00:00:00 → 00:00:02 อย่างที่เกริ่นหัวข้อมานะครับที่คุณตั๊ก
00:00:02 → 00:00:05 เกริ่นหัวข้อมาก็คือค่ะเอ่อผู้หญิงเรานะ
00:00:05 → 00:00:08 ฮะเผู้หญิงเรานะแต่บอกไม่ใช่ผู้หญิง
00:00:09 → 00:00:13 นะไปรวมกลุ่มกับเด้วยนะฮะี้เราผู้หญิงเรา
00:00:13 → 00:00:17 เนี่ยก็หมอว่าความความตั้งใจของคณผู้หญิง
00:00:17 → 00:00:20 หลายๆท่านก็คือเมื่อในที่สุดพอเราฐานะ
00:00:20 → 00:00:22 อะไรต่างๆมั่นคงแล้วเงี้ยนะครับเราก็จะมี
00:00:22 → 00:00:26 ครอบครัวมมีครอบครัวก็มีก็มีลูกนะครับมัน
00:00:26 → 00:00:29 ก็เหมือนกับคเหมือนกับเติมเต็มความ
00:00:29 → 00:00:32 สมบูรณ์ในครอบครัวให้เรานะครับคราวนี้การ
00:00:32 → 00:00:35 มีลูกเนี่ยนะครับก็เ่อจริงๆแล้วเนี่ยมัน
00:00:35 → 00:00:38 ก็แยกเป็นแยกเป็นกลุ่มคนก็คือบางคนก็มี
00:00:38 → 00:00:41 ลูกง่ายนะครับอืค่ะกับอีกกลุ่มนึงก็คือมี
00:00:41 → 00:00:43 ลูกยากถ้ากลุ่มมีลูกยากเยังไงก็ต้องมา
00:00:43 → 00:00:45 ปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ช่วยกัน่ะค่ะแต่ถ้า
00:00:45 → 00:00:48 เราจะพูดถึงในกลุ่มคนที่มีลูกง่ายๆนะครับ
00:00:48 → 00:00:52 ก็จริงๆแล้วเราถือว่าเ่ออ่าสมมุติคู่สมรส
00:00:52 → 00:00:54 คู่นึงเนะฮะเราจะนิยามยังไงว่าจะแยกกลุ่ม
00:00:54 → 00:00:57 ยังไงว่ากลุ่มเเป็นคนมีลูกง่ายหรือมีลูก
00:00:57 → 00:00:59 ยากเนี่ยเราถืออย่างงี้ทางการแพทย์นะครับ
00:00:59 → 00:01:01 เราถือว่าโอกาสที่การในการตั้งครรภ์โดย
00:01:01 → 00:01:03 ธรรมชาติเนี่ยนะครับนะโดยธรรมชาติหมายถึง
00:01:03 → 00:01:06 ว่าเราไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายไม่ต้องให้ยา
00:01:06 → 00:01:08 ไม่ต้องไปดูวันอะไรต่างๆแต่ว่าเรามีเพศ
00:01:08 → 00:01:11 สัมพันธ์ไปตามปกติเนี่ยนะครับค่ะโอกาสใน
00:01:11 → 00:01:12 การตั้งครรภ์เนี่ยโดยเฉลี่ยต่อ 1 รอบ
00:01:13 → 00:01:16 เรือนเนี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5-7 per อ๋ออ
00:01:16 → 00:01:19 ค่ะฟังดูก็น้อยนะครับถูกม 7% เองเพราะ
00:01:19 → 00:01:22 ฉะนั้นไอ้ไอที่เราแบบได้ข่าวว่าแบบเอ๊ะ
00:01:22 → 00:01:26 แต่งงานปึ๊บมีเพศสัมพันธ์กันแบบรอบแรก
00:01:26 → 00:01:28 เดือนแรกแต่งท้องเลยอะไรเงี้ยนะฮะเออจริง
00:01:28 → 00:01:31 ๆจริงๆถ้าถ้าดูเบื้องแบบสมมติเราไปรู้
00:01:31 → 00:01:33 เบื้องหลังเนะฮะคือบางทีเขาก็ไม่ได้เริ่ม
00:01:33 → 00:01:36 มีเพศสัมพันธ์ตอนหลังแต่งงานงนคือมีมา
00:01:36 → 00:01:39 ก่อนแล้วนะฮะจนกระทั่งมันมันแบบเฉลี่ย
00:01:39 → 00:01:40 เปอร์เซ็นต์มาเยอะพอที่จะตั้งครรภ์ได้
00:01:41 → 00:01:44 อะไรเงี้ยมันก็จะตั้งันนะครับเ่าดังนั้น
00:01:44 → 00:01:47 ถ้าโอกาสมันคือ 5 - 7% ต่อ 1 รอบเดือน
00:01:47 → 00:01:50 เนี่ยอันนั้นก็หมายความว่าถ้าสมมติ 7% ก็
00:01:50 → 00:01:54 ได้สมมติเอาเอาอัตราสูงสุดเนี่ยนะฮะ 7%
00:01:54 → 00:01:59 ถ้าเราจะทดลองดูนะครับผ่านไปสัก 12 เดือน
00:01:59 → 00:02:02 ค่ะ 12 7 84 คูณกันเงี้นะครับก็จะเท่า
00:02:02 → 00:02:05 กับว่าถ้าเราได้พยายามมาเกินกว่า 12
00:02:05 → 00:02:07 เดือนแล้วเนี่ยนะฮะ 12 เดือนแล้วก็แสดง
00:02:07 → 00:02:11 ว่าเราได้พยายามได้ใช้โอกาสมาถึง 84% ละอ
00:02:11 → 00:02:13 ถ้าหากว่ายังไม่ตั้งครันเนี่ยอันเนี้ยเรา
00:02:13 → 00:02:16 จะถือว่าน่าจะสงสัยว่ามีบทยาก่ะน่าจะต้อง
00:02:16 → 00:02:19 ปรึกษาคุณหมอแล้วนะครับเพราะฉะนั้นนิยาม
00:02:19 → 00:02:22 ในการที่เราจะถือว่าเอ่อคู่สมรสคู่ไหน
00:02:22 → 00:02:23 เนี่ยนะครับหรือคุณผู้หญิงท่านไหนเนี่ยมี
00:02:24 → 00:02:27 บุตรยากหรือง่ายเนี่ยเราถือว่าเอ่อให้ทด
00:02:27 → 00:02:29 ลองดูว่าผู้สมมติคู่นั้นเอยู่ด้วยกันนะ
00:02:29 → 00:02:32 ครับโดยที่ไม่ได้คุมกำเนิดนะครับซึ่งตรงเ
00:02:32 → 00:02:34 ไม่ได้นับไม่ได้นับด้วยนะครับว่ามีเพศพัน
00:02:34 → 00:02:36 บ่อยหรือไม่บ่อยนะครับแต่ขอให้เหมือนก็
00:02:36 → 00:02:38 อยู่ด้วยกันสม่ำเสมออ่ะนะครับแล้วก็ไม่
00:02:38 → 00:02:40 ได้คุงกำเนิดเนี่ยเกินกว่า 1 ปีเนี่ยแล้ว
00:02:40 → 00:02:43 ถ้ายังไม่ตั้งครรภ์เนี่ยอันนี้ให้สงสัย
00:02:43 → 00:02:45 ไว้้เลยว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการมีบุตร
00:02:45 → 00:02:48 ยากได้อืครับอันนี้มันต้องเฉพาะเจาะจงไป
00:02:48 → 00:02:51 โดยเฉพาะช่วงเวลาไข่ตกด้วยมั้ยคะคุณหมอ
00:02:51 → 00:02:54 หรือว่าตอนไหนก็ได้ตอนไหนก็ได้ครับคือคือ
00:02:54 → 00:02:56 อันนี้เราพูดถึงกรณีที่ว่าปล่อยไปลา
00:02:56 → 00:02:58 ธรรมชาติเลยไม่ต้องมานั่งนับวันไข่ตกไม่
00:02:58 → 00:03:00 ต้องมาอะไรต่างๆเเนี่ยนะครับแต่ถ้าเกิด
00:03:00 → 00:03:02 สมมติว่าเรามีเพสัมพันไปเรื่อยๆสม่ำเสมอ
00:03:02 → 00:03:05 เนี่ยนะฮะท้ายที่สุดเไม่เกิน 1 ปีเนี่ย
00:03:05 → 00:03:07 มันควรจะตั้งขันนะครับเพราะว่ามันเหมือน
00:03:07 → 00:03:10 กับอย่างที่เราบอกโอกาส 5-7 ต่อรอบเดือน
00:03:10 → 00:03:12 เนี่ยถ้ามันผ่านไปถึง 12 รอบเดือนคือผ่าน
00:03:12 → 00:03:14 ไปตั้ง 84% แล้วเนี่ยเราก็ควรจะตั้งการ
00:03:14 → 00:03:16 สำเร็จละถ้ามันยังไม่สำเร็จก็แสดงว่าเรา
00:03:16 → 00:03:18 น่าจะอยู่ในกลุ่มที่มีบุ่นยากละนะครับ
00:03:18 → 00:03:21 เพราะฉะนั้นนิยามที่คุณหมอๆใช้กันนะครับ
00:03:21 → 00:03:24 เวลาเราคนข้างจะปรึกษาเี่ก็คือเราจะเช็ค
00:03:24 → 00:03:27 ก่อนเลยว่าเอ๊ะมาปรึกษาหมอว่าบุดยากเนี่ย
00:03:27 → 00:03:29 จริงๆแล้วเนี่ยได้พยายามมาเกินเกิน 1 ปี
00:03:29 → 00:03:32 หรือยังนะครับเพราะั้นบท่าแต่งงานมา 2-3
00:03:32 → 00:03:35 เดือนไม่ท้องแล้วมาหาหมอมาแบบขอปรึกษามีด
00:03:36 → 00:03:39 ยากะพอทดีหมอก็ยังคุยกันโอโหมันเร็วไปนะ
00:03:39 → 00:03:42 ครับอะไรเงี้ยแต่ว่านะมันไอ้ไอคำปรึกษา
00:03:42 → 00:03:44 ของหมอมันก็ไม่ไม่ทันใจเท่ากับความใจร้อน
00:03:44 → 00:03:47 ของเขาอ่ะคเว่าโอไม่ได้นะคุณหมอ 3-4
00:03:47 → 00:03:49 เดือนเนี่ยเราจะต้องคลอดลูกปีนี้อะไร
00:03:49 → 00:03:51 เงี้ยก็แล้วแต่ความเชื่ออะไงคือบางคนคือ
00:03:51 → 00:03:54 แต่งงานแล้วก็อยากจะมีลูกเลยอย่าทั้งทีาม
00:03:54 → 00:03:59 ฤษที่วางไว้อ๋อคือคือใจจุๆก็ใจร้อนขึ้นมา
00:03:59 → 00:04:03 นะเออเาครับใจร้อนเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน
00:04:03 → 00:04:05 ซึ่งกรณีนี้หลายๆคนบางทีหมอก็คุยอยู่นะ
00:04:05 → 00:04:08 ว่าเอ๊มันยังไม่เข้าข่เป็นบุตยากนะครับจะ
00:04:08 → 00:04:10 จะจะเริ่มรักษาเลยเหรอจะเริ่มแบบตรวจ
00:04:10 → 00:04:13 วินิจฉัยอะไรเลยเหรอส่วนใหญ่ก็ถ้าเขามา
00:04:13 → 00:04:15 แล้วเขาก็จะไม่ได้แล้วใจร้อนมาจากบ้านละ
00:04:15 → 00:04:18 นะฮะแล้วก็หลายๆท่านเนี่ยนะฮะบางทีแค่
00:04:18 → 00:04:21 ตรวจวินิจฉัยอนะฮะแบบเจาะเลือดดูฮอร์โมน
00:04:21 → 00:04:23 นะครับอัลตร้าซาวดูซี่มดลูกรังไข่มีอะไร
00:04:23 → 00:04:26 ไว้แล้วก็ตรวจอสุจิเนี่ยนะครับพอตรวจครบ
00:04:26 → 00:04:28 ทั้ง 3 ปัจจัยแล้วเนี่ยบางท่านยังไม่ทำ
00:04:28 → 00:04:32 ได้รักษาอะไรเลยท้องมาะครับก็คือมันมัน
00:04:32 → 00:04:34 มันเป็นเดือนที่พอดีจะท้องพอดีไงนะฮเพราะ
00:04:34 → 00:04:36 ฉะนั้นจริงๆแล้วเนี่ยเราก็อยากจะเรียนว่า
00:04:36 → 00:04:39 นะครับหมออยากเรียนว่าสำหรับทุกๆท่านที่
00:04:39 → 00:04:42 อยู่ด้วยกันเนี่ยนะครับนะแล้วเ่ออยากจะ
00:04:42 → 00:04:44 สงสัยว่าเอ๊ะเราเป็นคนมีบุตรยากหรือง่าย
00:04:44 → 00:04:46 เนี่ยนะครับก็อ่าถ้าเราพร้อมจะมีบุตรจริง
00:04:47 → 00:04:50 ๆเนี่ยก็งดงดการคมกำเนิดไปค่ะครับแล้วก็
00:04:50 → 00:04:53 ลองดูไปสัก 1 ปีนะครับ 12 เดือนถ้ายังไม่
00:04:53 → 00:04:55 สำเร็จเนี่ยอันนี้เราถือว่าน่าจะเข้าข่ใน
00:04:55 → 00:04:57 บ่นยากก็อย่าไปรอช้าก็ปรึกษาคุณหมอได้เลย
00:04:57 → 00:05:02 นะครับในทางกลับกันนะครับเอ่ออ่าความมี
00:05:02 → 00:05:04 บุตรง่ายหรือยากเนี่ยนะครับถ้าเราเทียบ
00:05:04 → 00:05:06 กันฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงเนี่ยนะครับฝ่าย
00:05:06 → 00:05:09 หญิงเนี่ยจะมีความเสียงต่อการมีบุตรยาก
00:05:09 → 00:05:12 เนี่ยได้มากกว่าโดยโดยเราถือว่าอย่างงี้
00:05:12 → 00:05:15 ครับเอ่อเซลล์ไข่ที่อยู่ในรังไข่ของคุณ
00:05:15 → 00:05:17 ผู้หญิงเนี่ยนะครับจริงๆเจะอยู่มาตั้งแต่
00:05:17 → 00:05:20 เราเราเกิดขึ้นมาละค่ะนะครับมันจะมีเซลล์
00:05:20 → 00:05:22 ไข่อยู่ประมาณ 300,000 เซลล์นะครับซึ่ง
00:05:22 → 00:05:23 ตลอดช่วงชีวิตของเราเนี่ยมันใช้ไม่หมด
00:05:23 → 00:05:27 หรอกนะครับแต่ว่าเอ่อในกรณีที่เราอ่าตอน
00:05:27 → 00:05:29 ตอนที่เราเป็นเด็กๆอยู่เนี้นะครับมันก็
00:05:29 → 00:05:32 ใช้ชีวิตไปตามปกติก็กระโดดโลดเต้นไปตาม
00:05:32 → 00:05:34 วัยเด็กแต่ว่าพอเราเริ่มเข้าสึวัยรุ่น
00:05:34 → 00:05:37 เนี่ยอ่าตมใต้สมองก็จะเริ่มผลิตฮอร์โมนมา
00:05:37 → 00:05:39 กระตุ้นให้รังไข่ที่มันสงบนิ่งอยู่เนี่ย
00:05:39 → 00:05:41 เริ่มมีการคัดเลือกเซลล์แล้วก็พัฒนาให้
00:05:41 → 00:05:44 เป็นไข่ที่สุกแล้วก็ตกไข่พอเรามีการตกไข่
00:05:44 → 00:05:47 เนี่ยเราสังเกตให้ง่ายครับถ้าเรามีการตก
00:05:47 → 00:05:50 ไขที่สมบูรณ์เนี่ยเราก็จะมีประจำเดือนอนะ
00:05:50 → 00:05:52 ครับเพราะฉะนั้นในวัยเจริญพันของผู้หญิง
00:05:52 → 00:05:53 เนี่ยก็จะเริ่มตั้งแต่เริ่มเราเริ่มมี
00:05:54 → 00:05:56 ประจำเดือนก็เ๋นี้ก็อายุประมาณสัก 11 12
00:05:56 → 00:06:00 13 ก็เริ่มมีกันะครับซึ่งตรงนี้นะครับ
00:06:00 → 00:06:02 ความสมบูรณ์ในเรื่องของเอ่อคุณภาพของไข่
00:06:02 → 00:06:05 เนี่ยนะครับเนื่องจากไข่เซลล์ไข่เนี่ยมัน
00:06:05 → 00:06:07 มาตั้งแต่เราถือกำเนิดมาเลยตั้แต่เราเป็น
00:06:08 → 00:06:10 เด็กเลยนะครับเอ่อเมื่อเราเจริญเติบโต
00:06:10 → 00:06:13 ขึ้นมาเนี่ยนะครับแน่นอนครับเราก็ต้องเรา
00:06:13 → 00:06:16 บริโภคอาหารบริโภคสารเคมีต่างๆสัมผัสสิ่ง
00:06:16 → 00:06:20 แวดล้อมที่เป็นพิษต่างๆ PM 2.5 สารเคมี
00:06:20 → 00:06:22 ต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของเราเนี่ยนะครับ
00:06:22 → 00:06:26 เอ่อเหล่าเนี้ยหลายๆสารเคมีหรือหลายๆการ
00:06:26 → 00:06:28 สัมผัสเนี่ยมันก็จะมีผลกระทบต่อคุณภาพของ
00:06:28 → 00:06:31 รังไขอืทำให้เซลล์ไข่ที่เราสะสมอยู่เนี่ย
00:06:31 → 00:06:34 มันมีการเสื่อมลงนะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
00:06:34 → 00:06:36 พอเราติดตามดูเก็บสถิติของคุณผู้หญิง
00:06:37 → 00:06:39 เนี่ยนะครับเราพบว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม
00:06:39 → 00:06:41 เนี่ยนะครับนะที่อายุของคณผู้หญิงเนี่ย
00:06:41 → 00:06:44 เริ่มจะเกิน 35 ปีแล้วเนี่ยเราพบว่า
00:06:44 → 00:06:46 คุณสมบัติของรังไข่หรือการสร้างไขเมันจะ
00:06:46 → 00:06:50 ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นกราฟแบบตกลงเลยนะฮะ
00:06:50 → 00:06:53 เพราะฉะนั้นเราถึงได้ได้ตัวเองอยู่เสมอ
00:06:53 → 00:06:55 ว่าเ่อถ้าเรามีลูกเนี่ยนะครับอย่ารอให้
00:06:55 → 00:06:57 เกิน 35 ปีเพราะว่าหลัง 35 ปีขึึ้นไป
00:06:57 → 00:07:00 เนี่ยมันจะเริ่มมียากะค่ะนะครับและในความ
00:07:00 → 00:07:03 มียากนั้นเนี่ยเอ่ออย่างที่เราบอกเอ่อ
00:07:03 → 00:07:05 อายุที่มากขึ้นนะครับแล้วเราไปสัมผัสสาร
00:07:05 → 00:07:07 เคมีสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ผ่านมาตลอด
00:07:07 → 00:07:10 ช่วงอายุเราจนกระทั่งอายุ 35 ปีเนี่ยอายุ
00:07:10 → 00:07:13 ที่มากขึ้นเนี่ยนอกจากทำให้รังไข่เสื่อม
00:07:13 → 00:07:15 ลงทำให้ผลิตไข่ได้ไม่ดีได้ไข่คุณภาพไม่ดี
00:07:15 → 00:07:18 แล้วก็มีบุตรยากแล้วเนี่ยนะครับสิ่งที่
00:07:18 → 00:07:21 ตามมาก็คือเมื่อเซลล์ไข่มันไม่ดีมันก็มี
00:07:21 → 00:07:23 โอกาสจะได้ผลผลิตเป็นตัวอ่อนที่ไม่ดีนะ
00:07:23 → 00:07:25 ครับเป็นตัวอที่ไม่ดีก็คืออาจจะมีเพิ่ม
00:07:25 → 00:07:28 โอกาสในการมีลูกเป็นดา Syndrome หรือว่า
00:07:28 → 00:07:31 มีลูกเป็นโรคผิดปกติทางพันธุกรรมต่างๆนะ
00:07:31 → 00:07:33 ครับเพราะฉะนั้นสำหรับคุณผู้หญิงเนี่ย
00:07:33 → 00:07:36 อายุที่ถือว่ามีความเสี่ยงก็คือ 35 ปีนะ
00:07:36 → 00:07:39 ครับในขณะที่คุณผู้ชายต่างกันนะครับอสุติ
00:07:39 → 00:07:41 ของคุณผู้ชายเนี่ยจะไม่ใช่ของที่มีสะสม
00:07:41 → 00:07:44 อยู่ตั้งแต่เราเกิดแต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อ
00:07:44 → 00:07:46 เอ่อธรรมชาติเนี่ยนะครับพอเข้าสู่วัย
00:07:47 → 00:07:49 เจริญพันธ์เนี่ยนะครับนะก็จะเริ่มมีการ
00:07:49 → 00:07:51 สร้างฮอร์โมนนะครับซึ่งฮอร์โมนที่สำคัญก็
00:07:52 → 00:07:54 คือฮอร์โมนเพศชายหรือเทสเตอโรนที่สร้าง
00:07:54 → 00:07:57 จากลูกอันทะเนี่ยมันจะไปกระตุ้นระบบการ
00:07:57 → 00:07:59 เจริญพันธุ์ของธรรมชาตินะครับทำให้มีการ
00:08:00 → 00:08:03 สร้างอุจิเพราะฉะนั้นอุจิเนี่ยจึงไม่ใช่
00:08:03 → 00:08:05 ของที่สะสมมาเหมือนกับไขแต่เป็นของที่
00:08:05 → 00:08:08 สร้างใหม่นะครับดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า
00:08:08 → 00:08:11 ผู้ชายเนี่ยถึงจะอายุมากขึ้นนะครับแต่อจิ
00:08:11 → 00:08:14 จะเป็นของที่สร้างใหม่เสมอเพราะฉะนั้นใน
00:08:14 → 00:08:16 เรื่องของอายุที่มากขึ้นเนี่ยจะไม่ค่อยมี
00:08:16 → 00:08:18 ผลต่อเรื่องความสามารถในการเจริญพันธของ
00:08:18 → 00:08:21 ผู้ชายในขณะที่ผู้หญิงเนี่ย 35 ปีเนี่ยจะ
00:08:21 → 00:08:24 เป็นจุดตัดเลยจะถือว่าเลย 35 ไปเนี่ยจะ
00:08:24 → 00:08:26 เริ่มมีความเสี่ยงนะครับเพราะฉะนั้นอย่าง
00:08:27 → 00:08:29 ที่เราบอกตอนต้นเลยครับก่อนจะโยงเรื่อง
00:08:29 → 00:08:31 การตั้งครรภเนี่ยเรามาประเมินว่าเราเป็น
00:08:31 → 00:08:35 คนที่มีบุตรยากหรือเปล่านะครับเราก็ถือ
00:08:35 → 00:08:38 ว่านิยามก็คือโดยทั่วๆไปก็คือเ่อสำหรับ
00:08:38 → 00:08:40 คู่สมรสที่อยู่ด้วยกันนะครับโดยไม่ได้คุม
00:08:40 → 00:08:42 กำเนิดเนี่ยเกินกว่า 12 รอบเดือนเนี่ย
00:08:42 → 00:08:44 แล้วยังไม่ตั้งครร์อันนี้เราถือว่ามีผล
00:08:44 → 00:08:48 ยากคแต่ถ้าเราอยู่ในช่วงอายุเกิน 35 ปี
00:08:48 → 00:08:50 เราดูที่อายุผู้หญิงนะครับถ้าอายุผู้หญิง
00:08:50 → 00:08:53 เกิน 35 ปีเนี่ยเราถือว่าอยู่ในกลุ่มที่
00:08:53 → 00:08:55 เสี่ยงนะครับก็คือมีโอกาสจะมีลูกยากแล้ว
00:08:55 → 00:08:58 ก็ลูกผิดปกติได้เยอะกรณีแบบนี้เนี่ยนะ
00:08:58 → 00:09:02 ครับเราจะถือว่าว่ามีบุตรยากเมื่อพยายาม 6
00:09:02 → 00:09:05 เดือนแล้วไม่ตั้งขันธ์อืนะครับถามว่าทำไม
00:09:05 → 00:09:07 เราไม่รอนานถึง 12 เดือนเพราะว่าเรารู้
00:09:07 → 00:09:10 ว่ายิ่งอายุมากขึ้นน่ะความเสี่ยงก็จะมาก
00:09:10 → 00:09:12 ขึ้นโอกาสตั้งครร์ก็จะลดลงเพราะฉะนั้นคื
00:09:13 → 00:09:15 เรารอนานเป็นปีเนี่ยจากเคอายุ 35 จะเป็น
00:09:15 → 00:09:17 36 เนี่ยความสามารถในการตั้งครร์จะลดลง
00:09:17 → 00:09:19 อย่างรวดเร็วเพราะฉะนั้นถ้าถ้าอายุคุณผู้
00:09:19 → 00:09:22 หญิงต่ำกว่า 35 เนี่ยเราถือว่ามีบทยาก
00:09:22 → 00:09:24 เมื่อพยายามเกิน 1 ปีแล้วไม่สำเร็จแต่ถ้า
00:09:24 → 00:09:26 คุณผู้หญิงอายุเกิน 35 ขึ้นไปเนี่ย
00:09:26 → 00:09:29 อันเนี้ยเราถือว่าถ้าพยายามเกิน 6 เไม่
00:09:29 → 00:09:32 สำเร็จเนี่ยให้ปรึกษาคุณหมอได้ะไม่งั้น
00:09:32 → 00:09:34 มันจะยิ่งมียากขึ้นเรื่อยๆนะครับเพราะ
00:09:34 → 00:09:37 ฉะนั้นโดยทั่วไปเนี่ยคุณผู้หญิงของเรา
00:09:37 → 00:09:40 เนี่ยนะครับเ่อความตั้งใจหรือว่าบางคนก็
00:09:40 → 00:09:43 แบบแผนชีวิตน่ะก็คือมีครอบครัวมีบุตรที่
00:09:43 → 00:09:46 น่ารักแล้วก็เติมเต็มชีวิตครอบครัวไปนะ
00:09:46 → 00:09:52 ครับค่ะคราวนี้เอ่อคำคำถามอันนึงที่คน
00:09:52 → 00:09:55 ทั่วๆไปมักจะสงสัยกันก็คือโอเคเราเข้าใจ
00:09:55 → 00:09:58 แล้วว่าเ่อกระบวนการมีบทยากหรือง่ายเต่าง
00:09:58 → 00:10:00 กันยังไงแต่ว่าถ้ามีบุตรสำเร็จแล้วเนี่ย
00:10:00 → 00:10:03 นะครับเอ่อผู้หญิงคนนึงเนี่ยจะสามารถตั้ง
00:10:03 → 00:10:05 ครรภ์นะครับแล้วก็ท้องได้สักกี่รอบแล้วก็
00:10:05 → 00:10:08 คลอดได้สักกี่รอบอค่ะอันนี้เป็นเรื่องที่
00:10:08 → 00:10:11 เราสงสัยกันมานานนะครับในทางในทางการ
00:10:11 → 00:10:13 แพทย์เราเชื่อว่าเอ่อถ้าเมื่อไหร่
00:10:13 → 00:10:16 ธรรมชาติยังอนุญาตที่เราตั้งครันเช่นเรา
00:10:16 → 00:10:18 มีเพศสัมพันธ์ไปแล้วท้องมีเพสัมพันธ์ไป
00:10:18 → 00:10:21 แล้วท้องไปเรื่อยๆนะฮะเราก็ถือว่าร่างกาย
00:10:21 → 00:10:23 ของคนๆนั้นเนี่ยยังพร้อมที่จะตั้งครรภ์
00:10:23 → 00:10:25 อยู่ยังพร้อมที่จะเคราะอยู่นะครับเพราะ
00:10:25 → 00:10:28 ฉะนั้นถ้าพูดถึงในทฤษฎทางการแพร่เนี่ยเรา
00:10:28 → 00:10:30 เราก็ไม่ได้ไม่มีข้อจำกัดนะครับว่าผู้
00:10:30 → 00:10:33 หญิงคนนึงจะตั้งท้องหรือจะมีลูกได้ไม่
00:10:33 → 00:10:36 เกินกี่คนอออือนะครับเพราะว่าถ้าตราบใด
00:10:36 → 00:10:38 ที่ธรรมชาติมันยังสามารถปฏิสนธิเกิดเป็น
00:10:38 → 00:10:40 ตัวอ่อนมาฝังตัวในมดลกแล้วเกิดการตั้ง
00:10:40 → 00:10:43 ครรภ์ขึ้นมาได้เนี่ยแสงว่าธรรมชาติเนี่ยเ
00:10:43 → 00:10:45 ช่วยตัดสินให้เราว่าร่างกายของคุณผู้หญิง
00:10:45 → 00:10:47 ท่านนั้นเนี่ยยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีเพียงพอ
00:10:47 → 00:10:50 ที่จะตั้งครันได้อนะครับเพราะฉะนั้นเอ่อ
00:10:50 → 00:10:53 ในแง่ของจำนวนบุตรที่จะมีเนี่ยนะครับใน
00:10:53 → 00:10:55 ธรรมชาติเนี่ยก็ถือว่าแล้วแต่ว่าเอ่อ
00:10:55 → 00:10:57 สามารถตั้งครรภ์ไปได้กี่คนก็ตามตามแต่
00:10:58 → 00:11:01 ธรรมชาติต้องการเลยค่ะแต่ว่าถ้ามองในแง่
00:11:01 → 00:11:03 ของตัวคุณพ่อคุณแม่เองเนี่ยนะครับจำนวน
00:11:03 → 00:11:05 บุตรที่จะมีเนี่ยก็ส่วนใหญ่ก็จะขึ้นอยู่
00:11:05 → 00:11:08 กับว่าเ่อวางแผนดว่าเออเราอยากจะมีลูกกี่
00:11:08 → 00:11:11 คนจะมีผู้หญิงผู้ชายยังไงนะครับโดยเฉพาะ
00:11:11 → 00:11:13 อย่างยิ่งท่านที่แบบอยากจะมีลูกทั้ง 2
00:11:13 → 00:11:16 เพศที่ัเปิดมาเนี่ยบางทีเนี่ยนะครับมันทำ
00:11:16 → 00:11:19 ให้เราสมมุติันมีเพศใดเพศหนึ่งไปเรื่อยๆ
00:11:19 → 00:11:22 นะฮะยังไม่มีเพศที่ 2 สักทีเนี่ยปัญหาที่
00:11:22 → 00:11:24 ตามมาก็คือมันก็จะกลายเป็นมีลูกจำนวนเยอะ
00:11:24 → 00:11:27 ไงบางคนมีลูกกันลูกชายไปตั้ง 3-4 คนกว่า
00:11:27 → 00:11:29 จะได้ลูกสาวสมดังใจแล้วก็เหมือนกับปิดกิจ
00:11:29 → 00:11:33 การซักทีอะไรเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้นจริงใน
00:11:33 → 00:11:35 แง่ของจำนวนลูกเนี่ยจริงๆไม่ได้อยู่กับ
00:11:35 → 00:11:36 ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติฮะอยู่กับความ
00:11:37 → 00:11:38 ต้องการของเราอ่ะว่าเราจะว่าเราจะปิดโรง
00:11:39 → 00:11:41 งานเราเมื่อไหร่อคนะครับคราวนี้สิ่งที่
00:11:41 → 00:11:44 น่าสนใจอันนึงก็คือสมมุติเราตั้งครรภ์
00:11:44 → 00:11:47 แล้วเราคลอดเนี่ยวิธีการคลอดเนี่ยจะมีผล
00:11:47 → 00:11:49 ต่อการความสามารถในการมีบุตรหรือไม่นะ
00:11:49 → 00:11:52 ครับเราเราประเมินอย่างงี้ครับการคลอดโดย
00:11:52 → 00:11:55 ทั่ๆไปเนี่ยเราก็จะแบ่งเป็น 2 วิธีก็คือ
00:11:55 → 00:11:57 อันที่ 1 ก็คือการเคาะธรรมชาตินะครับการ
00:11:57 → 00:12:00 เคาะธรรมชาติก็คือกระบวนคนการที่เอ่อเรา
00:12:00 → 00:12:03 ปล่อยให้มีการเจ็บท้องคลอดนะครับเจ็บท้อง
00:12:03 → 00:12:05 คลอดมดลูกบีบตัวเป็นจังหวะแล้วก็ปากมดลูก
00:12:05 → 00:12:08 เปิดนะครับแล้วก็ถุงน้ำค่ำฉีดขาดแล้วก็ใน
00:12:08 → 00:12:11 ุดๆเนี่ยลูกก็จะคลอดผ่านทางช่องคลอดออกมา
00:12:11 → 00:12:14 อือันนี้ก็เป็นการคลอดธรรมชาตินะครับใน
00:12:14 → 00:12:17 ขณะที่วิธีการคลอดที่ 2 ก็คือเอ่อการผ่า
00:12:17 → 00:12:20 ตัดคลอดนะครับการผ่าตัดคลอดเนี่ยเราก็จะ
00:12:20 → 00:12:23 ผ่าตัดโดยมีแผลทางหน้าท้องนะครับอ่าอย่าง
00:12:23 → 00:12:25 ปัจจุบันเราเห็นแผลที่ผิวหนังเนี่ยก็อาจ
00:12:25 → 00:12:28 จะเป็นได้ 2 แบบก็คือแผลในแนวตั้งนะครับ
00:12:28 → 00:12:32 ก็คือจจากใต้สะดือเนี่ยเป็นแผลแนวตั้งตรง
00:12:32 → 00:12:34 ลงมาถึงหัวหนาวเลยนะครับกับอันที่ 2 คือ
00:12:34 → 00:12:37 แผลในแนวนอนก็คือแผลที่เราเรียกว่าเป็น
00:12:37 → 00:12:39 แบบบิกินี่ LINE ก็คือจะเป็นแผลที่เอ่อ
00:12:39 → 00:12:42 วัดจากกระดูกหัวหนาวลงมาแล้วก็อยู่ในแนว
00:12:42 → 00:12:44 นอนเหมือนเหมือนตามขอบของกางเกงในบิกินี่
00:12:44 → 00:12:46 อะไรอย่าเงี้ยนะครับค่ะเพราะฉะนั้นการ
00:12:46 → 00:12:49 คลอดบุดโดยการผ่าตัดคลอดเนี่ยนะครับสิ่ง
00:12:49 → 00:12:52 ที่แตกต่างกันก็คือเอ่อตัวมดลูกเนี่ยนะ
00:12:52 → 00:12:54 ครับพอเราสมมุติพอเราผ่าตัดคอดเนี่ยเราลง
00:12:54 → 00:12:57 แผลเราลงมีดไปเกิดแผลที่ตัวผิวหนังนะครับ
00:12:57 → 00:13:00 เราก็จะลงมีดลึกเข้าไปเรื่อยๆผ่านชั้น
00:13:00 → 00:13:02 กล้ามเนื้อผ่านชั้นเยื้อบู่ช่องท้องเข้า
00:13:02 → 00:13:05 ไปสู่มดลูกเสร็จปุ๊บเนี่ยเราก็จะต้องอ่า
00:13:05 → 00:13:07 ลงมีดให้เกิดแผลที่มดลูกทำให้เกิดช่อง
00:13:08 → 00:13:10 ขึ้นมานะครับที่ส่วนล่างของมลูกแล้วก็เรา
00:13:11 → 00:13:13 ก็จะให้ลูกเนี่ยคลอดออกมาทางนั้นค่ะนะ
