00:00:00 → 00:00:01 พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นเนี่ยแล้วก็ได้มอบ
00:00:02 → 00:00:04 สมบัติเหล่าเนี้ยให้เป็นของมนุษย์อาจจะ
00:00:04 → 00:00:08 เป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้มนุษย์ปฏิบัติต่อ
00:00:08 → 00:00:10 ความหลากหลายเรากับว่ามนุษย์เนี่ยมี
00:00:10 → 00:00:13 อภิสิทธิ์อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่า
00:00:13 → 00:00:16 การให้คุณค่าความหลากหลายน้อยเนี่ยอาจจะ
00:00:16 → 00:00:20 เป็นผลผลิตของวิธีคิดซึ่งเราอาจจะเรียก
00:00:20 → 00:00:30 ว่าเป็นวิธีคิดแบบอิโตก็ได้
00:00:31 → 00:00:33 สวัสดีครับเ่อผมนายแพทนันทวัฒน์สิทธรักษา
00:00:34 → 00:00:36 ครับผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้การ
00:00:36 → 00:00:38 สร้างเสริมสุขภาพก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่
00:00:38 → 00:00:41 podcast ของทางสถาบันนะครับเรื่อง
00:00:41 → 00:00:43 Healthy Society Talk ครั้งนี้เป็น
00:00:43 → 00:00:45 ครั้งที่ 3 นะครับประเด็นวันนี้เป็น
00:00:45 → 00:00:48 เรื่องการอ่าการเคารพในความหลากหลายนะ
00:00:48 → 00:00:51 ครับนะวันนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรนะ
00:00:51 → 00:00:54 ครับผู้ชำนาญแล้วก็เชี่ยวชาญด้านนี้นะ
00:00:54 → 00:00:56 ครับคือท่านอาจารย์โกมาจึงเสถียรทรัพย์นะ
00:00:56 → 00:00:59 ครับอาจารย์ก็เป็นนักวิทยาทางการแพทย์นะ
00:00:59 → 00:01:02 ครับครับซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการศูนย์
00:01:02 → 00:01:04 อุทยาสิรินธรและปัจจุบันเยอาจารย์มารับ
00:01:04 → 00:01:07 ตำแหน่งเป็นประธานกรรมการนโยบายของไทย PBS
00:01:07 → 00:01:10 นะครับก็ยินดีต้อนรับอาจารย์เข้าสู่ราย
00:01:10 → 00:01:13 การครับขอบคุณครับขอบคุณที่เชิญมาครับ
00:01:13 → 00:01:16 ประเด็นวันนี้เราคุยกันเรื่องความหลาก
00:01:16 → 00:01:18 หลายนะครับอาจารย์ว่าเอ๊ะมันมันมันคือ
00:01:18 → 00:01:21 อะไรแล้วมันทำไมเราต้องพูดถึงนะครับนะ
00:01:21 → 00:01:23 จริงๆแล้วเรื่องความแตกต่างหลากหลายเี่
00:01:23 → 00:01:25 เป็นเรื่องที่เราพูดถึงแต่พอในสังคมจริงๆ
00:01:25 → 00:01:28 เนี่ยปรากฏว่ามันมีการเค้าเรียกอะไรล่ะ
00:01:28 → 00:01:32 เดียดฉันมีการอึดอัดกับความแตกต่างหลาก
00:01:32 → 00:01:34 หลายหรือพยายามทำให้เป็นเขาเป็นเราเป็น
00:01:34 → 00:01:37 อื่นหรือพยายามทำให้เป็นเหมือนกันอะไร
00:01:37 → 00:01:39 เงี้ยครับถ้าถามอาจารย์ในฐานะเป็นนัก
00:01:39 → 00:01:42 วิธยาแล้วอาจารย์มีประสบการณ์หลายๆด้าน
00:01:42 → 00:01:44 มากเนี่ยนะครับทำไมต้องพูดถึงเรื่องความ
00:01:44 → 00:01:48 หลากหลายครับผมคิดว่าเรื่องความหลากหลาย
00:01:48 → 00:01:51 เนี่ยมันเป็นกระแสขึ้นมาเนี่ยอืออยู่ใน
00:01:51 → 00:01:55 แวดวงของคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมก่อนนะ
00:01:55 → 00:01:58 ครับก็คือความตื่นตัวในความหลากหลายทาง
00:01:58 → 00:02:02 ชีวภาพหรือว่า biodiversity ครับซึ่งก็
00:02:02 → 00:02:05 เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว
00:02:05 → 00:02:08 ก็ปฏิวัติทางการเกษตรหรือที่เราเรียกว่า
00:02:08 → 00:02:11 ปฏิวัติสีเขียวเนี่ยนะที่ทำให้ทั้ง
00:02:11 → 00:02:15 อุตสาหกรรมแล้วก็ทั้งการเกษตรเนี่ยได้ไป
00:02:15 → 00:02:19 ทำลายพืชหรือว่าสัตว์ที่อยู่อาศัยของ
00:02:19 → 00:02:25 สัตว์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆให้ลดน้อยลง
00:02:25 → 00:02:30 การทำการเกษตรเชิงเดี่ยวแบบเนี้ยก็ทำให้
00:02:30 → 00:02:33 ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ก็สูญหาย
00:02:33 → 00:02:37 ไปจนเป็นที่วิตกกันว่าพืชพันธุ์ธัญญาหาร
00:02:37 → 00:02:39 หลากหลายที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเนี่ย
00:02:40 → 00:02:44 มันจะทยอยสูญพันธ์ไปกระแสเรื่อง
00:02:44 → 00:02:47 biodiversity หรือความหลากหลายทางชีวภาพ
00:02:47 → 00:02:50 เนี่ยก็เลยเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงใน
00:02:50 → 00:02:53 แวดวงนักอนุรักษ์หรือในแวดวงองค์การที่ทำ
00:02:53 → 00:02:57 งานด้านสิ่งแวดล้อมกันเยอะครับพอต่อมาก็
00:02:57 → 00:03:00 มีการพูดถึงว่าไอ้ความหลากหลายทางชีวภาพ
00:03:00 → 00:03:04 เนี่ยมันจะอยู่ไม่ได้หรอกถ้าหากว่าเราไม่
00:03:04 → 00:03:08 รักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมเอาไว้คู่
00:03:08 → 00:03:11 กันไปด้วยเพราะว่าความหลากหลายทางวัฒธรรม
00:03:11 → 00:03:14 หรือว่า cultural diversity เนี่ยมันก็
00:03:14 → 00:03:16 เป็นวิธีการที่มนุษย์จัดความสัมพันธ์กับ
00:03:16 → 00:03:20 ธรรมชาติที่มันหลากหลายงั้นมนุษย์ก็จะมี
00:03:20 → 00:03:24 โอกาสเก็บรักษาความหลากหลายทางชีวภาพผ่าน
00:03:24 → 00:03:27 วิถีชีวิตที่แตกต่างกันไม่ใช่ว่าทุกคนหัน
00:03:27 → 00:03:30 มากินอาหารอย่างเดียวกันหมดกันขนานใหญ่
00:03:30 → 00:03:33 เป็นพืชเชิงเดี่ยวไปหมดแบบนี้งั้น 2
00:03:33 → 00:03:37 เรื่องนี้มันก็กลายเป็นประเด็นสำคัญซึ่ง
00:03:37 → 00:03:41 ในแง่ของเรื่องความหลากหลายเนี่ยมันเป็น
00:03:41 → 00:03:44 การพูดถึงบนพื้นฐาน
00:03:44 → 00:03:47 ของความใส่ใจต่อ
00:03:47 → 00:03:52 ความมั่นคงเนความมั่นคงหรือว่าเป็นเรื่อง
00:03:52 → 00:03:55 Security หรือเป็นเรื่อง sustainability
00:03:55 → 00:04:00 ความยั่งยืนเพราะถ้าหากว่ามนุษย์อาศัย
00:04:00 → 00:04:03 ธรรมชาติที่หลากหลายเนี่ยโอกาสที่จะมี
00:04:03 → 00:04:06 ความสุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลายไปเนื่องจาก
00:04:06 → 00:04:09 ขาดแคลนปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งซึ่งมนุษย์ไป
00:04:09 → 00:04:12 พึ่งพาอาศัยมากเกินไปเนี่ยมันก็จะเป็น
00:04:12 → 00:04:15 ความไม่มั่นคงของสังคมหรือว่าความไม่มั่น
00:04:15 → 00:04:17 คงของชีวิตมนุษย์
00:04:17 → 00:04:21 อือแต่ในขณะเดียวกันนะอาจารย์มันก็มีอีก
00:04:21 → 00:04:23 กระแสนึงก็ที่ว่าสังคมเราก็เปลี่ยนไปใน
00:04:23 → 00:04:26 ทางที่ว่ามันจะเริ่ม exclude บางอย่างอไป
00:04:26 → 00:04:29 ให้มีอะไรวัฒนธรรมเด่นหรือวัฒนนำบางอย่าง
00:04:29 → 00:04:31 อยู่อยู่นะครับยกตัวอย่างเหมือนเรื่อง
