00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:09 Voice imposter Syndrome ในภาษาแพทย์
00:00:09 → 00:00:12 นะคะมันไม่ใช่เป็นความผิดปกติทางจิตแต่
00:00:12 → 00:00:15 มันเกิดได้กับคนทุกคนนะคะเป็นกลุ่มอาการ
00:00:15 → 00:00:18 ทางจิตเวทอย่างหนึ่งนะคะที่จะนำไปสู่ความ
00:00:18 → 00:00:20 ซึมเศร้าได้เป็นความรู้สึกว่าตัวเองด้อย
00:00:20 → 00:00:23 ่าไม่เก่งมันก็เลยทำให้ขาดความมั่นใจขาด
00:00:23 → 00:00:26 อะไรต่ออะไรอย่างเงี้ยแต่ถามว่าคนปกติมี
00:00:26 → 00:00:29 มั้ยมีทุกคนค่ะเพียงแต่บอกว่าอะไรก็ตาม
00:00:29 → 00:00:32 ที่มันเกิดเส้นไปอ่ะมากไปน้อยไปเนี่ยมัน
00:00:32 → 00:00:35 ก็นำไปสู่อันอื่นได้มันเป็นภาวะที่บุคคล
00:00:35 → 00:00:38 ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองแล้วก็มัก
00:00:38 → 00:00:40 จะตั้งคำถามกับความสำเร็จของตัวเองที่ได้
00:00:40 → 00:00:42 รับ
00:00:42 → 00:00:46 เสมอฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดททุกโรคภัย
00:00:46 → 00:00:50 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:50 → 00:00:52 ค่ะ This Is Toy PBS
00:00:52 → 00:00:55 podcast สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังคะขอต้อนรับ
00:00:55 → 00:00:58 เข้าสู่รายการโรงหมอทางไทย PBS podcast
00:00:58 → 00:01:00 ค่ะวันนี้พบกันเช่นเคยนะคะนะติดตามรับฟัง
00:01:00 → 00:01:03 สารักกันได้วันนี้เตรียมเรื่องนี้มาคุย
00:01:03 → 00:01:06 กันนะคะไม่รู้มีใครเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
00:01:06 → 00:01:09 อันนี้เอาเคสของตัวเองด้วยมาคุยกันเพราะ
00:01:09 → 00:01:12 ว่าก็อยากจะรู้ว่าเออบางทีนะเราเราไม่ได้
00:01:12 → 00:01:15 มองว่าตัวเราเก่งนะคะแต่ว่าพอเราออกมาสู่
00:01:15 → 00:01:18 สังคมภายนอกที่เรียกว่าเปิดตัวเองมากขึ้น
00:01:18 → 00:01:21 มาทำอะไรที่มันแปลกใหม่มากขึ้นเนี่ยเราจะ
00:01:21 → 00:01:24 เริ่มเห็นคนเก่งๆเนี่ยเยอะแยะไปหมดเลยจน
00:01:24 → 00:01:26 กลายเป็นว่าเอ๊ะวันนึงเรากลับมามองตัวเอง
00:01:26 → 00:01:30 ตกลงเราเนี่ยเก่งอะไรวันนี้คุยกับผู้ช่วย
00:01:30 → 00:01:32 ศาสตราจารย์ดรจันทวิภาดิลกสัมพันธ์ผู้ทรง
00:01:32 → 00:01:34 คุณวุฒิมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ
00:01:34 → 00:01:36 เจ้าพระยาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์
00:01:36 → 00:01:39 และครอบครัวค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์ขาค่ะ
00:01:39 → 00:01:41 สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะทุกท่านผู้ฟังทุกท่าน
00:01:41 → 00:01:43 ค่ะเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่ใช้ตัว
00:01:43 → 00:01:46 แสดงแทนหรือใช้สแตนอินใด
00:01:46 → 00:01:51 ๆในกรณีของคุณสุรีพรเนี่ยนะคะเอ่ออาจารย์
00:01:51 → 00:01:55 วิภาขอมองว่าเป็นการมองตัวเองในเชิงบวกใน
00:01:55 → 00:01:58 เชิงบวกที่ว่าสำหรับความรู้สึกนี้นะคะ
00:01:58 → 00:02:00 ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่เก่งพอเนี่ย
00:02:00 → 00:02:03 เป็นการมองในเชิงบวกเพราะถูกปลูกฝังใน
00:02:03 → 00:02:08 เรื่องของการอ่อนน้อมถ่อมตนอ้าวเข้าใจ
00:02:08 → 00:02:12 ยังคุณสุรีพรน่าจะอยู่ในครอบครัวที่ถูก
00:02:12 → 00:02:16 สอนมาหรือคุณพ่อคุณแม่ที่จะไม่ค่อยชมลูก
00:02:16 → 00:02:19 ค่ะนึกออกมั้ยคะทำให้เกิดเอ่อเราถูกถูก
00:02:20 → 00:02:24 ปลูกฝังมาว่าเอ้ยอย่าไปทะนงตัวนะเราต้อง
00:02:24 → 00:02:28 ถ่อมตัวนะถึงเราดีเราก็ไม่โชว์นะเพราะว่า
00:02:28 → 00:02:33 เราต้องเก็บตัวถนมมถนมมไว้หน่อยแหมภาษาเย
00:02:33 → 00:02:37 นะคำว่าถอมตัวเเรียกถนมถมเนี่ยนะฮะก็คือ
00:02:37 → 00:02:39 ว่าที่จนวิภาบอกว่าเป็นการมองตัวเองใน
00:02:39 → 00:02:42 เชิงบวกเนี่ยไม่ใช่มองตัวเองในเชิงบวกโทษ
00:02:42 → 00:02:45 ค่ะถึงจะมองตัวเองในน่นถ่อมตัวแต่เป็น
00:02:46 → 00:02:48 เชิงบวกต่อตัวเองก็คือว่ามันจะทำให้คุณ
00:02:48 → 00:02:52 สุรีพรเนี่ยคิดว่าตัวเองยังไม่เก่งจึง
00:02:52 → 00:02:56 พัฒนาตัวเองเข้าใจเป่าอเอ้ยมองไปขนาดนี้
00:02:56 → 00:03:00 ได้ึงุรจึงพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆเพราะตั้ง
00:03:00 → 00:03:02 คำถามคนนู้นเก่งจังเลยคนนี้เก่งจังเลยเฮ้
00:03:02 → 00:03:05 แล้วฉันทำอะไรเนี่ยฉันเก่งอะไรเนี่ยฉันก็
00:03:05 → 00:03:07 ต้องพัฒนาขึ้นไปอีกเห็นมั้ยคะบวกถตัวเอง
00:03:07 → 00:03:11 หึยังบวกต่อตัวเองแล้วนะฮะแต่ถ้าเป็นการ
00:03:11 → 00:03:15 มองว่าตัวเองไม่เก่งพอในเชิงลบก็จะมองว่า
00:03:15 → 00:03:19 เฮ้ยฉันไม่เข้าท่าเลยอ่ะฉันด้อย่าฉันอะไร
00:03:19 → 00:03:21 ต่ออะไรเงี้ยก็มันก็จะเลยทำให้ผลกระทบต่อ
00:03:21 → 00:03:24 งานต่อการเรียนต่อการใช้ชีวิตกลุ่มเหล่า
