00:00:04 → 00:00:08 ก็สวัสดีทุกคนนะครับวันนี้เราจะมาไลฟ์กัน
00:00:08 → 00:00:11 สั้นๆนะครับแล้วะวันนี้ผมจะไม่ตอบคำถามนะ
00:00:11 → 00:00:14 ครับเอ่อรวมทั้งจะไม่ตอบอะไรที่มันอยู่
00:00:14 → 00:00:17 นอกเหนือจากที่ถามมาทั้งหมดถ้าใครที่ถาม
00:00:17 → 00:00:19 อะไรที่มาอยู่นอกเหนือเผมจะเตือนเป็นช่วง
00:00:19 → 00:00:21 ๆเนาะเพราะวันนี้เนี่ยเรากำลังเบื่ออยู่
00:00:21 → 00:00:24 เราไม่อยากจะตอบอะไรเยอะเท่าไหร่นะครับ
00:00:24 → 00:00:26 อ่าอาจจะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับสิ่ง
00:00:27 → 00:00:28 ที่วันนี้เราจะพูดกันเท่านั้นนะครับเพราะ
00:00:28 → 00:00:30 ว่าเรื่องของอินเตอร์เนต fasting หรือการ
00:00:30 → 00:00:33 อดอาหารเป็นช่วงๆเนี่ยมันค่อนข้างที่จะ
00:00:33 → 00:00:36 เจอได้หลากหลายนะครับแล้วก็มีคนไปลองทำมา
00:00:37 → 00:00:39 หลายคนนะครับแล้วบางคนพอทำไม่ถูกต้อง
00:00:39 → 00:00:42 เนี่ยมันก็จะเกิดปัญหาต่างๆตามมาเยอะแยะ
00:00:42 → 00:00:44 ไปหมดเลยนะครับไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่าง
00:00:44 → 00:00:47 กายหรือปัญหาทางด้านจิตใจซึ่งหลายๆคนอาจ
00:00:47 → 00:00:48 จะไม่คิดว่ามันเกิดจาก intermittent
00:00:48 → 00:00:52 fasting ได้นะครับก็เดี๋ยวเราเข้าเรื่อง
00:00:52 → 00:00:53 กันเลยนะครับเพราะวันนี้จะเป็นไลฟ์ที่
00:00:53 → 00:00:56 สั้นที่สุดเท่าที่ผมจะทำมานะน่าจะประมาณ
00:00:56 → 00:00:58 10 นาทีแล้วก็จบเลยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ
00:00:58 → 00:01:00 ว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นยังไงว่าเราจะนาน
00:01:00 → 00:01:01 กว่านั้นหรือเปล่าหรือว่าจะยังไงนะครับ
00:01:01 → 00:01:04 ถ้าถ้ายังไงเรามาฟังย้อนหลังจะดีกว่านะ
00:01:04 → 00:01:06 ครับแต่ว่า intermittent fasting เนี่ย
00:01:06 → 00:01:09 หลักการของเขาก็คือว่ามันต้องการที่จะ
00:01:09 → 00:01:11 กระตุ้นกระบวนการอันหนึ่งในร่างกายก็คือ
00:01:11 → 00:01:14 กระบวนการ autophagy นะครับกระบวนการอัน
00:01:14 → 00:01:17 นี้เนี่ยมันจะเป็นกระบวนการที่สามารถที่
00:01:17 → 00:01:21 จะทำให้เ่อร่างกายของเราเนี่ยมันกำจัดขยะ
00:01:21 → 00:01:24 หรือว่ารีไซเคิสิ่งที่ไม่จำเป็นต่างๆได้
00:01:24 → 00:01:27 นะครับก็เพราะว่ากระบวนการสร้างพลังงาน
00:01:27 → 00:01:30 ต่างๆของเซลล์เราหรือว่ากระบวนการทุก
00:01:30 → 00:01:33 อย่างของร่างกายเนี่ยมันจะมีขยะออกมานะ
00:01:33 → 00:01:35 ครับไม่ว่าจะเป็นโปรตีนไขมันหรืออะไรก็
00:01:35 → 00:01:37 แล้วแต่นะครับไอ้ขยะเหล่านี้เนี่ยนะครับ
00:01:38 → 00:01:41 โดยธรรมดาแล้วเมันจะไม่ค่อยดีต่อร่างกาย
00:01:41 → 00:01:44 ร่างกายเราจะต้องกำจัดนะครับแต่เมื่อเรา
00:01:44 → 00:01:47 อยู่ในภาวะที่ขาดอาหารนะครับมันจะโยนของ
00:01:48 → 00:01:52 พวกนั้นทิ้งไปโดยเปล่าๆเนี่ยมันก็ไม่ใช่
00:01:52 → 00:01:55 เหตุผลที่ควรทำเนาะมันก็เลยจะมีวิธีในการ
00:01:55 → 00:01:59 รีไซเคิเอาของพวกนั้นน่ะกลับมาใช้ใหม่ก็
00:01:59 → 00:02:02 จะได้ประโยชน์ 2 ทางทางแรกก็คือ 1 ได้ของ
00:02:02 → 00:02:04 มาใช้ใหม่ด้วยนะครับอันที่ 2 คือเป็นการ
00:02:04 → 00:02:07 กำจัดขยะที่มันอยู่ในเซลล์เราไปแล้วเา
00:02:07 → 00:02:11 เชื่อว่าการที่มี ay แบบนี้เนี่ยจะทำให้
00:02:11 → 00:02:13 เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นนะครับปราศจาก
00:02:13 → 00:02:17 ปราศจากโรคต่างๆนะครับทั้งหมดไปนะฮะทีนี้
00:02:17 → 00:02:21 พอมันปราศจากโรคต่างๆไปเนี่ยก็แน่นอนว่า
00:02:21 → 00:02:23 เราก็อยากจะเป็นแบบนั้นใช่มั้ยครับเรื่อง
00:02:23 → 00:02:25 ของอัลไซเมอร์เออมันอาจจะไม่เป็นนะครับ
00:02:25 → 00:02:30 ความดันสูงอก็ไม่มีโรคอ้วนก็หายนะครับเบา
00:02:30 → 00:02:32 หวานอะไรพวกนี้ก็จะดีขึ้นหรือโรคต่างๆโรค
00:02:32 → 00:02:35 หัวใจโรคอะไรพวกเนี้ยมันก็จะดีนะครับดัง
00:02:35 → 00:02:39 นั้นพวกนี้เนี่ยก็เป็นสิ่งที่คนที่เขาแนะ
00:02:39 → 00:02:42 นำ intermittent fasting เนี่ยก็อยากจะ
00:02:42 → 00:02:45 ได้นะครับทีนี้คำถามต่อมาเมื่อมี
00:02:45 → 00:02:47 intermittent fasting แล้วเฮ้ยแล้วเรา
00:02:47 → 00:02:50 จะต้องทำนานเท่าไหร่นะครับทำนานแบบ 1
00:02:50 → 00:02:53 ช่วโมงได้มยมันจะเกิดภาวะ autophagy หรือ
00:02:53 → 00:02:56 ยังหรือต้องทำทีเดียวหลายๆวันมันถึงจะ
00:02:56 → 00:02:59 เกิดนะครับเราก็มีตั้งหลากหลายนะครับซึ่ง
00:02:59 → 00:03:01 เรื่องเรื่องนี้เนี่ยผมเคยเล่าไปแล้วว่า
00:03:01 → 00:03:04 เอ๊ะมันเราจะอดอาหารนานเท่าไหร่ถึงจะ
00:03:04 → 00:03:07 เริ่มเกิด autophagy นะครับคำตอบก็คือเรา
00:03:07 → 00:03:10 อดอาหารไปประมาณ 4 ชมงเนี่ยมันเริ่มเกิด
00:03:10 → 00:03:13 autophagy ละนะครับ 4 ชมงเริ่มเกิดนะ
00:03:13 → 00:03:16 ครับแต่มันจะเกิดเต็มที่เนี่ยประมาณสัก 12
00:03:16 → 00:03:19 ชมงหลังจากที่เราอดอาหารนะครับถ้าเราอด
00:03:19 → 00:03:21 นานกว่านั้นเนี่ยมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใน
00:03:21 → 00:03:24 ร่างกายของเราเนี่ยมีขยะมากน้อยแค่ไหนถ้า
00:03:24 → 00:03:26 สมมุติมันมีเยอะปุ๊บเนี่ยมันก็จะมีของให้
00:03:26 → 00:03:28 รีไซเคิเยอะนะครับแล้วก็คาดว่าถ้าเราอด
00:03:28 → 00:03:32 ยิ่งนานนะครับมันน่าจะเอาไอ้ของพวกนั้น
00:03:32 → 00:03:36 เนี่ยมารีไซเคิใช้ใหม่ได้นะครับทีนี้ฟัง
00:03:36 → 00:03:39 ดูแบบนี้แล้วก็แปลว่าเฮ้ยมันน่าจะอดที
00:03:39 → 00:03:42 เดียวหลายๆวันเลยสินะครับน่าจะดีนะครับ
00:03:42 → 00:03:45 ไม่ดีหรอกครับนะเหตุผลก็ยกตัวอย่างง่ายๆ
00:03:45 → 00:03:47 เลยนะครับในชีวิตประจำวันของเราเนี่ยทุกๆ
00:03:47 → 00:03:50 อย่างที่มาจากของรีไซเคิ 100% เนี่ยมันมี
00:03:50 → 00:03:53 ไม่เยอะนะครับถามว่าทำไมมันมีไม่เยอะก็
00:03:53 → 00:03:55 เพราะว่ามันทำไม่ค่อยได้สิครับถูกมั้ยฮะ
00:03:56 → 00:03:58 แล้วสิ่งที่รีไซเคิมาเนี่ยนะครับคุณภาพ
00:03:58 → 00:04:00 บางครั้งเนี่ยมันไม่เท่ากับของที่เรา
00:04:00 → 00:04:03 สร้างมาจากสิ่งที่เราได้วัตถุดิบใหม่นะ
00:04:03 → 00:04:05 ครับเช่นถ้าเกิดคุณมีมือถือสักเครื่องนึง
00:04:05 → 00:04:07 แล้วทุกอย่างมันมาจากของรีไซเคิลหมดเนี่ย
00:04:07 → 00:04:10 มือถือเครื่องนั้นอาจจะมีปัญหาหลายๆอย่าง
00:04:10 → 00:04:12 นะครับเพราะว่าเอ่อทองเองชิปเองบางตัวนะ
00:04:12 → 00:04:14 ครับมันจำเป็นจะต้องสร้างจากวัตถุดิบอมัน
00:04:14 → 00:04:17 ใหม่นะครับร่างกายเราก็คล้ายกับแบบนั้น
00:04:17 → 00:04:19 เหมือนกันคือถ้าสร้างทุกอย่างจากของ
00:04:19 → 00:04:22 รีไซเคิเนี่ยครับทำไปเป็นเวลานานๆเนี่ย
00:04:22 → 00:04:24 มันไม่ได้แล้วมันก็จะเกิดความผิดปกติบาง
00:04:24 → 00:04:27 อย่างขึ้นมานะครับบางคนก็มีความผิดปกติ
00:04:27 → 00:04:31 มากบางคนก็มีความผิดปกติน้อยนะครับทีนี้
00:04:31 → 00:04:33 ทำ intermittent fasting แค่ไหนถึงจะได้
00:04:33 → 00:04:39 ประโยชน์นะครับมันก็อาจจะถ้าเราทำจริงๆนะ
00:04:39 → 00:04:42 คือเราอาจจะอดมากๆเลยก็แค่สักวันนึงอ่ะ
00:04:42 → 00:04:44 เนี่ยคือเต็มที่ะะถ้าเลยไปกว่านั้นเนี่ย
00:04:44 → 00:04:47 บางครั้งมันจะเริ่มมีปัญหานะครับสำหรับคน
00:04:47 → 00:04:50 ที่ไปดูมาว่าเอ๊ยทำ Water fasting หรือ
00:04:50 → 00:04:53 ว่าทำอ่อ dry fasting ซึ่งอดไปทีเดียว
00:04:53 → 00:04:56 เลยหลายๆวันเช่น 5 วัน 1 อาทิตย์อะไร
00:04:56 → 00:04:57 อย่างเงี้ยนะครับหรือนานกว่านั้นเนี่ยนะ
00:04:57 → 00:05:01 ครับมันก็จะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้นะ
00:05:01 → 00:05:04 ครับแต่มันก็จะมีข้อดีของมันเหมือนกันบาง
00:05:04 → 00:05:06 อย่างนะถ้าเราต้องการจะทำการอดอาหารนานๆ
00:05:07 → 00:05:10 แบบนั้นเลยนะครับมันอาจจะต้องรู้วิธีนิด
00:05:10 → 00:05:13 นึงนะครับทีนี้สำหรับคนที่อยากจะได้
00:05:13 → 00:05:16 ประโยชน์ของ interp fasting นะครับแล้ว
00:05:16 → 00:05:20 อยากจะเริ่มทำมันทำยังไงนะครับทำแบบไหนนะ
00:05:20 → 00:05:24 ฮะก็คือถ้าเราจะอดไปเลยตั้งแต่แรกนานๆเลย
00:05:24 → 00:05:26 แน่นอนว่ามันจะเกิดปัญหาปัญหาที่เกิดจาก
00:05:26 → 00:05:28 interm fasting เนี่ยถ้าคนไม่เคยทำมา
00:05:29 → 00:05:31 ก่อนแล้วทำนะครับเวลาที่ร่างกายเราขาด
00:05:31 → 00:05:34 พลังงานเนี่ย 1 มันอ่อนเพลียละแน่นอนบาง
00:05:34 → 00:05:37 คนจะมีอาการปวดหัวนะครับอารมณ์จะไม่ปกติ
00:05:37 → 00:05:40 จะหงุดหงิดนะครับหรือเราอาจจะมีโรค
00:05:40 → 00:05:43 กระเพาะโรคกรดไหลย้อนต่างๆกำเริบได้โดย
00:05:43 → 00:05:46 เฉพาะคนที่ต้องทานยาประจำหลังอาหารอย่าง
00:05:46 → 00:05:48 เงี้ยแล้วถ้าเราไม่มีอาหารเข้าไปมันก็ทาน
00:05:48 → 00:05:50 ยาไม่ได้ถูกมั้ยครับยาบางตัวมันดูดซึม
00:05:50 → 00:05:53 ด้วยอาหารยาบางตัวเนี่ยมันกัดกระเพราะเรา
00:05:53 → 00:05:56 ต้องทานหลังอาหารถ้าเราทานตอนท้องว่างอ้า
00:05:56 → 00:05:59 มันก็มีปัญหาได้นะครับดังนั้นเราก็จะมี
00:05:59 → 00:06:02 ปัญหาอย่างนั้นดังนั้นเนี่ยก่อนที่เราจะ
00:06:02 → 00:06:04 ทำ intermittent fasting เราต้องไปคุย
00:06:04 → 00:06:06 กับคุณหมอที่ดูแลเราอยู่ว่ามันมียาตัวไหน
00:06:06 → 00:06:10 บ้างที่เราอาจจะต้องปรับนะเราเอ่ออาจจะ
00:06:10 → 00:06:12 ต้องปรับลดอินซูลินที่เราจะใช้อยู่เนี่ย
00:06:12 → 00:06:15 มันจะต้องลดขนาดลงมายาเบาหวานบางตัวต้อง
00:06:15 → 00:06:18 ลดขนาดลงมายาที่าหลังอาหารก็อาจจะต้อง
00:06:18 → 00:06:20 ปรับเป็นหลังอาหารมื้อสักมื้อนึงนะครับ
00:06:20 → 00:06:23 แล้วก็แน่นอนว่าผลการออกฤทธิ์มันอาจจะไม่
00:06:24 → 00:06:26 ตรงกับคนที่ทานอาหารอย่างนี้เป็นต้นนะ
00:06:26 → 00:06:30 ครับถ้าเราเริ่มนะครับมันมีวิธีเริ่มได้
00:06:30 → 00:06:33 หลายอย่างนะครับอย่างแรกก็คือเราทาน 3
00:06:33 → 00:06:38 เวลาปกตินะครับแล้วเราลองยืดเวลามื้อเช้า
00:06:38 → 00:06:40 ออกไปนิดนึงนะครับเพราะว่ามื้อที่เราเกิด
00:06:40 → 00:06:43 ay แน่ๆคือมื้อเย็นถูกมั้ยครับเวลามื้อ
00:06:43 → 00:06:46 เย็นแล้วเรานอนแน่นอนว่าเรานอนเกิน 4 ชมง
00:06:46 → 00:06:48 ถ้าเรานอนเกิน 4 ชมงเนี่ยเป็นช่วงที่เรา
00:06:48 → 00:06:50 ไม่ได้ทานอาหารอะไรอยู่แล้วะ autophagy
00:06:50 → 00:06:53 มันเริ่มเกิดและถ้าผ่านไป 12 ชมงเนี่ย
00:06:53 → 00:06:56 autopy เกิดเยอะถูกมั้ยครับถ้าเรากิน
00:06:56 → 00:06:58 ข้าวเย็นตอน 18:00 นแล้วเราไม่กินอะไรอีก
00:06:58 → 00:07:00 เลยเนี่ยตอน 6 600 นเนี่ยตอนนั้นเราจะ
00:07:00 → 00:07:02 เริ่มมี autopy ที่ค่อนข้างเต็มที่ละนะ
00:07:02 → 00:07:05 ครับร่างกายมันจะเริ่มมีการเคลียร์ขยะ
00:07:05 → 00:07:06 แล้วก็
00:07:06 → 00:07:10 เอ่อทำทำให้เกิดการใช้พลังงานต่างๆเพิ่ม
00:07:10 → 00:07:14 ขึ้นนะครับอ่านั่นแหละดังนั้นถ้าเราลอง
00:07:14 → 00:07:17 ยืดมื้อเช้าแทนที่จะกินแบบ 18:00 นอ่าลอง
00:07:17 → 00:07:20 ไปสัก 8 น 900 นนะครับค่อยๆยืดไปทีละ
00:07:20 → 00:07:23 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงนะครับแล้วต่อมาเนี่ย
00:07:23 → 00:07:25 เราอาจจะแบบเฮ้ยมื้อเช้าเราไม่กินเลยก็
00:07:25 → 00:07:27 ได้นะครับคือไปกินตอนเที่ยงมันก็เลยจะทำ
00:07:27 → 00:07:30 ให้เราสามารถที่จะไม่มีอาหารในท้องเลยนะ
00:07:30 → 00:07:33 ครับตั้งแต่ 18:00 นที่เรากินอ่าจนถึง
00:07:33 → 00:07:36 เที่ยนมันก็คือ 18 ชมนะครับถ้าทำแบบนี้
00:07:36 → 00:07:39 เนี่ยนะครับมันก็แปลว่าใน 18 ชมงเนี้ยมัน
00:07:39 → 00:07:41 ค่อนข้างได้เต็มที่เรางดมื้อเช้าอย่าง
00:07:41 → 00:07:45 มื้อเดียวก็ได้นะครับคำถามก็คืออ้าวแล้ว
00:07:45 → 00:07:47 ที่เราไปเคยได้ยินมาว่ามื้อเช้าเป็นมื้อ
00:07:47 → 00:07:50 ที่สำคัญที่สุดล่ะมันคืออะไรกันแน่นะครับ
00:07:50 → 00:07:53 มื้อเช้าที่สำคัญที่สุดเนี่ยมันแล้วแต่คน
00:07:53 → 00:07:56 ไม่ทุกคนจะไม่เหมือนกันนะครับถ้าคนไหนที่
00:07:56 → 00:07:58 จำเป็นจะต้องใช้พลังงานเยอะๆในตอนเช้าเนา
00:07:58 → 00:08:02 เค้าเก็จะต้องกินอาหารเข้าไปตอนเช้าเยอะ
