคนแปลกหน้าแต่เขาเป็นคนที่พร้อมรับ
00:07:26 → 00:07:30 ฟังก็มีค่ะสินี้ขึ้นอยู่อยู่กับโชคและ
00:07:30 → 00:07:33 กับโชคว่าเอ่อการที่เราเล่าเนี่ยครับคน
00:07:33 → 00:07:36 ที่เราเล่าเนี่ยโดยพื้นฐานจิตใจเค้าอ่ะ
00:07:36 → 00:07:40 เป็นคนที่มาเก็บข้อมูลแล้วแอบไปเมทหรือ
00:07:40 → 00:07:42 หรือตัวเค้าเนี่ยเป็นคนที่มีความเข้าใจ
00:07:42 → 00:07:45 ชีวิตประมาณนึงและเป็นคนที่ไม่ตัดสินใครอ
00:07:45 → 00:07:47 ค่ะเขอาจจะรับฟังเราด้วยความแบบพร้อมจะ
00:07:47 → 00:07:50 ฟังอย่างแท้จริงโดยไม่ตัดสินก็ได้ทีเนี้ย
00:07:50 → 00:07:52 ครับมันจะเป็นแบบไหนเนี่ยบางทีตัวเรา
00:07:52 → 00:07:54 เนี่ยมันประเมินยากเพราะตัวเราไม่มีพื้น
00:07:54 → 00:07:57 ฐาน background เกี่ยวกับคนๆนั้นเราเลย
00:07:57 → 00:08:00 เราเลยแบบแทบจะไม่รู้ว่าตัวเขจะสามารถ
00:08:00 → 00:08:02 สร้างปัญหาให้เราได้หรือเปล่าหรือคนนี้จะ
00:08:02 → 00:08:04 เป็นคุณประโยชน์กับเรามันเลยมันเลยต้อง
00:08:04 → 00:08:08 ตัดสินเอาตามสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างเช่น
00:08:08 → 00:08:11 เล่าปึ๊บเฮ้ยคนๆนี้ดูมีแววตาสมมุติแววตา
00:08:11 → 00:08:12 เปิดโพ่งแล้วแบบเฮ้ยสนใจเรื่องนี้มันเป็น
00:08:12 → 00:08:16 ยังไงค่ะปั๊บพอเรารู้สึกถูกสนใจปั๊บ
00:08:16 → 00:08:18 ประโยคถัดไปอ่ะครับเราก็จะล้อไปกับการรู้
00:08:18 → 00:08:21 สึกว่าถูกสนใจอยู่อ๋อแต่ถ้าเกิดเล่า
00:08:21 → 00:08:24 ประโยคที่ 2 ต่อปั๊บคนๆนี้ดูแบบเออออไป
00:08:24 → 00:08:26 ด้วยเฮ้ยโดนงี้มันไม่โอเคอ่ะสมมุตินะเค
00:08:26 → 00:08:30 เกิดเอออปึ๊บเราก็อ่ามีพวกะรู้สึกพวก
00:08:30 → 00:08:32 เดียวกันเราก็จะเล่าประโยคที่ 3 ต่อที่
00:08:32 → 00:08:36 มันไปเรื่อยๆครับอืกำลังคิดอยู่ว่ามันก็
00:08:36 → 00:08:38 เหมือนกับย้อนกลับไปตรงที่เวลาเราไปคุย
00:08:38 → 00:08:40 กับนักจิตวิทยาหรืออะไรต่างๆเหล่านี้
00:08:40 → 00:08:42 เนี่ยมันต้องมีแรงขับเคลื่อนอะไรสักอย่าง
00:08:42 → 00:08:45 ทำให้เรารู้สึกว่าอยากเล่าอ่ะอยากบอกอ่ะ
00:08:45 → 00:08:47 ใช่ครับถึงแม้เาจะเป็นคนแปลกหน้าแต่เรา
00:08:47 → 00:08:49 รู้สึกว่าเราก็ยังอยากบอกอยู่ดีอยากเล่า
00:08:49 → 00:08:52 อยู่ดีกับคนๆนี้เราไม่ได้บอกว่าเจอใคร
00:08:52 → 00:08:54 แปลกหน้าเราเดินเข้าไปเธอฉันเป็นอย่างงี้
00:08:54 → 00:08:58 เออไม่ได้จๆนึกมีใช่มันน่าจะต้องแบบเป็น
00:08:58 → 00:09:02 เฉพาะคนอที่เฮ้ยบังเอิญถูกชะตาจังเลยอ
00:09:02 → 00:09:06 เอ้ยโอเคคนนี้ดูหน้าแบบเป็นผู้รับฟังที่
00:09:06 → 00:09:10 ดีความอัดอั้นในใจแสดงว่าเรากำลังโหยหา
00:09:10 → 00:09:12 ใครสักคนนึงที่จะฟังเราอยู่แบบนั้นด้วย
00:09:12 → 00:09:15 มั้ยเป็นไปได้ครับเป็นไปได้แต่บางคนก็มี
00:09:15 → 00:09:17 นะเล่าเรื่องส่วนตัวเพราะอยากคล้ายๆรู้
00:09:17 → 00:09:19 สึกเป็นส่วนหนึ่งรู้สักรู้สึกอยากมี
00:09:19 → 00:09:22 เพื่อนก็มีอือฮึเออแต่ว่าทีเนี้ยการรู้
00:09:22 → 00:09:24 จักกันบางทีไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรมาคุย
00:09:24 → 00:09:27 ค่ะมันก็จะพูดเรื่องลมฟ้าอากาศไปสักพัก
00:09:27 → 00:09:29 นึงสักพักนึงเหมือนกับจะต้องดึงเรื่องที่
00:09:29 → 00:09:31 มันลึกขึ้นเพื่อที่จะรู้สึกเข้าถึงกันมาก
00:09:31 → 00:09:33 ขึ้นบางคนก็เลือกใช้วิธีนั้นเหมือนกันใน
00:09:33 → 00:09:36 การเล่าเรื่องส่วนตัวมันมีมั้ยที่แบบว่า
00:09:36 → 00:09:38 เราอยากจะให้เค้ารู้จักเราไปเลยอ่ะอ่ะ
00:09:38 → 00:09:42 อย่างสมมุติอ่าสุรีพรอยากให้คุณเอิ้นได้
00:09:42 → 00:09:46 รู้จักสุรีพรก็พิ่งรู้จักกันก็เดินเข้าไป
00:09:46 → 00:09:48 เราอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะเราเป็นคนอย่าง
00:09:48 → 00:09:51 งี้นิสัยอย่างนี้อย่างงี้เล่าให้ฟังหมด
00:09:51 → 00:09:55 เลยปึ๊บออืก็เป็นไปได้ครับเป็นไปได้มีใช่
00:09:55 → 00:09:58 มั้ยมีครับมีเพราะว่าเราเรารู้สึกอยาก
00:09:58 → 00:10:01 เป็นเพื่อนอเราเลยคล้ายๆแสดงจริงๆแล้วการ
00:10:01 → 00:10:03 การบอกตัวเราเนี่ยมันเป็นเหมือนคล้ายๆ
00:10:03 → 00:10:05 อยากบอกให้เครู้เราเป็นคนอย่างงี้อย่าง
00:10:05 → 00:10:07 ที่ 2 ตัวเราอยากจะเช็คเหมือนกันว่าตัว
00:10:07 → 00:10:09 เขาจะพอเป็นเพื่อนกับเราที่เป็นอย่างนี้
00:10:09 → 00:10:11 ได้มั้ยแสดงว่าตัวเราลึกๆก็อาจจะมีความ