00:03:24 → 00:03:28 เนี้ยเเรียกกลุ่มอาการนี้นะคะค่ะว่าเป็น
00:03:28 → 00:03:32 imposter Syndrome ในภาษาแพทย์นะคะเป็น
00:03:32 → 00:03:35 กลุ่มอาการหรือเป็นเอ่อไม่มันไม่ใช่เป็น
00:03:35 → 00:03:38 ความผิดปกติทางจิตแต่มันเกิดได้กับคนทุก
00:03:38 → 00:03:42 คนนะคะเป็นกลุ่มอาการทางจิตเวทอย่างหนึ่ง
00:03:42 → 00:03:45 นะคะที่จะนำไปสู่พัฒนาไปสู่ความซึมเศร้า
00:03:45 → 00:03:49 ได้โอนะโดยความรู้สึกลบต่อตัวเองไงนะฮะ
00:03:49 → 00:03:51 เป็นความรู้สึกว่าตัวเองด้อย่าไม่เก่งมัน
00:03:52 → 00:03:54 ก็เลยทำให้ขาดความมั่นใจขาดอะไรต่ออะไร
00:03:54 → 00:03:57 อย่างเงี้ยแต่ถามว่าคนปกติมีมั้ยมีทุกคน
00:03:57 → 00:04:00 ค่ะเพียงแต่บอกว่าอะไรก็ตามที่มันมันเกิน
00:04:00 → 00:04:03 เส้นไปอ่ะมากไปน้อยไปเนี่ยมันก็นำไปสู่
00:04:03 → 00:04:06 อันอื่นได้ถูกมั้ยคะนะฮะเพราะฉะนั้นโดย
00:04:06 → 00:04:08 สรุปเนี่ยก็จะบอกว่าไอ้ imposter
00:04:08 → 00:04:10 Syndrome เนี่ยนะคะหรือกลุ่มอาการที่ทำ
00:04:11 → 00:04:13 ให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอสักทีเนี่ยนะ
00:04:13 → 00:04:16 ฮะมันเป็นภาวะที่บุคคลไม่มั่นใจในความ
00:04:16 → 00:04:19 สามารถของตัวเองแล้วก็มักจะตั้งคำถามกับ
00:04:19 → 00:04:22 ความสำเร็จของตัวเองที่ได้รับเสมอนะฮะ
00:04:22 → 00:04:25 เอ่อแล้วกลุ่มเนี้ยก็มักจะตั้งมาตรฐานตัว
00:04:26 → 00:04:29 เองไว้สูงจริงมั้ยคะถามตัวเองนะฮะถามตัว
00:04:29 → 00:04:32 เองเล็กๆมิต้าไหม้ใหญ่ๆม้ามิต้าทำนะคะ
00:04:32 → 00:04:34 แล้วก็พยายามทำงานให้หนักขึ้นหนักขึ้น
00:04:34 → 00:04:37 หนักขึ้นหนักขึ้นนะคะรมันก็เลยเกิดเป็น
00:04:37 → 00:04:40 ความกดดันในการทำงานแล้วก็การใช้ชีวิต
00:04:40 → 00:04:43 แล้วก็ทำให้สุขภาพเสียในที่สุดคุยคุย
00:04:43 → 00:04:45 เรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนอาจารย์แบบว่า
00:04:45 → 00:04:49 รู้เลยรู้จักสุรีพรอย่างแด้วยทองแท้ยแต่
00:04:49 → 00:04:51 อาจารย์มันมันเป็นอย่างงี้ด้วยมั้ยคะว่า
00:04:51 → 00:04:56 พอเราเห็นเจนใหม่ๆเด็กที่ไม่ใช่เป็นเจน x
00:04:56 → 00:04:58 แบบที่เราเป็นอย่างเงี้คะเจน x มันจะมัน
00:04:58 → 00:05:00 จะถูกเลี้ยงดูหรือถูกสั่งสอนหรือการเรียน
00:05:01 → 00:05:03 รู้อะไรต่างๆเนี่ยมันจะคนละแบบพอมาเจอ
00:05:03 → 00:05:06 เด็กรุ่นใหม่ๆปุ๊บเราจะรู้สึกว่าเฮ้ยเไม่
00:05:06 → 00:05:11 เห็นพยายามเลยไม่ใช่ไม่ๆเาก็เก่งแล้วเขา
00:05:11 → 00:05:14 กล้าแสดงออกแล้วเขาก็มีความมั่นใจในตัว
00:05:14 → 00:05:17 เองในทางที่ที่เรารู้สึกว่าเราชื่นชมนะ
00:05:17 → 00:05:21 อะไรแบบเยค่ะเรารู้สึกว่าเฮ้ยเออมันดีอ
00:05:21 → 00:05:24 อะไรประมาณนี้เราก็อยากจะขยิบเอ่อขยบ
00:05:24 → 00:05:26 สเต็ปตัวเองให้ได้ขนาดนั้นแต่เราก็มองว่า
00:05:26 → 00:05:30 เออเราก็พอสมควรแล้วเนาะอายุอร
00:05:30 → 00:05:33 นะค่ะทุกอย่างเนี่ยขึ้นอยู่กับความพอใจ
00:05:33 → 00:05:35 และความสุขในการทำนะคะถ้ามาถามว่าอันนั้น
00:05:36 → 00:05:39 ดีมั้ยอันนี้ดีมั้ยต้องถามตัวเองว่าถ้า
00:05:39 → 00:05:42 เราปรับไปเป็นอย่างเค้าแล้วเนี่ยคุณ
00:05:42 → 00:05:44 สุรีพรมีความสุขมั้ยหรือคุณสุรีพรมีความ
00:05:44 → 00:05:48 สุขอยู่กับการอยู่แบบถนอมถม
00:05:48 → 00:05:52 ที่นะคำมารวมกันแต่เรารู้ว่าเรามีดีแต่
00:05:52 → 00:05:54 เราไม่ต้องแสดงออกก็ได้แต่เมื่อไหร่คนให้
00:05:54 → 00:05:58 เราแสดงออกฉันพร้อมเสมอที่จะแสดงก็ได้มัน
00:05:58 → 00:06:01 อยู่ที่ว่าตรงไหนคุณสุรีพรมีความสุขก็
00:06:01 → 00:06:04 อยู่กับตรงนั้นนะฮะอย่าเอาตัวเองไปเปรียบ
00:06:04 → 00:06:08 เทียบกับใครนะคะค่ะอ่ะเราเรามาดูแล้วกัน
00:06:08 → 00:06:11 ว่าลักษณะนิสัยของคนที่เป็นเอ่อกลุ่ม
00:06:11 → 00:06:13 อาการที่บอกว่ารู้สึกตัวเองไม่เก่งพอไม่
00:06:13 → 00:06:17 ดีพอสักทีเนี่ยมันจะมีความแตกต่างกันใน
00:06:17 → 00:06:20 กลุ่มของเขาอีกนะเป็น 3 แบบอ่าแบบที่ 1
00:06:20 → 00:06:23 ก็คือเป็นพวก perfectionist เลยรักความ
00:06:23 → 00:06:26 สมบูรณ์แบบชัดเจนทุกอย่างต้องเจ๋งต้องสุด
00:06:26 → 00:06:29 ต้องดีที่สุดต้องเพอเฟคที่สุดนะคะค่ะ
00:06:29 → 00:06:33 กลุ่มที่ 2 ชอบทำอะไรต่างๆด้วยตัวเองไม่
00:06:33 → 00:06:37 ไว้ใจใครเลยไม่เชื่อมือใครเลยต้องชั้น
00:06:37 → 00:06:41 เท่านั้นค่ะท่าทางจะคุ้นๆนะกลุ่มเนี้ยนะ
00:06:41 → 00:06:44 คะแล้วก็มากลุ่มที่ 3 นะคะบางคนจะทุ่มเท
00:06:44 → 00:06:46 อย่างหนักกับทุกหน้าที่ที่ตัวเองได้รับ
00:06:46 → 00:06:50 มอบหมายมานะคะซึ่งหากทำไม่สำเร็จก็จะโทษ
00:06:50 → 00:06:52 ตัวเองและคิดว่าตัวเองเนี่ยไม่มีความ
00:06:52 → 00:06:55 สามารถพอเห็นมยคะยังแบ่งย่อยออกเป็น 3
00:06:55 → 00:06:59 กลุ่มเออแต่ว่ามันก็แบบบางข้อมันก็ไม่ได้