00:13:13 → 00:13:16 ครับกระบวนการนี้ก็คือการผ่าตัดคลอดเพราะ
00:13:16 → 00:13:18 ฉะนั้นถ้าเราเทียบกันแล้วเนี่ยนะครับถึง
00:13:18 → 00:13:20 แม้ธรรมชาติจะบอกว่าเราสามารถมีลูกได้
00:13:20 → 00:13:22 จำนวนไม่จำกัดเนี่ยนะครับตามแต่ธรรมชาติ
00:13:22 → 00:13:25 จะจะสามารถตั้งครรภ์สำเร็จแต่ว่าในทางคำ
00:13:25 → 00:13:28 แนะนำจริงๆเนี่ยนะครับถ้าเป็นการตั้ง
00:13:28 → 00:13:31 ครรภ์แแล้วเราตั้งครรภ์จำนวนหลายๆครั้ง
00:13:31 → 00:13:34 มากขึ้นเนี่ยไม่ว่าจะเป็นคลอดธรรมชาติ
00:13:34 → 00:13:38 หรือคลอดผ่าตัดคลอดเนี่ยเอ่อจำนวนครั้ง
00:13:38 → 00:13:39 ที่เพิ่มขึ้นหรือจำนวนบุตรที่เพิ่มขึ้น
00:13:40 → 00:13:42 เนี่ยมันก็จะเพิ่มความเสี่ยงของการตั้ง
00:13:42 → 00:13:45 ครรภ์มากขึ้นเรื่อยๆค่ะกระบวนอ่ะตรงนี้
00:13:45 → 00:13:47 อธิบายยังไงนะครับเวลาเราคลอดผ่านทางช่อง
00:13:47 → 00:13:50 คลอดเนี่ยนะครับแน่นอนครับเอ่อป่ารูปต้อง
00:13:50 → 00:13:53 เกิดการเปิดแล้วก็เวลาลูกคลอดออกมาเนี่ย
00:13:53 → 00:13:56 นะครับเอ่อปากช่องคลอดของเราเนี่ยจริงๆ
00:13:56 → 00:13:59 แล้วขนาดมันก็ไม่มันขยายได้แต่มันขยายไม่
00:13:59 → 00:14:01 ใหญ่เท่าตัวลูกทั้งตัวหรอกอืเพราะฉะนั้น
00:14:01 → 00:14:03 เวลาคลอดออกมาจริงๆเนี่ยนะครับมันจะมีการ
00:14:03 → 00:14:06 ฉีกขาดของของผนังของช่องคลอดนะครับที่เรา
00:14:06 → 00:14:09 เรียกว่าฝีเย็บนะครับก็จะเกิดการฉีกขาด
00:14:09 → 00:14:11 เพื่อทำให้เกิดการขยายให้เ่อเหมือนกับ
00:14:11 → 00:14:14 เอ่อพื้นที่หรือเส้นผ่านศูนยกลางของช่อง
00:14:14 → 00:14:16 คอนมันใหญ่ขึ้นเพียงพอที่ลูกจะคลอดออกมา
00:14:16 → 00:14:19 ได้นะครับเพราะงั้นโดยธรรมชาติเนี่ยมันจะ
00:14:19 → 00:14:23 มีการฉีดขาดของของเอ่อผนังของตัวช่องคลอด
00:14:23 → 00:14:25 อยู่แล้วในขณะที่ลูกคลอดผ่านลงมานะครับือ
00:14:25 → 00:14:27 เราหรือที่เราเรียกอีกอย่างนึงว่ามีการ
00:14:27 → 00:14:31 ฉี่ขาดของีนะครับถ้าเป็นการคลอดโดย
00:14:32 → 00:14:34 เ่ออันนี้เราพูดถึงคลอดธรรมชาติเหมือนกับ
00:14:34 → 00:14:36 เราคลอดเองตามตามป่าตามเขาอะไรเเหมือนกับ
00:14:36 → 00:14:39 โดโดยธรรมชาติจริงๆแต่ถ้าเราคลอดโดย
00:14:39 → 00:14:41 ปัจจุบันเยเราก็มีการฝากันแล้วก็ดูแลการ
00:14:41 → 00:14:43 คลอดโดยคุณหมออยู่แล้วนะฮะเวลาคลอดเนี่ย
00:14:44 → 00:14:46 คุณหมอก็จะมีการตัดสีเย็บที่เราได้ยินกัน
00:14:46 → 00:14:48 การตัดสีเย็บนี่ก็คือมันเป็นการเพิ่มการ
00:14:49 → 00:14:52 ขยายของอ่าตัวช่องคลอดเพื่อให้มีพื้นที่
00:14:52 → 00:14:55 ที่กว้างพอที่ลูกจะคลอดออกมาได้นะครับ
00:14:55 → 00:14:59 ซึ่งข้อดีของการตัดฟบนะครับก็คือเมื่อเรา
00:14:59 → 00:15:01 ตัดีเย็บเนี่ยเราจะสามารถกำหนดความยาวของ
00:15:01 → 00:15:04 แผลและก็ทิศทางของแผลได้นะครับอย่างกรณี
00:15:04 → 00:15:06 ที่ถ้าเกิดเราคอโดยธรรมชาติเบ่งมาเองโดย
00:15:06 → 00:15:09 ธรรมชาติแล้วเกิดการฉีดขาดของช่องคลอด
00:15:09 → 00:15:12 เนี่ยถ้าทิศทางของการฉีดขาดเนี่ยฉีดขาดไป
00:15:12 → 00:15:14 ด้านหลังนะครับอย่าลืมว่าช่องคลอดของเรา
00:15:14 → 00:15:17 เนี่ยด้านหลังจะต่อกับทวารหนักค่ะเพราะ
00:15:17 → 00:15:19 งั้นถ้าการฉีดขาดเกิดขึ้นเมันโดยธรรมชาติ
00:15:19 → 00:15:21 ซึ่งเราควบคุมมันไม่ได้เนี่ยบทีการฉีดขาด
00:15:21 → 00:15:23 หรือเป็นแผลเนี่ยมันจะอาจจะลึกเข้าไปจน
00:15:23 → 00:15:26 กระทั่งไปทะลุเข้าไปในทวารหนักอืซึ่งถ้า
00:15:26 → 00:15:28 ทะลุเข้าไปในทวารหนักเนี่ยสิ่งที่เกิด
00:15:28 → 00:15:31 ปัญหาตามมาก็คือทวารหนักมันเป็นบริเวณที่
00:15:31 → 00:15:34 มีความสกปรกเยอะอ่ะครับมีอุจจาระอยู่มี
00:15:34 → 00:15:37 พวกแบคทีเรียมีเชื้อโรคต่างๆมากมายนะครับ
00:15:37 → 00:15:39 เพราะงั้นถ้าเกิดแผลที่ช่องคลอดซึ่งมัน
00:15:39 → 00:15:42 ควรจะเป็นแผลสะอาดเนี่ยเกิดทะลุนะครับฉีก
00:15:42 → 00:15:45 ขาดจนกระทั่งทะลุไปเจอตัวอ่าผนังของเอ่อ
00:15:45 → 00:15:48 ทวารหนักสิ่งที่ตามมาก็คืออุจจาระหรือ
00:15:48 → 00:15:50 สิ่งปนเปื้อนหรือแบคทีเรียในทวารหนัก
00:15:50 → 00:15:53 เนี่ยมันจะไหลเข้ามาที่แผลของช่องคลอดค่ะ
00:15:53 → 00:15:54 ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อของแผล
00:15:54 → 00:15:57 ช่องคลอดหรือว่าแผลฟีเย็บเนี่ยอาจจะทำให้
00:15:57 → 00:16:01 มันแผลมันไม่สมัอย่างปกตินะครับเพราะ
00:16:01 → 00:16:04 ฉะนั้นการฉีดขาดโดยธรรมชาติเนี่ยนะครับนะ
00:16:04 → 00:16:06 มันจะเกิดความเสี่ยงในกรณีนี้คือมีโอกาส
00:16:06 → 00:16:08 ที่มันจะฉีกขาดเข้าไปจนถึงทวารหนักแล้วก็
00:16:08 → 00:16:12 เกิดการติดเชื้อตามมาในขณะที่ถ้าปัจจุบัน
00:16:12 → 00:16:14 เนี่ยเราดูแลการคลอดโดยคุณหมอเนี่ยนะครับ
00:16:14 → 00:16:17 เวลาคุณหมอเขามีการตัดฝีเย็บเนี่ยเขาจะ
00:16:17 → 00:16:20 ตัดในในมุมที่เฉียงออกไปนะครับอาจจะเฉียง
00:16:20 → 00:16:23 อไปทางซ้ายหรือขวาไม่ให้มันลงไปข้างหลัง
00:16:23 → 00:16:25 ตรงๆทวารหนักมันก็จะลดความเสี่ยงที่จะ
00:16:25 → 00:16:28 เกิดการฉีขาดเข้าไปในทวารหนักได้นะครับ
00:16:28 → 00:16:31 มันก็ลดความเสียยเรการติดเชื้อได้นะครับ
00:16:31 → 00:16:34 คราวนี้การที่เรามีการตัดีเย็บแล้วก็เย็บ
00:16:34 → 00:16:37 กับบ่อยๆเนี่ยนะครับเราต้องเข้าใจไว้ด้วย
00:16:37 → 00:16:40 ว่าอวัยวะส่วนใดๆก็ตามของร่างกายเนี่ยถ้า
00:16:40 → 00:16:42 มันมีการฉีกขาดนะครับแล้วเราเย็บซ่อมแซม
00:16:42 → 00:16:44 เนี่ยแน่นอนเย็บซ่อมแซมเนี่ยแผลมันจะกลับ
00:16:44 → 00:16:46 มาคืนเหมือนเดิมนะครับเหมือนเราเย็บแผล
00:16:46 → 00:16:49 ทั่วๆไปเวลามีดบาตแล้วก็เย็บแผลมันก็กลับ
00:16:49 → 00:16:52 มาชนกันเหมือนเดิมแต่ว่าบริเวณที่เป็นแผล
00:16:52 → 00:16:55 เนี่ยต้องยอมรับว่าการสมานตัวเนี่ยมันจะ
00:16:55 → 00:16:58 ไม่สมานเรียบเหมือนกับก่อนที่มันจะมีแผลค
00:16:58 → 00:16:59 เพราะฉะนั้นจุดที่เป็นแผลเนี่ยมันจะเป็น
00:16:59 → 00:17:02 จุดบาบบางครับจุดบาบบางที่เกิดขึ้นดัง
00:17:02 → 00:17:05 นั้นถ้าเราตั้งรแล้วเราคลอดโดยธรรมชาติ
00:17:05 → 00:17:08 เนี่ยนะครับคลอดผ่าทางชองครเนี่ยนะครับ
00:17:08 → 00:17:11 ถ้ามันมีจำนวนครั้งมากขึ้นเรื่อยๆเนี่ยนะ
00:17:11 → 00:17:14 ครับเราจะมีการตัดฝีเยียบตัดฝีเยบตัดฝีบ
00:17:14 → 00:17:16 หลายๆครั้งขึ้นเนี่ยบริเวณของช่องคลอด
00:17:16 → 00:17:19 เนี่ยมันจะเกิดการหย่อนยานขึ้นอืนะครับ
00:17:19 → 00:17:22 เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปเนี่ยนะครับเราพบว่า
00:17:22 → 00:17:24 ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์แล้วคลอดโดย
00:17:25 → 00:17:27 ธรรมชาติเนี่ยนะครับก็คือถ้าเรามีลูก
00:17:27 → 00:17:31 เนี่ยนะครับหลายๆคนนะครับตีซะว่าตั้งแต่ 4
00:17:31 → 00:17:33 คนถึง 5 คนขึ้นไปเนี่ยนะครับเราเรียกว่า
00:17:33 → 00:17:36 ภาวะนี้เรียกว่า Multi parity ก็คือมี
00:17:36 → 00:17:39 ปัญหาคือเคยเกิดการมีบุตรแล้วก็ตั้งครรภะ
00:17:39 → 00:17:41 คอดหลายๆครั้งเนี่ยสิ่งที่ตามมาคือสภาพ
00:17:41 → 00:17:45 ของช่องคลอดเนี่ยมันจะหลวมขึ้นอืนะครับ
00:17:45 → 00:17:47 เ่อนอกเหนือจากช่องคลอดแล้วนะครับเวลาลูก
00:17:48 → 00:17:50 จะผ่านลงมาถึงช่องคลอดเนี่ยลูกจะผ่านปาก
00:17:50 → 00:17:52 ลูกลงมาด้วยซึ่งเวลาที่เราคลอดเนี่ยปาก
00:17:52 → 00:17:55 ว่าลูกมันจะถ่างขยายจนกระทั่งเปิดจนกว้าง
00:17:55 → 00:17:59 พอที่ลูกจะคลอดออกมาได้นะครับเพราะฉะนั้น
00:17:59 → 00:18:01 กรณีที่เราเกิดการคลอดหลายๆครั้งเนี่ยนะ
00:18:01 → 00:18:03 ครับนอกจากช่องคลอดมันจะมีโอกาสหย่อนยาน
00:18:04 → 00:18:05 แล้วเนี่ยไอ้ตัวปากบัดลูกเนี่ยมันก็จะมี
00:18:05 → 00:18:08 โอกาสหย่อนยานด้วยเหมือนกันานี้พป่ามัลุ
00:18:08 → 00:18:11 หย่อนยันอะไรจะเกิดขึ้นนะครับมันมีโอกาส
00:18:11 → 00:18:13 ที่เวลาเราตั้งครรภ์ครั้งต่อๆไปเนี่ยป่า
00:18:13 → 00:18:17 มัลูกมันอาจจะเปิดก่อนเวลาที่ควรอืก็เป็น
00:18:17 → 00:18:18 ว่ามันจะเพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อน
00:18:18 → 00:18:22 กำหนดได้มากขึ้นนะครับเขบอกว่าอยู่ดีๆก็
00:18:22 → 00:18:24 ลูกหลออกมานั่นมั้ยคะคุณหมอแบบเคสแบบนั้น
00:18:24 → 00:18:27 มคะอย่างที่เราได้ข่าวนะครับบางทีไปคลอด
00:18:27 → 00:18:29 ในแท็กซี่คลอดแบบมาๆไม่พยาบาลเนี่ยอันนี้
00:18:30 → 00:18:32 ส่วนใหญ่ถ้าเราไปดูรายละเอียดจริงๆเนี่ย
00:18:32 → 00:18:35 จะเป็นคนที่ตั้งครรภ์หลายๆครั้งะอืค่ะถ้า
00:18:35 → 00:18:37 เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2
00:18:37 → 00:18:39 เนี่ยปัญหาพวกนี้มักจะไม่ค่อยเกิดนะครับ
00:18:39 → 00:18:42 ค่ะคเอ่อที่สำคัญอีกอย่างนึงก็คือเวลาที่
00:18:42 → 00:18:45 เราพบปัญหาพวกนี้นะครับหลายๆครั้งถ้าเรา
00:18:45 → 00:18:49 ไปดูในในในข้อมูลจริงๆเนี่ยเราจะพบว่าคุณ
00:18:49 → 00:18:52 แม่ที่มีการคลอดแบบคลอดฉุกเฉินคลอดแบบมา
00:18:52 → 00:18:55 ไม่ถึงโรงพยาบาลคลอดบนท้องถนนอะไเงี้ย
00:18:55 → 00:18:59 หลายๆคนจะเป็นคุณแม่ที่ไม่ได้ฝากขันออืพอ
00:18:59 → 00:19:00 ไม่ได้ักคันเนี่ยเราจะไม่มีโอกาสรู้เลย
00:19:01 → 00:19:03 ครับว่ากำหนดคลอดคือเมื่อไหเมื่อไหรมันจะ
00:19:03 → 00:19:05 ถึงใกล้คลอดอะไรต่างๆเหล่านี้นะครับแล
00:19:05 → 00:19:08 ยิ่งไปกว่านั้นเครับปัจจุบันนี้คงดีขึ้น
00:19:08 → 00:19:10 แล้วแต่สมัยก่อนเนี่ยการคลอดเนี่ยเนื่อง
00:19:10 → 00:19:12 จากระบบสาธารณสุขในสมัยก่อนเนี่ยเราไม่
00:19:12 → 00:19:15 ได้มีหมออยู่ทุกโรงพยาบาลใช่ครับบางที
00:19:15 → 00:19:18 เนี่ยตามสถานีอนามัยในสมัยก่อนเนี่ยหรือ
00:19:18 → 00:19:20 ว่าเราคลอดเนี่ยอาจจะเป็นผดุงรหรือว่าหมอ
00:19:20 → 00:19:24 ตำแยเป็นคนทำคลอดค่ะซึ่งกรณีแบบเนี้ย
00:19:24 → 00:19:27 เมื่อยเนี่ยไม่มีความสามารถในการตัดฝี
00:19:27 → 00:19:29 เย็บหรือจะมาเย็บแผลกลับคืนอะไรต่างๆ
00:19:29 → 00:19:32 เพราะฉะนั้นเก็จะปล่อยให้ฝีเย็บเนี่ยมัน
00:19:32 → 00:19:34 มันฉีกขาดตามธรรมชาติอืซึ่งเวลามันฉีกขาด
00:19:35 → 00:19:37 ตามธรรมชาติเวลามันเย็บมันมันแบบร่างกาย
00:19:37 → 00:19:39 มันแผลมันสมานตัวเองเนี่ยมันจะสมานตัวได้
00:19:39 → 00:19:42 ไม่ดีนะครับหรือว่าไม่กลับมาตรงแนวหรือ
00:19:42 → 00:19:44 ว่าสร้างความแข็งแรงให้ช่องคลอดได้เท่า
00:19:45 → 00:19:47 กับกรณีที่หมอเป็นคนตัดฝีเย็บแล้วก็เย็บ
00:19:47 → 00:19:50 มันกลับมาชนในตำแหน่งเดิมคนะครับเพราะ
00:19:50 → 00:19:53 ฉะนั้นถ้าเราคลอดบุตรนะครับปัจจัยอันนึง
00:19:53 → 00:19:56 ที่มีผลก็คือสมมุติเราคลอดบุดโดยไม่ได้
