00:00:00 → 00:00:02 ธรรมชาติลงโทษมนุษย์จริงมทำไมโลกอยู่ยาก
00:00:03 → 00:00:06 ขึ้นทุกวัน logical Thinking ทำให้โลก
00:00:06 → 00:00:09 มันร้อนแปลกผมใช่คำว่าอย่างงี้ความคิด
00:00:09 → 00:00:11 เป็นตัว generate อะไรบางอย่างเรากลับมา
00:00:11 → 00:00:13 อยู่สติได้มั้ยเรามาปรับเปลี่ยนลมหายใจ
00:00:13 → 00:00:17 ผ่อนคลายถ้าเราร้ายโลกจะร้ายกับเราถ้าเรา
00:00:17 → 00:00:19 รักโลกก็จะรักเราความขัดแย้งในโลกมันสูง
00:00:19 → 00:00:22 ขึ้นมากเลยเพราะอะไรเพราะเราไม่ได้ใช้ใจ
00:00:22 → 00:00:24 เราไม่ได้เห็นใจกันทุกครั้งที่เราคิดไม่
00:00:24 → 00:00:26 ว่าจะดีหรือไม่ดีเราได้ปล่อยอะไรบางอย่าง
00:00:27 → 00:00:30 ออกไปในบรรยากาศโลกโลกที่ทำร้ายเราอจนถึง
00:00:30 → 00:00:32 จุดเวลาที่มันเตือนให้เรารู้ว่ามนุษย์ใน
00:00:32 → 00:00:34 ยุคของเราอาจะต้องกลับมาแก้ไขอะไรบาง
00:00:34 → 00:00:35 อย่างนะครับเชื่อในเรื่องของผีเสื้อ
00:00:36 → 00:00:38 กระพือปีมถ้ามันส่งผลคนทั้งโลกถ้าเราเห็น
00:00:38 → 00:00:41 ว่าสิ่งที่เราทำมันมีโทษต่อคนส่วนใหญ่
00:00:41 → 00:00:44 หรือคิดว่าสิ่งที่เราจะลงมือทำมันมี
00:00:44 → 00:00:46 ประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่เราสามารถเปลี่ยน
00:00:46 → 00:00:54 แปลงโลคได้เกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:00:54 → 00:00:57 โรคสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ
00:00:57 → 00:01:00 เกลาแก้โรคนะคะกับ EP แรกหลังปีใหม่เลย
00:01:00 → 00:01:03 เป็นยังไงกันบ้างคะทุกๆท่านสบายดีมั้ยคะ
00:01:03 → 00:01:05 ตอนนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเนาะโอโหไม่
00:01:05 → 00:01:07 ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิด
00:01:07 → 00:01:09 ขึ้นเราก็จะเห็นข่าวคราวนะคะไม่ว่าจะไฟ
00:01:10 → 00:01:13 ไหม้น้ำท่วมแล้วก็ยังอีกหลายๆอย่างเลยที่
00:01:13 → 00:01:16 เราจะต้องเตรียมตัวป้องกันแล้วก็รับมือ
00:01:16 → 00:01:18 กับมันนะคะเพราะว่ายังไงแล้วเนี่ยก็น่าจะ
00:01:18 → 00:01:20 ยังเกิดขึ้นอยู่แต่ไม่ต้องกังวลค่ะวันนี้
00:01:20 → 00:01:22 เรามีคำแนะนำดีๆแน่นอนเพราะว่าวันนี้
00:01:22 → 00:01:24 แพนด้าอยู่กับคุณหมอปองค่ะนายแพทย์
00:01:24 → 00:01:27 ทีปทัศน์ชุณหสวัสดิกุลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
00:01:27 → 00:01:29 ด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเนสค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:29 → 00:01:32 ค่ะคุณหมอสวัสดีครับสวัสดีครับค่ะคุสบาย
00:01:32 → 00:01:36 ดีมั้ยคะครับยินดีฮะก็เอ่อดูสดชื่นแจ่มใส
00:01:36 → 00:01:39 รับปีใหม่นะครับอแต่ว่าตอนนี้จริงๆแล้ว
00:01:39 → 00:01:41 สุขภาพคนไทยค่ะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่เลย
00:01:41 → 00:01:44 ปีใหม่ปุ๊บโหหลายคนป่วยอยู่ๆก็ป่วยค่ะคุณ
00:01:44 → 00:01:47 หมออันนี้มันเกิดจากอะไรคุณหมอพอจะทราบ
00:01:47 → 00:01:50 มั้ยคะก็สาเหตุที่คงสำคัญมากๆในช่วงนี้คง
00:01:50 → 00:01:53 เป็นเรื่องของมลพิษนะเรื่องของพวก PM 2.5
00:01:53 → 00:01:56 อยู่คู่คนไทยจนกลายเป็นฤดูกาลฝุ่นไปแล้ว
00:01:56 → 00:02:00 แต่ก่อนเรามี 3 ฤดูกาลนะฤดูร้อนฤดูฝนฤดู
00:02:00 → 00:02:03 หนาวตอนนี้เรามีฤดูฝุ่นมาเยี่ยมเยียนกัน
00:02:03 → 00:02:06 เป็นปกติก็ต้องดูแลและป้องกันครับซึ่ง
00:02:06 → 00:02:08 เจ้า PM 2.5 เนี่ยคะจะมีเยอะในฤดูไหน
00:02:08 → 00:02:11 เป็นพิเศษมั้ยคะครับเอ่อก็ส่วนใหญ่ก็จะ
00:02:11 → 00:02:14 เป็นเรื่องของตอนที่มันมีอากาศเย็นเพราะ
00:02:14 → 00:02:16 ว่าโดยธรรมชาติฝุ่นเนี่ยมันก็จะมีน้ำหนัก
00:02:16 → 00:02:18 าวนี้ถ้าเกิดมันมีความร้อนเนี่ยส่วนใหญ่
00:02:18 → 00:02:21 ฝุ่นมันก็ลอยสูงเนาะแต่ว่าพอมีอากาศเย็น
00:02:21 → 00:02:24 ปุ๊บฝุ่นมันก็จะลงมาปกคลุมเมืองแล้วก็ทำ
00:02:24 → 00:02:26 ให้เกิดปัญหาเรื่องของทางเดินหายใจต่างๆ
00:02:26 → 00:02:29 ตามมาก็ในคนไข้หมอเองก็จะมีปัญหาเรื่อง
00:02:29 → 00:02:33 ของตัวไอเ่อหลอดลมอักเสบบางคนหอบหืด
00:02:33 → 00:02:36 กำเริบก็ต้องดูแลกันเป็นพิเศษด้วยนะครับ
00:02:36 → 00:02:39 อืค่ะอย่าเพิ่งแบบชินกับมันใช่มั้ยคะใช่ๆ
00:02:39 → 00:02:41 ครับผมอย่างที่เราได้พูดไปตอนแรกค่ะว่า
00:02:42 → 00:02:44 ธรรมชาติลงโทษมนุษย์จริงมยทำไมโลกอยู่ยาก
00:02:44 → 00:02:47 ขึ้นทุกวันโลกของเราทำไมดูเหมือนจะลงโทษ
00:02:47 → 00:02:50 เราผมใช้คำว่าอย่างงี้ถ้ามีใครเดินไปหา
00:02:50 → 00:02:54 น้องแพนด้าแล้วบอกว่าเนี่ยในห้องเนี้ย
00:02:54 → 00:02:58 ออกซิเจนต่ำเราจะรู้สึกยังไงแปลกเราต้อง
00:02:58 → 00:03:02 กลัวเออเ้หายใจไม่ออกแคือเราเรามีความรู้
00:03:02 → 00:03:06 ว่าถ้าออกซิเจนไม่พอสมองเราต้องยแย่แน่ๆ
00:03:06 → 00:03:09 เลยอ่ะใช่มั้นะฮะเราต้องมีออกซิเจนที่
00:03:09 → 00:03:12 เพียงพอแต่ในขณะเดียวกันเราก็เผลอคิดไป
00:03:12 → 00:03:14 ด้วยว่าังนั้นถ้าเรามีคาร์บอนไดออกไซด์
00:03:14 → 00:03:17 เยอะๆนี่น่าจะดีหรือแย่ครับถ้าเราเข้าใจ
00:03:17 → 00:03:19 ทั่วๆไปก็คิดว่าแย่เออมันต้องน่าจะเป็น
00:03:19 → 00:03:22 ตัวร้ายนะเราไม่ควรจะมีคาร์บอนไดออกไซด์
00:03:22 → 00:03:25 เกิดขึ้นในร่างกายเราแต่ด้วยความเข้าใจใน
00:03:25 → 00:03:28 การแพทย์องค์รวมอ่ะมันมีงานวิจัยออกมา
00:03:28 → 00:03:31 ครับว่าคนที่ไปสองต้องอ่าในปอดแล้วมัน
00:03:31 → 00:03:33 เกิดภาวะออกซิเจนต่ำออกซิเจนไม่ได้ต่ำมาก
00:03:33 → 00:03:35 แต่คาร์บอนไดออกไซด์มันคั่งเพราะใน
00:03:35 → 00:03:39 ระหว่างการดมยาหรือการหายใจที่ระหว่าง 2
00:03:39 → 00:03:41 กล้องเนี่ยมันมันหายใจได้ไม่เต็มที่หรอก
00:03:41 → 00:03:44 เพราะฉะนั้นเราคาดเดาว่าคนที่ 2 กล้อง
00:03:44 → 00:03:47 ตรวจปอดเนี่ยแล้วเตื่นขึ้นมาคิดว่าสมอง
00:03:47 → 00:03:50 เขาความคิดความจำเมันจะดีขึ้นหรือแย่ลง
00:03:50 → 00:03:54 น่าจะแย่ลงเคะมันน่าจะแย่ลงแต่ผลงานวิจัย
00:03:54 → 00:03:56 ออกมาไม่ใช่อปรากฏว่าคนที่มีภาวะ
00:03:56 → 00:04:00 คาร์บอนไดออกไซด์ข้างเล็กน้อยถึงปานกลาง
00:04:00 → 00:04:03 กลับเมื่อไปทำการทดสอบที่ว่าม่าสกอปรากฏ
00:04:03 → 00:04:07 ว่าความคิดความจำดีขึ้นช่วงหนึ่งสั้นๆค่ะ
00:04:07 → 00:04:09 แปลกใจมั้ยเอ้ยคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูง
00:04:09 → 00:04:12 ขึ้นทำให้สมองของเราเอ้ยความคิดความจำดี
00:04:12 → 00:04:16 ขึ้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงมันน่าประหลาดใจ
00:04:16 → 00:04:19 แล้วก็ถ้าเราก็ไปดูว่าปรากฏว่าการแพทย์
00:04:19 → 00:04:21 มนุษยปรัชญาพูดถึงเรื่องนี้เมื่อประมาณ
00:04:21 → 00:04:22 100 ปีที่แล้วนะเป็นการแพทย์ที่มีมานาน
00:04:22 → 00:04:25 นะครับก็บอกว่าจริงๆแล้วสมองคนเราเนี่ย
00:04:25 → 00:04:27 มันไม่ได้ต้องการแค่ออกซิเจนในการทำงานนะ