00:06:59 → 00:07:02 ได้เคขาย 100% มันก็มีแบบมีปลิ่มๆบ้างมี
00:07:02 → 00:07:05 อะไรบ้างแบบใช่อ่าเพราะฉะนั้นมาดูมาดูว่า
00:07:05 → 00:07:07 3 กลุ่มนี้เ้ามีความคิดหรือความเชื่อยัง
00:07:07 → 00:07:10 ไงแล้วจะเข้าใจว่าทำไมเถึงออกมาเป็นแบบ
00:07:10 → 00:07:13 นั้นเออมีใครเป็นแบบสุริทรบ้างู้ฟังไม่
00:07:13 → 00:07:16 ต้องกลัวค่ะเพื่อนเยอะรับรองได้นะะเพื่อน
00:07:16 → 00:07:19 เยอะค่ะนะฮะเค้าบอกว่าคนทั่วไปที่เข้า
00:07:19 → 00:07:21 ข่ายของกลุ่มเนี้ยนะคะคือกลุ่มที่รู้สึก
00:07:21 → 00:07:24 ตัวเองไม่เก่งพอสักทีเนี่ยนะคะมันจะมี
00:07:24 → 00:07:26 ลักษณะของความเชื่อและความคิดเนี่ยอยู่ 5
00:07:26 → 00:07:29 แบบด้วยกันนะฮะแบบที่ 1 ก็คือคิดว่าตัว
00:07:29 → 00:07:32 เองนั้นไม่ควรได้รับความสำเร็จแม้ว่าจะ
00:07:32 → 00:07:35 ได้รับความชื่นชมจากคนอื่นก็จะเถียงว่า
00:07:35 → 00:07:38 เอ้ยชันไม่เห็นเก่งเลยเอ้ยค้ามาชื่นชมฉัน
00:07:38 → 00:07:41 ได้ไงวะฉันก็แค่นี้เองอะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:07:41 → 00:07:44 มักจะคิดว่าเกิดจากความโชคดีเนาะเกิดจาก
00:07:44 → 00:07:48 การที่เรายกความดีให้กับคนที่มาช่วยเหลือ
00:07:48 → 00:07:50 เรามากกว่าโอ๊ยมันดีเพราะทีมอ่ะไม่ใช่ฉัน
00:07:51 → 00:07:53 หรอกทีมฉันเก่งอะไรอย่างเงี้ยนะคะมากกว่า
00:07:53 → 00:07:56 ที่จะตัวเองทำให้เห็นคุณค่าของตัวเองเ
00:07:56 → 00:07:58 น้อยลงที่เราเรียกว่า Self esteem เนี่ย
00:07:58 → 00:08:02 ไม่สูงเท่าไหร่นะฮะนี่คือกลุ่มที่ 1 นะคะ
00:08:02 → 00:08:04 มากลุ่มที่ 2 จะมีความคิดหรือความเชื่อ
00:08:04 → 00:08:07 ว่าความสำเร็จที่ได้รับไม่ใช่เรื่องน่า
00:08:07 → 00:08:10 ยินดีเท่าไหร่หรอกนะฮะเพราะว่ามันเป็น
00:08:10 → 00:08:13 เรื่องที่ใครๆก็ทำได้นั่นแหละนะฮะมากลุ่ม
00:08:13 → 00:08:16 ที่ 3 จะมีความเชื่อหรือความรู้สึกว่าไม่
00:08:16 → 00:08:20 มั่นใจในความสามารถของตัวเองนะคะบ่อย
00:08:20 → 00:08:23 ครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำในสิ่งใหม่
00:08:23 → 00:08:26 ๆนะคะจะรู้สึกว่ามันใหม่อ่ะฉันยังไม่มี
00:08:26 → 00:08:28 ประสบการณ์มันไม่ดีพอหรอกมันยังไม่ได้อ่ะ
00:08:28 → 00:08:32 อะไอย่างเงี้ยนะคะกลุ่มที่ 4 จะมีความรู้
00:08:32 → 00:08:35 สึกกลัวค่ะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองเไม่
00:08:35 → 00:08:39 เก่งจริงนะคะแล้วก็พยายามปกปิดความรู้สึก
00:08:39 → 00:08:42 ชดเชยด้วยการทำงานให้หนักมากขึ้นนะคะ
00:08:42 → 00:08:45 เพื่อที่จะปกปิดว่าไม่เก่งแต่ฉันทำหน้าดู
00:08:45 → 00:08:48 เลยฉันขยันมากเลยอะไรอย่างเงี้ยนะคะแล้ว
00:08:48 → 00:08:51 ก็มากลุ่มที่ 5 แม้จะเกิดความผิดพลาด
00:08:51 → 00:08:54 เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกว่าตัวเองนะขาด
00:08:54 → 00:08:58 ความรู้ความสามารถนะเพราะว่าถ้าฉันเก่ง
00:08:58 → 00:09:02 จริงมันต้องไม่ไม่พลาดมันต้องไม่พลาดนะฮะ
00:09:02 → 00:09:05 อย่างนี้เป็นต้นนะคะเพราะฉะนั้นความเชื่อ
00:09:05 → 00:09:08 ลักษณะความเชื่อแบบเนี้ยทั้ง 5 แบบเนี่ย
00:09:08 → 00:09:11 จึงนำมาสู่การเห็นคุณค่าของตัวเองต่ำที่
00:09:11 → 00:09:13 เราเรียกว่า low Self esteem นะคะก็คือ
00:09:13 → 00:09:16 ว่าการรับรู้คุณค่าของตัวเองเนี่ยต่ำนะคะ
00:09:16 → 00:09:19 ประสิทธิภาพในการทำงานมันก็เลยลดน้อยถอย
00:09:19 → 00:09:22 ลงเหนื่อยมากเลยค่ะคุณสุรีพรทำงานหนักมาก
00:09:22 → 00:09:25 เลยค่ะค่ะแต่คุณภาพกลับไม่ดีเท่าที่ควร
00:09:25 → 00:09:29 มันดูสวนทางเใช่นะฮะแล้วก็ที่หนักกว่า
00:09:29 → 00:09:32 นั้นก็คือพอมันสะสมสะสมสะสมใช่มั้ยคะทุก
00:09:32 → 00:09:33 อย่างอาจารย์วิภาเคยบอกแล้วว่ามันเกิน
00:09:33 → 00:09:36 เส้นปั๊บมันก็กลายเป็นป่วยทางกายหรือทาง
00:09:36 → 00:09:39 จิตขึ้นมาได้อนะฮะจากความเครียดแล้วก็
00:09:39 → 00:09:42 ความวิตกกังวลที่ทับถมหน่อเนื่องกันมา
00:09:42 → 00:09:44 นั่นแหละค่ะค่ะความเป็น perfectionist
00:09:44 → 00:09:48 อะไรอย่างงี้ค่ะนะฮะทีนี้ถ้ามาดูสาเหตุ
00:09:48 → 00:09:50 สาเหตุของกลุ่มนี้นะคะก็คือกลุ่มอาการที่
00:09:51 → 00:09:53 คิดว่าตัวเองไม่เก่งพอไม่ดีพอสักทีเนี่ย
00:09:53 → 00:09:56 มันมาจากปัจจัย 3 กลุ่มด้วยกันกลุ่มที่ 1
00:09:56 → 00:09:59 ก็คือบุคลิกส่วนตัวของเรานี่แหละค่ะค่ะนะ
00:09:59 → 00:10:02 ฮะมีปัญหาในการรับรู้ความสามารถของตัวเอง
00:10:02 → 00:10:05 นะคะหรือว่าขาดขาดความมั่นคงในอารมณ์นะคะ
00:10:05 → 00:10:09 ขาดความทะเยอทะยานและไม่สามารถทำตามแบบ
00:10:09 → 00:10:13 แผนที่ถูกกำหนดได้นะคะเอ่อรักความเป็น
00:10:13 → 00:10:16 perfectionist มากนะฮะถ้าไม่เป็นไปตาม
00:10:16 → 00:10:19 นี้เป๊ะๆๆๆน่ะก็จะรู้สึกไม่พอใจคับข้องใจ
00:10:19 → 00:10:23 หรือโทษตัวเองและนะฮะทุกอย่างต้อง