00:10:11 → 00:10:13 ไม่มั่นใจบางอย่างอยู่เหมือนกันค่ะเราก็
00:10:13 → 00:10:16 เลยพยายามโยนหินถามทางค่ะว่าถ้าเราเป็นคน
00:10:16 → 00:10:19 อย่างเงี้ยเธอรู้สึกยังไงนะอืหรือถ้าเรา
00:10:19 → 00:10:21 เป็นคนอย่างเงี้ยถ้าเราจะเป็นเพื่อนกัน
00:10:21 → 00:10:24 ถ้าเธอรับข้อนี้ได้อ่ะเราสบายใจละเราเป็น
00:10:24 → 00:10:27 เพื่อนกันได้เงี้ครับเช็คก่อนใช่ๆมันเกิด
00:10:27 → 00:10:31 ขึ้นได้หลายอย่างอืมหรือหรือว่าบางทีมัน
00:10:31 → 00:10:34 มันมีคำถามต่อว่าเอ๊ะมันต้องขนาดไหนถึงจะ
00:10:34 → 00:10:36 เล่าเรื่องให้ตัวมันเค้าเรียกว่าระดับ
00:10:36 → 00:10:38 ความสาดิทน่ะอ่ะเพิ่งเจอกันเลยอ่ะมันคง
00:10:38 → 00:10:42 เป็นไปได้ยากแหละแต่พอไปสักระยะนึงอ่ะมัน
00:10:42 → 00:10:45 ก็จะเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆออกมาแต่ความ
00:10:45 → 00:10:47 สนิทมันอาจจะยังไม่ได้ถึงขั้นเป็นเพื่อน
00:10:47 → 00:10:50 สนิทหรือคนสนิทกันขนาดนั้นที่จะเล่า
00:10:50 → 00:10:54 แบคกราวอะไรเยอะแยะมากมายมันอาจจะมีไปสัก
00:10:54 → 00:10:57 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้งจนเกิดความไว้เนื้อ
00:10:57 → 00:11:00 เชื่อใจไวใจใช่ครับใช่มไงอแสดงว่ามันก็
00:11:00 → 00:11:03 ต้องมีจุดที่อ่ะอยากบอกอยากเล่าและต้อง
00:11:03 → 00:11:06 ไว้เนื้อเชื่อใจได้อ่าใช่ครับในตรงจุดนี้
00:11:06 → 00:11:09 ใช่แต่ทีเนี้ยคำว่าไว้เนื้อเชื่อใจมันจะ
00:11:09 → 00:11:11 จริงหรือไม่จริงอันเนี้ยอีกเรื่ไม่รู้ไม่
00:11:11 → 00:11:14 รู้ไม่ใครรู้รู้มันต้องระยะยาวระยะยาวคบ
00:11:14 → 00:11:16 กันจนสนิทกันมันต้องระยะยาวหรือบางคนยาว
00:11:16 → 00:11:19 มากแล้วแบบไม่รู้ก็มีนะเพว่าแบบโดนแทง
00:11:19 → 00:11:22 ตลอดเวลาก็มีเออๆอ่าแต่แต่ที่ไว้ใจได้
00:11:22 → 00:11:23 จริงๆก็มีครับเพราะงั้นเรื่องเนี้ยผมก็
00:11:23 → 00:11:26 เลยพูดกว้างๆอืว่าในการเล่าเรื่องให้กับ
00:11:26 → 00:11:28 คนที่เราไม่รู้จักมันก็จะมีทั้งคนที่โชค
00:11:28 → 00:11:31 ดีเนาะได้คนที่ไว้วางใจเป็นมิตรสหายที่
00:11:31 → 00:11:33 เขาแบบไม่ได้ทำอะไรเรื่องนี้กับเราอแต่ก็
00:11:33 → 00:11:34 จะมีคนที่แบบเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อก็มี
00:11:34 → 00:11:36 อยู่จริงเหมือนกันค่ะอเพราะงั้นเรื่อง
00:11:36 → 00:11:39 เนี้ยจริงๆแล้วครับตอนจังหวะที่เล่าตัว
00:11:39 → 00:11:42 เราอ่ะมักจะไม่ทันได้ฉุกคิดหรอกว่าเอ๊ะ
00:11:42 → 00:11:44 เรื่องนี้เราควรหยุดพูดก่อนมยนะอืแต่แต่
00:11:44 → 00:11:47 มันมันไหลไปตามความรู้สึกสบายใจจังที่ได้
00:11:47 → 00:11:50 พูดค่ะพอสบายใจจังที่ได้พูดปั๊บหรืออาจจะ
00:11:50 → 00:11:52 กลัว Dead Air บางคนมีเหมือนกันนะกลัว
00:11:52 → 00:11:53 Dead air ไม่อยากนั่งอยู่ด้วยกันแบบ
00:11:53 → 00:11:56 เงียบๆไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยหาเรื่องหา
00:11:56 → 00:11:58 เรื่องไปหาเรื่องมาทีนี้ไหลหมดเลยเล่า
00:11:58 → 00:11:59 เรื่องตัวเองซะเลยเออเพราะว่าจะได้ใช้
00:11:59 → 00:12:01 เวลาให้มันเต็มๆอย่างเงี้ยฮะก็เลยกไปเล่า
00:12:01 → 00:12:03 เต็มไปหมดเลยอคือคือการเล่าเรื่องตัวเอง
00:12:03 → 00:12:05 อย่างเงี้ยค่ะคุณผู้ฟังมันอาจจะมีหลาก
00:12:05 → 00:12:07 หลายมุมก็ได้เช่นสมมุติว่าเราอาจจะแบบ
00:12:07 → 00:12:11 เนี่ยพ่อแม่คาดหวังให้ฉันต้องเรียนจบไป
00:12:11 → 00:12:14 เป็นหมอหรือเรียนสูงๆเก่งๆแต่ฉันไม่ไหว
00:12:14 → 00:12:16 เลยหรืออะไรอย่างเงี้ยมันก็จะเป็นอีกมุม
00:12:16 → 00:12:19 นึงในการที่แบบว่าเอ่อมีความกดดันอะไรบาง
00:12:19 → 00:12:22 อย่างแล้วก็เล่าเพื่ออยากจะระบายกับอีก
00:12:22 → 00:12:26 แบบนึงคือเป็นคนที่อยากเข้าสังคมอ่ะแต่
00:12:26 → 00:12:28 ว่าก็ไม่รู้จะยังไงฉันก็เออเอาเรื่องของ
00:12:28 → 00:12:30 ฉันเนี่ยมาเล่าให้ฟังอืใช่เพื่อที่ฉันจะ
00:12:30 → 00:12:34 ได้เข้าไปอยู่ในนี้ในสังคมนี้ได้เออนะมัน
00:12:34 → 00:12:37 ก็มีหลักหลหลักหลายอย่างเนาะหรือแม้
00:12:37 → 00:12:40 กระทั่งแบบสิ่งที่หลายคนคิดว่าการได้เล่า
00:12:40 → 00:12:43 ให้คนอื่นฟังอ่ะไม่ว่าจะเป็นการเล่าแบบ
00:12:43 → 00:12:46 เห็นหน้าตัวต่อตัวหรือในกลุ่มเพื่อนก็
00:12:46 → 00:12:48 แล้วแต่มันก็มีการไปเขียนในเว็บบอร์ดต่าง
00:12:49 → 00:12:52 ๆก็มีเหมือนกันเนาะที่แมีใช่ครับอ่าอย่าง
00:12:52 → 00:12:54 น้อยก็ไม่ได้เห็นฉันแหละแต่ฉันเล่าเรื่อง
