00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับผมเห็นว่ามีการแชร์ข้อมูลว่ายา
00:00:03 → 00:00:06 แก้ไอนั้นสามารถที่จะเอามาใช้ในการรักษา
00:00:06 → 00:00:09 โรคความจำเสื่อมได้นะครับผมคิดว่าถ้ามัน
00:00:09 → 00:00:11 สามารถทำได้เช่นนั้นจริงๆเนี่ยมันเป็น
00:00:11 → 00:00:13 เรื่องที่น่ายินดีมากเลยนะครับเพราะว่า
00:00:13 → 00:00:15 ปัจจุบันเนี่ยโรคสมองเสื่อมของเรามันยัง
00:00:15 → 00:00:18 ไม่มียารักษาที่ได้ผลแล้วที่สำคัญคือยา
00:00:18 → 00:00:21 แต่ละตัวก็จะมีผลข้างเคียงต่างๆกันไปแต่
00:00:21 → 00:00:25 ว่ายาแก้ไอนั้นมันผลข้างเคียงค่อนข้างที่
00:00:25 → 00:00:28 จะต่ำนะครับราคาถูกแล้วถ้ามันสามารถรักษา
00:00:28 → 00:00:29 เรื่องของความจำเสื่อมได้จริงๆนั้นเนี่ย
00:00:29 → 00:00:32 ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งนะ
00:00:32 → 00:00:34 ครับวันนี้ผมก็เลยอยากจะเอาเรื่องนี้มา
00:00:34 → 00:00:37 คุยให้ฟังกันเลยนะครับว่ามันมีที่มาที่ไป
00:00:37 → 00:00:39 อย่างไรนะครับมันจะใช้ในการรักษาโรคความ
00:00:39 → 00:00:42 จำเสื่อมอย่างไรได้บ้างนะครับก็เดี๋ยวลอง
00:00:42 → 00:00:44 ฟังกันดูเลยนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์
00:00:45 → 00:00:47 ธนนีธนียวรรณนะครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่
00:00:47 → 00:00:49 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการ
00:00:49 → 00:00:51 ปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:00:51 → 00:00:54 ผมก็จะแนบงานวิจัยต่างๆที่ผมไปค้นมาเนี่ย
00:00:54 → 00:00:57 ให้ท่านสามารถเอาไปอ่านได้เองเลยนะครับ
00:00:57 → 00:01:00 แล้วยาแก้ไอที่ว่านั้นคือยาที่เรียกว่า
00:01:00 → 00:01:03 ambroxol นะครับถ้าเกิดคนไหนที่ไม่อยาก
00:01:03 → 00:01:06 จะฟังนานนะครับบอกไว้ก่อนเลยว่าปัจจุบัน
00:01:06 → 00:01:09 ambrock Store นั้นที่มีการทดลองคือมี
00:01:09 → 00:01:12 การทดลองกับโรคความจำเสื่อมในกรณี
00:01:12 → 00:01:15 ภาคินสันแล้วก็อีกโรคหนึ่งซึ่งเรียกว่า
00:01:15 → 00:01:17 lavy Body dementia เท่านั้นนะครับยัง
00:01:17 → 00:01:20 ไม่มีการทดลองในความจำเสื่อมที่เกิดจาก
00:01:20 → 00:01:23 สาเหตุอื่นนะครับอ่ายังไม่มีนะครับเรื่อง
00:01:23 → 00:01:24 ของอัลไซเมอร์เรื่องของอย่างอื่นคิดว่า
00:01:24 → 00:01:28 อาจจะมีการทำการศึกษาตามมาแต่ว่าปัจจุบัน
00:01:28 → 00:01:31 มันยังไม่มีนะครับอ่าแล้วหลักฐานใน
00:01:31 → 00:01:36 ปัจจุบันนั้นบอกได้ว่ามันอาจจะได้ผลนะ
00:01:36 → 00:01:39 ครับอาจจะเฉยๆแต่ว่ายังไม่มีการยืนยันว่า
00:01:39 → 00:01:42 มันจะได้ผลนะครับนะตรงนี้ถ้าเกิดว่าใคร
00:01:42 → 00:01:45 ไม่อยากฟังนานเนี่ยปัจจุบันบอกว่ายังไม่
00:01:45 → 00:01:47 สามารถที่จะสรุปได้ว่ามันได้ผลแบบนั้นนะ
00:01:47 → 00:01:50 ครับอ่าต้องตอบอย่างนี้เลยนะฮะสำหรับคน
00:01:50 → 00:01:53 ที่ต้องการฟังว่าทำไมผมถึงสรุปเป็นเช่น
00:01:53 → 00:01:55 นั้นก็ฟังต่อไปนะครับ
00:01:55 → 00:01:58 ยาแก้ไอแอมบ์มันเป็นยาละลายเสมหะตัวหนึ่ง
00:01:58 → 00:02:00 เราใช้กันมานานนะครับผลข้างเคียงก็มีไม่
00:02:00 → 00:02:03 ค่อยมากนะครับมีเรื่องของอาการปวดท้อง
00:02:03 → 00:02:05 คลื่นไส้อาเจียนในบางคนนะฮะแล้วก็แน่นอน
00:02:05 → 00:02:07 เหมือนกับยาทุกชนิดบนโลกล่ะครับมันมี