00:04:31 → 00:04:33 ภาษายกตัวอย่างนะอาจารย์ภาษาเล็กๆน้อยๆ
00:04:33 → 00:04:37 ค่อยๆตายสูญหายหมดเลยแต่ภาษาหลักๆภาษาแม่
00:04:37 → 00:04:39 ภาษาอะไรก็ตามเราจะเรียกขึ้นมานะครับก็จะ
00:04:39 → 00:04:41 มีเรื่องสิ่งเหล่าเนี้ยซ้อนอยู่ด้วยเอ๊ะ
00:04:41 → 00:04:44 ทำไมมนุษย์สังคมเยชอบดึงไปในทางที่ว่า
00:04:44 → 00:04:46 เหมือนกับ exclude แล้วให้เหลือน้อยๆแล้ว
00:04:46 → 00:04:49 ให้เหมือนให้เหมือนกันเช่นภาษาทางการภาษา
00:04:49 → 00:04:52 ของโลกคืออะไรแล้วภาษาเล็กๆก็ก็ตายไปยก
00:04:52 → 00:04:54 ตัวอย่างนะครับหรือว่าอันนี้เป็นประเด็น
00:04:54 → 00:05:00 ที่สำคัญนะมันมีการศึกษาว่าทุก 14 วัน
00:05:00 → 00:05:04 เนี่ยอืจะมีภาษาของมนุษย์เนี่ยที่สูญหาย
00:05:04 → 00:05:08 ไป 1 ภาษาภาษาทั่วโลกอาจจะมีเป็นหมื่นๆ
00:05:08 → 00:05:13 ภาษานะแต่ว่าภาษาที่มีกลุ่มคนเป็นจำนวน
00:05:13 → 00:05:18 น้อยหรือว่าถูกกลืนเข้ามาอยู่ในสังคมใหญ่
00:05:18 → 00:05:23 ก็พลอยทำให้ภาษาเหล่านั้นก็สูญพันธ์ไปเลย
00:05:23 → 00:05:27 ซึ่งทุก 14 วันก็สูญพันธ์ไป 1 ภาษาครับที
00:05:27 → 00:05:29 นี้เวลาที่ภาษามันสูญพันธ์ไปเนี่ยมันไม่
00:05:29 → 00:05:32 ได้สูญพันไปแค่เครื่องมือการสื่อสารนะมัน
00:05:32 → 00:05:37 มีภูมิปัญญามันมีแนวความคิดมันมีวิธีการ
00:05:37 → 00:05:41 มองโลกเนี่ยที่มันแฝงอยู่ในภาษานั้นด้วย
00:05:41 → 00:05:47 ครับถ้าเราไม่มีคำคำนั้นการพูดถึงเรื่อง
00:05:47 → 00:05:49 บางเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่องที่พูดถึงได้
00:05:49 → 00:05:53 ยากงั้นการทำให้ความหลากหลายทางวัฒธรรม
00:05:53 → 00:05:55 โดยเฉพาะเรื่องภาษาเนี่ยให้คงอยู่ก็ถือ
00:05:55 → 00:05:58 ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญทีนี้เรื่องภาษานี่
00:05:58 → 00:06:02 มันจะไปสัมพันธ์กับการการเกิดขึ้นของเอ่อ
00:06:02 → 00:06:06 รัฐชาติสมัยใหม่นะครับซึ่งการเกิดขึ้นของ
00:06:06 → 00:06:10 รัฐชาติสมัยใหม่เนี่ยก็อาศัยการสถาปนา
00:06:10 → 00:06:14 ภาษากลางซึ่งถือว่าเป็นภาษาแห่งอำนาจหรือ
00:06:14 → 00:06:18 ว่าภาษาที่ส่วนกลางจะใช้ในการปกครองซึ่ง
00:06:18 → 00:06:20 คนที่อยู่ชายขอบทั้งหลายก็ต่างต้อง
00:06:20 → 00:06:22 มาเรียนรู้เรื่องภาษาที่เป็นทางการเหล่า
00:06:22 → 00:06:25 นี้ไม่งั้นก็ไม่สามารถที่จะทำงานติดต่อ
00:06:25 → 00:06:28 เชื่อมโยงกันได้อันนี้ก็เป็นอีกสาเหตุ
00:06:28 → 00:06:31 หนึ่งด้วยครับอาจารย์ก็มาแตะเรื่อง
00:06:31 → 00:06:34 อาณานิคมเรื่องอำนาจเรื่องอะไรอาจารย์มา
00:06:34 → 00:06:36 มาเกี่ยวแต่ก็ในประวัติศาสตร์มันก็มี
00:06:36 → 00:06:38 ประมาณนั้นคือพอเรื่องคววามหลากหลายมันจะ
00:06:38 → 00:06:41 มีเรื่องความเหนือกว่าความด้อยกว่าสิ่ง
00:06:41 → 00:06:44 เหล่านี้มันมันแทรกมาได้ยังไงไม่ทราบนะ
00:06:44 → 00:06:46 แต่มันจะมีคือมันมีความหลากหลายก็มีแต่
00:06:46 → 00:06:48 เป็นเรื่องอำนาจแล้วบอกว่าบางอย่างจะ
00:06:48 → 00:06:50 เหนือกว่าบางอย่างแล้วก็ด้อยค่าบางอย่าง
00:06:50 → 00:06:53 ไปแล้วทำให้มันหายไปหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:06:53 → 00:06:57 ครับอันนี้ก็จริงครับในความหลากหลายต่างๆ
00:06:57 → 00:07:00 เนี่ยมนุษย์ก็ได้ไป
00:07:00 → 00:07:03 เรียกว่าสถาปนาความสัมพันธ์เชิงอำนาจอื
00:07:03 → 00:07:06 ของสิ่งต่างๆขึ้นโดยการ
00:07:06 → 00:07:12 จัดระเบียบแบบแผนนะอย่างยกตัวอย่างเช่นใน
00:07:12 → 00:07:15 เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเนี่ยมนุษย์
00:07:15 → 00:07:19 ก็จะไปเรียงลำดับใช่มั้ยครับว่ามนุษย์คือ
00:07:19 → 00:07:23 วิวัฒนาการขั้นสูงสุดทางชีววิทยาอฮะเพ
00:07:23 → 00:07:26 ฉะนั้นก็กลายเป็นว่ามนุษย์เนี่ยเหมือนกับ
00:07:26 → 00:07:28 อยู่ตรงสุดยอดของพีระมิดแล้วล่ะนะส่วน
00:07:28 → 00:07:32 สัตว์อื่นๆก็ลดหลั่นลงไปถ้าหากว่าเป็นทาง
00:07:32 → 00:07:36 ด้านเทววิทยาของคริสเตียนก็มีพวกอะไรเทพ
00:07:36 → 00:07:41 เทวาอะไรขึ้นไปทางคติของแบบพื้นบ้านไทยก็
00:07:41 → 00:07:43 อาจจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆแต่ว่า
00:07:43 → 00:07:46 มนุษย์ก็ถือว่าอยู่ในโลกของสิ่งมีชีวิต
00:07:47 → 00:07:50 ทั่วๆไปในฐานะที่สูงสุดครับซึ่งพอเป็นแบบ
00:07:50 → 00:07:54 นี้เนี่ยการให้คุณค่ากับความหลากหลายทาง
00:07:54 → 00:07:58 ชีวภาพมันก็ลดหลั่นกันไปสำนวนไทยก็บอกว่า
00:07:58 → 00:08:00 ฆ่ากันได้เหมือนผักเหมือนปลาใช่มั้ยครับ
00:08:00 → 00:08:04 ก็เหมือนกับว่าผักปลามันก็เป็นสิ่งที่เรา
00:08:04 → 00:08:07 ไม่เราฆ่าได้อะไรแบบนี้อก็อาจจะเป็นส่วน
00:08:08 → 00:08:10 หนึ่งของวิธีการที่มนุษย์จัดระเบียบในทาง
00:08:10 → 00:08:15 สังคมครับแล้วก็ทำให้เราสถาปนาอำนาจอื
00:08:15 → 00:08:18 ขึ้นมาครับทำให้เราสามารถจัดการกับสิ่ง
00:08:18 → 00:08:22 แวดล้อมต่างๆได้ในทางศาสนาคริสต์เนี่ยก็
00:08:22 → 00:08:26 มีส่วนหนึ่งนะที่คนเขก็พูดถึงว่ามันมีแนว
00:08:26 → 00:08:29 คิดที่บอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นเนี่ย
00:08:29 → 00:08:32 แล้วก็ได้มอบสมบัติเหล่าเนี้ยให้เป็นของ
00:08:32 → 00:08:36 มนุษย์งั้นก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าของหรือ
00:08:36 → 00:08:39 ว่าเป็นเจ้านายเหนือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
00:08:39 → 00:08:42 ต่างๆเราสามารถใช้ประโยชน์หรือว่าจัดการ
00:08:42 → 00:08:46 หรือทำอะไรกับเขาได้อันนี้ก็มีคน
00:08:46 → 00:08:49 สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นแนวคิดสำคัญที่ทำ
00:08:49 → 00:08:52 ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อความหลากหลายเรากับ
00:08:52 → 00:08:54 ว่ามนุษย์เนี่ยมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือสิ่ง
00:08:54 → 00:08:55 เหล่า
00:08:55 → 00:08:58 นี้มันก็นำมาซึ่งนะครับอาจารย์นะไอ้ความ
00:08:58 → 00:09:01 เป็นอื่นอื่นหรืออะไรเงี้ยนะครับมามาเยอะ
00:09:01 → 00:09:03 ในประวัติศาสตร์เราในปัจจุบันก็ยังยัง
00:09:04 → 00:09:06 อยู่นะครับจะมีกลุ่มหลักแล้วก็กลุ่มเป็น
00:09:06 → 00:09:09 อื่นกลุ่มรองหรืออะไรเงี้ยแล้วก็มีการอ่า
00:09:09 → 00:09:11 เ้าเรียกเชิงอำนาจอะไรซ่อนอยู่คราวนี้ถาม