00:12:54 → 00:12:57 ราวต่างๆอาจจะปิดบางชื่อแซ่นามสกุลอะไรก็
00:12:57 → 00:13:00 ว่าไปแต่ฉันเล่าเรื่องราวให้บุคคลนรนาม
00:13:00 → 00:13:04 เออแต่รู้หมดเลยใดๆอะไรอย่างเงี้ยก็มี
00:13:04 → 00:13:05 เหมือนกันใช่เพราะมันเป็นอย่างงี้ฮบางที
00:13:05 → 00:13:07 ตะกี้เหมือนที่เราคุยตอนต้นชั่วโมงเนาะ
00:13:07 → 00:13:10 ที่พี่รีพูดนะฮะว่าบางครั้งเราอยากได้ฟัง
00:13:10 → 00:13:13 ความคิดเห็นคนนอกวงการที่เราอยู่บางครั้ง
00:13:13 → 00:13:16 ในตัวเราเนี่ยรอบตัวเราอาจจะมีเพื่อน 2-3
00:13:16 → 00:13:18 คนอาจจะมีพ่อแม่เราอย่างเงี้ยครับซึ่งมัน
00:13:18 → 00:13:21 เป็นจำนวนคนที่อาจจะเป็นปริมาณน้อยอแล้ว
00:13:21 → 00:13:24 ตัวเรารู้สึกว่าเราอิ่มตัวละกับชุดข้อมูล
00:13:24 → 00:13:27 ที่คนเล่าตัวในวงเล็กๆเนี่ยป้อนใส่เราอ้า
00:13:27 → 00:13:30 อ่าเราเลยอยากรู้ว่าสมมุติถ้าขยายวงกว้าง
00:13:30 → 00:13:33 กว่านี้ไปในขอบเขตนอกขอบเขตที่เรารู้จัก
00:13:33 → 00:13:35 เนี่ยโลกภายนอกเมื่อมองย้อนกลับมาที่
00:13:35 → 00:13:37 เรื่องเราอ่ะเขาจะมีความเห็นแบบอื่นมั้ย
00:13:37 → 00:13:40 เออเออเพราะฉะนั้นการเล่าให้กับคนนอกฟัง
00:13:40 → 00:13:43 อ่ะครับจริงๆมีอีกเหตุผลนึงคืออยากรู้ว่า
00:13:43 → 00:13:45 โลกภายนอกนอกจากชุมชนเราเนี่ยเค้าคิดกับ
00:13:45 → 00:13:48 เรื่องนี้ยังไงอือเออบางทีมันก็อาจจะเป็น
00:13:48 → 00:13:50 แบบเหมือนเหมือนผมเหมือนกันนะฮะที่เอ่อคน
00:13:50 → 00:13:52 ที่เค้าแบบมาปรึกษาอย่างเงี้ยเาอยากรู้
00:13:52 → 00:13:55 ว่าในฐานะนักวิชาชีพและเป็นคนนอกและเป็น
00:13:55 → 00:13:57 คนกลางที่ไม่มีอคติกับเาเมื่อก่อนไม่ได้
00:13:57 → 00:13:59 มีได้ส่วนได้ส่วนเสียอะไได้มองเรื่องเของ
00:13:59 → 00:14:02 เขยังไงเพราะว่าพอถามจากพ่อแม่เพ่อแม่เจะ
00:14:02 → 00:14:05 คิดอีกอย่างนึงอ่าอ่าเพราะว่าพ่อแม่อาจจะ
00:14:05 → 00:14:07 คอมเมนต์ด้วยส่วนได้ส่วนเสียของตัวเอง
00:14:07 → 00:14:09 ด้วยก็ได้ว่าถ้าลูกทำแบบนี้พ่อแม่จะเสีย
00:14:09 → 00:14:11 อะไรเขาก็เลยมีความเห็นอย่างนึงหรือพ่อ
00:14:12 → 00:14:14 แม่อาจจะมีชุดความเชื่อค่านิยมบางอย่าง
00:14:14 → 00:14:15 เพราะลูกทำสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เป็น
00:14:15 → 00:14:19 ค่านิยมพ่อแม่ก็เลยรู้สึกว่าไม่โอเคทีนี้
00:14:19 → 00:14:21 ถ้าเกิดรอบตัวเขาบอกสิ่งที่เขาทำไม่โอเค
00:14:21 → 00:14:24 ทั้งหมดเลยเขาจะรู้สึกว่าโอข้อมูลมันมี
00:14:24 → 00:14:26 แต่ความว่าไม่โอเคอ่ะแล้วคนข้างนอกเรื่อง
00:14:26 → 00:14:29 เนี้มันไม่โอเคจริงหรอเค้าก็เลยจะไปขอ
00:14:29 → 00:14:31 ความเห็นของคนข้างนอกนะเพราะงั้นการมาหา
00:14:31 → 00:14:33 นักจิตวิทยาหรือบางทีการที่เราเจอคนที่
00:14:33 → 00:14:35 เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆแล้วคุยกันเรื่อง
00:14:35 → 00:14:37 เนี้ยบางครั้งเราอาจจะอยากได้ความเห็นใน
00:14:37 → 00:14:39 เชิงสะท้อนกลับมาหน่อยว่าเรื่องเที่ฉัน
00:14:39 → 00:14:42 เล่าเนี่ยเธอมองยังไงในฐานะคนนอกที่ไม่
00:14:42 → 00:14:44 รู้จักกันมาก่อนอือหรือแม้กระทั่งการที่
00:14:44 → 00:14:46 เราโพสต์มาในเว็บบอร์ดในกระทู้บางอย่าง
00:14:46 → 00:14:49 หรือในเอ่อโซเชียลมีเดียอย่าเงี้ยครับบาง
00:14:49 → 00:14:52 ครั้งเราลงไปเพื่อที่จะเฝ้ารอว่าจะมีความ
00:14:52 → 00:14:54 เห็นที่หลากหลายมากกว่าที่ฉันรู้มยนะที่
00:14:54 → 00:14:57 เขาจะป้อนกลับมาแล้วฉันจะได้เหมือนมีความ
00:14:57 → 00:15:00 เข้าใจต่อเรื่องเนี้ให้กกว้างขึ้นอืออ
00:15:00 → 00:15:03 เหมือนที่เคยเห็นบ่อยๆคือฉันไปทำเรื่อง
00:15:03 → 00:15:06 นี้มาอ่าเจอเหตุการณ์แบบนี้แบบนี้แล้วก็
00:15:06 → 00:15:09 มาเล่าให้ฟังอแล้วก็จะมีคอมเมนต์ต่อๆในใน
00:15:09 → 00:15:12 การแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างหลากหลาย
00:15:12 → 00:15:15 ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแต่เราก็จะ
00:15:15 → 00:15:16 กลายเป็นคนที่จะเลือกเสพว่าอันไหนที่จะ
00:15:17 → 00:15:19 เข้ากับความรู้สึกของเราว่าก็มีหลายแบบค
00:15:19 → 00:15:22 บางคนความรู้สึกเราบางคนก็อ่านบางคนแบบ
00:15:22 → 00:15:24 ความเห็นนี้ไม่ชอบก็ผ่านแต่บางคนคือเห็น
00:15:24 → 00:15:26 ความนี้ไม่ชอบแล้วทุกข์ก็มีอ่าเอเพราะ
00:15:26 → 00:15:28 งั้นการการเหวี่ยงเรื่องของเรา 1 เรื่อง