00:02:07 → 00:02:11 โอกาสที่จะแพ้ได้นะครับแพ้แบบรุนแรงจนอาจ
00:02:11 → 00:02:13 จะเสียชีวิตนะครับมันมีโอกาสแพ้ได้ทุกตัว
00:02:13 → 00:02:16 อยู่แล้วแต่ว่าโอกาสมันน้อยมากๆดังนั้นยา
00:02:16 → 00:02:18 ตัวนี้เราจึงไม่มีความกังวลในเรื่องของ
00:02:18 → 00:02:22 การแพ้ยานะครับทีนี้คำถามก็คือว่าเฮ้ยเรา
00:02:22 → 00:02:24 ทำไมเราถึงเอายาแก้ไอมาเกี่ยวอะไรกับ
00:02:24 → 00:02:27 เรื่องของสมองเสื่อมด้วยล่ะนะครับมัน
00:02:27 → 00:02:30 เริ่มมาจากอย่างนี้ครับในอดีตเนี่ยมันมี
00:02:30 → 00:02:32 โรคโรคหนึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมนะครับเรา
00:02:32 → 00:02:35 จะเรียกมันว่าเกาเชอร์ disease นะครับโรค
00:02:35 → 00:02:38 นี้เนี่ยมันเกิดจากการที่มียีนส์ตัวนึง
00:02:38 → 00:02:42 ผิดปกติทำให้ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้าง
00:02:42 → 00:02:44 เอนไซม์ตัวหนึ่งหรือว่าสร้างเอนไซม์ออกมา
00:02:44 → 00:02:46 แล้วมันผิดปกติเอนไซม์ตัวนั้นก็คือ
00:02:46 → 00:02:50 enzy เรียกว่ากลูโคสจะไดโบซิเดสหรือ
00:02:50 → 00:02:52 gcase นะครับโดยเอนไซม์ตัวนี้เนี่ยมันมี
00:02:52 → 00:02:54 หน้าที่ย่อย
00:02:54 → 00:02:57 กลูโคไซด์ซึ่งมันเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มี
00:02:57 → 00:03:01 ในเซลล์ต่างๆนะครับแล้วเขาพบว่าคนไข้ที่
00:03:01 → 00:03:04 มันโรคเกาเชอร์เนี่ยนะครับมีหลายคนเลยที
00:03:04 → 00:03:07 เดียวที่เกิดเป็นภาคินสันในอายุน้อยนะ
00:03:07 → 00:03:10 ครับอ่าเขาก็เลยสงสัยว่าตัวปัญหาเนี่ยมัน
00:03:10 → 00:03:12 อาจจะเกี่ยวข้องกับเอนไซม์ตัวนี้ก็ได้นะ
00:03:12 → 00:03:14 หรือว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับทีมที่มันผิด
00:03:14 → 00:03:17 ปกตินะครับยีนส์ตัวนี้คือ gba1 นะครับถ้า
00:03:17 → 00:03:20 มันผิดปกติก็เอ๊ยมันอาจจะเป็นเพราะว่าตัว
00:03:20 → 00:03:23 นี้ก็ได้ก็เลยมีการศึกษาต่อไปจนกระทั่ง
00:03:23 → 00:03:25 ค้นพบว่าเออมันมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ
00:03:25 → 00:03:26 นะ
00:03:26 → 00:03:27 ไอ้ตัว
00:03:27 → 00:03:30 enzy ตัวเนี้ยนะครับกับเรื่องของการเกิด
00:03:30 → 00:03:33 พาร์กินสันเออมันเริ่มมีความเกี่ยวข้องนะ
00:03:33 → 00:03:36 ครับพอมันเริ่มมีความเกี่ยวข้องกันแล้ว
00:03:36 → 00:03:40 เนี่ยเอ่อเขาก็เริ่มศึกษาต่อนะฮะศึกษา
00:03:40 → 00:03:42 อะไรบ้างนะครับตอนนี้เราต้องอ้อผมขอนอก
00:03:42 → 00:03:44 เรื่องนิดนึงเราเชื่อ disease อาการมัน
00:03:44 → 00:03:46 เป็นยังไงก่อนดีกว่าการช่วยรีซีทเนี่ยคือ
00:03:46 → 00:03:48 เนื่องจากว่าเราขาดเอนไซม์ตัวนี้ทำให้เรา
00:03:48 → 00:03:51 ไม่สามารถย่อยกลูโคสเซเรโบไซน์กับไขมัน
00:03:51 → 00:03:55 บางตัวได้นะครับเซลล์ในร่างกายของเรามัน
00:03:55 → 00:03:57 ก็เลยต้องมาเก็บกินในพวกไขมันพวกนี้เซลล์
00:03:57 → 00:04:00 ที่ว่าก็คือ Mac นะครับเวลามันเก็บกิน
00:04:00 → 00:04:02 แล้วมันก็สะสมไม่ได้ตัวมันมากขึ้นมากขึ้น
00:04:02 → 00:04:05 นะครับตัวมันก็จะอ้วนนะครับป่องนะฮะตัว
00:04:05 → 00:04:08 ที่เราจะเรียกว่ากล่าวเชิ้ตเซลล์นะครับ
00:04:08 → 00:04:11 แล้วมันก็จะไปสะสมตามร่างกายต่างๆทำให้
00:04:11 → 00:04:14 เกิดปัญหาต่างๆตามมาเช่นในสมองก็เป็น
