00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาสำรวจข้อมูลที่น่า
00:00:03 → 00:00:06 สนใจกันนะคะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอ่อ
00:00:06 → 00:00:09 สัญญาณเตือนของภาวะสมองเสื่อมค่ะที่เรา
00:00:09 → 00:00:12 อาจจะพอสังเกตได้จากคำพูดติดปากของคนใกล้
00:00:12 → 00:00:15 ตัวเรานี่เองครับผมซึ่งข้อมูลชุดนี้เรา
00:00:15 → 00:00:18 กลั่นมาจากบทสัมภาษณ์ของคุณหมอกัวจี้เฟิง
00:00:18 → 00:00:21 นะคะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปราสาทวิทยา
00:00:21 → 00:00:24 จากจีนค่ะก็เหมือนเป็นทางลัดให้เราเข้าใจ
00:00:24 → 00:00:27 สัญญาณที่อาจจะซ่องอยู่จะได้ใส่ใจคนรอบ
00:00:27 → 00:00:31 ข้างได้ทันนะคะครับคือภาวะสมองเสื่อมหรือ
00:00:31 → 00:00:35 มนเชียเนี่ยนะครับถ้าจะอธิบายสั้นๆก็คือ
00:00:35 → 00:00:38 กลุ่มอาการที่ความสามารถทางสมองโดยรวมมัน
00:00:38 → 00:00:42 ลดลงไปมันก็จะกระทบหลายอย่างครับทั้งความ
00:00:42 → 00:00:46 จำการคิดการตัดสินใจการรับรู้ต่างๆแล้วก็
00:00:46 → 00:00:50 จากข้อมูลของคุณหมอกลัวที่น่าสนใจคือมัน
00:00:50 → 00:00:53 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้สูงอายุนะครับอ้อ
00:00:53 → 00:00:56 ค่ะบางทีความเครียดเรื้อรังหรือความวิตก
00:00:56 → 00:00:59 กังวลหรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้าในคนวัยทำงาน
00:00:59 → 00:01:02 เนี่ยก็เอ่ออาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นได้
00:01:02 → 00:01:05 เหมือนกันครับค่ะจุดสำคัญที่คุณหมอกลัว
00:01:05 → 00:01:08 เน้นย้ำเลยก็คือมีอยู่ 4 ประโยคที่ถ้าเรา
00:01:08 → 00:01:12 ได้ยินบ่อยๆจากคนใกล้ตัวนะคะอาจจะเป็น
00:01:12 → 00:01:15 สัญญาณว่าเอ๊ะเราควรจะต้องหันมาให้ความสน
00:01:15 → 00:01:17 ใจเป็นพิเศษแล้วล่ะเพราะว่ามันอาจจะ
00:01:17 → 00:01:20 สะท้อนปัญหาเกี่ยวกับความจำระยะสั้นที่
00:01:20 → 00:01:24 เอ่อเริ่มถดถอยครับผมเรามาดูกันเลยดีกว่า
00:01:24 → 00:01:28 ค่ะประโยคแรกที่น่าสังเกตนะคะคืออะไรนะ
00:01:28 → 00:01:31 พูดอีกครั้งคือจริงๆเราทุกคนก็มีลืมกัน
00:01:31 → 00:01:33 บ้างนะคะแต่เมื่อไหร่ที่มันจะกลายเป็นแบบ
00:01:33 → 00:01:37 ว่ารูปแบบที่น่ากังวลค่ะครับประโยคนี้
00:01:37 → 00:01:39 จริงๆมันสะท้อนปัญหาคลาสสิคเลยนะครับของ
00:01:39 → 00:01:41 ภาวะของหมองเสื่อมโดยเฉพาะเอ่ออัลไซเมอร์
00:01:41 → 00:01:44 ในระยะเริ่มต้นก็คือว่าความจำระยะสั้น