00:08:02 → 00:08:05 นิดนึงนะครับเพื่อที่จะใช้แรงได้ถ้าเกิด
00:08:05 → 00:08:08 คุณเป็นคนที่อ่าออกแรงตอนเช้าเยอะๆอย่าง
00:08:08 → 00:08:10 เงี้ยถ้าคุณไม่กินอาหารมันอาจจะแรงไม่พอ
00:08:10 → 00:08:13 ก็ได้นะครับดังนั้นคนเหล่านี้เนี่ยก็จะ
00:08:13 → 00:08:15 ไม่เหมาะในการที่ทำ intermittent fasting
00:08:15 → 00:08:18 โดยการอดมื้อเช้าจะต้องไปอดมื้ออื่นแทนนะ
00:08:18 → 00:08:20 ครับอ่าอาจจะต้องไปอดมื้อเที่ยงแทนอย่าง
00:08:20 → 00:08:23 นี้เป็นต้นนะครับคือถ้าเราต้องใช้แรงเยอะ
00:08:23 → 00:08:25 ๆนะครับผมแนะนำว่าคุณก็กินมื้อเช้าตาม
00:08:25 → 00:08:28 ปกตินั่นแหละนะครับแล้วก็เลื่อนมื้อ
00:08:28 → 00:08:30 เที่ยงออกไปเรื่อยๆนะครับอ่าเลื่อนมื้อ
00:08:30 → 00:08:33 เที่ยงไปเรื่อยๆๆๆจนกระทั่งเฮ้ยมันถึง
00:08:33 → 00:08:36 มื้อเย็นละเราอาจจะกลายเป็นกมื้อเช้าแล้ว
00:08:36 → 00:08:38 ก็มื้อเย็นไปเลยก็ได้นะครับทำแบบนี้เนี่ย
00:08:38 → 00:08:40 คุณก็จะได้วิธีในการฝึก intermittent
00:08:40 → 00:08:43 fasting ที่มันค่อนข้างที่จะได้ผลนะครับ
00:08:43 → 00:08:45 คือห่างอย่างน้อยก็ห่างไปเรื่อยๆเช่นมื้อ
00:08:45 → 00:08:48 เย็นคุณก็ต้องไปลองดูว่าเอ๊ะเราเข้านอน
00:08:48 → 00:08:51 กี่โมงนะครับเช่นเข้านอน 22:00 นคุณต้อง
00:08:51 → 00:08:53 กังวลไว้อย่างนึงนะครับคือเรื่องของกรด
00:08:53 → 00:08:56 ไหลย้อนเพราะว่าถ้าเราทานอาหารใกล้เวลา
00:08:56 → 00:08:58 นอนจนเกินไปบางคนนอนไม่ได้อึดอัดกรดไหล
00:08:58 → 00:09:01 ย้อนนะครับถ้าเราทำแบบนั้นเนี่ยนะครับเรา
00:09:01 → 00:09:06 ก็ให้อ่าอาจจะต้องทานมื้อเย็นก่อนเข้านอน
00:09:06 → 00:09:08 ประมาณ 3 ชั่วโมงนะครับเราก็อาจจะมีข้อ
00:09:08 → 00:09:11 จำกัดในการยืดเวลาอาหารเย็นออกไปนิดนึงก็
00:09:11 → 00:09:14 ได้นะครับอ่ามันก็จะเป็นข้อจำกัดบางอย่าง
00:09:14 → 00:09:17 ซึ่งแล้วแต่คนนะครับดังนั้นเวลาที่เราจะ
00:09:17 → 00:09:19 เริ่มเนี่ยข้อแรกคือเราต้องปรึกษาคุณหมอ
00:09:19 → 00:09:22 ที่เราดูแลเ่อดูแลเราก่อนนะครับว่าเอ๊ะมี
00:09:22 → 00:09:25 ยาตัวไหนที่เราอ่าต้องเปลี่ยนบ้างนะครับ
00:09:25 → 00:09:27 อันที่ 2 ถ้าเราจะเริ่มนะครับให้เราเลือก
00:09:27 → 00:09:30 มื้อสักมื้อนึงนะครับถ้าคนไหนที่ไม่ต้อง
00:09:30 → 00:09:32 ใช้แรงอะไรเยอะมากมายเนี่ยลองมื้อเช้า
00:09:32 → 00:09:35 ก่อนนะครับลองยืดอออกไปทีละนิดอย่าไปงด
00:09:35 → 00:09:38 เลยทันทีนะครับเพราะว่าหลายคนเวลางดเลย
00:09:38 → 00:09:41 ทันทีเนี่ยเราจะไม่มีแรงนะครับไม่มีแรง
00:09:41 → 00:09:44 ปวดหัวอ่อนเพลียสมาธิหายไปคิดอะไรไม่ออก
00:09:44 → 00:09:48 นะครับแต่พอเราไปฟังกูรู influencer อะไร
00:09:48 → 00:09:52 ซะอย่างนะครับเค้าก็มักจะบอกว่าอดทนอดทน
00:09:52 → 00:09:55 น่ะกินน้ำกินอะไรเข้าไปในท้องให้มันมี
00:09:55 → 00:09:57 อะไรสักอย่างนิดนะกินน้ำอะไรครับซึ่งแบบ
00:09:57 → 00:09:58 นั้นเนี่ยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับเพราะ
00:09:58 → 00:10:00 ว่าว่าถ้าเกิดคุณจำเป็นจะต้องทำงานที่
00:10:00 → 00:10:04 ต้องใช้ความคิดมากใช้เรื่องของสติปัญญา
00:10:04 → 00:10:06 เยอะๆสมาธิสติพวกเนี้ยนะครับแล้วมันหิว
00:10:06 → 00:10:09 อ่ะนะครับมันก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ก็จะ
00:10:09 → 00:10:12 เกิดผลเสียต่างๆตามมานะครับอ่านี้ก็คือ
00:10:12 → 00:10:15 เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงถ้าเราจะเริ่ม
00:10:15 → 00:10:22 ทำเนอ่ะต่อมาถ้าเราสามารถยืดเวลาของมื้อ
00:10:22 → 00:10:24 ใดมื้อหนึ่งไปได้เรื่อยๆจนกระทั่งเรางด
00:10:24 → 00:10:26 มื้อนั้นไปได้ละเราก็จะเหลือทาน 2 มื้อนะ
00:10:27 → 00:10:30 ครับเราก็อาจจะใช้ิธีเดียวกันนี่แหละค่อย
00:10:30 → 00:10:34 ๆลดปริมาณอาหารของบางมื้อที่เราต้องการ
00:10:34 → 00:10:37 กินลดลงเช่นเราอยากจะกินมื้อเช้าแต่เรา
00:10:38 → 00:10:40 ไม่เราไม่กินมื้อเที่ยงเราจะมื้อเย็นเรา
00:10:40 → 00:10:44 อยากจะกินลดลงได้มได้ครับนะฮะวิธีในการลด
00:10:44 → 00:10:46 มื้อเย็นหรือมื้อใดๆก็แล้วแต่ที่มันเหมาะ
00:10:46 → 00:10:49 สมกับไลฟ์สไตล์ของเรานะครับก็คือเราค่อยๆ
00:10:49 → 00:10:51 ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลงนะครับในใน
00:10:51 → 00:10:53 มื้อที่เราต้องการลดเช่นถ้าเราต้องการจะ
00:10:53 → 00:10:55 กินมื้อเช้าอย่างเดียวแล้วมื้อเย็นเราไม่
00:10:55 → 00:10:57 เอาเราค่อยๆลดปริมาณมื้อเย็นลงทีละนิดที
00:10:57 → 00:11:00 ละนิดจนกระทั่งหายไปนะนะครับเราก็จะกลาย
00:11:00 → 00:11:02 ไปเป็นคนที่กินมื้อเช้าอย่างเดียวยไม่กิน
00:11:02 → 00:11:03 อะไรอย่างอื่นแล้วก็ได้ผลประโยชน์ต่อ
00:11:03 → 00:11:05 autopy คือสมมุติว่าเรากินมื้อเช้าสัก
00:11:06 → 00:11:08 ครึ่งชั่วโมงชั่วโมงนึงเนี่ยก็กลายเป็น
00:11:08 → 00:11:10 ว่าเราทำ intermittent fasting ทั้งหมด
00:11:10 → 00:11:13 23 ชั่วโมงแล้วก็กินประมาณชั่วโมงนึงนะ
00:11:13 → 00:11:15 ครับแบบนั้นเราก็จะได้ ay แบบเต็มที่ใน
00:11:15 → 00:11:17 แต่ละ
00:11:17 → 00:11:20 วันแค่นั้นถามว่าเพียงพอหรือยังยังไม่
00:11:20 → 00:11:22 เพียงพอครับถ้าคนจะทำ interf fasting จะ
00:11:22 → 00:11:26 ต้องทราบว่าเราจะต้องได้สารอาหารให้มัน
00:11:26 → 00:11:29 เพียงพอด้วยนะครับอ่าได้สารอาหารให้มัน
00:11:29 → 00:11:31 เพียงพอเพราะไม่ใช่งั้นเนี่ยเราก็จะเกิด
00:11:31 → 00:11:33 ปัญหาต่างๆขึ้นมากับร่างกายโอ้นี้เกิน 10
00:11:33 → 00:11:37 นาทีมาแล้วะเดี๋ยวต้องต้องรีบๆพูดให้มัน
00:11:37 → 00:11:40 ครบๆเนาะเพราะไม่แค่นั้นเดี๋ยวอาจจะเยอะ
00:11:40 → 00:11:43 นะครับอย่างที่บอกนะครับวันนี้ผมไม่ตอบคำ
00:11:43 → 00:11:46 ถามเนาะอาจจะดูแค่บางคนเท่านั้นที่น่าจะ
00:11:46 → 00:11:48 เป็นคำถามที่น่าตอบนะครับเพราะวันนี้เรา
00:11:48 → 00:11:51 เรายังไม่รู้สึกว่ามันเป็นปกตินะครับเรา
00:11:51 → 00:11:55 จะเราจะข้ามไปก่อนนะอ่าถ้าใครอยากจะถามคำ
00:11:55 → 00:11:58 ถามมาถามหลังไลฟ์นะครับลองดูว่าถ้าเป็นคำ
00:11:58 → 00:12:00 ถามที่น่าตอบผมจะตอบอ้อแล้วต่อไปนี้จะบอก
00:12:00 → 00:12:02 ไว้อย่างนึงคือถ้าเกิดว่าผมตอบคำถามใน
00:12:02 → 00:12:05 YouTube เนี่ยนะฮะกรุณาถามผมครั้งเดียว
00:12:05 → 00:12:07 แล้วก็ 1 คำถามต่อท่านนะครับถ้าถามมาก
00:12:07 → 00:12:09 กว่า 1 คำถามผมจะตอบคำถามที่ผมคิดว่า
00:12:09 → 00:12:12 สำคัญก่อนนะครับอ่าบอกไว้เลยนะตั้งแต่แรก
00:12:12 → 00:12:14 ผมจะตอบคำถามที่สำคัญก่อนสำคำถามที่ไม่
00:12:14 → 00:12:17 สำคัญเนี่ยผมจะข้ามไปหรือว่าถ้าใครถามซ้ำ
00:12:17 → 00:12:20 เรื่อยๆหลายๆอันเนี่ยก็อาจจะโดนลบนะครับ
00:12:20 → 00:12:24 อ่านะครับเตือนไว้ก่อนเลยนะที่สำคัญคือ
00:12:24 → 00:12:27 ถามได้ 1 คำถามถ้าถามซ้อนใน 1 คำถามนั้น
00:12:27 → 00:12:29 ผมอาจจะไม่ตอบท่านนะครับแต่ก็แล้วแต่
00:12:29 → 00:12:31 อารมณ์ผมในตอนนั้นเหมือนกันถ้าผมตอบท่าน
00:12:31 → 00:12:34 ก็โชคดีไปถ้าไม่ตอบเนี่ยอาจจะไม่ตอบเลยนะ
00:12:34 → 00:12:37 ครับอือ่ะเรามาต่อกันเรื่อง independent
00:12:37 → 00:12:41 fasting นะครับชนิดของอาหารมีความสำคัญ
00:12:41 → 00:12:44 มากนะครับคือชนิดของอาหารเนี่ยเราต้องทาน
00:12:44 → 00:12:47 ให้หลากหลายนะครับสิ่งที่เราต้องเน้นใน
00:12:47 → 00:12:48 อาหาร independent fasting เนี่ยไม่ใช่
00:12:48 → 00:12:50 ว่าเราทำ independent fasting แล้วเราจะ
00:12:50 → 00:12:53 กินอะไรก็ได้เพราะว่ามันมีคนทำไม่ถูกต้อง
00:12:53 → 00:12:56 เช่นว่าโอเคเราทำ 231 นะครับคือเราอด 23
00:12:56 → 00:12:59 ชมงเรากิน 1 ชมงแต่เรากินตามใจปากเลยคือ
00:12:59 → 00:13:03 กินขนมกินเอ่อช็อกโกแลตกินของมันของทอด
00:13:03 → 00:13:05 หมู 3 ชั้นอะไรอย่างเงี้ยนะครับแล้วสุด
00:13:05 → 00:13:09 ท้ายเนี่ยมันเกิดโรคหัวใจโรคปัญหาหลอด
00:13:09 → 00:13:11 เลือดต่างๆขึ้นมาอันนั้นก็แปลว่าเค้าทำ
00:13:11 → 00:13:14 ไม่ค่อยถูกต้องนะครับวิธีที่ถูกต้องจริงๆ
00:13:14 → 00:13:16 เนี่ยคือมันคืออาหารอย่างที่พวกเราเข้าใจ
00:13:16 → 00:13:18 กันนั่นแหละครับอาหารสุขภาพนะถ้าเราทำได้
00:13:19 → 00:13:22 นะมันจะดีที่สุดนะครับคือข้อแรกเนี่ยไข
00:13:22 → 00:13:25 มันควรจะเป็นไขมันที่เป็นไขมันดีนะครับ
00:13:25 → 00:13:29 อ่าบางคนไปฟังมาว่าเฮ้ยทานไขมันอิ่มตัวนะ
00:13:29 → 00:13:32 ครับทานหมู 3 ชั้นทานอ่าน้ำมันจากสัตว์นะ
00:13:32 → 00:13:34 ครับไขมันจากสัตว์แล้วมันจะดีกว่าทานน้ำ
00:13:34 → 00:13:37 มันจากพืชอันนี้ก็แปลกประหลาดเหมือนกันนะ
00:13:37 → 00:13:39 ครับมันอาจจะไม่ถูกต้องนะครับถ้าเราทาน
00:13:39 → 00:13:41 พวกนั้นเนี่ยค่าไขมันของร่างกายเรามันอาจ
00:13:41 → 00:13:44 จะสูงแล้วก็เป็นปัญหาในที่สุดได้นะครับ
00:13:44 → 00:13:46 ดังนั้นเราก็ต้องระวังตรงนี้ไว้อย่างนึง
00:13:46 → 00:13:51 นะครับอืมเราก็ควรจะเลือกไขมันที่ดีนะ
00:13:51 → 00:13:54 ครับโปรตีนนะครับอันเนี้ยสำคัญมากเราต้อง
00:13:54 → 00:13:56 กินโปรตีนให้เพียงพอนะไม่ว่าจะเป็นจาก
00:13:56 → 00:13:59 สัตว์จากพืชมันดีเท่าเท่ากันนะครับแต่จาก
00:13:59 → 00:14:02 สัตว์เนี่ยมันจะมีกรดอะมิโนบางอย่างซึ่ง
00:14:02 → 00:14:04 จากพืชจะไม่มีนะครับเราก็จะต้องทานแบบ
00:14:04 → 00:14:07 นั้นเพิ่มขึ้นนิดนึงนะครับอ่าประมาณนี้
00:14:07 → 00:14:10 แหละครับนะเราจะต้องเลือกทานอาหารที่มัน
00:14:10 → 00:14:13 มีประโยชน์แล้วก็ผักผลไม้อันนี้แน่นอน
00:14:13 → 00:14:15 อยู่แล้วว่ามันสำคัญนะครับขนมถามว่าทาน
00:14:15 → 00:14:18 ได้มั้ยได้เหมือนกันนะครับทานได้บ้างนิดๆ
00:14:18 → 00:14:21 หน่อยๆนะครับแล้วก็อย่าไปเครียดกับมันมาก
00:14:21 → 00:14:24 จนเกินไปนะฮข้อสำคัญของ interp fasting
00:14:24 → 00:14:27 อย่างหนึ่งซึ่งบางคนทำแบบสุดโ่งจนเกินไป
00:14:27 → 00:14:31 ก็คือว่าพอช่วงไหนที่เราไม่ได้ทำน่ะที่
00:14:31 → 00:14:34 อยู่ในช่วงที่เราไม่กินนะครับก็จะมีคำถาม
00:14:34 → 00:14:36 ว่ากินอันนั้นกินอันนี้แล้วหลุด fasting
00:14:36 → 00:14:38 หรือเปล่านะครับผมไม่ได้อยากจะให้คุณ
00:14:38 → 00:14:40 เครียดมากจนเกินไปเพราะบางครั้งเนี่ยบาง
00:14:40 → 00:14:43 คนก็บอกว่าโอกินไอ้นี้เข้าไปหลุดแิ้แล้ว
00:14:43 → 00:14:45 แล้วคุณกังวลกับมันมากอันอย่างนั้นก็คือ
00:14:45 → 00:14:48 แปลว่าเราอาจจะสุดโต่งเกินไปอย่าลืมนะ
00:14:48 → 00:14:50 ครับว่าการที่เรากังวลการที่เราเครียดกับ
00:14:50 → 00:14:52 อะไรมากจนเกินไปเนี่ยมันจะทำให้ฮอร์โมน
00:14:53 → 00:14:55 คอร์ติซอลของเราออกมาแล้วอาจจะมีปัญหาได้
00:14:55 → 00:14:58 นะครับอันนี้คือสิ่งที่เราต้องต้องทราบ
00:14:58 → 00:15:02 ไว้นะครับอ่าในช่วงที่เราทำ independent
00:15:02 → 00:15:06 fasting เนี่ยเป้าหมายหลักก็คือสิ่งที่
00:15:06 → 00:15:08 ทำให้หลุด fasting นะครับคืออะไรที่มันมี
00:15:08 → 00:15:11 พลังงานนะครับโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตต่างๆ
00:15:11 → 00:15:13 ไขมันพวกนี้ก็มีพลังงานเราอาจจะต้อง
00:15:13 → 00:15:16 เลี่ยงไปก่อนนะครับถ้าเราจะทานโปรตีน
00:15:16 → 00:15:18 โปรตีนมันอาจจะมีพลังงานเหมือนกันแต่
00:15:18 → 00:15:20 โปรตีนมันพลังงานมันไม่ได้เยอะเท่ากับไอ้
00:15:20 → 00:15:22 2 อย่างก็คือคาร์โบไฮเดรตกับไขมันพวก
00:15:22 → 00:15:23 เนี้ยนะครับเราอาจจะพอทานได้บ้างแต่ก็
00:15:23 → 00:15:26 อย่าไปเยอะแล้วกันถ้าเกิดคนไหนที่ต้องการ
00:15:26 → 00:15:28 เอ่อคุม interm fasting ให้ดีๆนะครับ
00:15:28 → 00:15:32 ครับอาหารเนี่ยมันจะมีบางอย่างที่เราทาน
00:15:32 → 00:15:34 แล้วเราจะทำให้ตัวเองอิ่มนานหน่อยนะครับ
00:15:34 → 00:15:37 ก็คือพวกไขมันนะครับแต่ต้องเป็นไขมันดีนะ
00:15:37 → 00:15:40 ครับไม่ใช่ว่าเราทานแต่วู 3 ชั้นอะไร
00:15:40 → 00:15:41 อย่างเงี้ยนะครับอันนั้นก็ไม่ได้นะครับ
00:15:41 → 00:15:43 ของทอดอะไรอย่างเงี้ยเยอะๆก็ไม่ได้เหมือน
00:15:43 → 00:15:46 กันนะครับโปรตีนเนี่ยจะทำให้เราอิ่มนาน