00:19:56 → 00:19:59 รับการดูแลเรื่องการเย็บสีเย็บที่ถูกต้อง
00:19:59 → 00:20:01 หรือว่าไม่ได้ถูกดูแลด้วยคุณหมอเนี่ยคอ
00:20:01 → 00:20:04 โดยผดุงคันหรือว่าหรือว่าหมอตำแยเนี่ยนะ
00:20:04 → 00:20:07 ครับสิ่งที่เกิดขึ้นคือฝีเย็บเนี่ยมันจะ
00:20:07 → 00:20:10 หลวงออนะครับมันจะไม่สมานทนปกติเพราะ
00:20:10 → 00:20:12 ฉะนั้นไอ้กรณีที่แบบเกิดบางทีตั้งครรภ์ไป
00:20:12 → 00:20:15 ไอจามแล้วลูกไหลลงมาเลยอย่าเงี้ยอันนี้
00:20:15 → 00:20:19 มันจะเความเสี่ยงมากขึ้นค่ะค่ะโอสมัยก่อน
00:20:19 → 00:20:21 เไม่เย็บเราจะบอกว่าจำนวนของการคลอดเนี่ย
00:20:21 → 00:20:24 ธรรมชาติมันไม่จำกัดนะฮะแต่ว่ายิ่งเรา
00:20:24 → 00:20:27 คลอดหลายครั้งขึ้นเนี่ยความเสี่ยงก็จะ
00:20:27 → 00:20:28 เยอะขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง้าถ้าเป็นการ
00:20:28 → 00:20:30 คลอดทางช่องคลอดเนี่ย 4-5 ครั้งขึ้นไป
00:20:30 → 00:20:32 เนี่ยอันนี้จะเริ่มมีความเสี่ยงของการ
00:20:32 → 00:20:35 คลอดก่อนกำหนดได้สูงขึ้นละออย่างสมัยก่อน
00:20:35 → 00:20:38 อ่ะค่ะคุณหมอรุ่นปู่ยาตายายอ่ะเห็นบาง
00:20:38 → 00:20:41 บ้านมีเป็นมีลูกเป็น 10 คน 12 คนแล้ว
00:20:41 → 00:20:45 อย่างงี้มันโหมันไม่แบบรวมต้องยอมรับว่า
00:20:45 → 00:20:48 มันเป็นเรื่องของความรู้ทางด้านสาธารณสุข
00:20:48 → 00:20:50 สมัยก่อนนะครับแล้วก็การเข้าถึงบริการ
00:20:50 → 00:20:53 สาธารณสุขสมัยก่อนเนี่ยบางทีสมันเข้าไม่
00:20:53 → 00:20:54 ถึงเนี่ยนะครับมันก็จะไม่มีใครให้ข้อมูล
00:20:54 → 00:20:59 ตรงนี้ไงอว่าเราควรจะมีบุตรกี่คนดีเพราะ
00:20:59 → 00:21:01 แล้วสมัยก่อนก็ไม่ได้คุมกำเนิดใช่มั้ยฮะ
00:21:01 → 00:21:04 เออพอไม่ได้คุมกำเนิดเนี่ยหรือหรือหรือ
00:21:04 → 00:21:06 ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราเนี่ยท่านไม่ได้รู้
00:21:06 → 00:21:08 จักวิธีการคแบบเพราะก็ไม่มีใครไปบอกท่าน
00:21:08 → 00:21:11 นะครับอสิ่งที่ตามมาก็คือเวลาเาตั้ง์
00:21:11 → 00:21:14 เสร็จคลอดลูกเสร็จเคกลับไปมีเทศสัตามปกติ
00:21:14 → 00:21:16 แล้วมันไม่ได้ป้องกันน่ะมันไม่ได้คุมันก็
00:21:16 → 00:21:19 ท้องใหม่ไงมันก็ท้องใหม่ไปเรื่อยๆนะครับ
00:21:19 → 00:21:22 จนกระทั่งบางคนเนี่ยมีลูกเป็น 10 คน 12
00:21:22 → 00:21:25 คนอะไรต่างๆเนี่ยเกิดจากกรณีอย่างนี้ใช่
00:21:25 → 00:21:28 คือเาไม่รู้ไงนะครับอซึ่งสิ่งที่ตามมาก็
00:21:28 → 00:21:31 คือคือพอมีลูกเยอะนะครับค่าใช้จ่ายก็เยอะ
00:21:31 → 00:21:34 นะครับค่าใช้จ่ายเยอะก็ทำให้ครอบครัวนั้
00:21:34 → 00:21:36 เสสถานะมันก็ไม่พอใช้จ่ายก็จะกลายเป็น
00:21:36 → 00:21:39 ครอบครัวที่มีความยากจนตามมานะครับโอกาส
00:21:39 → 00:21:41 ที่จะเลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโตให้มีการ
00:21:41 → 00:21:44 ศึกษาสูงๆก็จะน้อยลงเพราะว่าค่าใช้จ่าย
00:21:44 → 00:21:46 เดียวมันต้องแบ่งไปตั้งหลายคนน่ะใช่มฮะ
00:21:46 → 00:21:48 เพราะฉะนั้นมันก็เลยเกิดเป็นวงจรที่ทำให้
00:21:48 → 00:21:51 ประเทศเราเนี่ยการพัฒนามันในระดับ
00:21:51 → 00:21:53 ครอบครัวเนี่ยมันมันช้าในสมัยก่อนเพราะ
00:21:53 → 00:21:57 ว่ามันก็เกิดเป็นวงจรว่าพอมีลูกเยอะก็เส
00:21:57 → 00:21:59 สาไม่ดีก็จ
00:21:59 → 00:22:02 จนเส็มันก็ไม่สามาไม่สามาเข้าถึงบริการ
00:22:02 → 00:22:05 สาสุขหรือว่าหรือว่าดูแลตัวเองให้สุขภาพ
00:22:05 → 00:22:08 ดีได้มันก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่างๆตามมานะ
00:22:08 → 00:22:11 ครับดังนั้นถ้าเป็นสมัยปัจจุบันเนะครับ
00:22:11 → 00:22:14 อย่างที่เราบอกก็คือสมัยก่อนเเราเคย
00:22:14 → 00:22:16 รณรงค์ถึงขั้นบอกว่าเฮมีลูกไม่เกิน 2 คน
00:22:16 → 00:22:20 ค่ะนะครับก็จะเหมาะสมเราใช้หลักการว่าถ้า
00:22:20 → 00:22:22 เกิดสมมติคุณผู้ชายคนนึงมาจากมาจาก
00:22:22 → 00:22:25 ครอบครัวนึงใช่มมาเจอกับภรรยาคผู้หญิงคน
00:22:25 → 00:22:28 นึงมาจากอีกครอบครัวนึงก็คือคน 2 คนเมา
00:22:28 → 00:22:31 เจอเจอกันนะครับเพราะงั้นคน 2 คนเนี้ยอ่า
00:22:31 → 00:22:34 ถ้าเ้ามีบุตรสมมติมีบุตร 2 คนเนี่ยมันก็
00:22:34 → 00:22:36 จะเหมือนกับเข้าทุนไงเหมือนจำนวนประชากร
00:22:36 → 00:22:39 พอถึงวันนึงที่ 2 คนนี้แก่ตัวลงแล้วก็
00:22:39 → 00:22:41 เสียชีวิตไปเนี่ยลูกที่สืบทอดมาเนี่ยก็จะ
00:22:42 → 00:22:45 มี 2 คนอออัตราการอัตราการคงที่ของ
00:22:45 → 00:22:48 ประชากรเนี่ยมันก็จะเหมาะสมใช่มั้ยครับจน
00:22:48 → 00:22:50 กระทั่งปัจจุบันเนี้ยอย่างอย่างหลายๆท่าน
00:22:50 → 00:22:53 อาจจะเคยได้ยินข่าวะว่าเดี๋ยวเนี้อัตรา
00:22:53 → 00:22:54 การเพิ่มประชากรของเราเนี่ยมันน้อยลง
00:22:55 → 00:22:58 เพราะว่าคนเนี่ยไม่ค่อยนิยมมีบุตรละนะ
00:22:58 → 00:23:00 ครับเพราะว่าบางคนก็รู้สึกว่ามีบุตรเป็น
00:23:00 → 00:23:03 ภาระนะครับ้าเสียร่างกายเราไม่พร้อมหรือ
00:23:03 → 00:23:06 ว่าเสียสถานะเราไม่พร้อมหรือว่าเราคนสมัย
00:23:06 → 00:23:08 เนี้ยต้องการมีชีวิตอิสระไม่อยากมีพันธะ
00:23:08 → 00:23:11 ผูกพันอะไรเงี้ยบางทีก็อยู่เป็นครอบครัว
00:23:11 → 00:23:13 กันมีสามีภรรยากันจริงแต่ว่าไม่ได้มีบุตร
00:23:13 → 00:23:15 เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราจะพบว่าเอ่อพอเรา
00:23:15 → 00:23:17 มีอัตรากมีบุตรถ้าเกิดเรามีน้อยกว่า 2 คน
00:23:17 → 00:23:20 เนี่ยเช่นมีคนเดียวหรือว่า 0 คนเลยเนี่ย
00:23:20 → 00:23:23 มันก็ทำให้สมมุติอัตราการเพิ่มประชากรมัน
00:23:23 → 00:23:26 ก็ต้องลดลงไงพอถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่แก่
00:23:26 → 00:23:28 แก่ตัวลงแล้วเสียชีวิตไปเนี่ยกลับมีคน
00:23:28 → 00:23:31 ขึ้นเกิดใหม่ขึ้นมาทดแทนอืครับเพราะ
00:23:31 → 00:23:33 ฉะนั้นเราจะพบว่าเดี๋ยวเนี้ยปัญหาของ
00:23:33 → 00:23:36 ประเทศเราก็คือเริ่มพบอัตราการเกิดน้อย
00:23:36 → 00:23:38 กว่าอัตราการตายละคซึ่งถ้าเราทิ้งไว้ใน
00:23:38 → 00:23:41 ระยะยาวแล้วไม่แก้ไขนะครับถึงวันนึงเนี่ย
00:23:41 → 00:23:45 เราจะเป็นสังคมที่มีเอ่อผู้สูงอายุเยอะอื
00:23:45 → 00:23:47 นะครับซึ่งผู้สูงอายุเนี่ยแน่นอนครับท่าน
00:23:47 → 00:23:50 ก็ทำงานได้จำกัดสร้างผลผลิตสร้างรายได้
00:23:50 → 00:23:53 ให้ประเทศได้จำกัดมันก็จะกลายเป็นเด็ก
00:23:53 → 00:23:56 หนุ่มสาวที่เป็นวัยทำงานเนี่ยนะครับจะ
00:23:56 → 00:23:59 ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้มันมีประเท
00:23:59 → 00:24:01 ประเทศชาติมีรายได้เพียงพอที่จะไปจุนเจือ
00:24:01 → 00:24:04 คนคนสูงอายุที่มีจำนวนมากอ๋อนะครับอันนี้
00:24:04 → 00:24:06 ก็เป็นปัญหาที่ตามมาในซึ่งปัจจุบันเนี้ย
00:24:06 → 00:24:09 รัรัฐบาลก็พยายามส่งเสริมให้มีลูกกันอยู่
00:24:09 → 00:24:12 นะครับค่ะคราวนี้เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่อง
00:24:12 → 00:24:15 เอ่อการคลอดบุตรโดยธรรมชาติละนะครับคราว
00:24:15 → 00:24:17 นี้ถ้าเราพูดถึงลักษณะของการคลอดบุตในการ
00:24:17 → 00:24:19 ผ่าตัดคลอดอย่างที่หมอบอกแล้วการผ่าตัด
00:24:19 → 00:24:22 คลอดทางหน้าท้องเนี่ยเราจะมีการลงแผลผ่าน
00:24:22 → 00:24:25 ไปที่ตัวมดลูกนะครับปัญหาที่เกิดขึ้นก็
00:24:25 → 00:24:29 อย่างที่หมอบอกไปะงกรณีที่เป็นเป็นแผลฉีด
00:24:29 → 00:24:31 ขาที่ช่องคลอดนะครับหรือแผลฉีดขาดที่ใๆก็
00:24:31 → 00:24:34 ตามเนี่ยเมื่อมีการเย็บซ่อมแซมนะครับหรือ
00:24:34 → 00:24:36 มีการซ่อมแซมโดยธรรมชาติเนี่ยความแข็งแรง
00:24:36 → 00:24:38 ของบริเวณที่ซ่อมแซมนั้นเนี่ยมันมักจะไม่
00:24:39 → 00:24:43 ดีเท่ากับเท่ากับการกรณีที่ไม่มีแผลเลยอ
00:24:43 → 00:24:46 นะครับเพราะฉะนั้นเอ่อถ้าเราพูดถึงการ
00:24:46 → 00:24:49 คลอดโดยช่องคลอดคลอดโดยธรรมชาติเนี่ยเอ่อ
00:24:49 → 00:24:51 อย่างที่เราบอกมันจะมีแผลที่ฝีเย็บด้าน
00:24:51 → 00:24:56 นอกแต่ตัวมดลูกเนี่ยจะไม่มีแผลนะครับอ่า
00:24:56 → 00:24:59 ตัวมดลูกเนี่ยจะยังเป็นสภาพปกติเหมือนตอน
00:24:59 → 00:25:01 ก่อนตั้งครร์เพราะฉะนั้นพอหลังจากคลอดไป
00:25:01 → 00:25:03 เสร็จมดลูกคืนสภาพเข้าอู่เรียบร้อยเนี่ย
00:25:03 → 00:25:06 เขาก็จะเป็นมดลูกที่ไม่มีแผลอะไรเลยค่ะนะ
00:25:06 → 00:25:08 ครับเพราะฉะนั้นความแข็งแรงของมลูกเนี่ย
00:25:08 → 00:25:11 จะยังปกตินะครับแต่ถ้าเราเป็นการคลอดโดย
00:25:11 → 00:25:13 การผ่าตัดคลอดเนี่ยนะครับเมื่อเราผ่าตัด
00:25:13 → 00:25:16 คลอดเนี่ยเราต้องลงมีดผ่านบริเวณของส่วน
00:25:16 → 00:25:19 ล่างของของมดลูกทางผิวด้านหน้าเนี่ยนะ
00:25:19 → 00:25:21 ครับเพื่อให้ั้นเป็นช่องทางที่เราจะได้พา
00:25:21 → 00:25:25 ลูกออกมาทางนั้นนะครับกรณีแบบนี้เนี่ย
00:25:25 → 00:25:27 บริเวณที่เป็นแผลของมำลูกนะครับถึงเราจะ
00:25:27 → 00:25:29 เย็บซ่อมแซงไปเนี่ยนะครับแต่จุดบริเวณ
00:25:29 → 00:25:32 เนี้ยมันจะกลายเป็นจุดที่เบาะบางนะครับ
00:25:32 → 00:25:34 สมมุติถ้าเรามีการตั้งพันุ์ซ้ำเนี่ยนะ
00:25:34 → 00:25:36 ครับนะบริเวณจุดที่เบาะบางเนี่ยมันมี
00:25:36 → 00:25:38 โอกาสที่จะฉีกขาดได้ง่ายขึ้นหรือเกิดภาวะ
00:25:38 → 00:25:41 ที่เราอันตรายที่สุดก็คือเกิดภาวะที่
00:25:41 → 00:25:44 เรียกว่ามดลูกแตกในขณะที่ตั้งครรภ์นะครับ
00:25:44 → 00:25:47 เพราะฉะนั้นเอ่อถ้ามนลูกแตกเนี่ยสิ่งที่
00:25:47 → 00:25:49 ตามมาก็คือเราจะเกิดมีเลือดออกจำนวน
00:25:49 → 00:25:51 มหาศาลในช่องท้องของเราแล้วก็คุนไข้อาจจะ
00:25:51 → 00:25:53 เสียกับการเสียชีวิตหรือว่าลูกก็จะเสีย
00:25:53 → 00:25:56 ชีวิตได้นะครับกรณีอย่างเงี้ยนะครับเ่อ
00:25:56 → 00:25:59 ถ้าทั่วๆไปเนี่ยเราจึงแนแนะนำว่าเอ่อถ้า
00:26:00 → 00:26:02 เกิดเรามีการผ่าตัดคลอดเนี่ยนะครับนะเ่อ
00:26:02 → 00:26:06 ก็แนะนำว่าเอ่อควรจะมีบุตรซักผ่าตัดคลอด
00:26:06 → 00:26:09 สัก 2 ครั้งเพียงพอนะครับถ้าเพิ่มเป็น
00:26:09 → 00:26:12 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 เนี่ยไอ้บริเวณที่
00:26:12 → 00:26:14 เราเป็นแผลผ่าตัดเดิมเนี่ยนะครับมันจะ
00:26:14 → 00:26:16 เป็นจุดบอบบางพอมันจุดเป็นจุดบอบบางเวลา
00:26:16 → 00:26:19 ตั้งครรภ์ครั้งต่อไปเนี่ยมดลูกเนี่ยมันจะ
00:26:19 → 00:26:21 ยืดขยายขึ้นนะครับหลายๆท่านอาจจะไม่ทราบ
00:26:21 → 00:26:24 มดลูกในภาวะปกติที่เราไม่ได้ตั้งครร์
00:26:24 → 00:26:26 เนี่ยนะครับมันจะมีขนาดเท่าๆกับกำปั้นมือ
00:26:26 → 00:26:29 เราเท่านั้นเองค่ะเล็กนิดเดียวแต่พอเรา
00:26:29 → 00:26:31 ตั้งคันเนี่ยมดลูกมันจะขยายขึ้นจนกระทั่ง
00:26:31 → 00:26:33 บรรจุลูกทั้งคนน่ะ 3 กเนี่ยเข้าไปอยู่ใน