00:04:27 → 00:04:29 แต่มันต้องการคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณ
00:04:29 → 00:04:32 ที่เหมเหมาะสมในการใช้ทำให้สมองเราตื่น
00:04:32 → 00:04:35 ตัวและสร้างความคิดที่ดีอืน่าสนใจมั้ยค่ะ
00:04:35 → 00:04:37 ฟังแล้วมันกลับกับความรู้สึกปกติที่เรา
00:04:37 → 00:04:39 เคยได้ยินมาถูมั้ใช่ค่ะแล้วตอนนี้ก็น่าจะ
00:04:40 → 00:04:42 กำลังมีคำถามแล้วอุยต้องแค่ไหนลคะนี้เออ
00:04:42 → 00:04:44 แน่นอนถ้าคารมอไซด์เยอะมากๆจนถึงขั้นที่
00:04:44 → 00:04:47 แบบมันแบบสมมติเราไปสูดไอพิษในท้องถนนนี่
00:04:47 → 00:04:50 มันมันเบลอแน่นอนแต่ทุกครั้งที่เราคิด
00:04:50 → 00:04:52 เนี่ยสมองจำเป็นจะต้องสร้าง
00:04:52 → 00:04:55 คาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจออกของเราออกมา
00:04:55 → 00:04:57 เพื่อที่ทำให้ระบบประสาทของเรามันตื่นตัว
00:04:57 → 00:05:00 ซึ่งจากงานวิจัยที่หมอยกมาตอนแรกเาอธิบาย
00:05:00 → 00:05:02 ว่าอ๋อเพราะว่ามันมีคาร์บอนไดออกไซดข้าง
00:05:02 → 00:05:04 หน่อยๆมันทำให้เกิดภาวะที่หัวใจต้องสูบ
00:05:04 → 00:05:06 ฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้ามากขึ้นทำ
00:05:06 → 00:05:09 ให้หลอดเลือดมันขยายตัวมากขึ้นเพื่อจะส่ง
00:05:09 → 00:05:10 เลือดไปเลี้ยงสมองไงเพราะฉะนั้น
00:05:10 → 00:05:12 คาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช่ตัวร้ายนะฮะมันมัน
00:05:12 → 00:05:16 ไม่ใช่แค่เอ่อขั้วตรงข้ามแต่ว่ามันอยู่
00:05:16 → 00:05:18 ที่ความเหมาะสมเพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นภาพ
00:05:18 → 00:05:20 เดียวกับการแพทย์ที่พูดถึงเรื่องหยินหยาง
00:05:20 → 00:05:22 ในหยินมีหยางในหยางมีหยินออกซิเจนกับ
00:05:22 → 00:05:24 คาร์บอนไดออกไซด์ต้องอยู่ใน Balance ที่
00:05:24 → 00:05:26 เหมาะสมตรงนี้สามารถที่จะอธิบายได้อีกอีก
00:05:26 → 00:05:28 ปรากฏการณ์หนึ่งเหมือนกันว่าถ้าเมื่อไหร่
00:05:28 → 00:05:31 ก็ตามที่เราเครียดจะมีผู้หญิงหรือเด็กๆ
00:05:31 → 00:05:34 วัยรุ่นบางทีเครียดหายใจไม่ทันหายใจ
00:05:34 → 00:05:37 กระชั้นนะเขาเรียกว่า hyperventilation
00:05:37 → 00:05:41 สักพักจะเกิดอาการปากชามือชามือจีบนะฮะ
00:05:41 → 00:05:43 แล้วก็มันหายใจไม่ออกแล้วก็ต้องสุกส่งโรง
00:05:43 → 00:05:46 พยาบาลอันนี้ทางจิตเวทเราเรียกว่าเป็น
00:05:46 → 00:05:48 ภาวะของ hyperventilation ทำไมถึงเกิด
00:05:48 → 00:05:50 อย่างนี้เพราะว่าระหว่างที่เราหายใจเร็วๆ
00:05:50 → 00:05:52 เนี่ยสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซดจะถูกขับ
00:05:52 → 00:05:54 ออกไปเยอะเป็นพิเศษทำให้เกิดภาวะคาร์บอน
00:05:54 → 00:05:57 ดอกไซด์ต่ำชั่วคราวสมองเราจะเริ่มรับรู้
00:05:57 → 00:06:01 ได้ไม่ตามปกติต่อไปการที่เราใช้สมองเยอะ
00:06:01 → 00:06:03 ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้เรามีควอไซด์ใน
00:06:03 → 00:06:07 เลือดสูงขึ้นแต่เราจำเป็นต้องมีคอนไซน์ใน
00:06:07 → 00:06:08 เลือดสูงขึ้นประมาณนึงเพื่อกระตุ้นให้
00:06:08 → 00:06:11 สมองของเราทำงานร้านความคิดได้ดีขึ้นนั่น
00:06:11 → 00:06:12 คือเหตุผลว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเราเป็น
00:06:12 → 00:06:15 พนักงานออฟฟิศเราต้องคิดทั้งวันเราถ้าไม่
00:06:15 → 00:06:17 ได้เดินเลยใช่ป่ะเราใช้งานลอจิกใช้ตรรกะ
00:06:17 → 00:06:20 ในการคิดตลอดเวลายิ่งคิดก็เป็นไงครับค
00:06:20 → 00:06:22 อาศัยก็ต้องเยอะสะสมคราวนี้ถ้าเกิดว่าเรา
00:06:23 → 00:06:26 ได้พักผ่อนมันก็ขับออกไปแต่ถ้าเราคิดทุก
00:06:26 → 00:06:30 วันคิด 24 ชมงหลังๆคิดมาก
00:06:30 → 00:06:34 คิดวนอือเป็นไงฮะคอนดอกไซด์จะสูงขึ้นมา
00:06:34 → 00:06:36 หน่อยๆตลอดเวลาแล้วเมื่อร่างกายเข้าสู่
00:06:36 → 00:06:39 ภาวะที่มี stress หรือมีความเสื่อมเกิด
00:06:39 → 00:06:42 การอักเสบขึ้นที่หลอดเลือดมันจะมีการจับ
00:06:42 → 00:06:45 กับแคลเซียมแคลเซียมคาร์บอนิกมันผสมกัน
00:06:45 → 00:06:48 กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นหินปูน
00:06:48 → 00:06:50 เพราะฉะนั้นออฟิดรมเกิดจากอะไรครับคิด
00:06:50 → 00:06:53 เยอะเกิดการสะสมของหินปูนที่กระดูกคอบ่า
00:06:53 → 00:06:56 ไหล่เกิดเส้นยึดทำไมคนออฟิ Syndrome มัน
00:06:56 → 00:06:57 ถึงเป็นโรคออฟิ Syndrome เราเริ่มเห็นภาพ
00:06:57 → 00:07:01 มั้ยค่ะความคิดเป็นตัว generate อะไรบาง
00:07:01 → 00:07:04 อย่างซึ่งถ้าเราคิดเองเราสร้าง
00:07:04 → 00:07:06 คาร์บอนไดออกไซด์ประมาณนึงแต่เดี๋ยวนี้
00:07:06 → 00:07:09 เรามี AI ฮะอ๋อไม่ต้องคิดแล้วเราก็บอกว่า
00:07:09 → 00:07:12 งั้นเ้าถามแแชท gpt พร้อมไปเ้าสร้าง Data
00:07:12 → 00:07:15 Center ใหญ่ๆประกฏอะไรครับสะสารและพลัง
00:07:15 → 00:07:18 งานมันไม่สูญหายถ้าเราไม่ได้คิดด้วยมีการ
00:07:18 → 00:07:21 สติด้วยตัวเราเองแล้วเราโยนให้เครื่อง
00:07:21 → 00:07:24 จักรมันคิดมันจะสร้างคาร์บอน Food print
00:07:24 → 00:07:27 ออกมามหาศาลมันเป็นเริ่มเป็นปัญหาว่า AI
00:07:27 → 00:07:30 ถ้าเราใช้อย่างไม่เหมาะสมใช้โจนเกินไปจะ
00:07:30 → 00:07:33 สร้างโลกร้อนขึ้นมามันคือปรากฏการณ์เดียว
00:07:33 → 00:07:35 กันว่า logical Thinking ที่ทำให้โลกมัน
00:07:35 → 00:07:37 ร้อนคราวนี้ถ้าว่าเราเราบอกว่าเรากลับมา
00:07:37 → 00:07:41 อยู่สติได้มเรามาปรับเปลี่ยนลมหายใจอสาสะ
00:07:41 → 00:07:43 ปสาสะใหม่ผ่อนคลายในตอนที่เราคิดทำงานก็
00:07:44 → 00:07:47 ต้องคิดเต็มที่แต่เมื่อเรามีช่วงเบรคช่วง
00:07:47 → 00:07:52 พักเรากลับมาผ่อนคลายเรากลับมาหายใจโดยมี
00:07:53 → 00:07:56 สติรู้ตัวมี mindfulness ตรงนั้นถ้าเราทำ
00:07:56 → 00:08:00 กันสักล้าน 2 ล้าน 3 ล้านคนลดคาร์บอนฟ
00:08:00 → 00:08:02 print ลงอเราลดโรกร้อนขึ้นนะมันไม่ได้
00:08:02 → 00:08:04 ได้ประโยชน์แค่ตัวเราเพราะฉะนั้นมุมมอง
00:08:05 → 00:08:07 ของการแพร่มนุษยปรัชญามีมุมมองว่าโรคและ
00:08:07 → 00:08:11 มนุษย์เหมือนออร์แกนิที่ทำงานอาศัยร่วม
00:08:11 → 00:08:15 กันถ้าเราร้ายโลกจะร้ายกับเราถ้าเรารัก
00:08:15 → 00:08:18 โลกก็จะรักเราและเราเห็นมครับในช่วง 3-4
00:08:18 → 00:08:20 ปีความขัดแย้งในโลกมันสูงขึ้นมากเลยอ่ะ
00:08:20 → 00:08:22 เพราะอะไรเพราะเราไม่ได้ใช้ใจเราไม่ได้
00:08:22 → 00:08:25 เห็นใจกันเราใช้สมองของเราอย่างมี
00:08:25 → 00:08:28 ประสิทธิภาพสูงในการคิดจะเอาชนะนู่น
00:08:28 → 00:08:30 ธุรกิจต้องเป็นอย่างงี้ประเทศนั้นต้องได้
00:08:30 → 00:08:33 ประโยชน์อย่างนี้คิดๆๆๆๆๆๆแต่มันไม่ได้มี
00:08:33 → 00:08:37 พีซูมันไม่ได้มีความสงบรือมีความรู้สึก
00:08:37 → 00:08:41 ว่าเออเราแบ่งปันและไอ้กระบวนการองค์รวม
00:08:41 → 00:08:43 เหล่านี้ถ้าเรามองในเรื่องของภาษาพุทธก็
00:08:43 → 00:08:46 เรียกกรรมรวมหมู่มันค่อยๆสะสมทำให้