00:04:14 → 00:04:16 พาร์กินสันนะครับมันก็อาจจะมีสมองเสื่อม
00:04:16 → 00:04:20 รวมด้วยนะฮะในปอดก็เป็นพังผืดในปอดได้นะ
00:04:20 → 00:04:22 ครับผมก็เคยทำการปลูกถ่ายปอดให้กับคนไข้
00:04:22 → 00:04:24 โรคเกาเชอร์ disease มาแล้วนะครับดังนั้น
00:04:24 → 00:04:26 ผมจะรู้เรื่องพวกนี้ค่อนข้างจะเยอะหน่อย
00:04:26 → 00:04:28 นะฮะเพราะว่าผมศึกษามาเรียบร้อยแล้วนะฮะ
00:04:28 → 00:04:31 เอ่อกระดูกนะฮะก็จะมีไอ้เซลล์ตรงเนี้ยทำ
00:04:31 → 00:04:33 ให้เกิดกระดูกบางกระดูกหักหรือบางคนปวด
00:04:33 → 00:04:36 กระดูกได้นะครับแล้วมันก็สามารถไปแทรกตาม
00:04:36 → 00:04:39 ตับตามม้ามทำให้เกิดตับม้ามโตนะครับมี
00:04:39 → 00:04:42 เม็ดเลือดแดงที่มันเกิดโลหิตจางได้ง่ายนะ
00:04:42 → 00:04:44 ครับมีเกล็ดเลือดต่ำได้ง่ายพวกนี้คือ
00:04:44 → 00:04:48 อาการของเราโชคดีซีนะครับทีนี้อ่ะพอเรา
00:04:48 → 00:04:50 รู้แล้วว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันและ
00:04:50 → 00:04:51 ระหว่าง
00:04:51 → 00:04:55 gucher นะครับเอนไซม์ตัวนี้และภาคินสัน
00:04:55 → 00:04:58 ให้มันไปสมองเสื่อมได้ยังไงตรงนี้สำคัญ
00:04:58 → 00:05:01 แล้วลิงค์ตรงนี้ที่มีความเชื่อมโยงจะ
00:05:01 → 00:05:03 เริ่มสำคัญแล้วนะครับอาจจะเข้าใจยากนิด
00:05:03 → 00:05:05 นึงผมจะพยายามอธิบายให้มันเข้าใจได้ง่าย
00:05:05 → 00:05:06 ขึ้นนิดหน่อยนะครับนะครับ
00:05:06 → 00:05:11 เรื่องของพาร์กินสันกับเลบี้บอดี้ใน
00:05:11 → 00:05:13 เชียร์ 2 ตัวนี้มันมีความลิงก์กันมันมี
00:05:13 → 00:05:15 ความเกี่ยวข้องกันมากเลยนะครับเพราะว่า
00:05:15 → 00:05:18 มันเกิดจากโปรตีนตัวนึงสะสมอยู่ในสมอง
00:05:18 → 00:05:20 เยอะโปรตีนตัวนี้เราจะเรียกมันว่าแอลฟา
00:05:20 → 00:05:24 นิวคลีนนะครับอีกตัวนึงคือโปรตีนที่เรียก
00:05:24 → 00:05:27 ว่าทองโปรตีน tau นะครับ 2 ตัวนี้ผมเคย
00:05:27 → 00:05:30 เล่าไปแล้วนะครับในคลิปเรื่องเกี่ยวข้อง
00:05:30 → 00:05:33 กับความจำเสื่อมนะครับอ่ามันเกิดจาก
00:05:33 → 00:05:38 โปรตีนตัวนี้สะสมทีนี้ไอ้เอนไซม์ที่เมื่อ
00:05:38 → 00:05:40 กี้ผมบอกอ่ะเคสตัวนี้นะครับมันมีหน้าที่
00:05:40 → 00:05:44 ในการกำจัดไอ้โปรตีนนี้เหมือนกันนะครับพอ
00:05:44 → 00:05:46 มันมีหน้าที่ในการกำจัดโปรตีนนี้เขาก็เลย
00:05:46 → 00:05:50 คิดว่าอ๋อมันเป็นเพราะว่าเราขาดเอนไซม์
00:05:50 → 00:05:52 ตัวนี้หรือเอนไซม์ทำหน้าที่ผิดปกติทำให้
00:05:52 → 00:05:56 เกิดการสะสมของโปรตีนพวกนี้ในสมองแล้วนำ
00:05:56 → 00:05:59 ไปสู่การเกิดภาคขึ้นศาลหรือเลบี้บอดี้
00:05:59 → 00:06:01 demential หรือความจำเสื่อมที่เกิดจาก
00:06:01 → 00:06:04 การสะสมของไอ้โปรตีนพวกเนี้ยมากๆดังนั้น
00:06:04 → 00:06:07 ถ้าเราสามารถที่จะไปกระตุ้นเพิ่มเอนไซม์
00:06:07 → 00:06:11 ตัวนี้มันน่าจะทำให้เรื่องของโปรตีนพวก
00:06:11 → 00:06:13 นี้มันโดนขับออกไปจากสมองทำให้สมองของเรา
00:06:13 → 00:06:16 เนี่ยไม่เสื่อมแล้วก็เรื่องของพาร์กินสัน
00:06:16 → 00:06:19 ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้นนะครับนั่นคือ
00:06:19 → 00:06:22 สมมุติฐานแล้วก็ความคิดในตอนนั้นนะครับ
00:06:22 → 00:06:26 ถามว่าเรามียารักษาโรคเกาเชอร์ไหมมีนะ
00:06:26 → 00:06:29 ครับเรามีเอนไซม์ที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย
00:06:29 → 00:06:31 เพื่อที่จะแก้ไขภาวะนี้แต่แน่นอนเอนไซม์
00:06:31 → 00:06:34 พวกนี้มันแพงมากๆเลยนะครับคิดไปคิดมาเขา
00:06:34 → 00:06:37 ก็เลยไปเจอยาอยู่ตัวนึงแล้วบังเอิญยาตัว
00:06:37 → 00:06:38 นั้นก็คือเป็นยาราคาถูกที่เรียกว่า
00:06:38 → 00:06:41 ambrock นะครับก็ไปเจอว่า amblock 2
00:06:41 → 00:06:44 เนี่ยมันสามารถทำให้เราเพิ่มระดับเอนไซม์
00:06:45 → 00:06:46 ตัวนี้ได้แล้วก็ทำให้เอนไซม์มันทำงานได้
00:06:46 → 00:06:49 ดีซะด้วยนะครับก็เลยคิดว่าเฮ้ยถ้าอย่าง
00:06:49 → 00:06:52 นั้นเนี่ยเราน่าจะเอาไอ้ยาตัวนี้นะที่มัน
00:06:52 → 00:06:55 ราคาถูกมีใช้กันทั่วไปผลข้างเคียงต่ำมา
00:06:55 → 00:06:58 รองรักษาโรคโรคนี้อ่านั่นแหละครับคือที่
00:06:58 → 00:07:01 มาทีนี้เขาทดลองกันไปถึงไหนแล้วไอ้ยาตัว
00:07:01 → 00:07:05 นี้นะครับผมต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าโรค
00:07:05 → 00:07:07 ความจำเสื่อมที่เรากำลังพูดถึงนั้นเป็น
00:07:07 → 00:07:10 โรคความจำเสื่อมเฉพาะเลยที่อยู่ใน
00:07:10 → 00:07:13 ภาคินสันและโรคเริมบอดี้ดีเหมือนเชียร์
00:07:13 → 00:07:16 ไม่ใช่โรคความจำเสื่อมทุกอย่างนะครับไม่
00:07:16 → 00:07:18 ใช่ทุกอย่างของความจำเสื่อมเนี่ยจะเป็น
00:07:18 → 00:07:21 โรคโรคเดียวกันนะหลายคนจะเวลาอ่านข้อความ
00:07:21 → 00:07:24 ที่ส่งมาเนี่ยผมเห็นหลายคนเลยเข้าใจไม่
00:07:24 → 00:07:27 ถูกต้องก็คือว่าเข้าใจว่ามันใช้ในการ
00:07:27 → 00:07:30 รักษาโรคความจำเสื่อมได้ทุกโรคไม่ใช่นะ
00:07:30 → 00:07:33 ครับไม่ใช่เขาทดลองกับโรคนี้โดยเฉพาะเลย
00:07:33 → 00:07:36 คือ Parkinson แล้วก็เลวี่บอดี้ dementia
00:07:36 → 00:07:39 เท่านั้นเลยซึ่งไอ้เนี่ยมันเป็นความจำ
00:07:39 → 00:07:42 เสื่อมซึ่งพบรองลงมาจากอัลไซเมอร์นะครับ
00:07:42 → 00:07:45 อัลไซเมอร์เป็นสาเหตุความจำเสื่อมอันดับ 1
00:07:45 → 00:07:47 เลยนะฮะรองลงมาก็จะเป็นไอ้นี่แหละครับนะ
00:07:47 → 00:07:50 อย่างน้อยมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งของความจำ
00:07:50 → 00:07:52 เสื่อมที่ว่าเอ้ยเราอาจจะพอมียารักษานะ
00:07:52 → 00:07:56 ครับเขาก็เลยทดลองกับคนกลุ่มนี้ก่อนนะ
00:07:56 → 00:07:58 แล้วก่อนที่จะไปทดลองกับคนแน่นอนว่าเขา
00:07:58 → 00:08:01 ต้องทดลองกับอย่างอื่นก่อนนะครับเขาก็ไป
00:08:01 → 00:08:04 ทดลองกับเซลล์นะฮะเซลล์ที่มันมีปัญหาใน
00:08:04 → 00:08:07 เรื่องของเอนไซม์ที่ว่านี้นะครับแล้วก็
00:08:07 → 00:08:11 เพราะว่าเออถ้าเราให้แอมบร็อกซอเข้าไปใน
00:08:11 → 00:08:13 เซลล์กรณีแบบนี้เนี่ยนะครับที่มันขาด
00:08:13 → 00:08:15 เอนไซม์ตัวนี้มันทำให้เอนไซม์มันเพิ่ม
00:08:15 → 00:08:18 ขึ้นแล้วมันสามารถทำให้กำจัดแอลฟาเซล
00:08:18 → 00:08:21 นิวคลีนกับทอโปรตีนออกไปได้อย่างนั้นก็
00:08:21 → 00:08:24 แปลว่ามันน่าจะได้ผลละนะครับได้ผลในหลอด
00:08:24 → 00:08:27 ทดลองก็ต้องเอาไปลองทำการทดลองในคนนะครับ
00:08:27 → 00:08:31 ทีนี้เวลาทำการทดลองในคนเนี่ยสิ่งที่เรา
00:08:31 → 00:08:33 ต้องรู้ก็คือว่าไอ้ยาตัวนี้เนี่ยครับมัน
00:08:33 → 00:08:36 ต้องกินเข้าไปกี่มิลลิกรัมอ่ะขนาดเดียว
00:08:36 → 00:08:40 เท่ากับคนที่กินยาแก้ไอได้ไหมนะครับกิน
00:08:40 → 00:08:42 แค่ไหนยาพวกนี้มันจะไปถึงสมองแล้วก็ทำ