00:15:28 → 00:15:30 อ่ะครับออกไปให้สาธารณชนเนี่ยสิ่งที่เรา
00:15:30 → 00:15:33 ต้องไม่ลืมคือความเห็นมันหลากหลายแน่นอน
00:15:33 → 00:15:35 และเราจะต้องเจอผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ค่ะ
00:15:35 → 00:15:37 เผ่าพันธุ์ที่ผมพูดถึงเนี่ยคือเผ่าพันธุ์
00:15:37 → 00:15:40 ทางความคิดเออเพราะว่ามนุษย์เนี่ยอาจจะ
00:15:40 → 00:15:41 เป็นหนังหน้าคนเหมือนกันเกิดในประเทศไทย
00:15:41 → 00:15:44 เหมือนกันแต่แต่วิธีคิดภายในในความซับ
00:15:44 → 00:15:46 ซ้อน้วความละเอียดอ่อนเนี่ยแต่ละคนมีจุด
00:15:46 → 00:15:49 ยืนไม่เหมือนกันแน่นอนค่ะเพราะฉะนั้นตัว
00:15:49 → 00:15:50 เรา่ะครับถ้าเหวี่ยงออกไปปั๊บเราต้อง
00:15:51 → 00:15:53 ตระหนักก่อนว่าเรากำลังจะได้ความเห็นจาก
00:15:53 → 00:15:57 คนหลายเผ่าเพราะงั้นบางคนที่มีความเห็นรบ
00:15:57 → 00:16:00 ไม่แปลกเพราะมันคือวิธีคิดของเผ่าเค่ะอ่า
00:16:00 → 00:16:03 บางคนคิดบวกจัดเลยโลกสวยมาเลยอ่านี่ก็
00:16:03 → 00:16:06 เป็นวิธีคิดของเผ่าเอ่าบางคนแบบมองโลกต่ำ
00:16:06 → 00:16:09 ความเป็นจริงมากเลยก็คือมีมุมที่เห็นด้วย
00:16:09 → 00:16:12 กับเราแล้วอาจจะมีมุมที่แบบเสนอแนะเราอือ
00:16:12 → 00:16:15 เอ่อเสนอแนะเราแบบผู้เจริญแบบผู้ที่ขัด
00:16:15 → 00:16:17 กลาวตนมาดีแล้วก็มีเพราะงั้นเรื่องเนี้ย
00:16:17 → 00:16:19 ครับเราเลยต้องค่อนข้างแบบเรียกว่าวางใจ
00:16:19 → 00:16:21 ให้ดีและเตรียมใจให้ถูกว่าเมื่อเรา
00:16:22 → 00:16:24 เหวี่ยงเรื่องออกไปแล้วอ่ะเราจะเจอผู้คน
00:16:24 → 00:16:26 หลากหลายที่มีความเห็นต่อเรื่องเนี้ยไม่
00:16:26 → 00:16:29 เหมือนกันอแล้วก็อีกในมุมนึงที่เรามักจะ
00:16:29 → 00:16:31 เล่าเรื่องต่างๆให้คนที่ไม่รู้จักฟัง
00:16:31 → 00:16:34 เนี่ยเพราะว่าไม่ได้อยากถูกตัดตัดสินอื
00:16:34 → 00:16:36 เพราะว่าถ้ารู้จักกันน่ะก็ก็เธอเป็นแบบ
00:16:36 → 00:16:39 นี้ไงก็อย่างงี้ไงเอเอาเรื่องเก่ามาตัด
00:16:39 → 00:16:41 สินว่าเราเป็นแบบนี้ใช่มั้ยล่ะอย่างเงี้
00:16:41 → 00:16:44 แบบนั้นด้วยอ่ะครับก็ก็คือเป็นเพราะว่า
00:16:44 → 00:16:47 เราไม่ได้อยากจะถูกตัดสินด้วยมยแบบก็เลย
00:16:47 → 00:16:50 ทำให้เราเรื่องที่จะคุยกับคนอื่นดีกว่า
00:16:50 → 00:16:52 คือคือมันมีอย่างงี้เหมือนกันครับคนบางคน
00:16:52 → 00:16:54 รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอ่ะอาจจะไม่ได้ถูก
00:16:54 → 00:16:57 ต้องอาจจะอย่างเช่นแบบทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
00:16:57 → 00:16:59 อาจจะสมมุติอ่ะสมมุติเป็นเรื่องของสาวก็
00:16:59 → 00:17:01 ได้เลือกเลือกบผู้ชายทรงเดิมอีกแล้วนะเธอ
00:17:01 → 00:17:05 อะไรเงี้ยนอกมั้ยฮะเออแล้วแล้วเก็เล่า
00:17:05 → 00:17:06 เรื่องนี้ให้เพื่อนฟังเพื่อนก็รับรู้มา
00:17:06 → 00:17:09 ตลอดว่าแกเปลี่ยนแฟนกี่คนน่ะนะผู้ชายก็
00:17:09 → 00:17:12 ทรงนี้เสมอเลยเออเออแล้วทีนี้พอมาเล่าอีก
00:17:12 → 00:17:14 ค่ะเจ้าของเรื่องก็จะแบบรู้สึกแบบโอ้โห
00:17:14 → 00:17:16 กระดากจังรู้สึกเกรงใจเพื่อนเพราะว่า
00:17:16 → 00:17:19 เรื่องแบบเดิมเลยฉันรู้เลยว่าพอฉันเล่า
00:17:19 → 00:17:23 ปั๊บมันจะด่าอะไรกลับมาคือเดารู้งั้นฉัน
00:17:23 → 00:17:26 จะเล่าเล่าแล้วเพื่อให้โดนด่าแบบรู้อยู่
00:17:26 → 00:17:28 แล้วว่าจะโดนด่าไปทำไมอืเออเพราะฉะนั้น
00:17:28 → 00:17:30 จริงๆแล้วครับตัวเขาเองอ่ะอาจจะรู้แหละ
00:17:30 → 00:17:31 ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ดีไม่ถูกหรืออะไร
00:17:32 → 00:17:35 ก็แล้วแต่อือแต่ตัวเขคแค่อยากระบายอ่ะแค่
00:17:36 → 00:17:38 อยากมีคนฟังแค่อยากระบายรู้แหละว่าฉันที่
00:17:38 → 00:17:42 ทำเนี่ยไม่ดีหรอกแต่อยากเอาความอัด
00:17:42 → 00:17:44 อั้นนี้ออกไปเฉยๆโดยที่ไม่ต้องโดนด่าได้
00:17:44 → 00:17:46 มั้ยล่ะอย่างเงี้ยเหมือนกลายเป็นเราหา
00:17:46 → 00:17:48 พื้นที่ปลอดภัยใช่ครับทุกคนต้องการพื้น
00:17:48 → 00:17:51 ที่ปลอดภัยออแล้วการการเล่าแบบที่บอกว่า
00:17:51 → 00:17:53 เผลอเล่าอ่ะครับบางครั้งก็คือการเป็นการ
00:17:53 → 00:17:56 เผลอเล่าแบบที่เหมือนเหมือนเป็นการตัดสิน
00:17:56 → 00:17:59 สถานการณ์ตรงหน้าว่าคนๆนี้นี้ก็ดูยังไม่
00:17:59 → 00:18:02 มีพิษไม่มีภัยนะค่ะเออคำว่าปลอดภัยกับยัง
00:18:02 → 00:18:04 ไม่มีพิษไม่มีภัยเนี่ยอาจจะเป็นคนละอย่าง