00:08:46 → 00:08:49 บรรยากาศของโลกมันค่อยๆเปลี่ยนมากขึ้นมาก
00:08:49 → 00:08:52 ขึ้นมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งเมื่ออ่ามันเกิด
00:08:52 → 00:08:56 ภาวะโลกร้อนที่น้ำแข็งขั้วโลกอ่ะน้ำแข็ง
00:08:56 → 00:08:58 เหมือนบัฟเฟอร์อันนึงที่มันสามารถจะอม
00:08:58 → 00:09:00 ความร้อนไว้ได้แต่เมื่อไหร่น้ำแข็งละลาย
00:09:00 → 00:09:03 ไปเรื่อยๆน้ำมันอยู่ไหนครับมันต้องไปอยู่
00:09:03 → 00:09:05 ในอากาศมันไม่มีที่ไปเพราะฉะนั้นเมื่อ
00:09:05 → 00:09:08 ไหร่ก็ตามเกิดภาวะฝนตกมันจะตกหนักน้ำท่วม
00:09:08 → 00:09:12 ช่วงไหนที่อากาศเย็นมันไม่มีตัวบัฟเฟอร์
00:09:12 → 00:09:15 ความร้อนในที่สุดมันจะเย็นจัดแล้วเกิดโาร
00:09:15 → 00:09:19 vex เกิดภาวะหนาวจัดเกิดภาวะฝุ่นที่มัน
00:09:19 → 00:09:22 จะมาพร้อมอากาศที่มันแรฟนทั้งหมดแพนด้า
00:09:22 → 00:09:24 เข้าใจว่าอย่างงี้แสดงว่าที่เราถามว่าที่
00:09:24 → 00:09:26 เราอยู่ยากขึ้นทุกวันเนี่ยโลกกำลังลงโทษ
00:09:26 → 00:09:28 เราจริงมยคุณหมอกำลังจะบอกว่าจริงๆมัน
00:09:28 → 00:09:30 เกิดจากการกระทำของเราทุกคนเองนี่แหละผม
00:09:30 → 00:09:33 คิดว่าผมเห็นด้วยกับข้อสรุปตรงนี้ออค่ะ
00:09:33 → 00:09:35 และแต่เพียงแต่ว่าหน้าที่ของผมคือผม
00:09:35 → 00:09:38 เชื่อมโยงให้เห็นว่าระบบสรีระเอ่อทาง
00:09:38 → 00:09:42 วิทยาศาสตร์มันบอกเราโดยนัยยะอยู่แล้วว่า
00:09:42 → 00:09:45 ทุกครั้งที่เราคิดไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีเรา
00:09:45 → 00:09:48 ได้ปล่อยอะไรบางอย่างออกไปในบรรยากาศโลก
00:09:48 → 00:09:50 แล้วถ้าเราเชื่อว่าคนเราเนี่ยมันเป็น
00:09:50 → 00:09:53 อย่างที่เราคิดอย่างที่เราทำอย่างที่เรา
00:09:54 → 00:09:58 รู้สึกทุกอย่างไม่หายไปไหนครับโลกที่ทำ
00:09:58 → 00:10:00 ร้ายเราอาจจะถึงจุดเวลาที่มันเตือนให้เรา
00:10:00 → 00:10:03 รู้ว่ามนุษย์ในยุคของเราอาจะต้องกลับมา
00:10:03 → 00:10:05 แก้ไขอะไรบางอย่างแล้วถ้าเช่นนั้นคือเรา
00:10:06 → 00:10:08 ทุกคนน่ะเป็นส่วนนึงแหละของทุกๆอย่างที่
00:10:08 → 00:10:12 เกิดขึ้นตอนนี้แล้วเราจะเริ่มทำยังไงได้
00:10:12 → 00:10:14 บ้างคะถ้าอย่างนั้นอ่ะคราวนี้มาถึงการ
00:10:14 → 00:10:18 บำบัดอ่าในมุมมองของการบำบัดมนุษย์เฉพาะ
00:10:18 → 00:10:23 ตัวอ่าผมมักจะชอบยกทฤษฎีของสมองซิกซกับ
00:10:23 → 00:10:27 สมองซีกขวามามาอธิบายเวลาที่เราคิดเนี่ย
00:10:27 → 00:10:30 logical Thinking หรือตรรกะนะฮะอ่าเรา
00:10:30 → 00:10:34 ถูกกระตุ้นให้พัฒนาหรือใช้สมองซายเยอะๆ
00:10:34 → 00:10:37 แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้ศิลปะเมื่อ
00:10:37 → 00:10:41 ไหร่ที่เรามีความใช้ภาษาในการพูดคุยเมื่อ
00:10:41 → 00:10:45 ไหร่ก็ตามที่เรามองภาพรวมเชื่อมโยง
00:10:45 → 00:10:47 connectedness ถ้าเป็นภาษาทางนักบำบัด
00:10:47 → 00:10:50 หลายคนเฮ้ยเรา Connect กับคนอื่นนะนอก
00:10:50 → 00:10:52 เหนือจะคิดงวนอยู่กับตัวเองเมื่อนั้นเรา
00:10:53 → 00:10:56 จะใช้สมองอีกซีกหนึงคือสมองซีกขวาการที่
00:10:56 → 00:10:58 เราป่วยเพราะเราเป็นไงฮะตั้งแต่เด็กเล็กๆ
00:10:58 → 00:11:01 เราทุถูกฝึกให้ analytic Thinking เด็ก
00:11:01 → 00:11:04 อนุบาทเนี่ยตอนผมจำได้มีอยู่ช่วงจะทำไง
00:11:04 → 00:11:08 ให้ลูกคิดเชิงวิเคราะห์เอแยกแยะในตั้งแต่
00:11:08 → 00:11:12 วัยอนุบาลน่ะครับเอ้าเคยมีโรงเรียนที่ให้
00:11:12 → 00:11:16 เด็กเนี่ยอ่านนิทานอนุบาลแล้วก็ให้การ
00:11:16 → 00:11:20 บ้านเป็นเด็กเขียนการ์ตูน 3 ช่องวันนี้ไป
00:11:20 → 00:11:23 ทำอะไรเช่นขโมยดินสอเพื่อนเพื่อนรู้สึก
00:11:23 → 00:11:27 อย่างไรเพื่อนรู้สึกเสียใจอ๋อช่องสุดท้าย
00:11:27 → 00:11:30 บทสรุปคือเอ่อการขโมยดินสอไม่ดีคือฟังฟัง
00:11:30 → 00:11:33 ดูิวเผมันดูแบบอ้าเด็กได้คิดเด็กได้คิดนะ
00:11:33 → 00:11:36 แต่เรากำลังกระตุ้นให้เด็กเนี่ยใช้สมอง
00:11:36 → 00:11:39 แนวโน้มไปทางคิดเยอะเนี่ยตั้งแต่อนุบาล
00:11:39 → 00:11:41 แล้วเราคิดว่าเราอยู่ใน environment ของ
00:11:41 → 00:11:45 การศึกษา 18 ปีเพราะฉะนั้นวันนึงเมื่อเรา
00:11:45 → 00:11:48 จบมาทำงานเริ่มเจ็บป่วยจากการที่เราเริ่ม
00:11:48 → 00:11:51 เป็นออฟฟิศ Syndrome มันลามไปจนถึงเรื่อง
00:11:51 → 00:11:53 ของหลอดเลือดที่มันเปราะง่ายไปจนถึง
00:11:53 → 00:11:55 เรื่องหลอดเลือดหัวใจหลอดเลือดสมองด้วยนะ
00:11:55 → 00:11:59 ครับเพราะฉะนั้นเนี่ยเราบอกว่าเรามาทำไง
00:11:59 → 00:12:02 ให้หยุดคิดยากมากเลยนะเพราะเราถูกฝึกให้
00:12:02 → 00:12:05 ใช้ analytic Thinking เยอะจนเกินไปการ
00:12:05 → 00:12:08 บำบัดคืออะไรเราต้องดึงเขออกจากความคิด
00:12:08 → 00:12:10 บอกให้คนเราหยุดคิดไม่ได้หรอกค่ะเปลี่ยน
00:12:11 → 00:12:13 เป็นลงมือทำได้มยั้มันจะมีคอนเซปอีกอัน
00:12:13 → 00:12:15 นึงที่เรียกว่า Hand Head Heart ไม่
00:12:15 → 00:12:18 ความว่าอ่ะเฮสเนี่ยศีรษะหรือสมองเราใช้
00:12:18 → 00:12:21 เยอะแล้วถ้าจะหยุดคิดลองไปทำศิลปะดีมลอง
00:12:21 → 00:12:24 ไปถักโคเชดีมยการถักโคเชนี่ต้องใช้สมาธิ
00:12:24 → 00:12:27 เหมือนกันนะลองไปขี่ม้ามั้ยไอ้ตอนขี่ม้า
00:12:27 → 00:12:30 นี่ท้าทายมากเหมาะกับคนคิดเยอะเพราะมัน
00:12:30 → 00:12:34 ต้องอยู่มีสติอยู่ตนั้นใช่ๆม้าเนี่ยเป็น
00:12:34 → 00:12:37 อะไรที่มันจะเดินไปเนี่ยเราต้องสื่อสาร
00:12:37 → 00:12:39 กับมันการทรงตัวอยู่บนหลังม้าต้องใช้สติ
00:12:39 → 00:12:42 ขั้นสูงเพราะฉะนั้นเนี่ยเอาแค่แบบงกๆเงิน
00:12:42 → 00:12:44 ๆจะตกม้าไม่ตกม้านี่บางทีเลิกคิดแล้วนะ
00:12:44 → 00:12:47 ไอ้ที่คิดแบบวุ่นวุกลับมาอยู่เพราะฉะนั้น
00:12:47 → 00:12:49 การบำบัดในแนวเหล่าเเป็นการดึงเข้าสู่
00:12:49 → 00:12:51 เรื่องของการที่เรากลับมาอยู่กับตัวเอง
00:12:51 → 00:12:53 อย่างมีสติอีกอันนึงก็คือการที่มี
00:12:53 → 00:12:57 ปฏิสัมพันธ์ที่เป็นเชิงมนุษย์ที่ดีขึ้น
00:12:58 → 00:13:00 เพราะเวลาเราคิดเนี่ยบางทีมันหลีกเลี่ยง
00:13:00 → 00:13:03 ไม่ได้ที่แบบเราอาจจะมองคนอื่นเป็นเหมือน
00:13:03 → 00:13:06 กับออจเป็นวัตถุถูมยเพราะฉะนั้นมันจะเลย
00:13:06 → 00:13:09 เกิดปัญหาที่เ่อปัจจุบันเราพบว่ามีปัญหา
00:13:09 → 00:13:12 อย่างแกส Lighting กันบุลลี่กันเพราะอะไร
00:13:12 → 00:13:14 เพราะเราเราเริ่มมองคนเป็นวัตถุออย่าง
00:13:14 → 00:13:18 ข่าวตอนล่าสุดอ่ะที่มี influencer เด็ก
00:13:18 → 00:13:22 ที่ถูกให้ดื่มเหล้าแล้วก็แกล้งอ่ะเออจนจน
00:13:22 → 00:13:24 เตายอ่ะโหฟังแล้วมันเศร้ามากนะค่ะเพราะ
00:13:24 → 00:13:28 อะไรเพราะเราเราเรามองเ้าเป็นแค่อจอันนึง
00:13:28 → 00:13:30 ไม่ว่าคุณคุณจะบอกยังไงก็ตามว่าให้ด้วย
00:13:30 → 00:13:32 ความปรารถนาดีอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้โอกาส
00:13:32 → 00:13:35 เขาแต่ว่าการกระทำที่คุณไม่ได้เข้าไปถึง
