00:00:00 → 00:00:02 การรู้จักตัวเองกับการรู้จักเกี่ยวกับตัว
00:00:02 → 00:00:04 เองไม่เหมือนกัน
00:00:04 → 00:00:07 คำว่า Self discovery เนี่ยมันคือการที่
00:00:07 → 00:00:10 เราเข้ามาค้นพบตัวเองจริงๆว่าจริงๆแล้ว
00:00:10 → 00:00:13 อ่ะเรามีแก่นอะไรอยู่ข้างในเราจะมาคุยกัน
00:00:13 → 00:00:17 ในเรื่องของโหราศาสตร์เอามาผนวกกับการที่
00:00:17 → 00:00:19 ให้เข้าใจในเรื่องของตำแหน่งของดวงดาว
00:00:19 → 00:00:22 เพื่อสอดคล้องกับบุคลิกภาพตัวตนของคนๆ
00:00:22 → 00:00:25 นั้นข้อดีข้อเสียเขามีอะไรอยู่ข้างในซ่อน
00:00:25 → 00:00:26 อยู่
00:00:26 → 00:00:28 >> คนที่เขาไม่กล้าเข้าหาเราอะไรเงี้ยเพราะ
00:00:28 → 00:00:29 ดาวภูโตเหรอคะ
00:00:29 → 00:00:30 >> อื
00:00:30 → 00:00:33 จริงๆไม่ได้หยิ่งนะคะแต่ว่าดาวภูโตค่ะ
00:00:33 → 00:00:35 เรื่องขอให้โทษดาวภูโต
00:00:36 → 00:00:38 >> เราจะกลับมาดูในส่วนที่จะดูเป็นข้อเสีย
00:00:38 → 00:00:39 >> อื
00:00:39 → 00:00:41 >> คืออารมณ์
00:00:41 → 00:00:43 >> ถ้าครั้งไหนที่ปล่อยให้ตัวเองอ่ะตอบโต้
00:00:43 → 00:00:46 กลับไปด้วยอารมณ์ชมจะเสียใจทุกครั้งก็
00:00:46 → 00:00:48 เห็นคนที่ด่ามาด่ากลับไม่โกงอะไรเงี้ย
00:00:48 → 00:00:50 แล้วมันสบายอ่ะเอออยากทำแบบแกได้อะไร
00:00:50 → 00:00:55 เงี้ยชมควรทำไงอ่ะเราสามารถฝืนลิขิตฟ้า
00:00:55 → 00:00:58 พลังของดวงดาวได้มั้ยคะ
00:00:58 → 00:01:00 >> คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน On the way
00:01:00 → 00:01:04 with ชม EP นี้คุณนี้แชลิสาผู้ให้คำ
00:01:04 → 00:01:07 ปรึกษาด้านโหราศาสตร์จิตวิทยาเชิงลึกและ
00:01:07 → 00:01:10 พลังงานบำบัดจะมาถอดรหัสดวงดาวเปิดประตู
00:01:10 → 00:01:13 สู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองในมุมที่ลึก
00:01:13 → 00:01:21 ขึ้นเพื่อชีวิตที่สมดุลทั้งกายและใจ
00:01:21 → 00:01:23 วันนี้มีคำถามมากมายไม่รู้จะเริ่มจากอะไร
00:01:23 → 00:01:27 ก่อนดีคุณชมอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรคะ
00:01:27 → 00:01:36 เรื่องสุขภาพภาพกายใจความงามแล้วก็
00:01:36 → 00:01:38 [เพลง]
00:01:38 → 00:01:39 hours later
00:01:39 → 00:01:42 >> ถ้าอยากรู้เยอะขนาดนี้ไปงานนี้ดีกว่าไหคะ
00:01:42 → 00:01:45 ครั้งแรกงานมหกรรมชีวิตและสุขภาพที่ครบ
00:01:45 → 00:01:48 ทุกมิติร่วมทุกศาสตร์การดูแลตัวเองทั้ง
00:01:48 → 00:01:51 กายใจและความงามให้คุณได้ค้นหาเวอร์ชั่น
00:01:51 → 00:01:53 ใหม่ของชีวิต Wellness Talk Health
00:01:53 → 00:01:55 Tech Mindful Living Immersive
00:01:55 → 00:01:58 Experience Life Expo
00:01:58 → 00:02:00 Come explore the better you 15-16
00:02:00 → 00:02:02 พฤศจิกายนดูรายละเอียดในคอมเม
00:02:02 → 00:02:06 >> 15-16 พฤศจิกายนนี้ Live Expo 2
00:02:06 → 00:02:08 >> ครับ Live Expo ไม่ใช่ Expo
00:02:08 → 00:02:10 >> 15-16 พฤศจิกายนนี้
00:02:10 → 00:02:12 >> ครับ
00:02:12 → 00:02:16 >> 15-16 พฤศจิกายนนี้ Live Expo 2025
00:02:16 → 00:02:23 TUOB Live Mpear
00:02:23 → 00:02:26 >> ก่อนอื่นต้องเท้าความค่ะพี่นีคะ
00:02:26 → 00:02:28 >> พอดีว่ารู้จักพี่นีพาผ่านทางเพื่อนสนิทชม
00:02:28 → 00:02:30 คนนึงเป็นเพื่อนแบบเรียนมัธยมมาด้วยกัน
00:02:30 → 00:02:31 เลยแล้วเก็แบบว่าเป็น
00:02:31 → 00:02:32 >> อ
00:02:32 → 00:02:34 >> เป็น FC ของพี่นี
00:02:34 → 00:02:39 >> เออพอดีว่าเป็นเพื่อนที่มีความสนใจแบบ
00:02:39 → 00:02:41 >> เอ่อสอดคล้องกันหลายๆเรื่องทั้งเรื่อง
00:02:41 → 00:02:44 สุขภาพ Wellness แล้วก็แบบว่าการพัฒนาตัว
00:02:44 → 00:02:46 เองอะไรเงี้ยแบบอยากจะเป็นอะไรที่ดีขึ้น
00:02:46 → 00:02:49 อะไรอย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ตอนที่จะมาทำราย
00:02:49 → 00:02:51 การเนี้ยเขาก็บอกว่าเขาอ่ะนึกนึกถึงพี่
00:02:51 → 00:02:54 นีชนก็เลยบอกกับทางทีมงานไปอ่าทีนี้ก็ไป
00:02:54 → 00:02:58 แอบก็ไปแอบดูใน IG อะไรเงี้ยครับ
00:02:58 → 00:02:59 >> แล้วก็ฟังจากที่เพื่อนเล่าอะไรเงี้ยแต่
00:02:59 → 00:03:03 ว่าถามว่าเข้าใจแบบว่าลึกซึ้งมว่าจริงๆ
00:03:03 → 00:03:05 แล้วงานของพี่นีคืออะไรเนี่ยก็ยังไม่เข้า
00:03:06 → 00:03:07 ใจเท่าไหร่เข้าใจว่าอ่ะมันเป็น healing
00:03:07 → 00:03:10 ศาสตร์นึงแหละแต่ว่าเมคนิคมันเป็นยังไง
00:03:10 → 00:03:12 อยากให้พี่นีเล่าให้ฟังนิดนึงว่าเป็นมา
00:03:12 → 00:03:15 ยังไงถึงได้มาทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้
00:03:15 → 00:03:19 แล้วก็อธิบายให้คนอย่างชมแล้วก็ชาวเน็ต
00:03:19 → 00:03:21 เข้าใจหน่อยค่ะว่ามันคืออะไรคะ
00:03:21 → 00:03:23 >> ค่ะต้องเท้าความก่อนว่างานประจำเนี่ยเป็น
00:03:23 → 00:03:25 การที่นีเนี่ยเอ่อพวกเราเนี่ยสร้าง
00:03:25 → 00:03:26 คอมมิunity
00:03:26 → 00:03:29 ก็คือเป็นเดูแลในส่วนของ Wellness ของ
00:03:29 → 00:03:31 Wonderfruit แต่ว่าอันที่เป็นงานส่วนตัว
00:03:31 → 00:03:34 เนี่ยเป็นงานที่เราเนี่ยช่วยให้คนเนี่ย
00:03:34 → 00:03:37 เข้าใจตัวเองมากขึ้นเหมือนเป็นที่ปรึกษา
00:03:37 → 00:03:40 ด้านตัวตนเนาะโดยการที่นี้ก็ใช้หลาย
00:03:40 → 00:03:41 ศาสตร์จริงๆแล้วอ่ะนะคะแต่ว่าครั้งนี้
00:03:41 → 00:03:44 เนี่ยที่มาคุยกับชมเนี่ยก็คือเราจะมาคุย