00:01:44 → 00:01:47 เนี่ยมันทำงานได้แย่ลงเหมือนข้อมูลที่เรา
00:01:47 → 00:01:51 เพิ่มมามันบันทึกไม่ติดนะครับอ๋อค่ะอาจจะ
00:01:51 → 00:01:53 เกี่ยวกับส่วนที่เรียกว่าฮิปโปแคampัสใน
00:01:53 → 00:01:56 สมองที่ทำหน้าที่เหมือนปุ่มเซฟความจำใหม่
00:01:56 → 00:01:58 ๆพอส่วนนี้เริ่มทำงานไม่ดีมันก็เลยลืม
00:01:58 → 00:02:01 สิ่งที่เพิ่งได้ยินไปเกือบจะทันทีเลยแล้ว
00:02:01 → 00:02:03 ก็รวมไปถึงเรื่องสมาธิที่สั้นลงด้วยครับ
00:02:03 → 00:02:06 อ๋อเหมือนข้อมูลมันยังไม่ทันได้จัดเก็บ
00:02:06 → 00:02:09 เรียบร้อยก็หายไปซะแล้วน่าคิดนะคะแล้วมัน
00:02:09 → 00:02:12 ก็คงไม่ใช่แค่ลืมคำพูดอย่างเดียวใช่มั้คะ
00:02:12 → 00:02:15 บางทีมันอาจจะไปไกลกว่านั้นสัญญาณที่ 2
00:02:15 → 00:02:18 ที่คุณหมอกลัวพูดถึงคือที่นี่ที่ไหนทำไม
00:02:18 → 00:02:21 ฉันมาอยู่ที่นี่อันเนี้ยฟังดูแบบว่าสับสน
00:02:21 → 00:02:25 ลึกขึ้นไปอีกนะคะใช่เลยครับอันนี้มันชี้
00:02:25 → 00:02:28 ไปที่ความสามารถในการรับรู้เรื่องเวลา
00:02:28 → 00:02:31 แล้วก็สถานที่ที่มันลดลงหรือที่เราเรียก
00:02:31 → 00:02:33 ว่า disorientation นะครับค่ะคนที่มี
00:02:33 → 00:02:36 อาการเนี่ยอาจจะหลงทางในที่ที่คุ้นเคยมาก
00:02:36 → 00:02:40 ๆเลยก็ได้นะครับหรือบางทีไปถึงที่ไหนสัก
00:02:40 → 00:02:42 แห่งแล้วก็นึกไม่ออกจำไม่ได้ว่าตัวเองมา
00:02:42 → 00:02:47 ทำไมหรือกำลังจะไปไหนต่ออืมันเป็นผลจาก
00:02:47 → 00:02:49 ที่สมองส่วนที่ควบคุมการรับรู้เชิงพื้น
00:02:49 → 00:02:52 ที่แล้วก็การลำดับเหตุการณ์ต่างๆเนี่ยมัน
00:02:52 → 00:02:55 เริ่มได้รับผลกระทบครับโอ้โหฟังดูน่า
00:02:55 → 00:02:58 สับสนแล้วก็คงทำให้รู้สึกไม่มั่นคงมากๆ
00:02:58 → 00:03:01 เลยนะคะเนี่ยแล้วการลืมแบบนี้มันก็นำไป
00:03:01 → 00:03:04 สู่อีกพฤติกรรมที่น่าสังเกตในประโยคที่ 3
00:03:04 → 00:03:08 ที่คุณหมอพูดถึงคือของฉันหายไปมีคนเอาไป
00:03:08 → 00:03:11 เหรออันเนี้มันเกิดจากอะไรคะเป็นความหวาด
00:03:11 → 00:03:13 ระแวงหรือว่ามีอะไรมากกว่านั้นค่ะจริงๆ
00:03:13 → 00:03:15 แล้วจุดเริ่มต้นมันมักจะมาจากอาการหลงลืม
00:03:15 → 00:03:18 พื้นฐานก่อนนะครับอย่างเช่นการวางของผิด
00:03:18 → 00:03:22 ที่แบบแปลกๆที่เราอาจเคยได้ยินเช่นเอามือ
00:03:22 → 00:03:26 ถือไปเผลอเก็บในตู้เย็นค่ะหรือวางกุญแจแจ
00:03:26 → 00:03:29 ไว้ในโหลน้ำตาลอะไรแบบนั้นพอหาไม่เจอ
00:03:29 → 00:03:32 เนี่ยด้วยความที่ความจำระยะสั้นแล้วก็