00:09:11 → 00:09:14 อาจารยเหเรื่องภาษายกตัวอย่างอาจารยโอเค
00:09:14 → 00:09:18 ว่ามันหายภาษาหายไปคำมันหายไปวัฒนธรรมแนว
00:09:18 → 00:09:21 คิดความรู้ที่อิงอยู่กับภาษานั้นๆก็จะหาย
00:09:21 → 00:09:24 ไปด้วยคือถามเหมือนกลัวนะอาจารย์เก็บไว้
00:09:24 → 00:09:27 ทำไมครับภาษาเล็กภาษาน้อยหรือในความความ
00:09:27 → 00:09:29 แตกต่างหลากหลายเนี่ยมันก็เป็นอะไรที่มัน
00:09:29 → 00:09:32 เอ๊ะมันเป็นเบอร์เดนมยที่จะเก็บไว้ต้อง
00:09:32 → 00:09:34 อนุรักษ์ไว้คราวนี้การอนุรักษ์เนี่ยเป็น
00:09:34 → 00:09:36 การที่ต้องใช้คือการอนุรักษ์อาจารย์ก็จะ
00:09:36 → 00:09:38 ทราบนะมันต้องใช้พลังมากหรือใช้ทรัพยากร
00:09:38 → 00:09:41 จำนวนมากในการที่จะไปทำให้สิ่งที่กำลังจะ
00:09:41 → 00:09:44 หายไปเนี่ยยังคงอยู่แล้วก็ยังเติบโตขึ้น
00:09:44 → 00:09:47 มาเนี่ยคำถามมันยกตัวอย่างเรื่องภาษาก่อน
00:09:47 → 00:09:49 จความหลากหลายมันเยอะมากนะครับอาจารย์ถาม
00:09:49 → 00:09:52 ว่าทำไมต้องมีความหลากหลายแล้วจะจะเก็บ
00:09:52 → 00:09:54 มันไปเพื่ออะไร
00:09:54 → 00:09:58 ครับคือภาษาเนี่ยมันไม่ได้เป็นเครื่องมือ
00:09:58 → 00:10:03 ที่มนุษย์ใช้สื่อสารเท่านั้นนะมันเป็น
00:10:03 → 00:10:08 ระบบที่จะเข้ารหัสความรู้ของมนุษย์ภาษา
00:10:08 → 00:10:11 อังกฤษอาจจะเรียกว่าเป็น encode ครับมัน
00:10:11 → 00:10:17 มีความคิดแนวคิดหรือคซหรือ
00:10:17 → 00:10:21 ว่าความเข้าใจบางอย่างซึ่งเราผูกขึ้นมา
00:10:21 → 00:10:24 เป็นคำพูดในภาษานั้น
00:10:25 → 00:10:28 ๆอย่างเช่นคำว่ากรรมอย่างนี้นะคำว่ากรรม
00:10:28 → 00:10:31 เนี่ยก็จะมีนัยยะใช่มั้ยอือฮึมันไม่ได้
00:10:31 → 00:10:35 เป็นคำคำเดียวที่ดำรงอยู่โดดๆมันดำรงอยู่
00:10:35 → 00:10:39 ในสนามความหมายของคำที่ในภาษาวิชาการเ
00:10:39 → 00:10:42 เรียกว่าเป็น semantic Field ก็คือมัน
00:10:42 → 00:10:45 เป็นสนามความหมายเนี่ยคำเหล่านี้ก็จะจัด
00:10:45 → 00:10:49 ความสัมพันธ์กับคำอื่นๆในลักษณะเฉพาะของ
00:10:49 → 00:10:53 แต่ละวัฒนธรรมซึ่งสะท้อนโลกทหรือว่า
00:10:53 → 00:10:56 จักรวารทัศความเข้าใจต่อจักรวาลเนี่ยที่
00:10:56 → 00:10:59 มันแตกต่างกันทีนี้
00:10:59 → 00:11:02 ถ้าหากว่าเราพูดถึงความหลากหลายอย่างถึง
00:11:02 → 00:11:05 ที่สุดแล้วเนี่ยนะก็อาจจะเรียกว่าเป็น
00:11:05 → 00:11:07 ความหลากหลายถึงที่สุดของมันคือความหลาก
00:11:07 → 00:11:12 หลายในทางจักรวาลวิทยาเนาะก็คือว่ามนุษย์
00:11:12 → 00:11:16 ในแต่ละวัฒนธรรมเนี่ยก็จะทำความเข้าใจโลก
00:11:16 → 00:11:19 ด้วยกรอบความคิดและคำอธิบายที่แตกต่างกัน
00:11:19 → 00:11:23 อืทีนี้จักรวาวิทยาแบบหนๆเนี่ยก็เป็นกรอบ
00:11:23 → 00:11:27 ให้มนุษย์จัดความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆใน
00:11:27 → 00:11:30 จักรวาลที่แตกต่างกันทีนี้การอนุรักษ์
00:11:30 → 00:11:33 ภาษาจึงหมายความว่าเราเป็นการอนุรักษ์
00:11:33 → 00:11:37 ภูมิความรู้แบบหนึ่งหรือจักรวาลวิทยาแบบ
00:11:37 → 00:11:41 หนึ่งผ่านภาษาซึ่งเข้ารหัสความรู้ต่างๆ
00:11:41 → 00:11:44 เหล่านี้เอาไว้ซึ่งถึงวันหนึ่งมันอาจจะมี
00:11:44 → 00:11:47 ความหมายหรือว่าโดยตัวของมันเองเนี่ยมัน
00:11:47 → 00:11:51 ก็เป็นแหล่งสะสมภูมิปัญญาที่เราเข้าไป
00:11:51 → 00:11:53 ศึกษาได้แต่ถ้าภาษานั้นมันหมดไปแล้วก็เรา
00:11:53 → 00:11:58 อาจจะไม่เข้าใจเลยว่าคำอธิบายโลกที่มัน
00:11:58 → 00:12:02 เป็นทางเลเลือกอื่นมันมีอยู่หรือเปล่าหมด
00:12:02 → 00:12:05 แล้วหมดเลยหมดแล้วหมดเลยครับถ้าให้ถาม
00:12:05 → 00:12:08 อาจารย์ชัดๆว่าความหลากหลายเนี่ยข้อดีมัน
00:12:08 → 00:12:10 คืออะไรครับทำไมต้องให้มีความหลากหลาย
00:12:10 → 00:12:14 หรือความหลากหลายมันมีคือความหลากหลายนี่
00:12:14 → 00:12:17 ผมว่ามันเป็นธรรมชาตินะอือธรรมชาติของของ
00:12:17 → 00:12:20 สิ่งต่างๆแต่ว่ามันกลายมาเป็นประเด็นที่
00:12:20 → 00:12:23 เราต้องย้อนกลับมาเคารพความหลากหลายก็
00:12:23 → 00:12:26 เพราะว่าช่วงที่ผ่านมามันอาจจะให้คุณค่า
00:12:26 → 00:12:28 กับเรื่องเหล่านี้ซึ่งจริงๆมันเป็นสิ่ง
00:12:28 → 00:12:32 ที่มันมีอยู่แล้วรอบตัวเราน้อยจนเกินไป
00:12:32 → 00:12:35 ครับผมคิดว่าการให้คุณค่าความหลากหลาย
00:12:35 → 00:12:39 น้อยเนี่ยอาจจะเป็นผลผลิของวิธีคิดซึ่ง
00:12:39 → 00:12:42 เราอาจจะเรียกว่าเป็นวิธีคิดแบบ aristotle
00:12:42 → 00:12:46 ก็ได้นะครับก็คืออิตนี้เคจะถือว่า
00:12:46 → 00:12:50 สรรพสิ่งต่างๆเนี่ยมันจะมีสาระที่แท้จริง
00:12:50 → 00:12:54 ของมันนะเรียกว่ามันจะเป็นสิ่งนี้มันต้อง
00:12:54 → 00:12:57 ไม่เป็นสิ่งอื่นนะก็คือมันมีเอกลักษณ์
00:12:57 → 00:13:00 หรืออัตลักษณ์เฉพาะตัวถ้าเรานิยามมันได้
00:13:00 → 00:13:02 มันก็เป็นสิ่งนี้แหละนะมันจะเป็นสิ่งอื่น
00:13:02 → 00:13:07 ไม่ได้ซึ่งโดยวิธีคิดแบบเนี้ยมันทำให้ของ
00:13:07 → 00:13:10 หรือว่าสิ่งที่มันมีสาระมากกว่าหนึ่งใน
00:13:10 → 00:13:13 ตัวของมันเนี่ยจะถูกลดทอนลงมาให้มันเหลือ
00:13:13 → 00:13:16 เป็นสิ่งใดสิ่งเดียวเท่านั้นครับซึ่งโดย
00:13:16 → 00:13:19 วิธีคิดเนี้ยก็เลยกลายเป็นว่าเราสามารถ
00:13:19 → 00:13:21 จัดหมวดจัดหมู่ของต่างๆได้อย่างเด็ดขาด
00:13:21 → 00:13:24 เลยว่าอันนี้เป็นอยู่ในลิ้นชักนี้อันนี้
00:13:24 → 00:13:27 อยู่ในกลุ่มนี้อันนี้เป็นพวกนี้ซึ่งวิธี
00:13:27 → 00:13:30 คิดแบบนี้มันทอนความหลากหลายภายในของสิ่ง
00:13:30 → 00:13:33 ต่างๆด้วยแล้วก็มันเป็นโอกาสที่เราจะจัด
00:13:33 → 00:13:39 ลำดับของคุณค่าของแต่ละิกเนี่ยให้มันด้อย
00:13:39 → 00:13:42 ค่าหรือว่ามันมีค่ามากกว่ากันครับซึ่งมัน
00:13:42 → 00:13:45 ก็เกิดขึ้นในวัฒนธรรมต่างๆด้วยแต่ว่าวิธี
00:13:45 → 00:13:48 คิดทำนองเเราก็เรียกว่าเป็นวิธีคิดแบบอิต
00:13:48 → 00:13:52 อืพอมันเป็นแบบนี้ขึ้นมาก็ความสัมพันธ์
00:13:52 → 00:13:54 ของความหลากหลายเนี่ยก็จะลดทอนลงใช่มั้ย
00:13:54 → 00:13:56 ครับเพราะว่ากลายเป็นว่าแต่ละสิ่งเนี่ย
00:13:56 → 00:14:00 มันมีความสัมพันธ์เชิงเดี่ยวกับสิ่งอื่นๆ
00:14:00 → 00:14:05 ไปทีนี้ในขณะเดียวกันเนี่ยมนุษย์ก็จะให้
00:14:05 → 00:14:10 คุณค่าของสิ่งต่างๆจากการทอนของให้มัน
00:14:10 → 00:14:13 เหลือสาระเดี่ยวนี่แหละนะซึ่งเราอาจจะ