00:03:44 → 00:03:47 กันในเรื่องของโหราศาสตร์ซึ่งโหราศาสตร์
00:03:47 → 00:03:50 เนี่ยก็คือเป็นการศึกษาการโคจรของดวงดาว
00:03:50 → 00:03:52 แล้วก็เป็นโหรศาสตร์ทางตะวันตก
00:03:52 → 00:03:55 >> ซึ่งโหรศาสตร์นี้เนี่ยเป็นโหรศาสตร์ที่
00:03:55 → 00:03:57 ได้เอามาผนวกกับการที่ให้เข้าใจในเรื่อง
00:03:57 → 00:04:00 ของตำแหน่งของดวงดาวเพื่อสอดคล้องกับ
00:04:00 → 00:04:02 บุคลิกภาพ
00:04:02 → 00:04:05 >> ตัวตนของคนๆนั้นนิสัยใจคอหรือแม้แต่พลัง
00:04:05 → 00:04:09 งานข้างในศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
00:04:09 → 00:04:12 ข้างในหรือแม้แต่ข้อดีข้อเสียที่เขามี
00:04:12 → 00:04:14 ข้างในเนี่ยว่าจริงๆแล้วเนี่ยเขามีอะไร
00:04:14 → 00:04:17 อยู่ข้างในซ่อนอยู่แล้วเขาสามารถที่จะใช้
00:04:17 → 00:04:21 พลังงานพวกนี้เนี่ยให้มันเกิดสิ่งที่ดี
00:04:21 → 00:04:23 ที่สุดกับเขาได้อย่างไรบ้าง
00:04:23 → 00:04:26 >> โหราศาสตร์มันก็เป็นสatมั้คือจริงๆแล้ว
00:04:26 → 00:04:29 อ่ะค่ะมันมีความเป็นสatอยู่นิดนึงเหมือน
00:04:29 → 00:04:31 กันแต่ทีนี้เนี่ยด้วยความที่แต่ละคนเนี่ย
00:04:31 → 00:04:34 ไม่มีใครเหมือนกันเลยแต่ละคนเกิดมาเนี่ย
00:04:34 → 00:04:38 ก็คือจะมีพลังงานของตัวเองอยู่แล้วพลัง
00:04:38 → 00:04:40 งานเหล่านั้นเนี่ยมันก็จะบ่งบอกได้ว่าแต่
00:04:40 → 00:04:43 ละคนเนี่ยนิสัยยังไงในรูปแบบไหนฉะนั้น
00:04:43 → 00:04:46 สมมุติว่าเราเกิดมาเรามีเวลาเกิดวันเดือน
00:04:46 → 00:04:49 ปีเกิดเวลาใช่มั้ยคะทางโหรศาสตร์ที่เป็น
00:04:49 → 00:04:51 Western Astrology เนี่ยเรามองว่า
00:04:51 → 00:04:54 วินาทีที่เราเกิดเนี่ยดวงดาวข้างบนเนี่ย
00:04:54 → 00:04:57 วางตำแหน่งแบบไหนแล้วตำแหน่งนั้นเนี่ยมี
00:04:57 → 00:05:01 ผลอย่างไรกับเรามีผลกับนิสัยใจคอมีผลกับ
00:05:01 → 00:05:05 แม้แต่อนาคตหรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคนๆ
00:05:05 → 00:05:08 นั้นที่ดำเนินมาที่มาอยู่บนโลกใบนี้
00:05:08 → 00:05:10 ฉะนั้นเรามองว่าถ้าเกิดสมมุติมนุษย์จิต
00:05:10 → 00:05:13 ของเราเนี่ยเป็นพลังงานในตัวของเราอ่ะค่ะ
00:05:13 → 00:05:15 จริงๆแล้วเราไม่ได้มีแค่ซันไซด์หรือว่า
00:05:15 → 00:05:17 ที่เราเข้าใจกันว่าถ้าเราเกิดสมมุติว่า
00:05:17 → 00:05:20 ถ้าเกิดชมเกิดเอ่อมิถุนายนนึกออกมั้คะเรา
00:05:20 → 00:05:23 จะต้องเป็นแคนเซอร์หรือไม่ก็อาจจะเป็น
00:05:23 → 00:05:26 เจมิในแงของโหศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นไทยฮินดู
00:05:26 → 00:05:30 หรือว่าจีนหรือว่าทางสากลเนี่ยก็จะมีการ
00:05:30 → 00:05:32 คำนวณที่แตกต่างกันแต่ว่าในแง่ของการที่
00:05:32 → 00:05:35 เราเอามาใช้อิงกับหลักจิตวิทยาเนี่ยมันจะ
00:05:35 → 00:05:38 เป็นโหรศาสตร์ที่เป็นสากลฉะนั้นตรงเคือ
00:05:38 → 00:05:40 เราจะมองว่าอ่ะถ้าเกิดสมมุติว่าเราเกิด
00:05:40 → 00:05:44 ราศีกรกฎยกตัวอย่างเราไม่ใช่มีแค่ดาว
00:05:44 → 00:05:46 อาทิตย์อยู่ในนั้นดาวเดียวแต่ถ้าเกิดเรา
00:05:46 → 00:05:48 เข้ามาดูชาร์จของเราที่เราเรียกว่า natal
00:05:48 → 00:05:51 ch เนี่ยนะคะมันจะเป็นการที่เราเห็นพื้น
00:05:51 → 00:05:54 ของดวงดาวทั้งหมดที่ตอนที่วินาทีที่เรา
00:05:54 → 00:05:56 เกิดเนี่ยมันเป็นเหมือนกับเป็น snapsot
00:05:56 → 00:05:59 ใช่แล้วมันจะเป็นธาตุคือจริงๆมันคือธาตุ
00:05:59 → 00:06:01 อ่ะมันคือธาตุทั้งหมดที่หล่อหลอมเป็นพวก
00:06:01 → 00:06:04 เราขึ้นมาถ้าเกิดสมมุติว่าเราเข้าใจตัว
00:06:04 → 00:06:07 เองแบบนี้เนี่ยเหมือนอัตราตัวตนของเรามัน
00:06:07 → 00:06:10 จะแยกส่วนออกจากความเข้าใจว่าเฮ้ยเราเป็น
00:06:10 → 00:06:12 แบบนี้นะถ้าเกิดสมมุติเราเป็นคนขี้โมโหยก
00:06:12 → 00:06:14 ตัวอย่างเราก็จะขี้โมโหขี้โมโหทำไมเรา
00:06:14 → 00:06:16 เป็นคนขี้โมโหแบบนี้แต่ถ้าเกิดสมมุติเรา
00:06:16 → 00:06:19 เข้าใจดาวเราจะมองเห็นว่าอ๋อจริงๆแล้วที่
00:06:19 → 00:06:22 มาของอารมณ์โมโหของเราอ่ะมันมาจากที่ไหน
00:06:22 → 00:06:23 อย่าง
00:06:23 → 00:06:27 หมายความว่าดวงดาวแต่ละดวงอาจจะมีผลต่อ
00:06:27 → 00:06:29 เราในแบบนั้น
00:06:29 → 00:06:31 >> ใช่มันเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกัน
00:06:31 → 00:06:34 >> เหมือนกับเราและดวงดาวความจริงแล้วเป็น
00:06:34 → 00:06:34 หนึ่งเดียวกัน
00:06:34 → 00:06:36 >> มีดาวอะไรที่แบบเด็ดๆที่แบบว่าอิทธิพลแรง
00:06:36 → 00:06:38 ๆบ้างมั้ยคะ
00:06:38 → 00:06:40 >> มีค่ะเดี๋เราจะค่อยๆ
00:06:40 → 00:06:43 >> โอเคเดี๋จะใช้เราเป็นเคส study ใช่มั้
00:06:43 → 00:06:44 >> ใช่ค่ะ
00:06:44 → 00:06:44 >> อือ
00:06:44 → 00:06:47 >> แล้วอย่างงี้คนที่อยากจะทำแบบเนี้ย
00:06:47 → 00:06:48 >> อือฮึ
00:06:48 → 00:06:53 >> ต้องมีปัญหาหรือว่าต้องมีข้อสงสัยหรือว่า
00:06:53 → 00:06:55 มีปมอะไรหรือเปล่าหรือว่าจริงๆก็เป็นใคร
00:06:56 → 00:06:59 ก็ได้ไม่มีจำกัดมีข้อจำกัดอะไรมั้คะอ
00:06:59 → 00:07:03 >> การที่เรามาที่นี่เนอะเหมือนกับเรามี
00:07:03 → 00:07:06 purpose บางอย่างของการที่เรามาเกิดจริง
00:07:06 → 00:07:09 ๆแล้วทุกคนเหมือนกันหมดค่ะแล้วสิ่งที่
00:07:09 → 00:07:11 สำคัญที่สุดคือการที่เราเนี่ยได้รู้จัก
00:07:11 → 00:07:14 ตัวเองการรู้จักตัวเองกับการรู้จักเกี่ยว