00:10:23 → 00:10:26 เพอเฟคฟังนี่คือบุคลิกภาพของเขาเองเลยนะ
00:10:26 → 00:10:29 คะอันนี้ดูฟังอันนี้อันนี้คือเออฟังอย่าง
00:10:29 → 00:10:32 เงี้แล้วอ่ะมีความรู้สึกว่าอึดอัดอ่ะค่ะ
00:10:32 → 00:10:35 ความจะต้องเพอเฟคอ่ะค่ะมันอึดอัดอ่ะอึด
00:10:35 → 00:10:37 อัดสิคะเพราะไปสร้างกรอบให้ตัวเองมากเกิน
00:10:37 → 00:10:40 ไปเออนะฮะเดี๋ยวถ้ามีเวลาแล้วจะจะเล่าให้
00:10:40 → 00:10:42 ฟังว่าจันทร์วิภาเองเนี่ยเป็น
00:10:42 → 00:10:44 perfectionist มาตั้งแต่เด็กนะคะแล้ว
00:10:44 → 00:10:48 ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้ไม่มีกรอบของเพฟิแล้ว
00:10:48 → 00:10:49 ทุกอย่างมันต้องเกิดการเรียนรู้และการ
00:10:49 → 00:10:53 พัฒนานะคะแล้วก็แก้ไขได้เห็นมั้ยคะเพราะ
00:10:53 → 00:10:56 ฉะนั้นคนที่บอกว่าเป็นเพอเฟคเนี่ยแล้ว
00:10:56 → 00:10:58 ชีวิตนี้มันจะกดดันมากขึ้นเรื่อยๆเนี่ย
00:10:59 → 00:11:01 เนี่ยไม่ใช่ค่ะคุณเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง
00:11:01 → 00:11:05 ขึ้นกับตัวคุณเองนะคะมาสาเหตุกลุ่มที่ 2
00:11:05 → 00:11:08 ก็คือการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก
00:11:08 → 00:11:10 เมื่อกี้คุณสุรีพรบอกว่าเราเป็นเจน x นะ
00:11:10 → 00:11:13 คะเจน x กันเนี่ยนะคะแน่นอนค่ะเจน x เป็น
00:11:13 → 00:11:16 วัยที่ถูกกดดันจากครอบครัวอยู่แล้วนะฮะคำ
00:11:16 → 00:11:20 สั่งของพ่อแม่คือกฎหมายถูกมั้ยคะประกาสิต
00:11:20 → 00:11:23 เลยประกาสิตไม่ต้องคิดมีหน้าที่ทำตาม
00:11:23 → 00:11:25 อย่างเดียวเพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็จะถูกกด
00:11:25 → 00:11:28 ดันในเรื่องของการเรียนนะการถูกเปรียบ
00:11:28 → 00:11:29 เทียบกับคนอื่น
00:11:29 → 00:11:32 นะคะแล้วก็เอ่อทำให้เกิดความสงสัยในตัว
00:11:32 → 00:11:35 เองทำให้ความมั่นใจในตัวเองต่ำลงแล้วก็
00:11:35 → 00:11:38 กังวลกับคนอื่นว่าตัวมองตัวเองเราไม่ดี
00:11:38 → 00:11:41 สักพอไม่ดีพอสักทีเพราะเราเกิดมาในกลุ่ม
00:11:41 → 00:11:45 ที่พ่อแม่ไม่เคยชมลูกจริงไม่จริงนะฮะเด็ก
00:11:45 → 00:11:47 ในยุคนั้นเนี่ยพ่อแม่จะมองว่าการชมลูกจะ
00:11:47 → 00:11:49 ทำให้ลูกเหลิงเพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยให้
00:11:50 → 00:11:54 กำลังใจในการชมแต่ถ้าทำผิดเมื่อไหร่
00:11:54 → 00:11:58 โดนนะฮะเพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจคนรุ่น
00:11:58 → 00:12:00 เก่าเราก็ก็จะเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ว่าทำไมเ
00:12:00 → 00:12:05 ถึงมีพฤตกรรมแบบนี้ค่ะนะคะค่ะมากลุ่มที่ 3
00:12:05 → 00:12:08 ค่ะอันนี้เป็นกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพจิต
00:12:08 → 00:12:11 เลยนะคะก็คือว่าเช่นเป็นพวกวิตกกังวลเกิน
00:12:11 → 00:12:14 กว่าเหตุนะคะหรือว่าซึมเศร้าหนักขึ้นอะไร
00:12:14 → 00:12:17 อย่างเนี้ยนะคะก็จะทำให้เกิดความสงสัยใน
00:12:17 → 00:12:19 ตัวเองความมั่นใจในตัวเองต่ำแล้วก็กังวล
00:12:19 → 00:12:22 ตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ดีอันนี้ถึงเข้าเข้า
00:12:22 → 00:12:25 ข่ายมีปัญหาสุขภาพจิตและเห็นมั้ยคะว่ามัน
00:12:25 → 00:12:28 มาได้จาก 3 กลุ่มด้วยกันนะคะเราก็ลองมา
00:12:28 → 00:12:32 พิจพิจารณาดูทีนี้ถ้าเราเป็นแล้วนะคะหรือ
00:12:32 → 00:12:34 เราเอ้ยตายแล้วฉันเข้ากลุ่มนี้แล้วว่ะไม่
00:12:34 → 00:12:37 เคยเห็นตัวเองดีพอสักทีนึงมันก็มองลบกับ
00:12:37 → 00:12:39 ตัวเองใช่มั้ยคะเราก็ควรที่จะต้องรับมือ
00:12:39 → 00:12:42 กับมันให้ได้นะคะวิธีการรับมือของมัน
00:12:42 → 00:12:45 เนี่ยนะคะในเมืองจากกลุ่มอาการเนี้ยมัน
00:12:45 → 00:12:48 เป็นภาวะที่สามารถรับมือได้โดยการปรับ
00:12:48 → 00:12:52 เปลี่ยนมุมมองของความคิดค่ะนะคะอย่างแรก
00:12:52 → 00:12:56 เลยควรจะมีมุมมองว่าอาการแบบเนี้ยอาการ
00:12:56 → 00:12:57 ถน่อมตน
00:12:57 → 00:13:02 เนี่ยมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนค่ะนะคะแล้ว
00:13:02 → 00:13:05 ก็ไม่มีใครที่ไม่ประไม่มีใครที่ประสบความ
00:13:05 → 00:13:09 สำเร็จในทุกเรื่องนะคะทุกคนต้องมีข้อผิด
00:13:09 → 00:13:12 พลาดทุกคนต้องรู้จักการหกล้มทุกคการล้ม
00:13:12 → 00:13:16 เหลวการผิดพลาดนะฮะไม่มีใครที่ทำแล้ว
00:13:16 → 00:13:20 สำเร็จนะคะตลอดเวลาเอางี้ะกันนะฮะหรือทุก
00:13:20 → 00:13:24 เรื่องนะคะนี่คือความคิดแบบที่ 1 ความคิด
00:13:24 → 00:13:26 แบบที่ 2 ก็คือว่าประเมินข้อดีข้อด้อยของ
00:13:27 → 00:13:30 ตัวเองด้วยความยุติธรรมนะคะแล้วก็อันไหน
00:13:30 → 00:13:33 มันดีแล้วก็พัฒนามันให้ดีขึ้นอันไหนมัน
00:13:33 → 00:13:35 ยังไม่ดีหรือมันด้อยก็ปรับปรุงและพัฒนา
00:13:35 → 00:13:38 ความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งๆขึ้นไปก็จะ