00:14:13 → 00:14:16 เรียกว่าเป็นการสร้างภาพเหมารวมก็ได้นะ
00:14:16 → 00:14:19 ครับออย่างเช่นว่าเราเหมารวมว่าเเป็นผู้
00:14:19 → 00:14:23 หญิงเเป็นผู้พิการอเเป็นกลุ่มชาติพันธุ์
00:14:23 → 00:14:27 เค้าเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องจิตประสาทอะไร
00:14:27 → 00:14:31 แบบเนี้ยแทนที่เราจะมองว่า
00:14:31 → 00:14:36 อ้อผู้หญิงก็เป็นความหลากหลายทางเพศอาจจะ
00:14:36 → 00:14:39 มีเพศอื่นๆอีกด้วยชาติพันธุ์ก็เป็นความ
00:14:39 → 00:14:41 หลากหลายทางวัฒนธรรมอือฮึหรือว่าแม้แต่
00:14:41 → 00:14:45 เรื่องผู้คนพิการต่างๆก็หลากหลายความ
00:14:45 → 00:14:48 สามารถที่แตกต่างกันในบางกรณียังมีการใช้
00:14:48 → 00:14:52 คำว่า ne diversity อหรือว่าความหลาก
00:14:52 → 00:14:56 หลายทางภาวะทางประสาทครับซึ่งบางทีเราบอก
00:14:56 → 00:15:00 ว่าเด็กออทิสติกแบบเนะหรือว่าเด็กที่มี
00:15:00 → 00:15:05 ความสนใจสั้นหรือว่าคนที่มีสภาวะทางจิต
00:15:05 → 00:15:08 ที่แตกต่างไปจากคนปกติธรรมดาเราก็จะไปติด
00:15:08 → 00:15:13 ป้ายเพะว่าเป็นคนป่วยคนผิดปกติไปแต่ว่า
00:15:13 → 00:15:15 เค้าก็เลือกเกิดไม่ได้ใช่มั้ยเค้าก็เกิด
00:15:15 → 00:15:18 มาพร้อมกับภาวะเช่นนั้นแต่เขาคก็มีความ
00:15:18 → 00:15:21 สามารถบางอย่างที่อาจจะเหนือกว่าเราเช่น
00:15:21 → 00:15:24 เด็กที่เป็นออทิสติกบางคนเนี่ยก็มีสติ
00:15:24 → 00:15:27 ปัญญาสูงความสามารถพิเศษอมีความสามารถ
00:15:27 → 00:15:29 พิเศษบางอย่างซึ่งถ้าเรามองเรื่องนี้เป็น
00:15:29 → 00:15:33 ne diversity เราก็อาจจะน้อมรับโอบรับ
00:15:33 → 00:15:36 นับรวมก็ได้มากขึ้นซึ่งก็ทำให้สังคมอยู่
00:15:36 → 00:15:42 ร่วมกันได้ดีกว่าการไปมองผ่านข้อจำกัดนะ
00:15:42 → 00:15:44 คนเราชอบเมารวมนะครับธรรมชาติเราชอบเมา
00:15:44 → 00:15:47 รวมจริงๆเหมารวมก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิด
00:15:47 → 00:15:49 ซะเลยทีเดียวนะเพราะว่าทุก
00:15:49 → 00:15:54 ๆสิ่งที่เราทำทุกๆเรื่องเนี่ยเราก็จะต้อง
00:15:54 → 00:15:57 มองแบบเหมารวมไว้ในระดับหนึ่งอย่างเช่น
00:15:57 → 00:15:59 ว่าเรา
00:15:59 → 00:16:00 ไป
00:16:00 → 00:16:05 เจอผู้สูงอายุเราก็คงต้องประเมินหรือว่า
00:16:05 → 00:16:08 ประมาณเอาว่าผู้สูงอายุก็อาจจะเคลื่อนไหว
00:16:08 → 00:16:11 ช้าหน่อยใช่มั้ยครับมันเป็นวิธีการที่เรา
00:16:11 → 00:16:13 ไม่ต้องมานั่งคิดใหม่ทุกครั้งคือเราเห็น
00:16:13 → 00:16:17 ผู้สูงอายุเราก็เราก็ถือว่าเออต้องระวัง
00:16:18 → 00:16:20 เพราะว่าเอาจจะเดินหรือว่าเคลื่อนไหวช้า
00:16:20 → 00:16:24 มันก็เป็นการพูดแบบโดยรวมอืแต่ว่าปัญหา
00:16:24 → 00:16:27 ของการพูดแบบเหมารวมเนี่ยก็คือมันเป็นการ
00:16:27 → 00:16:30 เหมารวมแบบตายตัวตัวครับตายตัวคือมันไม่
00:16:30 → 00:16:35 มีการเปิดโอกาสให้ลักษณะที่เป็นอย่างที่
00:16:35 → 00:16:37 เราเห็นเนี่ยมันมีความหมายอย่างอื่นได้
00:16:37 → 00:16:40 เลยครับแลที่สำคัญกว่านั้นพอมันเหมารวม
00:16:40 → 00:16:44 แล้วมันไปจัดลำดับชั้นอยู่กับลักษณะอย่าง
00:16:44 → 00:16:49 อื่นเช่นพอเทียบคนแก่ผู้สูงอายุเราก็จะไป
00:16:49 → 00:16:52 เทียบกับคนหนุ่มคนสาวซึ่งถือว่าเป็นปกติ
00:16:52 → 00:16:56 สิ่งที่คนเฒ่าคนแก่มีน้อยอย่างเช่นพละ
00:16:56 → 00:16:59 กำลังเราจะถือว่ามันเสื่อมมาจากอือฮึภาวะ
00:16:59 → 00:17:02 ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวแต่สิ่งที่มันมีมาก
00:17:02 → 00:17:06 กว่าในผู้สูงอายุเช่นภูมิปัญญาสติปัญญา
00:17:06 → 00:17:09 การมองโลกอย่างรอบด้านเหล่าเยเราก็ไม่ได้
00:17:09 → 00:17:11 ไปให้คุณค่ามันเท่าไหร่เพราะว่าเราไป
00:17:11 → 00:17:14 สถาปนาอุดมคติของชีวิตก็คือความเป็นหนุ่ม
00:17:14 → 00:17:17 เป็นสาวเอาไว้ก่อนแล้วทนี้พอเป็นแบบนี้
00:17:18 → 00:17:20 มันก็เลยกลายเป็นว่าความหลากหลายมันถูก
00:17:20 → 00:17:22 เอามาจัดการให้มันเหลือความสัมพันธ์ใน
00:17:23 → 00:17:27 เชิงคุณค่าครับแบบเดียวครับมันก็มีบาง
00:17:27 → 00:17:31 กรณีนะอาจารย์เราเราอะไรอ่ะทรีทความหลาก
00:17:31 → 00:17:34 หลายเนี่ยโอเคละเป็นความแตกต่างนะอาจารย
00:17:34 → 00:17:36 อาจารย์มีการจัดหมวดหมู่นะแต่มันจะมี
00:17:36 → 00:17:40 สเปกตรัมหถึงการเหยียดนะครับนะการเยดฉัน
00:17:40 → 00:17:44 เนาะแล้วก็ความใช้ความรุนแรงกับความคนที่
00:17:44 → 00:17:47 เห็นต่างแตกต่างไม่ว่าด้านอะไรก็ตามด้าน
00:17:47 → 00:17:50 เพศสภาพด้านเชื้อชาติด้านผิวพรรณด้านอะไร
00:17:50 → 00:17:52 อย่างเงี้ยนะครับก็ในประวัติศาสตร์เราก็
00:17:52 → 00:17:55 มีเสี่ยงเหเนี้ยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมัน
00:17:55 → 00:17:58 ก็ยังจะเกิดอยู่อีกแล้วามว่าเกิดมากขึ้น
00:17:58 → 00:18:00 ทำไมมันยังจะเกิดอยู่แล้วทำไมคนเรากลัว
00:18:01 → 00:18:04 ความแตกต่างกลัวความหลากหลายแล้วต้องไป
00:18:04 → 00:18:06 เหยียดนะครับเหยียดมีตั้งแต่แบบ isolate
00:18:06 → 00:18:10 ก็คือไม่ยุ่งด้วยเลยหรือว่าไปมากๆก็คือ
00:18:10 → 00:18:12 กำจัดออกไปเลยนะครับให้มันไม่ไม่เหลือ
00:18:12 → 00:18:14 อยู่อะไรอย่าเงี้ยครับทำไมมันยังมีแทปอัน
00:18:14 → 00:18:18 นี้อยู่ก็เกิดซ้ำๆอยู่อย่างเงี้ยครับมัน
00:18:19 → 00:18:22 มีหนังสือเล่มนึงนะครับที่เขเขียนถึง
00:18:22 → 00:18:27 เรื่องทำไมมนุษย์ถึงได้แบ่งขั้วกันรุนแรง
00:18:27 → 00:18:31 นะอเค้าก็บอกว่าโดยธรรมชาติของการรวมตัว
00:18:31 → 00:18:34 กันของมนุษย์เนี่ยก็จะรวมตัวกับกลุ่มคน
00:18:34 → 00:18:38 ที่มีลักษณะคล้ายกันในบางประการนะแล้วถ้า
00:18:38 → 00:18:40 หากว่าเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะต้อง
00:18:40 → 00:18:46 มีการแข่งขันกันนะก็จะทำให้ทั้ง 2 กลุ่ม
00:18:46 → 00:18:50 เนี่ยมีความจำเป็นที่จะต้องมาต่อสู้แย่ง
00:18:50 → 00:18:53 ชิงกันอือทีนี้เมื่อมาต่อสู้แย่งชิงกัน
00:18:53 → 00:18:55 เนี่ยลักษณะบาง
00:18:55 → 00:18:59 ประการที่ทำให้ไม่นับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวก
00:18:59 → 00:19:05 เนี่ยอือก็จะถูกเน้นย้ำเพื่อที่จะ
00:19:06 → 00:19:10 กันฝ่ายที่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรอะไรพวก
00:19:10 → 00:19:14 นี้นะให้เป็นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงอือฮึ
00:19:14 → 00:19:18 อือฮึก็แล้วก็เมื่อมีการอันนี้เป็นการทด
00:19:18 → 00:19:21 ลองนะครับเก็ทดลองเอาคน 2 กลุ่มสวมบทบาท
00:19:21 → 00:19:24 มาเป็นกลุ่มที่ต่างกันแบบเนี้ยแล้วก็ให้
00:19:24 → 00:19:29 เลือกตัวแทนมาเพื่อที่จะมาต่อรองกัน
00:19:29 → 00:19:32 แนวโน้มก็คือว่าในแต่ละกลุ่มเนี่ยก็จะ
00:19:32 → 00:19:38 เลือกหัวหน้ากลุ่มที่สุดโต่งอืเรียกว่า
00:19:38 → 00:19:42 เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ยิ่งมีความแตกต่างจาก
00:19:42 → 00:19:46 คู่ตรงข้ามได้มากเท่าไหร่ออืก็จะยิ่งตอก
00:19:46 → 00:19:48 ย้ำเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของกลุ่มของตน
00:19:48 → 00:19:52 เองมากแค่นั้นงั้นผู้นำหรือว่าผู้แทนของ
00:19:52 → 00:19:55 กลุ่มเนี่ยก็จะมีแนวโน้มที่จะเป็นสุดขั้ว
00:19:55 → 00:19:58 มากขึ้นเรื่อยๆซึ่งกระบวนการนี้มันมีการ
00:19:58 → 00:20:01 ทดลองซ้ำหลายครั้งนะ
00:20:01 → 00:20:05 ก็ทำให้เห็นว่าโดยปฏิสัมพันธ์แบบเนี้ย
00:20:05 → 00:20:08 ยิ่งมีการพูดคุยกันน้อยหรือว่ามี
00:20:08 → 00:20:12 ปฏิสัมพันธ์กันจำกัดอส่วนที่มันเป็นความ
00:20:12 → 00:20:16 ต่างก็จะถูกขับเน้นขึ้นมาอือมากขึ้นจริงๆ
00:20:16 → 00:20:19 กระบวนการพวกนี้ก็เป็นกระบวนการที่มันมี
00:20:19 → 00:20:23 ขั้นตอนซึ่งถ้าหากว่าเราได้ทำความเข้าใจ
00:20:23 → 00:20:25 มันเนี่ยมันอาจจะทำให้เรารู้เท่าทัน
00:20:25 → 00:20:28 เรื่องอคติเหล่านี้มากขึ้นอก็คือว่า
00:20:28 → 00:20:33 มนุษย์ก็จะจำแนกของเป็นกลุ่มๆก่อนใช่มั้ย
00:20:33 → 00:20:36 เพราะว่าเราจะทำเราจะมีชีวิตอยู่ได้เราก็
00:20:36 → 00:20:39 ต้องแยกแยะอือทีนี้การแยกแยะออกเป็นหมวด
00:20:39 → 00:20:41 เป็นหมู่ของมนุษย์เนี่ยมันไม่ได้แยก
00:20:42 → 00:20:45 แยะแค่เป็นหมวดหมู่แบบเป็นกลางๆอย่าง
00:20:45 → 00:20:48 เดียวมันแยกแยะเสร็จแล้วมันให้คุณค่าด้วย
00:20:48 → 00:20:53 อมันด้อยค่าคุณสมบัติบางอย่างอย่างเช่นคน
00:20:53 → 00:20:56 ผิวขาวคนผิวดำอย่างเงี้ยก็จะมีความนิยมชม
00:20:56 → 00:20:59 ชอบว่าผิวขาวมันดีกว่าอย่างงี้นะ
00:20:59 → 00:21:03 แล้วก็พอมันมีความแตกต่างกันแยกกันให้
00:21:03 → 00:21:06 เห็นชัดแล้วเนี่ยมีการให้คุณค่าแล้วเนี่ย
00:21:06 → 00:21:10 มันยังมีการนับรวมว่าเป็นพวกเรากับพวกเขา
00:21:10 → 00:21:15 หรือไม่อือทีนี้ลักษณะที่เป็นพวกเราเนี่ย
00:21:15 → 00:21:18 ก็จะถูกถือว่าลักษณะเช่นนั้นเนี่ยเป็น
00:21:18 → 00:21:23 ลักษณะที่ดีเหือลักษณะที่ไม่เหมือนเราก็
00:21:23 → 00:21:26 เป็นลักษณะที่ด้อยอืทีนี้พอมันมีการจัด
00:21:26 → 00:21:29 ความสัมพันธ์ในลักษณะที่ดีกับลักษณะที่
00:21:29 → 00:21:33 ด้อยมันไม่เพียงแต่ลักษณะที่ดีหรือที่
00:21:33 → 00:21:36 ด้อยในเชิงประโยชน์ใช้สอยเท่านั้นนะมัน
00:21:36 → 00:21:39 เป็นลักษณะที่ดีหรือด้อยในเชิงศีลธรรม
00:21:39 → 00:21:43 จรรญาด้วยอก็คือว่าเราซึ่งถือว่าเป็นคนดี
00:21:43 → 00:21:47 เนี่ยมีคุณสมบัติที่ดีเนี่ยก็จะมีความถูก
00:21:47 → 00:21:51 ต้องหรือว่ามีจริยธรรมสูงกว่าเขาอือซึ่ง
00:21:51 → 00:21:55 พอเป็นแบบนี้เนี่ยก็เป็นการกดเรียกว่าลด
00:21:55 → 00:21:59 ทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งลง
00:21:59 → 00:22:01 พอลดทอนความเป็นมนุษยของอีกฝ่ายหนึ่งลงจน
00:22:01 → 00:22:04 ถึงขั้นหนึ่งแล้วเราเราก็สามารถปฏิบัติ
00:22:04 → 00:22:09 ต่อเอย่างราวกับไม่ใช่มนุษย์ได้อืน้อยที่
00:22:09 → 00:22:13 สุดก็คือแสดงความรังเกียจเดดฉันเลือก
00:22:13 → 00:22:17 ปฏิบัติอืหรือไม่ก็ตัดออกจากแวดวงสังคมอ
00:22:17 → 00:22:20 ที่เราจะไม่ต้อนรับเขาเราจะไม่มี
00:22:20 → 00:22:24 ปฏิสัมพันธ์กับเขาหรือแม้แต่เลือกที่จะ
00:22:24 → 00:22:28 ใช้มาตรการความรุนแรงอือฮึหรือว่ากำจัดเ
00:22:28 → 00:22:32 ไปเสียอก็ได้ซึ่งไอ้กระบวนการที่เกิดขึ้น
00:22:32 → 00:22:37 ของภาพเหมารวมพัฒนาไปสู่อคตินำไปสู่การ
00:22:37 → 00:22:40 เลือกปฏิบัติจนกระทั่งไปถึงเรื่องความรุน
00:22:40 → 00:22:43 แรงเนี่ยมันมีกระบวนการแบบนี้ในเกือบๆทุก
00:22:43 → 00:22:47 เรื่องอถ้าถามอาจารย์ว่าโอเคแล้วนะความ
00:22:47 → 00:22:50 หลากหลายดูดูจะมีประโยชน์โคมนุษย์เรามี
00:22:50 → 00:22:53 แนวโน้มจะจัดหมวดหมู่เหมารวมนะครับแล้วก็
00:22:53 → 00:22:56 มี extrem นะมีสุดโต่งของการอารที่บอก
00:22:56 → 00:23:00 ค่อยๆเกิดขึ้นมีความรุนแรงเกิดขึ้นเนี่ย
00:23:00 → 00:23:03 นะครับอาจารย์ก็จริงๆในสังคมเราก็ก็เห็น
00:23:03 → 00:23:05 อยู่เรื่อยๆนะครับสังคมปัจจุบันก็สมมุติ
00:23:05 → 00:23:07 โซเชียล Media เนี่ยพอมีประเด็นแล้วักเอา
00:23:07 → 00:23:10 ก็จะมีเนี่ย 2 ขั้วมแล้วก็โอ้โหถล่มกันโอ
00:23:10 → 00:23:13 ตายแล้วไปกันขนาดนั้นมันเห็นต่างกันไม่
00:23:13 → 00:23:15 ได้เลยหรือไงหรือฝ่ายนึงถูกฝ่ายนึงต้อง
00:23:15 → 00:23:18 ต้องผิดหรืออะไรอย่างเงี้ยนะครับอาจารย์
00:23:18 → 00:23:20 มันจะเราจะมีกลไกหรืออาจารย์คิดว่าจะมี
00:23:20 → 00:23:23 ทางออกหรือมีข้อเสนอยังไงให้ให้สังคมเ
00:23:23 → 00:23:26 เนี่ยให้ความสำคัญกับเนี่ยความหลากหลาย
00:23:26 → 00:23:29 ความเป็นธรรมแล้วก็ไม่ไม่ทิ้งใครไว้ข้าง
00:23:29 → 00:23:32 หลังไม่ว่าฉันเหนือกว่าเธอแย่กว่าอะไร
00:23:32 → 00:23:35 เงี้ยมันมีมีวิธีการหรือมีข้อเสนออะไร
00:23:35 → 00:23:39 มั้ยครับอาจารย์ท่างคือในโลกของสื่อสังคม
00:23:39 → 00:23:42 เนี่ยนะปฏิสัมพันธ์ของคนเนี่ยมันถูกลดทอน
00:23:42 → 00:23:46 ลงมาเยอะมากนะมันก็เหลือแค่ถ้อยคำไม่กี่
00:23:46 → 00:23:50 คำหรือภาพหรือวีดีโอเล็กๆสั้นๆครับแล้ว
00:23:50 → 00:23:54 เราก็มีปฏิกริยาต่อสิ่งนั้นกันไปอย่างรวด
00:23:54 → 00:23:59 เร็วนะออในทางมนุยเนี่ยเราถือว่าการที่จะ
00:23:59 → 00:24:03 ทำงานกับอคติเนี่ยมันมีขั้นตอนมันมีเรียก
00:24:03 → 00:24:07 ว่าเป็นบันได 5 ขั้นก็ได้นะที่ต้องค่อยๆ
00:24:07 → 00:24:11 สร้างขึ้นในสังคมเพื่อที่จะลดการอคติหรือ
00:24:11 → 00:24:13 เลือกปฏิบัติหรือว่าไม่เห็นคุณค่าของความ
00:24:14 → 00:24:17 หลากหลายขั้นตอนที่ 1 เลยคือการการ
00:24:17 → 00:24:18 สร้าง
00:24:18 → 00:24:23 ความชื่นชมต่อสิ่งที่มีอยู่ที่มันแตกต่าง
00:24:23 → 00:24:25 กันเราอาจจะเรียกว่าเป็น appreciation ก็