00:08:42 → 00:08:45 หน้าที่และถ้ากินขนาดนั้นมันจะมีผลข้าง
00:08:45 → 00:08:48 เคียงอะไรมากกว่าการกินแบบยาแก้ไอไหมนะ
00:08:48 → 00:08:50 ครับเขาก็ต้องทดลองตรงนี้ซึ่งก็มีงานทด
00:08:50 → 00:08:52 ลองออกมาเรียบร้อยแล้วนะครับโดยเขาทำการ
00:08:52 → 00:08:56 ทดลองในคนไข้เนี่ยให้เขากินเข้าไปนะฮะแต่
00:08:56 → 00:08:58 กินปริมาณสูงมากเลยนะครับสุดท้ายเนี่ยคือ
00:08:58 → 00:09:01 ปริมาณที่เขากินคือ ambroxol ปกติเม็ดนึง
00:09:01 → 00:09:05 30 mg นะครับแต่นี่เขาต้องกิน 420 mg
00:09:06 → 00:09:09 หมายความว่า 14 เม็ดนะครับ 3 เวลา 14
00:09:09 → 00:09:13 เม็ด 3 เวลาถูกต้องครับเยอะเลยวันละ 42
00:09:13 → 00:09:16 เม็ดนะครับนั่นคือสิ่งที่ต้องกินนะฮะแล้ว
00:09:16 → 00:09:19 กินไปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นเขาก็ดูสิครับ
00:09:19 → 00:09:21 ว่ามันสามารถไปถึงสมองได้จริงหรือเปล่า
00:09:21 → 00:09:23 แล้วมันสามารถกำจัดไอ้โปรตีนพวกเมื่อกี้
00:09:23 → 00:09:26 ได้จริงหรือเปล่านะครับ
00:09:26 → 00:09:29 เขามีวิธีการอย่างไร 1 เขาก็เจาะเอาน้ำไข
00:09:29 → 00:09:33 สันหลังออกมานะถ้าโปรตีนจีเคสมันทำงานได้
00:09:33 → 00:09:37 ดีมันก็จะกำจัดตัวโปรตีนแอลฟา 4 นิวคลีน
00:09:37 → 00:09:41 ออกนะครับก็ถอดโปรตีนออกเขาก็ไปตรวจว่า
00:09:41 → 00:09:45 เจอว่ามีแอลฟา 1 คืนสูงขึ้นมันหมายความ
00:09:45 → 00:09:48 ว่าไอ้โปรตีนพวกนี้มันออกมาจากสมองแล้วก็
00:09:48 → 00:09:51 เข้าสู่น้ำชาหลังและนำไปกำจัดทิ้งดังนั้น
00:09:51 → 00:09:54 การที่กินเข้าไปกิน amblock เข้าไปขนาด
00:09:54 → 00:09:56 นี้เนี่ยนะครับก็สามารถที่จะทำให้เกิดการ
00:09:56 → 00:10:00 กำจัดโปรตีนที่ว่านี้ออกไปจากสมองได้ก็
00:10:00 → 00:10:03 เป็นที่น่าตื่นเต้นว่าเฮ้ยอ่าอย่างนี้ใน
00:10:03 → 00:10:06 คนมันก็เริ่มเริ่มได้แล้วสินะครับอันที่ 2
00:10:06 → 00:10:09 มันกำจัดได้ละผลข้างเคียงของมันเป็นอย่าง
00:10:09 → 00:10:12 ไรนะครับที่เขาเจอก็คือมีอาการคลื่นไส้
00:10:12 → 00:10:14 อาเจียนปวดท้องซึ่งมันจะค่อยๆดีขึ้นตาม
00:10:14 → 00:10:15 ลำดับนะครับอ่า
00:10:15 → 00:10:18 อันนี้แหละเราเจอแล้วนะครับว่าเฮ้ยมันมี
00:10:18 → 00:10:20 ผลข้างเคียงบ้างแต่ว่ามันไม่ได้หนักอะไร
00:10:20 → 00:10:23 ที่หนักขนาดที่เราจะต้องหยุดนะครับเพียง
00:10:23 → 00:10:25 แต่ว่าแน่นอนว่าปริมาณเม็ดที่ต้องกินเข้า
00:10:25 → 00:10:26 ไปเนี่ยมันก็ค่อนข้างจะเยอะเหมือนกันนะ
00:10:26 → 00:10:30 ครับ 3 ครั้งต่อวันนะฮะ 14 ครั้ง 14 เม็ด
00:10:30 → 00:10:32 ต่อ 1 ครั้งนะครับ
00:10:32 → 00:10:35 และนอกเหนือจากนี้เขาทำอะไรอีกนะครับอัน
00:10:35 → 00:10:38 นี้ต้องบอกก่อนว่าเป็นการศึกษาแบบที่
00:10:38 → 00:10:40 เรียกว่า non randomize นอน Control นะ
00:10:40 → 00:10:43 ครับคือคนที่เอามากินยาตัวนี้เนี่ยนะครับ
00:10:43 → 00:10:46 เขารู้ตัวว่าเขากินยาตัวนี้อยู่แล้วไม่มี
00:10:46 → 00:10:49 การแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองนะ
00:10:49 → 00:10:52 ครับไม่มีการแบ่งนะทีนี้ผมไม่มีการแบ่ง
00:10:52 → 00:10:53 แล้วเนี่ยเขากินไปอย่างนี้เขาก็มีโอกาส
00:10:54 → 00:10:55 ที่จะมี
00:10:55 → 00:10:57 ปัจจัยอื่นซึ่งทำให้มันผิดเพี้ยนไปได้นะ
00:10:57 → 00:10:59 ครับอย่างไรก็ตามอันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่า