00:15:46 → 00:15:49 ไฟเบอร์เยอะๆก็จะทำให้เราอิ่มนานนะครับ
00:15:49 → 00:15:51 ช่วยเหลือในการทำ intermittent fing ให้
00:15:51 → 00:15:55 มันมีโอกาสสำเร็จได้มากขึ้นนะครับทีนี้คน
00:15:55 → 00:15:58 ที่ทำ intermittent fasting แล้วทำมากจน
00:15:58 → 00:16:00 เกิดเกินไปเนี่ยเราจะรู้ได้ยังไงว่ามัน
00:16:00 → 00:16:03 มากจนเกินไปละนะครับหรือเราจะรู้ได้ยไง
00:16:03 → 00:16:05 ว่าอาหารที่เรากินเข้าไปเนี่ยมันเริ่มไม่
00:16:05 → 00:16:08 สมดุลละร่างกายเรามันจะบอกนะครับจะมีความ
00:16:08 → 00:16:11 ผิดปกติในผู้หญิงบางคนเนี่ยประจำเดือนจะ
00:16:11 → 00:16:13 ผิดปกตินะบางคนอาจจะประจำเดือนไม่มาถ้า
00:16:13 → 00:16:16 ประจำเดือนไม่มานะคุณไม่ควรจะทำ Inter
00:16:16 → 00:16:19 fasting แบบนั้นต่อไปแล้วคุณควรจะผ่อนปน
00:16:19 → 00:16:22 ลงบ้างเพราะว่าถ้าเราทำต่อไปเนี่ยนะครับ
00:16:22 → 00:16:25 มันอาจจะมีปัญหาต่อระบบฮอร์โมนต่างๆของ
00:16:25 → 00:16:28 เราได้นะครับแล้วพอมีปัญหาต่อระบบประจำ
00:16:28 → 00:16:30 เดือนปุ๊บเนี่ยทุกๆอย่างตามมาเรื่องของ
00:16:30 → 00:16:33 กระดูกเรื่องของฮอร์โมนทุกอย่างความ
00:16:33 → 00:16:35 เครียดนะครับการนอนไม่หลับทุกอย่างตามมา
00:16:35 → 00:16:38 หมดเลยนะครับงั้นบางคนเนี่ยจะรู้สึกว่า
00:16:38 → 00:16:40 เอ๊ะทำไมเราทำ intermittent fasting
00:16:40 → 00:16:44 แล้วร่างกายมันไม่ปกติพอไปถามถามกับคนที่
00:16:44 → 00:16:46 เค้า Seen independent fasting หรือว่า
00:16:46 → 00:16:48 โปท independent fasting มากๆเนี่ยเขาค
00:16:48 → 00:16:51 ก็จะบอกให้เราเอ้ยอดทนน่ะมันนิดหน่อยนะ
00:16:51 → 00:16:54 ครับแต่นั่นคือเขคอาจจะไม่ทราบนะว่าสิ่ง
00:16:54 → 00:16:56 ที่เขาแนะนำเนี่ยมันใช้กับทุกคนไม่ได้นะ
00:16:56 → 00:16:59 ครับแน่นอนว่าคำแนะนำมันไม่มีอะไรที่
00:16:59 → 00:17:02 สามารถครอบคลุมคนทุกคนได้บางคนอาจจะได้ผล
00:17:02 → 00:17:05 บางคนอาจจะไม่ได้ผลนะครับดังนั้นนี่ก็คือ
00:17:05 → 00:17:08 เป็นสิ่งที่เราต้องอ่าเข้าใจหน่อยนะครับ
00:17:08 → 00:17:13 เรื่องของการทำ in fasting นะฮะอืมทีนี้
00:17:13 → 00:17:16 บางคนก็คิดอีกว่าเออแล้วถ้าเราทำ
00:17:16 → 00:17:21 independent fasting ทานอาหารอืมแล้ว
00:17:21 → 00:17:24 มันไม่หลากหลายเราจะต้องกินวิตามินอะไร
00:17:24 → 00:17:26 เสริมมอาหารตัวไหนเสริมได้ตอนนี้แหละครับ
00:17:26 → 00:17:28 ที่ท่านจะต้องดูให้มันดีหน่อยนะครับในแต่
00:17:28 → 00:17:31 ละคนขึ้นอยู่กับอาหารที่ท่านทานเพราะว่า
00:17:31 → 00:17:34 ถ้าเราทานอาหารเอ่อไปอยู่ในทางหนึ่งมันก็
00:17:34 → 00:17:37 จะทำให้เรามีโอกาสขาดสารอาหารบางอย่างไป
00:17:37 → 00:17:39 ได้นะครับในการที่เราขาดสารอาหารบางอย่าง
00:17:39 → 00:17:42 เราก็ต้องไปหาตัวนั้นมาเติมแต่ไม่ใช่เรา
00:17:42 → 00:17:44 เอาอะไรก็ตามเติมเข้าไปในร่างกายอย่างที่
00:17:44 → 00:17:47 เราไม่คิดนะครับเช่นโอเคถ้าท่านทานปลา
00:17:47 → 00:17:50 น้อยหน่อยวันนั้นท่านอาจจะเสริมเอ่อน้ำ
00:17:50 → 00:17:53 มันปลาหรือโอเมก้า 3 ก็ได้นะครับอ่านี้ก็
00:17:53 → 00:17:55 จะเป็นตัวช่วยแต่ถ้าท่านทานปลาเยอะอยู่
00:17:55 → 00:17:57 แล้วท่านไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเสริมเลย
00:17:57 → 00:17:59 ครับโอเมก้า 3 เปลืองสตตังท่านเปล่าๆนะ
00:17:59 → 00:18:02 ครับอ่าถ้าท่านไม่ค่อยทานผักแน่นอนว่าการ
00:18:02 → 00:18:05 ทำไฟเบอร์เสริมอันนี้อาจจะพอช่วยได้นะ
00:18:05 → 00:18:08 ครับแต่ไอ้พวกเม็ดผักผงผักทั้งหลายแหล่
00:18:08 → 00:18:11 เนี่ยนะครับมันไม่ดีเท่าผักของจริงนะครับ
00:18:11 → 00:18:13 ต่อให้เขาบอกว่าไอ้ผงผักหรือว่าเมล็ดผัก
00:18:13 → 00:18:16 อะไรต่างๆที่เขาทำมาเนี่ยทำมาจากผัก
00:18:16 → 00:18:19 ปริมาณมากนะครับหลายๆกิโลย่อยมาเหลือแค่
00:18:19 → 00:18:23 สกูปเดียวให้ท่านชงกินกับน้ำนะครับอัน
00:18:23 → 00:18:25 นั้นเนี่ยคือมันก็ไม่ได้แบบนั้นจริงๆนะ
00:18:25 → 00:18:28 ครับแล้วก็คุณค่าทางอาหารที่มันได้มาจาก
00:18:28 → 00:18:30 การย่อยทุกอย่างมาเหลือแค่นั้นน่ะมันอาจ
00:18:30 → 00:18:32 จะไม่จริงๆมันไม่เท่าของผักของจริงหรอก
00:18:32 → 00:18:35 ครับนะไฟเบอร์มันหายไปเยอะอยู่แล้วแน่ๆ
00:18:35 → 00:18:37 ตามธรรมดาอยู่แล้วนะครับดังนั้นเนี่ยไม่
00:18:37 → 00:18:39 มีอะไรที่สู้ผักของจริงได้นะครับเพราะว่า
00:18:39 → 00:18:43 ส่วนใหญ่เราจะได้ยินโฆษณาว่าเออเป็นไปไม่
00:18:43 → 00:18:46 ได้หรอกที่คนเราปัจจุบันจะทานวิตามินทาน
00:18:46 → 00:18:48 อาหารครบทุกอย่างเราเลยต้องทานอาหารเสริม
00:18:48 → 00:18:50 นะครับแล้วหนึ่งในนั้นก็คือพวกพืชผักต่าง
00:18:50 → 00:18:53 ๆมันเป็นไปไม่ได้เหมือนกันว่าเราจะกินผัก
00:18:53 → 00:18:55 ได้หลากหลายถูกมั้ยครับอ่าเราจะกิน
00:18:55 → 00:18:57 บรอกโคลี่เราจะกินบล็อกชอยเราจะกินอะไร
00:18:57 → 00:19:00 อย่างเงี้ยนะครับผักชีผักทุกอย่างมันจะ
00:19:00 → 00:19:02 หลากหลายมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะครับ
00:19:02 → 00:19:04 นี่ไงเราทำทุกผักมารวมกันแล้วก็อัดมาเป็น
00:19:04 → 00:19:06 เม็ดหรือว่าทำมาเป็นผงให้เราไปชงนะครับ
00:19:06 → 00:19:08 อันนั้นเนี่ยยังไงมันก็ไม่มีทางเท่าผัก
00:19:08 → 00:19:11 ของจริงอยู่แล้วแต่มันก็ดีกว่าท่านไม่ทาน
00:19:11 → 00:19:13 ผักเลยสักนิดเดียวนะครับสำหรับคนที่ไม่
00:19:13 → 00:19:16 ทานเลยการทานไอ้ผงผักหรือว่าเมล็ดผักอัด
00:19:16 → 00:19:18 อะไเงี้ยมันยังช่วยท่านได้บ้างยังดีกว่า
00:19:19 → 00:19:21 ท่านไม่ทานอะไรเข้าไปนะครับดังนั้นเนี่ย
00:19:21 → 00:19:24 เราก็สามารถเลือกได้ว่าเอ๊ะเราอ่าขาดสาร
00:19:24 → 00:19:27 อาหารประเภทไหนเราก็กินพวกนั้นเสริมคนที่
00:19:27 → 00:19:29 เป็นมังสวิแล้วจะทำ independent fasting
00:19:29 → 00:19:32 อ่าเราไม่กินเนื้อเลยสักนิดเดียวนะครับก็
00:19:32 → 00:19:34 ต้องทราบไว้ว่าเอ้ยอย่างงั้นเราก็ต้องกิน
00:19:34 → 00:19:38 วิตามิน B12 เสริมนะกินกรดอะมิโนบางตัว
00:19:38 → 00:19:41 ซึ่งในพืชมันไม่ค่อยมีนะครับอ่าเมไทโอนีน
00:19:41 → 00:19:44 อะไรอย่างเงี้ยกรดอะมิโนจำเป็นในพืชเนี่ย
00:19:44 → 00:19:46 มันมีไม่ครบนะครับต่อให้เป็นโปรตีนจากพืช
00:19:46 → 00:19:48 ดีแค่ไหนมันก็ไม่ครบอยู่ดีนะครับมันก็
00:19:48 → 00:19:51 ต้องมีการเติมกรดไตบางตัวซึ่งมันมีใน
00:19:51 → 00:19:55 สัตว์เนี่ยเข้าไปในนั้นในโปรตีนจากพืชถ้า
00:19:55 → 00:19:57 ท่านถึงจะกินโอเคท่านอาจจะได้มันบ้างนะ
00:19:57 → 00:20:01 ครับแค่แค่นั้นเองนะครับก็เราก็เลือกสิ่ง
00:20:01 → 00:20:05 ที่น่าจะเหมาะสมกับตัวเองเนาะเข้าไปนะ
00:20:05 → 00:20:09 ครับตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำนะครับ
00:20:09 → 00:20:11 เอ่อนอกเหนือจากนี้เนี่ยสำหรับคนที่ทำ
00:20:11 → 00:20:15 intermittent fasting เราต้องดูว่าไสล
00:20:15 → 00:20:18 ของเราเป็นแบบไหนด้วยถ้าคนที่ทำ interp
00:20:18 → 00:20:20 fasting แล้วมีการใช้ร่างกายเยอะๆออก
00:20:20 → 00:20:24 กำลังกายหนักๆเงื่อออกเยอะๆในช่วงที่ท่าน
00:20:24 → 00:20:26 ทำ Inter fasting เนี่ยท่านต้องทานน้ำ
00:20:26 → 00:20:30 และเกลือให้เพียงพอน้ำและเกลือแร่เพียงพอ
00:20:30 → 00:20:32 นะครับเพราะว่าการออกกำลังกายของเราเนี่ย
00:20:32 → 00:20:35 นะครับถ้าเรามีการเสียเหงื่อนะฮะมันก็จะ
00:20:35 → 00:20:38 เสียเกลือร่ไปกับเหงื่อสำหรับคนที่ออก
00:20:38 → 00:20:40 กำลังกายในที่หนาวที่มีแอร์แล้วไม่มี
00:20:41 → 00:20:43 เหงื่อออกไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่เสีย
00:20:43 → 00:20:47 เหงื่อนะครับอ่าเหตุผลก็คือว่าเหงื่อมัน
00:20:47 → 00:20:49 ออกมาอยู่ดีแล้วแหละครับแต่มันระเหยไป
00:20:49 → 00:20:51 อย่างรวดเร็วนะครับมันก็จะมีการเสียน้ำ
00:20:51 → 00:20:53 ออกไปจากร่างกายได้อยู่ดีดังนั้นต่อให้
00:20:53 → 00:20:56 ท่านออกกำลังกายในที่แห้งที่เย็นและไม่มี
00:20:56 → 00:20:58 เหงื่อท่านก็จำเป็นจะต้องดื่มดื่มน้ำเข้า
00:20:58 → 00:21:02 ไปให้เพียงพอนะครับอย่างน้อยๆก็ 2-3 ลิตร
00:21:02 → 00:21:03 โดยเฉพาะถ้ามันร้อนก็อาจจะต้องมากกว่า
00:21:04 → 00:21:07 นั้นก็ได้นะครับและการดื่มน้ำเปล่าๆอย่าง
00:21:07 → 00:21:10 เดียวและถ้าท่านอดอาหารนานๆนะครับสิ่งที่
00:21:10 → 00:21:13 เกิดขึ้นแล้วจะเป็นปัญหาต่อมาก็คือการ
00:21:13 → 00:21:17 ขลาดเกลือแร่ต่างๆโดยเฉพาะโซเดียมนะฮะตรง
00:21:17 → 00:21:20 นี้แหละที่มันจะเริ่มมีปัญหาย้อนแย้งละนะ
00:21:20 → 00:21:24 ครับว่าเฮ้ยถ้าเรากินโซเดียมมากเราก็จะ
00:21:24 → 00:21:27 เป็นโรคไตโรคความดันโลหิตสูงถ้าเรากิน
00:21:27 → 00:21:29 โซเดียมน้อยมันอาจจะช่วยเรื่องพวกนี้ได้
00:21:29 → 00:21:31 มากขึ้นแล้วในทางการแพทย์เราแนะนำว่าให้
00:21:31 → 00:21:34 โซเดียมน่ะแต่ละวันต่ำกว่า 2 กรัมต่อวัน
00:21:34 → 00:21:37 ซึ่งมันน้อยมากนะครับน้อยมากๆหลายคนถ้า
00:21:37 → 00:21:39 กินอาหารเนี่ยมันจะโซเดียมเกินอยู่และ
00:21:39 → 00:21:43 อย่างไรก็ตามถ้าเกิดว่าเรามีการออกกำลัง
00:21:43 → 00:21:45 กายเยอะๆนะครับมีการเสียเหงื่อเยอะๆเนี่ย
00:21:45 → 00:21:48 โซเดียมที่ท่านกินเนี่ย 2 กรัมมันอาจจะ
00:21:48 → 00:21:50 ไม่พอท่านอาจจะต้องกินมากกว่านั้นอาจจะ
00:21:50 → 00:21:52 4-5 กรัมหรือถ้าเป็นนักวิ่งมาราธอนบางที
00:21:53 → 00:21:54 เนี่ยอาจจะต้องเยอะกว่านั้นอาจจะ 10 กรัม
00:21:54 → 00:21:56 เลยก็ได้ต่อวันซึ่งแบบต้องเยอะเพราะว่า
00:21:56 → 00:21:59 เค้ามีการสูญเสียงเหงื่อพร้อมกับโซเดียม
00:21:59 → 00:22:02 ออกไปเยอะมากนะครับงั้นในคนหเหล่านี้
00:22:02 → 00:22:05 เนี่ยนะครับถ้าเราอดอาหารนานๆโดยเฉพาะถ้า
00:22:05 → 00:22:08 เราอดข้ามวันไปเลยเนี่ยท่านอาจจะต้องทาน
00:22:08 → 00:22:10 น้ำที่มันมีการผสมเกลือเข้าไปบ้างนะครับ
00:22:11 → 00:22:14 สักนิดสักหน่อยอ่ะถ้าบางคนทำ intermittent
00:22:14 → 00:22:17 fasting แล้วเกิดตะคริวขึ้นมานะครับเอ๊
00:22:17 → 00:22:19 ทำไมมันรู้สึกตะคริวกินบ่อยจังนะครับมี
00:22:19 → 00:22:22 อยู่ 2-3 สาเหตุหนึ่งคือท่านดื่มน้ำไม่
00:22:22 → 00:22:24 เพียงพออันที่ 2 เกลือโซเดียมไม่เพียงพอ
00:22:24 → 00:22:26 อันที่ 3 คือแมกนีเซียมไม่เพียงพอนะครับ
00:22:27 → 00:22:29 แมกนีเซียมเอยู่ในพวกเอ่อผักใบเขียวทั้ง
00:22:29 → 00:22:31 หลายแหละนะครับเพราะว่าแมกนีเซียมนมัน
00:22:31 → 00:22:33 เป็นส่วนประกอบของคลอโรฟิลต่างๆท่านก็อาจ
00:22:33 → 00:22:37 จะต้องทานพวกนั้นเข้าไปเยอะนิดนึงนะครับอ
00:22:37 → 00:22:40 นี่แหละดังนั้นเราเราจะต้องมีการทานพวก
00:22:40 → 00:22:42 เนี้ยเสริมเข้าไปในคนที่ทำ independent
00:22:42 → 00:22:46 fasting นานๆนะครับประโยชน์ต่อมาของ
00:22:46 → 00:22:49 interm fasting ก็คือเรื่องของการชะลอ
00:22:49 → 00:22:52 ไวอ่าหลายคนอยากเคยไปฟังมาแล้ว
00:22:52 → 00:22:54 intermittent setting คือการชะลอไวนะ
00:22:54 → 00:22:58 ครับการป้องกันรักษาโรคต่างๆสิ่งที่ที่
00:22:58 → 00:23:00 เราได้ยินมาอีกอย่างนึงก็คือเอ๊ะถ้าเราจะ
00:23:00 → 00:23:03 ทำ independent fasting คู่กับอาหารชนิด
00:23:03 → 00:23:06 อื่นเพื่อให้ได้ผลมากขึ้นในการลดน้ำหนัก
00:23:06 → 00:23:09 เช่นทำ intermittent fasting คู่กับ ket
00:23:09 → 00:23:12 Diet คู่กับ P Diet คู่กับ Carnival
00:23:12 → 00:23:17 Diet คู่กับ wean ได้หรือไม่นะครับคำตอบ
00:23:17 → 00:23:21 ก็คือได้ครับแต่ท่านจะต้องดูด้วยว่าสาร
00:23:21 → 00:23:24 อาหารตัวไหนซึ่งในแต่ละสิ่งแต่ละอย่างมัน
00:23:24 → 00:23:27 ไม่มีเช่นถ้าท่านทำกิน ketogenic Diet
00:23:27 → 00:23:30 เยอะๆนะนะครับก็คือพวกของที่มันสามารถ
00:23:30 → 00:23:32 สร้างคีโตนได้ก็คือพวกไขมันต่างๆพวกเนี้ย
00:23:32 → 00:23:34 เน้นไขมันลดคาร์โบไฮเดรตลงนี่คือ
00:23:34 → 00:23:36 ketogenic Diet นะครับถ้าเรากิน
00:23:36 → 00:23:43 คีตนิพนธ์
00:23:43 → 00:23:48 [เพลง]
00:23:48 → 00:23:51 บางคนเนี่ยเค้ากินเข้าไปนะครับแล้วก็ ldl