00:24:25 → 00:24:29 ได้นะอย่างยกตัวอย่างเช่นผมก็ทำงานเกี่ยว
00:24:29 → 00:24:32 กับเรื่องชาติพันธุ์เยอะใช่มั้ครับ
00:24:32 → 00:24:35 ก็เด็กๆเนี่ยเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปนะ
00:24:35 → 00:24:38 ว่ากลุ่มชาติพันธุ์เนี่ยมีกี่กลุ่มมีชื่อ
00:24:38 → 00:24:42 เรียกไรแต่ว่าเค้าเห็นเสื้อผ้าอือฮึเออ
00:24:42 → 00:24:46 สวยดีอย่างที่ศูนย์มิยาที่ผมเคยดูแลอยู่
00:24:46 → 00:24:50 เนี่ยเราก็จัดกิจกรรมให้เด็กมาเย็บผ้าใส่
00:24:50 → 00:24:54 ตุ๊กตาซึ่งเป็นชุดของชาวกะเหรี่ยงเหมือบเ
00:24:54 → 00:24:58 นะอหรือว่าเอาอาหารมาให้ชิมอือฮึเอางาน
00:24:58 → 00:25:03 ศิลปะหัตถกรรมผ้าทอหรือว่ากาแฟที่เขาผลิต
00:25:03 → 00:25:06 ได้อย่างดีเนี่ยมาคนก็จะมีความรู้สึกว่า
00:25:06 → 00:25:11 อ้อ้มันน่าสนใจมันมีความสวยงามมันมีสิ่ง
00:25:11 → 00:25:13 ที่ดีๆอยู่ในเรื่องเหล่านี้มีเพลงที่
00:25:13 → 00:25:17 ไพเราะเออเมีเอกลักษณ์ของเาที่น่าสนใจอัน
00:25:17 → 00:25:21 นี้ก็เป็นอันที่ 1 เลยซึ่งเราก็ทำกันน้อย
00:25:21 → 00:25:24 นะครับอันที่ 2 ก็คือว่าในความแตกต่าง
00:25:24 → 00:25:27 ระหว่างมนุษย์เนี่ยจริงๆมันมีความเหมือน
00:25:27 → 00:25:32 กันอยู่เยอะงั้นอันที่ 2 เนี่ยแทนที่เรา
00:25:32 → 00:25:35 จะไปเน้นว่ามีประเพณีปฏิบัติหรือว่า
00:25:35 → 00:25:39 พฤติกรรมทางสังคมที่แตกต่างกันเนี่ยเรา
00:25:39 → 00:25:43 ต้องสื่อสารให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์อื
00:25:43 → 00:25:47 โฉมหน้าของมนุษย์ให้เห็นว่าชาว
00:25:47 → 00:25:52 ปากอเนี่ยเค้าก็เลี้ยงลูกอรักลูกเหมือน
00:25:52 → 00:25:56 เราอืเค้าสร้างชีวิตของเขามาเหมือนกับเรา
00:25:56 → 00:25:59 ที่อยากจะมีความมั่นคง
00:25:59 → 00:26:01 ในคามต่างมีความเหมือนอยู่หรือว่ามันมี
00:26:01 → 00:26:04 ความเป็นมนุษย์หนึ่งเดียวกันอยู่ครับให้
00:26:04 → 00:26:06 เราเห็นความเป็นมนุษย์เค้าก่อนก่อนที่จะ
00:26:06 → 00:26:09 เห็นเขาเป็นชนเผ่าครับหรือว่าก่อนที่เา
00:26:09 → 00:26:12 เห็นเป็นเห็นเขาเป็นคนพิการก่อนที่เขเห็น
00:26:12 → 00:26:15 เขาว่าเขาคเป็นคนที่มีเพศไม่เหมือนกับคน
00:26:15 → 00:26:18 อื่นอให้เห็นความเป็นมนุษย์อันนี้ผมเคยไป
00:26:18 → 00:26:21 อยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่ช่วงนึงนะครับที่สถานี
00:26:21 → 00:26:24 โทรทัศน์ NHK เนี่ย
00:26:24 → 00:26:28 เค้าส่งทีมของเค้านะเป็นอาสาสมัครเนื่อง
00:26:28 → 00:26:31 จากประเทศญี่ปุ่นกับประเทศจีนเนี่ยเขาจะ
00:26:31 → 00:26:36 มีอคติต่อกันครับเค้าก็พยายามทำไงเส่งอ
00:26:36 → 00:26:40 สมัครเนี่ยไปมีชีวิตอยู่ในชนบทจีนอืแล้วเ
00:26:40 → 00:26:42 ก็ไปถ่ายทำเหมือนเริอย่าเงี้นะครับก็ไป
00:26:42 → 00:26:46 เห็นชาวไร่ชาวนาเนี่ยมีลูกมีหลานแต่งตัว
00:26:46 → 00:26:49 ขมุกขม่อมเนี่ยออกไปทำไล่ทำนาทำงานหนัก
00:26:49 → 00:26:52 กันมีญาติพี่น้องเสียชีวิตก็ร้องห่มร้อง
00:26:52 → 00:26:55 ไห้คือให้เห็นว่าเ้าเป็นมนุษย์เหมือนเรา
00:26:55 → 00:26:58 อืรัฐบาลจะทะเลาะกันก็ก็ไม่ใช่เรื่องที่
00:26:58 → 00:27:01 เราจะต้องไปทะเลาะในฐานะมนุษย์ด้วยอันนี้
00:27:01 → 00:27:04 ก็เป็นสเต็ปที่ 2 นะขั้นตอนที่ 2 ซึ่งก็
00:27:04 → 00:27:09 จะมีให้เห็นไม่ไม่มากนักอ่าชชชื่นชมแล้ว
00:27:09 → 00:27:12 ก็เห็นความเหมือนคความเป็นมนุษย์แลอันที่
00:27:12 → 00:27:16 3 เนี่ยค่อยเห็นอัตลักษณ์ของเขาลักษณะ
00:27:16 → 00:27:21 เฉพาะทางวัฒนธรรมซึ่งมีที่ไปที่มาในทาง
00:27:21 → 00:27:24 ประวัติศาสตร์ที่ที่ทำให้มันเกิดสิ่งนั้น
00:27:24 → 00:27:28 ขึ้นอย่างเช่นทำไมศาสนาเถึงนับถือถือ
00:27:28 → 00:27:32 เรื่องนี้เพราะว่าเขามีความเชื่อยังไง
00:27:32 → 00:27:34 ทำไมเขาถึงกินอาหารแบบนี้เพราะว่าสิ่งแวด
00:27:34 → 00:27:38 ล้อมระบบนิเวศเเป็นแบบไหนทำให้เราเข้าใจ
00:27:38 → 00:27:41 ในเรื่องความแตกต่างอือย่างมีบริบทบริบท
00:27:41 → 00:27:43 ทางประวัติศาสตร์บริบททางระบบ
00:27:43 → 00:27:46 นิเวศวัฒนธรรมของเขาก็แล้วแต่ครับแล้ว
00:27:46 → 00:27:49 ขั้นตอนที่ 4 ค่อยมาพูดถึงเรื่องอคติอื
00:27:49 → 00:27:53 อคติเช่นเมีในลักษณะอย่างงั้นอย่างนี้ก็
00:27:53 → 00:27:55 ถูกตีตาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วขั้นตอน
00:27:55 → 00:27:59 ที่ 5 ถึงมาเรียนรู้เรื่องการจัดการกับ
00:27:59 → 00:28:02 อคติเช่นการเฝ้าระวังการเลือกปฏิบัติการ
00:28:02 → 00:28:06 วางมาตรฐานการปฏิบัติต่อกันในสังคมที่อาจ
00:28:06 → 00:28:10 จะมีคนต่างวัยในที่ทำงานซึ่งก็อาจจะเป็น
00:28:10 → 00:28:13 ความหลากหลายในเรื่องของ generation อะไร
00:28:13 → 00:28:16 แบบเนี้ยทีนี้ถ้าหากว่าเราจู่ๆเรามาพูด
00:28:16 → 00:28:19 ถึงเรื่องอคติเลยหรือเรามาพูดถึงเรื่อง
00:28:19 → 00:28:23 มาตรการที่จะจัดการกับการเลือกปฏิบัติเลย
00:28:23 → 00:28:27 โดยไม่มี 3 ขั้นตอนแรกมาเนี่ยมันจะทำงาน
00:28:27 → 00:28:32 ยากมามากเลยเพราะว่าเค้าไม่ได้มองความ
00:28:32 → 00:28:36 หลากหลายของกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆเป็นมนุษย์
00:28:36 → 00:28:39 เหมือนกันครับงั้นในแง่หนึ่งเวลาเราทำงาน
00:28:39 → 00:28:41 กับความหลากหลายเราก็ต้องสร้างแบบนี้ฮะ
00:28:41 → 00:28:45 สร้าง appreciation อนะหรือแม้แต่ในพวกใน
00:28:45 → 00:28:50 สัตว์ในพืชปัจจุบันเนี่ยก็มีความสนใจนะ
00:28:50 → 00:28:53 ว่าเอาข้องจริงไอ้สิ่งที่เราเรียกว่าเป็น
00:28:53 → 00:28:57 ความเป็นมนุษย์เนี่ยครับเป็นเพราะว่าเรา
00:28:57 → 00:28:58 รู้จักมัน
00:28:58 → 00:29:02 เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์อืมากกว่า
00:29:02 → 00:29:06 ที่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีเฉพาะแต่ในมนุษย์
00:29:06 → 00:29:09 อืหรือเปล่าครับเพราะว่า
00:29:09 → 00:29:15 อย่างสุนัขอย่างเงี้ยนะผมเคยบ้านผมอยู่
00:29:15 → 00:29:19 ที่โคราชบ้านแฟนเรากลับไป
00:29:19 → 00:29:23 บ้านแม่สุนัขตัวนึงอ่ะมีลูกอยู่หลายตัวก็
00:29:23 → 00:29:27 เดินอยู่ริมถนนรถมอเตอร์ไซค์ขับมาก็
00:29:27 → 00:29:30 เหยียดทับลูกเตายไปตัวนึงครับแม่เค้าร้อง
00:29:30 → 00:29:35 ไห้เลยนะมันมันแบบเหมือนกับจะปลุกลูกให้
00:29:35 → 00:29:41 ตื่นน่ะนะอซึ่งผมไม่คิดว่ามีแต่มนุษย์