00:13:35 → 00:13:38 ใจต่อมนุษย์น่ะมันเจ็บป่วยอย่างน้อยที่
00:13:38 → 00:13:40 สุดมันทำให้ตัวเราเองก็เจ็บป่วยอ่าเราจะ
00:13:40 → 00:13:42 เห็นชัดในกรณีที่เราอยู่ในองค์กรที่เป็น
00:13:42 → 00:13:45 organized เป็นเเรียกว่า Corporate work
00:13:45 → 00:13:47 เนี่ยเยอะมากเพราะทุกคนมองทุกอย่างเป็น
00:13:47 → 00:13:50 ไซโลคือว่าอยู่ในกรอบของตัวเองแล้วบางที
00:13:50 → 00:13:52 เราไม่ได้สนใจคนอื่นแล้วมันเหนื่อยมากคน
00:13:52 → 00:13:54 เราเนี่ยสุขภาพดีมีอยู่ 6 ด้านเราเรียก
00:13:54 → 00:13:57 ว่า Lifestyle Medicine 1 กินอาหารที่
00:13:57 → 00:14:00 ดี 2 การออกกำลังกายที่เหมาะสม 3 การไม่
00:14:00 → 00:14:04 เครียด 4 เรื่องของการที่เราจะนอนหลับ
00:14:04 → 00:14:07 อย่างมีคุณภาพข้อ 5 ไม่ดื่มเลลไม่สูบ
00:14:07 → 00:14:10 บหรี่อันนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะชัดเจน
00:14:10 → 00:14:12 แต่ข้อ 6 ที่โผล่มาน่าสนใจมากคุณจะมี
00:14:12 → 00:14:15 สุขภาพดีในระยะยาวได้ถ้าคุณมีสัมพันธภาพ
00:14:16 → 00:14:19 ที่ดีมีงานวิจัยครับอันนี้พูดตลกๆแต่เป็น
00:14:19 → 00:14:23 ความจริงผู้ชายถ้าเป็นโสดตายเร็ว
00:14:23 → 00:14:28 อ้าผู้ชายที่แต่งงานอายุยืนขึ้นแต่ตรงกัน
00:14:28 → 00:14:31 ข้ามผู้หญิงที่เป็นโสดอายุ
00:14:31 → 00:14:34 ยืนผู้หญิงที่แต่งงานบาคนอายุสั้นมันมี
00:14:34 → 00:14:36 รายละเอียดเยอะแต่ผมผมไม่อยากให้มันมอง
00:14:36 → 00:14:40 ว่าใครไม่ดีเพศใดไม่ดีนะแต่มันนำไปสู่งาน
00:14:40 → 00:14:42 วิจัยที่ค้นพบว่าถ้าเกิดว่าคุณเป็นคนที่
00:14:42 → 00:14:45 อยู่คนเดียวแล้วคุณไม่ Connect กับสังคม
00:14:45 → 00:14:47 เลยอ่ะสมองคุณจะเสื่อมลงงเร็วมากแต่ความ
00:14:47 → 00:14:50 สัมพันธ์ที่ว่านี้ไม่ใช่หมาความว่ามีสามี
00:14:50 → 00:14:54 มีภรรยาแล้วคุณจะอายุยืนนะมันมีขีดเส้น
00:14:54 → 00:14:57 ใต้ไว้ด้วยว่าคุณต้องแคร์กันเป็นความ
00:14:57 → 00:15:00 สัมพันธ์ที่มีคุณภาพค่ะเป็นความสัมพันธ์
00:15:00 → 00:15:04 ที่รู้สึกเชื่อมโยงต่อกันตรงนี้ถ้าใครมี
00:15:04 → 00:15:07 ถือว่าคุณโชคดีครับคุณจะมีสุขภาพที่แนว
00:15:07 → 00:15:10 โน้มจะดีกว่าแต่ถ้าเกิดคุณแต่งงานแล้วคุณ
00:15:10 → 00:15:13 ไม่สนใจกันอันนั้นอาจจะสุขภาพแย่ได้ใช่
00:15:13 → 00:15:15 เพราะก็จะมีคำถามแบบหลายๆครอบครัวอาจจะ
00:15:15 → 00:15:17 แบบว่าอุ๊ยแต่งงานแล้วเครียดอาจจะนอนไม่
00:15:18 → 00:15:20 หลับไม่สนิทเพราะกลัวโดนคนข้างหลังกลังจะ
00:15:20 → 00:15:23 ทำอะไรหรือเปล่าแบบนี้อายุยืนได้ยังไง
00:15:23 → 00:15:24 อะไรอย่าเงี้ไม่ๆคือแในที่สุดแล้วมันเลย
00:15:24 → 00:15:29 มีทางออกหลายทางทางที่ 2 ก็คือว่าเราต้อง
00:15:29 → 00:15:33 กลับมาใช้สมองเรื่องของการที่จะใช้ความ
00:15:33 → 00:15:36 รู้สึกในการดูแลกันมากขึ้นคนเราหิวความ
00:15:36 → 00:15:39 รู้สึกที่มันอิ่มเอมเนาะแล้วความรู้สึก
00:15:39 → 00:15:43 ที่มั่นคงเนี่ยมันทำให้ระบบประสาทระบบ
00:15:43 → 00:15:47 ฮอร์โมนของเรามันอยู่ในสตตที่อ่าพักผ่อน
00:15:47 → 00:15:49 แล้วมันพร้อมจะฟื้นฟูตัวเองแต่ถ้าเมื่อ
00:15:49 → 00:15:51 ไหร่เรารู้สึกกลัวเรารู้สึกถึงความไม่แน่
00:15:51 → 00:15:55 นอนเรารู้สึกถึงความ in ตเนี้ยมันก็จะนำ
00:15:55 → 00:15:58 ไปสู่ระบบประสาทที่มันตื่นตัวอยู่ตลอด
00:15:58 → 00:16:00 เวลาแล้วมันก็ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ
00:16:00 → 00:16:03 ตามมาทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการขับถ่าย
00:16:03 → 00:16:07 ที่ไม่ดีระบบของอินอเ่อต่อหมวกไตก็อาจจะ
00:16:07 → 00:16:09 ทำงานเยอะจนเกินไปอะไรพวกเนี้ยความดัน
00:16:09 → 00:16:12 ขึ้นอะไรเี้การที่เรากลับมาให้ความ
00:16:12 → 00:16:15 สัมพันธ์กับสัมพันธภาพซึ่งมันไม่ได้เกิด
00:16:15 → 00:16:17 จากการมาพูดด้วยเหตุและผลอย่างเดียวเพ
00:16:17 → 00:16:19 เหตุแลผลบางคนถ้ายึดเหตุยึดผลมีทิฐิต่อ
00:16:19 → 00:16:22 กันมันก็ทะเลาะกันได้ง่ายผมยังเจอข้อ
00:16:22 → 00:16:25 เขียนของอาจารย์เอ่อทางจิตวิทยาท่านบอก
00:16:25 → 00:16:29 ว่าเวลาเราจะพูดกันทะเลาะกันสามีภรรยา
00:16:29 → 00:16:31 อย่าใช้เหตุผลใช้อารมณ์ใช้อารมณ์หนความ
00:16:31 → 00:16:36 ว่าให้ดูว่าเขารู้สึกยังไงอเขาขาดอะไรอาจ
00:16:36 → 00:16:38 จะไม่ต้องแบบถูกหรือผิดก็ได้แต่เออเรา
00:16:38 → 00:16:41 เข้าใจนะระหว่างที่ทะเลาะกันเนี่ยคืออืม
00:16:41 → 00:16:44 เธออาจจะรู้สึกว่าเราไม่ใส่ใจเรื่องนี้
00:16:44 → 00:16:46 หรือเปล่าหรออะไรเงี้ยคือเป็นเป็นเป็น
00:16:46 → 00:16:49 เชิงของการที่ลกันด้วยอารมณ์กันเอาได้ได้
00:16:49 → 00:16:52 แลกเปลี่ยนสิ่งที่มันเป็นความผูกพันทาง
00:16:52 → 00:16:54 อารมณ์ซึ่งนนี้เป็นเรื่องของ EQ EQ จะ
00:16:54 → 00:16:57 เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้ถูกฝึก
00:16:57 → 00:17:00 ให้ใช้สมองวออ่านั่นแปลว่าถ้าสมมุติว่า
00:17:00 → 00:17:04 เรากำลังทะเลาะกันแล้วเรามาหาคนถูกคนผิด
00:17:04 → 00:17:06 หรือใช้สมองซีกซ้ายตักกะใช้เหตุใช้ผลเลย
00:17:06 → 00:17:09 อันนี้มักจะแย่กว่าใช่มั้คะมีอาจารย์ครู
00:17:09 → 00:17:13 บาอาจารย์ทางพุทธทางสมาธิได้ร่ำเรียนกับ
00:17:13 → 00:17:17 หลายท่านก็พูดตรงกันครับตรรกะเนี่ยมันก็
00:17:17 → 00:17:21 รับใช้กิเลสแล้วเนี่ยอือยิ่งคุณฉลาดเคุณ
00:17:21 → 00:17:24 จะยิ่งเก่งในการสรรหาตรรกะมาเข้าข้างตัว
00:17:24 → 00:17:28 เองมากๆแต่ถ้าคุณมีสติแล้วคุณไม่ได้ถูก
00:17:28 → 00:17:31 ชักจูงด้วยความอยากอ่ะที่เป็นเรื่องของ
00:17:31 → 00:17:33 ส่วนตัวที่เรียกว่า egoistic คุณจะเริ่ม
00:17:33 → 00:17:35 มองเห็นว่าเออบางอย่างบางครั้งเราก็ไม่
00:17:35 → 00:17:37 ถูกนะหรือบางบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้อง
00:17:37 → 00:17:40 ฉลาดก็ได้หความฉลาดกับความสุขเป็น 2 ก้อน
00:17:40 → 00:17:43 ที่ไม่เชื่อมกันฮะผมเจอคนที่ฉลาดมากๆแต่
00:17:43 → 00:17:46 ทุกข์มากๆมาหลายหมืคนนะพ่อเราตรวจมาท 10
00:17:46 → 00:17:50 ปีออืเราเจอคนที่ไม่ได้ฉลาดอ่ะแต่เา
00:17:50 → 00:17:53 Connect กับคนอื่นสเป็นคนที่มีความสุข
00:17:53 → 00:17:56 มากซะยิ่งกว่าคนฉลาดหลายๆคนโอหลายๆอย่าง
00:17:56 → 00:17:59 เลยเนาะที่แบบจริงๆก็ต้องปรับทีนี้แนมีคำ
00:17:59 → 00:18:01 ถามค่ะว่าจากที่เราคุยกันมาตอนแรกๆว่า
00:18:01 → 00:18:03 เฮ้ยว่าธรรมชาติเนี่ยลงโทษมนุษย์จริงมั้ย
00:18:03 → 00:18:05 คือริงๆมันเกิดจากการกระทำของเรานี่แหละ
00:18:05 → 00:18:08 แล้วคุณหมอก็อ่ะถ้าเราลองกลับมาแก้ที่ตัว
00:18:08 → 00:18:10 เราความคิดของเราหรืออะไรที่มันไม่ก่อให้
00:18:10 → 00:18:13 เกิดคาร์บอนฟุต print กับโลกนี้ที่โลกมัน
00:18:13 → 00:18:15 จะไม่ได้ร้อนขึ้นหลายๆอย่างอาจจะดีขึ้นที
00:18:15 → 00:18:18 เนี้ยค่ะถ้าเราแก้แค่ตัวเราอ่ะเราก็แค่คน