00:07:14 → 00:07:17 กับตัวเองไม่เหมือนกันการรู้จักตัวเองคือ
00:07:17 → 00:07:19 การที่เรารู้จักตัวเองจริงๆโดยที่ไม่ได้
00:07:19 → 00:07:22 มีองค์ประกอบอะไรคือการที่เราเข้าไปแล้ว
00:07:22 → 00:07:25 เราสามารถที่จะเอ่อมีความสุขได้ด้วยตัว
00:07:25 → 00:07:27 เองเข้าใจแก่นแท้ในตัวเอง
00:07:27 → 00:07:29 >> แต่การที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเองคือ
00:07:29 → 00:07:32 สิ่งที่คนส่วนใหญ่พวกเราทุกคนรู้จักกัน
00:07:32 → 00:07:35 แบบนี้เช่นเรารู้จักเกี่ยวกับตัวเองว่า
00:07:35 → 00:07:36 เราทำอาชีพอะไร
00:07:36 → 00:07:36 >> อ
00:07:36 → 00:07:39 >> เราชื่ออะไรเราพ่อแม่ชื่ออะไรเรามีสัตว์
00:07:39 → 00:07:42 เลี้ยงชื่ออะไรครอบครัวเราเป็นยังไงคือ
00:07:42 → 00:07:45 นี่คือสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเราแต่ว่า
00:07:45 → 00:07:47 การที่เราใช้คำว่า self discovery เนี่ย
00:07:47 → 00:07:49 มันคือการที่เราเข้ามาค้นพบตัวเองจริงๆ
00:07:50 → 00:07:53 ว่าจริงๆแล้วอ่ะเรามีแก่นอะไรอยู่ข้างใน
00:07:53 → 00:07:54 แล้วหลังจากนั้นเนี่ยโอเคมันก็เป็นสิ่ง
00:07:54 → 00:07:57 ที่ต่อยอดไปเป็นในเรื่องของพรสวรรค์ใน
00:07:57 → 00:07:59 เรื่องของ direction ในการใช้ชีวิตเส้น
00:08:00 → 00:08:03 ทางที่จะเลือกเดินอาชีพที่เราจะอยากจะทำ
00:08:03 → 00:08:05 หรือแม้แต่การเรียนว่าเราอยากจะเรียนอะไร
00:08:05 → 00:08:08 ดีอะไรเงี้ยค่ะคือมันเป็นการที่เหมือนกับ
00:08:08 → 00:08:12 ในแต่ละช่วงชีวิตอ่ะเราจะมีจุดเปลี่ยนบาง
00:08:12 → 00:08:14 อย่างแล้วจุดเปลี่ยนนั้นเนี่ยเป็นจุด
00:08:14 → 00:08:16 เปลี่ยนที่บางครั้งเราเกิดให้เราตั้งคำ
00:08:16 → 00:08:19 ถามขึ้นมาว่าเฮ้ยเราเกิดมาที่นี่มันคือ
00:08:19 → 00:08:22 อะไร purpose มันคือ purpose อะไรเรามา
00:08:22 → 00:08:24 เพื่ออะไรซึ่งลึกๆบางคนก็รู้อยู่แล้วแหละ
00:08:24 → 00:08:27 บางคนก็อาจจะไม่รู้ฉะนั้นนีมองว่าคนที่จะ
00:08:27 → 00:08:30 จุดประกายให้เขาเนี่ยเริ่มเข้าใจตัวเอง
00:08:30 → 00:08:32 หรือเริ่มสนใจที่อยากจะเข้าใจตัวเองเนี่ย
00:08:32 → 00:08:34 มันจะต้องมีจุดเปลี่ยนบางอย่าง
00:08:34 → 00:08:36 >> อาจจะมีจุดเปลี่ยนที่เหมือนกับมันแค่แบบ
00:08:36 → 00:08:38 มันนิดเดียวก็ได้ว่าเหมือนกับเอ๊ะทำไม
00:08:39 → 00:08:40 ชีวิตเราถึงแบบ
00:08:40 → 00:08:43 >> เป็นแบบนี้นะยกตัวอย่างหรือว่าเอ๊ะทำไม
00:08:43 → 00:08:46 สิ่งที่เราได้ค้นพบหรือได้เจอหรือแบบตลอด
00:08:46 → 00:08:50 เส้นทางมามีมันเริ่มมีการหักเหงานที่ทำมา
00:08:50 → 00:08:52 เอ๊ะทำไมเราเริ่มไม่มีความสุขคือจริงๆ
00:08:52 → 00:08:55 แล้วอ่ะค่ะมันอยู่ที่ความสุขเป็นหลักความ
00:08:55 → 00:08:57 สุขและความสมดุลคือเชื่อว่าในเรื่องของ
00:08:57 → 00:08:59 พลังงานที่มัน flow เนอทุกวันนี้เราจะพูด
00:08:59 → 00:09:02 กันถึงเรื่องพลังงานเยอะมากแล้วถ้าเกิด
00:09:02 → 00:09:05 สมมุติว่าชมเเริ่มสังเกตเนี่ยจะเห็นเลย
00:09:05 → 00:09:07 ว่าหลังๆมาเนี่ยช่วงเวลาสัก 5-6 ปีที่
00:09:07 → 00:09:10 ผ่านมาเนี่ยคือเราจะได้คยินคำว่า self
00:09:10 → 00:09:14 เยอะมากในในโลกของ Wellness เองในโลกของ
00:09:15 → 00:09:17 การเข้าใจตัวเองก็จะมีทั้ง self love
00:09:17 → 00:09:20 ใช่มั้คะ self
00:09:20 → 00:09:23 อะไรต่างๆก็คือการกลับมารักตัวเองกลับมา
00:09:23 → 00:09:28 เข้าใจตัวเองดูแลตัวเองรู้จักตัวเองการ
00:09:28 → 00:09:30 รู้จักตัวเองแบบนี้เนี่ยล่ะค่ะมันคือการ
00:09:30 → 00:09:33 ที่เชื่อว่าทุกๆคนตอนนี้เราเริ่มรู้แล้ว
00:09:33 → 00:09:35 อ่ะว่าตัวตนเราอ่ะสำคัญที่สุด
00:09:36 → 00:09:36 >> อื
00:09:36 → 00:09:38 >> ฉะนั้นเนี่ยมันเหมือนกับเราไม่ได้พึ่งพา
00:09:38 → 00:09:42 องค์ประกอบนอกตลอดเวลาตราบใดที่เรายังไม่
00:09:42 → 00:09:45 ได้รู้จักตัวเองเนี่ยมันจะทำให้ชีวิตของ
00:09:45 → 00:09:48 เราเนี่ยมีพลังงานที่ส่งออกนอกพอเราส่ง
00:09:48 → 00:09:49 ออกนอกนอกปุ๊บเนี่ยเราไม่สามารถที่จะ
00:09:50 → 00:09:52 control situation หรือว่าสถานการณ์ที่
00:09:52 → 00:09:54 เป็นรอบนอกได้ถูกมั้คะทีนี้พอมันมีอะไร
00:09:54 → 00:09:56 เกิดขึ้นปุ๊บข้างในเราก็รวน
00:09:56 → 00:09:58 >> เพราะว่าเหมือนแบบเฮ้ยเกิดกระทบทุกอย่าง
00:09:58 → 00:10:01 เข้ามาแต่ถ้าเกิดข้างในเราแน่นแกร่งแล้ว
00:10:01 → 00:10:04 ก็แข็งแรงเนี่ยมันก็จะทำให้เราผ่านพ้น
00:10:04 → 00:10:07 ช่วงต่างๆในเหตุการณ์ในชีวิตไปได้ก็
00:10:07 → 00:10:09 เหมือนกับ self care self love ในการ
00:10:09 → 00:10:12 รักตัวเองในการดูแลตัวเองที่ทุกคนลุกขึ้น
00:10:12 → 00:10:15 มาออกกำลังอยากที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น
00:10:15 → 00:10:18 สุขภาพที่แข็งแรงก็เกิดจากตัวเขา
00:10:18 → 00:10:21 >> อืมทีนี้คนที่เดินเข้ามาหาพี่นีอ่ะค่ะ
00:10:21 → 00:10:24 ส่วนใหญ่เมาเพราะเรื่องอะไรคะ
00:10:24 → 00:10:26 >> ส่วนใหญ่เขาจะมีจุดเปลี่ยนค่ะเขาจะมีคำ
00:10:26 → 00:10:30 ถามกับตัวเองว่าเอ๊ะเขาเดินทางเส้นทางมา
00:10:30 → 00:10:32 สักพักละทำไมมันเหมือนกับมันมีบางสิ่งบาง
00:10:32 → 00:10:35 อย่างที่มันเหมือนกับจิตของเขาเองความรู้
00:10:35 → 00:10:37 สึกข้างในที่ลึกที่สุดของเขาเนี่ยเหมือน
00:10:37 → 00:10:39 กับมันเริ่มมีคำถามอย่างที่บอก