00:23:51 → 00:23:54 ของเขาคซึ่งหมายความว่า low density Lip
00:23:54 → 00:23:57 โตนของเขาคเนี่ย 300 แล้วบอกว่าไม่เป็นไร
00:23:57 → 00:23:59 นะครับพอพอไปหาหมอหมอก็จะเตือนแล้วบอกว่า
00:23:59 → 00:24:02 เอ้ยถ้าคุณสูงบ่อยๆนะคุณอาจจะมีปัญหาก็
00:24:02 → 00:24:04 พยายามจะออกมาบอกว่าสิ่งที่หมอเตือนเนี่ย
00:24:04 → 00:24:07 มันไม่ถูกต้อง ldl มันไม่ใช่ทั้งหมดของ
00:24:07 → 00:24:09 สิ่งที่เกิดหรือทำให้ส่งเสริมเกิดโรคหัว
00:24:09 → 00:24:12 ใจเกิดโรคหลอดเลือดขึ้นมาได้นะครับพวกนี้
00:24:12 → 00:24:15 เนี่ยก็อาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
00:24:15 → 00:24:19 อยู่แล้วนะครับทำไมถึงไม่ถูกต้องเพราะว่า
00:24:19 → 00:24:23 ldl ที่มันสูงขึ้นเนี่ยคนที่เขาอ้างว่า
00:24:24 → 00:24:26 เฮ้ยมันไม่ได้เป็นอันตรายหรอกเขาจะอ้าง
00:24:26 → 00:24:28 ว่ามันเป็น ldl ที่ตัวใหญ่แล้วมันไม่ก่อ
00:24:28 → 00:24:30 ให้เกิดการอักเสบแต่เรารู้อยู่แล้วนะครับ
00:24:30 → 00:24:33 ปัจจุบันว่าสิ่งที่เกิด ldl ที่ทำให้มี
00:24:33 → 00:24:36 ปัญหาได้คือปริมาณอนุภาคของ ldl ยิ่งมี
00:24:37 → 00:24:39 จำนวนตัวของมันเยอะๆเนี่ยก็ยิ่งมีปัญหา
00:24:39 → 00:24:42 และถ้าระดับ ldl คอเลสเตอรอลของเราสูง
00:24:42 → 00:24:45 เนี่ยมันบ่งบอกชัดเจนนะครับว่าปริมาณ ldl
00:24:45 → 00:24:47 เป็นตัวๆของเราเนี่ยเยอะอยู่แล้วต่อให้
00:24:47 → 00:24:49 เราไม่ตรวจก็เยอะอยู่แล้วนะครับแล้วมันก็
00:24:49 → 00:24:51 มีรายงานว่า ldl ตัวใหญ่อย่างเดียวเลยนะ
00:24:51 → 00:24:54 ในคนบางคนที่เป็นโรคนะครับโรคหล่อเลือด
00:24:54 → 00:24:56 หัวใจเจะมีคนบางคนเป็นโรค ldl ตัวใหญ่
00:24:56 → 00:24:58 แล้วก็มี ldl ตัวใหญ่จำนวนมากนะครับก็
00:24:58 → 00:25:00 สามารถทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหลอด
00:25:00 → 00:25:02 เลือดสมองหลอดเลือดส่วนปลายได้เช่นกันดัง
00:25:02 → 00:25:07 นั้นเรื่องที่บอกว่า ldl ถ้ากินจากคีโต
00:25:07 → 00:25:09 เยอะๆนะครับแล้ว ldl มันสูงนะครับไม่
00:25:09 → 00:25:11 อันตรายอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
00:25:11 → 00:25:14 นะครับนอกเหนือจากนี้คนเหล่านี้ก็มักจะ
00:25:14 → 00:25:18 บอกว่าไหนล่ะมีคนที่กินคีโตนแล้วมีปัญหา
00:25:18 → 00:25:22 แล้วตายอะไรมยนะครับก็มีครับแต่ว่าเค้าก็
00:25:22 → 00:25:24 ไม่มีโอกาสมาพูดให้ท่านฟังนะครับก็มีคนมา
00:25:24 → 00:25:26 คอมเมนต์ในช่องผมเหมือนกันนะครับคือเค้า
00:25:26 → 00:25:28 เป็นคนที่คิมคีโตนไดเอดตาม influencer
00:25:28 → 00:25:31 ท่านหนึนะครับแล้วแดีของเขาสูงต่อมาเเกิด
00:25:31 → 00:25:35 โรคหัวใจเคก็ไปคอมเมนต์เ่อในกลุ่มของคน
00:25:35 → 00:25:38 เหล่านั้นก็เป็นไงครับโดนอัดเลยนะว่ากิน
00:25:38 → 00:25:40 ผิดกินโน่นกินนี่บ้างจริงๆก็ไม่ได้กินผิด
00:25:40 → 00:25:42 หรอกครับกินตามท่านนั่นแหละนะเขาก็เลย
00:25:42 → 00:25:44 เลิกนะครับแล้วก็เปลี่ยนวิธีก็ดีขึ้นนะ
00:25:44 → 00:25:47 ครับนั้นเราต้องเข้าใจด้วยว่าสภาพร่างกาย
00:25:47 → 00:25:49 ของคนเราเนี่ยบางทีนะมันตอบสนองไม่เหมือน
00:25:49 → 00:25:51 กันท่านก็อาจจะเป็นคนที่ ldl สูงแล้วไม่
00:25:51 → 00:25:54 เกิดอะไรกับร่างกายก็ได้แต่บางคนสูงนิด
00:25:54 → 00:25:56 หน่อยก็มีปัญหานะครับเพงั้นก็เลยมีการแนะ
00:25:56 → 00:26:02 นำบางอย่างนะฮะคือคนที่เอ่อมีอย่างเช่นคน
00:26:02 → 00:26:04 ที่มีเบาหวานอย่างเงี้ยนะครับ ldl ที่
00:26:04 → 00:26:06 เหมาะสมในคนที่เป็นเบาหวานคือ 70 หรือ
00:26:06 → 00:26:10 น้อยกว่านั้นนะอ่าแต่ถ้าคนทั่วไปไม่มีโรค
00:26:10 → 00:26:12 อะไรเลยคุณอาจจะ 160 ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ
00:26:12 → 00:26:14 ครับดังนั้นในแต่ละคนเนี่ยความเสี่ยงมัน
00:26:14 → 00:26:18 ไม่เท่ากันละคนนึงเป็นเบาหวานถ้า ldl 160
00:26:18 → 00:26:20 นั่นแหละคุณเกิดเรื่องแน่นะครับถ้า ldl
00:26:20 → 00:26:22 คุณ 160 แล้วคุณไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย
00:26:22 → 00:26:24 คุณอาจจะไม่เป็นไรเลยก็ได้นะครับดังนั้น
00:26:24 → 00:26:27 มีความแตกต่างของในแต่ละคนนี่จึงเป็นเหตุ
00:26:27 → 00:26:29 ผลที่ว่าเอ๊ะทำไมบางคน ldl สูงมหาศาลไม่
00:26:29 → 00:26:31 เห็นจะตายสักทีเลยไม่เห็นเกิดโรคอะไรเลย
00:26:31 → 00:26:33 เพราะว่าท่านถูกสร้างมาให้ต่างจากคนอื่น
00:26:33 → 00:26:36 ไงครับนะงั้นคำแนะนำคำนึงที่จะใช้กับทุก
00:26:36 → 00:26:39 คนได้เนี่ยมันแทบจะไม่ค่อยมีแบบนั้นนะ
00:26:39 → 00:26:43 ครับโอเคอันนี้แหละก็คือเป็นส่วนหนึ่งนะ
00:26:43 → 00:26:47 ทีนี้คนที่กินคนอ Diet อ่ะกินแต่เนื้อ
00:26:47 → 00:26:51 สัตว์อย่างเดียวนะครับทำไปนานๆแน่นอนว่า
00:26:51 → 00:26:54 ร่างกายของท่านก็จะขาดสารอาหารที่มันมา
00:26:54 → 00:26:57 จากพืชนะครับแล้วเรารู้จจนปัจจุบันแล้ว
00:26:57 → 00:26:59 แล้วว่าการที่ทานแต่เนื้ออย่างเดียวโดย
00:26:59 → 00:27:01 เฉพาะเนื้อแดงเนี่ยนะครับมันจะทำให้ท่าน
00:27:01 → 00:27:04 เกิดมะเร็งลำไส้ได้มากขึ้นอันนี้เป็นสิ่ง
00:27:04 → 00:27:07 ที่ทุกคนรู้นะเราไม่ต้องอวยเลยว่าเฮ้ยกิน
00:27:07 → 00:27:10 คนอกินอาหารสุดต่งแล้วมันจะดีมันมันไม่
00:27:10 → 00:27:12 ได้่ะครับมันคือกินไปนานๆเนี่ยมันจะมี
00:27:12 → 00:27:15 ปัญหาอาหารเหล่านี้เนี่ยกินได้ระยะเวลา
00:27:15 → 00:27:18 สั้นๆนะครับเช่นประมาณ 2-3 เดือนถ้าท่าน
00:27:18 → 00:27:21 ควรจะพอละค่อยๆถอยออกมากินแบบปกติถ้าท่าน
00:27:21 → 00:27:23 กินต่อเนื่องเป็นระยะยาวเนี่ยก็จะทำให้
00:27:23 → 00:27:26 ท่านขาดสารอาหารบางตัวได้นะครับแล้วท่าน
00:27:26 → 00:27:28 ก็จะบอกว่าเอ๊ะอย่างนี้เราก็ไปกินอาหาร
00:27:28 → 00:27:30 อย่างอื่นเสิร์มเช่นกินคิวอกินแต่เนื้อ
00:27:30 → 00:27:32 เนี่ยเรากินผักปั่นกินอะไรพวกนี้ได้ไหมนะ
00:27:32 → 00:27:34 ครับก็ได้เหมือนกันแต่ท่านก็เสียเงิน
00:27:34 → 00:27:37 เพิ่มขึ้นนะครับก็สามารถเลือกได้นะแต่ว่า
00:27:37 → 00:27:40 อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่สามารถลดความ
00:27:40 → 00:27:42 เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ของท่านได้
00:27:42 → 00:27:43 อยู่ดีเพราะถ้าท่านกินเนื้อแดงเข้าไป
00:27:43 → 00:27:45 เรื่อยๆก็เกิดการอักเสบในร่างกายมีปัญหา
00:27:45 → 00:27:49 ต่อระบบลำไส้นะครับแล้วบางคนก็ท้องผูกแต่
00:27:49 → 00:27:51 ว่าแน่นอนว่าคนในกลุ่มที่กินคาร์นิวอร์
00:27:51 → 00:27:53 เนี่ยก็มักจะมีวิธีในการอธิบายเพิ่มขึ้น
00:27:53 → 00:27:56 เช่นอ่ะอย่างงั้นเราก็กินน้ำมันเข้าไปสิ
00:27:56 → 00:27:58 ช่วยในการหล่อลื่นแล้วก็อุจจาระเรามันจะ
00:27:58 → 00:28:02 ไม่ไม่ท้องผูกอ่ะจะได้ก็มีการเสริมเติม
00:28:02 → 00:28:04 แต่งอะไรไปเรื่อเรื่อยนะครับแต่ว่ามันก็
00:28:04 → 00:28:07 เหมือนกับการที่เราพยายามอุดรูรั่วของถัง
00:28:07 → 00:28:09 น้ำนะครับเออเรากินแบบนี้มันก็เหมือนกับ
00:28:09 → 00:28:12 ถังน้ำที่มันรั่วการที่เราไปกินนั่นเสริม
00:28:12 → 00:28:14 กนี่เสริมก็คือการอุดรูรั่วไปเรื่อยๆแต่
00:28:14 → 00:28:16 ว่ายังไงมันอุดยังไงมันก็ไม่หมดครับมันก็
00:28:16 → 00:28:18 จะรั่วใหม่ได้อยู่ดีงั้นเราก็จะต้อง
00:28:19 → 00:28:21 เปลี่ยนวิธีทำเป็นทางสายกลางซึ่งมันดีที่
00:28:21 → 00:28:24 สุดอยู่แล้วในปัจจุบันนี้นะครับอ่าคนที่
00:28:24 → 00:28:27 อ้างว่าเอ้ยกินทำไมคนที่กินสุดโกแล้วคือ
00:28:27 → 00:28:31 เาถึงอายุยืนอ่าถึงจะสุขภาพดีนะครับดีมาก
00:28:31 → 00:28:34 กว่าคนกินทางสายกลางคำกล่าวเนี้ยมันผิด
00:28:34 → 00:28:36 ตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับคนที่กินสุกโตก
00:28:36 → 00:28:38 เนี่ยไม่ได้อายุยืนกว่าคนที่กินทางสาย
00:28:38 → 00:28:41 กลางเลยสักนิดเดียวนะครับแล้วคนทางสาย
00:28:41 → 00:28:43 กลางที่บางคนเอามาอ้างเนี่ยคือคนที่เขา
00:28:43 → 00:28:44 กินไม่ถูกวิธีตั้งแต่แรกจริงๆไม่ใช่ทาง
00:28:44 → 00:28:47 สายกลางคนกินปกติเนี่ยแหละแต่ว่าเขากิน
00:28:47 → 00:28:49 อ่ะวันนี้กินขนมกินเยอะไปหน่อยน้ำน้ำตาล
00:28:50 → 00:28:52 เยอะตัวอ้วนแต่เขาก็ไม่ได้ปรับเรื่องของ
00:28:52 → 00:28:55 อาหารการกินแต่ influencer บางคนก็บอกว่า
00:28:55 → 00:28:57 นั่นคือการกินทางสายกลางซึ่งอ้าวผิดอิดน
00:28:57 → 00:29:00 เนาะใช่มั้ยฮะอันนี้ใครๆเก็รู้นะ
00:29:00 → 00:29:04 ครับโอเคทีนี้ intermittent fasting
00:29:04 → 00:29:08 เนี่ยมันมีอีกอย่างนึงนะครับคือเป็นงาน
00:29:08 → 00:29:11 วิจัยที่มันสามารถช่วยในการรักษาโรค
00:29:11 → 00:29:15 มะเร็งได้ intermittent fasting เดี่ยวๆ
00:29:15 → 00:29:17 ไม่สามารถรักษามะเร็งได้นะครับแต่มันช่วย
00:29:17 → 00:29:20 ทำให้มะเร็งเนี่ยชะลอชะลอลงแล้วก็ไม่
00:29:20 → 00:29:23 เจริญเติบโตเพิ่มขึ้นทำให้มันมีความไวต่อ
00:29:23 → 00:29:25 เคมีบำบัดเพิ่มขึ้นนะ
00:29:25 → 00:29:28 ครับปัญหาคือ intermittent fasting ที่
00:29:28 → 00:29:31 สามารถทำได้แบบนั้นคือเราจะต้องอดเกิน 48
00:29:31 → 00:29:34 ช่วโมงเป็นต้นไปไม่ใช่อดแค่ 10 ช่วโมง 12
00:29:34 → 00:29:38 ช่วโมงนะครับแล้วคนเราจู่ๆจะให้ไปอด 48
00:29:38 → 00:29:41 ชมโดยไม่กินอะไรเลยกินแต่น้ำหรือว่าเกลือ
00:29:41 → 00:29:44 อย่างเดียวเนี่ยมันอาจจะไม่ไหวนะครับมัน
00:29:44 → 00:29:46 อาจจะมีอาการอ่อนเพลียนะครับอ่อนเพลีย
00:29:46 → 00:29:49 เปลี้ยไปเลยนะครับแล้วมันก็จะทรมานบางคน
00:29:49 → 00:29:52 ปวดหัวไมเกรนขึ้นไม่ยอมหายแลกรดไหลย้อน
00:29:52 → 00:29:54 ตลอดเวลาจะทรมานทุกข์ทรมานมากไม่สามารถ
00:29:54 → 00:29:57 ที่จะทำได้แบบนั้นนะครับถ้าเป็นแบบนั้น
00:29:57 → 00:30:01 เนี่ยสิ่งที่ผมเคยเล่าไปะก็คือเรื่องของ
00:30:01 → 00:30:03 อาหารกลุ่มที่เรียกว่า fmd นะครับ fasting
00:30:03 → 00:30:07 mimicking Diet อ่าอาหารตัวนี้เนี่ยนะ
00:30:07 → 00:30:13 ครับมันสามารถที่จะเลียนแบบภาวะที่เราทำ
00:30:13 → 00:30:15 independent fasting ได้แล้วมันก็จะทำ
00:30:15 → 00:30:18 ให้ร่างกายเกิด autophagy ได้สูงที่สุดนะ
00:30:18 → 00:30:21 ครับอาหารกลุ่ม fmd มันคืออะไรแล้วมัน
00:30:21 → 00:30:25 ต้องทำนานแค่ไหนนะครับในงานศึกษานะครับ
00:30:25 → 00:30:28 ของเ่อดร Victor องกนะครับซึ่งเป็นเจ้า
00:30:28 → 00:30:31 พ่อ fmd เลยที่เขาทำวิจัยเรื่องนี้เยอะๆ
00:30:31 → 00:30:34 นะครับเค้าก็จะมีการให้ทำทั้งหมด 5 วัน
00:30:35 → 00:30:38 ติดต่อกันนะครับโดยอาหารในแต่ละมื้อเนี่ย
00:30:38 → 00:30:41 จะมีแคลอรีต่อวันนะครับต่ำกว่า 1,000
00:30:41 → 00:30:44 แคลอรี่ 1,000 กิโลแคลอรีนะครับในแต่ละ
00:30:44 → 00:30:49 วันนะแล้วอาหารจะเน้นไปที่โปรตีนจากพืชไข
00:30:49 → 00:30:52 มันแล้วก็คาร์โบไฮเดรตที่ต่ำนะครับนี่คือ
00:30:52 → 00:30:56 fasting มี meing Diet ครับโปรตีนจาก
00:30:56 → 00:31:00 พืชนะครับไขมันที่ดีไม่ใช่ไม่ใช่เนื้อหมู
00:31:00 → 00:31:02 3 ชั้นนะอย่างที่บางคนชอบพูดว่ากินเนื้อ
00:31:02 → 00:31:05 หมู 3 ชั้นแล้วโอไม่เป็นไรเพราะมันเป็นไข
00:31:05 → 00:31:07 มันที่เข้าไปในร่างกายไม่ดีนะครับหมอ
00:31:07 → 00:31:09 ปัจจุบันเข้าใจไม่ถูกต้องเรื่องไขมันอิ่ม
00:31:09 → 00:31:12 ตัวไม่อิ่มตัวพพลพวกเนี้ยนะครับเขาอาจจะ
00:31:12 → 00:31:14 ไม่เข้าใจในเรื่องของการแพทย์เท่าไหร่นะ
00:31:14 → 00:31:16 ครับต่อให้เค้าพยายามศึกษายังไงเก็ไม่
00:31:16 → 00:31:17 เข้าใจอยู่ดีนะครับผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
00:31:17 → 00:31:20 ว่าเเอาความรู้พวกนี้เนี่ยมาจากที่ไหนนะ
00:31:20 → 00:31:23 แต่ว่ามันไม่มีจริงเน่าจะมโนขึ้นมาเอง
00:31:23 → 00:31:25 หลายๆอย่างนะครับงั้นเราต้องระวังนะอย่า
00:31:25 → 00:31:28 ไปโดนคนพวกนี้หลอกนะครับบางทีเค้าหลอกเรา
00:31:28 → 00:31:30 แล้วเราร่างกายมันผิดปกติแล้วเไม่รับผิด
00:31:30 → 00:31:33 ชอบเรานะคือเราผิดปกติเราไปบ่นกับเค้าเค
00:31:33 → 00:31:35 ก็ว่าเรากลับมาว่าเราทำไม่ถูกต้องเราเไม่
00:31:35 → 00:31:37 ได้หมายความอย่างนั้นซะหน่อยนะครับเราก็