00:11:00 → 00:11:02 ตื่นเต้นว่าเฮ้ยมันทำแบบนี้ได้ต่อมาสิ่ง
00:11:02 → 00:11:06 ที่เขาดูก็คือว่าคนไข้เหล่านี้มีความจำดี
00:11:06 → 00:11:08 ขึ้นหรือเปล่านะครับก็พบว่าความจำเนี่ย
00:11:08 → 00:11:11 บางคนดีขึ้นบางคนก็เท่าเดิมนะครับอย่างไร
00:11:11 → 00:11:14 ก็ตามเขาบอกว่าไม่สามารถที่จะวิเคราะห์
00:11:14 → 00:11:16 ตรงนี้ได้เนื่องจากว่าจำนวนตัวอย่างเนี่ย
00:11:16 → 00:11:20 น้อยนะครับแล้วก็มันไม่ใช่เป็นแบบการทด
00:11:20 → 00:11:22 ลอง randomize Control Cloud ดังนั้น
00:11:22 → 00:11:25 ไม่สามารถสรุปอะไรได้จากงานวิจัยอันนี้
00:11:25 → 00:11:27 เลยนะครับอันนี้ต้องบอกไว้เลยนะครับเวลา
00:11:27 → 00:11:29 คนที่เราอ่านวิจัยเนี่ยต้องรู้ตรงนี้ถ้า
00:11:29 → 00:11:33 เมื่อไหร่เนี่ยคนไข้รู้ว่ากำลังกินยาที่
00:11:33 → 00:11:36 กำลังทดลองแล้วไอ้หมอที่เป็นคนให้ยาตัว
00:11:36 → 00:11:38 นี้เข้าไปก็รู้ว่าคนไข้กินยาตัวนี้อยู่
00:11:38 → 00:11:42 อันนี้มันทำให้เกิดอคติขึ้นในการแปลผลดัง
00:11:42 → 00:11:44 นั้นเราจะไม่สามารถแปลผลว่ามันดีหรือไม่
00:11:44 → 00:11:47 ดีจากกรณีแบบนี้ได้แต่ว่างานวิจัยชิ้นนี้
00:11:47 → 00:11:49 ก็เป็นตัวเริ่มต้นบอกว่าถ้าเรากินขนาดนี้
00:11:49 → 00:11:52 นะมันไม่มีผลข้างเคียงที่น่ากลัวแล้วมัน
00:11:52 → 00:11:55 ก็สามารถไปถึงสมองสามารถที่จะกำจัดโปรตีน
00:11:55 → 00:11:58 ต้นปัญหาได้นะครับแล้วหลังจากนี้ทำยังไง
00:11:58 → 00:12:01 ต่อนะครับอันนี้ก็เป็นเริ่มการทดลองแล้ว
00:12:01 → 00:12:04 ขั้นต่อไปเขาก็อยากทดลองในคนดูให้มันมาก
00:12:04 → 00:12:06 กว่านี้ดูซิว่ามันจะได้ผลจริงหรือเปล่านะ
00:12:06 → 00:12:09 ครับขั้นต่อไปที่เขาต้องทำก็คือ randomize
00:12:09 → 00:12:12 ก็คือมีการสุ่มตัวอย่างละเป็นกลุ่มควบคุม
00:12:12 → 00:12:16 แล้วก็กลุ่มทดลองนะฮะ Control trium นะ
00:12:16 → 00:12:18 ครับต้อง Control 2 กลุ่มนี้ให้มันชัด
00:12:18 → 00:12:21 เจนนะครับอ่าหมายความว่า 2 กลุ่มเนี่ยก็
00:12:21 → 00:12:23 ต้องเป็นโรคพาร์กินสันอ่าหรือมีเลเวลรี่
00:12:23 → 00:12:26 บอดี้ในบัญชีทั้ง 2 ทั้ง 2 ฝ่ายนะครับโรค
00:12:26 → 00:12:27 ประจำตัวอย่างอื่นก็ต้องเหมือนกันให้หมด
00:12:27 → 00:12:29 อายุเท่าๆกันทุกอย่างเหมือนกันหมดนะครับ
00:12:29 → 00:12:33 แล้วกลุ่มนึงเนี่ยให้กินหลอกอีกกลุ่ม
00:12:33 → 00:12:36 หนึ่งให้กิน ambrox 2 นะครับแล้วติดตาม
00:12:36 → 00:12:39 ผลต่อไปว่ามันเป็นยังไงบ้างในเรื่องของ
00:12:39 → 00:12:41 ความจำเรื่องของพาร์กินสันหรือเรื่อง
00:12:41 → 00:12:43 ระดับโปรตีนที่มันถูกกำจัดออกมานะครับ
00:12:43 → 00:12:48 ซึ่งตรงนี้เนี่ยกำลังทำการศึกษาอยู่กำลัง
00:12:48 → 00:12:51 แปลว่ามันยังไม่ออกมานะครับทีนี้พอมันยัง
00:12:51 → 00:12:55 ไม่ออกมาแล้วเนี่ยเวลาที่เรามองย้อนการทด
00:12:55 → 00:12:58 ลองทางการแพทย์มันเป็นแบบนี้ครับเราทดลอง
00:12:58 → 00:13:01 ตอนแรกเราคิดก่อนเออตามกลไกแล้วมันน่าจะ
00:13:01 → 00:13:04 ได้ผลถ้าเราคิดมันน่าจะได้ผลเรามาทดลองใน
00:13:04 → 00:13:07 หลอดทดลองก่อนถ้าหลอดทดลองมันได้ผลลองมา
00:13:07 → 00:13:09 ในสัตว์ทดลองก่อนในสัตว์ทดลองมันเริ่มดี
00:13:09 → 00:13:13 เฮ้ยลองในคนลองในคนที่ลองอะไรลองหาขนาด
00:13:13 → 00:13:15 ที่จำเป็นจะต้องกินผลข้างเคียงมันทำได้