00:10:39 → 00:10:42 >> พอมีคำถามแล้วบางครั้งเขาก็โอเคอาจจะอยาก
00:10:42 → 00:10:45 ได้ตัวช่วยอาจจะอยากได้คนที่สามารถที่จะ
00:10:45 → 00:10:46 มาปรึกษาได้
00:10:46 → 00:10:49 >> คำถามเระบุระบุได้มั้คะว่าคำถามคืออะไร
00:10:49 → 00:10:51 >> ได้นะคะบางคนเค้าก็จะมีเลยว่าสมมุติมี
00:10:51 → 00:10:54 ปัญหาเรื่องการงานมีปัญหากับครอบครัวหรือ
00:10:54 → 00:10:56 แม้แต่บางครั้งแบบตื่นมาแล้วแบบเออฉันมา
00:10:56 → 00:10:57 ทำอะไรที่นี่
00:10:57 → 00:10:59 >> เหมือนกับบางทีเขาไม่รู้เลยว่าเหมือนกับ
00:10:59 → 00:11:01 จริงๆเราส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้อยู่แล้วด้วย
00:11:01 → 00:11:04 >> คือถ้าเราตัดทุกอย่างออกหมดเลยนะไม่ว่าจะ
00:11:04 → 00:11:06 เป็นสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด
00:11:06 → 00:11:08 เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองด้วยอะไรบ้าง
00:11:08 → 00:11:10 อะไรแบบเนี้ยค่ะคือ self discovery
00:11:10 → 00:11:13 เนี่ยมันเป็นการที่ให้เราค้นพบตัวเองก่อน
00:11:13 → 00:11:15 เนาะเหมือนกับค้นพบก่อน
00:11:15 → 00:11:15 >> ค่ะ
00:11:15 → 00:11:18 >> พอค้นพบเสร็จปุ๊บเนี่ยหลังจากนั้นเราจะ
00:11:18 → 00:11:20 เข้าใจตัวเองได้ยังไงเหมือนเป็นเส้นทาง
00:11:20 → 00:11:23 เหมือนกันเป็นการแบบปัดทุกอย่างออกเพื่อ
00:11:23 → 00:11:25 ให้เส้นทางเเหมือนเฮ้ยเราค้นพบตัวเองแล้ว
00:11:25 → 00:11:27 เราเป็นประมาณนี้นะเรามีแก่นประมาณนี้
00:11:27 → 00:11:30 แล้วเราก็จะค่อยๆเดินทางเส้นทางนั้นเพื่อ
00:11:30 → 00:11:32 ให้เข้าใจตัวเอง
00:11:32 → 00:11:35 >> มันพอจะยกตัวอย่างเป็นเคสได้มั้ยคะว่าแบบ
00:11:35 → 00:11:39 เอ้ยออกมาแล้วมันค้นพบอะไร
00:11:39 → 00:11:39 >> อื
00:11:39 → 00:11:42 >> แล้วเราแยกออกมายังไงอือ
00:11:42 → 00:11:44 >> โหศาสตร์ที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวเองเนี่ย
00:11:44 → 00:11:48 นะคะคือมันมีวิธีการที่เราจะนำมาจำแนกกัน
00:11:48 → 00:11:51 ได้คือโหรศาสตร์มีหลายแบบแต่ละแต่แบบนี้
00:11:51 → 00:11:55 เนี่ยจะเป็นการแบ่ง 12 ช่องตามหลักของ
00:11:55 → 00:11:56 โหศาสตร์สากล
00:11:56 → 00:11:56 >> ค่ะ
00:11:57 → 00:11:58 >> 12 ช่องเนี้ยจริงๆถ้าเกิดสมมติเราเจาะ
00:11:58 → 00:12:01 ลึกดีๆเนี่ยมันจะมีความหมายใน 12 ห้องนี้
00:12:01 → 00:12:03 ด้วยคือเราจะเรียกภาษาดาวเราจะเรียกว่า
00:12:03 → 00:12:06 เป็นห้องทีนี้การที่เราจะดูตำแหน่งของดาว
00:12:06 → 00:12:10 เนี่ยเราจะดูว่าดาวแต่ละดวงเนี่ยเขาอยู่
00:12:10 → 00:12:14 ในห้องไหนในช่วงเวลาที่คนๆนั้นเกิด
00:12:14 → 00:12:17 >> อืหมายความว่าดาวดาวดาวดวงเนี้ยถ้าอยู่
00:12:17 → 00:12:18 ห้องเนี้ยมันจะส่งเรื่องนี้
00:12:18 → 00:12:21 >> ถ้ามันไปอยู่อีกห้องนึงมันก็อาจจะ
00:12:21 → 00:12:22 >> กระทบอีกแบบหนึ่ง
00:12:22 → 00:12:26 >> ถูกต้องค่ะทีนี้ถ้าจะให้ไล่เอิ่มคร่าวๆเน
00:12:26 → 00:12:28 ว่าห้อง 1 เนี่ยห้อง 1 เนี่ยเป็นเกี่ยว
00:12:28 → 00:12:30 กับตัวตนของเรา
00:12:30 → 00:12:33 >> คืออาจจะเป็นนิสัยบุคลิกในแง่ของตัวตน
00:12:33 → 00:12:36 ทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องของ self นะคะ
00:12:36 → 00:12:38 ห้องที่ 2 เนี่ยมันจะเป็นในเรื่องของการ
00:12:38 → 00:12:40 เงินคือบางครั้งเราอาจจะไม่ได้อยากใช้คำ
00:12:40 → 00:12:42 ว่าเป็นเรื่องของการเงินแต่มันเป็นใน
00:12:42 → 00:12:45 เรื่องของสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็นเจ้า
00:12:45 → 00:12:47 ของในเรื่องของก็ได้ในเรื่องของอะไรก็ตาม
00:12:47 → 00:12:50 ที่มันเป็นอะไรที่เราเป็นเจ้าของสิ่งๆ
00:12:50 → 00:12:52 นั้นนะคะห้องที่ 3 เป็นในเรื่องของการ
00:12:52 → 00:12:55 สื่อสารแล้วก็อาจจะเป็นในเรื่องของการ
00:12:55 → 00:12:58 เดินทางที่แบบระยะใกล้ๆห้องที่ 4 คือ
00:12:58 → 00:12:59 เรื่องของครอบครัว
00:12:59 → 00:12:59 >> อ
00:12:59 → 00:13:01 >> คือครอบครัวในทุกรูปแบบคือมันมองได้หลาย
00:13:01 → 00:13:04 มิติด้วยนะคะชมว่าอันนี้คือเป็นต้องบอก
00:13:04 → 00:13:08 ว่าเป็นความหมายแบบที่เบื้องต้นที่สุด
00:13:08 → 00:13:11 >> แต่ถ้าเราจะมองในแง่ของที่ลงไปในทรัมลงไป
00:13:11 → 00:13:13 ในระดับจิตวิญญาณเนี่ยความหมายก็จะต่าง
00:13:13 → 00:13:17 กันออกไปมันก็จะลึกเข้าไป
00:13:17 → 00:13:19 จุดที่มันแบบลึกที่สุดข้างใน
00:13:20 → 00:13:20 >> อ
00:13:20 → 00:13:22 >> จิตวิญญาณข้างในที่มันกับจุดเบื้องลึกของ
00:13:22 → 00:13:23 เราเนี่ยคืออะไร
00:13:23 → 00:13:27 >> ถ้าสมมุติว่าเราได้วันเดือนปีเกิดเวลาตก
00:13:27 → 00:13:30 ฟากได้ไอ้แผ่นนี้ออกมาแล้วอย่างเงี้ยเอ่อ
00:13:30 → 00:13:34 เห็นแล้วล่ะว่าเป็นดาวดวงนี้ตกช่องนี้แต่
00:13:34 → 00:13:38 ว่าการตีความก็อาจจะตีความได้ทั้งแบบผิว
00:13:38 → 00:13:42 เผินหรือว่าเราอาจจะต้องเจาะลึกไปอีกหรือ
00:13:42 → 00:13:45 ว่าผ่านอะไรต่างๆคือมันผ่านก็ได้ผ่านดาว
00:13:45 → 00:13:49 เองก็ได้หมดเลยคือเราสามารถนำหลายๆศาสตร์
00:13:49 → 00:13:52 มารวมกันก็ได้เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าโอเค
00:13:52 → 00:13:55 เรามีพลังงานประมาณนี้นะผ่านจากดาวทีนี้
00:13:55 → 00:13:57 เราก็เริ่มขึ้นอยู่กับเราละว่าเราอยากที่