00:31:37 → 00:31:41 อ้าวนะทำไปแล้วทำไมไม่ได้นะครับเราเกิด
00:31:41 → 00:31:43 ปัญหาขึ้นมากับตัวเองเราเราแก้ปัญหานั้น
00:31:43 → 00:31:46 ยังไงอ่ะมันถอนกันไปไม่ได้นะครับก็ต้อง
00:31:46 → 00:31:50 ระวังตรงนี้นะครับงั้น fmd คือ 5 วันติด
00:31:50 → 00:31:53 ต่อกันไม่ใช่ 5 วันแล้วเออกิน 1 วันเว้น 2
00:31:53 → 00:31:55 วันกิน 1 เวันเว้น 3 วันไม่ใช่นะครับคือ 5
00:31:55 → 00:31:58 วันติดต่อกันนะครับใน 5 วันติดต่อกัน
00:31:58 → 00:32:00 เนี่ยคือแต่ละวันจะมีแคลอรี่ต่ำกว่า 1,000
00:32:00 → 00:32:03 กิลแคลอรี่เน้นเรื่องของอาหารที่เป็นพวก
00:32:03 → 00:32:08 โปรตีนจากพืชนะครับอ่าโปรตีนจากพืชไขมัน
00:32:08 → 00:32:11 ดีนะครับแล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำนะนี่
00:32:11 → 00:32:14 คืออาหาร fmd ตัวอย่างมันเป็นยังไงท่าน
00:32:14 → 00:32:16 สามารถค้น Google ได้เลยนะครับว่ามันมี
00:32:16 → 00:32:19 อะไรอยู่ในนั้นบ้างนะฮะทีนี้เวลาที่เรา
00:32:19 → 00:32:23 กินพวกนี้เข้าไปนะครับก็มีข้อควรระวังอีก
00:32:23 → 00:32:25 อย่างเหมือนกันมันไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำ
00:32:25 → 00:32:27 fmd ได้นะครับไม่ใช่ทุกทุคนจะสามารถ
00:32:27 → 00:32:30 เหมาะกับการทำ intermittent fasting ยก
00:32:30 → 00:32:32 ตัวอย่างเช่นถ้าท่านเป็นโรค ibs นะครับ
00:32:32 → 00:32:36 หรือลำไส้แปรปรวนอ่าลำไส้แปรปรวนเนี่ยนะ
00:32:36 → 00:32:39 ครับมันจะมีอาหารกลุ่มนึงซึ่งทำให้เกิด
00:32:39 → 00:32:41 แก๊สในช่องท้องได้เยอะนะครับหรือถ้าเกิด
00:32:41 → 00:32:44 คนไหนมีโรคอะไรพวกนี้ที่มันคุมยากๆเช่น
00:32:44 → 00:32:46 แบบเออแก๊สในช่องท้องบางคนก็ท้องผูบางคน
00:32:46 → 00:32:50 ก็ท้องเสียนะครับอาหารกลุ่ม fmd เนี่ยอาจ
00:32:50 → 00:32:52 จะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรค ibs นะ
00:32:53 → 00:32:56 เพราะว่าอ้าวโปรตีนจากพืชมันโปรตีนมาจาก
00:32:56 → 00:32:58 ไหนครับพืชส่วนใหญ่ที่มีโปรตีนเนี่ยพวก
00:32:58 → 00:33:01 ถั่วทั้งนั้นน่ะถั่วเนี่ยมันสร้างแก๊สได้
00:33:01 → 00:33:03 เยอะถ้าท่านเป็นโรค ibs ท่านท่าน fmd
00:33:03 → 00:33:06 ท่านอาจจะแก๊สมหาศาลปวดท้องนะครับท้องอืด
00:33:06 → 00:33:09 ท้องเฟ้อนะครับท้องเสียเลยก็ได้นะครับดัง
00:33:09 → 00:33:11 นั้นคนกลุ่มเนี้ยอาจจะไม่เหมาะกับการทำ
00:33:11 → 00:33:15 fmd นะครับนะอาจจะต้องไปทำ intermittent
00:33:15 → 00:33:17 fasting แทนแล้วก็ต้องค่อยๆทำด้วยไม่ใช่
00:33:18 → 00:33:20 อยู่ๆจะไปหมอเบอกว่าเอ้นี่ไงได้ประโยชน์
00:33:20 → 00:33:23 จากการทำ Inter fasting 48 ชมดังนั้น
00:33:23 → 00:33:25 เราเป็นมะเร็งอยู่ใช่มั้ยเราทำมันวันนี้
00:33:25 → 00:33:28 เลยอด 4 18 ช่วโมงระหว่างนี้เรากินแต่
00:33:28 → 00:33:31 น้ำบวกเกลือร่นิดๆหน่อยๆกินกาแฟให้มันกระ
00:33:31 → 00:33:33 เอ่อกระชุ่มกระชวยนิดหน่อยเดี๋ยวท่านจะ
00:33:33 → 00:33:35 เกิดปัญหาแน่นอนนะครับแบบนั้นไม่สำเร็จ
00:33:35 → 00:33:38 หรอกครับนะจะมีปัญหาต่างๆตามมาเยอะแยะไป
00:33:38 → 00:33:41 หมดนะครับดังนั้นต้องค่อยๆหัดนะครับไม่
00:33:41 → 00:33:44 ใช่ว่าอยู่ๆจะไปอด 48 ชมเลยไม่ได้นะครับ
00:33:44 → 00:33:47 คนไหนที่ทำ independent fasting บางคนจะ
00:33:47 → 00:33:51 สังเกตว่ามี ldl ที่สูงขึ้นต่อให้ท่านไม่
00:33:51 → 00:33:55 กินคีโตก็ตามบางคนนะครับจะเจอแบบนี้นะถ้า
00:33:55 → 00:33:57 เจอแบบนั้นน่ะมันแปลว่า intermittent
00:33:57 → 00:33:59 fasting อาจจะไม่เหมาะกับท่านละและที่
00:33:59 → 00:34:00 สำคัญคือต้องไปดูว่าท่านกินอะไรเข้าไป
00:34:00 → 00:34:03 ด้วยถ้าท่านกินของที่มันมีไขมันเยอะแน่
00:34:03 → 00:34:06 นอนว่ามันจะมี ldl ที่มันเยอะตามไปด้วยนะ
00:34:06 → 00:34:07 ครับ
00:34:07 → 00:34:10 อืคนที่ไปทำ intermittent fasting ได้ดี
00:34:10 → 00:34:13 ๆที่สุดเนี่ยเราต้องลองไปถามคนอิสลามนะ
00:34:13 → 00:34:15 ครับเพราะว่าเค้ามีเดือนรอมฎอนที่จะไม่
00:34:16 → 00:34:19 สามารถทานอะไรได้เลยรวมทั้งน้ำด้วยในช่วง
00:34:19 → 00:34:22 เวลากลางวันนะครับต้องไปทานตอนหลังพระ
00:34:22 → 00:34:24 อาทิตย์ตกไปแล้วนะครับแล้วก็พอพระอาทิตย์
00:34:24 → 00:34:27 ขึ้นทุกอย่างต้องหยุดหมดนะครับแต่เแน่นอน
00:34:27 → 00:34:29 ว่าคนเดี๋ยวเนี้ยเขาก็จะอลุ่มอร่วยบ้าง
00:34:29 → 00:34:32 สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวเจ็บป่วยบาง
00:34:32 → 00:34:33 อย่างนะครับที่จำเป็นจะต้องทานอาหารนะ
00:34:33 → 00:34:36 ครับคนเหล่านั้นก็สามารถที่จะทานได้นะ
00:34:36 → 00:34:39 ครับอ่าไม่ได้ห้ามอะไรนะครับเพราะว่ามัน
00:34:39 → 00:34:42 เป็นสิ่งที่เราเข้าใจกันในยุคปัจจุบันนะ
00:34:42 → 00:34:45 ครับงั้นคนพวกนั้นก็อาจจะได้ประโยชน์บ้าง
00:34:45 → 00:34:48 เนาะแล้วมีคนสงสัยว่าเอ๊ะแล้วทำ
00:34:48 → 00:34:50 intermittent fasting มันจะมีแรงหรอนะ
00:34:50 → 00:34:52 ครับเราจะออกกำลังกายได้เหมือนเดิมมั้ย
00:34:52 → 00:34:55 เรากิน fasting แล้วจะไปวิ่งได้หรือเปล่า
00:34:55 → 00:34:58 คำตอบก็คือได้ครับแต่คุณต้องค่อยๆปรับนะ
00:34:58 → 00:35:02 ฮะค่อยๆปรับนะ intervention fing อย่าง
00:35:02 → 00:35:04 ที่บอกมันต้องเป็นเรื่องของแต่ละคนแต่ละ
00:35:04 → 00:35:06 บุคคนจะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้เพราะว่ามัน
00:35:06 → 00:35:09 ขึ้นกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอย่างที่บอกไป
00:35:09 → 00:35:12 ท่านมีโรคประจำตัวอะไรบ้างที่ทำที่ที่ทำ
00:35:12 → 00:35:16 แบบนี้ไม่ได้นะครับหรือมีเอ่อต้องทำงาน
00:35:16 → 00:35:18 อะไรบ้างมีการใช้แรงตอนไหนบ้างซึ่งมันทำ
00:35:18 → 00:35:21 ให้ fmd หรือว่าการทำ Inter fasting
00:35:21 → 00:35:23 เนี่ยมันจะต้องมีการปรับปริตให้เหมาะกับ
00:35:23 → 00:35:25 ไลฟ์สไตล์ของท่านนะครับซึ่งตรงเนี้ยคง
00:35:25 → 00:35:27 ต้องดูเป็นรายๆไปไม่สามารถมีคำตอบอะไรที่
00:35:27 → 00:35:32 มันครอบคลุมได้ทุกกับทุกคนนะครับอ่าถ้า
00:35:32 → 00:35:34 ท่านทานยาที่มันกัดกระเพาะอยู่เช่นยา
00:35:34 → 00:35:36 ละลายลิ่มเลือดหรืออะไรพวกเนี้ยนะครับอ่า
00:35:36 → 00:35:38 ท่านก็ต้องทานอาหารถูมั้ยครับถ้าท่านไม่
00:35:38 → 00:35:40 ทานอาหารจะไปทานได้ยังไงครับทานแล้วกัด
00:35:40 → 00:35:43 กระเพาะเลือดออกในกระเพาะอีกนะนก็อันตราย
00:35:43 → 00:35:47 ได้นะครับทีนี้เรื่องของ intermittent
00:35:47 → 00:35:49 fasting fmd เนี่ยมันมีอีกอย่างนึงคือ
00:35:49 → 00:35:52 เรื่องของการชะลอไวนะครับหลายคนก็อยากจะ
00:35:52 → 00:35:54 ดูเด็กดูดีถูกมั้ยครับก็อยากจะชะลอวัยไว้
00:35:54 → 00:36:00 นะเอิ่มชะลอวัยเนี่ยก็มีคนบอกว่าเออใน
00:36:00 → 00:36:03 เมื่อการกลไกการชะลอไวยของ intermittent
00:36:03 → 00:36:05 fasting หรือ fmd เนี่ยมันคือการเกิด
00:36:05 → 00:36:09 autophagy คือการ Recycle ของต่างๆใน
00:36:09 → 00:36:11 เซลล์เอามาใช้ใหม่นะครับกำจัดขยะต่างๆของ
00:36:12 → 00:36:14 เซลล์ให้มันไม่มีแล้วก็ร่างกายเราก็จะดี
00:36:15 → 00:36:18 ขึ้นนะครับอ่าถ้าอย่างงั้นเราไปใช้อะไร
00:36:18 → 00:36:20 ที่มันกระตุ้น autopy โดยตรงเลยไม่ดี
00:36:20 → 00:36:24 หรอนะครับมันก็ดีครับแล้วอะไรล่ะที่
00:36:24 → 00:36:27 สามารถกระตุ้น autopy ได้มันมีแบบ
00:36:27 → 00:36:30 ธรรมชาติแล้วก็แบบไม่ธรรมชาตินะครับแบบ
00:36:30 → 00:36:32 ธรรมชาติที่เรารู้ว่ากระตุ้นอจีได้ดีที่
00:36:32 → 00:36:35 สุดนะครับลองที่ได้ดีที่สุดเลยเมื่อเทียบ
00:36:35 → 00:36:37 เท่าเทียบเท่ากับ intermittent fasting
00:36:37 → 00:36:40 แบบนานๆก็คือการออกกำลังกายแบบ
00:36:40 → 00:36:44 คาร์ดิโอเออยิ่งคาร์ดิโอแบบโซนหลังๆเนี่ย
00:36:44 → 00:36:47 แล้วถ้าท่านสามารถทำฮิตได้นะอันเนี้ยมัน
00:36:47 → 00:36:50 จะกระตุ้น autophagy เยอะมากถามว่าทำไม
00:36:50 → 00:36:53 มันถึงกระตุ้น autopy เยอะเพราะว่ามันทำ
00:36:53 → 00:36:56 ให้ร่างกายเราเนี่ยมีการใช้พลังงานมากๆ
00:36:56 → 00:36:59 อย่างเยอะเลยนะครับและเวลาร่างกายใช้พลัง
00:36:59 → 00:37:02 งานเยอะเนี่ยมันจะต้องมีการปรับเปลี่ยน
00:37:02 → 00:37:04 กระบวนการต่างๆในร่างกายเพื่อดึงเอาพลัง
00:37:04 → 00:37:06 งานพวกเออกมาใช้เพื่อกำจัดของที่มันไม่
00:37:06 → 00:37:09 จำเป็นในร่างกายนะครับเอามาให้พลังงานกับ
00:37:09 → 00:37:12 ร่างกายเอามาเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่าง
00:37:12 → 00:37:15 กายเพื่อให้เราออกแรงได้ดีนะครับเพื่อให้
00:37:15 → 00:37:17 ร่างกายเรามันมีสมาธที่ดีนะครับก็จะเป็น
00:37:17 → 00:37:21 การกระตุ้น autopy ที่ดีนะดังนั้นเนี่ย
00:37:21 → 00:37:24 การที่เราออกกำลังกายถ้าเป็นเอ่อเรา
00:37:24 → 00:37:27 คาร์ดิโอเยอะหน่อยนะครับอ่าหรือทำฮิต
00:37:27 → 00:37:29 อย่างเงี้ยนะครับมันก็จะเป็นการออกกำลัง
00:37:29 → 00:37:32 กายที่สามารถกระตุ้น autopy ได้ดีนะครับ
00:37:32 → 00:37:35 ส่วนการที่บางคนบอกว่าเออออกแบบ low
00:37:35 → 00:37:37 intensity คือเดินไปเดินมาในบ้านทำงาน
00:37:37 → 00:37:40 บ้านนะครับมันจะดีนะครับดีกว่าการวิ่งโซน
00:37:40 → 00:37:43 2 ไปเรื่อยๆซะอีกนะครับคำตอบก็คือมันไม่
00:37:43 → 00:37:46 ถูกต้องอยู่แล้วนะครับนะมันไม่ถูกต้อง
00:37:46 → 00:37:48 เพราะว่า 1 มันไม่สามารถกระตุ้น auy อะไร
00:37:48 → 00:37:50 ได้เลยนะครับแต่แน่นอนมันก็ดีกว่าท่านไม่
00:37:50 → 00:37:52 ทำอะไรสักอย่างถ้าท่านจะนั่งดูทีวีตลอด
00:37:52 → 00:37:56 เวลานะครับเอ่อกินอ่อยตลอดเวลาโดยที่ไม่
00:37:56 → 00:37:58 ได้ออกกำลังกายเลยไม่ได้เดินเดินเหินขึ้น
00:37:58 → 00:38:01 ลงบันไดกวาดบ้านเช็ดถูอะไรพวกนี้เลยอ่า
00:38:01 → 00:38:04 แน่นอนว่าแบบนั้นมันต้องเป็นไลฟ์สไตล์ที่
00:38:04 → 00:38:07 ไม่ดีนะครับการออกกำลังกายทำโนทำนี่ๆนิด
00:38:07 → 00:38:09 หน่อยๆก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรแต่มันไม่
00:38:09 → 00:38:12 ได้ดีเท่ากับการทำคาริโอหรืออะไรที่มัน
00:38:12 → 00:38:14 หนักกว่านั้นนะครับ
00:38:14 → 00:38:17 นะอย่างไรก็ตามการออกกำลังกายที่หนักเกิน
00:38:17 → 00:38:20 ไปไม่ไม่ไม่ดีอยู่แล้วนะครับมันไม่มีอะไร
00:38:20 → 00:38:23 ที่ทำมากไปแล้วจะดีนะของที่ดีมากไปมันก็
00:38:23 → 00:38:25 ไม่ดีเหมือนกันนะครับดังนั้นตรงนี้เนี่ย
00:38:25 → 00:38:27 เราอาจจะต้อง
00:38:27 → 00:38:29 มีการดูร่างกายของเรานิดนึงว่าเอ๊ะเรา
00:38:29 → 00:38:32 วิ่งเอ่อตอนแรกเราอาจจะวิ่งได้สัก 5 นาที
00:38:32 → 00:38:34 แล้วก็เหนื่อยแล้วไม่เป็นไรครับ 5 นาที
00:38:34 → 00:38:36 เหนือก็เหนื่อยเราก็พักแล้วก็ต่อไปเราอาจ
00:38:36 → 00:38:39 จะได้สัก 6 นาที 10 นาที 20 นาทีครึ่ง
00:38:39 → 00:38:41 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นนะครับค่อยๆเพิ่ม
00:38:41 → 00:38:43 ตามระยะเวลาให้เราดูร่างกายของเราด้วยนะ
00:38:43 → 00:38:46 ครับคือบางคนออกกำลังกายแล้วเอ้วันพรุ่ง
00:38:46 → 00:38:48 นี้มันเหนื่อยจังเลยขอพักสักแป๊บนึงได้มย
00:38:48 → 00:38:51 ได้ครับพักไปก่อนพอเริ่มรู้สึกว่าร่างกาย
00:38:51 → 00:38:54 เริ่มเข้าสู่ปกติแต่ยังไม่หายสนิทนะท่าน
00:38:54 → 00:38:56 ไปออกกำลังกายซ้ำตอนนั้นจะดีที่สุดไม่
00:38:56 → 00:38:59 ต้องรอจนมันหายไปเลยนะครับรอกำลังจะหาย
00:38:59 → 00:39:02 แล้วเกือบๆะเออไปเอาอีกทีนึงนะครับมันจะ
00:39:02 → 00:39:05 ได้ผลประโยชน์พวกนี้แล้วพอทำนานขึ้นนาน
00:39:05 → 00:39:07 ขึ้นการกระต้น autopy มันก็จะสูงขึ้นสูง
00:39:07 → 00:39:10 ขึ้นตามลำดับนะครับการพักผ่อนให้เพียงพอ
00:39:10 → 00:39:13 นี้ก็ช่วยเหมือนกันนะครับนี่คือวิธี
00:39:13 → 00:39:17 ธรรมชาตินะอีกอย่างนึงซึ่งทำได้อ่ะการที่
00:39:17 → 00:39:21 เราไปทำอะไรก็แล้วแต่ที่คลาย Exercise
00:39:21 → 00:39:24 อะไรคล้าย Exercise ล่ะครับซาน่าหรือการ
00:39:24 → 00:39:27 เจอความร้อนถามว่าทำทำไมมันถึงคลาย
00:39:27 → 00:39:30 Exercise เวลาที่เราเจอซาหน่าร้อนๆพวก