00:13:15 → 00:13:18 จริงหรือเปล่าแล้วเพราะว่ามันเอ่อทนยาได้
00:13:18 → 00:13:21 ดีจริงไม่มีปัญหาอะไรลองเอาไปใช้จริงๆดู
00:13:21 → 00:13:23 ซิเกิดอะไรขึ้นนะครับมันต้องเป็นขั้นๆแบบ
00:13:23 → 00:13:26 นี้เพราะว่าบางครั้งเนี่ยนะครับในตอนแรก
00:13:26 → 00:13:28 คิดว่าเออมันทำงานได้ดีทุกอย่างนะครับได้
00:13:28 → 00:13:31 ผลเอ้ยมันน่าจะใช้ได้นะแต่เอามาใช้ในคน
00:13:31 → 00:13:33 จริงๆมันใช้ไม่ได้ผลก็มีเยอะแยะเท่าไหร่
00:13:33 → 00:13:36 นะครับยกตัวอย่างง่ายๆเลยคือ
00:13:36 → 00:13:40 ยาไฮดร็อกซี่คลอโรควีนที่ใช้ในโควิด
00:13:40 → 00:13:42 เพราะว่าตอนแรกเราดูใช้ในหลอดทดลองได้นะ
00:13:42 → 00:13:46 มันได้ผลลองในสัตว์ทดลองนี้มันก็ผลมันก็
00:13:46 → 00:13:49 โอเคนะมันไม่ค่อยมีปัญหาอะไรพอมาใช้ให้คน
00:13:49 → 00:13:51 เท่านั้นแหละครับไม่ได้ผลเลยไม่ได้ผลสัก
00:13:51 → 00:13:54 นิดเดียวเลย I working ก็เหมือนกันที่
00:13:54 → 00:13:57 เป็นยาฆ่าพยาธิเราก็ใช้ในโควิดเฮ้ยมันดู
00:13:57 → 00:13:59 ในหลอดทดลองมันน่าจะได้ผลนะถ้ามันเป็นยา
00:13:59 → 00:14:01 เก่าผลข้างเคียงก็น้อยแล้วน่าจะเอามาลอง
00:14:01 → 00:14:04 ใช้ดูแล้วสุดท้ายมาลองใช้ในคนไม่ได้ผลเลย
00:14:04 → 00:14:05 ครับนะ
00:14:05 → 00:14:09 ทีนี้มันมีอย่างนี้ถ้าเกิดคนไหนที่ไม่ได้
00:14:09 → 00:14:12 อยู่ในวงการพวกนี้นะครับแล้วไปอ่านข่าว
00:14:12 → 00:14:15 พวกเนี้ยหรืออ่านงานวิจัยทดลองระยะแรก
00:14:15 → 00:14:17 เริ่มโดยที่ไม่ทราบว่าต้องการตีความผลพวก
00:14:17 → 00:14:20 นี้อย่างไรบ้างนะครับก็จะตื่นเต้นมากไป
00:14:20 → 00:14:23 ก่อนมันนะฮะเช่นหลายๆคนที่เห็นเฮ้ย I
00:14:23 → 00:14:26 World mactin กิน hydroxyllain นะจะทำ
00:14:26 → 00:14:28 ให้โควิดเนี่ยรักษาหายได้โดยที่เราไม่
00:14:28 → 00:14:30 ต้องทำอย่างอื่นเลยเราไม่ต้องกลัวเลยนะ
00:14:30 → 00:14:32 ครับก็จะตื่นเต้นเพราะว่ามันมีงานวิจัย
00:14:32 → 00:14:35 สนับสนุนเว้ยถูกไหมครับแล้วก็เลยเอามาบอก
00:14:35 → 00:14:38 ว่าเนี่ยต้องใช้ตีนต้องใช้วิตามินดีต้อง
00:14:38 → 00:14:40 ใช้พวกนี้ในการรักษานะครับแต่เขาไม่ได้ดู
00:14:40 → 00:14:43 งานวิจัยให้ตลอดรอดฝั่งดังนั้นเนี่ยมันจะ
00:14:43 → 00:14:45 สรุปแบบนั้นไม่ได้แต่สุดท้ายพอเราไปทดลอง
00:14:45 → 00:14:47 เราก็พบว่าเออมันไม่ได้ผลดังนั้นเนี่ย
00:14:47 → 00:14:50 กรณีของแอมบร็อกซอว์ก็เช่นเดียวกันเรา
00:14:50 → 00:14:53 เนี่ยตอนนี้ยังไม่ต้องตื่นตกใจอะไรไปนะ
00:14:53 → 00:14:55 ครับเราตื่นเต้นได้เพราะว่ามันเป็นข้อมูล
00:14:55 → 00:14:57 ที่ค่อนข้างที่จะใหม่นะครับอย่างไรก็ตาม
00:14:57 → 00:15:01 มันจะได้ผลหรือไม่นั้นจำเป็นจะต้องรอ
00:15:01 → 00:15:04 cleanical Phase 3 ออกมาให้เรียบร้อย
00:15:04 → 00:15:07 ซะก่อนซึ่งขณะนี้กำลังทำอยู่นะฮะดังนั้น
00:15:07 → 00:15:11 ถ้าใครที่ออกมาบอกว่าแอมบล็อคซองหรือยา
00:15:11 → 00:15:15 แก้ไอนี้ใช้ในการรักษาโรคความจำเสื่อมได้
00:15:15 → 00:15:18 ผลแน่ๆอันนี้คือผิดแน่ๆในปัจจุบันนี้ด้วย
00:15:18 → 00:15:20 ข้อมูลที่เรามีในปัจจุบันนะครับเพราะว่า
00:15:21 → 00:15:22 ข้อมูลในที่มายในปัจจุบันยังไม่สามารถ
00:15:22 → 00:15:26 สรุปแบบนั้นได้เลยนะครับและที่สำคัญต้อง
00:15:26 → 00:15:30 เข้าใจให้ตรงกันว่าความจำเสื่อมที่ว่า