00:03:32 → 00:03:35 ความสามารถในการย้อนคิดลำดับเหตุการหรือ
00:03:35 → 00:03:38 retracing steps มันบกไปก็เลยนึกไม่ออก
00:03:38 → 00:03:41 ว่าเอ๊ะตัวเองเอาไปวางไว้ไหนกันแน่อ๋อ
00:03:41 → 00:03:44 สมองก็เลยพยายามหาคำอธิบายครับซึ่งบาง
00:03:44 → 00:03:47 ครั้งก็นำไปสู่ความคิดที่ว่าเอ๊ะหรือมีคน
00:03:47 → 00:03:50 เอาไปมันอาจจะไม่ได้เริ่มจากความไม่ไว้ใจ
00:03:50 → 00:03:52 คนอื่นตั้งแต่แรกเสมอไปนะครับแต่เป็นการ
00:03:52 → 00:03:55 ที่สมองพยายามหาเหตุผลมาเติมช่องว่างนั้น
00:03:55 → 00:03:59 อ๋อเข้าใจแล้วค่ะคือสมองพยายามจะเติมช่อง
00:03:59 → 00:04:02 ว่างของความทรงจำที่มันหายไปเลยสร้างคำ
00:04:02 → 00:04:06 อธิบายขึ้นมาเองอืมน่าสนใจค่ะมาถึงประโยค
00:04:06 → 00:04:09 สุดท้ายนะครับซึ่งดูจะต่างออกไปหน่อยจะ
00:04:09 → 00:04:11 เน้นไปที่เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกคือ
00:04:11 → 00:04:15 ประโยคที่ว่าไม่มีใครสนใจฉันเลยครับ
00:04:15 → 00:04:17 ประโยคนี้มันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทาง
00:04:17 → 00:04:20 อารมณ์แล้วก็บุคลิกภาพได้เลยครับซึ่งมัน
00:04:20 → 00:04:23 สัมพันธ์กับการทำงานของสมองส่วนหน้าหรือ
00:04:23 → 00:04:26 ที่เรียกว่าเปลียกสมองเbralร Cortex ส่วน
00:04:26 → 00:04:29 นี้เป็นเหมือนศูนย์ควบคุมความคิดขั้นสูง
00:04:29 → 00:04:32 บุคลิกภาพแล้วก็การเข้าสังคมของเรานะครับ
00:04:32 → 00:04:35 ค่ะพอสมองส่วนนี้ได้รับผลกระทบเนี่ยการ
00:04:35 → 00:04:38 แสดงออกทางอารมณ์ก็อาจจะผิดปกติไปได้
00:04:38 → 00:04:40 อย่างเช่นอาจจะไวต่อสิ่งกระตุ้นง่ายขึ้น
00:04:40 → 00:04:43 เศร้าหรือหงุณหิตโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
00:04:43 → 00:04:47 หรือรู้สึกเหงารู้สึกโดดเดี่ยวอืพฤติกรรม
00:04:47 → 00:04:50 ทางสังคมก็อาจจะเปลี่ยนไปเลยครับจากคนที่
00:04:50 → 00:04:53 เคยชอบเข้าสังคมอาจจะกลายเป็นคนเก็บตัว
00:04:53 → 00:04:56 หรือบางทีก็กลับกันเลยก็มีแล้วพออาการมาก
00:04:56 → 00:05:00 ขึ้นก็อาจจะแยกตัวจากสังคมพูดคุยน้อยลง
00:05:00 → 00:05:03 หรือบางทีก็หยุดพูดกลางครืมว่าจะพูดอะไร
00:05:03 → 00:05:06 ต่อแสดงว่าตัวโรคนี้มันส่งผลกระทบได้
00:05:06 → 00:05:09 กว้างขวางมากเลยนะคะเปลี่ยนแปลงได้ทั้ง
00:05:09 → 00:05:13 วิธีที่คนๆนึงมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว
00:05:13 → 00:05:16 แล้วก็ความรู้สึกที่เขามีต่อตัวเองด้วย