00:18:04 → 00:18:07 กันนะอีกนิดเดียวเมันจะจะปลอดภัยจริงมั้ย
00:18:07 → 00:18:09 เอเออปลอดภัยคือหมายถึงว่าไม่มีภัยถูก
00:18:09 → 00:18:12 มั้ยครับแต่ยังไม่มีพิษไม่มีภัยหมายความ
00:18:12 → 00:18:14 ว่าพิษและภัยนี้อาจจะยังซ่อนอยู่หรือยัง
00:18:14 → 00:18:17 ไม่ปรากฏขึ้นมาอืมเกิดสมมุติเราเรารู้สึก
00:18:17 → 00:18:19 ว่าตรงเเป็นพื้นที่ปลอดภัยก็ดูปลอดภัยมา
00:18:19 → 00:18:22 โดยตลอดนะฉันก็เล่าเรื่องอะไรต่างๆสารพัด
00:18:22 → 00:18:24 เยอะแยะมากมายอ่ะแต่ในวันนึงเราไม่รู้
00:18:24 → 00:18:28 หรอกว่าเราอาจจะไปทำอะไรให้เขารู้สึกไม่
00:18:28 → 00:18:29 ตรงจ
00:18:29 → 00:18:32 ไม่ถูกใจขึ้นมาแล้วความปลอดภัยตรงนั้นมัน
00:18:32 → 00:18:33 อาจจะไม่มีแล้วก็ได้แต่เขอาจจะเอาเรื่อง
00:18:33 → 00:18:35 ทั้งหมดที่เขารู้
00:18:35 → 00:18:40 เนี่ยกลุมหัวเฮ้ยแล้วเราจะคุยกับใครได้
00:18:40 → 00:18:43 เนี่ยคือคือสมมุติถ้าเราเป็นบุคคลที่
00:18:43 → 00:18:45 สามารถจัดการตัวเองได้ดีอือผมว่าบางทีมัน
00:18:45 → 00:18:47 ไม่มีอะไรไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าอ่ะครับ
00:18:48 → 00:18:50 อันนี้คือข้อแรกนะถ้าเราจัดการตัวเองได้
00:18:50 → 00:18:52 ดีแล้วทุกอย่างมันก็ดูแบบถูกต้องอะไร
00:18:52 → 00:18:54 เงี้ยครับมันมันไม่รู้จะไปเล่าอะไรหรือ
00:18:54 → 00:18:57 ต่อให้เล่าเรื่องที่เล่าก็จะไม่ใช่เรื่อง
00:18:57 → 00:18:59 อันตรายเออเพราะเป็นเรื่องเรื่องที่เรา
00:18:59 → 00:19:01 จัดการเสร็จแล้วอือืบางทีมันอาจจะเป็นการ
00:19:01 → 00:19:03 เล่าเชิงบทเรียนว่าเฮ้ยเราเคยผ่านเรื่อง
00:19:03 → 00:19:05 นี้มาแต่จัดการเสร็จแล้วค่ะเออแล้วถ้า
00:19:06 → 00:19:08 เกิดมีคนเอาไปเล่าต่อเราก็แบบเอ้ยมันก็
00:19:08 → 00:19:10 ธรรมดามันก็เป็นเรื่องที่แชร์ประสบการณ์
00:19:10 → 00:19:13 กันได้อไม่ใช่เรื่องแปลกเขคใช้คำว่ามีมี
00:19:13 → 00:19:17 ในสิ่งที่เจอก็คือแบบบางคนก็บอกว่าก็คำ
00:19:17 → 00:19:20 ว่าเล่าเรื่องส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่เ
00:19:20 → 00:19:23 อืก็ไม่มีอะไรเข่อเมมอยอือๆก็เลยดูเหมือน
00:19:23 → 00:19:27 แบบว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เมากัน
00:19:27 → 00:19:30 สนุกๆอฉันก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟังก็เม้า
00:19:30 → 00:19:34 ๆอะไรอย่างเงี้ยเอออินเนอร์ออกท่าทางออก
00:19:34 → 00:19:36 ครับมันก็เป็นได้ทีนี้ก็ต้องดูว่าอีกคนเ
00:19:36 → 00:19:38 เอาเรื่องเราไปเม้าเม้ามอยเท่านั้นเองต่อ
00:19:38 → 00:19:39 ึ
00:19:39 → 00:19:43 เป่าเรากลายเป็นท็อปปิกของวงอื่นเออแต่
00:19:43 → 00:19:46 แต่จริงๆนะหลายครั้งที่เราแบบว่าอย่างถ้า
00:19:46 → 00:19:49 แบบที่เห็นบ่อยๆที่คนมักจะพูดกันคือเวลา
00:19:49 → 00:19:52 แบบเข้าร้านทำผมอย่างเงี้ยเออกับเม้ามอย
00:19:52 → 00:19:56 กับช่างทำผมไปช่างแต่งนงแต่งหน้าอะไรไป
00:19:56 → 00:19:59 เออมันก็แบบเป็นอีกอารมณ์นึงที่เรารู้สึก
00:19:59 → 00:20:01 ว่าหรือบางคนที่เราอาจจะแบบเฮ้ยไม่เจอ
00:20:01 → 00:20:06 แล้วแหละครั้งเดียวอือๆๆแต่บางทีการเผลอ
00:20:06 → 00:20:09 เล่าอะไรไปเนี่ยเรากลับพอกลับมากังวลที
00:20:09 → 00:20:12 หลังเฮ้ยเออเรื่องบางเรื่องเราไม่น่าเล่า
00:20:12 → 00:20:14 เลยเนาะอือๆเค้าคงไม่อะไรหรอกมั้งแล้วก็
00:20:14 → 00:20:17 มานั่งกังวลเองก็มีอ่าใช่ครับเพราะงั้น
00:20:17 → 00:20:19 ตอนตอนหน้าตอนฉากหน้าฉากที่เล่าเนี่ยอาจ
00:20:19 → 00:20:21 จะไม่ได้คิดเรื่องนี้กำลังมันเลยใช่กำลัง
00:20:21 → 00:20:23 มันเลยเพราะเราตามอารมณ์ความรู้สึกไปอ่ะ
00:20:23 → 00:20:26 ครับแต่พอกลับไปปั๊บเอ๊ะเล่าไปทำไมนะแล้ว
00:20:26 → 00:20:28 แล้วมันจะแย่มั้ยนะถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้น
00:20:28 → 00:20:31 มันจะดูหน่าอายั้นะสมมุติกลับมาเจอกันรอบ
00:20:31 → 00:20:33 2 เขาจะนึกว่าฉันแบบเอ้ยคนนี้มันเรื่อง
00:20:33 → 00:20:37 นี้อย่างงี้หรือเปล่าน่ากลัวเนาะอ่าแต่ผม
00:20:37 → 00:20:40 ว่าสุดท้ายครับมันมันมาอยู่ตรงนี้เลยถ้า
00:20:40 → 00:20:44 ถ้าเราเป็นคนที่ยอมรับตัวเองได้อยอมรับ
00:20:44 → 00:20:45 ตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรจะเป็น
00:20:45 → 00:20:47 เรื่องที่แบบอาจจะทำผิดพลาดบ้างเป็น