00:29:41 → 00:29:44 เท่านั้นนะที่รักลูกอือๆหรือว่าต้นไม้
00:29:44 → 00:29:47 ปัจจุบันก็มีงานวิจัยที่ว่ามีความ
00:29:47 → 00:29:50 สัมพันธ์ระหว่างสายพันธุ์ต่างๆมีการสื่อ
00:29:50 → 00:29:53 สารกันหรือแม้แต่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
00:29:53 → 00:29:57 ในการอยู่รอดมีงานวิจัยในในต่างประเทศที่
00:29:57 → 00:30:00 บอกว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนึงซึ่งสูถูกตัดไป
00:30:00 → 00:30:04 แล้ว 40 ปีแต่ว่าเราไปขูดดูอ่ะมันก็ยัง
00:30:04 → 00:30:06 ไม่ตายทั้งที่มันไม่มีใบที่สังเคราะห์แสง
00:30:07 → 00:30:10 และแล้วมันได้อาหารมาจากไหนเขาก็ไปพบว่า
00:30:10 → 00:30:13 มันมีการส่งอาหารมาจากต้นไม้ข้างๆ้าซึ่ง
00:30:13 → 00:30:17 ลักษณะเช่นเยผมคิดว่ามันมีอยู่ในสังคมรอบ
00:30:17 → 00:30:20 ตัวเราแต่ว่าวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์สมัย
00:30:20 → 00:30:24 ใหม่ของเราเนี่ยอาจจะไปลดทอนเหลือมันเป็น
00:30:24 → 00:30:27 แค่วัตถุเท่านั้นเหมือนที่อาจารย์ว่านะ
00:30:27 → 00:30:30 ครับเราตัดสินคนจากคลิปๆเดียวเดี๋ยวเนี้ย
00:30:30 → 00:30:34 ที่อะไรมีเดียกันมาแล้วก็ตัดสินและแล้วก็
00:30:34 → 00:30:36 ทะเลาะกันอะไรกันเยอะแยะไปหมดแต่ว่ามัน
00:30:36 → 00:30:38 สังคมมันไปในทางนั้นแต่เหมือนที่อาจารย์
00:30:38 → 00:30:41 ว่าอาจต้องช้าลงนิดหน่อยที่ว่าอาจารย์ว่า
00:30:41 → 00:30:43 ถึง 5 ขั้นตอนนั้นนะครับนะ appreciate
00:30:44 → 00:30:46 ก่อนมาดูความเหมือนแล้วก็ค่อยไปดูความ
00:30:46 → 00:30:48 ต่างค่อยดูว่าเออที่มาที่ไปมันคือยังไง
00:30:48 → 00:30:53 แล้วดูซิทำไมอาจต้องย้อนดูอคติเรามายังไง
00:30:53 → 00:30:57 ด้วยอะไรใช่เพราะว่าอคติจริงๆมันมันก็อาจ
00:30:57 → 00:30:59 จะถูกผลิผิดขึ้นนะ
00:31:00 → 00:31:02 ผ่านสื่อหลายๆอย่างนะ
00:31:02 → 00:31:05 วรรณกรรมสื่อภาพยนตร์อย่างถ้าเราดูหนัง
00:31:05 → 00:31:08 ฮอลลีวูดเนี่ยถ้าเป็นผู้ก่อการร้ายก็ต้อง
00:31:08 → 00:31:11 เป็นตะวันออกกลางนะซึ่งมันจะผลิดซ้ำพวก
00:31:11 → 00:31:15 นี้อยู่ตลอดเวลาออือทีนี้คนตอนออกกลางไม่
00:31:15 → 00:31:18 ได้เป็นผู้กอกกลายทุกคนนะแต่พอภาพเหมารวม
00:31:18 → 00:31:22 มันถูกสร้างขึ้นมาแล้วเนี่ยคนก็กลัวไปหมด
00:31:22 → 00:31:23 ว่า
00:31:23 → 00:31:27 เออเหล่าคนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามครับอัน
00:31:27 → 00:31:30 นี้ก็ตนสดยตอนนี้ไพ่ก็ออกมาที่จีนด้วยนะ
00:31:30 → 00:31:33 ครับจีนก็โดนเลเบลหลายหลายเรื่องยกตัว
00:31:33 → 00:31:35 อย่างก็จะมีอย่างเงี้ยนะครับทั้งๆที่เอ๊ะ
00:31:35 → 00:31:37 คนตวันออกกลางก็อาจจะเป็นคนคนจริงเหมือน
00:31:37 → 00:31:39 ที่อาจารย์ว่าเก็มีความยากลำบากมีความ
00:31:39 → 00:31:43 ดิ้นรนเใชใช่เหมือนกันอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:31:43 → 00:31:47 ในถ้าพูดถึงในแง่ระดับเรียกนโยบายหรือการ
00:31:47 → 00:31:49 ศึกษาหรืออะไรก็ตามระดับที่ขึ้นมาอีก
00:31:49 → 00:31:52 ระดับนึงเนี่ยนะครับอาจารย์คิดว่านโยบาย
00:31:52 → 00:31:55 บ้านเราเนี่ยส่งเสริมความหลากหลายส่ง
00:31:55 → 00:31:58 เสริมการเคารพความหลากหลายหรือความ
00:31:58 → 00:32:00 เป็นธรรมอะไรมั้ยครับอาจารย์อาจารย์มีข้อ
00:32:00 → 00:32:03 คิดหรือข้อเสนออะไรเงี้มั้ยครับเอระดับ
00:32:03 → 00:32:05 บุคคลมันก็อันนึงเนาะแต่ว่าระดับชุมชน
00:32:05 → 00:32:09 ระดับนโยบายเี่มีส่วนยังไงมยครับคือในแวด
00:32:09 → 00:32:12 วงนักอนุยาเนี่ยนะเาบอกว่าถ้าคุณมาทำึก
00:32:12 → 00:32:17 การศึกษาในเอเซียนะแล้วคุณไปศึกษาในทาง
00:32:17 → 00:32:20 ตะวันออกก็คือไปทางประเทศจีนหรือว่าไป
00:32:20 → 00:32:22 ศึกษาทางตะวันตกไปทางอินเดียอย่างเงี้ย
00:32:22 → 00:32:25 คุณจะรู้สึกเหนื่อยก็ให้มาประเทศไทยเพราะ
00:32:25 → 00:32:28 ว่าประเทศไทยเนี่ยมันยืดหยุ่นมา
00:32:28 → 00:32:32 ครับอันนี้ก็ผมคิดว่ามีส่วนนะในเรื่องของ
00:32:32 → 00:32:35 การให้คุณค่าความหลากหลายเนี่ยสังคมไทย
00:32:35 → 00:32:39 อาจจะดีกว่าหลายๆประเทศในในเอเชียเราก็
00:32:39 → 00:32:42 เพิ่งผ่านกฎหมายเ่อสมรสเท่าเทียมใช่มั้ย
00:32:42 → 00:32:45 ครับซึ่งก็เป็นประเทศแรกๆในเอเชียนะครับ
00:32:45 → 00:32:48 หรือว่ากฎหมายเรื่องชาติพันธุ์ก็กำลังจะ
00:32:48 → 00:32:51 เสนอเข้าสู่สภาอยู่ก็อาจจะเป็นประเทศแรก
00:32:51 → 00:32:56 แๆด้วยเช่นเดียวกันอก็นักวิชาการทางด้าน
00:32:56 → 00:32:59 มนุษยชยุธยาที่ผมรู้จักเนี่ยเ้าก็จะรู้
00:32:59 → 00:33:02 สึกว่าเวลามาสัมมนาในประเทศไทยเนี่ยการ
00:33:02 → 00:33:05 พูดถึงเรื่องความหลากหลายเนี่ยเป็นเรื่อง
00:33:05 → 00:33:09 ธรรมดาพูดได้ง่ายออือหรือแม้แต่ความหลาก
00:33:09 → 00:33:12 หลายในเรื่องแนวคิดทางการเมืองซึ่งเป็น
00:33:12 → 00:33:15 เรื่อง sensitive เนี่ยก็ถ้าไปพูดใน
00:33:15 → 00:33:17 ประเทศเพื่อนบ้านเราบางประเทศก็พูดไม่ได้
00:33:17 → 00:33:21 เลยแต่มาพูดในประเทศไทยก็ยังพูดได้แม้ว่า
00:33:21 → 00:33:25 ในบางช่วงอาจจะถูกคุกคามมากหน่อยอาจจะมี
00:33:25 → 00:33:28 คนมาถ่ายรูปหรือว่าอะไรแบบนี้นะแต่มันก็
00:33:28 → 00:33:30 ถ้าโดยเปรียบเทียบเนี่ยผมคิดว่าประเทศไทย
00:33:30 → 00:33:35 ก็เคารพความหลากหลายได้ดีในระดับหนึ่ง
00:33:35 → 00:33:38 ลล่าสุดก็มีการผ่านกฎหมายไม่ตีเด็กใช่มั้
00:33:38 → 00:33:41 ครับเพราะว่าผู้ใหญ่เราก็จะถือว่ามีอำนาจ
00:33:41 → 00:33:44 เหนือเด็กทั้งที่วัยต่างๆก็มีความหลาก
00:33:44 → 00:33:48 หลายซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีซึ่งเรื่องความ
00:33:48 → 00:33:50 หลากหลายเหล่านี้ก็มาเชื่อมโยงถึงเรื่อง
00:33:50 → 00:33:53 ของความเป็นธรรมด้วยครับเพราะว่าถ้าหาก
00:33:53 → 00:33:56 ว่าเราปฏิบัติต่อความหลากหลายโดยไปด้อย
00:33:56 → 00:33:59 ค่าของสิ่งที่ที่ต่างออกไปจากเราหรือต่าง
00:33:59 → 00:34:03 ไปจากสิ่งที่เรานับว่าเป็นบรรทัดฐานปกติ
00:34:03 → 00:34:08 แล้วก็มีโอกาสที่จะไปลดทอนโอกาสหรือว่า
00:34:08 → 00:34:12 สิทธิของเขาเพราะเราถือซะแล้วว่าเขาอาจจะ
00:34:12 → 00:34:14 ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์เสมอเท่าเทียมกับ
00:34:14 → 00:34:17 เราไม่ทิ้งคนตัวเล็กตัวน้อยกลุ่มเล็ก
00:34:17 → 00:34:22 กลุ่มน้อยไว้ไว้ข้างหลังพูดง่ายๆนะครับก็