00:13:57 → 00:14:00 จะบำบัดตัวเองในรูปแบบไหนทีนี้เราจะมาที่
00:14:00 → 00:14:02 ห้องที่ 5 ห้องที่ 5 คือพวกความคิดสร้าง
00:14:02 → 00:14:05 สรรค์ในทุกรูปแบบความสนุกสนานต่างๆหรือ
00:14:05 → 00:14:07 แม้จะเป็นในเรื่องของเด็กก็ได้มันมีความ
00:14:07 → 00:14:09 สนุกสนานอาจจะตีความหมายไปว่าเออเป็นใน
00:14:09 → 00:14:13 เรื่องของความแบบยังแฮในเรื่องของลูก
00:14:13 → 00:14:17 energy Energy การแสดงออกของเรานะคะ
00:14:17 → 00:14:18 ห้องที่ 6 เนี่ยคือเป็นห้องที่เกี่ยวกับ
00:14:18 → 00:14:20 สุขภาพ
00:14:20 → 00:14:23 >> แล้วก็ในเรื่องของอมการใช้ชีวิตประจำวัน
00:14:23 → 00:14:25 ต่างๆห้องที่ 7 แน่นอนเป็นเรื่องของคู่
00:14:25 → 00:14:26 ครอง
00:14:26 → 00:14:29 >> ก็คือจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนรอบ
00:14:29 → 00:14:30 ข้างลุก
00:14:30 → 00:14:32 >> อืกัลยาณมิตรต่างๆ
00:14:32 → 00:14:34 >> ใช่ค่ะโดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้
00:14:34 → 00:14:37 ตัวเราก็จะอยู่ในห้องที่ 7 ถูกต้อง
00:14:37 → 00:14:40 >> AA โซน A โอเค
00:14:40 → 00:14:42 >> ห้องที่ 8 จะเป็นอะไรที่อยู่ในส่วนลึกของ
00:14:42 → 00:14:44 เราไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจิตวิญญาณข้าง
00:14:44 → 00:14:48 ในนะคะเป็นในเรื่องของเสิ่งที่เราเกี่ยว
00:14:48 → 00:14:51 ดองกับคนอื่นการแชร์ resource อย่างเช่น
00:14:51 → 00:14:53 ถ้าเกิดเวลาเราแต่งงานแล้วเหมือนกับพวก
00:14:53 → 00:14:55 resource ของเราทั้งหมดที่เหมือนกับเรา
00:14:55 → 00:14:56 ต้องมาจอยกับคนอื่น
00:14:56 → 00:14:58 >> อันนี้จะเป็นในเรื่องของ de ข้างในที่มี
00:14:58 → 00:15:00 แบบความรุ่มลึกข้างใน
00:15:00 → 00:15:02 >> ในเรื่องของการตายบางคนก็พูดในเรื่องของ
00:15:02 → 00:15:06 การตายได้การสูญเสียอะไรต่างๆนะคะ
00:15:06 → 00:15:08 >> ส่วนห้องที่ 9 จะเป็นในเรื่องของความรู้
00:15:09 → 00:15:12 >> ความรู้ที่เราสนใจการเรียนรู้ทุกประเภทใน
00:15:12 → 00:15:15 เรื่องของเอิ่การเดินทางไกลห้องที่ 10
00:15:15 → 00:15:18 คือห้องที่อยู่จุดสูงสุดของเราก็คือเป็น
00:15:18 → 00:15:20 ห้องของความสำเร็จอะไรก็ตามที่เราเป็น
00:15:20 → 00:15:25 สิ่งที่เรามุ่งหวังความสำเร็จการงานหรือ
00:15:25 → 00:15:27 แม้แต่จะเป็นสิ่งที่เราคาดหวังหรือว่า
00:15:27 → 00:15:29 สิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆที่เรามาที่
00:15:29 → 00:15:31 นี่บางคนอาจจะมองว่าเป็น purpose จริงๆ
00:15:31 → 00:15:33 ที่แท้จริงของเราก็ได้
00:15:33 → 00:15:33 >> อื
00:15:33 → 00:15:36 >> ห้องที่ 11 คือเพื่อนฝูงเพื่อนฝูงในทีนี้
00:15:36 → 00:15:37 ก็อาจจะเป็นวงกว้างหน่อย
00:15:37 → 00:15:38 >> ไม่ใช่โซน A ละ
00:15:38 → 00:15:42 >> ไม่ใช่โซน A ละ BCD เป็นคอมityใช่เป็นใน
00:15:42 → 00:15:45 สังคมที่เราอยู่อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:15:45 → 00:15:48 >> ห้อง 12 คือสิ่งที่เราซ่อนเอาไว้ข้างใน
00:15:48 → 00:15:50 >> จริงๆแล้วถ้าห้อง 12 ถ้าแปลเป็นโหศาสตร์
00:15:50 → 00:15:52 ไทยมันคือวินาศแต่จริงๆไม่อยากใช้คำนี้นะ
00:15:52 → 00:15:54 เพราะมันอาจจะฟังดูแบบน่ากลัวนิดนึงแต่
00:15:54 → 00:15:56 ว่าถ้าเป็นทางโหศาสตร์สากลก็คือเป็นสิ่ง
00:15:56 → 00:15:59 ที่ซ่อนเร้นในใจเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ
00:15:59 → 00:16:01 เป็นอะไรที่เหมือนกับเรา
00:16:01 → 00:16:03 >> ไม่สามารถที่จะเห็นได้ด้วยตาปาก
00:16:03 → 00:16:04 >> Dar เงี้ยเหรอ
00:16:04 → 00:16:05 >> อะไรอย่างงั้น
00:16:05 → 00:16:07 >> เออด้าน Dar
00:16:07 → 00:16:09 >> ไม่หรอค่ะก็มองในแง่ของshชadowได้ก็คือ
00:16:09 → 00:16:11 เป็นshชadowที่เราเก็บเอาไว้หรืออะไร
00:16:11 → 00:16:13 อย่างงี้ก็ได้ด้วยแต่ห้องพวกเนี้ยค่ะต้อง
00:16:14 → 00:16:16 บอกนิดนึงก่อนว่าห้องเหล่านี้เนี่ยเป็น
00:16:16 → 00:16:18 ห้องที่ที่เป็นความหมายที่เรานิยามมนุษย์
00:16:18 → 00:16:21 นิยามขึ้นมาในแบบที่มันลงได้หลายระดับ
00:16:21 → 00:16:24 อย่างที่เมื่อกี้ที่ชมถามในระดับที่ลึก
00:16:24 → 00:16:26 ที่สุดเนี่ยมันจะไปอีกเรื่องนึงเลยมันจะ
00:16:26 → 00:16:28 ไปในเรื่องที่ค่อนข้างลึกมันลงไปเลยว่า
00:16:28 → 00:16:30 ตอนเด็กๆมันมีเหตุการณ์อะไรบ้าง
00:16:30 → 00:16:31 >> หรือย้อนไปยิ่ง
00:16:31 → 00:16:34 >> ย้อนไปไกลได้ทั้งหมดเลยเพียงแต่ว่ามัน
00:16:34 → 00:16:38 ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เราคุยด้วยเเปิดมั้ยเ
00:16:38 → 00:16:40 อยากที่จะคุยเรื่องนั้นหรือเปล่าถ้าเไม่
00:16:40 → 00:16:43 อยากคุยเราก็ไม่ได้อยากที่จะต้องไปเปิด
00:16:43 → 00:16:45 ตรงนั้นนอกเสียจากว่าเขาเปิดมาก่อนอะไร
00:16:45 → 00:16:47 เงี้ยค่ะทีนี้เราจะมาดูในเรื่องของ
00:16:47 → 00:16:49 จักราศีก็คือในเรื่องของดาวเคราะห์ด้วยนะ
00:16:49 → 00:16:52 คะดาวเคราะห์แน่นอนเริ่มจากดาวอาทิตย์
00:16:52 → 00:16:52 >> ค่ะ
00:16:52 → 00:16:55 >> ดาวอาทิตย์แน่นอนแสงสว่างความเป็นตัวเอง
00:16:55 → 00:16:57 ความที่เวลาเราบอกว่าจักรวาลหมุนรอบตัว
00:16:58 → 00:17:00 เองเนี่ยจริงๆแล้วเราเใช้พระอาทิตย์เป็น
00:17:00 → 00:17:00 หลัก