00:13:38 → 00:13:43 ช่วยลบล้างไอ้อาการแบบนั้นลงไปได้นะคะแนว
00:13:43 → 00:13:47 ทางที่ 3 ก็คือชื่นชมความสำเร็จของตัวเอง
00:13:47 → 00:13:50 บ่อยๆนะคะถ้ามันไม่มีของใหม่มาก็ชื่นชม
00:13:50 → 00:13:53 ของเก่าค่ะนะคะเช่นนึกถึงผลงานที่เราเคย
00:13:53 → 00:13:56 ทำได้ดีหรือคำชมที่เจ้านายเคยให้ลูกน้อง
00:13:56 → 00:13:59 เคยให้มาเป็นกำลังใจให้กับตัวเรานะคะอยู่
00:13:59 → 00:14:04 เรื่อยๆค่ะแล้วก็พ่อแม่ค่ะแนวทางต่อไปนะ
00:14:04 → 00:14:07 คะสำหรับเราจะมีลูกต่อไปหรือคนที่จะ
00:14:07 → 00:14:09 เลี้ยงดูเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่อยากให้มี
00:14:09 → 00:14:12 อาการแบบเนี้ยนะคะก็คือพ่อแม่ควรจะชื่นชม
00:14:12 → 00:14:15 ลูกโดยให้ความสำคัญกับความพยายามมากกว่า
00:14:15 → 00:14:18 ผลลัพธ์หรือการชมว่าเก่งหรือไม่เก่งค่ะ
00:14:18 → 00:14:22 แต่ว่าอูยลูกพยายามแม่เห็นลูกพยายามแค่
00:14:22 → 00:14:25 นี้แม่ก็ปลื้มใจแล้วลูกไม่ได้ไม่ได้ชนะ
00:14:25 → 00:14:29 อย่างเช่นใจวิภาเคยไปดูงานประกร้องเพลง
00:14:29 → 00:14:33 ของเด็กไงคะค่ะคือเห็นแล้วบางทีเป็นห่วง
00:14:33 → 00:14:36 เด็กอ่ะคือคุณพ่อคุณแม่บางคนดุเด็กรุนแรง
00:14:36 → 00:14:39 มากเมื่อเด็กร้องเพลงลงมาแล้วแพ้ค่ะนึก
00:14:39 → 00:14:42 ออกมั้ยคะโคือคือมีความรู้สึกว่ามันไม่
00:14:42 → 00:14:45 ถูกต้องอ่ะแต่เราควรจะให้ความสำคัญว่า
00:14:45 → 00:14:47 โอ๊ยลูกแม่ได้แค่นี้เข้ามารอบนี้แม่ก็ดี
00:14:47 → 00:14:50 ใจแล้วลูกแม่ภูมิใจที่สุดแล้วอะไรอย่าง
00:14:50 → 00:14:53 เงี้ยดีกว่าใช่มั้ยคะให้ลูกรู้สึกว่าตัว
00:14:53 → 00:14:56 เองทำในสิ่งที่มีคุณค่าแล้วแล้วก็สอนให้
00:14:56 → 00:14:59 รู้รู้จักรับมือกับความผิดหวังไม่ใช่พ่อ
00:14:59 → 00:15:02 แม่ไปอย่างนั้นเเด็กจะยิ่งใจเสียอยู่แล้ว
00:15:02 → 00:15:05 ว่าตัวเองแพ้ลงมาแทนที่จะมีคนปลอบอารมณ์
00:15:05 → 00:15:08 ใจเด็กจะยิ่งแย่เลยกระเจกระเจิงเลยนะฮะ
00:15:08 → 00:15:11 แล้วทำให้เด็กไปไม่ถูกแล้วว่าต่อไปนี้ฉัน
00:15:11 → 00:15:13 จะต้องไม่แพ้เหรอหรือต่อไปนี้ฉันไม่ควรจะ
00:15:13 → 00:15:15 เข้าแข่งอะไรอีกแล้วอะไรอย่างเงี้ยค่ะนะ
00:15:15 → 00:15:19 คะความมั่นใจไปเลยค่ะแล้วก็ไม่เปรียบ
00:15:19 → 00:15:21 เทียบตัวเองกับคนอื่นนะฮะเปลี่ยนแนวความ
00:15:21 → 00:15:23 คิดนะคะลบล้างเรื่องการเปรียบเทียบกับคน
00:15:24 → 00:15:25 อื่นเพราะทุกคนเนี่ยมันแตกต่างกันอยู่
00:15:25 → 00:15:28 แล้วในเรื่องของความสามารถและความถนัดนะ
00:15:28 → 00:15:30 คะทุกคนมีดีของตัวเองจารย์วิภาชอบมากเลย
00:15:30 → 00:15:33 ค่ะ you are the one เนี่ยนะฮะคุณเป็น
00:15:33 → 00:15:35 หนึ่งเดียวคนนี้เนี่ยนะฮะที่ไม่มีใคร
00:15:35 → 00:15:38 เหมือนเนี่ยนะคะค่ะเพราะว่าเรามันจะทำให้
00:15:38 → 00:15:41 เราเกิดความมั่นใจนะจันทร์วิภาก็มี 1
00:15:41 → 00:15:43 จันทร์วิภาเท่านั้นในโลกนี้สุรีพรก็มี 1
00:15:43 → 00:15:46 สุรีพรเท่านั้นเราไม่ต้องเปรียบเทียบกับ
00:15:46 → 00:15:48 ใครค่ะเพราะในสิ่งที่เราเก่งคนอื่นอาจจะ
00:15:48 → 00:15:51 ไม่เก่งในสิ่งที่คนอื่นเก่งเราอาจจะไม่
00:15:51 → 00:15:54 เก่งแต่ไม่มีใครเหมือนเราค่ะนะเป็นแอนทีค
00:15:54 → 00:15:58 อยู่คนเดียวค่ะนะคะค่ะนะคะแล้วแนวทางทาง
00:15:58 → 00:16:01 สุดท้ายก็คือให้ปรึกษาคนใกล้ชิดเวลาที่
00:16:01 → 00:16:03 เรารู้สึกอย่างเงี้ยนะคะรู้สึกท้อแท้หรือ
00:16:03 → 00:16:06 รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยเ่อไม่เก่งไม่ดี
00:16:06 → 00:16:09 เนี่ยลองคุยกับครอบครัวคุยกับเพื่อนสนิท
00:16:09 → 00:16:12 เพื่อนร่วมงานนะคะให้เกิดความสบายใจแล้ว
00:16:12 → 00:16:15 ก็อาจจะได้รับคำแนะนำหรือแก้ไขปัญหาดีๆ
00:16:15 → 00:16:19 ที่มีมุมมองดีๆนะคะอย่างคุณสุรีพรก็บอก
00:16:19 → 00:16:22 ว่าเนี่ยถ้าเจออาจารย์จารย์วิภาเนี่ยก็จะ
00:16:22 → 00:16:25 ได้มุมมองอะไรแปลกๆที่เราคิดไม่ถึงอะไร
00:16:25 → 00:16:27 อย่างเงี้ยนั่นก็เป็นกัลยาณมิตรต่อกันใช่
00:16:27 → 00:16:31 มั้ยคะที่อาจคนะนที่เรารไปแกปัญหาที่เกิด
00:16:31 → 00:16:34 ขึ้นหรือว่าประสบการณ์ชีวิตเมันทำให้คน
00:16:34 → 00:16:37 เราเนี่ยมันแตกต่างกันน่ะมันไม่เหมือนกัน
00:16:37 → 00:16:41 น่ะนะคะใช่ค่ะซึ่งก็เคยได้รับคำแนะนำจาก
00:16:41 → 00:16:43 อาจารย์มาแล้วค่ะแล้วก็ตอนนี้ชีวิตดีขึ้น
00:16:43 → 00:16:47 กว่าเดิมเยอะไม่งั้นตายไปแล้วค่ะคุณผู้
00:16:47 → 00:16:51 ฟังนะฮะเพราะฉะนั้นเนี่ยโดยสรุปของอาการเ
00:16:51 → 00:16:54 นะคะถึงแม้ว่าไอ้ impos Syndrome หรือ
00:16:54 → 00:16:56 ไอ้ไอความความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ
00:16:56 → 00:16:59 ไม่ดีพอเนี่ยมันจะไม่ใช่ความผิดผปกติทาง
00:16:59 → 00:17:02 จิตที่ต้องรักษาก็ตามนะคะแต่ถ้าปล่อยทิ้ง