00:18:18 → 00:18:21 คนึงบนโลกใบเนี้ยโลกมันจะดีขึ้นจริงหรอผม
00:18:21 → 00:18:24 ใช่คำว่าอย่างงี้ผมชอบคำที่พูดว่า think
00:18:24 → 00:18:27 Global do it Local หมายความว่าเวลา
00:18:27 → 00:18:29 เราคิดเราต้องมองภาพรวมของผลกระทบที่มัน
00:18:29 → 00:18:31 ใหญ่ไปสู่ระดับลกโดยเฉพาะในทางปรัชชา
00:18:32 → 00:18:34 เนี่ยสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์
00:18:35 → 00:18:37 ถามว่าเป็นที่ DNA หรือเปล่าว่าค้นพว่า
00:18:37 → 00:18:41 ไม่ใช่เพราะจริงๆคนกับลิงมี DNA ต่างกันิ
00:18:41 → 00:18:43 4 เต่างกันไม่เกิน 5% น่ะแต่ทำไมเราฉลาด
00:18:43 → 00:18:46 กว่าลิงเยอะเพราะเรามีสิ่งที่เรียกว่า
00:18:46 → 00:18:49 เป็น imagination หรือจินตนาการได้ถึง
00:18:49 → 00:18:52 Natural law หรือว่ากฎบางอย่างคือเรียก
00:18:52 → 00:18:55 ว่าปรัชญาในการดำเนินชีวิตเนี่ยที่ดีกว่า
00:18:55 → 00:18:57 เชื่อในเรื่องของผีเสื้อกระพือปีกมยถ้า
00:18:57 → 00:19:00 มันส่งผลกคนทั้งโลกเราจะเคยได้ยินอ่ะค่ะ
00:19:00 → 00:19:03 แต่ผมเชื่อจริงจังว่าถ้าเราเห็นว่าสิ่ง
00:19:03 → 00:19:06 ที่เราทำมันมีโทษต่อคนส่วนใหญ่หรือคิดว่า
00:19:06 → 00:19:08 สิ่งที่เราจะลงมือทำมันมีประโยชน์ต่อคน
00:19:09 → 00:19:12 ส่วนใหญ่เราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้แน่
00:19:12 → 00:19:14 นอนครับมันอาจจะดูเป็นคำพูดสวยหรูเนาะแต่
00:19:14 → 00:19:18 ผมขอยกเป็นตัวอย่างผมเจอเอ่อลูกคนหนึ่งนะ
00:19:18 → 00:19:21 ครับมาปรึกษาด้วยเรื่องของความเครียดดูแล
00:19:21 → 00:19:25 กันทั้งเครียดกายรักษากายจิตใจย่ำแย่ทรุด
00:19:25 → 00:19:30 โทรมรักษาใจให้อโรม่าเปี้ให้มีโอาที่ให้
00:19:30 → 00:19:33 Art therapy คราวนี้ก็ดูแลกันจนถึงเข้า
00:19:33 → 00:19:36 จะอกเข้าใจเคก็เปิดเผยตัวเองมากขึ้นว่า
00:19:36 → 00:19:40 เค้ารู้สึกว่าเค้าทำอย่างไรเนี่ยก็ไม่
00:19:40 → 00:19:44 เป็นที่ถูกใจหรือพอใจของพ่อแม่พ่อแม่ตั้ง
00:19:44 → 00:19:46 ความหวังว่าเสูงมากเลยแล้วเขาก็เป็นคน
00:19:46 → 00:19:51 เก่งมากด้วยแต่เวลาเาไปพบกับพ่อแม่เพื่อ
00:19:51 → 00:19:53 จะเยี่ยมเยียนเลยแล้วเวลาพูดคุยในโต๊ะ
00:19:53 → 00:19:55 อาหารพ่อแม่ไม่เคยชงเขาเลยแล้วสั่งเขา
00:19:55 → 00:19:58 ด้วยว่าต้องทำงั้นต้องทำอย่างงี้เขาก็รู้
00:19:58 → 00:20:02 สึกว่าเฮ้ยเขาก็โตมาจนอายุ 30 40 แล้ว
00:20:02 → 00:20:05 ทำไมพ่อแม่ยังไม่เคยเห็นว่าเาดีเลยแล้ว
00:20:05 → 00:20:07 เขาก็เห็นด้วยนะว่าบางทีพฤติกรรมของพ่อ
00:20:07 → 00:20:11 แม่บางอย่างก็ดูยึดติดนะเออเก็บอกนะว่า
00:20:11 → 00:20:13 ด้วยความที่เขคทุกข์มากๆเนี่ยเขาก็เลยไป
00:20:13 → 00:20:17 ฝึกปฏิบัติธรรมแล้วเขาก็เรียนรู้ว่าอะไร
00:20:17 → 00:20:19 ยึดติดอะไรไม่ยึดติดแล้วก็เห็นว่าแม่ของ
00:20:19 → 00:20:22 เขาเนี่ยมีลักษณะเป็น perfectionist ที่
00:20:22 → 00:20:25 ทำไป 10 เรื่องเนี่ยดี 9 เรื่องแต่คุณแม่
00:20:25 → 00:20:29 จะไปเห็นโฟกัสเออไอ้ข้อที่ 10 ที่มัน
00:20:29 → 00:20:32 เนี่ยลูกทำไมเรื่องนี้ไม่ดีเก็บอกเออแม่
00:20:32 → 00:20:36 เคยึดติมากเลยนะแต่จะสอนพ่อสอนแม่นี่ไม่
00:20:36 → 00:20:39 ไม่ได้อีกไม่ได้อีกมันทะเลาะกันน่ะหมอก็
00:20:39 → 00:20:41 เลยบอกว่าสิ่งที่คุณทำได้การที่คุณมี
00:20:41 → 00:20:44 awareness หรือการที่คุณรู้ว่าการคิดแบบ
00:20:44 → 00:20:46 ยุติดนมันเป็นผลร้ายอย่างไรเป็นคุณภาพที่
00:20:46 → 00:20:49 คุณเห็นในคุณพ่อคุณแม่เห็นน่ะดีแล้วแต่
00:20:49 → 00:20:52 ว่าการแก้ไขปัญหามันไม่ได้ไปเริ่มที่แก้
00:20:52 → 00:20:54 ที่พ่อแม่แต่มันเริ่มที่ตัวเราเขาก็งงอีก
00:20:55 → 00:20:57 แล้วมันทำไมมันเป็นยังไงผมบอกเอาอย่างงี้
00:20:57 → 00:21:00 นะคุณไปสอนพ่อสอนแม่ว่าพ่อแม่ต้องมีความ
00:21:00 → 00:21:03 สุขกว่านี้สิเพราะพ่อแม่ยุดติดคุณคิดว่า
00:21:03 → 00:21:08 คุณอ้าปากพูดจบพ่อแม่จะทำเลยมั้ยไม่มีทาง
00:21:08 → 00:21:11 ค่ะเค้าอาจจะมองว่าก็เธอยัง depress อยู่
00:21:11 → 00:21:13 เลยอ่ะเธอจะมาสอนอะไรเรื่องความสุขฉันน่ะ
00:21:13 → 00:21:16 ใช่มั้ยคนคนเรามันการที่จะมี belief มัน
00:21:16 → 00:21:19 ไม่ได้เริ่มจากการที่ว่าใครพูดอะไรอืแต่
00:21:19 → 00:21:22 มันเริ่มจากเราเป็นอย่างไรเรา manifest
00:21:22 → 00:21:24 ตัวเองออกมาเป็นคนนั้นหรือเปล่าเพราะ
00:21:24 → 00:21:27 ฉะนั้นสิ่งที่ผมแนะนำในเคสนี้ก็คือว่า
00:21:27 → 00:21:29 สิ่งที่คุณต้องทำคือคุณต้องทำให้ตัวเองมี
00:21:29 → 00:21:32 ความสุขเป็นอันดับแรกคุณปล่อยวางได้มคุณ
00:21:32 → 00:21:35 เลิกเรียกร้องจากตัวเองที่จะต้องทำทุก
00:21:35 → 00:21:37 อย่างให้เป็นเด็กดีนะมเลิกติดดีได้รือป่ะ
00:21:37 → 00:21:41 ทำไมผมถึงรู้ว่าเติดดีผมก็บอกว่างั้นเรา
00:21:41 → 00:21:44 ตรวจทางวิทยาศาสตร์ดีกว่าอ่าก็บอกว่าตรวจ
00:21:44 → 00:21:47 ยังไงก็ทำการตรวจแลบที่เรียกว่านโร
00:21:47 → 00:21:50 transmitter สารสื่อประสาทค่ะปรากฏว่า
00:21:50 → 00:21:51 เวลาผมตรวจมันจะตรวจอยู่ 3 ตัวตรวจ
00:21:52 → 00:21:55 โดปามีนตรวจนอินตรวจเซโรโทนินโดปามีน
00:21:56 → 00:21:58 เนี่ยผมใช้คำว่ามันเป็นสารสื่อประสาทของร
00:21:58 → 00:22:01 boing ne transmitter หมายความว่าได้
00:22:01 → 00:22:04 รางวัลฟินต้องชนะอะไรงเงี้เออเหมือนตั้ง
00:22:04 → 00:22:06 เป้าเหมือนเหมือนนักกีฬาสมมติบอกว่าฉันจะ
00:22:06 → 00:22:09 ต้องฝึกทุกวันฝึกๆๆๆๆไม่ยอมแพ้ฝึกจนฉัน
00:22:09 → 00:22:11 ได้เหรียญทองได้เหรียญทองปุ๊บฟินโดปามีน
00:22:11 → 00:22:14 มันจะหลั่งไหลมารู้สึกโอ้ฉันได้รางวัล
00:22:14 → 00:22:16 แล้วถามว่าพอได้รางวัลแล้วอยากทำอะไรต่อ
00:22:16 → 00:22:18 ก็อยากได้รางวัลต่อไปก็อยากได้มากขึ้นใช่
00:22:18 → 00:22:22 เป็นกิเลสมั้ยก็เป็นนะเออใช่มั้ยจากชนะ
00:22:22 → 00:22:24 ระดับจังหวัดต้องชนะระดับประเทศจากระดับ
00:22:24 → 00:22:26 ประเทศต้องชนะโอลิมปิกอะไรมันเป็นสิ่งที่
00:22:26 → 00:22:28 ทำให้คนเรามี motivation อ่ะแต่คิดคิดใน
00:22:28 → 00:22:30 เชิงตะกะก็คือว่ามีเป้าหมายไงมันต้องมี
00:22:30 → 00:22:33 ไว้ค่ะโดปามีนจำเป็นต้องมีเพื่อให้เรามี
00:22:33 → 00:22:37 motivate แล้วผมพบเด็กบางคนที่พอข้าแม่
00:22:37 → 00:22:39 กดดันมากๆลูกไม่ต้องทำอไม่ต้องทำนี้อย่า
00:22:39 → 00:22:42 ทำอย่าที่ใช้คำว่าอย่าเยอะๆเนี่ย
00:22:42 → 00:22:45 motivation มันหายโดปามีนมันหายไปเลยนะ
00:22:45 → 00:22:47 คือไม่อยากทำอะไรแล้วก็แล้วแต่เเรียกภาวะ
00:22:47 → 00:22:49 ทิ้งตัวใช่มภาวะเเรียกเเป็นเป็นผักอ่ะ
00:22:49 → 00:22:52 เป็นยอมเป็นผักเน่าอ่ะเอออันนี้ก็ไม่ดี
00:22:52 → 00:22:54 แต่แต่ว่าในระดับที่เหมาะสมโดปามีนช่วย
00:22:54 → 00:22:57 ให้เรามีแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองแต่ใน
00:22:57 → 00:23:00 เคสที่มันเยอะไปเป็นไง่ะครับเคสนี้ตรวจมา