00:15:30 → 00:15:33 นั้นคือความจำเสื่อมที่เกิดจากภาคินสัน
00:15:33 → 00:15:35 และความจำเสื่อมที่เป็นชนิดที่เรียกว่า
00:15:35 → 00:15:38 lavy Body dementia ไม่ใช่อัลไซเมอร์
00:15:38 → 00:15:40 ไม่ใช่ความจำเสื่อมอะไรก็ได้ที่จะกินตัว
00:15:40 → 00:15:44 นี้แล้วมันจะดีขึ้นนะครับอย่างไรก็ตามถ้า
00:15:44 → 00:15:47 ท่านเป็นผู้ป่วยความจำเสื่อมแล้วบังเอิญ
00:15:47 → 00:15:50 ได้ยินตัวนี้อยู่แล้วอยากจะกินเนี่ยทำยัง
00:15:50 → 00:15:53 ไงนะครับประการแรกไปคุยกับคุณหมอสมองที่
00:15:53 → 00:15:56 รักษาเราอยู่นะครับและถ้าจะกินต้องทราบ
00:15:56 → 00:15:59 ว่าข้อมูลในปัจจุบันนั้นยังไม่สามารถสรุป
00:15:59 → 00:16:02 ได้ว่ายาตัวนี้มันจะได้ผลหรือจะไม่ได้ผล
00:16:02 → 00:16:05 และถ้าท่านจะกินท่านก็ต้องเป็นคนที่มี
00:16:05 → 00:16:07 ความความจำเสื่อมหรือสมองเสื่อมที่เกิด
00:16:07 → 00:16:10 จากภาคินสันหรือเลวี่บอดี้ในเชียร์เท่า
00:16:10 → 00:16:13 นั้นถ้าเป็นจากอย่างอื่นท่านไม่ได้ผลนะ
00:16:13 → 00:16:15 ครับในปัจจุบันนี้เอออาจจะไม่ใช่ไม่ได้ผล
00:16:15 → 00:16:18 แต่เราไม่มีข้อมูลอะไรเลยยกเว้น 2 อันนี้
00:16:18 → 00:16:20 เท่านั้นในปัจจุบันนะครับแล้วก็เป็นข้อ
00:16:20 → 00:16:20 มูลแบบ
00:16:21 → 00:16:23 แรกเริ่มเท่านั้นด้วยนะถ้าจะกิน
00:16:23 → 00:16:27 อาจจะต้องอิ่มยาหน่อยนะครับเพราะว่า
00:16:27 → 00:16:29 ปัจจุบันนั้นยางมันเม็ดละ 30 มิลลิกรัม
00:16:29 → 00:16:32 ครับก็กิน 14 เม็ด 3 เวลานะครับคงจะอิ่ม
00:16:32 → 00:16:34 ท้องไปอีกนานเลยนะครับ
00:16:34 → 00:16:37 อิ่มด้วยยาแล้วก็คือ
00:16:37 → 00:16:40 มันยังไม่มีการทำยาที่เม็ดขนาดที่มันสูง
00:16:40 → 00:16:42 กว่านั้นขึ้นมานะครับเพราะว่าปกติเราใช้
00:16:42 → 00:16:43 ในการแก้ไอเราก็ไม่ต้องกินอะไรมากกว่า
00:16:43 → 00:16:47 นั้นเราก็กิน 1-3 เม็ด 4 เม็ดต่อมื้อก็พอ
00:16:47 → 00:16:49 นะครับแต่นี่เราต้องกิน 14 เม็ดต่อมื้อนะ
00:16:49 → 00:16:51 ครับดังนั้นถ้าท่านคิดว่าท่านเป็น
00:16:51 → 00:16:53 พาร์กินสันเป็น Lady Body dementia
00:16:53 → 00:16:55 แล้วอยากจะกินยาตัวนี้ไปคุยกับคุณหมอสมอง
00:16:55 → 00:16:58 ที่แล้วรักษาท่านอยู่นะครับแล้วก็เข้าใจ
00:16:58 → 00:17:01 ได้ว่ามันอาจจะไม่ได้ผลก็ได้นะครับแต่ก็
00:17:01 → 00:17:04 อาจจะได้ผลก็ได้นะฮะบางคนบอกว่าพอมีงาน
00:17:04 → 00:17:07 วิจัยแบบนี้ออกมารีบซื้อยาตัวนี้มากิน
00:17:07 → 00:17:09 ตั้งแต่สมองมันยังไม่เสื่อมนะครับซึ่งก็
00:17:09 → 00:17:11 เป็นอีกวิธีนึงซึ่งอาจจะใช้ได้นะครับ
00:17:11 → 00:17:13 เพียงแต่ว่าถ้าท่านไม่ได้เป็นโรคสองโรค
00:17:13 → 00:17:16 เนี้ยปัจจุบันก็ยิ่งตอบไม่ได้มันเหมือน
00:17:16 → 00:17:19 กับว่าเราพยายามภาษาอังกฤษเราเรียกว่า
00:17:19 → 00:17:21 Extra polate นะครับเรามีข้อมูลเท่า
00:17:21 → 00:17:22 เนี้ย
00:17:22 → 00:17:26 เราอยากสรุปปลายทางเลยได้ไหมนะฮะคือเรา
00:17:26 → 00:17:28 สรุปแบบข้ามขั้นไปหลายขั้นอ่ะมันก็ยัง
00:17:28 → 00:17:30 สรุปแบบนั้นไม่ได้แล้วโอกาสที่จะผิดก็มี
00:17:30 → 00:17:32 สูงได้นะครับ
00:17:32 → 00:17:34 อ่ะโอเควันนี้
00:17:34 → 00:17:37 พูดมายาวก็เท่านี้แล้วกันนะครับเดี๋ยวใคร
00:17:37 → 00:17:40 มีอะไรสงสัยก็สอบถามมานะครับขอบคุณมาก
00:17:40 → 00:17:42 ครับสวัสดีครับ