00:17:00 → 00:17:03 >> เพราะว่าพระอาทิตย์ก็คือระบบสุริยะหมุน
00:17:03 → 00:17:06 รอบดาวอาทิตย์ก็คือเป็นความเป็นตัวตนของ
00:17:06 → 00:17:09 พวกเราทุกคนนะคะดาวจันทร์เนี่ยเป็นดาวที่
00:17:09 → 00:17:11 น่าสนใจมากเลยเพราะว่าเป็นดาวที่ค่อนข้าง
00:17:11 → 00:17:14 เชื่อมโยงกับผู้หญิงพลังงานแห่งความนุ่ม
00:17:14 → 00:17:17 นวลความเป็นกลางคืนอารมณ์ในทุกรูปแบบหรือ
00:17:17 → 00:17:20 แม้แต่พลังงานเพศหญิงที่เป็นฮอร์โมนข้าง
00:17:20 → 00:17:22 ในหรืออะไรบางครั้งถ้าเกิดเรามองในแง่ของ
00:17:22 → 00:17:24 การรักษาที่เป็น healing เนี่ยเราจะมอง
00:17:24 → 00:17:26 สังเกตมั้คะจะมีพระจันทร์เต็มดวง
00:17:26 → 00:17:27 >> อื
00:17:27 → 00:17:29 >> แล้วก็พระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรมการเดิน
00:17:29 → 00:17:32 ทางวัฏจักรการโคจรของของพระจันทร์
00:17:32 → 00:17:35 >> ที่เหมือนกับมันสามารถสอดคล้องกับสุขภาพ
00:17:35 → 00:17:37 ของเราได้ด้วยอารมณ์ของผู้หญิงอะไรเงี้ย
00:17:37 → 00:17:40 นะค่ะดาวพุทธก็คือในแง่ของการสื่อ
00:17:40 → 00:17:42 แล้วเป็นไปได้มั้ยคะว่าใน 12 ช่องมันมี
00:17:42 → 00:17:43 ดาวซ้ำกันเป็นไปได้มั้คะ
00:17:43 → 00:17:46 >> ไม่ค่ะมันก็จะแตกต่างกันหมดเลยก็คืออิง
00:17:46 → 00:17:49 ตามการโคจรของดาวข้างบนซึ่งก็ไม่ได้มีดาว
00:17:49 → 00:17:50 ไหนซ้ำ
00:17:50 → 00:17:50 >> อื
00:17:50 → 00:17:53 >> แปลว่าดาวมี 12 หรือมากกว่าด
00:17:53 → 00:17:55 >> จริงๆแล้วดาวมีเยอะมากดาวมีทั้งเอิ่ดาว
00:17:55 → 00:17:57 เคราะห์ดาวเคราะห์น้อย
00:17:57 → 00:17:59 >> แล้วมีดาวอะไรที่แบบแรงๆแล้วแบบไม่ค่อยตก
00:17:59 → 00:18:00 เหมือนกันคะ
00:18:00 → 00:18:02 >> พวกเราทุกคนมีเหมือนกันหมดเลยค่ะ
00:18:02 → 00:18:03 >> เพียงแต่ว่าตกคนละช่อง
00:18:03 → 00:18:04 >> ใช่ถูกต้อง
00:18:04 → 00:18:07 >> อ๋อก็แปลว่ามี 12 ดาวหลักๆหรอคะ
00:18:07 → 00:18:09 >> หมดเลยค่ะใช่แล้วทุกคนมีเหมือนกันหมดขึ้น
00:18:09 → 00:18:11 อยู่กับว่าอย่างที่บอกว่าพลังงานเป็นพลัง
00:18:11 → 00:18:13 งานที่อยู่ข้างบนใช่มคะอย่างเช่นถ้าเกิด
00:18:13 → 00:18:15 อ่ะดาวศุกร์เป็นดาววีนัส
00:18:15 → 00:18:17 >> ทีนี้ดาววีนัสเนี่ยมันขึ้นอยู่กับว่าไปตก
00:18:17 → 00:18:18 ที่ห้องไหน
00:18:18 → 00:18:20 >> ห้องไหนแล้วยังมีราศีไหนอีกด้วย
00:18:21 → 00:18:22 >> คือมันไม่ใช่แค่ห้องอย่างเดียวแต่มันคือ
00:18:22 → 00:18:25 ราศีด้วยราศีมาก่อนแล้วห้องเนี่ยเหมือน
00:18:25 → 00:18:27 กับเป็นองค์ประกอบที่มันย่อยไปอีกต่อมา
00:18:27 → 00:18:29 เป็นดาวศุกร์ดาวศุกร์เนี่ยเป็นดาวที่แน่
00:18:29 → 00:18:32 นอนเรื่องของความสวยงามพลังเพศหญิง
00:18:32 → 00:18:32 >> ค่ะ
00:18:32 → 00:18:34 >> แล้วก็ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในทุก
00:18:34 → 00:18:37 รูปแบบศิลปะอะไรต่างๆก็คือในเรื่องของดาว
00:18:37 → 00:18:40 ศุกร์ดาวพฤหัสบดีเนี่ยเป็นดาวที่นี่ว่า
00:18:40 → 00:18:42 หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินเนาะว่าดาวพฤหัส
00:18:42 → 00:18:42 เป็น
00:18:43 → 00:18:47 >> ใช่เป็นครูแล้วก็เป็นดาวที่ให้พลังบวก
00:18:47 → 00:18:50 เยอะมากใครที่มีดาวพฤหัสบดีเด่นเนี่ยจะ
00:18:50 → 00:18:53 เป็นคนที่มีพลังเยอะมากข้างในบางคนก็อาจ
00:18:53 → 00:18:55 จะบอกว่าเป็นในแง่ของแบบความกุดลักที่
00:18:56 → 00:18:58 เหมือนกับว่าบริ
00:18:58 → 00:19:01 อะไรเงี้ยนะคะดาวเสาร์เป็นดาวเอิ่stิลนะ
00:19:01 → 00:19:03 คะก็คือเป็นดาวที่เน้นความหนักแน่นมีแม่
00:19:03 → 00:19:08 แบบของการที่ทำให้เราเนี่ยมีความมั่นคงใน
00:19:08 → 00:19:11 จิตใจในขณะเดียวกันก็ถ้าเกิดสมมติเขาไม่
00:19:11 → 00:19:12 สมดุลถ้าเกิดสมมติว่าดาวเสาร์ของเราไม่
00:19:12 → 00:19:15 สมดุลเนี่ยมันจะทำให้เราเนี่ยมีความยึด
00:19:15 → 00:19:16 มั่นถือมั่นค่อนข้างเยอะ
00:19:16 → 00:19:18 >> แต่ดาวเสาร์นี่ก็แบบชื่อเสียงไม่ค่อยดี
00:19:18 → 00:19:22 >> ใช่คือจริงๆดาวเสาร์เนี่ยเขาน่าสงสารนะคะ
00:19:22 → 00:19:24 >> เพราะว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่ว่าไม่ดีเพียง
00:19:24 → 00:19:26 แต่ว่าเาอ่ะมาเพื่อให้เราเนี่ยได้รับรู้
00:19:26 → 00:19:27 บทเรียนบางอย่าง
00:19:27 → 00:19:29 >> แต่มนุษย์เราบางทีเราก็ไม่ค่อยชอบบทเรียน
00:19:29 → 00:19:31 อะไรที่มันหนักๆเนาะอย่างที่บอกเมีพลัง
00:19:31 → 00:19:32 งานที่หนัก
00:19:32 → 00:19:33 >> พอมันหนักปุ๊บเนี่ยบางครั้งบทเรียนที่เขา
00:19:33 → 00:19:35 ให้มามันก็ค่อนข้างต้อง handle ต้องท้า
00:19:35 → 00:19:36 ทายหน่อย
00:19:36 → 00:19:39 >> มันก็เลยทำให้เหมือนกับคนมักจะกลัวดาว
00:19:39 → 00:19:41 เสาร์เหมือนพอดาวเสาร์มาสมมุตินะดาวเสาร์
00:19:41 → 00:19:42 ย้าย
00:19:42 → 00:19:44 >> หรือว่าอะไรที่เรามักจะเคยได้ยินกันเป็น
00:19:44 → 00:19:47 ประจำเนี่ยมันเลยทำให้คนกลัว
00:19:47 → 00:19:47 >> ค่ะ
00:19:47 → 00:19:50 >> ถ้าเกิดเป็นโหรศาสตร์สากลเราจะมีดาวอีก 3
00:19:50 → 00:19:51 >> ถูกต้อง
00:19:51 → 00:19:52 >> ใช่แล้ว
00:19:52 → 00:19:55 >> ก็ยูเรนัสนะคะเป็นดาวที่เขาเนี่ยจะมีการ
00:19:55 → 00:19:58 โคจรที่ค่อนข้างรวนเรนิดนึงมันเลยทำให้
00:19:58 → 00:20:01 พลังงานของเขาเนี่ยมีความไม่แน่นอนพลัง