00:39:30 → 00:39:33 นี้นะครับมันจะสามารถทำให้ร่างกายของเรา
00:39:33 → 00:39:37 เนี่ยมีกลไกการทำงานบางอย่างการตอบสนอง
00:39:37 → 00:39:39 บางอย่างที่คลาย Exercise เช่นหัวใจเราจะ
00:39:39 → 00:39:43 เต้นเร็วขึ้นนะครับเส้นเลือดเราจะขยายไป
00:39:43 → 00:39:45 เลี้ยงส่วนต่างๆเพิ่มขึ้นเหมือนตอน
00:39:45 → 00:39:48 Exercise เปี๊ะเลยนะครับอุณหภูมิร่างกาย
00:39:48 → 00:39:50 สูงขึ้นตอน Exercise อุณหภูมิร่างกายสูง
00:39:50 → 00:39:52 ขึ้นตอนเข้าซาวหน้าหรือตอนเข้าสตีมหรือ
00:39:52 → 00:39:54 อะไรก็แล้วแต่นะครับหัวใจเราเต้นเร็วขึ้น
00:39:54 → 00:39:56 ตอนออกกำลังกายหัวใจเราก็เต้นเส้นเร็ว
00:39:56 → 00:39:58 ขึ้นตอนเราเจอความร้อนแบบนั้นนะครับเส้น
00:39:58 → 00:40:00 เลือดเราขยายตอน Exercise ไปเลี้ยงส่วน
00:40:00 → 00:40:03 ต่างๆมากขึ้นเส้นเลือดเราส่วนใหญ่ก็ขยาย
00:40:03 → 00:40:05 ตอนที่เราไปเจอความร้อนจากการทำซาวหน่า
00:40:05 → 00:40:08 เพิ่มขึ้นเหมือนกันนะครับงั้นอันนี้ก็
00:40:08 → 00:40:11 เป็นวิธีหนึซึ่งสามารถช่วยกระตุ้น ay ได้
00:40:11 → 00:40:15 เหมือนกันนะครับและถ้าเราจะกระตุ้น tagy
00:40:15 → 00:40:18 แบบนี้เนี่ยนานแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดีนะ
00:40:18 → 00:40:22 ครับคือความร้อนสูงสุดเท่าที่เราทนได้นะ
00:40:22 → 00:40:26 ครับประมาณ 20 นาทีอาทิตย์นึงเนี่ยถ้า
00:40:26 → 00:40:28 ท่านทำได้ 5 วันเนี่ยจะดีที่สุดแต่ถ้าทำ
00:40:28 → 00:40:31 ไม่ได้เลยนะครับก็ไม่เป็นไรเราก็จะไปใช้
00:40:31 → 00:40:33 วิธีอื่นที่มันเหมาะสมกับเรานะครับบางคน
00:40:33 → 00:40:35 ถามว่าเอ๊ะอย่างนี้เราไปซื้อไอ้ตัวซาวน่า
00:40:35 → 00:40:37 ที่มันเป็นเครื่องอบผิวเนี่ยมาไว้ที่บ้าน
00:40:37 → 00:40:39 เราได้มั้ยได้ผลเหมือนกันครับมันขึ้นอยู่
00:40:40 → 00:40:41 กับความร้อนที่ใช้ทั้งนั้นความร้อนแล้วก็
00:40:42 → 00:40:44 ระยะเวลาแลก็ความถี่ของการใช้เท่านั้นเอง
00:40:44 → 00:40:47 ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ในซาวน่าแพงๆนะครับ
00:40:47 → 00:40:50 หรือสตรีมแพงๆอะไรอย่างเงี้ไม่ไม่จำเป็น
00:40:50 → 00:40:52 เลยนะครับอุณหภูมิของท่านใช้อะไรก็ได้เลย
00:40:52 → 00:40:55 นะใช้แบบนี้เลยตรงๆนะครับอันนี้ก็คือเป็น
00:40:55 → 00:40:59 วิธีที่ดีดีที่สุดอ่ะต่อไปนี้ก็จะมา
00:41:00 → 00:41:02 เรื่องของอาหารเสริมกันและเพราะว่าแน่นอน
00:41:02 → 00:41:05 มีหลายคนคงจะเคยได้ยินว่าอาหารเสริมชนิด
00:41:05 → 00:41:09 นี้สามารถที่จะกระตุ้นอ่า autophagy ได้
00:41:09 → 00:41:11 สามารถที่จะเลียนแบบ intermittent
00:41:11 → 00:41:14 fasting ต่างๆได้นะครับอืมเอ๊
00:41:14 → 00:41:16 intermittent fasting พวกนี้เนี่ยมัน
00:41:16 → 00:41:19 คืออะไรยังไงนะครับแล้วเราจะเอาอะไรมา
00:41:19 → 00:41:21 กระตุ้นตัวหนึ่งซึ่งหลายคนน่าจะเคยได้ยิน
00:41:21 → 00:41:24 คือ respirator นะครับซึ่งเป็นสารสกัดที่
00:41:24 → 00:41:27 มาจากเอ่อองุ่นแดงหรือ Y แดงนั่นเองนะ
00:41:27 → 00:41:30 ครับตัวนี้เนี่ยก็ทำงานคล้ายๆกันคือสุด
00:41:30 → 00:41:32 ท้ายแล้วมันไปนุ้น autophagy นี่แหละนะ
00:41:32 → 00:41:35 ครับแล้วก็ atopy เนี่ยมันมีผลดีอีกอย่าง
00:41:35 → 00:41:38 นึงก็คือเรื่องของกลไกการแก่มันมีความ
00:41:38 → 00:41:40 เกี่ยวข้องกับ Toy เยอะเหมือนกันนะครับ
00:41:40 → 00:41:43 เ่อแต่ว่ามีกลไกอีกหลายหลายๆอย่างซึ่งผม
00:41:43 → 00:41:45 ไม่เคยจริงๆผมก็เคยกล่าวไปบ้างแล้วละนะ
00:41:46 → 00:41:48 ครับแต่ว่ายังไม่เคยลงลึกซักทีว่าเ้ยมัน
00:41:48 → 00:41:52 ทำยังไงนะครับเอ่อเรื่องของ res atal
00:41:52 → 00:41:55 เนี่ยก็เป็นตัวนึงซึ่งสามารถช่วยได้นะฮะ
00:41:55 → 00:41:59 ทีนี้ปัญหาของไอ้ของพวกเนี้ยคือมันแพงนะ
00:41:59 → 00:42:01 ครับแล้วที่สำคัญคือเราไม่มีทางรู้ได้เลย
00:42:01 → 00:42:05 ว่ามันบริสุทธิ์หรือเปล่ามีปริมาณของ ral
00:42:05 → 00:42:08 อยู่ในแต่ละยี่ห้อเนี่ยแค่ไหนนะครับดัง
00:42:08 → 00:42:10 นั้นผมจะไม่เคยแนะนำยี่ห้ออะไรให้ท่านฟัง
00:42:10 → 00:42:13 สักยี่ห้อนึงเลยนะครับไม่ยกตัวอย่างไม่
00:42:13 → 00:42:17 แนะนำไม่อะไรทั้งสิ้นเลยเพราะว่าท่านต้อง
00:42:17 → 00:42:20 ไปหาเอาเองนะครับท่านมีหน้าที่ต้องไปหา
00:42:20 → 00:42:23 เอาเองเลยว่ายี่ห้อไหนมันมีการตรวจสอบยัง
00:42:23 → 00:42:25 ไงบ้างนะครับอาหารเสริมที่ผมจะพูดในวัน
00:42:25 → 00:42:27 นี้เป็นหน้าที่ของของท่านเองที่จะต้องไป
00:42:27 → 00:42:29 ค้นเองว่ายี่ห้อไหนมันดีอย่างไรนะครับ
00:42:29 → 00:42:31 แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ายี่ห้อไหนดีอย่าง
00:42:31 → 00:42:33 ไร 1 จะต้องมีการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ
00:42:33 → 00:42:36 ซึ่งน่าเชื่อถือหมายความว่าเาจะต้องมี
00:42:36 → 00:42:39 ประกาศนียบัตรใบหนึ่งว่าเาได้การทำการ
00:42:39 → 00:42:41 ตรวจสอบอาหารเสริมชนิดนี้ของเขาแล้วนะ
00:42:41 → 00:42:45 ครับว่าเฮ้ยมันมีปริมาณสารสำคัญตามที่เขา
00:42:45 → 00:42:48 เขียนไว้ที่ฉลากนะครับในแต่ละ 1 เม็ดที่
00:42:48 → 00:42:51 เขาบอกแล้วต้องดูด้วยนะครับว่าเอ้ยมี
00:42:51 → 00:42:55 ปริมาณสารสำคัญเท่าไหร่ใน 1 เม็ดนะครับ
00:42:55 → 00:42:58 เพราะว่าบางคนจะขี้โกงตรงนี้จะบอกว่าเออ
00:42:58 → 00:43:00 เราตรวจสอบแล้วนะเจอว่ามี respirator
00:43:00 → 00:43:02 ทั้งหมด
00:43:02 → 00:43:05 99% ถามว่าแบบนี้โอเคหรือเปล่าไม่โอเค
00:43:05 → 00:43:08 ครับผิดผิดชัดๆเลยนะครับเช่นถ้าเค้าโฆษณา
00:43:08 → 00:43:12 ว่า 1 เม็ดมี ral ทั้งหมด 500 มิลกรัมนะ
00:43:12 → 00:43:15 ครับแล้วเบอกว่าเออประกาศนียาบัตรบอกว่า
00:43:15 → 00:43:18 มี 99% มันไม่เห็นจะใช่ยังไงเลยครับโอเค
00:43:18 → 00:43:20 มันอาจจะความบริสุทธิ์ 99% แล้วมันบอก
00:43:20 → 00:43:23 มั้ยครับว่าใน 1 เม็ดเนี่ยมันมี 500
00:43:23 → 00:43:27 มกรนะฮะเวลาดูดูประกาศนียาบัตรพวกนี้เรา
00:43:27 → 00:43:29 ต้องดูว่าเค้าทดลองใน 1 เม็ดเอาออกมาแล้ว
00:43:29 → 00:43:31 เอ้ยมัน
00:43:31 → 00:43:37 มีใน 1 เม็ดเนี่ยเน 500 มิลกรัมนะมี 500
00:43:37 → 00:43:39 มิลลิกรัมใน 1 เม็ดเต้องบอกอย่างนี้เลยนะ
00:43:39 → 00:43:41 ครับถ้าไม่บอกแบบนี้นะอันนั้นแปลว่าเค้า
00:43:41 → 00:43:45 ขี้โกงโกหกได้ง่ายๆเลยนะฮะแล้วต้องบอกว่า
00:43:45 → 00:43:49 มีสารอย่างอื่นเจือปนหรือเปล่าวิธีอะไร
00:43:49 → 00:43:52 ที่เขาใช้ในการทดสอบความบริสุทธิ์เช่นทำ M
00:43:52 → 00:43:56 petrography นะครับอันเนี้ยจะเที่ยงตรง
00:43:56 → 00:43:58 ที่สุดในการดูว่ามันมีสารตัวนี้แค่ไหน
00:43:58 → 00:44:00 แล้วมีตัวอื่นเจือปนหรือเปล่านะครับอ่า
00:44:01 → 00:44:02 mas Spec เนี่ยถ้าใครไม่เคยเห็นเนี่ย
00:44:02 → 00:44:05 มันจะเหมือนเป็นกราฟความถี่ขึ้นๆลงๆนะ
00:44:05 → 00:44:07 ครับถ้ามันมาจนถึงจุดนึงซึ่งสมมุติตรงนี้
00:44:07 → 00:44:10 เป็น ral มันจะมีกราฟที่ขึ้นสูงสุดนะครับ
00:44:10 → 00:44:12 ส่วนที่อื่นมันจะอาจจะมีเตี้ยๆบ้างนะครับ
00:44:12 → 00:44:15 ไม่เป็นไรถ้ามันมีสูงสุดๆอยู่อันเดียวนะ
00:44:15 → 00:44:17 อันนั้นคืออ่า respirator ที่กำกำลังทด
00:44:17 → 00:44:20 สอบแต่ถ้าบังเอิญท่านเห็นสูงอันนี้แล้ว
00:44:20 → 00:44:22 เย็กซพักข้างๆมันมีสูงอีกอันนึงสูงอีกอัน
00:44:22 → 00:44:26 นึงไอ้พวกนั้นน่ะคือสารเจือปนนะครับเอาจ
00:44:26 → 00:44:28 จะไม่พูดก็ได้ว่ามีอะไรเจอปนในนั้นถ้าเขา
00:44:28 → 00:44:31 ไม่พูดแปลว่าเขากำลังหลอกท่านนะครับเต้อง
00:44:31 → 00:44:34 พูดทุกตัวว่ามันมีตัวนี้แล้วมันมีอะไรอีก
00:44:34 → 00:44:36 ไอ้ไอ้แหลมๆที่เหลือเนี่มันคืออะไรเต้อง
00:44:36 → 00:44:38 บอกให้หมดนะครับถ้าเไม่บอกก็แปลว่าอัน
00:44:39 → 00:44:41 นั้นเนี่ยไม่น่าเชื่อถือแล้วครับนะแล้ว
00:44:41 → 00:44:44 ต้องบอกด้วยว่าล็อตไหนที่เขมาตรวจสอบตรวจ
00:44:44 → 00:44:48 สอบวันไหนนะครับแล้วมีการสุ่มตรวจสอบอีก
00:44:48 → 00:44:50 หรือเปล่านะครับนี่คือสิ่งที่เราต้องอ่าน
00:44:50 → 00:44:53 ประกาศนียบัตรพวกนี้ให้เป็นนะครับแล้วที่
00:44:53 → 00:44:54 สำคัญคือก่อนที่เราจะอ่านเข้าเข้าไปทั้ง
00:44:55 → 00:44:57 หมดให้เราไป Google ด้วยว่าบริษัทอะไรกัน
00:44:57 → 00:45:01 แน่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบให้เขามันมีตัวตน
00:45:01 → 00:45:03 อยู่จริงๆหรือเปล่าเพราะบางทีเกิดเรามั่ว
00:45:03 → 00:45:05 ขึ้นมาเราพิมพ์ขึ้นมาผมพิมพ์ขึ้นมาเองก็
00:45:05 → 00:45:07 ได้บริษัทน่าเชื่อถือทำให้กระดาษมันดูน่า
00:45:07 → 00:45:08 เชื่อถือแค่นั้นเองแล้วก็ทำขึ้นมาเองก็
00:45:08 → 00:45:11 ได้แล้วก็มั่วกราฟขึ้นมาไม่มีใครรู้ิใช่
00:45:11 → 00:45:13 มั้ยครับงั้นเราต้องไปค้นด้วยว่ามันมี
00:45:13 → 00:45:15 บริษัทนั้นจริงๆหรือเปล่านะครับถ้าไม่
00:45:15 → 00:45:18 จริงอ้าวอย่างงี้เขาก็ตั้งใจจะหลอกเรานี่
00:45:18 → 00:45:22 ใช่มั้ยฮะแล้วแบตไหนที่เขามาตรวจสอบล็อต
00:45:22 → 00:45:23 ไหนที่เคตรวจสอบถ้าเคตรวจสอบไปแล้วเมื่อ
00:45:24 → 00:45:26 ประมาณ 2 ปีก่อนแล้วตอนนี้เอามาขายท่าน
00:45:26 → 00:45:30 อ้าวมันมันตกไปแล้วอมัน 2 ปีก่อนแล้วอ่ะเ
00:45:30 → 00:45:32 2 ปีก่อนกับปีนี้มันไม่เหมือนกันแล้วมัน
00:45:32 → 00:45:36 อาจจะมันก็หมดประยุไปแล้วก็ได้นะครับและ
00:45:36 → 00:45:38 ที่สำคัญคือถ้าบริษัทเขาขายอาหารเสริม
00:45:38 → 00:45:41 หลายชนิดแต่ละชนิดจะต้องมีประกาศนียบัตร
00:45:41 → 00:45:44 ของตัวเองนะท่านต้องดูทุกตัวนะเพราะว่า
00:45:44 → 00:45:47 บางบริษัทมันจะชูโรงว่าเฮ้ย rat ของเรา
00:45:47 → 00:45:51 ดังนะครับแล้วเอ้ยลองกินเซินซินนะครับ
00:45:51 → 00:45:54 อินิของเราไปด้วยสิแต่คุณไปดูของพวกนั้น
00:45:54 → 00:45:58 เอ้ยไม่มีประกาศนียบัตรอ้าวแปลว่าอะไร
00:45:58 → 00:46:00 ครับแปลว่าไม่มีการตรวจสอบคุณไม่รู้เลย
00:46:00 → 00:46:02 ว่าในนั้นมันมีอะไรบ้างอาจจะเป็นแคปซูล
00:46:02 → 00:46:04 เปล่าไม่มีอะไรในนั้นเลยก็ได้นะครับแล้ว
00:46:04 → 00:46:06 ถามว่าทำไมบริษัทพวกนี้เ้าไม่ตรวจสอบให้
00:46:06 → 00:46:10 หมดทุกอย่างเลยล่ะเงินครับมันแพงจ้าง
00:46:10 → 00:46:12 บริษัทอันนึงเพื่อมาตรวจสอบแต่ละอันเนี่ย
00:46:12 → 00:46:14 มันแพงแล้วยิ่งถ้าต้องตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำ
00:46:14 → 00:46:17 อีกเรื่อยๆนะครับเพื่อให้เราอัพเดตเกี่ยว
00:46:17 → 00:46:20 ข้องกับประกาศนียาบัตรมีการรับรองมันแพง
00:46:20 → 00:46:23 นะครับเค้าก็ไม่อยากทำเค้าก็จะอาศัยความ
00:46:23 → 00:46:25 เชื่อใจของท่านนี่แหละอาศัย influencer
00:46:25 → 00:46:27 เข้ามาบอกว่าเอ้ยเนี่ยถ้าใช้โค้ดของชัน
00:46:27 → 00:46:31 น่าจะได้ลด 10% 20% เอ่อวัน 1111 เนี่ย
00:46:31 → 00:46:34 จะสามารถลดได้เพิ่มขึ้นอีกนะครับก็อาศัย
00:46:34 → 00:46:36 ความต้องการของท่านเนี่ยเอ้ยเราเชื่อถือ
00:46:36 → 00:46:38 influencer ท่านนี้เราใช้แล้วเราลดเฮ้ย
00:46:38 → 00:46:41 มันลดราคาเราซื้อเลยนะครับซื้อเลยเอ้ยมัน
00:46:41 → 00:46:43 น่าเชื่อถือละ influencer เค้ายังการันตี
00:46:43 → 00:46:44 เลยเราก็ซื้อโน่นซื้อนี่ต่อไปก็ได้ต่อให้
00:46:44 → 00:46:48 มันไม่มีประกาศยาบัตรเราก็ซื้อก็ถ้าท่าน
00:46:48 → 00:46:51 โชคดีนะท่านก็จะได้บริษัทที่ดีที่เา้าทำ
00:46:51 → 00:46:53 ทุกอย่างอย่างมีจรรยาบรรณถูกต้องท่านก็จะ
00:46:53 → 00:46:55 ได้ของดีไปแต่ถ้ามันผิดแล้วขึ้นมาแล้วลก็
00:46:55 → 00:46:59 ก็ก็อาจจะมั่วไปหมดเลยนะครับอ่ะนี่คือ
00:46:59 → 00:47:01 วิธีในการดูอาหารเสริมท่านต้องไปดูเองผม
00:47:01 → 00:47:03 จะไม่บอกเลยว่ายี่ห้อไหนอะไรยังไงดีนะ
00:47:03 → 00:47:06 ครับท่านจะฟัง influencer อะไรแล้วแต่เลย
00:47:06 → 00:47:09 นะครับ 1 respirator เนี่ยกินประมาณ
00:47:09 → 00:47:12 1,000 มิลกรัมต่อวันจะสามารถช่วยได้แต่
00:47:12 → 00:47:15 มันแพงผมบอกไว้ก่อนนะครับตัวที่ 2 nmn
00:47:15 → 00:47:19 นะครับ nmn ตัวนี้ก็เหมือนกันนะครับเป็น