00:23:00 → 00:23:02 โดปามีนสูงปี๊ดเลยอ่ะคือหมายความว่าฉัน
00:23:02 → 00:23:05 ต้องทำให้ดีฉันต้องทำให้ได้ฉันทำไปเรื่อย
00:23:05 → 00:23:08 ๆจน burn Out อ่ะเพราะอะไรเพราะในตอนที่
00:23:08 → 00:23:11 โดปามีนขึ้นสิ่งที่มันต้องขึ้นมาคู่กัน
00:23:11 → 00:23:15 คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นนอิิิหรือนิฟมัน
00:23:15 → 00:23:18 เป็นฮอร์โมนจากต่อหมวกไตมันช่วยให้เรา
00:23:18 → 00:23:20 ระหว่างที่เรากำลังเครียดกำลังพยายามทำ
00:23:20 → 00:23:23 ให้ได้เนี่ยนิฟต้องขึ้นมาบอกให้เราสู้กับ
00:23:23 → 00:23:26 มันเราจะไม่ยอมแพ้เหมือนเราขับรถเนี่ยคน
00:23:26 → 00:23:28 โดปามีนสูงๆขับจะต้องแซงให้ได้แต่แต่ไอ้
00:23:28 → 00:23:30 ตอนขับไปเนี่ยถ้าเกิดรถบรรทุกมันสวนมา
00:23:31 → 00:23:35 เฮ้ยป๊อดอ่ะไม่ไม่ไม่แซงดีกว่าตัวรอด
00:23:35 → 00:23:37 เพราะว่าอะไรเพราะไอ้ต่อหมวกไตของเราที่
00:23:37 → 00:23:39 มันทำให้เราเฮ้ยลุ้นอ่ะคือทนกับไอ้ความ
00:23:40 → 00:23:42 ลุ้นตรงนี้ให้ได้น่อต้องขึ้นมาคู่กันแต่
00:23:42 → 00:23:46 ถ้าเรามีพอกันปุ๊บเราก็อ้าตัดสินใจแซงซง
00:23:46 → 00:23:49 ได้ปืดไปเลยเงี้ยแต่ว่าถ้าเราเริ่มแก่ตัว
00:23:49 → 00:23:52 ส่วนใหญ่จะเจอแบบเริ่มต่อหมวกไตใช้งานมา
00:23:52 → 00:23:54 อย่างต่อเนื่องยาวนานเคียดมาตลอดเวลาจน
00:23:55 → 00:23:58 มันบอกว่ายกถงขาไม่เอาแล้วไม่เียแล้วอืจะ
00:23:58 → 00:24:01 ดบฟึบแล้วก็เจอความเครียดปุ๊บอุ้ยทนไม่
00:24:01 → 00:24:05 ได้มันจะเกิดอาการ Burst Out คือโวยวาย
00:24:05 → 00:24:08 ดราม่าฉันจะไม่ทนอีกต่อไปอีกแล้วอะไรอย่า
00:24:08 → 00:24:11 เงี้ยนะฮะอ่าเราก็เห็นเคสนี้นดีๆมันต่ำ
00:24:11 → 00:24:13 สุดท้ายต้องมีสิ่งที่เรว่าเป็นความสุข
00:24:13 → 00:24:15 ความสุขแบบไม่ต้องมีรางวัลได้มั้ยอือถ้า
00:24:15 → 00:24:19 ภาษาวัยรุ่นสุขสุกแบบโง่ๆอ่ะไปนั่งโง่ๆ
00:24:19 → 00:24:21 ริมน้ำอะไรเงี้ยออ๋อหมายถึงว่าแบบความสุข
00:24:21 → 00:24:24 ง่ายๆเล็กๆเออความสุขที่มันเป็นความสงบ
00:24:24 → 00:24:27 เออทำอยู่เฉยๆก็ดีจังอส่วนใหญ่พวกนี้มัน
00:24:27 → 00:24:29 มาจากสิ่งที่เป็นกัด Feeling นะมันเป็น
00:24:29 → 00:24:32 เรื่องของไอ้ตัวความรู้สึกในการกินการ
00:24:32 → 00:24:34 ย่อยซึ่งแต่ก่อนเยอธิบายเรื่องนี้ยากมาก
00:24:34 → 00:24:36 เลยแต่ปัจจุบันเยมันมีเทรนด์อันนึงที่เ
00:24:36 → 00:24:40 ตรวจพบว่าถ้าเรามีไมโครไบโอมที่ดีในลำไส้
00:24:40 → 00:24:43 มันจะทำให้เกิดการสร้างเซตินสารสื่อ
00:24:43 → 00:24:46 ประสาทแห่งความสุขสงบเซโรโทนินต้องมากพอ
00:24:46 → 00:24:49 ถ้าเมื่อไหร่เซโรโทนินดรอคือกินไม่ดีนอน
00:24:49 → 00:24:52 ไม่ดีลำไส้รั่วกรณีนั้นเซโรโทนินจะตกแลทำ
00:24:52 → 00:24:54 ให้เกิดภาวะ depression ก็สังเกตว่า
00:24:54 → 00:24:57 เรื่องกายและจิตมันมันไม่ได้เป็นว่าฉัน
00:24:57 → 00:24:59 อยากจะสงบเลยฉันอยากจะมีความสุขแล้วไม่ดู
00:24:59 → 00:25:02 แลร่างกายมันก็ไม่ได้ชมแต่ในเคสเนี้ยพอ
00:25:02 → 00:25:04 เราตรวจปุ๊บก็วันเนี้ยโดปามีนสูงปี๊ดคุณ
00:25:04 → 00:25:07 เป็นคนอยากดีอ่ะคุณติดดีไแล้วแล้วเผอิญ
00:25:07 → 00:25:10 ว่าคนที่จะบอกว่าคุณดีไม่ดีเนี่ยมันมี
00:25:10 → 00:25:13 อยู่ certified Body หรือคนที่ประทับตา
00:25:13 → 00:25:15 แห่งความดีได้มีแค่พ่อกว่าแม่อ่าแปลว่าคน
00:25:15 → 00:25:18 อื่นชมแล้วก็ไม่นับคนอื่นชมก็อาจจะไม่ได้
00:25:18 → 00:25:21 รู้สึกว่าได้ฟินน่ะรู้สึกว่าได้ไงเพราะ
00:25:21 → 00:25:24 ว่าคุณต้องเริ่มจากการมีความสุขพ่อแม่รอ
00:25:24 → 00:25:26 ไว้ก่อนพ่อแม่จะไม่มีวันเชื่อเราถ้าเรา
00:25:26 → 00:25:29 ยังไม่มีความสุขคุณมีที่ไปหาความสุขให้
00:25:29 → 00:25:32 ตัวเองความสุขแบบไม่ต้องเร่งความสุขแบบ
00:25:32 → 00:25:35 ชิลๆไปทำอาร์ตได้มั้ยเออวาดรูปมันก็มี
00:25:35 → 00:25:37 ความสุขเหมือนกันเนาะผมใช้ความสุขประเภท
00:25:37 → 00:25:40 นี้ว่าเป็นสุขแบบสุขสงบหรือ serenity ถ้า
00:25:40 → 00:25:44 คุณมีความสุขกับตัวเองไปสปาก็ได้อถ้าชอบ
00:25:44 → 00:25:49 นะไปนวดไปกอดบางคนว่ามีธุรกิจรับจ้างกอด
00:25:49 → 00:25:52 นะค่ะเพราะมันอะไรมันเพิ่มออกซิโตซินมัน
00:25:52 → 00:25:53 มันมีการบำบัดที่เรียกว่าเป็นออกซิโตซิน
00:25:53 → 00:25:56 thy น่ะอ่าเหมือนเราต้องได้รับบางรือ
00:25:56 → 00:25:59 เปล่าคะทำไมกันก่อนมันทงพลังมากๆในการ
00:25:59 → 00:26:03 บำบัดบำบัดคนนึงมันเหมือนกับว่าเราไปหา
00:26:03 → 00:26:05 ใครสักคนแล้วเาอ้าแขนลับเราอ่ะ Feeling
00:26:06 → 00:26:07 Connect เพราะั้นกลับไปที่ Connect นะ
00:26:07 → 00:26:10 การมี relationship ที่ดีคือ Feeling ที่
00:26:10 → 00:26:13 เชื่อมต่อว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
00:26:13 → 00:26:18 เนี้ยฉันมีคุณค่าที่จะอยู่กับคนอื่นๆโอเค
00:26:18 → 00:26:20 ในตอนที่เรายังพลังงานติดลบอยู่เนี่ยการ
00:26:20 → 00:26:23 คนที่คนอื่นมาก่อนเราโอเคแต่เมื่อเรา
00:26:23 → 00:26:27 เริ่มมีความตั้งมั่นมีความมั่นคงที่จะ
00:26:27 → 00:26:30 อยู่ด้วยตัวเราเองแล้วเนี่ยถ้าเรายังมัว
00:26:30 → 00:26:34 แต่สนใจว่าฉันหล่อเปล่าฉันหอมยังฉันทีโร
00:26:34 → 00:26:37 เมียยาวพออายุจะยาวมั้ยมันก็จะเป็นความ
00:26:37 → 00:26:40 สุขแบบไม่อิ่มแต่ถ้าเมื่อไหร่คุณเริ่มหา
00:26:40 → 00:26:43 สิ่งที่เรียกว่าการดำรงอยู่เพื่อคนอื่น
00:26:43 → 00:26:46 เช่นโหฉันเนี่ยต้องอยู่ต่อไปนะเพราะว่า
00:26:46 → 00:26:50 ฉันเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเ่อจรจัดเอามาช่วย
00:26:50 → 00:26:53 เหลือฉันต้องแบบสร้างทำให้ชีวิตเหล่า
00:26:53 → 00:26:56 เนี้ยมันอยู่รอดต่อไปได้มันเป็นพลังนะ
00:26:56 → 00:26:59 นั่นแหละถึงเรียกว่าวิ่ง with purpose
00:26:59 → 00:27:01 มันไม่ใช่ egoistic หรือมุมมองที่มองต่อ
00:27:01 → 00:27:04 ตัวเองว่าเอ่อฉันจะได้ประโยชน์อะไรแต่ฉัน
00:27:04 → 00:27:07 อยู่เพื่อสร้างประโยชน์อะไรฉันมีประโยชน์
00:27:07 → 00:27:09 ต่อผู้อื่นอย่างไรอ่าแล้วเคสนี้เไปทำ
00:27:09 → 00:27:11 ประโยชน์ในที่สุดเขบอกโอทุกวันนี้เแฮปปี้
00:27:11 → 00:27:14 มากเลยอ่าแล้วเขาก็สร้างแรงบันดาลใจให้
00:27:14 → 00:27:17 กับเพื่อนซึมเศร้าเหลายคนมากเลยว่าเธอ
00:27:17 → 00:27:20 ต้องมีความสุขแล้วเกิดอะไรขึ้นจนถึงวัน
00:27:20 → 00:27:25 นึงพอเต้องกลับไปคุยไปเยี่ยมพ่อแม่พ่อแม่
00:27:25 → 00:27:27 ก็เปลี่ยนไปมั้ยไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม
00:27:27 → 00:27:29 เหมือนเดิมติดนติดนั่นแต่เขเห็นลูก
00:27:29 → 00:27:31 เปลี่ยนไปมยคะแต่เเริ่มเห็นลูกเริ่ม
00:27:31 → 00:27:35 เปลี่ยนก็ก็ถามว่าลูกเออลูกดูมีความสุข
00:27:35 → 00:27:38 ขึ้นหบ่บอกใช่ๆๆวันนี้ไปทำศิลปะมาเอ้า
00:27:38 → 00:27:41 เหรอเออให้แม่ไปด้วยได้มมันเป็น