00:20:47 → 00:20:50 เรื่องดีเรื่องร้ายบ้างแต่เราตระหนักว่า
00:20:50 → 00:20:51 ตัวเราเป็นคนที่กำลังเรียนรู้เรื่องนี้
00:20:51 → 00:20:54 แล้วกำลังจัดการมันอยู่อืเอ่อบางทีบางที
00:20:54 → 00:20:56 การที่คนอื่นจะคิดถึงเราเรื่องนี้จะอะไร
00:20:56 → 00:20:58 เงี้ยครับมันอาจจะไม่ใช่ปัญหาอะไรก็ได้
00:20:58 → 00:21:01 ถ้าถ้าเรายอมรับตัวเองได้อืมันเหมือนกว่า
00:21:01 → 00:21:04 มันมีเป็นนักจิตวิทยาด้านพฤติกรรมเค้าก็
00:21:04 → 00:21:08 บอกว่ามันเป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ที่
00:21:08 → 00:21:10 เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวอ่ะอืก็เลยเหมือน
00:21:10 → 00:21:13 กับแบบเราต้องอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของ
00:21:13 → 00:21:15 สังคมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้หรือ
00:21:15 → 00:21:18 ใครก็แล้วแต่ที่เราเข้าไปอยู่ด้วยอ่ะ
00:21:18 → 00:21:20 เพื่อให้เราได้มีตัวตนแสดงความเป็นตัวตน
00:21:20 → 00:21:24 ออกมาไม่ว่าจะเป็นการเอ่อเล่าเรื่องกับคน
00:21:24 → 00:21:27 บุคคลจริงๆหรือการผ่านโซเชียลมีเดียจะอ
00:21:27 → 00:21:31 บางวันโฉันก็ทุกข์เหลือเกินฉันก็มาอโพสต์
00:21:31 → 00:21:35 ยาวบางวันสุขสนุกสนานฉันก็มาโพสต์เล่าให้
00:21:35 → 00:21:38 ฟังหมดทุกอย่างถึงได้มีคำเตือนมาบอกว่า
00:21:38 → 00:21:42 เราอย่าพยายามไปบอกอะไรในโซเชียลมีเดีย
00:21:42 → 00:21:46 ทุกๆอย่างครับจริงๆอแงใช่เป็นอันตราย
00:21:46 → 00:21:48 เพราะว่าเหมือนที่บอกอครับว่าสื่อของเรา 1
00:21:48 → 00:21:50 ชิ้นข้อมูลส่วนตัวของเรา 1 ชิ้นเนี่ยมัน
00:21:50 → 00:21:53 เข้าไปอยู่ต่อหน้าคนหลักล้านคนน่ะอืทีนี้
00:21:53 → 00:21:55 1 ล้านคนเราจะการันตีได้ไงว่าทุกคนเป็น
00:21:55 → 00:22:00 คนดีอาฮะมิจฉาชีพอาจจะมีอยู่ก็ได้ใชแเป็น
00:22:00 → 00:22:02 ใช่แล้วก็รอเก็บข้อมูไปใช้งาบางอย่ามา
00:22:03 → 00:22:05 อย่างเป็นมิตรใช่ครับเป็นไปได้หมดเลย
00:22:05 → 00:22:07 เพราะงั้นเรื่องเพอเรายืนต่อหน้าโซเชียล
00:22:07 → 00:22:08 Media ปั๊บเราเลยต้องระมัดระวังให้มาก
00:22:08 → 00:22:11 กว่าเดิมค่ะเพราะเพราะเราเห็นได้ตามยุค
00:22:11 → 00:22:14 สมัยเยครับว่าเอ่อจิตใจผู้คนเปลี่ยนไป
00:22:14 → 00:22:16 เยอะเนาะคนที่ปรารถนาดีกันคนที่ตักเตือน
00:22:17 → 00:22:19 กันมันเริ่มน้อยลงค่ะกลายเป็นว่าในนั้นมี
00:22:19 → 00:22:23 แต่แฝงเรียกว่าโจรในาบของมิตรอ่ะเออ
00:22:23 → 00:22:25 เหมือนจะเป็นมิตรเหมือนจะไว้วางใจได้แต่
00:22:25 → 00:22:29 ว่าแบบโอ้โหมันคือมิจฉาชีพนี่เองอืเอ๊ะ
00:22:29 → 00:22:31 โจทย์อะไร่ามิตรเพมิจฉาชีพไงมิจฉาชีพเออ
00:22:31 → 00:22:34 ไม่ใช่มิตมิตรจิตมิตรใจนะคะมิจฉาชีพชัดๆ
00:22:35 → 00:22:38 ใช่ครับอืแล้วก็เหมือนกับแบบอ่าสิ่งที่
00:22:38 → 00:22:41 คุณเอิ้นอยากจะให้อยากจะให้คุณเอิ้นได้
00:22:41 → 00:22:43 ช่วยช่วยย้ำเตือนคือการที่ก่อนก่อนจะเล่า
00:22:43 → 00:22:47 อะไรให้ใครฟังเนี่ยมันต้องคิดก่อนมั้ย
00:22:47 → 00:22:49 หรือตกตกรตัวเองก่อนมั้ยอคิดผมว่าต้อง
00:22:49 → 00:22:51 ต้องคิดเหมือนกันว่าเราต้องตั้งสติเหมือน
00:22:51 → 00:22:54 กันนะว่าเลิ่กนี้เอ๊ะต้องเล่ามนะต้องเล่า
00:22:54 → 00:22:56 มั้ยแต่ต้องบอกอย่างงี้สติไม่ใช่เรื่อง
00:22:56 → 00:22:58 ง่ายเพราะว่าจังหวะหน้างานจริงทุกคนไหล
00:22:58 → 00:22:59 หมดอ
00:22:59 → 00:23:02 ไหลเพลินไปหน่อยเออผมว่าทุกคนทุกคนจะถูก
00:23:02 → 00:23:04 เค้าเรียกว่ากลไกการปรับตัวกับสถานการณ์
00:23:04 → 00:23:07 ตรงหน้าดึงดึงมากกว่าสิติเพราะว่าลองนึก
00:23:07 → 00:23:10 ภาพเเกิดจะเล่าปึ๊บแล้วจู่ๆแบบเฮ้ยไม่
00:23:10 → 00:23:13 เล่าดีกว่าฮึบแล้วก็เป็น Dead Air ออฮ
00:23:13 → 00:23:15 บางทีจะเกิดความเครียดอีกชุดนึงขึ้นมาอือ
00:23:15 → 00:23:17 เพราะงั้นโดยพื้นฐานมนุษย์่ะครับจะพยายาม
00:23:17 → 00:23:18 เลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดอยู่
00:23:18 → 00:23:21 แล้วะทีนี้บางทีการที่มีบทสนทนามีการคุย
00:23:21 → 00:23:24 มีการเม้ามอยมันเป็นการเลี่ยงความเครียด
00:23:24 → 00:23:26 จาก Dead Air เหมือนกันอืมันก็เลยไหลไป
00:23:26 → 00:23:29 กับอิทธิพลของส่วนนี้ต้องระวังด้วยบางที
00:23:29 → 00:23:31 เราอาจจะถูกแบบว่าอ่ะโอเคไม่รู้จักกันแต่
00:23:31 → 00:23:34 ความตั้งใจฟังของเขาอ่ะอ่ะคนดีก็มีนะแต่