00:17:02 → 00:17:06 ไว้นะคะในระยะยาวของชีวิตเนี่ยแล้วเราไม่
00:17:06 → 00:17:09 ปรับความคิดในแง่บวกแง่ลบกับตัวเองเนี่ย
00:17:09 → 00:17:12 นะคะความเชื่อมั่นในตัวเองเนี่ยมันก็จะลด
00:17:12 → 00:17:15 ลงนะฮะมันก็จะทำให้ชีวิตเราแย่ลงแต่ถ้า
00:17:15 → 00:17:18 เรามีการปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ต้นมือนะคะ
00:17:18 → 00:17:21 ค่อยๆแก้ไขปรับปรุงไปความเชื่อมั่นเราก็
00:17:21 → 00:17:24 จะเพิ่มขึ้นความกดดันตัวเองก็จะไม่มีนะคะ
00:17:24 → 00:17:26 แล้วก็จะยอมรับในความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
00:17:26 → 00:17:29 แล้วเราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุได้นะคะ
00:17:29 → 00:17:33 อแต่ถ้าเรารับมือมันไม่ได้ด้วยตนเองจัน
00:17:33 → 00:17:36 วิภาก็แนะนำให้เดินเข้าไปหาจิตแพทย์เถอะ
00:17:36 → 00:17:38 ค่ะค่ะนะฮะเขาคก็จะมีทีมอย่างที่บอกว่า
00:17:39 → 00:17:41 คุณหมออาจจะไม่ได้ต้องรักษาให้ยาอะไรแต่
00:17:41 → 00:17:45 เขาอาจจะมีนักพฤติกรรมบำบัดนนักจิตบำบัด
00:17:45 → 00:17:48 นักจิตวิทยาที่จะช่วยเหลือเราได้มากมายที
00:17:48 → 00:17:51 เดียวค่ะค่ะอืก็ยังโชคดีที่ไม่ถึงขั้น
00:17:51 → 00:17:54 ขนาดต้องไปแนวนั้นนะคะเพียแค่ว่าเฟลๆใน
00:17:54 → 00:17:57 บางทีแต่วันไหนที่เรารู้สึกว่างานบาง
00:17:57 → 00:18:00 อย่างที่ที่มันยากแล้วไม่เคยทำมาก่อนแล้ว
00:18:00 → 00:18:03 เราทำได้เนี่ยมันฟูมากเลยค่ะอาจารย์มัน
00:18:03 → 00:18:07 รู้สึกว่าเฮ้ยเราก็ทำได้นี่เฮ้ยโอเคเลย
00:18:07 → 00:18:09 อะไรประมาณเนี้ยหรือว่าในการแก้ปัญหาบาง
00:18:10 → 00:18:13 อย่างที่เราแก้ได้ด้วยตัวเองแล้วมันทำให้
00:18:13 → 00:18:15 งานมันเดินต่อได้เงี้ยมันก็จะภูมิใจในตัว
00:18:15 → 00:18:18 เองเหมือนกันเพียงแต่ว่าเราอาจจะแบบเป็น
00:18:18 → 00:18:21 ความภูมิใจของเราอยู่ในมุมของเราค่ะอะไร
00:18:21 → 00:18:23 ประมาณนี้เเมื่อกี้ที่อาจารย์บอกว่า
00:18:23 → 00:18:27 อาจารย์เนี่ยเคยมีความเป็น perfectionist
00:18:27 → 00:18:31 มากมาก่อนตอนนู้นเนี่ยอาจารย์เป็นยังไง
00:18:31 → 00:18:34 เดีวขอแชร์ประสบการณ์แชร์ความเป็นเพฟเรา
00:18:35 → 00:18:38 เหลือกี่นาทีคะได้อยู่เลยค่ะพอสมควรเลย
00:18:38 → 00:18:40 ค่ะอาจารย์นะคะก็คืออาจารย์วิพาเนี่ยเติบ
00:18:40 → 00:18:44 โตมาในครอบครัวที่ถูกสอนให้เป็นเพฟิโดย
00:18:44 → 00:18:47 คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไม่ได้เป๊ะๆอย่าง
00:18:47 → 00:18:49 นั้นนะฮะแต่ความที่เราถูกหล่อหลอมมาแล้ว
00:18:49 → 00:18:53 บวกกับบุคลิกภาพของเราด้วยเนี่ยนะคะอ่ายก
00:18:53 → 00:18:55 ตัวอย่างเช่นที่บ้านเนี่ยมีพี่น้อง 4 คน
00:18:55 → 00:18:59 นะฮะคุณพ่อแม่ก็จะซื้อของใช้ให้เนี่ย 4
00:18:59 → 00:19:02 สีอืสีประจำตัวของพี่สาวคนโตคือสีสี
00:19:02 → 00:19:06 เหลืองค่ะพี่ชายคนที่ 2 สีฟ้าออกน้ำเงิน
00:19:06 → 00:19:09 ้ำงินนะฮะสีน้ำเงินตัวเราเนี่ยสีแดงแล้ว
00:19:09 → 00:19:12 น้องชายคนเล็กเนี่ยสีเขียวไม่ว่าจะเป็น
00:19:12 → 00:19:16 จานชามช้อนซ้อมขันอะไรแก้วน้ำอสีประจำตัว
00:19:16 → 00:19:19 อะไรอย่างเงี้ยค่ะของใครของมันเพราะพอดี
00:19:19 → 00:19:21 เป็นครอบครัวสุขภาพก็คือคุณพ่อเป็นหมอคุณ
00:19:21 → 00:19:24 แม่เป็นพยาบาลนะคะความสะอาดนี่ต้องเป๊ะ
00:19:24 → 00:19:26 อะไรอย่างเงี้ยนะคะหมอนที่ใช้หนุนหัวจะ
00:19:26 → 00:19:29 เอามารองเท้าไม่ได้หมอนที่อะไรอย่างเงี้ย
00:19:29 → 00:19:32 เป็นระเบียบอ่ะนะฮะแล้วคุณแม่ก็ถูกเลี้ยง
00:19:32 → 00:19:33 มาใน
00:19:33 → 00:19:37 วังโอต้องจเลยอ่านะคเพราะฉะนั้นมันก็จะ
00:19:37 → 00:19:40 ขึ้นกับกระเบียบอะไรต่างๆเหล่าเนี้ยนะคะ
00:19:40 → 00:19:43 แล้วบวกกับตัวเราเองด้วยที่เราถูกฝึกมา
00:19:43 → 00:19:46 ฝึกตัวเองให้เป็น Perfect เหมือนเป็น
00:19:46 → 00:19:49 คอนกรีตเสริมเหล็กนะคะพอถึงเวลาทำงาน
00:19:49 → 00:19:52 เนี่ยเรียนหนังสือหรือทำงานก็ตามเนี่ยสาย
00:19:52 → 00:19:56 ไม่ได้ขาดไม่ได้ลาไม่ได้การบ้านต้องเป๊ะ
00:19:56 → 00:19:59 ไม่มีคำว่าผลัดวันประกันพุ่งโอหอะไรอย่าง
00:19:59 → 00:20:02 เงี้นึกออกมคะตั้งแต่เด็กนะฮะจนกระทั่ง
00:20:02 → 00:20:04 วันนึงเนี่ยชีวิตมันมีความรู้สึกว่ามัน
00:20:05 → 00:20:08 มันแน่นล่ะมันอึดอัดและอืมันมีความรู้สึก
00:20:08 → 00:20:10 ว่าเกไม่ได้อ่ะนึกออกมั้ยคะบางทีมันมี
00:20:10 → 00:20:13 อารมณ์อยากเกในบางครั้งเนี่ยมันมีอารมณ์
00:20:13 → 00:20:16 อยากเกเช่นวันนี้สมมุติว่าเราไม่อยากไปทำ
00:20:16 → 00:20:18 งานเลยอ่ะมันไม่มีอารมณ์ที่จะไปพบใครเลย
00:20:19 → 00:20:21 ด้วยด้วยความรู้สึกทุกข์ใจหรืออะไรก็ตาม
00:20:21 → 00:20:24 ก็ต้องไปอือะไรทำนองเนี้ยนะคะโดยภาระหน้า