00:20:01 → 00:20:04 งานที่ไม่คาดฝันมีความเป็นเอกลักษณ์ของ
00:20:04 → 00:20:06 ตัวเองค่อนข้างสูงมากใครที่มียูเรนัสเด่น
00:20:06 → 00:20:09 เนี่ยจะเป็นคนที่ทำอะไรเนี่ยแผลๆแล้วก็มี
00:20:09 → 00:20:12 อะไรที่มันคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นมีความ
00:20:12 → 00:20:15 คิดของตัวเองมีอะไรต่างๆที่มันดูแบบสวน
00:20:15 → 00:20:18 กระแสชาวบ้านมีความเป็นกบฏอยู่ข้างในอะไร
00:20:18 → 00:20:20 เงี้ยค่ะต่อไปก็คือ Neptune เนาะNepปทูน
00:20:20 → 00:20:23 เนี่ยจะเป็นพลังงานของความที่มีความแบบ
00:20:23 → 00:20:25 ฝันมีความลอยอ่ะคือเขาไม่มีพลังงานที่มัน
00:20:25 → 00:20:28 flat ลอยอยู่ในอากาศ
00:20:28 → 00:20:31 >> คือจะมีความอารทิสติที่มันเกินเลยไปกว่า
00:20:31 → 00:20:32 วีนัสขึ้นไปอีก
00:20:32 → 00:20:34 >> เอ่อมีศิลปะที่เป็นแบบมีความลึกซึ้งความ
00:20:34 → 00:20:37 ละเอียดอ่อนข้างในแล้วก็มาสุดท้ายนี่แหละ
00:20:37 → 00:20:40 ค่ะก็คือพลูโตมีพลังงานที่เข้มข้นเป็นดาว
00:20:40 → 00:20:43 เคราะห์ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่แต่ว่าพลังงาน
00:20:43 → 00:20:46 แน่นมาก
00:20:46 → 00:20:49 >> งั้นพี่ขอถามชมก่อนว่าชมรู้สึกว่าตัวเอง
00:20:49 → 00:20:50 รู้สึกอย่างไรกับตัวเองบ้าง
00:20:50 → 00:20:51 >> รู้สึกยังไงหรอ
00:20:51 → 00:20:53 >> ณเวลานี้เลย
00:20:53 → 00:20:56 >> อืม
00:20:56 → 00:20:59 ชมก็ไม่แน่ใจว่ามันแยกออกมั้ย
00:20:59 → 00:20:59 >> อื
00:20:59 → 00:21:01 >> เพราะว่ามันเป็นlลogic
00:21:01 → 00:21:01 >> อื
00:21:01 → 00:21:03 >> ชมรู้สึกว่ามันเป็นความแบบความรู้สึกแบบ
00:21:03 → 00:21:06 มัน base on logic ด้วยว่าทุกอย่างมัน
00:21:06 → 00:21:08 ก็เป็นไปได้ด้วยดี
00:21:08 → 00:21:09 >> อื
00:21:09 → 00:21:12 >> เออไม่ได้ทุกข์ร้อนแต่มันก็ไม่ได้มีแบบ
00:21:12 → 00:21:15 มันก็ไม่ได้หวือหวาซึ่งมันก็มันก็ควรจะ
00:21:15 → 00:21:17 เป็นอย่างี้มวะอ
00:21:17 → 00:21:18 >> เออ
00:21:18 → 00:21:19 >> อือฮึ
00:21:19 → 00:21:21 >> เป็นคำตอบที่ดีมั้ยคะ
00:21:21 → 00:21:24 >> แล้วอย่างที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโตอ่ะค่ะ
00:21:24 → 00:21:26 รู้สึกว่าตัวเองเดินอยู่ในเส้นทางที่ตัว
00:21:26 → 00:21:27 เองรู้สึกอย่างไรบ้าง
00:21:27 → 00:21:31 >> อืมตั้งแต่เด็กจนนี่กำลังเข้าสู่เซessชั
00:21:31 → 00:21:32 แล้วใช่มั้ค่ะ
00:21:32 → 00:21:35 >> ตั้งแต่เด็กจนโตมาเหรอ
00:21:35 → 00:21:37 เอ่อ
00:21:37 → 00:21:39 รู้สึกว่าตัวเองอ่ะไม่จะค่อยเป็นคนที่
00:21:39 → 00:21:43 Adventurous อะไรนะคะก็เหมือนกับว่ามี
00:21:43 → 00:21:46 โอกาสมี Opportunity อะไรเข้ามาก็ไป
00:21:46 → 00:21:47 >> อือฮึ
00:21:47 → 00:21:50 >> ชีวิตไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้อยากบ่นว่ายาก
00:21:50 → 00:21:53 เพราะรู้ว่า Fortunate รู้ว่าเราแบบว่ามี
00:21:53 → 00:21:54 โอกาสให้ดี
00:21:54 → 00:21:55 >> อ
00:21:55 → 00:21:58 >> โชคดีแต่ว่าก็ไม่ได้ง่ายนะอะไรเงี้ยเออ
00:21:58 → 00:22:04 แล้วตอนที่ทำอยู่ก็ทำไปโดยที่รู้สึกว่า
00:22:04 → 00:22:06 โชคดีแล้วที่ได้ทำอะไรเงี้ยเออ
00:22:06 → 00:22:07 >> อ
00:22:07 → 00:22:10 >> แต่ว่าพอตอนเนี้ยเหมือนเราออกมาเป็นอีก
00:22:11 → 00:22:11 แบบนึง
00:22:11 → 00:22:12 >> อื
00:22:12 → 00:22:15 >> มามีชีวิตอีกแบบที่เหมือนเราดีไซน์ว่าเรา
00:22:15 → 00:22:17 จะใช้เวลาของเรายังไงได้เองอะไรเงี้ย
00:22:17 → 00:22:18 >> อ
00:22:18 → 00:22:21 >> ก็กลับไปมองที่เมื่อก่อนทำได้ยังไงวะอะไร
00:22:21 → 00:22:26 อย่างเงี้ยฮะก็มีความสุขมยคิดว่ามันก็สุข
00:22:26 → 00:22:28 แบบที่ว่าเพราะว่าเราไม่ได้เอาชีวิตเราไป
00:22:29 → 00:22:30 เปรียบเทียบกับใครไง
00:22:30 → 00:22:30 >> อื
00:22:30 → 00:22:32 >> มันก็เลยรู้สึกว่าเออมันมันก็โอเคโอเคก็
00:22:32 → 00:22:34 ไม่ได้รู้สึกว่าเอออยากมีชีวิตแบบคนนั้น
00:22:34 → 00:22:36 แบบคนนี้อะไรอย่างเงี้ยก็รู้สึกว่าเออที่
00:22:37 → 00:22:38 เป็นอยู่ก็อ
00:22:38 → 00:22:40 >> ก็ดีแล้วเอออาจจะมีคนที่ดีกว่าเราแต่ก็
00:22:40 → 00:22:44 เรื่องของเขาแต่พอมานะวันเนี้ยออกมาแล้ว
00:22:44 → 00:22:46 มันมีชีวิตอีกแบบมีลูกมีครอบครัวมีอะไร
00:22:46 → 00:22:52 อย่างเงี้ยก็มองย้อนไปก็แบบว่าเออก็หนัก
00:22:52 → 00:22:55 เหมือนกันตอนนั้นอะไรเงี้ยมันก็เป็นstrส
00:22:55 → 00:22:57 อีกแบบนึงมันก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับว่า
00:22:57 → 00:23:00 เราต้องหาบาanceซใหม่ในทุกๆวันเพราะว่า
00:23:00 → 00:23:03 เหมือนเราอ่ะเป็นเจ้าของเวลาอันเนี้แล้ว
00:23:03 → 00:23:06 เราไม่ได้แบบเอาเวลาของเราไปให้คนอื่น
00:23:06 → 00:23:09 แล้วก็เอาไปเลยเธอจะปล่อยฉันกี่โมงก็ได้
00:23:09 → 00:23:12 อะไรก็ได้เงี้ยตอนเคือเหมือนมันเราแบบว่า
00:23:12 → 00:23:15 เหมือนเรา in control กับชีวิตของเรามาก
00:23:15 → 00:23:17 ขึ้นแต่มันก็strสไปอีกแบบนะ
00:23:17 → 00:23:18 >> อื
00:23:18 → 00:23:19 >> เพราะว่าเราก็จะแบบมาคิดเรื่อง
00:23:19 → 00:23:22 productivity มาคิดเรื่องว่าเป็นแม่ดี
00:23:22 → 00:23:24 หรือยังเป็นคนนี้ดีหรือยังเก่งหรือยัง
00:23:24 → 00:23:25 อะไรอย่างเงี้ย