00:26:33 → 00:26:36 ายเหมือนกับถ้าเราสังเกตตัวท้องเราเนี่ย
00:26:36 → 00:26:38 คนที่ท้องใกล้คอดเนี่ยโหมดลูกมันจะใหญ่
00:26:38 → 00:26:40 ขึ้นไปจนกระทั่งท้องโตขึ้นไปจนถึงลิ้นตี
00:26:40 → 00:26:43 เลยอ่ะอืนะครับเพราะฉะนั้นความที่มดลูก
00:26:43 → 00:26:46 มันถูกยืดขยายจากขนาดที่เป็นแค่กำปั้น
00:26:46 → 00:26:48 เนี่ยกลายเป็นขนาดที่ใหญ่เท่าลิ้นปี่เต็ม
00:26:48 → 00:26:50 ช่องท้องเราเนี่ยอือความที่ยืดนมากๆเนี่ย
00:26:51 → 00:26:54 นะครับมันจะเกิดเอ่อความเสี่ยงของการที่
00:26:54 → 00:26:56 บริเวณที่เป็นแผลจากการผ่าตัดคลอดครั้ง
00:26:56 → 00:26:58 ก่อนเนี่ยมันจะเป็นจุดบอกบ้างแล้วพอยืดมา
00:26:59 → 00:27:00 ๆเนี่ยมันอาจจะฉีดขาดแล้วก็กลายเป็นภาวะ
00:27:00 → 00:27:04 มดลูกแตกได้ค่ะเพราะฉะนั้นถ้าถ้าเราพูด
00:27:04 → 00:27:07 ถึงการคลอดเองเนี่ยนะครับว่าความเสี่ยงเ
00:27:07 → 00:27:10 ของการที่อ่ะอ่าช่องคลอดมันจะหย่อนฝี
00:27:10 → 00:27:12 เยียบจะหย่อนแล้วเกิดการคลอดก่อนกำหนด
00:27:12 → 00:27:15 หรือว่าไอจามทีเดียวลูกก็ขดไหลออกมาแล้ว
00:27:15 → 00:27:18 เงี้ยนะอันนั้นเรามองไปถึงการตั้งกันสัก 4
00:27:18 → 00:27:20 ครั้ง 5 ครั้งขึึ้นไปแต่ถ้าเป็นการผ่าตัด
00:27:20 → 00:27:23 คลอดเนี่ยเอ่อความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อ
00:27:23 → 00:27:26 เราตั้งครรภ์เป็นครั้งที่ 3 ขึ้นไปก็คือ
00:27:26 → 00:27:28 เราจะถือว่าความเสี่ยงน้อยเนี่ยเมื่อ 2
00:27:28 → 00:27:30 ครั้งแต่ถ้าเกินไปเนี่ย 3 ครั้ง 4 ครั้ง 5
00:27:30 → 00:27:32 ครั้งเนี่ยอันนี้ความเสี่ยงจะเริ่มสูง
00:27:32 → 00:27:35 ขึ้นละค่ะค่ะนะครับเพราะว่ามันมีความ
00:27:35 → 00:27:37 เสี่ยงถึงขั้นมลูกแตกแล้วก็อาจจะทำให้
00:27:37 → 00:27:40 เลือดออกในช่องท้องแล้วก็เสียชีวิตได้อ
00:27:40 → 00:27:42 เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดว่าอย่างหัวข้อของ
00:27:42 → 00:27:44 เราวันเนี้ยผู้หญิงสักขั้นนึงเนี่ยควรจะ
00:27:44 → 00:27:46 ตั้งันมีรุ่งสักกี่คนเนี่ยนะครับค่ะเรา
00:27:47 → 00:27:49 ถือหลักก็ว่าก็จริงๆแล้วในทางธรรมชาติ
00:27:49 → 00:27:52 เนี่ยมันจะมีกี่คนก็ได้แต่ถ้าเรารู้จัก
00:27:52 → 00:27:55 ว่าความเสี่ยงต่างๆมันมีอยู่เนะครับนะอ่า
00:27:55 → 00:27:58 ถ้าพูดกันง่ายๆคือไม่ว่าจะสรุปว่าเป็นการ
00:27:58 → 00:28:00 คลอดเองหรือผ่าตัดคลอดก็ตามเนี่ยถ้าเรามี
00:28:00 → 00:28:03 ลูกสักไม่เกิน 2 คนเนี่ยนะครับอันเนี้ย
00:28:03 → 00:28:05 ไม่ว่าจะเป็นคลอดเองหรือผ่าคลอดเนี่ยก็จะ
00:28:05 → 00:28:08 ถือว่าอยู่ในจุดที่ปลอดภัยเสมอ
00:28:08 → 00:28:11 อ๋อนะครับเพราะฉะนั้นอ่าประโยคตนี้ฟังดีๆ
00:28:11 → 00:28:14 นะครับแปลว่าถ้าเราพูดถึงว่าผู้หญิงคนนึง
00:28:14 → 00:28:16 มีโอกาสจะมีลูกได้กี่คนเนี่ยนะครับถ้าตาม
00:28:16 → 00:28:19 ธรรมชาติเนี่ยแล้วแต่เลยไม่จำกัดค่ะขึ้น
00:28:19 → 00:28:21 อยู่กับว่าถ้าสมมุติเรามีเพศสัมพันธ์แล้ว
00:28:21 → 00:28:23 มันเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นก็แปลว่าธรรมชาติ
00:28:23 → 00:28:25 อนุญาตให้ตั้งครรภ์ได้ก็ธรรมชาติก็
00:28:25 → 00:28:27 ประเมินแล้วว่าร่างกายคณผู้หญิงคนนั้น
00:28:27 → 00:28:29 สำหรับยังพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ค่ะแต่
00:28:30 → 00:28:32 ถ้าเราพูดในเชิงของความปลอดภัยเนี่ยนะ
00:28:32 → 00:28:34 ครับถ้าเป็นการ่อตั้งครรภ์แล้วคลอดเองใน
00:28:34 → 00:28:37 ธรรมชาติเนี่ยนะครับเริ่มเอ่อไม่ก็ไม่ควร
00:28:37 → 00:28:40 จะเกิน 4-5 คนเพราะว่ามันจะเริ่มเพิ่ม
00:28:40 → 00:28:42 ความเสี่ยงละอืแต่ถ้าเป็นการคลอดโดยการ
00:28:42 → 00:28:45 ผ่าตัดคลอดเนี่ยก็ไม่ควรจะเกิน 2 คนค่ะอื
00:28:45 → 00:28:47 นะครับความเสี่ยงก็จะมาแล้วะนะครับเพราะ
00:28:47 → 00:28:49 ฉะนั้นอันนี้ก็เป็นข้อมูลที่อยากเรียนให้
00:28:49 → 00:28:52 หลายๆท่านที่วางแผนจะมีลูกนะครับมี
00:28:52 → 00:28:54 ครอบครัวต่างๆเนี่ยก็จะได้จะได้รู้ว่า
00:28:55 → 00:28:58 เอ๊ะเราเราจะวางแผนยังไงต่อไปเพื่อให้มัน
00:28:58 → 00:29:01 ความเสี่ยงมันน้อยที่สุดค่ะค่ะคุณหมอ
00:29:01 → 00:29:03 สำหรับการผ่าตัดคลอดเนี่ยค่ะสมมุติท้อง
00:29:03 → 00:29:06 ท้องแรกเนี่ยเกิดแฝดอย่างเงี้ยค่ะแล้วผ่า
00:29:06 → 00:29:09 ตัดคลอดใช่มั้ยคะแล้วพอท้องที่ 2 อีก
00:29:09 → 00:29:11 อย่างเงี้ยค่ะสามารถที่จะเป็นแฝดได้อีก
00:29:11 → 00:29:14 มั้ยคะหรือว่ามันเสี่ยงมากไม่ควรละเอ่อ
00:29:14 → 00:29:16 จริงๆแล้วเนี่ยอย่างที่เราบอกครับจุดบอบ
00:29:16 → 00:29:19 บางของแผลตรงช่วงล่างของกล้ามเนื้อมดลูก
00:29:19 → 00:29:22 เนี่ยนะครับมันจะเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการ
00:29:22 → 00:29:24 เอ่อฉีกขาดหรือที่เราเรียกมดลูกแตกได้อ
00:29:25 → 00:29:28 ค่ะเอ่อจำนวนของบุตรเนี่ยนะครับเอ่อมันจะ
00:29:28 → 00:29:32 มีผลต่อการยืดขยายของของเอ่อมดลูกสมมุติ
00:29:32 → 00:29:34 เรามีลูกคนนึงเนี่ยท้องมดลูกเราก็ใหญ่
00:29:34 → 00:29:36 ประมาณนึงแต่ถ้ามีลูก 2 คนมดลูกก็ใหญ่
00:29:36 → 00:29:39 เป็น 2 เท่าใช่มั้ยครับแต่ว่าในกระบวนการ
00:29:39 → 00:29:41 ของการคลอดจริงๆเนี่ยนะครับไม่ว่าไม่ว่า
00:29:41 → 00:29:44 ลูกจะใหญ่เท่าไหร่แต่เวลาเราลงแผลเพื่อ
00:29:44 → 00:29:46 ผ่าตัดคลอดมมดลูกเนี่ยเราก็จะลงแผลให้
00:29:46 → 00:29:49 กว้างเพียงพอที่จะทำคลอดลูกคนนึงถึงออกมา
00:29:49 → 00:29:52 ได้อือืดังนั้นแปลว่าสมมุติเราผ่าตัดคลอด
00:29:53 → 00:29:54 ในคนที่เป็นแฝดเนี่ยเราไม่ได้ลงแผลกว้าง
00:29:54 → 00:29:56 เป็น 2 เท่านะครับเพราะว่าเราไม่ได้คลอด
00:29:57 → 00:29:59 พร้อมกัน 2 คนเวลาเราลงมีดเนี่ยเราลงมีด
00:29:59 → 00:30:02 ให้กว้างพอที่ลูกคนนึงจะคลอดออกมาได้แล้ว
00:30:02 → 00:30:04 เราทำคลอดคนที่ 1 แต่แล้วเราทำทำคลอดคน
00:30:04 → 00:30:08 ที่ 2 ตามหลังมาค่ะนะครับเพราะฉะนั้นกรณี
00:30:08 → 00:30:10 แบบนี้เนี่ยถ้าเราตั้งภ์เป็นแฝดในครั้ง
00:30:10 → 00:30:12 แรกนะครับแล้วครั้งที่ 2 เกิดการตั้งภ์
00:30:12 → 00:30:15 เป็นแฝดขึ้นเนี่ยความเสี่ยงในเรื่องของ
00:30:15 → 00:30:18 การที่เอ่อจะเ่อแผลบนมดลูกมันจะปิหรือ
00:30:18 → 00:30:20 เกิดกภาวะมดลูกแตกเนี่ยอันนี้เรียกไม่ได้
00:30:20 → 00:30:23 ว่าเท่ากับคนที่ตั้งคันเดียวเลยครับออ๋อ
00:30:23 → 00:30:25 ถ้าเป็นการตั้งคันเพียงแค่ครั้งที่ 2
00:30:25 → 00:30:28 เนี่ยเราถือว่าความสไม่ได้มากนะครับครับ
00:30:28 → 00:30:30 แต่ถ้าเกิดเป็นครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 อัน
00:30:30 → 00:30:31 นั้นก็ถือว่าความเสี่ยงก็ต้องมากขึ้นเป็น
00:30:31 → 00:30:35 เงาตามตัวค่ะตอนแรกแค่แอบสงสัยว่าพอมี
00:30:35 → 00:30:38 เด็ก 2 คนอยู่ในท้องที่ 2 ซึ่งมันมีรอย
00:30:38 → 00:30:41 แผลผ่าตัดอยู่ก่อนแล้วจากการอ่าคลอดท้อง
00:30:41 → 00:30:44 แรกอย่างเงี้ยค่ะตอนแรกคิดว่ามันจะมีผล
00:30:44 → 00:30:47 ต่อการปริของแผลไม้ท้องที่มันใหญ่ขึ้นจาก
00:30:47 → 00:30:49 เด็ก 2 คนที่อยู่ข้างในท้องอะไรอย่าเงี้ย
00:30:49 → 00:30:52 ค่ะครับส่วนส่วนที่ขยายจริงๆจะเป็นส่วนบน
00:30:52 → 00:30:54 ของตัวมดลูกครับส่วนที่เหนือแผลขึ้นไปที่
00:30:54 → 00:30:57 มันจะขยายขึ้นไปอ๋อนะครับในส่วนของแผนี่
00:30:57 → 00:30:59 จะเป็นส่วนที่อ่าที่เราจะกังวลก็คือจะ
00:30:59 → 00:31:02 กังวลในช่วงที่มดลูกมีการบีบตัวคือพูด
00:31:02 → 00:31:05 ง่ายๆว่ากังวลในกรณีที่มีการเจ็บท้องคลอด
00:31:05 → 00:31:07 เพราฉนั้นเราจะเห็นได้ว่าเ่อสำหรับเป็น
00:31:07 → 00:31:09 คุณแม่ที่คลอดโดยธรรมชาติเนี่ยนะครับ
00:31:09 → 00:31:12 อันเนี้ยระยะเวลาการคลอดเนี่ยขึ้นอยู่กับ
00:31:12 → 00:31:13 ว่าเมื่อไหร่ที่เริ่มเจ็บท้องคลอดอ่าเรา
00:31:13 → 00:31:16 ก็มาโรงพยาบาลแต่ถ้าเป็นการผ่าตัดคลอด
00:31:16 → 00:31:19 เนี่ยนะครับผ่าตัดคลอดครั้งแรกเนี่ยอัน
00:31:19 → 00:31:21 นี้อาจแล้วแต่อาจจะเป็นกรณีที่เอ่อเจ็บ
00:31:21 → 00:31:23 ท้องคลอดมาแล้วพยายามคลอดเองแล้วไม่
00:31:23 → 00:31:24 สำเร็จแล้วก็ต้องเปลี่ยนไผ่าคลอดอะไร
00:31:24 → 00:31:27 อย่างเงี้ยนะครับนั้นเป็นกรณีครั้งแรกแต่
00:31:27 → 00:31:29 ถ้าเป็นการผ่าตัดคลอดครั้งที่ 2 เนี่ยนะ
00:31:29 → 00:31:32 ครับเอ่อเรารู้ว่ามดลูกเนี่ยมันมีแผลมี
00:31:32 → 00:31:34 จุดบอบบางที่เสี่ยงต่อการแตกแล้วเนี่ยนะ
00:31:34 → 00:31:37 ครับถ้าเกิดเป็นการผ่าตัดคลอดครั้งที่ 2
00:31:37 → 00:31:40 เนี่ยเรามักจะพยายามกำหนดวันเพื่อให้เอ่อ
00:31:40 → 00:31:42 การผ่าตัดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่มดลูกจะบีด
00:31:42 → 00:31:45 ตัวก่อนที่จะเกิดการเจ็บท้องคลอดค่ะเพราะ
00:31:45 → 00:31:47 ว่าถ้าเรามีความเจ็บท้องคลอดเมื่อไหร่
00:31:47 → 00:31:49 เนี่ยความเสี่ยงเรื่องมดลูกแตกก็จะตามมา
00:31:49 → 00:31:51 เมื่อนั้นเพราะงั้นอยากกับนั้นเลยเราก็
00:31:51 → 00:31:54 ผ่าคลอดซักให้ทันก่อนที่มดรุกมันจะบีดตัว
00:31:54 → 00:31:56 ก่อนที่จะเก็บท้องคลอดอืเพราะะนั้นก็จะมี
00:31:56 → 00:31:58 หลายๆกรณีครับที่เราวางแผนไว้ว่าเอ๊ะ
00:31:58 → 00:32:01 เดี๋ยวเราจะคลอดวันนี้วันนี้แต่พอในที่
00:32:01 → 00:32:03 สุดเนี่ยเกิดการเจ็บท้องมาก่อนเนี่ยนะ
00:32:03 → 00:32:06 ครับถ้าเจ็บท้องเมื่อไหร่เนี่ยแปลว่าเรา
00:32:06 → 00:32:09 ต้องผ่าข้อทันทีค่ะค่ะนะครับสำหรับคนที่
00:32:09 → 00:32:11 เคยผ่าข้อในท้องแรกมาแล้วท้องที่ 2 เนี่ย
00:32:11 → 00:32:13 ถ้าเจ็บท้องปุ๊บเนี่ยถึงจะยังไม่ถึงกำหนด
00:32:13 → 00:32:16 ที่เราวางแผนไว้แต่ว่าแต่ว่าก็ต้องผ่าเลย
00:32:16 → 00:32:18 เพราะว่าไม่งั้นมันจะเกิดความเสี่ยงของ
00:32:18 → 00:32:21 การมดลูกแตกได้อืค่ะคราวนี้คราวนี้คำถาม
00:32:21 → 00:32:24 นึงที่คนไม่จะสงสัยก็คืออ้าวถ้าเกิดเรา
00:32:24 → 00:32:26 ผ่าตัดคลอดในการคลอดครั้งแรกแล้วเนี่ยมด
00:32:26 → 00:32:29 ลูกมันมีความบอบบ้าเนี่ยนะครับค่ะมันจะ
00:32:29 → 00:32:31 เป็นไปได้มยที่เราจะคลอดบุตรโดยธรรมชาติ
00:32:31 → 00:32:36 ในการคลอดครั้งที่ 2 อืค่ะอ่านะครับกรณี
00:32:36 → 00:32:39 อย่างเงี้ยเกิดขึ้นได้นะครับอันนี้เรา
00:32:39 → 00:32:42 ภาวะอันนี้เราเรียกว่าอ่าถ้าถ้าเป็นภาษา
00:32:42 → 00:32:45 อังกฤษเรียกว่า vb นะครับก็คือ V ก็คือมา
00:32:45 → 00:32:49 จาก vaginal นะครับ bac หรือแเก็คือ
00:32:49 → 00:32:52 vaginal Bird After Sean C คือผา
00:32:52 → 00:32:55 ท้องคลอดก็แปลว่าเ่อการดูแลการคลอดเนี้ย
00:32:55 → 00:32:57 จะเป็นลักษณะของการคลอดทางช่องคลอดภาย