00:20:24 → 00:20:27 ที่อะไรเงี้ยจนกระทั่งมันรู้สึกมันไม่ไหว
00:20:27 → 00:20:32 แล้วนะคะจารนิภาก็เลยมีคนแนะนำให้ไปพบ
00:20:32 → 00:20:34 จิตแพทย์ซึ่งเป็นอาจารย์จิตแพทย์ที่น่า
00:20:34 → 00:20:37 รักมากนะคะอาจารย์วิภาก็เดินไปพบท่านนะคะ
00:20:38 → 00:20:40 แล้วเรามีความรู้สึกว่าขณะนี้เราอึดอัด
00:20:40 → 00:20:43 แล้วเราก็ไม่เริ่มมีความรู้สึกเศร้าเรา
00:20:43 → 00:20:45 เริ่มมีความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างที่เรา
00:20:45 → 00:20:48 ไม่เคยเป็นนะคะก็คุยกันจนกระทั่งท่านชี้
00:20:48 → 00:20:52 ให้เห็นท่านชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเราอืนะ
00:20:52 → 00:20:55 คะแล้วก็เราก็ถามย้ำกับท่านว่าหนูไม่ได้
00:20:55 → 00:20:58 เป็นอะไรมากกว่าเอ่อภาษาแพทย์เค้าเรียก
00:20:58 → 00:21:00 เรียกสตสเอ่อความเครียดใช่มั้ยคะบอกค่ะ
00:21:00 → 00:21:04 แต่หนูไม่รู้จักวิธีระบายออกอ๋อนะฮะเพราะ
00:21:04 → 00:21:07 ว่าอาจารย์ท่านบอกว่าคือเราเราเนี่ยนะคะ
00:21:07 → 00:21:11 เป็นคนที่ปกติคนเขาจะมีความระระบายอารมณ์
00:21:11 → 00:21:14 เนี่ยด้วยการเที่ยวช้อปปิ้งอ่าอ่าหรือดู
00:21:14 → 00:21:17 หนังฟังเพลงอะไรก็แล้วแต่ใช้เงินน่ะซื้อ
00:21:17 → 00:21:19 เสื้อผ้าข้าวของจารย์วิภาไม่เคยทำอะไรเลย
00:21:19 → 00:21:22 แบบนั้นคือโอ๋ไม่เคยระบายออกไม่เคยระบาย
00:21:22 → 00:21:26 ออกเลยแม้แต่การที่จะบ่นก็จะกลายเป็นการ
00:21:26 → 00:21:29 นินทาเพราะฉะนั้นก็ไม่กล้าบ่นหรือระบาย
00:21:29 → 00:21:31 ความทุกข์กับใคร
00:21:31 → 00:21:34 อืสมัยก่อนคือเป็นอย่างงั้นจงเก็บทุก
00:21:34 → 00:21:36 อย่างเลยนะฮะจะกระแทกกระทั้นอะไรแรงๆนี่
00:21:36 → 00:21:40 ทำไม่ได้ไม่ได้เลยนะคะแม่เอาตายเลยนะคะ
00:21:40 → 00:21:42 เพราะฉะนั้นเนี่ยท่านก็มาสอนวิธี release
00:21:42 → 00:21:45 tension ให้กับเรานะฮะก็คือการระบายออก
00:21:45 → 00:21:49 ทางทางอารมณ์ทางความให้มันได้ระเบิด
00:21:49 → 00:21:52 อารมณ์ไอ้ความอัดอั้นออกไปเนี่ยนะคะจนใน
00:21:52 → 00:21:54 ที่สุดเนี่ยค่ะจากการประคับประคองของท่าน
00:21:54 → 00:21:57 อาจารย์ท่านเนี้ยนะคะเอ่ยชื่อท่านก็ได้นะ
00:21:57 → 00:22:00 ฮะศาตราจารย์แพทย์หญิงอรพันธ์ทอนแตงทอง
00:22:00 → 00:22:03 แตงนะคะท่านเป็นมีคุณูปการกับอาจารย์วิภา
00:22:03 → 00:22:07 มากนะคะแล้วก็ท่านสอนในการการ release
00:22:07 → 00:22:09 tension หรือการ speak Out หรือการพูด
00:22:09 → 00:22:12 ออกมาในสิ่งที่เราอัดอั้นตันใจนะคะทำให้
00:22:12 → 00:22:14 ชีวิตดีขึ้นมากมายจากนั้นจาร์วิภาก็
00:22:14 → 00:22:16 เปลี่ยนตัวเองจากที่คอนกรีตเสริมเหล็ก
00:22:16 → 00:22:19 เนี่ยค่ะรื้อออกหมดเลยแล้วก็ทำตัวเองเป็น
00:22:19 → 00:22:23 หยดน้ำค่ะน้ำนก็คือมันไปได้ทุกภาชนะไม่
00:22:23 → 00:22:26 ว่ามันจะอยู่ในขวดมันจะอยู่ในชามมันจะมัน
00:22:26 → 00:22:28 ก็เลื่อนไหลไปได้แต่เขก็ที่ขอบเขตอาณาเขต
00:22:28 → 00:22:32 ของน้ำของเขาค่ะถูกมั้ยคะค่ะแล้วจากนั้น
00:22:32 → 00:22:34 เนี่ยการปรับตัวจากที่ไปนอนค้างกับใครก็
00:22:34 → 00:22:38 ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้ไปกินของใช้ร่วมกับคน
00:22:38 → 00:22:40 อื่นก็ไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยมันปรับกลาย
00:22:40 → 00:22:43 เป็นตัวเองเนี่ยเลื่อนไหลไปได้ทุกสถานที่
00:22:43 → 00:22:45 เข้าได้กับคนทุกคนอะไรต่างๆเหล่านี้ค่ะ
00:22:45 → 00:22:48 ชีวิตมันดี๊ๆค่ะคุณ
00:22:48 → 00:22:51 สุรีพรอยากจะบอกว่ายืนยันว่าจริงๆเพราว่า
00:22:51 → 00:22:55 ตอนนี้อาจารย์ไปทุกที่มีความสุขกับทุกคน
00:22:55 → 00:22:56 ขับรถพาเพื่อนเที่ยว
00:22:56 → 00:23:00 ด้วยไม่ธรรมดาจริงๆอ๋อคือความที่เราแบบ
00:23:00 → 00:23:02 เอ่อเ้าเรียกอะไรอ่ะเราไม่เคยรู้ว่ามัน
00:23:02 → 00:23:05 มันการระบายมันเป็นยังไงยใช่ไม่เคยเรียน
00:23:05 → 00:23:07 รู้ว่าการระบายเป็นยังไงอย่างเช่นสมมุติ
00:23:07 → 00:23:11 ว่าเอ่อเราโมโหเงี้ยนะคะเราอยากจะฟาดอะไร
00:23:11 → 00:23:14 ไปแรงๆเนี่ยเราทำไม่ได้ไงอแสดงว่าใน
00:23:14 → 00:23:16 ครอบครัวอาจารย์คือไม่มีอะไรแบบนี้ให้
00:23:16 → 00:23:19 เห็นใช่ค่ะสมมุติว่าโกรธพ่อแม่เนี่ยแล้ว
00:23:19 → 00:23:22 จะกระทืบเท้าปึงๆออกไปเนี่ยตายอย่างเดียว
00:23:22 → 00:23:26 เลยโดนฟาดขาแโดนแน่ๆเลยนะฮะคุณพ่อแม่ไม่
00:23:26 → 00:23:29 เคยตีนะคะแต่มันเป็นการทำโทษทางจิตใจที่
00:23:29 → 00:23:32 เราจะรู้สึกว่าเราเนี่ยผิดมากถ้าทำผิด
00:23:32 → 00:23:35 หรือว่าไปฟาดประตูปั้งอะไรอย่างเงี้ยมัน
00:23:35 → 00:23:38 ทำไม่ได้อ่ะค่ะเราถูกสอนมาไม่ให้ทำอ่ะมัน
00:23:38 → 00:23:40 เป็นมารยาทที่รามมากอ่ะเออๆจริงคนสมัย
00:23:40 → 00:23:44 ก่อนแต่เอย่าอย่างสุริก็เหมือนอาจารย์
00:23:44 → 00:23:47 วิภาก็ไม่เล่นกีฬาไม่ใช้เงินไม่เที่ยวไม่