00:23:34 → 00:23:36 ความความตั้งใจฟังของเขาบางทีมันอาจจะมี
00:23:36 → 00:23:40 อะไรที่แบบเคลือบแคลงแฝงอยู่ในอนาคตที่
00:23:40 → 00:23:42 เราอาจจะมาสนิทกันในวันนึงแล้วเนี่ยมัน
00:23:42 → 00:23:44 อาจจะมีอะไรแฝงอยู่ก็ได้แต่อันนี้บอกเป็น
00:23:45 → 00:23:47 กลางๆไม่ได้บอกว่าเราจะโชคร้ายเจอทุกคน
00:23:47 → 00:23:49 กลายเป็นว่าต่อไปนี้เราไม่ต้องเล่าอะไร
00:23:49 → 00:23:52 ให้ใครฟังไปหานักจิตวิทยาอย่างเดียวอะไร
00:23:52 → 00:23:56 อย่างเงี้ยนะคะแต่คือถ้าถ้ามาก็ยินดีทอิน
00:23:56 → 00:24:00 กลัวไม่ต้องกลัวว่างใช่คะเออคือความเหงา
00:24:00 → 00:24:04 ของคนน่ะมันก็อยากจะมีคนคุยอยากจะพูดด้วย
00:24:04 → 00:24:07 หรือบางทีบางอย่างเรารู้สึกว่าการพูดให้
00:24:07 → 00:24:10 เพื่อนสนิทครอบครัวหรือคนรักที่เราอยู่
00:24:10 → 00:24:13 กันเป็นครอบครัวฟังเนี่ยบางอย่างมันเล่า
00:24:13 → 00:24:15 ไม่ได้อ่าใช่ก็เลยเลือกที่จะไปเล่าให้คน
00:24:15 → 00:24:18 อื่นฟังแต่ต้องดูด้วยว่าคนอื่นนั้นเชื่อ
00:24:18 → 00:24:22 ใจได้มหวังใจได้มยใช่ดูหลายๆอย่างด้วยนะ
00:24:22 → 00:24:24 คะใช่ครับเพราะงั้นก็สังเกตให้ดีนะครับ
00:24:24 → 00:24:26 แล้วก็พยายามตั้งสติให้ดีแหละว่าเอ้
00:24:26 → 00:24:29 เรื่องนี้เล่าแล้วจะเป็นอะไรต่อไปคดมั้ย
00:24:29 → 00:24:30 ถ้าถ้าเราเตรียมตัวมาดีก่อนหน้านั้นนะ
00:24:31 → 00:24:33 ครับก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่บลสนทนาเนี่ย
00:24:33 → 00:24:34 เราอาจจะคิดมาแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็น
00:24:34 → 00:24:37 เรื่องที่ไม่แตะเลยอืแต่ถ้าเกิดบางทีไม่
00:24:37 → 00:24:39 คิดมาก่อนไปแตะตอนที่คุยปั๊บทีเนี้ยพอถูก
00:24:39 → 00:24:42 ถามปบไหลเลยเพราะถ้าเกิดจู่ๆบอกว่าไม่
00:24:42 → 00:24:45 เล่าปั๊บมันก็จะแบบเริ่มรู้สึกตึงะอหรือ
00:24:45 → 00:24:46 ต้องมานั่งสร้างเรื่องโกหกเบี่ยงประเด็น
00:24:46 → 00:24:49 โอ้โหก็ใช้ใช้แรงสมองเพิ่มไปอีกใช่ใช่
00:24:49 → 00:24:52 ครับแล้วก็ระวังในการที่จะแบบว่าการที่
00:24:52 → 00:24:55 แบบมีอะไรเล่าให้ฟังได้นะแตะตัวปุ๊บไหลเอ
00:24:55 → 00:24:58 ปั๊บไปยาวใช่ครับเพราะงั้นต้องมาระวังผม
00:24:58 → 00:25:01 ผมว่าเหมือนที่บอกครับว่าถ้าถ้าตัวเรา
00:25:01 → 00:25:03 สามารถเคลียร์เรื่องของตัวเองเสร็จในตัว
00:25:03 → 00:25:05 เองได้บางทีเรื่องที่เล่าอ่ะมันจะไม่ใช่
00:25:05 → 00:25:07 เรื่องที่แบบไม่สบายใจหรือเรื่องไม่ดีแต่
00:25:07 → 00:25:09 เป็นเรื่องที่เล่าแบบย่อยและตกผลึกเป็น
00:25:09 → 00:25:12 ความรู้แล้วการการแชร์ความรู้การเล่า
00:25:12 → 00:25:13 เรื่องความรู้ให้ฟังมันจะไม่ใช่เรื่องที่
00:25:13 → 00:25:16 สร้างปัญหาให้เราค่ะอือฮึอันนี้ก็จะเป็น
00:25:16 → 00:25:18 แนวทางไว้เนาะคือไม่ได้ไม่ได้แปลกไม่ได้
00:25:18 → 00:25:21 ผิดที่เราจะเล่าเรื่องให้คนอื่นที่เราไม่
00:25:21 → 00:25:23 รู้จักเได้ฟังหรือเล่าแลกเปลี่ยน
00:25:23 → 00:25:26 ประสบการณ์กันว่าเราเคยเจออะไรมาบ้างแต่
00:25:26 → 00:25:29 ว่าในบางอย่างที่มันเป็นข้อมขมูลที่เป็น
00:25:29 → 00:25:32 เฉพาะเราเท่านั้นหรืออะไรที่มันอาจจะทำ
00:25:32 → 00:25:36 ให้เกิดสิ่งเสียหายในอนาคตอันเนี้ยคือให้
00:25:36 → 00:25:38 ฉูกคิดและระวังเอาไว้มากๆใช่ถ้าไม่ชัวร์
00:25:38 → 00:25:40 ก็ Play เซฟไว้ก่อนใช่เราไม่รู้หรอกว่า
00:25:40 → 00:25:43 ใครมาแบบเป็นมิตรแบบไหนมิตรตอเต่ารอเรือ
00:25:43 → 00:25:46 หรือว่าจะิจอจานใช่มั้ยคะต้องระวังเพราะ
00:25:46 → 00:25:49 สังคมทุกวันนี้มันคือแบบแต่งตัวมายังไม่
00:25:49 → 00:25:52 รู้น่ารู้ใจกันได้เลยอ่ะใช่มั้ยคะอือฮึ
00:25:52 → 00:25:55 ฝากไว้ให้คิสค่ะขอบคุณค่ะคุณเอิ้นครับ
00:25:55 → 00:25:57 สวัสดีคสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟัง
00:25:57 → 00:26:00 พบกันใหม่ครับหน้ากับรายการโรงหมอทางไย
00:26:00 → 00:26:02 PBS podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะ
00:26:02 → 00:26:06 สวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:26:06 → 00:26:08 มะเร็งลำไส้ใหญ่มะเร็งอีกชนิดที่ตรวจพบ
00:26:08 → 00:26:11 มากในคนไทยมีสาเหตุหลักๆมาจากอะไรนาย
00:26:11 → 00:26:14 แพทย์มนตรีคุุรสกุลแพทย์เฉพาะทาง
00:26:14 → 00:26:17 อายุรกรรมทางเดินอาหารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์