00:47:19 → 00:47:23 สารตั้งต้นนะครับของ nad ซึ่งท่านไปฉีดฉ
00:47:23 → 00:47:26 กันนี่แหละครับนะ nad แบบฉีดอาจจะพอช่วย
00:47:26 → 00:47:28 ได้ในบางคนแต่คนที่เป็นมะเร็งไม่ควรฉีด
00:47:28 → 00:47:31 nad เพราะมันจะยิ่งแย่ใหญ่นะครับ nad
00:47:31 → 00:47:35 ถ้าฉีดนะครับดริบเข้าในร่างกายคนที่ดริบ
00:47:35 → 00:47:38 เนี่ยจะต้องรู้ว่าเข้าไปปริมาณเท่าไหร่
00:47:38 → 00:47:40 ถึงจะดีนะครับแล้วเร็วไปก็ไม่ได้มันจะ
00:47:40 → 00:47:43 เกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจบางคนดิบเร็ว
00:47:43 → 00:47:46 ไปเนี่ยแน่นหน้าอกหัวใจมันเหมือนจะหยุด
00:47:46 → 00:47:48 เต้นเลยบางคนใจสั่นขึ้นมาต้องรีบไปโรง
00:47:48 → 00:47:50 พยาบาลนะครับถ้าแบบนั้นท่านอยากไปดิบเลย
00:47:50 → 00:47:52 นะครับถ้าเค้าไม่ได้อธิบายอาการนี้ให้
00:47:52 → 00:47:54 ท่านฟังนะก็แปลว่าคนที่ดิบเนี่ยเค้าไม่
00:47:54 → 00:47:57 รู้นะครับแล้วเราต้องดริบในที่ที่รู้ยว่า
00:47:57 → 00:47:59 ไปหาหมอได้โดยเฉพาะคนที่ดริบเป็นครั้งแรก
00:47:59 → 00:48:01 เราไม่เคยทำมาก่อนบางคนเจอปัญหาอย่าง
00:48:01 → 00:48:03 เงี้ยเราก็กลัวไปเลยนะครับก็สมควรจะกลัว
00:48:03 → 00:48:06 นะครับมันเหมือนจะตายเลยนะฮะมันพอช่วยได้
00:48:06 → 00:48:08 บ้างแต่มันก็ต้องดิบไปเรื่อยๆท่านก็จะ
00:48:08 → 00:48:11 เสียเงินไปเรื่อยๆนะครับตัวนี้พอช่วยได้
00:48:11 → 00:48:16 จริงนะครับสารตั้งต้นของ nad เนี่ยคืออ้อ
00:48:16 → 00:48:20 อีกอย่างนึงมันมีคนพูดถึงซีรัมเซั่ม nad
00:48:20 → 00:48:22 จะสามารถใช้ได้จริงหรือเปล่าผมต้องบอก
00:48:22 → 00:48:24 อย่างงี้ก่อน nad เนี่ยมันเป็นโมเลกุลที่
00:48:24 → 00:48:27 ใหญ่นะครับโมเลกุลใหญ่เนี่ยมันไม่สามารถ
00:48:27 → 00:48:30 เข้าไปในเซลล์ได้แต่เราต้องการให้มันเข้า
00:48:30 → 00:48:32 ไปในเซลล์นะครับ nid เวลามันเข้าสู่ร่าง
00:48:32 → 00:48:35 กายของแล้วของเราไปแล้วเนี่ยมันจะต้องแตก
00:48:35 → 00:48:37 เป็นตัวเล็กๆ 2 ตัวหรือหรือเล็กกว่านั้น
00:48:37 → 00:48:40 อีกนะครับคือกลายเป็น nmn นี่แหละแตกเป็น
00:48:40 → 00:48:43 2 ตัวแล้วจึงดูดซึมเข้าไปในเซลล์แล้วมัน
00:48:43 → 00:48:46 ไปประกอบร่างกันไปเป็น nad อีกรอบนึงนะ
00:48:46 → 00:48:49 ครับหมายความว่าอะไรหมายความว่า nad ถ้า
00:48:49 → 00:48:52 ท่านฉีดเข้าไปเนี่ยโอเคมันอยู่ในเลือดมัน
00:48:52 → 00:48:54 ยังมีมีแตกตัวเข้าเซลล์ได้บ้างถ้าท่านกิน
00:48:54 → 00:48:57 มันเข้าไปล่ะมันโดนย่อยในกระเพาะอาหาร
00:48:57 → 00:49:00 แล้วก็ดูดซึมมันอาจจะไม่ดูดซึม 100% นะ
00:49:00 → 00:49:03 มันอาจจะดูดซึมได้สัก 80% แล้ 20% เราอาจ
00:49:03 → 00:49:05 จะอุจจระทิ้งออกมาก็ได้นะครับแล้วมันก็
00:49:05 → 00:49:08 เหลือเหลือ 80% เข้าไปในเลือดมันก็มีการ
00:49:08 → 00:49:10 แตกตัวแล้วก็ทำให้เราได้เข้าไปแต่อาจจะ
00:49:10 → 00:49:13 ได้ไม่เต็มที่ทีนี้การทาล่ะเซรั่มต่างๆ
00:49:13 → 00:49:16 ที่ทาล่ะแน่นอนจะมีปัญหาเรื่องของการดูบ
00:49:16 → 00:49:18 ซึมเข้าไปในผิวนะครับดูบซึมแค่ไหนมันมี
00:49:18 → 00:49:21 งานวิจัยอะไรรับรองผมก็ไม่สามารถตอบท่าน
00:49:21 → 00:49:23 ได้เหมือนกันเาอาจจะใช้เทคโนโลยีบอกว่า
00:49:23 → 00:49:26 นี่ไง nad ของเราเนี่ยใช้ไรโบโซมสามารถ
00:49:26 → 00:49:28 ซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกได้นะครับแล้ว
00:49:28 → 00:49:32 ยังไงต่อซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกไม่ได้
00:49:32 → 00:49:34 แปลว่ามันจะเข้าไปในเซลล์ได้นะครับเพราะ
00:49:34 → 00:49:36 ตัวมันใหญ่เกินไปมันต้องแตกออกมาแล้วถึง
00:49:36 → 00:49:39 จะเข้าไปในเซลล์อีกรอบหนึ่งดังนั้นเนี่ย
00:49:39 → 00:49:41 การใช้แบบทาเนี่ยท่านอาจจะไม่ได้ประโยชน์
00:49:41 → 00:49:44 ขนาดนั้นนะครับแล้วมันมีงานวิจัยอะไรรับ
00:49:44 → 00:49:48 รองหรือเปล่าว่าเฮ้ยทาทานานแค่ไหนแล้วมัน
00:49:48 → 00:49:51 มีผลดีแค่ไหนมีการทำวิจัยอะไรมั้ยมีการทำ
00:49:51 → 00:49:54 เดอร์มสโคปคือไอ้กล้องส่องผิวใช่มั้ยนะ
00:49:54 → 00:49:56 ครับส่องผิวคนเดิมแล้วก็เปรียบเทียบเอ้อ
00:49:56 → 00:49:58 ทาไม่ทาไครับกลุ่มที่ทากับกลุ่มที่ไม่ทา
00:49:58 → 00:50:00 ทุกทุกคนทำเหมือนกันนะครับแล้วมาเทียบกัน
00:50:00 → 00:50:02 ดูซิว่าเอ๊ะมันต่างกันมมมีหรือเปล่าถ้า
00:50:02 → 00:50:05 ไม่มีอ้าวก็แปลว่าเราอาจจะอุปโหลกขึ้นมา
00:50:05 → 00:50:07 ว่ามันอาจจะช่วยก็ได้นะครับหรือมันอาจจะ
00:50:07 → 00:50:09 ไม่ช่วยอะไรเลยก็ได้ถ้าท่านมีเงินมาก
00:50:09 → 00:50:11 เพียงพอแล้วอยากจะลองก็ไม่มีปัญหานะครับ
00:50:11 → 00:50:13 สามารถลองเล่นดูได้นะครับมันไม่ได้
00:50:13 → 00:50:15 อันตรายอะไรนะแบบทานะแบบกินก็ไม่อันตราย
00:50:15 → 00:50:18 เลยเหมือนกันนะครับแต่ท่านก็อาจจะได้
00:50:18 → 00:50:21 ประโยชน์ไม่ตามที่เขาโฆษณาก็ได้นะครับ
00:50:21 → 00:50:25 อืทีนี้ออย่างที่บอกวันนี้ผมไม่ตอบคำถาม
00:50:25 → 00:50:27 นะครับใครถามมาจะไม่ได้รับคำตอบเลยสักนิด
00:50:27 → 00:50:30 นะมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมพูดไปนะครับมัน
00:50:30 → 00:50:33 ครบหรือเปล่าที่ท่านสงสัยแล้วกันนะครับ
00:50:33 → 00:50:36 เพราะวันนี้เรายังไม่อยู่ในภาวะปกติที่จะ
00:50:36 → 00:50:38 อยากตอบคำถามใครนะครับ
00:50:38 → 00:50:39 เอิ่ม
00:50:39 → 00:50:43 nmn เป็นตัวนึงที่กินเข้าไปได้นะครับ nr
00:50:43 → 00:50:47 นะครับนิโคติน am ไบไดนะครับตัวนี้ 2 ตัว
00:50:47 → 00:50:50 เนี้ยคุณสมบัติใกล้เคียงกันเลยขึ้นอยู่
00:50:50 → 00:50:52 กับว่าท่านหาตัวไหนมากินได้ก็เลือกตัวที่
00:50:52 → 00:50:55 ท่านสามารถหามากินได้แล้วกันนะครับคือพวก
00:50:55 → 00:50:59 นั้นเนี่ยก็เอ่อมันจะกลายไปเป็น nad ใน
00:50:59 → 00:51:01 ที่สุดนั่นแหละครับกลุ่มพวกเนี้ยทั้ง 2
00:51:01 → 00:51:03 ตัวก็ช่วยเรื่องของการชะลอไวเหมือนกันนะ
00:51:03 → 00:51:04 ฮะ
00:51:04 → 00:51:08 เอิ่มนอกเหนือจากนี้คือมันจะมีตัวอื่นที่
00:51:09 → 00:51:11 เอาไว้กำจัดพวกเซลล์แก่ๆในร่างกายให้มัน
00:51:11 → 00:51:14 หายไปนะครับอันนี้จะเรียกว่าิินะครับมี
00:51:14 → 00:51:16 เยอะแยะไปหมดเลยนะครับหลายๆตัวก็จะมีความ
00:51:16 → 00:51:19 เกี่ยวข้องกับวงจรพวกเนี้ยวนไปวนมามี
00:51:19 → 00:51:25 respirator nmn nr นะครับ nad นะฮะไอ้
00:51:25 → 00:51:29 nmn nr nad ทั้ง 3 ตัวเนี้ยสารตั้งต้น
00:51:29 → 00:51:32 ของเขาเนี่ยคือวิตามินไอซินนะครับอ่าเป็น
00:51:32 → 00:51:35 วิตามิน B ตัวนึงก็จะมีคนสงสัยแหละว่า
00:51:35 → 00:51:37 อย่างงั้นเรากินวิตามินบเข้าไปตรงๆหรือ
00:51:37 → 00:51:40 ไม่ดีเหรอมันไม่ค่อยได้ผลหรอกครับเพราะ
00:51:40 → 00:51:42 ว่าวิตามินบปกติ B3 เนี่ยเรากินเข้าไป
00:51:42 → 00:51:46 เนี่ยนะครับมันจะต้องเอาไปสร้างไปเป็นไอ้
00:51:46 → 00:51:48 ตัวพวกเนี้ยซึ่งมันผ่านหลายขั้นตอนแลส่วน
00:51:48 → 00:51:49 ใหญ่มันไม่ได้เอาไปสร้างไอ้ตัวพวกเนี้ยนะ
00:51:49 → 00:51:52 ครับมันก็เลยจะไม่ค่อยได้ผลการฉีดวิตามิน
00:51:52 → 00:51:54 บอะไรพวกนี้เข้าไปก็จะไม่ได้ผลเหมือนกัน
00:51:54 → 00:51:58 แต่ถ้าท่านกินเข้าไปโอเคสมมุติทานสัก 100%
00:51:58 → 00:52:00 นะครับมันอาจจะมีสักแบบไม่กี่เปอร์เซ็นต์
00:52:00 → 00:52:02 23% ที่กลายไปเป็นไอ้สารพวกนี้ก็ได้นอก
00:52:02 → 00:52:04 เหนือจากนั้นมันอาจจะปัสสาวะทิ้งออกมา
00:52:04 → 00:52:06 หรือกลายไปเป็นสารตัวอื่นทดแทนนะครับนั่น
00:52:07 → 00:52:11 ก็คือเอ่อเรื่องของเอ่อการกินวิตามิน B3
00:52:11 → 00:52:14 พวกนี้นะเราอาจจะต้องเข้าใจตรงนี้นิดนึง
00:52:14 → 00:52:17 เอ่อตัวไอซินวิตามิน B3 ตัวเนี้ยจริงๆใน
00:52:17 → 00:52:20 ทางการแพทย์อ่ะมันใช้รักษาโรคบางโรคนะ
00:52:20 → 00:52:24 ครับโรคอะไรที่เราใช้ในอาซินรักษาคือโรค
00:52:24 → 00:52:26 ไขมันสูงนี่แหละครับนะไขมันสูงบางอย่าง
00:52:26 → 00:52:30 เราใช้ไนซินรักษาได้แต่ไอซินมันไม่ค่อย
00:52:30 → 00:52:32 เป็นเป็นสิ่งที่เราใช้กันทุกวันนี้เพราะ
00:52:32 → 00:52:35 ว่าเวลากินเข้าไปเนี่ยมันจะมีผลข้างเคียง
00:52:35 → 00:52:39 คือ Hot flashes คือเหมือนจะร้อนๆหนาวๆอ
00:52:39 → 00:52:41 ครับคือผิวมันรู้สึกอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมัน
00:52:41 → 00:52:44 ร้อนมันมันเหมือนคนมีวทองอ่ะจะเป็นแบบ
00:52:44 → 00:52:46 นั้นได้หรือบางคนจะรู้สึกกรดไหลย้อนรู้
00:52:46 → 00:52:49 สึกร้อนๆในทองได้นี่คือปัญหาของนินนะครับ
00:52:49 → 00:52:52 คือถ้าเราจะกินก็กินแบบ extended release
00:52:52 → 00:52:54 คือค่อยๆปล่อยออกมาถ้าเรากินแบบดูดซึม
00:52:54 → 00:52:56 เข้าไปทันทีเลยเนี่ยเนี่ยมันจะมีปัญหาได้
00:52:56 → 00:52:59 นะครับดังนั้นตรงนี้เราก็อาจจะต้องกินแบบ
00:52:59 → 00:53:02 accent ใน release หน่อยนะครับอ่าตัวนี้
00:53:02 → 00:53:04 เป็นตัวที่
00:53:04 → 00:53:07 เอิ่มพอได้ประโยชน์บ้างแต่ว่าไม่ค่อยได้
00:53:07 → 00:53:09 ประโยชน์ในแง่ของการชะลอไหวดังนั้นเนี่ย
00:53:09 → 00:53:11 ถ้าใครจะเอาประโยชน์ในแง่ของการชะลอไหว
00:53:11 → 00:53:13 อาจจะต้องผิดหวังนิดนึงนะ
00:53:13 → 00:53:16 ครับตัวอื่นมีตัวไหนบ้างที่มันสามารถชะลอ
00:53:16 → 00:53:19 ไว้ได้และอยู่ในกลุ่มพวกนี้ยาในกลุ่มชะลอ
00:53:19 → 00:53:22 วัยเนี่ยไม่อันตรายนะครับแต่มันแพงแพงมาก
00:53:22 → 00:53:24 ด้วยและที่สำคัญคือเราไม่รู้มันบริสุทธิ์
00:53:24 → 00:53:26 แค่ไหนอย่างที่ผมผมย้ำหลายๆรอบนะครับมี
00:53:26 → 00:53:32 อะไรอีกมีเซินะครับิิ apin ซึ่งมันมีใน
00:53:32 → 00:53:36 ผักชีบางอย่างนะครับมีสเมนนะครับซึ่งอยู่
00:53:36 → 00:53:38 ใน We germ นะครับ We germ บางคนแพ้ก็
00:53:38 → 00:53:41 กินไม่ได้เหมือนกันเนี่ยไอ้กลุ่มพวกเนี้ย
00:53:41 → 00:53:43 ถ้าท่านจะหามากินให้ครบเซตทุกอย่างเลยนะ
00:53:43 → 00:53:47 ครับก็ได้ครับแต่รับผิดชอบตัวเองด้วยนะ
00:53:47 → 00:53:52 ครับดูฉลากดูใบประกาศสนบว่าเาตรวจสอบแค่
00:53:52 → 00:53:54 ไหนมีปริมาณเท่าไหร่อย่างไรบริษัทที่ตรวจ
00:53:54 → 00:53:55 สอบเมีจริงหรือหรือเปล่านะครับเพราะไม่
00:53:55 → 00:53:59 ฉะนั้นท่านก็อาจจะเสียเงินฟรีนะครับโดย
00:53:59 → 00:54:02 เฉพาะการไปเชื่อตามคนนั้นคนนี้ว่าอันนั้น
00:54:02 → 00:54:04 ดีอันนี้ดีท่านต้องอย่าไปเชื่อแล้วบางที
00:54:04 → 00:54:06 บางบริษัทเนี่ยอันนี้มีประกาศนียบัตรอีก
00:54:06 → 00:54:08 อันนึงไม่มีแต่บางแต่บริษัทอื่นอ้าวตรง
00:54:08 → 00:54:12 กันข้ามมีมีประกาศนียบัตรของเซินแต่ไม่มี
00:54:12 → 00:54:15 ประกาศนียบัตรของ ral อ้าวอย่างนี้ก็แปล
00:54:15 → 00:54:16 ว่าเราควรจะเชื่ออันเฉพาะที่มันมี
00:54:16 → 00:54:19 ประกาศนียบัตรเราก็แปลว่าเฮ้ยเราอาจจะกิน
00:54:19 → 00:54:20 อันนี้ของบริษัทนี้เรากินอันนี้ของอีก
00:54:21 → 00:54:24 บริษัทหนึก็ได้นะครับดังนั้นตรงนี้คิดว่า
00:54:24 → 00:54:28 น่าจะมีประโยหดมากกว่านะครับอืงั้นพวกนี้
00:54:29 → 00:54:32 คืออาหารเสริมที่มันอาจจะพอช่วยเรื่องของ
00:54:32 → 00:54:35 การชะลอวัยได้พอช่วยได้ไม่ได้หมายความว่า
00:54:35 → 00:54:37 มันช่วยได้แน่ๆนะครับมันอาจจะไม่ได้ผลใน
00:54:37 → 00:54:39 ตัวท่านก็ได้เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยมีผล
00:54:39 → 00:54:42 ข้างเคียงนะอย่างนก็ต้าท่านทินพวกนี้เข้า
00:54:42 → 00:54:44 ไปทั้งหมดเนี่ยบางคนจะมีอาการตอนแรกเลยนะ
00:54:44 → 00:54:48 ฮะปวดท้องท้องเสียได้หรือท้องอื่นดังนั้น
00:54:48 → 00:54:50 เนี่ยในตอนกินแรกๆเนี่ยถ้าท่านกินพวกนี้
00:54:50 → 00:54:52 เข้าไปแล้วมีอาการท้องอึดท้องเสียนะครับ
00:54:52 → 00:54:54 ไม่ต้องแปลกใจมันมีได้นะครับแล้วบางคนมัน
00:54:54 → 00:54:56 ก็หายไปเองส่วนบางคนก็จะมีต่อเนื่องจน
00:54:56 → 00:55:00 กระทั่งท่านกินมันไม่ได้เลยสักตัวนะครับ
00:55:00 → 00:55:06 อืต่อมามาพูดถึงเรื่องของสารบางอย่างซึ่ง
00:55:06 → 00:55:09 มีผลต่อการกระตุ้น autophagy แล้วมีการ
00:55:09 → 00:55:12 ใช้ไม่ถูกต้องอยู่ 2 ตัวนะครับตัวแรกคือ