00:27:41 → 00:27:44 conversation ที่เราเริ่มเห็นว่าจากการ
00:27:44 → 00:27:46 ที่เราเปลี่ยนตัวเองคนในครอบครัวอื่นๆจะ
00:27:46 → 00:27:49 เริ่มเปลี่ยนตามเราแต่เราต้องเปลี่ยนแบบ
00:27:49 → 00:27:52 ที่เราเป็นก่อนและถ้าคนในรอบตัวเรามีความ
00:27:52 → 00:27:55 สุขมันจะเกิดการขยายวงในสังคมเล็กๆของเรา
00:27:55 → 00:27:58 และถ้าเรามีคนอย่างนี้มากขึ้นมากขึ้นผม
00:27:58 → 00:28:01 เชื่อว่าโลกของเราจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่
00:28:01 → 00:28:05 ดีขึ้นก็คือเหมือนผีเสื้อกระพือปีกใช่แต่
00:28:05 → 00:28:09 เงื่อนไขเดียวคือคุณต้องมีความสุขโดยทำ
00:28:09 → 00:28:12 ประโยชน์ให้คนอื่นได้เมื่อถึงตอนนั้นคุณ
00:28:12 → 00:28:14 จะพบว่าพลังงานคุณจะมหาศาลมากคุณไม่เคย
00:28:14 → 00:28:17 สงสัยเลยว่าทำไมแม่แม่ชีเทเรซ่าแม่ชี
00:28:17 → 00:28:20 สันสนีทำไมโอ้โหท่านทำงานแบบ 7 วัน 20
00:28:20 → 00:28:23 เกือบ 20 กว่าชั่วโมงอ่ะทำไมคนเหล่านี้ทำ
00:28:23 → 00:28:26 สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ได้หรืออ่าอย่างใคร
00:28:26 → 00:28:29 ล่ะที่เป็นเอ่อคนทำเรื่องการกุศลต่างๆ
00:28:29 → 00:28:32 ทำไมเขาแบบมีพลังเลยผมผมยังจำได้ว่ามีผู้
00:28:32 → 00:28:35 หญิงคนนึงเป็นเป็นแม่เลี้ยงของศูนย์เด็ก
00:28:35 → 00:28:38 กำพร้าเงี้ยเเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแต่เขา
00:28:38 → 00:28:41 บอกเขาต้องอยู่เพื่อให้เด็กๆเหล่านี้โต
00:28:41 → 00:28:43 ก่อนเอ่อเข้ามหาลัยก่อนอะไรเงี้ยแล้วเก็
00:28:43 → 00:28:45 อยู่ยาวนานกว่าค่าเฉลี่ยเท่าไหร่เพราะไอ้
00:28:45 → 00:28:47 สิ่งนี้เรียกว่าเป็นการ Living with
00:28:47 → 00:28:50 purpose การอยู่อย่างมีความหมายเนี่มัน
00:28:50 → 00:28:53 ส่งผลต่อสุขภาพให้เขามีสุขภาพที่ดีและใน
00:28:53 → 00:28:57 ทางตรงงข้ามโลกของเราก็สามารถตอบรับสิ่ง
00:28:57 → 00:28:59 เหล่านี้ได้ผมเชื่อว่านี่แหละครับคือพลัง
00:28:59 → 00:29:01 ที่เราต้องคนตัวเล็กทุกคนต้องช่วยกัน
00:29:01 → 00:29:06 สร้างให้เกิดอืค่ะเพราะว่าธรรมชาติกับตัว
00:29:06 → 00:29:08 เราเนี่ยจริงๆเป็นสิ่งที่ไม่ได้แยกออกจาก
00:29:09 → 00:29:12 กันยังไงก็ยังต้องไปด้วยกันถ้าพูดแบบใน
00:29:12 → 00:29:15 เชิงของปรัชญาและความคิดก็คือว่าโลกคือ
00:29:15 → 00:29:19 ภาพรวมภาพสะท้อนของการกระทำของคนโดยโลก
00:29:20 → 00:29:23 โดยรวมช่วงไหนที่เป็นยุควิไลซ์ที่มีคนคิด
00:29:23 → 00:29:28 ดีทำดีไม่ว่าจะอธิบายด้วยคาร์บอนฟหรือว่า
00:29:28 → 00:29:30 จะอธิบายด้วยเรื่องของหลักวิทยาศาสตร์
00:29:30 → 00:29:33 อะไรก็แล้วแต่มันจะจับมาที่ว่าธรรมชาติก็
00:29:33 → 00:29:36 จะดียกตัวอย่างเช่นเราจะบอกว่าคุณจะทำ
00:29:36 → 00:29:39 ฟาร์มให้มีได้รับตราเกษตรอินทรีย์ก็ได้
00:29:39 → 00:29:41 แต่ถ้าเกิดคุณแอบเอาของมาใส่อ่ะที่มันไม่
00:29:41 → 00:29:43 ใช่อินทรีย์อ่ะมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก
00:29:43 → 00:29:45 นะแต่ถ้าเกิดคุณทำสิ่งที่ดีแล้วคนอื่น
00:29:45 → 00:29:48 เห็นดีเห็นงามเช่นคุณเป็นเกษตรอินทรีย์
00:29:48 → 00:29:52 แล้วเกษตรกรวงข้างๆเอ้ยคุณชีวิตดีขึ้นน่ะ
00:29:52 → 00:29:56 เออทำไมคุณป่วยนลงอไม่ใช้ยาเคมีเอองั้น
00:29:56 → 00:29:58 เราทำด้วยสิมันก็จะทำให้เกิดการเปปลี่ยน
00:29:58 → 00:30:01 แปลงที่แท้จริงแต่ถ้ายุคไหนก็ตามคนเรามัน
00:30:01 → 00:30:04 แก่งแย่งมันชิงดีมันสู้กันตลอดเวลามันก็
00:30:04 → 00:30:07 ไม่แปลกใจครับว่าในที่สุดธรรมชาติมันก็จะ
00:30:07 → 00:30:09 เปลี่ยนแปลงมาเป็นศัตรูกับเราไม่มากก็
00:30:09 → 00:30:13 น้อยทีเนี้ยค่ะอืมเราคงจะด้วยความที่โรค
00:30:13 → 00:30:16 อ่ะมีวิวัฒนาการของมันอยู่เรื่อยๆอยู่ทุก
00:30:16 → 00:30:19 วันเราคงไม่มีทางที่จะเอ่อย้อนกลับไปให้
00:30:19 → 00:30:21 อยู่ในยุคที่ว่าเฮ้ยเทคโนโลยีไม่ต้อง
00:30:21 → 00:30:24 เจริญอ่ายังไงโลกก็ยังเจริญต่อไปแล้วคุณ
00:30:24 → 00:30:27 หมอคะอยากได้คำแนะนำว่าในวันที่โลกยัง
00:30:27 → 00:30:30 เจริญต่อไปเรื่อยๆที่คนนเราอาจจะต้องใช้
00:30:30 → 00:30:33 สมองซีกซ้ายตักกะกันมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อ
00:30:33 → 00:30:36 ความอยู่รอดเนี่ยค่ะเราจะทำยังไงให้เรา
00:30:36 → 00:30:40 เนี่ยมีภูมิคุ้มกันทางใจที่มันจะเป็น
00:30:40 → 00:30:42 เหมือนเบรคให้ให้เราอยู่ในโลกใบนี้ได้ดี
00:30:42 → 00:30:45 ขึ้นอ่ะผมใช้คำว่าเราต้องฝึกให้ตัวของเรา
00:30:46 → 00:30:51 เองได้มีการพักได้มีจังหวะชีวิตนั่นคือ
00:30:51 → 00:30:55 เหตุผลว่าทำไมชาวยิวหรือว่าชาวคริสตจึง
00:30:55 → 00:30:59 บอกว่าวันสปาตหรือว่าหรือว่าวันอาทิตย์
00:30:59 → 00:31:01 เป็นวันที่คุณไม่ควรทำอะไรถ้าเกิดคุณเป็น
00:31:01 → 00:31:06 ไปที่ชนบทของยุโรปถ้าเกิดไปเจอวันเสาร์
00:31:06 → 00:31:09 อาทิตย์นี่บางทีเราหาคนทำงานไม่ได้เลยนะ
00:31:09 → 00:31:10 ทำไมต้องเป็นอย่างงั้นเพราะว่าโดย
00:31:10 → 00:31:13 ธรรมชาติของมนุษย์เราถ้าไม่มีข้อตกลงร่วม
00:31:13 → 00:31:16 กันของ community ที่บอกว่าเฮ้ยเรามา
00:31:16 → 00:31:21 สร้าง culture ที่เราต้องมีเวลาที่มา
00:31:21 → 00:31:24 Enjoy หรือว่ามามีการอยู่กับตัวเองอย่าง
00:31:24 → 00:31:27 มีความสุขตรงนั้นมันก็จะทำให้เราเผลอแล้ว
00:31:27 → 00:31:30 ก็มีการการทำงานอย่างไม่ลุ้นหูลุ้นตา
00:31:30 → 00:31:32 เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นทฤษฎี
00:31:32 → 00:31:36 ที่น่าสนใจก็คือเรื่องของการที่เราจะมีเ
00:31:36 → 00:31:39 คนใกล้ตัว 5 คนที่เราจะ Connect ด้วยาว
00:31:39 → 00:31:41 นี้เรานึกถึงเรื่องของการสร้าง culture
00:31:41 → 00:31:44 การทำงานเนี่ยถ้าถ้าโอเคในวันนี้ที่เรา
00:31:44 → 00:31:47 พูดมีคนที่อาจจะเป็นเจ้าขององค์กรหรือ
00:31:47 → 00:31:50 กิจการสามารถจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรของการ
00:31:50 → 00:31:53 ที่จะมีการ work Life Balance เพื่อให้
00:31:53 → 00:31:57 มีการหยุดพักผ่อนในวันเวลาที่เหมาะสมและ
00:31:57 → 00:32:00 ทำกันเป็นทั้งเป็น culture ทำไมเราถึงคิด
00:32:00 → 00:32:02 ว่าเป็น culture หรือวัฒนธรรมเ้าเรียกว่า
00:32:02 → 00:32:04 cultivate มันไม่ได้เกิดขึ้นวันเดียวแต่
00:32:04 → 00:32:06 ในคนจำนวนนึงถ้าเกิดว่าในองค์กรนั้นหรือ
00:32:06 → 00:32:09 ตัวเราเองอยู่ในครอบครัวที่ work Life
00:32:09 → 00:32:11 Balance มันจะเป็นตัวที่ทำให้เราโอกาส
00:32:11 → 00:32:14 ที่จะเพลินหรือว่าเผลอไปทำงานจนตัวเอง
00:32:14 → 00:32:17 เจ็บป่วยหรือว่าทำให้เกิดปัญหาเนี่ยใน
00:32:17 → 00:32:19 เชิงของการใช้ความคิดอย่างเดียวจนเป็น
00:32:19 → 00:32:21 ปัญหาเนี่ยก็จะเกิดน้อยลงมันมันเป็น
00:32:21 → 00:32:24 เรื่องของการทำงานร่วมกันของ culture ที่
00:32:24 → 00:32:26 เราอยู่ด้วยเหมือนกันครับทีนี้ที่คุยกัน