00:32:57 → 00:33:00 หลังจากการมีการอ่าคลอดในการผ่าตัดมาก่อน
00:33:00 → 00:33:02 อันนี้สามารถทำได้นะครับเพียงแต่ว่าต้อง
00:33:02 → 00:33:04 ดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะว่าเรารู้อยู่แล้ว
00:33:04 → 00:33:06 ว่ามดรุที่เคยผ่าคลอดมาในอดีตเนี่ยมันมี
00:33:06 → 00:33:08 ความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดมดลูกแปกใน
00:33:08 → 00:33:11 บริเวณแนวแผลได้เพราะฉะนั้นการดูแลการ
00:33:11 → 00:33:12 ตั้งครรภ์เนี่ยจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดย
00:33:13 → 00:33:16 สูสิอีแพทย์นะครับแล้วก็เ่อถ้าดูแลแล้ว
00:33:16 → 00:33:19 เกิดมีมันในบางขณะของการที่กำลังเจ็บท้อง
00:33:19 → 00:33:21 คลอดอยู่แล้วเราสังเกตได้ว่าลักษณะของมด
00:33:21 → 00:33:24 ลูกมันกำลังจะแปลกเนี่ยเราจะเปลี่ยนเป็น
00:33:24 → 00:33:28 ผ่าคอดทันทีอ๋อนะครับค่ะนี้การที่เราจะ
00:33:28 → 00:33:31 บอกว่าเราจะคลอดครั้งที่ 2 โดยธรรมชาติ
00:33:31 → 00:33:33 เนี่ยนะครับที่เรียกว่า vb เนี่ยนะครับ
00:33:33 → 00:33:35 มันมีข้อกำหนดอยู่เหมือนกันครับว่าเอ่อ
00:33:35 → 00:33:37 เมื่อไหร่ที่เราทำ vb ได้เมื่อไหร่ที่เรา
00:33:37 → 00:33:41 ทำไม่ได้นะครับเราจะดูจากข้อบ่งชี้ของการ
00:33:41 → 00:33:44 ผ่าตัดคอดครั้งแรกนะครับคือการผ่าตัดคลอด
00:33:44 → 00:33:46 เนี่ยนะครับเราจะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้นะ
00:33:46 → 00:33:49 ครับไม่ใช่จับทุกคนมาผ่าตัดคลอดหมดเพราะ
00:33:49 → 00:33:50 ว่าเราถือว่าทุกคนคลอดตามธรรมชาติได้ก็
00:33:50 → 00:33:52 เราก็ปล่อยตามธรรมชาติแต่ว่าถ้ามันมีข้อ
00:33:52 → 00:33:55 บงชี้บางอย่างที่อาจจะเป็นอันตรายเนี่ยก็
00:33:55 → 00:33:58 คือเราก็จะมีการผ่าตัดคอดได้ซึ่งข้อบ่ง
00:33:58 → 00:34:01 ชี้ของการผ่าตัดคลอดที่สำคัญอันนึงก็คือ
00:34:01 → 00:34:05 ภาวะที่เราประเมินว่าลูกมีขนาดใหญ่แล้วก็
00:34:05 → 00:34:08 ประเมินว่าอุ้มใหญ่กว่าอุ้มเชิงการของคุณ
00:34:08 → 00:34:10 แม่อืคือคดการคลอดทางช่องคลอดเนี่ยลูก
00:34:10 → 00:34:12 ต้องเคลื่อนผ่านลงมาผ่านทางช่องคลอดใช่
00:34:12 → 00:34:14 มั้ยครับเพราะฉะนั้นมันจะเคลื่อนผ่าน
00:34:14 → 00:34:16 กระดูกเชิงการเพราะฉะนั้นคุณแม่บางคนที่
00:34:16 → 00:34:21 เอ่ออ่า้าคือคุณแม่คุณแม่ที่ตัวใหญ่ๆสูงๆ
00:34:21 → 00:34:24 เนี่ยกระดกเชิงการมักจะกว้างนะครับแต่คุณ
00:34:24 → 00:34:27 แม่ที่ตัวเล็กๆนะครับนะบางทีเถ้าถ้าความ
00:34:27 → 00:34:30 สูงคุณแม่เนี่ย 100 กับ 150 ซมลงมาเนี่ย
00:34:30 → 00:34:31 อันนี้ก็ถือว่าเริ่มมีความเสี่ยงต่อการ
00:34:31 → 00:34:34 ที่เชิงการมันจะแคบเกินไปที่จะคลอดลูกเลย
00:34:34 → 00:34:37 อืนะครับเพราะฉะนั้นเราจะถืออย่างงี้ครับ
00:34:37 → 00:34:40 ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดคลอดในการคลอดครั้ง
00:34:40 → 00:34:43 แรกเนี่ยถ้าข้อบ่งชี้นั่นเกิดจากภาวะที่
00:34:43 → 00:34:46 คุณหมอท่านที่ทำคลอดไว้เดิมเนี่ยท่าน
00:34:46 → 00:34:48 เขียนไว้เลยว่าคนที่ผ่าคลอดเพราะว่า
00:34:48 → 00:34:52 ประเมินแล้วเนี่ยอุ้งชนการแค่แคบเกินไป
00:34:52 → 00:34:54 ถ้าเป็นกรณีอย่างเงี้นะครับครั้งที่ 2
00:34:54 → 00:34:58 เนี่ยห้ามทำบคเพราะว่าถ้าอุ้งเรืองการมัน
00:34:58 → 00:35:01 แคบอ่ะค่ะมีลูกคนต่อไปมันก็แคบเหมือนเดิม
00:35:01 → 00:35:03 ไงอ๋อเพราะฉะนั้นการคอดทางช่องคอดเนี่ย
00:35:03 → 00:35:05 น่าจะติดขัดค่ะนะครับเพราะฉะนั้นถ้าเป็น
00:35:06 → 00:35:08 กรณีที่ครั้งแรกที่ผ่าคลอดเนี่ยผ่าคลอด
00:35:08 → 00:35:12 ด้วยข้อบ่งชี้ว่าเอ่ออุ้งชการของแม่เนี่ย
00:35:12 → 00:35:14 เล็กกว่าที่ตัวลูกจะคลอดได้ถ้าเป็นกรณี
00:35:14 → 00:35:17 แบบนี้นะครับการคลอดครั้งที่ 2 ต้องผ่า
00:35:17 → 00:35:20 คลอด 100% ห้ามห้ามไปทำห้ามไปเสี่ยงทำบค
00:35:20 → 00:35:22 หรือว่าเสี่ยงตการคลอดทางช่องคลอดเพราะ
00:35:22 → 00:35:25 ว่าเรารู้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าเอ่อการ
00:35:25 → 00:35:27 คลอดครั้งแรกเนี่ยุงชังกามันแคบเกินไป
00:35:27 → 00:35:31 อยู่แล้วค่ะแต่กรณียังกรณีแบบนี้ก็ยังมี
00:35:31 → 00:35:34 กรณีปีกย่อยครับเช่นเอ่อเราต้องมาดูน้ำ
00:35:34 → 00:35:37 หนักของลูกด้วยนะครับสมมุติลูกคนแรกเนี่ย
00:35:37 → 00:35:40 นะครับตัวใหญ่นะครับเช่นหูใหญ่ 3 ก 6 3
00:35:40 → 00:35:43 ก 7 อย่าเงี้ยนะครับแล้วกลายเป็นข้อทาง
00:35:43 → 00:35:45 ช่องคลอดไม่ไหวเพราะว่าตัวใหญ่เกินกว่า
00:35:45 → 00:35:47 เชิงการของแม่เนี่ยนะครับอือเอ่อคุณหมอก็
00:35:47 → 00:35:50 จะผ่าคลอดไปในการคลอดครั้งแรกค่ะแต่ถ้า
00:35:50 → 00:35:53 เกิดครั้งที่ 2 เนี่ยนะครับเราดูแลคันได้
00:35:53 → 00:35:55 ดีนะครับควบคุมน้ำหนักของลูกไม่ให้ใหญ่
00:35:55 → 00:35:57 โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใหญ่เกินครั้งครั้ง
00:35:57 → 00:36:00 แรกก็แปลว่าครั้งที่ 2 เนี่ยลูกอาจจะตัว
00:36:00 → 00:36:02 เล็กเพียงพอที่จะสามารถคลอดทางช่องคลอด
00:36:02 → 00:36:07 ได้อืกรณีแบบเนี้ยเราจะอนุญาตให้ให้ทำการ
00:36:07 → 00:36:09 คลอดทางช่องคลอดในครั้งที่ 2 ได้นะครับ
00:36:09 → 00:36:11 เพราะฉะนั้นมันก็ประเมินจาก 2 อย่างคือ
00:36:11 → 00:36:15 เชิงการแม่ถ้าแคบจรงๆแค่แคบจริงๆเนี่ยยัง
00:36:15 → 00:36:17 ไงท้องต่อไปมันก็แคบแน่ๆเพราะฉะนั้นกรณี
00:36:17 → 00:36:20 แบบเยต้องผ่าเราจะไม่เราจะไม่ลองคลอดเอง
00:36:20 → 00:36:23 ในครั้งที่ 2 ค่ะแต่ถ้าเกิดจากมันไม่เชิง
00:36:23 → 00:36:25 การแม่ไม่ได้แคบแต่ลูกคนแรกมันตัวใหญ่
00:36:25 → 00:36:28 อันเนี้ยคอสไม่ได้เราก็ผ่าแต่ว่าถ้าลูกคน
00:36:28 → 00:36:30 ที่ 2 ตัวเล็กกว่าคนแรกเนี่ยอันเนี้ยเรา
00:36:30 → 00:36:33 ถือว่าน่าจะคลอดเองได้เพราะฉะนั้นน้ำหนัก
00:36:33 → 00:36:35 ของลูกคนแรกก็มีความสำคัญครับถ้าลูกคนที่
00:36:36 → 00:36:38 2 เนี่ยน้ำหนักตัวมากกว่าคนแรกขนาดคนแรก
00:36:38 → 00:36:41 ยังต้องผ่าเลยคนที่ 2 เนี่ยก็ต้องผ่าแน่
00:36:41 → 00:36:45 นอนนะครับอืเพราะฉะนั้นก็ถ้าเราคลอดโดย
00:36:45 → 00:36:47 การคลอดเองหรือผ่าคลอดมันก็จะไปเข้าไอ้
00:36:47 → 00:36:49 ข้อเบื้องต้นที่เราบอกไปแล้วอ่ะถ้าคลอด
00:36:49 → 00:36:52 เองเนี่ย 4-5 ครั้งเนี่ยเราถึงจะมีความ
00:36:52 → 00:36:54 เสี่ยงแต่ถ้าผ่าตัดคลอดมาเนี่ย 2 ครั้ง
00:36:54 → 00:36:56 เนี่ยพอเริ่มเข้าสู่ครั้งที่ 3 ก็เริ่มมี
00:36:56 → 00:37:00 ความเสี่ยงละค่ะมีคุณผู้ฟังถามเข้ามาใน
00:37:00 → 00:37:02 เรื่องเกี่ยวกับเรื่องการคลอดกับการผ่า
00:37:02 → 00:37:06 ตัดเหมือนกันค่ะคุณหมอคือคุณผู้ฟังอ่ะถาม
00:37:06 → 00:37:10 ว่าเด็กที่คลอดเกินกว่า 9 เดือนจะฉลาด
00:37:10 → 00:37:15 กว่าจริงไหแล้วทำไมสมัยปัจจุบันชอบผ่า
00:37:15 → 00:37:19 คลอดอันนี้คำถามแรกนะคะคำถามที่ 2 ก็ถาม
00:37:19 → 00:37:22 ว่าสมัยก่อนอยู่ไฟเพื่ออะไร 3 มา 2 คำถาม
00:37:22 → 00:37:26 ค่ะคุณหมออ่าอย่างงี้ครับตอบคำถามแรกก่อน
00:37:26 → 00:37:28 นะครับในกรณีของการทงคอนเองเนี่ยนะครับ
00:37:28 → 00:37:30 เ่อถ้าลูกเนี่ยจริงๆเราประเมินอย่างงี้
00:37:31 → 00:37:33 ครับเราไม่ได้ประเมินว่าลูกเนี่ยอายุคัน
00:37:33 → 00:37:36 เยอะแค่ไหนแล้วถึงจะถือว่าฉลาดกว่านะครับ
00:37:36 → 00:37:38 ความความฉลาดหรืออะไรต่างๆเยเราต้องยอม
00:37:38 → 00:37:40 รับว่าความฉลาดหรือความสามารถในสมองเนี่ย
00:37:40 → 00:37:43 นะครับขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ 1 คือ
00:37:43 → 00:37:46 พันธุกรรมอ๋อนะครับพันธุกรรมเนี่ยก็คือ
00:37:46 → 00:37:49 พันธุกรรมก็จะได้รับการถ่ายทอดผ่านผ่าน
00:37:49 → 00:37:52 คุณพ่อผ่านมาทางอสุจินะครับอืแล้วก็ทาง
00:37:52 → 00:37:55 คุณแม่ก็ผ่านมาทางไข่เพราะงั้นถ้าคุณเรา
00:37:55 → 00:37:57 จะเห็นได้ว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นดอกเตอร์ค่ะ
00:37:57 → 00:38:00 เรียนจบสูงๆฉลาดๆเนี่ยลูกออกมาก็มักจะ
00:38:00 → 00:38:03 เป็นอย่าก็จะฉลาดนะครับเพราะฉะนั้นเ่อ
00:38:03 → 00:38:05 ความฉลาดของลูกเนี่ยปัจจัยที่ 1 มาจาก
00:38:05 → 00:38:09 พันธุกรรมนะครับปัจที่ 2 โภชนาการมีผล
00:38:09 → 00:38:11 สำคัญครับค่ะเพราะการพัฒนาในเรื่องของ
00:38:11 → 00:38:14 เซลล์สมองเซลล์เส้นประสาทการเรียนรู้ต่าง
00:38:14 → 00:38:18 ๆเนี่ยโภชนาการที่สำคัญนะครับเพโดยเฉพาะ
00:38:18 → 00:38:20 อย่างยิ่งโภชนาการในทางด้านโปรตีนนะครับ
00:38:20 → 00:38:23 ถ้าเรามีโปรตีนเพียงพอเนี่ยการสร้างเซลล์
00:38:23 → 00:38:25 ต่างๆเซลล์สมองเซลล์ระบบประสาสต่างๆมันก็
00:38:25 → 00:38:28 จะดีไปด้วยแล้วก็ดี๋นี้เราทราบว่าเอ่อการ
00:38:28 → 00:38:31 ได้รับกดไขมันนะครับที่เราเรียกว่าที่เรา
00:38:31 → 00:38:33 รู้จักกันในในกฎไขมันที่เรียกว่าโอเมก้า 3
00:38:34 → 00:38:37 โอเมก้า 6 ที่มีอยู่ในพวกปาเนี่ยนะครับ
00:38:37 → 00:38:39 ไอ้กรณีแบบนี้เนะครับเดี๋ยวนี้เรามีการ
00:38:39 → 00:38:41 เสริมให้ในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีการ
00:38:41 → 00:38:45 เสริมพวกกดไขมันนะครับให้ก็จะช่วยในการ
00:38:45 → 00:38:48 พัฒนาสมองและระบบประสาทได้ดีขึ้นนะครับ
00:38:48 → 00:38:50 ซึ่งปัจจุบันเนี่ยเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว
00:38:50 → 00:38:52 เวลาคุณหมอเขาดูแลคันเวลาเราฝากคันเนี่ย
00:38:53 → 00:38:54 คุณหมอก็จะให้วิตามินให้อะไรต่างๆที่มัน
00:38:55 → 00:38:59 ครอบคลุมอยู่ละนะครับกปัจจัยที่ 3 นะครับ
00:38:59 → 00:39:02 โภชนาการเมื่อลูกได้รับหลังจากที่เขาเกิด
00:39:02 → 00:39:04 ออกมาแล้วอันนี้ก็จะมีผลต่อความฉลาดของ
00:39:04 → 00:39:07 ลูกเหมือนกันค่ะนะครับนะเพราะฉะนั้นเอ่อ
00:39:07 → 00:39:10 ปัจจัยที่เราบอกว่าเอ๊เราเคยเชื่อว่าถ้า
00:39:10 → 00:39:13 ลูกเนี่ยอายุครรภ์เยอะๆ 39 สัปดาห์ 40
00:39:13 → 00:39:16 สัปดาห์เนี่ยนะครับเอ่อจะมีความฉลาดมาก
00:39:16 → 00:39:19 กว่าอันเนี้ยปัจจัยตรงเนี้ไม่จริงนะครับ
00:39:19 → 00:39:23 ยกเว้นนะครับกรณีที่เอ่อเดี๋ยวหมอพูดย้อน
00:39:23 → 00:39:26 ไปนิดนึงเวลาเราพูดถึงกำหนดการคลอดเนี่ย
00:39:26 → 00:39:27 นะครับเราถือว่าลูกครบกำหนดคอดเนี่ยนะ
00:39:28 → 00:39:31 ครับก็คือเอ่อ 40 สัปดาห์ตั้งทัน 40
00:39:31 → 00:39:33 สัปดาห์นะครับโดยนับจากประจำเดือนครั้ง
00:39:33 → 00:39:36 สุดท้ายเนี่ยนะครับแต่จริงๆแล้วเนี่ยลูก
00:39:36 → 00:39:38 จะมีความสมบูรณ์ที่เราเรียกว่าครอบครบ
00:39:38 → 00:39:40 กำหนดเนี่ยนะครับตั้งแต่อายุกัน์ 37
00:39:40 → 00:39:42 สัปดาห์ไปจนกระทั่งถึงถ้าเลยกำหนดก็คือ