00:23:47 → 00:23:49 เตร่ไม่ซื้อของอะไรสักอย่างนึงไงคะทำแต่
00:23:49 → 00:23:55 งานงานๆๆกับหน้าที่โอ้โหในที่สุดความเป็น
00:23:55 → 00:23:59 เพฟิก็ได้ละลายหายไปไปแต่ยังก็ยังมีความ
00:23:59 → 00:24:02 คงนั้นอยู่เพียงแค่ว่าเรายืดหยุ่นค่ะค่ะ
00:24:02 → 00:24:04 มีความยืดหยุ่นใช่ต้องใช้คำนี้มีความยืด
00:24:04 → 00:24:13 หยุ่นกับชีวิตมากขึ้นแต่ถามว่าหายไปโดย
00:24:13 → 00:24:20 [เสียงหัวเราะ]
00:24:20 → 00:24:24 ปราศนิลแปลงไปนะคะอย่างบ้านสะอาดก็ยังมี
00:24:24 → 00:24:27 มุมรกๆบ้างอะไรอย่างเงี้ยนะคะไม่ต้อง
00:24:27 → 00:24:29 Perfect เออเพอเฟคทุกอย่างเนาะอาจารย์
00:24:29 → 00:24:32 เนาแต่ว่ามันก็ดีขึ้นมีความสุขขึ้นโอ๊วัน
00:24:32 → 00:24:35 นี้ได้แบ่งปันแชร์กับอาจารย์สนุกดีค่ะคุณ
00:24:35 → 00:24:37 ผู้ฟังแล้วก็เอาประสบการณ์ตัวเองที่เป็น
00:24:37 → 00:24:39 เนี่ยแชร์คุณผู้ฟังด้วยว่าเชื่อว่ามันน่า
00:24:39 → 00:24:41 จะมีคนเป็นเหมือนเรานี่แหละเพียแต่แค่ว่า
00:24:41 → 00:24:44 เยอะเยอะค่ะไม่ไม่รู้จะไปคุยตรงไหนหรือ
00:24:44 → 00:24:46 ฟังจากตรงไหนอันนี้อันนี้ก็เป็นแนวทางนะ
00:24:46 → 00:24:49 คะวันนี้ขอบคุณอาจารย์ค่ะสวัสดีค่ะค่ะ
00:24:49 → 00:24:52 สวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังคะพบกัน
00:24:52 → 00:24:54 ใหม่ครั้งหน้าค่ะขอบคุณที่ติดตามรับฟังนะ
00:24:54 → 00:24:57 คะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Toy
00:24:57 → 00:25:00 PBS podcast โอเมก้า 3 ที่มีมากในปลา
00:25:00 → 00:25:02 นอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้วทำไมยังสำคัญ
00:25:02 → 00:25:05 ต่อการบำรุงผิวพรรณโดยเฉพาะใบหน้าผู้ช่วย
00:25:05 → 00:25:08 ศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชจาก
00:25:08 → 00:25:11 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาเล่าให้ฟังครับ
00:25:12 → 00:25:15 เรื่องของความใสของใบหน้านะจริงๆแล้วแบบ
00:25:15 → 00:25:19 ว่าเอ้ยอาหารก็เป็นส่วนนึงนะทุกระบบของ
00:25:19 → 00:25:21 ร่างกายเนี่ยอาจารย์เน้นย้ำเสมอว่ามัน
00:25:21 → 00:25:24 เหมือนจิ๊กซอที่ต้องอาศัยหลายปัจจัยเป็น
00:25:24 → 00:25:27 ส่วนประกอบอ่าบางคนกินอาหารอย่างเดียว
00:25:27 → 00:25:29 แล้วหวังว่าโอ๊ยหน้าจะใสอย่างเดียวเลยโดย
00:25:29 → 00:25:32 ที่คุณไม่ได้ทากิมกันแดดคุณไม่ได้ใช้
00:25:32 → 00:25:36 สกินแครบำรุงหนังหน้าคุณเลยนะมันก็เกิน
00:25:36 → 00:25:39 ต้านเหี่ยวโย่นหย่อนยานไปตามธรรมดาอย่าง
00:25:39 → 00:25:42 เงี้ยอ่าแต่ในขณะที่บางคนเข้าแต่คลินิก
00:25:42 → 00:25:44 เสริมความงามอย่างเดียวเลยเโบท็อก
00:25:44 → 00:25:47 ฟิวเลอร์เลเซอร์ 100 ไหมทรีทเมนเมสเมโส
00:25:47 → 00:25:50 ประโคมเข้าไปที่หนังหน้าเดินมานี่เด้งใน
00:25:50 → 00:25:53 ระยะ 200 เมตเลยหน้าโอเดี๋ยวหน้าือลูก
00:25:53 → 00:25:55 ชิ้นอ่าแต่มันชั่วคราวไงเพราะเขาไม่ได้ดู
00:25:55 → 00:25:57 แลเรื่องอาหารการกินจากภายในมันก็ต้อง
00:25:57 → 00:25:59 ต้องผสานกันหลายๆวิธีการเราพูดถึงเรื่อง
00:25:59 → 00:26:02 อาหารที่ช่วยให้หน้าใสเนาะมันมีส่วนช่วย
00:26:02 → 00:26:04 อย่างที่อาจารย์เน้นย้ำว่าเอ้ยมันสำคัญนะ
00:26:04 → 00:26:07 มันเป็นการดูแลจากภายในแต่การดูแลภายนอก
00:26:07 → 00:26:09 เนี่ยมันก็มีส่วนสำคัญเหมือนกันในการที่
00:26:09 → 00:26:11 คุณแบบจะป้องกันโดยการทาครีมกันแดดโดยใช้
00:26:11 → 00:26:14 ครีมบำรุงแต่ข้างในเนี่ยก็เสริมเข้าไปนะ
00:26:14 → 00:26:18 โดยอาหารกลุ่มแรกเลยที่มีการศึกษาวิจัย
00:26:18 → 00:26:20 ข้อมูลการศึกษาวิจัยว่าโออันเนี้ยมันมี
00:26:20 → 00:26:25 ส่วนช่วยในการที่จะทำให้ชะลอริ้วรอยแห่ง
00:26:25 → 00:26:29 วัยทำให้หน้าเนี่ยของเราเนี่ยขึ้นอืนะก็
00:26:29 → 00:26:31 คือในกลุ่มของไขมันดีที่ได้จากปลาหรือ
00:26:31 → 00:26:34 โอเมก้า 3 อาจารย์บอกเลยว่าหลายสิบการ
00:26:34 → 00:26:36 ศึกษาวิจัยไม่ต่ำกว่า 450 การศึกษาวิจัย
00:26:36 → 00:26:40 ที่พบความสำคัญว่าคนที่กินปลากินโอเมก้า 3
00:26:40 → 00:26:45 จากปลามีริ้วรอยแห่งวัยที่ลดลงชะลอความชล
00:26:45 → 00:26:47 ทางด้านผิวพรรณได้ช่วยต้านการอักเสบแม้
00:26:47 → 00:26:49 กระทั่งวัยรุ่นยังเป็นประโยชน์เลยครับลด
00:26:49 → 00:26:52 สิว
00:26:52 → 00:26:56 อักเสบ This Is Toy PBS
00:26:56 → 00:26:58 podcast
00:26:58 → 00:27:01 ติดตามรายการทางเว็บไซตและ Application
00:27:01 → 00:27:04 ของ Thai PBS podcast spotify
00:27:04 → 00:27:07 soundcloud Google podcast Apple
00:27:07 → 00:27:10 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:27:10 → 00:27:14 podcast Thai PBS podcast View the
00:27:14 → 00:27:16 world via The
00:27:16 → 00:27:25 [เพลง]
00:27:25 → 00:27:28 Voice