00:05:16 → 00:05:19 เอาล่ะค่ะข้อมูลทั้งหมดนี้ก็ชี้ให้เรา
00:05:19 → 00:05:21 เห็นถึง 4 รูปแบบคำพูดที่น่าสังเกตมากๆ
00:05:22 → 00:05:24 เลยนะคะแต่ก็ต้องย้ำตามที่คุณหมอกลัวแนะ
00:05:24 → 00:05:28 นำนะคะว่านี่เป็นเพียงสัญญาณที่เราควรใส่
00:05:28 → 00:05:31 ใจนะไม่ใช่ข้อวินิจฉัยทางการแพทย์โดยตรง
00:05:31 → 00:05:34 ใช่ครับเพราะฉะนั้นถ้าเราสังเกตเห็นคน
00:05:34 → 00:05:37 ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆหรือ
00:05:37 → 00:05:40 มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิมก็ควรจะแนะ
00:05:40 → 00:05:42 นำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและ
00:05:42 → 00:05:45 ระบบประสาทเพื่อประเมินอย่างละเอียดจะดี
00:05:45 → 00:05:48 ที่สุดค่ะถูกต้องเลยครับการตระหนักรู้
00:05:48 → 00:05:50 สัญญาณแต่เนิ่นๆแล้วก็การไปปรึกษาแพทย์
00:05:51 → 00:05:53 เนี่ยเป็นเรื่องสำคัญมากๆเพราะการ
00:05:53 → 00:05:56 วินิจฉัยที่รวดเร็วมันก็จะนำไปสู่การวาง
00:05:56 → 00:05:59 แผนดูแลป้องกันหรือการเริ่มการรักษาได้
00:05:59 → 00:06:02 ทันท่วงทีซึ่งอาจจะช่วยชะลอการดำเนินไป
00:06:02 → 00:06:05 ของโรคได้นะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี
00:06:05 → 00:06:08 ของอัลไซเมอร์เนี่ยการปรับพฤติกรรมแล้วก็
00:06:08 → 00:06:11 การรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆสามารถช่วยลดความ
00:06:11 → 00:06:13 เสี่ยงหรือชะลออาการได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
00:06:13 → 00:06:17 เลยครับจริงด้วยค่ะก็น่าคิดนะคะว่าบาง
00:06:17 → 00:06:19 ครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กน้อย
00:06:20 → 00:06:23 มากๆแล้วก็เกิดขึ้นเงียบๆในบทสนทนาประจำ
00:06:23 → 00:06:25 ประจำวันของเราเนี่ยอาจจะเป็นสัญญาณที่
00:06:25 → 00:06:28 บอกอะไรเราได้มากมายเลยการใส่ใจในราย
00:06:28 → 00:06:32 ละเอียดเล็กๆน้อยๆของคำพูดและพฤติกรรมที่
00:06:32 → 00:06:35 เปลี่ยนไปของคนที่เรารักนะคะจึงอาจเป็น
00:06:35 → 00:06:37 กุญแจสำคัญในการดูแลพวกเขาได้อย่างดีที่
00:06:37 → 00:06:41 สุดค่ะถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ฝากกดติดตามกด
00:06:41 → 00:06:44 ไลก์กดแชร์ให้คนที่คุณห่วงใยและเป็นกำลัง
00:06:44 → 00:06:47 ใจให้กับช่องสุขภาพสนทนาได้มีแรงสร้าง
00:06:47 → 00:06:51 สรรค์เรื่องราวดีต่อไปนะครับ