00:39:42 → 00:39:45 เลยไปได้ถึง 42 สัปดาห์เพราะฉะนั้นการ
00:39:45 → 00:39:48 คลอดในช่วง 37 สัปดาห์ถึง 42 สัปดาห์
00:39:48 → 00:39:50 เนี่ยเราถือว่าลูกมีความสมบูรณ์แลเอาไวว
00:39:50 → 00:39:52 ต่างๆทำงานสมบูรณ์แล้วก็การพัฒนาต่างๆเ
00:39:52 → 00:39:54 พร้อมที่ลูกจะคลอดออกมาแล้วก็สามารถดำรง
00:39:54 → 00:39:57 ชีวิตอยู่ได้ตามปกติอืเพราะฉะนั้นอย่าง
00:39:57 → 00:40:00 กรณีคำถามแรกที่ถามมาว่าเอ๊ะถ้าลูกอยู่ใน
00:40:00 → 00:40:03 ท้องนานๆขึ้นมีผลต่อความฉลาดมากขึ้นมย
00:40:03 → 00:40:06 เนี่ยอันเนี้ยถ้าเราเทียบในคนทุกคนที่
00:40:06 → 00:40:08 คลอดเกิน 3.7 สัปดาห์ก็คือคลอดเกำหนด
00:40:08 → 00:40:11 เนี่ยนะครับค่ะนะอายุครรภเนี่ยไม่ได้มีผล
00:40:11 → 00:40:15 ไม่ว่าจะคลอด 3.7 38 39 สัปดาห์เนี่ยนะ
00:40:15 → 00:40:16 ครับปัจจัยที่มีผลจะไปเป็นเรื่องของ
00:40:17 → 00:40:19 พันธุกรรมเรื่องของโภชนาการต่างๆมากกว่า
00:40:19 → 00:40:21 แล้วก็จริงๆแล้วความฉลาดเนี่ยเกิดจาก
00:40:21 → 00:40:23 เรื่องของการเลี้ยงดูด้วยนะครับสมมุติถ้า
00:40:23 → 00:40:26 เราเลี้ยงดูเนี่ยมีการกระตุ้นพัฒนาการทาง
00:40:26 → 00:40:29 สมองอย่างเหมาะสมนะครับเช่นมีการเอ่อ
00:40:29 → 00:40:31 กระตุ้นแบบเดี๋ยวนี้ที่เราถึงมีแบบเอ่อ
00:40:31 → 00:40:35 โรงเรียนที่เ่อฝึกลูกก่อนที่จะเข้าไปสู่
00:40:35 → 00:40:37 การเรียนในเป็นระบบเช่นเดี๋ยวนี้เราเห็น
00:40:37 → 00:40:41 แบบบางๆเอ่อการฝึกพัฒนาการลูกก่อนเตรียม
00:40:41 → 00:40:44 อนุบาลก็ไปไปคุมองไปอะไรหลายๆยี่ห้อที่
00:40:44 → 00:40:46 เราได้ยินกันเนี่ยเพื่อเสริมสร้าง
00:40:46 → 00:40:49 พัฒนาการนะครับหรือว่าถ้าเราตอนที่ลูก
00:40:49 → 00:40:51 เรียนเนี่ยเราสามารถส่งลูกให้เรียนในโรง
00:40:51 → 00:40:53 เรียนที่ดีๆมีการระบบการเรียนการสอนที่ดี
00:40:53 → 00:40:57 เนี่ยลูกก็จะมีโอกาสที่ฉลาดได้ได้มากขึ้น
00:40:57 → 00:41:00 เพราะฉะนั้นเ่อถ้าเราพูดถึงการตั้งครรภ์
00:41:00 → 00:41:02 แล้วคลอดที่ครบกำหนดก็คือเกิน 37 สัปดาห์
00:41:03 → 00:41:05 ขึ้นไปนะครับไม่ว่าเราจะคลอดที่ 37 38
00:41:05 → 00:41:08 39 40 41 42 เนี่ยเอ่อเราถือว่าไม่มี
00:41:08 → 00:41:10 ผลต่อความฉลาดคววามฉลาดมันก็จะใกล้เคียง
00:41:11 → 00:41:14 กันค่ะแต่ถ้าเราเทียบกับการคลอดครบกำหนด
00:41:14 → 00:41:16 กับการคลอดที่ไปเกิดก่อนกำหนดเช่นต่ำกว่า
00:41:16 → 00:41:19 37 สัปดาห์ลงมาอันเนี้ยเราต้องยอมรับว่า
00:41:19 → 00:41:21 อยู่ในจุดที่สมองของลูกเป็นพัฒนาไม่
00:41:21 → 00:41:24 สมบูรณ์นะครับอวัยวะต่างๆทำงานไม่สมบูรณ์
00:41:24 → 00:41:26 เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเราตั้งรเป็นครบ
00:41:26 → 00:41:29 กำดเกิน 37 สัปดาห์เนี่ยนะครับแน่นอนเอ่อ
00:41:29 → 00:41:32 โอกาสพัฒนาสมองหรือว่าความฉลาดของูเนี่ย
00:41:32 → 00:41:34 ย่อมจะต้องดีกว่าการคลอดที่เกิดก่อนกำหนด
00:41:35 → 00:41:37 หเกิดก่อน 37 สัปดาห์นะครับเพราะฉะนั้น
00:41:37 → 00:41:40 ถ้าถ้าเกิน 37 สัปดาห์คือคอคอดครบกำหนด
00:41:40 → 00:41:42 แล้วเนี่ยเ่อไม่ว่าอายุครรภ์จะเท่าไหร่
00:41:42 → 00:41:46 เนี่ยเไม่ได้มีผลต่อความฉลาดของลูกอือัน
00:41:46 → 00:41:49 นี้ให้เข้าใจคำถามที่ 1 ไว้ก่อนนะครับค่ะ
00:41:49 → 00:41:52 เอ๊ะคำถามที่ 1 ยังมีส่วนที่ 2 ใช่มั้ย
00:41:52 → 00:41:55 ครับนอกจากถามเรองความฉลาดแล้วเนี่ยถทำไม
00:41:55 → 00:41:59 ถึงปัจจุบันถึงชพอผาคอดถึงผาคอดมากจริงๆ
00:41:59 → 00:42:02 แล้วเนี่ยนะครับเอ่อในในในทางกระทรวง
00:42:02 → 00:42:05 สาสุขหรือทางการแพทย์เนี่ยเราก็รณรงค์ให้
00:42:05 → 00:42:08 มีการคลอดปกติหรือคลอดทางช่องคลอดอยู่นะ
00:42:08 → 00:42:10 ครับเพราะว่าข้อดีของการคลอดทางช่องคลอด
00:42:10 → 00:42:12 ถ้าเราเทียบกับเรื่องของการผ่าคลอดเนี่ย
00:42:12 → 00:42:15 นะครับก็คือข้อดีในการคอดธรรมชาติเนี่ยนะ
00:42:15 → 00:42:19 ครับก็คือแผลมันจะเล็กนะครับแผลที่อยู่บน
00:42:19 → 00:42:21 ฝีเย็บเนี่ยนะครับเราจะไม่ต้องตัดแผล
00:42:21 → 00:42:24 กว้างเท่ากับเท่ากับแผลบนหน้าท้องในการ
00:42:24 → 00:42:26 ผ่าตัดคลอดเพราะว่าตัวช่องคลอดเองมันก็
00:42:26 → 00:42:29 ขยับอยู่แล้วไงเราแค่ตัดเพิ่มอีกนิดนึง
00:42:29 → 00:42:31 เนี่ยลูกก็คลอดออกมาได้แล้วนะครับเพราะ
00:42:31 → 00:42:34 ฉะนั้นแผลเล็กเนี่ยก็การฟื้นตัวก็จะเร็ว
00:42:34 → 00:42:37 เจ็บแผลน้อยลงนะครับพอแผลเล็กการเสีย
00:42:37 → 00:42:40 เลือดก็จะน้อยกว่านะครับแล้วก็เมื่อคุณ
00:42:40 → 00:42:42 แม่ฟื้นตัวเร็วเนี่ยคุณแม่ก็สามารถทำอะไร
00:42:42 → 00:42:45 ต่างๆได้รวดเร็วขึ้นเช่นสามารถให้นมลูก
00:42:45 → 00:42:48 ได้ทันทีนะครับอือไม่มีความเสี่ยงหรือ
00:42:48 → 00:42:50 ความเสี่ยงตการตั้งครร์ครั้งต่อไปก็จะ
00:42:50 → 00:42:52 น้อยลงแล้วก็อันนึงที่ปัจจุบันนี้เรา
00:42:52 → 00:42:55 รณรงค์กันก็คือเรารู้ว่าถ้าลูกคลอดผ่าน
00:42:56 → 00:42:59 ทางช่องคลอดลงมาเนี่ยนะครับเอ่อลูกจะได้
00:42:59 → 00:43:02 รับเหมือนกับเอ่อแบคทีเรียในช่องคลอดตาม
00:43:02 → 00:43:04 ธรรมชาติของคุณแม่เนี่ยนะครับค่ะจะเป็น
00:43:04 → 00:43:07 ตัวกระตุ้นให้ลูกเนี่ยสร้างภูมิคุ้มกันนะ
00:43:07 → 00:43:09 ครับเพราะฉะนั้นเอ่อการคลอดทางช่องคลอด
00:43:09 → 00:43:11 เนี่ยนะครับลูกมักจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่
00:43:11 → 00:43:14 ดีกว่าการคลอดทางผ่าคลอดที่ที่ลูกไม่ได้
00:43:14 → 00:43:17 ผ่านแบคทีเรียพวกนี้ลงมาอค่ะนะครับในขณะ
00:43:17 → 00:43:19 ที่โอเคการผ่าคลอดก็มีความมีความดีข้อดี
00:43:20 → 00:43:22 ของเขาเหมือนกันนะครับในกรณีนี้ก็คือการ
00:43:22 → 00:43:25 ผ่าัดคลอดเนี่ยมันจะใช้เวลาสั้นๆเช่นตั้ง
00:43:25 → 00:43:28 แต่เราลงมีดจนกระท้าลูกคลอดมาเนี่ยปกติ
00:43:28 → 00:43:31 ไม่เกิน 5 นาทีนะครับอเพราะฉะนั้นถ้ามัน
00:43:31 → 00:43:34 เกิดความเสี่ยงใดๆก็ตามกับลูกเกิดอันตราย
00:43:34 → 00:43:36 ต่างๆกับลูกเนี่ยพอเราผ่าคลอดปุ๊บเนี่ย
00:43:36 → 00:43:38 แป๊บเดียวลูกมาอยู่ในมือเราะหมอเด็ก
00:43:38 → 00:43:41 สามารถดูแลให้สุขภาพลูกปลอดภัยได้คในขณะ
00:43:41 → 00:43:43 ที่การผ่าการคลอดเองโดยธรรมชาติเบางทีเรา
00:43:43 → 00:43:45 เจ็บท้องเนี่ยนะครับโหใช้เวลาคลอดเนี่ย
00:43:45 → 00:43:48 ต่างกันเลยครับบางคนก็ไม่กี่ชั่วโมงก็โชค
00:43:48 → 00:43:50 ดีไปแต่ว่าในระยะเวลานานๆเนี่ยบางคนโห
00:43:50 → 00:43:54 ข้ามคืนหรือว่าเกิน 12 ชมงเนี่ยตลอดเวลา
00:43:54 → 00:43:56 ที่เอ่อมีการเจ็บท้องคอดอยู่ตรงนั้นเนี่ย
00:43:56 → 00:43:58 ลูกจะมีความเสี่ยงตลอดที่จะขาดออกซิเจนจะ
00:43:58 → 00:44:01 มีภาวะผิดปกติ่างๆตามมาได้เพราะงั้นการ
00:44:01 → 00:44:04 ผ่าคลอดมันก็จะมีข้อดีในกรณีนี้นะครับแต่
00:44:04 → 00:44:07 ว่ากรณีอื่นๆเนี่ก็คือมันก็อย่างที่เรา
00:44:07 → 00:44:10 บอกฮะมันก็เป็นข้อข้อด้อยกว่าการผ่าคลอด
00:44:10 → 00:44:13 โดยที่เอ้กว่าการคลอดเองโดยที่มันจะมีแผล
00:44:13 → 00:44:15 ปริมาณแผลที่ใหญ่กว่าพอแผลใหญ่กว่ามันก็
00:44:15 → 00:44:17 เสียเลือดเยอะกว่าเสียเลือดเยอะกว่าแผล
00:44:17 → 00:44:19 ใหญ่ก็เจ็บท้องมากกว่านะครับเจ็บแผลมาก
00:44:19 → 00:44:22 กว่าพอเจ็บแผลมากก็ขยับตัวได้น้อยก็จะ
00:44:22 → 00:44:25 พื้นตัวช้ากว่านะครับเพียงแต่ข้อดีอัน
00:44:25 → 00:44:28 เดียวก็คือเอ่อการผ่าตัดคลอดเนี่ยมัน
00:44:28 → 00:44:30 สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนได้นะครับไม่
00:44:30 → 00:44:33 เหมือนกับการคลอดเองโดยธรรมชาตินะครับอ
00:44:33 → 00:44:36 เวลากำหนดเวลาเนี่ยนะครับโอเคอ่าปัจจัย
00:44:36 → 00:44:38 นึงเราอาจจะพูดถึงเรื่องของเออะเราก็ได้
00:44:38 → 00:44:40 เลิกตามที่เราต้องการอยากจะได้เลิกวันนี้
00:44:40 → 00:44:43 10 เดือน 10 คอด10ม 10 นาทีอะไรเงี้ยได้
00:44:43 → 00:44:46 หมดนะฮะแต่ถ้าเป็นข้อโดยธรรมชาติเนี่ยอัน
00:44:46 → 00:44:48 นี้มันกำหนดไม่ได้เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับ
00:44:48 → 00:44:50 ว่าเมื่อไหร่เราเจ็บท้องซะทีอะไรเงี้ยนะ
00:44:50 → 00:44:54 ค่ะเพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าอ่าการคลอด
00:44:54 → 00:44:57 โดยการผ่าตัดเนี่ยเราสามารถกำหนดเวลาที่
00:44:57 → 00:44:59 แน่นอนได้เนี่ยอันเนี้ยเราไม่ได้มองใน
00:44:59 → 00:45:02 เชิงของเรื่องเลิกยามอย่างเดียวนะครับค่ะ
00:45:02 → 00:45:04 แต่ว่าในกรณีนึงเนี่ยมันมองถึงเรื่องความ
00:45:04 → 00:45:06 ปลอดภัยด้วยอืเพราะฉะนั้นอย่างอย่างกรณี
00:45:06 → 00:45:09 หลายๆครั้งเช่นอ่ายกตัวอย่างหมอมีคนไข้
00:45:09 → 00:45:12 บางทีคุณพ่อทำงานต่างประเทศอ่ะนะครับบาง
00:45:12 → 00:45:14 ทีถ้าเรารู้ว่าผ่าคอดแล้วมันมันจะเกิด
00:45:14 → 00:45:17 ขึ้นในช่วงเนี้ยอเอ่อบางทีอ่ะคุณพ่อก็จะ
00:45:17 → 00:45:19 เดินทางกลับมาได้ทันนะครับเียงานต่างๆได้
00:45:19 → 00:45:21 พร้อมแล้วก็ญาติพี่น้องคือเราอย่าลืมว่า
00:45:22 → 00:45:24 การคลอดบุตรเนี่ยพอลูกคลอดออกมาเนี่ยตอน
00:45:24 → 00:45:26 อยู่โรงพยาบาลไม่เท่าไหร่ไงมีเนอเซอรี่มี
00:45:26 → 00:45:29 พยาบาลมีอะไรคอยช่วยดูแลแต่ว่าพอเวลากลับ
00:45:29 → 00:45:31 บ้านไปจริงๆเนี่ยคุณแม่ดูแลคนเดียวเนี่ย
00:45:31 → 00:45:33 โหมันเป็นภาระที่หนักเหมือนกันค่ะเพราะ
00:45:33 → 00:45:35 ฉะนั้นถ้าเป็นกรณีแบบเนี้ถ้าเรากำหนดเวลา
00:45:35 → 00:45:37 คลอดได้แน่นอนเนี่ยทุกคนในครอบครัวอย่าง
00:45:37 → 00:45:41 คุณพ่อสามารถลางานมาช่วยดูแลลูกได้พร้อมๆ
00:45:41 → 00:45:43 กับคุณแม่นะครับการคลอดเนี่ยนะครับเรา
00:45:44 → 00:45:46 ต้องยอมรับว่าการคลอดที่เกิดขึ้นอย่าง
00:45:46 → 00:45:49 ฉุกเฉินเนี่ยนะครับเช่นเช่นเราเก็บท้อง
00:45:49 → 00:45:52 คลอดมากลางคืนสมมุติถ้าเกิดกลางกลางคืน
00:45:52 → 00:45:54 เนี่ยนะครับในแง่ของความพร้อมของโรง
00:45:54 → 00:45:56 พยาบาลหรือบุคลากรเนี่ยบางทีคุณหมอเด็ก
00:45:56 → 00:45:59 ที่อยู่ก็ท่านก็ไม่ได้อยู่ประจำทั้งคืนนะ
00:45:59 → 00:46:02 ครับแต่ว่าพอมีกรณีข้อฉุกเฉินก็จะตามท่าน
00:46:02 → 00:46:04 มามันก็จะกลายเป็นกรณีที่ฉูละหุกอ่ะ
00:46:04 → 00:46:06 เหมือนบุคลากรต่างๆต้องถูกตามมาจากบ้าน
00:46:06 → 00:46:09 มันก็ไม่ได้พร้อมเท่ากับเวลาเราผ่าตัด
00:46:09 → 00:46:11 คลอดเนี่ยมันเซ็ตเวลาไว้แล้วเพราะงั้นทีม
00:46:11 → 00:46:14 บุคลากรต่างๆก็จะเตรียมไว้พร้อมอยู่ล่วง
00:46:14 → 00:46:17 หน้าอยู่แล้วนะครับคดังนั้นถ้าเราพูดถึง
00:46:18 → 00:46:20 นะครับในกรณีปัจจุบันว่าทำไมถึงคนนโยมผ่า