00:34:22 → 00:34:24 ก็นะครับนะได้คุยกับอาจารย์เรื่องความ
00:34:24 → 00:34:26 หลากหลายเรื่องอะไรอย่างเงี้ยนะครับนะ
00:34:26 → 00:34:30 ความแตกต่างแล้วก็ความสุดโต่งว่าจะพาไป
00:34:30 → 00:34:32 ถึงไหนได้นะส่วนหนึก็เป็นส่วนหนึงก็เป็น
00:34:32 → 00:34:35 ทักษะด้วยที่ว่ามันสามารถพัฒนาได้ให้เรา
00:34:36 → 00:34:37 ที่บอกที่อาจารพูด 5 ขั้นน่ะนะครับก็เป็น
00:34:37 → 00:34:41 ทักษะอย่างนึงเหมือนให้ appreciate ให้
00:34:41 → 00:34:43 เห็นความเหมือนความต่างแล้วก็ให้รู้เท่า
00:34:43 → 00:34:47 ทันรู้ศึกษาที่มาที่ไปก่อนที่จะรีบกระโดด
00:34:47 → 00:34:50 ลงไปจะจะทำอะไรกลับมาแล้วจะรู้จักคำว่า
00:34:50 → 00:34:52 อคตินี่นี่มายังไงนะแล้วก็อาจารย์พูดถึง
00:34:52 → 00:34:55 ว่าเชิงสังคมเชิงนโยบายก็ก็มีส่วนด้วยพอ
00:34:55 → 00:34:58 คนเห็นความสำคัญเนี่ยมันก็จะมีเป็นนโยบาย
00:34:58 → 00:35:01 เป็นความเห็นเป็นความบรรทัดฐานอะไรบาง
00:35:01 → 00:35:04 อย่างขึ้นมาแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าไม่ไปกดทั
00:35:04 → 00:35:07 นะครับแลให้ความเคารพต่อความหลากหลายให้
00:35:07 → 00:35:10 ความเป็นธรรมแล้วก็ไม่ลืมคนตัวเล็กตัว
00:35:10 → 00:35:12 น้อยหรือคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่แตกต่าง
00:35:12 → 00:35:15 ไวเไว้ไว้ข้างหลังนะครับเพราะไม่นั้น
00:35:15 → 00:35:17 สังคมเราก็จะเป็นสังคมที่ไม่ทราบปัจจุบัน
00:35:17 → 00:35:19 ที่อาจารย์บอกว่าตอนแรกมันเหมือนจะรุนแรง
00:35:19 → 00:35:21 ขึ้นด้วยซ้ำไปที่อาจารย์กล่าวนะเพความจัด
00:35:21 → 00:35:24 การต่อความหลากหลายนะครับนะแต่ว่าเราก็
00:35:24 → 00:35:27 พยายามจะส่งเสริมและให้ให้ความเคารพแล้ว
00:35:27 → 00:35:29 ก็ให้ทุกคนเนี่ยเติบโตแล้วเห็นว่าความ
00:35:29 → 00:35:31 หลากหลายนเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วที่
00:35:31 → 00:35:33 อาจารย์บอกเป็นธรรมชาติอยู่แล้วจเป็นความ
00:35:33 → 00:35:36 หลากหลายนะเรามาจัดระบบไม่ว่าจะเป็นเชิง
00:35:36 → 00:35:39 อำนาจเชิงความสัมพันธ์อะไรกันกันทีหลังจน
00:35:39 → 00:35:41 ลืมไปว่าดั้งเดิมเนี่ยมันมายังไงอะไรยัง
00:35:41 → 00:35:43 ไงนะครับคือเรื่องความหลากหลายที่เราอาจ
00:35:44 → 00:35:47 จะยังท้าทายเราอยู่ใน
00:35:47 → 00:35:51 ทางสันติวิถีเา้าก็จะถือว่าเรื่องของคุณ
00:35:51 → 00:35:54 ค่าครับก็เป็นความแตกต่างที่ประนีประนอม
00:35:54 → 00:35:58 ได้ยากครับถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ก็พอ
00:35:58 → 00:36:00 เกี้ยเซี้กันไปได้มันเป็นเรื่องคุณค่า
00:36:00 → 00:36:05 แล้วก็ก็ยากแล้วก็เรื่องคุณค่าหลายๆครั้ง
00:36:05 → 00:36:08 เนี่ยมันก็สะท้อนผ่านเรื่องความแตกต่าง
00:36:08 → 00:36:11 ทางความคิดครับโดยเฉพาะความคิดทางการ
00:36:11 → 00:36:15 เมืองอือซึ่งก็ถือว่าเป็นบททดสอบของสังคม
00:36:15 → 00:36:20 ไทยว่าเราจะสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกันบน
00:36:20 → 00:36:23 ความแตกต่างทางความคิดโดยเฉพาะทางการ
00:36:23 → 00:36:28 เมืองเนี่ยให้สังคมไทยเติบโตไปได้โดยไม่
00:36:28 → 00:36:31 ต้องทำลายล้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนสิ้นซากไป
00:36:31 → 00:36:34 ได้หรือเปล่าอันนี้ก็ถือว่าเป็นบททดสอบ
00:36:35 → 00:36:37 สุดท้ายครับว่าเราจะอยู่กับความหลากหลาย
00:36:37 → 00:36:41 ทางความคิดได้ยังไงครับให้
00:36:41 → 00:36:46 เป็นให้ดีที่สุดก็เป็นเรื่องท้าทายนะครับ
00:36:46 → 00:36:48 จะเป็นเรื่องที่
00:36:48 → 00:36:51 ยังสุ่มเสี่ยงระดับหนึ่งนะครับแล้วมี
00:36:51 → 00:36:53 เพราะมีคนได้ประโยชน์มีคนเสียประโยชน์มี
00:36:53 → 00:36:55 คนพยายามจะทำให้เกิดความแตกต่างให้เกิด
00:36:55 → 00:36:58 ความรุนแรงด้วย้ำไปในบางครั้งนะครับเป็น
00:36:58 → 00:37:00 เรื่องผลประโยชน์ซ่อนอยู่ข้างหลังด้วยนะ
00:37:00 → 00:37:03 ครับนะวันนี้ทางหน่วยสถาบันการุการสร้างส
00:37:03 → 00:37:05 สุขภาพก็ต้องขอบคุณอาจารย์โกมาจึงเถียน
00:37:06 → 00:37:08 ทรัพย์มากนะครับแล้วก็พสของเรานี้จะออก
00:37:08 → 00:37:11 อากาศในวันที่ 10 ธันวาคมวันรัฐธรรมนูญนะ
00:37:11 → 00:37:13 ครับแล้วก็ตรงกันเรื่องที่ว่าเออมันมี
00:37:13 → 00:37:15 เรื่องความหลากหลายความเป็นธรรมนะแล้วก็
00:37:15 → 00:37:18 ความไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเนี่ยนะครับ
00:37:18 → 00:37:21 แล้วก็การคุยวันเนี้ก็จะได้นะเราได้แตะ
00:37:21 → 00:37:23 เรื่องความหลากหลายว่ามันมีประโยชน์อะไร
00:37:23 → 00:37:26 แล้วทำไมมันถึงมีความหลากหลายนะครับแล้ว
00:37:26 → 00:37:29 ทำไมเกิดความสุดโต่งเกิดขึ้นการเป็นเขา
00:37:29 → 00:37:32 เป็นเราการมีเหนือกว่าด้อยกว่านะแล้วก็
00:37:32 → 00:37:36 ความไปถึงลั่นไปถึงความรุนแรงเลยนะครับนะ
00:37:36 → 00:37:39 เป็นอื่นเดียดฉันหรือว่ากำจัดออกหรืออะไร
00:37:39 → 00:37:41 อย่าเงี้ยครับสิ่งเหล่าเนี้ยจริงๆเคยเกิด
00:37:41 → 00:37:43 ขึ้นในประวัติศาสตร์แลอาจารย์บอกว่า
00:37:43 → 00:37:45 ปัจจุบันก็ยังดำเนินอยู่แล้วก็มันมาในรูป
00:37:45 → 00:37:48 แบบใหม่ๆนะมาในรูปแบบโซเชียล Media ในรป
00:37:48 → 00:37:52 พแนรูปอะไรต่างๆนะมันก็อาจจะกลไกเดิมแต่
00:37:52 → 00:37:55 วิธีการหรือสื่อมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปนะ
00:37:55 → 00:37:58 แต่ว่ามันก็ยังผลิตซ้ำอยู่ในบางอันนะครับ
00:37:58 → 00:38:00 แล้วก็หวังว่าเราก็บอกนะครับว่าเราคือ
00:38:00 → 00:38:02 Healthy Society แล้วเราอยากให้สังคม
00:38:02 → 00:38:05 นี่เป็นสังคมสุขภาวะนะครับเรื่องความหลาก
00:38:05 → 00:38:08 หลายเนี่ยนับเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิด
00:38:08 → 00:38:11 สังคมสุขภาวะด้วยถ้าสังคมเหมือนกันหมดทุก
00:38:11 → 00:38:13 คนเหมือนกันทุกอย่างเหมือนที่อาจารย์บอก
00:38:13 → 00:38:15 กินเหมือนกันอะไรเหมือนกันหมดเนี่ยมันก็
00:38:15 → 00:38:18 คงเป็นสังคมที่ประหลาดแล้วก็สังคมที่ที่
00:38:18 → 00:38:21 ที่นิ่งที่อาจจะไม่มีการพัฒนาต่อไปก็ขอ
00:38:21 → 00:38:24 ขอบคุณอาจารย์อีกทีนะครับสำหรับการมาคุย
00:38:24 → 00:38:33 กันในวันนี้ขอบคุณครับสวัดดีสวัดีครับ T
00:38:33 → 00:38:36 [เพลง]