00:26:17 → 00:26:20 มาเล่าให้ฟังครับล็งำไส้ใหญ่นะครับเป็น
00:26:20 → 00:26:24 กันเยอะมากๆนะครับถ้าเราดูสถิติทั่วโลกนะ
00:26:24 → 00:26:26 ครับมะเร็งน้ำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งอันดับ 3
00:26:26 → 00:26:29 ของมะเร็งทั้งหมดลองลองจากมะเร็งเต้านม
00:26:29 → 00:26:32 ลองจากมะเร็งปากมดลูกนะครับในในกลุ่มผู้
00:26:32 → 00:26:35 ชายก็ก็รองจากอ่ามะเร็งตมลูกหมากแล้วก็
00:26:35 → 00:26:37 มะเร็งปอดนะครับก็จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
00:26:37 → 00:26:39 แย่ไปกว่านั้นนะครับมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็น
00:26:39 → 00:26:41 มะเร็งที่ล่าชีวิตคนอันดับ 2 ลองจาก
00:26:41 → 00:26:44 มะเร็งปอดของทั่วโลกเลยในประเทศไทยเนี่ย
00:26:44 → 00:26:46 ครับมะเร็งลำไส้ใหญ่จะเป็นอันดับ 4 นะ
00:26:46 → 00:26:48 ครับเพราะว่าเรามีมะเร็งตับที่อันดับ 3
00:26:48 → 00:26:50 แล้วก็เป็นมะเร็งลำำไส้ใหญ่อันดับ 4
00:26:50 → 00:26:54 ปัญหาหลักก็คือส่วนมากจะไม่มีอาการนะครับ
00:26:54 → 00:26:56 เป็นไผ่เงียบกว่าจะมีอาการก็คือเป็นหนัก
00:26:56 → 00:27:00 ละเป็นระยะหลังๆละนะครับจริงๆแล้วเรา
00:27:00 → 00:27:03 พยายามจะตรวจเพิ่มเติมนะครับพยายามคัด
00:27:03 → 00:27:07 กรองหามะเร็งำไส้ใหญ่ใน 20 ปีที่ผ่านมา
00:27:07 → 00:27:10 ครับถ้าไปดูในประเทศที่อย่างทางทางประเทศ
00:27:10 → 00:27:13 ทางฝั่งยุโรปอังกฤษอเมริกาเนี่ยครับค่ะ
00:27:13 → 00:27:16 เขามีการคัดกรองกันค่อนข้างเยอะมากนะครับ
00:27:16 → 00:27:19 แล้วจะเห็นเลยว่าว่ามะเร็งน้้ำไส้ใหญ่
00:27:19 → 00:27:21 อุบัติการณ์มะเร็งน้ำไส้ใหญ่จริงๆค่อยๆลด
00:27:21 → 00:27:25 ลงนะครับในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาอืแต่
00:27:25 → 00:27:27 ของเรายังไม่ลดครับเพราะเราคัดกรองยังไม่
00:27:27 → 00:27:29 พอครับจริงๆแล้วทุกคนมีความเสี่ยงเป็น
00:27:29 → 00:27:32 มะเร็งทุกๆอย่างอยู่แล้วนะครับแต่ความ
00:27:32 → 00:27:34 เสี่ยงสูงขึ้นเมื่ออายุเกิน 50 ปีขึ้นไป
00:27:35 → 00:27:37 นะครับผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง
00:27:37 → 00:27:40 อ๋อคนที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงมากกว่าคน
00:27:40 → 00:27:44 ที่ไม่สูบนะครับค่ะแล้วก็คนที่มีคน
00:27:44 → 00:27:46 ครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็มีความ
00:27:46 → 00:27:47 เสี่ยงมากขึ้นเพราะอาจจะมีพันธุกรรมใน
00:27:47 → 00:27:50 ระบบทางเินอาหารเราเนี่ยครับซึ่งรวมตัด
00:27:50 → 00:27:52 ด้วยเนี่ยครับก็คือมะเร็งล้ำไส้ยจะเป็น
00:27:52 → 00:27:55 มากสุดนะครับแล้วก็มะเร็งตับออนะครับในใน
00:27:55 → 00:27:58 กลุ่มคนไทยนะครับเราถึงได้ได้พยายามคัด
00:27:58 → 00:28:01 กรองหาหาเรื่องมะเร็งลมไส้ใหญ่ค่อนข้าง
00:28:01 → 00:28:04 เยอะถ้าเป็นไปได้ในการตรวจจระเลยส่วนมาก
00:28:04 → 00:28:07 เลยถ้าไปตามโครงการแพคเกจตรวจร่างกาย
00:28:07 → 00:28:10 ประจำปีอ่ะครับอายุ 50 ปีขึ้นไปโรงพยาบาล
00:28:10 → 00:28:13 ส่วนมากก็จะมีการตรวจจระด้วยนะครับที่
00:28:13 → 00:28:15 ตรวจจระก็คือการตรวจดูว่ามีเลือดปนหรือ
00:28:15 → 00:28:18 เปล่าอืนะครับเขาจะเอาเอาจระไปตรวจดูว่า
00:28:18 → 00:28:22 มีเลือดปนมั้ยนะครับถ้ามีมะเร็งเนี่ยครับ
00:28:22 → 00:28:24 ส่วนมากเลยถ้าเป็นระยะแรกๆอาจะไม่มีอาการ
00:28:24 → 00:28:27 เลยค่ะนะครับจะไม่มีถ่ายเป็นเลือดจะเราจะ
00:28:27 → 00:28:31 มองไม่เห็นนะครับแต่แต่อุจจาระที่ผ่านที่
00:28:31 → 00:28:33 ผ่านตัวมะเร็งมาเพราะตัวมะเร็งมันจะมี
00:28:33 → 00:28:37 เลือดออกบ้างนะครับเรื่อยๆเล็กๆน้อยๆอุจ
00:28:37 → 00:28:40 ที่ผ่านมาเนี่ยจะมีเลือดปนแล้วเราพอเอาไป
00:28:40 → 00:28:42 ตรวจเนี่ยครับเราจะเห็นว่ามีเลือดปนพอมี
00:28:42 → 00:28:44 เลือดปนเราก็จะเราก็จะบอกว่าอ่ะคนไข้ต้อง
00:28:44 → 00:28:46 ส่องกล้องละเพื่อดูว่ามีเพราะมีความ
00:28:46 → 00:28:48 เสี่ยงเป็นมะเร็งำไส้ใหญ่มากขึ้นกว่าคน
00:28:48 → 00:28:53 ที่ตรวจอุจจระแล้วไม่เจอเลือดปนนะ
00:28:53 → 00:28:58 ครับ This Is Thai PBS podcast
00:28:59 → 00:29:01 ติดตามรายการของ Thai PBS podcast ได้
00:29:01 → 00:29:17 ทางเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th
00:29:17 → 00:29:20 [เพลง]