00:55:12 → 00:55:16 เฟินตัวที่ 2 คือไันะครับเฟินเนี่ยเป็นยา
00:55:16 → 00:55:19 เบาหวานนะครับยาเบาหวานตัวนี้เนี่ยมันจะ
00:55:19 → 00:55:22 ไปกระตุ้นอ่าพวยอันนึงชื่อแม K นะครับ
00:55:22 → 00:55:25 ampk นะผมเคยพูดไปะว่ามันทำงานยังไงใน
00:55:25 → 00:55:28 เรื่องของคลิปเรื่องเดฟอร์มินะครับตัวนี้
00:55:28 → 00:55:30 เนี่ยมันก็จะช่วยเรื่องพวกนี้เหมือนกัน
00:55:30 → 00:55:33 อย่างไรก็ตามเอ่อมีคนหลายๆคนที่กินเขไป
00:55:33 → 00:55:35 แล้วจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนท้องเสียได้
00:55:35 → 00:55:37 แล้วก็มีปวดท้องอะไรอย่างนี้ได้นะครับดัง
00:55:37 → 00:55:40 นั้นเนี่ยต้องระวังตรงนี้มันเป็นยาตัวที่
00:55:40 → 00:55:42 ไม่ได้ทำให้
00:55:42 → 00:55:46 เอิ่มน้ำตาลตกนะอ่าคนกินเมฟอมเนี่ยน้ำตาล
00:55:46 → 00:55:48 จะไม่ต่ำนะครับคือคนที่ไม่เป็นเบาหวาน
00:55:48 → 00:55:51 เนี่ยบางคนไปกินเพราะว่าหวังผลเรื่องการ
00:55:51 → 00:55:54 ชะลอไวนะฮะส่วนตัวผมผมยังไม่ค่อยเห็นด้วย
00:55:54 → 00:55:55 กับการทำแบบนั้นสักเท่าไหร่นะครับมันไม่
00:55:55 → 00:55:58 ค่อยได้ประโยชน์อะไรขึ้นมายกเว้นว่าท่าน
00:55:58 → 00:56:00 มีภาวะก่อนจะเป็นเบาหวานหรือที่เราเรียก
00:56:00 → 00:56:02 กันว่า PR diabetes นะครับซึ่งผมพูดไป
00:56:02 → 00:56:05 เมื่อวานนี้นะฮะว่าแค่ไหนคือ PR diabetes
00:56:05 → 00:56:07 นะครับกลุ่มพวกเนี้ยอาจจะได้ประโยชน์จาก
00:56:07 → 00:56:11 การกินเฟินถ้าจะกินถ้าอยากจะกินจริงๆนะ
00:56:11 → 00:56:13 ครับเพราะว่ามันเป็นยาราคาถูกผลข้างเคียง
00:56:13 → 00:56:15 ก็มีบ้างแต่ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่กินไปนานๆ
00:56:15 → 00:56:17 ก็ดีนะครับแล้วท่านเชื่อมันมากๆนะครับ
00:56:17 → 00:56:20 ท่านก็อาจจะสามารถกิน
00:56:20 → 00:56:24 เอิ่ขนาด 500 มิลกรัมวันละครั้งได้นะครับ
00:56:25 → 00:56:27 กินเป็นแบบ extend release นะครับมันจะ
00:56:27 → 00:56:30 ได้ผลได้ดีกว่านะครับอ่าพวกนั้นก็จะ
00:56:30 → 00:56:35 สามารถช่วยท่านได้นะทีนี้นอกเหนือจากตัว
00:56:35 → 00:56:36 เนี้ย
00:56:36 → 00:56:39 เฟินมันมีปัญหาอะไรอีกถ้าคนไหนที่โชคร้าย
00:56:39 → 00:56:42 นะโดยเฉพาะคนที่มีโรคไตอยู่ในร่างกายนะ
00:56:42 → 00:56:44 โรคตับโรคไตแล้วกินเฟินเข้าไปนะครับบางคน
00:56:45 → 00:56:48 จะเกิดภาวะกรดสูงขึ้นในร่างกายนะครับแล้ว
00:56:48 → 00:56:51 อันตรายมากนะครับนั้นคนที่มีโรคตับโรคไต่
00:56:51 → 00:56:53 ไม่ควรกินเมดฟอร์มิโดยไม่ปรึกษาแพทย์นะ
00:56:53 → 00:56:57 ครับอีกอย่างนึงนก็คือยา sirolimus ตัว
00:56:58 → 00:57:00 นี้เนี่ยเป็นยากดภูมิต้านทานซึ่งมี
00:57:00 → 00:57:02 influencer ท่านหนึ่งเนี่ยโฆษณาว่า
00:57:02 → 00:57:05 สามารถจัดหามาได้จริงๆยามัสเนี่ยเป็นยา
00:57:05 → 00:57:08 อันตรายควบคุมพิเศษนะครับแล้วผมก็ไม่รู้
00:57:08 → 00:57:10 เหมือนกันว่าเขาจัดหามาได้ยังไงนะฮะแต่
00:57:10 → 00:57:12 ตอนนี้รู้สึกว่าจะเลิกโฆษณาไปแล้วนะครับ
00:57:12 → 00:57:15 เพราะว่ามันน่าจะมีกระแสตีกลับเยอะนะครับ
00:57:15 → 00:57:21 ไัเนี่ยมันก็ไปมีผลต่อกระบวนการของการ
00:57:21 → 00:57:24 เอ่อแก่เหมือนกันนะครับแต่มันเป็นยากดู
00:57:25 → 00:57:28 ต้านทานนะฮะคนเหล่านี้ที่กินยาลัสเนี่ย
00:57:28 → 00:57:30 ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรืออะไรเค้าก็จะบอกว่า
00:57:30 → 00:57:32 เออเค้ากินเพื่อชะลอวัยเค้ากินในขนาที่
00:57:32 → 00:57:35 ต่ำมากๆจนกระทั่งมันไม่มีผลต่อเรื่องของ
00:57:35 → 00:57:39 การเอ่อกดภูมิของกันแต่ท่านจะเชื่อได้
00:57:39 → 00:57:41 อย่างไรว่ามันไม่มีผลต่อการกดภูมิคุ้มกัน
00:57:42 → 00:57:43 ท่านเชื่อไม่ได้ครับเพราะว่าเขาไม่ได้
00:57:43 → 00:57:46 ตรวจไงครับนะครับฝรั่งก็มีแถเหมือนกันนะ
00:57:46 → 00:57:49 ครับไม่ใช่มีเฉพาะคนไทยนะฮะแล้วทีนี้
00:57:49 → 00:57:52 ไรอัสเนี่ยถ้าจะกินมันมีผลอะไรที่เป็นผล
00:57:52 → 00:57:56 เสียบ้างนะครับคนที่จะกินเรู้หรือเปล่า
00:57:56 → 00:57:58 นอกเหนือจากยากรดภูมิต้านทานนะข้อแรกมัน
00:57:58 → 00:58:01 ทำให้เกิดแผลในปากได้นะครับแล้วมันเป็น
00:58:01 → 00:58:04 ปัญหาที่พบบ่อยของไรอัสด้วยนะครับอันที่ 2
00:58:04 → 00:58:08 ทำให้ปอดอักเสบได้มีน้ำในย่องช่องเยอขปอด
00:58:08 → 00:58:12 ได้อันที่ 3 มันเป็นการกดภูมิอันที่ 4
00:58:12 → 00:58:14 เกิดลิ่มเลือดต่างในบริเวณต่างๆของร่าง
00:58:14 → 00:58:17 กายได้ตรงไหนก็ได้เลยนะครับอันที่ 5 ทำ
00:58:17 → 00:58:20 ให้ไขมันไตรกลีสลายสูงซึ่งไข่มันตรคสลาย
00:58:20 → 00:58:23 มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจนะครับอันที่ 6
00:58:23 → 00:58:27 ทำให้โปรตีนรั่วในปัสสาวะได้จะสังเกตว่า
00:58:27 → 00:58:30 มันมีปัญหาแบบมหาศาลมากมายไปหมดเลยนะครับ
00:58:30 → 00:58:35 ดังนั้นเนี่ยคนที่ใช้ไรอัสในการกินเพื่อ
00:58:35 → 00:58:38 ที่จะย้อนไวชะลอไวอันนี้ผมไม่เห็นด้วย
00:58:38 → 00:58:39 อย่างยิ่งเลยนะครับแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่
00:58:39 → 00:58:42 ถูกต้องถ้าใครเห็นว่าคนไหนใช้นะครับแจ้ง
00:58:42 → 00:58:44 อยได้เลยครับเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดกฎ
00:58:44 → 00:58:46 หมายไม่ควรจะต้องทำมันเป็นยาควบคุมพิเศษ
00:58:46 → 00:58:51 นะครับอืนั่นแหละก็ประมาณเท่านี้แล้วกัน
00:58:51 → 00:58:54 นะครับวันนี้ก็ไลฟ์มาประมาณเท่านี้แล้วก็
00:58:54 → 00:58:57 น่าน่าจะที่เหลือเราต้องลองไปหาเอาเอง
00:58:57 → 00:58:59 แล้วนะครับ intermittent fasting ก็เป็น
00:58:59 → 00:59:03 การกระทำแบบนี้แหละนะครับเป็นวิธีในการ
00:59:03 → 00:59:07 ป้องกันนะฮะหลายๆอย่างชะลอไวนะฮะแต่ว่า
00:59:07 → 00:59:09 มันควรจะต้องทำให้ถูกต้องนะครับถ้าเราทำ
00:59:09 → 00:59:13 ไม่ค่อยถูกต้องนี่อืมผลเสียมันเยอะกว่านะ
00:59:13 → 00:59:16 ครับอ่ะ
00:59:16 → 00:59:19 เอ่อมีอะไรเกี่ยวกับการชะลอไวเรื่องพวก
00:59:19 → 00:59:21 นี้อีก
00:59:21 → 00:59:26 อ้อการย้อนไวนะครับเดี๋ยวนี้เนี่ยเรา
00:59:26 → 00:59:28 สามารถทำได้ในหนูนะครับในเซลล์ที่เพาะ
00:59:29 → 00:59:32 เลี้ยงเราสามารถเอาไวย้อนกลับไปได้นะ
00:59:32 → 00:59:36 ครับมันมีนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคนนึงชื่อ
00:59:36 → 00:59:41 ดรยานากะนะครับเาทดลองกับเซลล์นะครับแล้ว
00:59:41 → 00:59:44 ก็ได้รางวัลโนเบลที่เขาสามารถย้อนไวเซลล์
00:59:44 → 00:59:46 ได้นะครับกลายไปเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเลยโดย
00:59:46 → 00:59:50 ใช้เอ่อ Factor บางอย่างชื่อ osm นะครับ
00:59:50 → 00:59:53 ซึ่งมันเป็นการกระปรับเปลี่ยนยีนบางตัวนะ
00:59:54 → 00:59:56 ครับทำให้ยย้อนเวลาได้นะครับเดี๋ยวเนี้ย
00:59:56 → 00:59:58 เราก็เลยมีคนเอามาทดลองไวเอ๊ใช้กับเซลล์
00:59:58 → 01:00:01 หนูอะไรพวกนี้ได้หรือเปล่าสามารถทำได้
01:00:01 → 01:00:04 ย้อนวัยของเซลล์ตาก็สามารถทำได้นะครับแต่
01:00:04 → 01:00:06 มันไม่สามารถย้อนไวทั้งร่างกายของเราได้
01:00:06 → 01:00:08 แล้วก็ยังมีอีกหลายปัจจัยซึ่งเราจะต้องมา
01:00:08 → 01:00:12 ดูเ้ยว่ามันมีปัญหาตรงไหนบ้างนะครับอย่าง
01:00:12 → 01:00:14 ไรก็ตามผมยังไม่เชื่อว่าการย้อนไวยแบบ
01:00:14 → 01:00:16 เนี้ยมันจะสามารถทำให้เราเป็นอมตะได้นะ
01:00:16 → 01:00:20 ครับการที่บางคนอาจบอกว่าเออแล้วดีแดงล่ะ
01:00:20 → 01:00:23 ดีแดงจะสามารถที่จะทำให้เราเป็นอมตะได้
01:00:23 → 01:00:25 อย่างงี้หรือเปล่านะครับคือมันก็ไม่
01:00:25 → 01:00:27 สามารถที่จะสามารถทำให้เป็นแบบนั้นได้
01:00:27 → 01:00:30 หรอกครับนะคือมันเป็นตัวมดีแดงเนี่ยมัน
01:00:30 → 01:00:34 จริงๆมันเรียกว่าอะไรถ้าจะพูดง่ายๆคือมัน
01:00:34 → 01:00:36 สามารถที่จะทำให้เอ่อ DNA ของเราเนี่ย
01:00:36 → 01:00:39 ซ่อมแซมตัวเองได้ถูกต้องตลอดเวลาแล้วก็
01:00:39 → 01:00:42 ไม่ไม่ตายง่ายๆนะครับแต่มันไม่สามารถทำ
01:00:42 → 01:00:44 ให้เราเป็นอมตะได้หรอกครับนะครับชีวิตของ
01:00:44 → 01:00:46 คนเราเกิดมาเนี่ยมันจะต้องมีเหตุผลอะไร
01:00:46 → 01:00:49 ที่ทำให้เราอมตะไม่ได้นะแต่อย่างน้อยๆมัน
01:00:49 → 01:00:52 ก็ยังแก้ไขภาวะเสื่อมต่างๆของร่างกายได้
01:00:52 → 01:00:56 นะครับแน่นอนอยู่แล้วเหมือนกับว่าถ้ามัน
01:00:56 → 01:00:59 มีเรือลำนึงกำลังลอยไปที่หน้าผาที่เป็น
01:00:59 → 01:01:02 น้ำตกแล้วมันจะต้องตกลงไปข้างล่างโอเคนะ
01:01:02 → 01:01:05 ครับถ้าเรือมันลอยมาเนี่ยเราอาจจะพอชะลอ
01:01:05 → 01:01:07 ไม่ให้เรือมันลอยเข้าไปแล้วตกลงไปก็ได้นะ
01:01:07 → 01:01:10 ครับอาจจะชะลอมันได้นะหรือบางทีอาจจะพอ
01:01:10 → 01:01:12 ดึงให้เรือมันถอยกลับมาได้นิดนึงแต่สุด
01:01:12 → 01:01:14 ท้ายมันจะสู้แรงน้ำตบที่มันดันไม่ไหวมัน
01:01:14 → 01:01:17 ก็จะตกลงไปอยู่ดีนะครับนี่ก็คือปัญหาของ
01:01:17 → 01:01:21 เรื่องพวกนี้นะครับอ่างั้นเราก็ต้องรู้
01:01:21 → 01:01:25 เอ่อเรื่องพวกนี้บ้างเหมือนกันเนาะงั้น
01:01:25 → 01:01:28 เรื่องของมณีแดงเนี่ยผมมองว่ามันมันเป็น
01:01:28 → 01:01:30 เรื่องที่ดีมากเลยนะเป็นการค้นพบที่ยิ่ง
01:01:30 → 01:01:33 ใหญ่นะครับอย่างไรก็ตามก่อนมันจะออกมาใช้
01:01:33 → 01:01:35 ได้จริงเนี่ยน่าจะอีกนานมากอย่างน้อยก็
01:01:35 → 01:01:37 เป็น 10 ปีเลยเพราะว่ามันจะต้องผ่านการทด
01:01:37 → 01:01:39 ลองหลายๆอย่างนะครับแล้วไม่ใช่สิ่งที่ออก
01:01:39 → 01:01:41 มาบอกเอ้ยมันใช้ได้ทุกโรคมันเป็นไปไม่ได้
01:01:41 → 01:01:44 ครับนะครับมันจะต้องเอามาทดลองทีละโรคเลย
01:01:44 → 01:01:46 ถึงบอกว่าใช้ได้แค่ไหนต้องปริมาณเท่าไหร่
01:01:46 → 01:01:49 ยังไงอะไรแบบไหนพวกนี้นะครับเอ่อมันไม่
01:01:49 → 01:01:51 ใช่ว่าอยู่ๆจะเอามาใช้นะครับแล้วบอกว่าดี
01:01:52 → 01:01:54 ส่วนใครที่บอกว่ามีอาหารเสริมมาณีแดงพวก
01:01:54 → 01:01:57 นั้นโดนหลอกนะครับเค้าใช้เอ่อใช้กลยุทธ์
01:01:57 → 01:02:00 กลวิธีในการโฆษณานะฮมันยังไม่มีมณีแดงออก
01:02:00 → 01:02:03 มาให้คนใช้นะนั้นถ้าใครไปซื้อมาอันนี้ก็
01:02:03 → 01:02:08 แปลว่าเราโดนหลอกเรียบร้อยแล้วนะครับอื
01:02:08 → 01:02:11 เอ่อมีอะไรอีกมยไม่น่าจะมีแล้วนะครับโอเค
01:02:11 → 01:02:13 วันนี้ก็เท่านี้แล้วกันนะครับก็ไว้เดี๋ยว
01:02:13 → 01:02:15 คราวหน้าเจอกันใหม่นะครับวันนี้จะเป็น
01:02:15 → 01:02:18 ไลฟ์ที่เราสั้นที่สุดนะฮะถ้าใครมีคำถาม
01:02:18 → 01:02:21 อะไรที่มันตรงกับเรื่องนี้ผมก็จะตอบให้นะ
01:02:21 → 01:02:23 ครับแต่อย่างที่บอกไว้นะครับช่วงนี้ผมจะ
01:02:23 → 01:02:26 งดตอบคำถามหลายๆอย่างหน่อยนะจะตอบแค่ 1
01:02:26 → 01:02:28 คำถามต่อท่านนะครับถ้าท่านถามมามากกว่า 1
01:02:28 → 01:02:31 คำถามผมจะตอบแค่คำถามแรกของท่านนะครับ
01:02:31 → 01:02:34 แล้วก็ถามแล้วตอบแล้วกรุณาอย่าถามซ้ำนะ
01:02:34 → 01:02:36 ครับผมจะไม่จะไม่ตอบถ้าเกิดมีคนเคยถาม
01:02:36 → 01:02:40 แล้วท่านควรจะต้องไปอ่านคำถามที่คนอื่น
01:02:40 → 01:02:43 เขาเอ่อเคยถามมาแล้วผมเคยตอบไปนะฮะมีคลิป
01:02:43 → 01:02:45 หลายๆคลิปของผมที่ทำมาแล้วแล้วมันตอบคำ
01:02:45 → 01:02:48 ถามไว้อยู่แล้วท่านควรจะไปเอ่อฟังคลิป
01:02:48 → 01:02:50 เหล่านั้นถ้าสงสัยก็ถามไว้ใต้คลิปเหล่า
01:02:50 → 01:02:52 นั้นนะครับตอนนี้ผมอาจจะหายไปจาก YouTube
01:02:52 → 01:02:55 สักระยะนึงนะครับแต่ต้องดูก่อนว่าจะกลับ
01:02:55 → 01:02:57 มาตอนไหนเพราะว่างานผมมันมีเรื่องหลายๆ
01:02:57 → 01:02:59 เรื่องที่จะต้องคิดในตอนนี้นะครับดังนั้น
01:02:59 → 01:03:02 อาจจะอาจจะมาบ้างไม่มาบ้างแล้วกันนะครับ
01:03:02 → 01:03:04 อย่างน้อยๆวันพรุ่งนี้เอาจจะไม่มาเท่า
01:03:04 → 01:03:06 ไหร่เพราะว่ายังเราไม่มีวีดีโอสต๊อกไว้
01:03:06 → 01:03:08 เหลือนะครับแล้วก็ไม่น่าจะมีเวลาไลฟ์แล้ว
01:03:08 → 01:03:12 ด้วยนะครับในช่วงนี้นะครับโอเคก็เท่านี้
01:03:12 → 01:03:14 แล้วกันนะครับยังไงก็รักษาสุขภาพนะครับ
01:03:14 → 01:03:19 ขอบคุณมากครับสวัสดี
01:03:19 → 01:03:22 ครับ