00:32:26 → 00:32:29 มาทั้งหมดค่ะอตอนแรกๆที่เราพูดถึงลมหายใจ
00:32:29 → 00:32:32 เข้าลมหายใจออกแพนด้ามีคำถามนึงเป็นคำถาม
00:32:32 → 00:32:34 สุดท้ายแล้วของวันนี้ที่อยากจะทราบมากๆก็
00:32:34 → 00:32:37 คือว่าแล้วลมหายใจคนเราอ่ะค่ะจริงๆแล้ว
00:32:37 → 00:32:40 มันมหัศจรรย์ยังไงบ้างคะแหมมาจบเป็นคำถาม
00:32:40 → 00:32:42 สุดท้ายต้องขออีกสัก 1
00:32:42 → 00:32:45 ตอนเอ่อในเชิงวิทยาศาสตร์อธิบายได้เยอะ
00:32:45 → 00:32:48 มากแต่ว่าถ้าผมเปลี่ยนใหม่เป็นมุมมองอีก
00:32:48 → 00:32:51 อันนึงที่ฝากเอาไว้ก็คือว่าจริงๆแล้ว
00:32:51 → 00:32:56 เนี่ยลมหายใจแรกของเราคือตอนที่เราเกิดมา
00:32:56 → 00:32:59 ตอนที่ลมหายใจแรกเกิดขึ้นจะเกิดการรู้สึก
00:32:59 → 00:33:02 ตัวดังนั้นลมหายใจจึงมีความเกี่ยวข้อง
00:33:02 → 00:33:06 ใกล้ชิดว่ามันเป็นคทำให้เราเกิดความรู้
00:33:06 → 00:33:09 เนื้อรู้ตัวประเด็นก็คือว่าถ้าเกิดว่าเรา
00:33:09 → 00:33:13 มีลมหายใจเข้าและออกทุกครั้งที่หายใจมัน
00:33:13 → 00:33:15 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อของเราอ่า
00:33:15 → 00:33:18 อย่างคุณแม่แม่ชีสันสนีที่ผมได้เคยทำงาน
00:33:18 → 00:33:21 ใกล้ชิดด้วยก็บอกว่ากายลมอ่ะมันปรุงแต่ง
00:33:21 → 00:33:23 กลายเนื้อเพราะฉะนั้นคำพูดที่ว่าเราสร้าง
00:33:23 → 00:33:26 ไอ้ตัวคาร์บอนออกมาแล้วคาร์บอนเนี่ยมันก็
00:33:26 → 00:33:30 จะไปจับเป็นโครงสร้างต่างๆเพราะฉะนั้นแน่
00:33:30 → 00:33:34 นอนทุกครั้งที่เราคิดเราตัดสินใจร่างกาย
00:33:34 → 00:33:37 เราจะรับผลกระทบผลกรรมนั้นเป็นชีวิตจิตใจ
00:33:37 → 00:33:40 ของเราในเฟสถัดไปเสมอในขเดียวกันลมหายใจ
00:33:41 → 00:33:43 ของเราไม่ได้ออกมาแค่จมูกแล้วหยุดแต่มัน
00:33:43 → 00:33:47 ออกไปปรุงแต่งสภาพแวดล้อมของเราด้วยจริงๆ
00:33:47 → 00:33:49 แล้วเนี่ยถ้าเราบอกว่าจิตของเราอยู่ที่
00:33:49 → 00:33:53 ไหนเราาจะคิดว่าจิตก็อยู่ในเนี่ยอนา
00:33:53 → 00:33:55 บริเวณของตัวแขนขาแต่ถ้าเรามองไกลกว่า
00:33:55 → 00:33:58 นั้นว่าคาร์บอนน่ะที่เราหายใจออกมันคือ
00:33:58 → 00:34:02 ตัวแครี่ความคิดและจิตใจของเรามันนำพา
00:34:02 → 00:34:04 ความคิดจิตใจของเราออกมากับลมหายใจและ
00:34:04 → 00:34:06 อยู่รอบตัวเราเพราะฉะนั้นเวลาเราเข้า
00:34:06 → 00:34:09 สังคมแล้วเราพูดว่าเอ้ยเรา breathing the
00:34:09 → 00:34:12 Same Air อันนี้เป็นคำพูดของฝรั่งเรา
00:34:12 → 00:34:15 หายใจในบรรยากาศเดียวกันนั่นหมายความว่า
00:34:15 → 00:34:18 เราจะเข้าใจกันลมหายใจมักจะ Connect ตัว
00:34:18 → 00:34:20 เรากับคนรอบข้างเราอยากให้คนรอบข้าง
00:34:20 → 00:34:24 Connect กับเราอย่างสุขสงบลมหายใจเรา
00:34:24 → 00:34:27 ต้องเริ่มมีความสงบอยู่ในนั้นยกตัวอย่าง
00:34:27 → 00:34:31 เช่นสมมุติผมเดินมาเจอน้องแพนด้าแล้วก็
00:34:31 → 00:34:36 บอกเฮ้ยยืมรถหน่อยสิอือค่ะให้ยืมมอแล้วแน
00:34:36 → 00:34:39 บอกไม่มีรถค่ะไม่มีรถสมมติว่ามีสมมติว่า
00:34:39 → 00:34:42 ว่ามีก็อาจจะสมมุติไม่ให้ยืมเออไม่พอใจ
00:34:42 → 00:34:46 แบบเอ้ยแบบมาแบบแต่ถ้ามาด้วยคำพูดเดียว
00:34:46 → 00:34:51 กันเอ่าเฮ้ยเดี๋ยวยืมรถหน่อยนะได้ใช่มค่ะ
00:34:51 → 00:34:54 เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยู่ในการบำบัดสิ่ง
00:34:54 → 00:34:56 ที่ผมจะสังเกตไม่ใช่สังเกตคำพูดเพียง
00:34:56 → 00:34:58 อย่างเดียวนะผมเริ่มจะลงหายใจถ้าเรารู้
00:34:58 → 00:35:03 ว่าการบำบัดของเราเริ่มเข้าไปถึงใจเขาเรา
00:35:03 → 00:35:06 จะเห็นว่าลมหายใจของผู้พูดที่อยู่กับเรา
00:35:06 → 00:35:09 จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเราจะ
00:35:09 → 00:35:12 กำกับได้เราต้องมีลมหายใจที่ดีและผ่อน
00:35:12 → 00:35:16 คลายก่อนก็น่าจะได้ประโยชน์แล้วก็เอาไป
00:35:16 → 00:35:19 ลองฝึกกันได้ในวันนี้หลายๆอย่างที่เราคุย
00:35:19 → 00:35:21 กันมาในวันนี้เนาะว่าเฮ้ยโลกของเราเนี่ย
00:35:22 → 00:35:24 กำลังลงโทษเราอยู่จริงมยเพราะว่าทำไม
00:35:24 → 00:35:27 ธรรมชาติโอ้โหภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมายโรค
00:35:27 → 00:35:30 ภัยมากับอากาศด้วยซ้ำซึ่งวันนี้คุณหมอก็
00:35:30 → 00:35:32 ได้ให้แนวคิดนึงว่าจริงๆแล้วเราทุกคนน่ะ
00:35:32 → 00:35:35 มันมีส่วนที่จะสร้างให้โลกนี้มันเป็นยัง
00:35:35 → 00:35:37 ไงอ่าตามที่เนื้อหาที่เราคุยกันมาเลยแล้ว
00:35:37 → 00:35:41 ก็สุดท้ายที่เราฝากกันไว้ในวันนี้ก็คือ
00:35:41 → 00:35:43 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ตัวเราเริ่ม
00:35:43 → 00:35:46 ที่ตัวเรามันอาจจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่
00:35:46 → 00:35:48 ได้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้แต่
00:35:48 → 00:35:51 ถ้าเราทำมันแล้วทำมันด้วยใจจริงๆที่เรามี
00:35:51 → 00:35:53 ความสุขได้จริงๆเริ่มเป็นคนที่มีความสุข
00:35:53 → 00:35:56 ได้ก่อนจริงๆค่อยๆทำไปมันจะเหมือนผีเสื้อ
00:35:56 → 00:35:58 กระพือปีกแล้วโลกเนี้ยจะจะเปลี่ยนแปลงได้
00:35:58 → 00:36:01 จริงๆอสุดยอดครับได้ดีมากเลยครับขอบคุณ
00:36:02 → 00:36:04 มากค่ะก็สำหรับวันนี้นะคะก็ต้องขอขอบคุณ
00:36:04 → 00:36:06 ทุกๆท่านนะคะที่อยู่ฟังกันจนถึงตอนนี้
00:36:06 → 00:36:09 อย่าลืมกดไลค์กดแชร์แล้วก็คอมเมนต์ด้วยนะ
00:36:09 → 00:36:11 คะว่าวันนี้ฟังแล้วเป็นยังไงบ้างได้อะไร
00:36:11 → 00:36:13 หรือว่าอยากฟังอะไรจากคุณหมอปองก็
00:36:13 → 00:36:15 คอมเมนต์บอกกันเอาไว้ได้นะคะแล้วก็ถ้าใคร
00:36:15 → 00:36:17 ที่อยากติดตามคุณหมอปองนะคะสามารถติดตาม
00:36:17 → 00:36:20 ได้ที่ช่องทางไหนคะครับเข้าไปที่ Facebook
00:36:20 → 00:36:23 ก็ได้ครับแฟนเพจหมอปองครับสกดภาษาไทยเลย
00:36:23 → 00:36:28 ฮะหอหีบมม้าอออ่างปปลาออ่างงงูหรือเข้าไป
00:36:28 → 00:36:32 ที่เพจบัลวีก็ได้ครับ www ban.com ฮะนะ
00:36:32 → 00:36:34 ครับ b a a v
00:36:34 → 00:36:37 i.com นะ b.com อยากให้ติดตามเอาไว้
00:36:37 → 00:36:39 เพราะว่าจริงๆเรื่องของสุขภาพไม่ได้จบแค่
00:36:40 → 00:36:42 คลิปนี้แต่เราต้องดูแลกันไปเรื่อยๆแล้วก็
00:36:42 → 00:36:45 สำหรับวันนี้ค่ะเกลาก็มีเสื้อมามอบให้คุณ
00:36:45 → 00:36:48 หมอค่ะโอขอบคุณมากเลยเป็นเสื้อเกลาจริงๆ
00:36:48 → 00:36:50 น่าจะเกี่ยวข้องกับ EP นี้ด้วยนะเพราะเรา
00:36:50 → 00:36:53 ต้องเกลาตัวเองทุกวโอขอบคุณมากเลยครับยิน
00:36:53 → 00:36:55 ดีมากๆเลยครับค่ะแล้วก็ถ้าใครนะคะที่อยาก
00:36:55 → 00:36:57 ได้เสื้อแบบนี้นะคะไปใส่เพื่อเกลาตัวเอง
00:36:57 → 00:36:59 กันทุกวันเนี่ยก็ใต้ Description นี้ได้
00:36:59 → 00:37:01 เลยนะคะง่ายๆค่ะคลิกเดียวค่ะหรือว่าจะ
00:37:01 → 00:37:04 หลายๆคลิกก็ได้นะคะเพราะยังมีผลิตภัณฑ์
00:37:04 → 00:37:09 อื่นๆของเกด้วยค่ะเข้าไปรับชมกันได้นะคะ
00:37:09 → 00:37:28 [เพลง]