00:46:20 → 00:46:23 ตัดคลอดมากขึ้นก็จะนิยมในกรณีนี้นะครับก็
00:46:23 → 00:46:26 คือสามารถกำหนดเวลาสามารถวางแผนเพื่อการ
00:46:26 → 00:46:29 ดูแลการคลอดแล้วก็การดูแลคุณแม่หลังคลอด
00:46:29 → 00:46:31 ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นอืแล้วก็แน่นอน
00:46:31 → 00:46:33 ครับในแง่ของคนไทยเราก็จะมีความเชื่อต่าง
00:46:34 → 00:46:36 ๆมากขึ้นเพราะฉะนั้นโอกาสในการผ่าตัดคลอด
00:46:36 → 00:46:39 ที่มันเพิ่มขึ้นก็อาจจะมาจาก 2 กรณีนี้นะ
00:46:39 → 00:46:41 ครับแต่ว่าปัจจุบันถ้าเราเทียบกันจริงๆ
00:46:41 → 00:46:44 แล้วเนี่ยเอ่อคนทั่วไปก็ถ้าเทียบสถิตินะ
00:46:44 → 00:46:47 ครับในการคลอดทั้งประเทศแล้วเนี่ยอัตรา
00:46:47 → 00:46:49 การคลอดโดยการคลอดธรรมชาติก็ยังสูงกว่า
00:46:49 → 00:46:52 การผ่าตัดคลอดอยู่นะครับออครับเพียงแต่
00:46:52 → 00:46:54 ว่าเราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันเยอะ
00:46:54 → 00:46:56 กว่าในแต่ก่อนไงเราก็เลยรู้สึกว่าเหมือน
00:46:56 → 00:46:58 หันไปทางไหนไปเจอใครคุณแม่คนไหนคลอดลูก
00:46:58 → 00:47:01 เพื่อนฝูงพอถามอ้าคนนี้ผ่าคลอดคนนี้ผ่า
00:47:01 → 00:47:03 คลอดคนนี้ผ่าคลอดมามันดูเยอะแต่จริงๆถ้า
00:47:03 → 00:47:04 เราเทียบทั้งหมดแล้วเนี่ยนะครับคนที่ไม่
00:47:05 → 00:47:07 ใช่เพื่อนเราไม่ใช่ญาติเราเนี่ยก็ยังคลอด
00:47:07 → 00:47:11 ปกติอยู่เยอะกว่านะครับอืค่ะแล้วก็ครานี้
00:47:11 → 00:47:13 มาคำถามที่ 2 คำถามที่ 2 คำถามที่คำามที่
00:47:13 → 00:47:17 2 อยู่ไฟค่ะอออะไรนะฮะหมอหมอเลยลืมคำถาม
00:47:17 → 00:47:21 สสมัยที่สมัยก่อนทำไมคนถึงต้องอยู่ไฟอ่ะ
00:47:21 → 00:47:24 ค่ะอ้าความเชื่อในการอยู่ไฟเนี่ยนะครับ
00:47:24 → 00:47:27 เราพบว่าเ่อการคลอดนะครับแนนอนครับการ
00:47:27 → 00:47:30 คลอดบุบเนี่ยมันทำให้คุณแม่เนี่ยต้องเกิด
00:47:30 → 00:47:33 ภาวะที่เกิดชอกช้ำโดยเฉอย่างยิ่งถ้า
00:47:33 → 00:47:35 สมมุติคลอดตามหมอตำแยเนี่ยนะครับบางทีมัน
00:47:35 → 00:47:37 ไม่ได้มีการตัดฝีเย็บไม่ได้มีอะไรที่ถูก
00:47:37 → 00:47:40 ต้องนะครับเพราะฉะนั้นเขาก็เลยเชื่อว่า
00:47:40 → 00:47:44 การอยู่ไฟนะครับอยู่ไฟก็คือมันชื่อตาม
00:47:44 → 00:47:47 ชื่อเลยฮะอยู่ไฟก็คือใช้ใช้ความร้อนเนี่ย
00:47:47 → 00:47:50 นะครับมาเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้คุณแม่ฟื้น
00:47:50 → 00:47:53 ตัวเร็วขึ้นค่ะนะครับซึ่งหลักการเมันก็มา
00:47:53 → 00:47:56 จากการสังเกตโดยคนโบราณนะครับเราพบว่า
00:47:56 → 00:47:58 เอ่อซึ่งึหลายๆส่วนก็จะตรงกับความเป็น
00:47:58 → 00:48:01 จริงทางการแพทย์อย่างเช่นสมมุติเราบอกว่า
00:48:01 → 00:48:03 ความร้อนเนี่ยนะครับคุณแม่อยู่ไฟสมัยสมัย
00:48:03 → 00:48:06 ที่เราพูดกันสมัยก่อนก็คือคุณแม่ลังข้อ
00:48:06 → 00:48:10 เนี่ยก็จะนอนบนแคร่นะครับบนแคร่นั้นก็จะ
00:48:10 → 00:48:12 ทางใต้แคร่ก็จะมีการจุดไฟนะครับอันที่ 1
00:48:12 → 00:48:16 ก็คือมันให้ความอบอุ่นนะครับออ่าอันที่ 2
00:48:16 → 00:48:18 ก็คือความร้อนที่ได้จากแคร่เนี่ยมันจะ
00:48:18 → 00:48:21 เพิ่มการไหลเวรของเลือดนะครับเวลาเลือดมี
00:48:21 → 00:48:23 การไหลเวียนดีขึ้นเนี่ยนะครับสิ่งที่ตาม
00:48:23 → 00:48:26 มาก็คือถ้าเราเป็นแผลบริเวณไหนที่มีเลือด
00:48:26 → 00:48:29 ไหลเวียนดีเนี่ยแผลมันจะหายเร็วขึ้นเพราะ
00:48:29 → 00:48:31 ว่าการไหลเวียนของเลือดเนี่ยมันจะเหมือน
00:48:31 → 00:48:33 แบบเหมือนกับส่งสิ่งต่างๆที่มาซ่อมแซมแผล
00:48:33 → 00:48:35 อ่ะให้มันฟื้นตัวเพราะฉะนั้นมันก็รวมไป
00:48:35 → 00:48:39 ถึงแผฝีเยียบของการคลอดด้วยนะครับอดัง
00:48:39 → 00:48:41 นั้นคนสมัยก่อนเนี่ยก็เลยถือว่าการใช้
00:48:41 → 00:48:44 ความร้อนนะครับที่เราเรียกว่าอยู่ไฟเนี่ย
00:48:44 → 00:48:46 มันจะกระตุ้นให้คุณแม่เนี่ยแผลหายเร็ว
00:48:46 → 00:48:48 ขึ้นค่ะฟื้นตัวเร็วขึ้นเพราะว่าเลือดหล
00:48:48 → 00:48:51 เลือดลมมันไหลเวียนดีนะครับแม่ก็จะสดชื่น
00:48:51 → 00:48:54 ก็จะหายหายจากภาวะที่ป่วยหรือภาวะที่
00:48:54 → 00:48:57 เพลียหลังจากที่คลอดได้เร็วขึ้นค่ะแต่
00:48:57 → 00:48:59 ปัจจุบันเนี่ยแหละครับเราพบแล้วครับว่า
00:48:59 → 00:49:01 ความเสี่ยงต่างๆของการที่เอ๊ะแผลมันจะหาย
00:49:01 → 00:49:04 ดีมหรือว่ามันจะมีการตกเลือดหลังค้ออะไร
00:49:04 → 00:49:06 ต่างๆยเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยมันไม่ได้มัน
00:49:06 → 00:49:09 ไม่ได้เกิดจากผลของความร้อนโดยตรงครับแต่
00:49:09 → 00:49:11 มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาตินะ
00:49:11 → 00:49:13 ครับโดยการที่เมื่อหลังคลอดแล้วเนี่ย
00:49:13 → 00:49:15 ธรรมชาติจะมีการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า
00:49:15 → 00:49:17 ออกซิโตซินนะครับซึ่งออกซิโตซินเนี่ยมัน
00:49:18 → 00:49:20 จะช่วยให้มดลูกเนี่ยมีการหดตัวพอมดลูกหด
00:49:20 → 00:49:23 ตัวเนี่ยเลือดที่ออกก็จะออกน้อยลงมันก็จะ
00:49:23 → 00:49:25 ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะที่ตกเลือด
00:49:25 → 00:49:28 หลังทอดได้นะครับค่ะแล้วก็ออกซิที่ได้มา
00:49:28 → 00:49:30 เนี่ยมันก็จะช่วยทำให้มดลูเนี่ยกลับคืน
00:49:30 → 00:49:33 สภาพเนี่ยหดตัวเข้าสู่สภาพเหมือนก่อนคอด
00:49:33 → 00:49:36 ก็คือเข้าอู่ได้เร็วขึ้นนะครับดังนั้น
00:49:36 → 00:49:38 เมื่อทางการแพทย์เราพัฒนาขึ้นแล้วเราทราบ
00:49:38 → 00:49:41 ว่าจริงๆแล้วเนี่ยสิ่งที่ช่วยให้คุณแม่
00:49:41 → 00:49:42 ฟื้นตัวเนี่ยมันไม่ใช่ความร้อนแต่มันเป็น
00:49:42 → 00:49:45 ฮอร์โมนออกซิโตซินอปัจจุบันเนี่ยนะครับ
00:49:45 → 00:49:48 ทุกๆท่านที่คลอดที่โรงพยาบาลเนี่ยนะครับ
00:49:48 → 00:49:50 ไม่ต้องห่วงนะครับหลังจากเราคลอดเสร็จ
00:49:50 → 00:49:52 เนี่ยนะครับคุณหมอจะมีการให้ออกซิโทซินใน
00:49:52 → 00:49:55 น้ำเกลือขวดที่เราคลอดเสร็จหลังคลอดเนี่ย
00:49:55 → 00:49:57 ขวดแรกเนี่ยมันจะจะมีออกซิโทซินอยู่จำนวน
00:49:58 → 00:50:02 มากเลยนะครับค่ะเอ่อการให้ความร้อนโดยการ
00:50:02 → 00:50:04 อยู่ไฟเนี่ยจะมีส่วนกระตุ้นให้ธรรมชาติ
00:50:04 → 00:50:06 เนี่ยผลิตออกซิโตซินได้เหมือนกันแต่ก็
00:50:06 → 00:50:09 ต้องยอมรับว่าเอ่อการผลิตออกซิโตซินโดย
00:50:09 → 00:50:11 ธรรมชาติจากการกระตุ้นโดยความร้อนเนี่ย
00:50:11 → 00:50:13 มันจะได้ประมาณออกซิโตซินน้อยกว่าการที่
00:50:13 → 00:50:17 ให้ออกซิโตซินเข้าไปในกระแสเลือดเลยนะ
00:50:17 → 00:50:19 ครับเพราะฉะนั้นปัจจุบันเนี่ยถ้าเราพูด
00:50:19 → 00:50:21 ถึงคำแนะนำทางการแพทยเนี่ยถามว่าความ
00:50:21 → 00:50:23 จำเป็นในการอยู่ไฟเพื่อกระตุ้นให้มี
00:50:23 → 00:50:26 ออกซิโทซินเนี่ยจำเป็นมยปัจจุบันเก็ไม่
00:50:26 → 00:50:28 ถือไม่ถือว่าจำเป็นแล้วนะครับเพราะว่า
00:50:28 → 00:50:32 เอ่อเราต้องเราเดี๋ยวเนี้ยก็หลังคอทุกๆ
00:50:32 → 00:50:34 คุณคุณแม่ทุกคนจะได้รับออกซิโทซินใน
00:50:34 → 00:50:36 ปริมาณมากอยู่แล้วค่ะเพราะฉะนั้นมรูกมัน
00:50:36 → 00:50:39 จะหดตัวดีนะครับไม่มีภาวะความเสี่ยง
00:50:39 → 00:50:41 เรื่องการอ่าตกเลือดหลังคลอดนะครับมีการ
00:50:41 → 00:50:44 ฟื้นตัวมีการหายของแผลที่เร็วขึ้นค่ะนะ
00:50:44 → 00:50:47 ครับคราวนี้ปัจจุบันเนี้ยนะครับที่ยังมี
00:50:47 → 00:50:49 การอยู่ไฟกันอยู่เี่ก็จะเป็นลักษณะของ
00:50:49 → 00:50:51 ความเชื่อแล้วล่ะนะครับเพราะฉะนั้นถ้าเรา
00:50:51 → 00:50:53 พูดถึงประโยชน์ของการอยู่ไฟในปัจจุบัน
00:50:53 → 00:50:57 เนี่ยนะครับเอ่อจริงๆแล้วก็ไม่ไม่ไม่ได้
00:50:57 → 00:51:00 มีผลมากเหมือนในอดีตละอไม่อยู่ก็ได้อดีต
00:51:00 → 00:51:02 เราไม่มีออกซิโทซินไงเราก็ต้องใช้ความ
00:51:02 → 00:51:04 ร้อนเนี่ยเป็นตัวช่วยนะครับแล้วเดี๋ยว
00:51:04 → 00:51:05 เนี้สิ่งนึงที่หมอก็เป็นค่อนข้างเป็น
00:51:05 → 00:51:10 กังวนก็คือเราได้ยินอยู่ไฟ delivery อคือ
00:51:10 → 00:51:13 ไฟ deliv เนี่ยไม่ได้มีความร้อนไม่ได้แบบ
00:51:13 → 00:51:15 อยู่บนแคร่อะไรต่างๆอีกแล้วนะฮะแต่ว่า
00:51:15 → 00:51:19 เดี๋ยวนี้มีการมานวดมานวดเฟนมีการแบบ
00:51:19 → 00:51:22 เหมือนกับทำให้คุณแม่สบายตัวขึ้นไอ้กรณี
00:51:22 → 00:51:23 อย่างเงี้ยมันก็เหมือนกับเหมือนกับเรา
00:51:24 → 00:51:27 กายภาพบำบัดอ่ะมันมีการแบบเอ่อนวดมีการ
00:51:27 → 00:51:29 ช่วยให้กกล้ามเนื้อมีการไหลเวียนมากขึ้น
00:51:29 → 00:51:31 แต่ว่าการนวดเนี่ยก็ไม่ใช่เป็นนวดที่ตัว
00:51:31 → 00:51:33 มดลูกนะครับเพราะว่าเราไม่สามารถล้วงมือ
00:51:33 → 00:51:36 เข้าไปนวดข้างในได้นะครับเพราะฉะนั้นผล
00:51:36 → 00:51:39 ที่ได้เมื่อเทียบกับการอยู่ไฟ delivery
00:51:39 → 00:51:42 เนี่ยผลมันก็ยิ่งประโยชน์มันก็ยิ่งน้อยลง
00:51:42 → 00:51:44 ไปอีกค่ะนะครับแล้วก็บอกได้ข่าวว่าเดี๋ยว
00:51:44 → 00:51:47 เไอ้อยู่ไปค่าใช้จ่ายก็ไม่เบาเลยเป็นหลัก
00:51:47 → 00:51:50 หมื่นเหมือนกันเพราะฉะนั้นเอ่อใครท่านไหน
00:51:50 → 00:51:53 สบายใจนะครับมีเศษสถานะที่พร้อมและอยากจะ
00:51:53 → 00:51:55 อยู่ไฟอันนั้นเราก็ไม่ห้ามนะครับก็เป็น
00:51:55 → 00:51:58 แล้วแต่ความพอใจสบายใจค่ะแต่ว่าถ้าเราพูด
00:51:58 → 00:52:01 ถึงประโยชน์นะครับเอ่อเราในเมื่อเรารู้
00:52:01 → 00:52:02 ว่าประโยชน์มันไม่ได้มากนักแล้วเราต้อง
00:52:02 → 00:52:04 เสียเงินจำนวนมากเนี่ยสู้เอาเงินจำนวน
00:52:04 → 00:52:06 นั้นเนี่ยมาใช้ในการลิ้นดูลูกก็อาจจะ
00:52:06 → 00:52:09 เหมาะสมมากกว่านะครับเพราะฉะนั้นเอ่อความ
00:52:09 → 00:52:11 จำเป็นในการอยู่ไฟปัจจุบันเนี่ยก็ต้องถือ
00:52:11 → 00:52:14 ว่ามันทางการแพทย์พิสูจน์ได้แล้วมันไม่
00:52:14 → 00:52:16 ได้จำเป็นเท่าไหร่นะครับเพราะฉะนั้นความ
00:52:16 → 00:52:18 เชื่อในการอยู่ไฟสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ก็จะ
00:52:18 → 00:52:21 ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆค่ะโอ้โหวันนี้คุณหมอ
00:52:21 → 00:52:24 คะตอบคำถามได้กระจ่างชัดจนหมดเวลาค่ะ
00:52:24 → 00:52:28 เดี๋ยวเรามาคุยกันต่อพฤหัสหน้านะคะคุณหมอ
00:52:28 → 00:52:33 คะครับผมก็ก็อย่าลืมนะครับสุดท้ายรายการ
00:52:33 → 00:52:34 อย่าเพิ่งนอนนะฮะเรายังมี 1 ช่วโมงที่
00:52:34 → 00:52:37 เหลือนะครับค่ะขอขอให้ช้อปให้สนุกนะครับ
00:52:37 → 00:52:40 นะชั่วโมงสุดท้ายนะครับขอบพระคุณคุณหมอ
00:52:40 → 00:52:43 มากๆเลยค่ะครับเก็บคูปองเก็บของเข้า
00:52:43 → 00:52:46 ตะกร้านะครับค่ะสวัสดีค่ะครับสวัสดีครับ
00:52:46 → 00:52:48 สวัสดี
00:52:48 → 00:52:53 ค่ะเดี๋ยวเราไปพักกันก่อนนะคะ