00:23:25 → 00:23:26 >> มันก็อ
00:23:27 → 00:23:27 >> อีกแบบ
00:23:27 → 00:23:28 >> อื
00:23:28 → 00:23:32 >> เออแต่ก็ไม่รู้สึกว่าไม่อยากคอมเพลอะไร
00:23:32 → 00:23:32 >> อื
00:23:32 → 00:23:33 >> ค่ะ
00:23:33 → 00:23:35 >> แล้วในตัวตนล่ะคะถ้าเกิดสมมุติว่าพี่ถาม
00:23:35 → 00:23:38 ว่าแล้วตัวตนของชมเองชมรู้สึกยังไงกับตัว
00:23:38 → 00:23:39 เอง
00:23:39 → 00:23:43 >> รู้สึกยังไงกับตัวเองเหรออืก็รักตัวเองนะ
00:23:43 → 00:23:49 เออก็ภูมิใจอุ๊ยไม่อยากชมตัวเองออกสึ
00:23:49 → 00:23:53 ก็ภูมิใจค่ะหรือว่าไม่ได้เก่งที่สุดหรือ
00:23:53 → 00:23:56 ว่าไม่ได้แบบเกิดมาแล้วแบบว่า challenged
00:23:56 → 00:24:00 ขนาดนั้นไม่ได้ว่ามีพรสวรรค์อะไรที่แบบ
00:24:00 → 00:24:02 ว่าโดดเด่น
00:24:02 → 00:24:02 >> อือฮึ
00:24:02 → 00:24:04 >> อะไรอย่างเงี้ยไม่ได้แบบเก่งแบบสุดโต่งใน
00:24:04 → 00:24:07 เรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่ว่าก็พอใจ
00:24:07 → 00:24:08 >> อื
00:24:08 → 00:24:09 >> เป็นประโยชน์มั้ยคะไปต่อ
00:24:09 → 00:24:11 >> เป็นได้
00:24:11 → 00:24:14 >> คือจริงๆวันเนี้ยค่ะก็อย่างที่เรารู้กัน
00:24:14 → 00:24:18 อยู่แล้วเนว่าเราจะมาดูดาวชม
00:24:18 → 00:24:21 >> ให้กับทุกๆคนให้ได้รับรู้ไปด้วยกันด้วย
00:24:21 → 00:24:23 วันนี้นะคะก็
00:24:23 → 00:24:26 >> คือมันมีชื่อเรียกหลายแบบมากนะก็คือไม่
00:24:26 → 00:24:29 ว่าจะเป็นอชารอย่างที่บอก Blueprint
00:24:29 → 00:24:29 >> อือื
00:24:29 → 00:24:33 >> ก็คือสิ่งที่พี่พิมพ์มาให้เนี่ยมันเป็น
00:24:33 → 00:24:37 ชาร์จตอนที่ช่วงเวลาเกิดที่ชมเกิด
00:24:37 → 00:24:37 >> ค่ะ
00:24:37 → 00:24:40 >> สิ่งที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดนะคะ
00:24:40 → 00:24:42 >> แล้วก็เป็นสิ่งที่พี่จะเรียกว่าเป็นแหล่ง
00:24:42 → 00:24:45 พลังงานของคนๆนั้นนะคะ
00:24:45 → 00:24:48 >> แหล่งพลังงานนั้นของชมเนี่ยคือความคิด
00:24:48 → 00:24:49 สร้างสรรค์อ
00:24:49 → 00:24:51 >> และความสร้างสรรค์ของตัวเอง
00:24:51 → 00:24:55 >> คือชมมีความสร้างสรรค์ในตัวเองเยอะมาก
00:24:55 → 00:24:56 >> ที่อใช่
00:24:56 → 00:24:56 >> อื
00:24:56 → 00:24:58 >> ความสร้างสรรค์ความสร้างสรรค์ในที่นี้ไม่
00:24:59 → 00:25:02 ได้ไม่ได้ว่าจะต้องออกมาในลักษณะของงาน
00:25:02 → 00:25:04 >> หรือว่าความcreครattiveนะคะมันคือความ
00:25:04 → 00:25:08 หลากหลายในตัวเองความที่มีการผสมผสานบาง
00:25:08 → 00:25:10 สิ่งบางอย่างที่ออกมาซึ่งนี่เห็นเด่นชัด
00:25:10 → 00:25:13 มากก็คือในเรื่องของการแต่งกาย
00:25:13 → 00:25:13 >> อื
00:25:13 → 00:25:15 >> คือถ้าเกิดสมมุติว่าเราไม่ได้มาดูพลังงาน
00:25:15 → 00:25:18 แบบนี้เนี่ยคือเราจะมองว่าอ๋อคนเนี้ยชอบ
00:25:18 → 00:25:22 แฟชั่นคือชมชอบแต่งตัวแล้วก็อาจจะมีความ
00:25:22 → 00:25:23 แต่งตัวที่ mix and match much match
00:25:23 → 00:25:26 ได้หลากหลายแต่พอเราเข้ามาดูในพลังงานของ
00:25:26 → 00:25:30 ดาวเนี่ยเราจะเห็นเลยว่าที่มาที่ชมชอบ
00:25:30 → 00:25:34 แฟชั่นแล้วก็สามารถที่จะเอิ่มแครี่ได้ใน
00:25:34 → 00:25:36 หลายๆลุคเนี่ยมันเป็นเพราะว่าเราเนี่ยมี
00:25:36 → 00:25:38 พลังงานของความสร้างสรรค์เยอะมากข้างใน
00:25:38 → 00:25:39 คือเรากำลังพูดในเรื่องของ self
00:25:40 → 00:25:42 discovery เนาะฉะนั้นมันคือการค้นพบตัว
00:25:42 → 00:25:44 เองที่แบบลึกเข้าไปอีกว่าเหมือนกับคนๆ
00:25:44 → 00:25:47 เนี้ยไม่ได้แค่ชอบความฉาบฉวยของแฟชั่นแต่
00:25:47 → 00:25:52 ว่าแฟชั่นคือฟอร์มนึงที่ทำให้ชมได้แสดง
00:25:52 → 00:25:54 ตัวเองออกไปให้ทุกๆคนได้เห็น
00:25:54 → 00:25:55 >> ค่ะ
00:25:55 → 00:25:59 >> อืมอันนี้คือสิ่งที่เอิ่สามารถที่จะนำไป
00:25:59 → 00:26:02 ใช้ในรูปแบบอื่นก็ได้แต่ชมเลือกที่จะ
00:26:02 → 00:26:04 พรีเซนตตัวเองแล้วก็เหมือนกับว่าแสดงตัว
00:26:04 → 00:26:07 เองออกมาผ่าน outlet นี้ก็คือแฟชั่นทีนี้
00:26:07 → 00:26:09 รู้สึกบ้างมว่าตัวเองเวลาแต่งตัวหรืออะไร
00:26:09 → 00:26:12 มันมีความแบบมันสามารถที่จะแมชไปได้แบบใน
00:26:12 → 00:26:14 ทุกรูปแบบ
00:26:14 → 00:26:16 >> อืม
00:26:16 → 00:26:20 ก็มีอะไรที่เราแครี่ไม่ได้ก็มีนะคะเออค่ะ
00:26:20 → 00:26:21 ก็มีเหมือนกัน
00:26:21 → 00:26:21 >> อือฮึ
00:26:21 → 00:26:25 >> แต่ก็สนุกก็ก็ก็นั่นแหละค่ะก็คิดว่ามัน
00:26:25 → 00:26:28 เป็นเรื่องของการอย่างที่บอกเป็นการสื่อ
00:26:28 → 00:26:28 สารอ
00:26:28 → 00:26:32 >> อย่างหนึ่งเหมือนกับว่าบอกอารมณ์บอกไวเรา
00:26:32 → 00:26:34 อือใช่อือฮึก็อันนั้นน่ะคือ 1 เรื่องที่
00:26:34 → 00:26:36 เห็นว่าเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก
00:26:36 → 00:26:38 >> แล้วก็เป็นตัวตนที่
00:26:38 → 00:26:41 >> ค่อนข้างแข็งแรงในแง่ของการที่เราเป็นตัว
00:26:41 → 00:26:44 ของตัวเองมีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้าง
00:26:44 → 00:26:46 สูงมากนะคะแล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่สื่อ
00:26:46 → 00:26:51 สารออกไปมีความจริงอยู่เสมอคือไม่ได้มี
00:26:51 → 00:26:54 อะไรที่เหมือนกับต้องระวังตัวคือเหมือน
00:26:54 → 00:26:56 กับมีตัวตนของเองคือเป็นยังไงก็เป็นอย่าง
00:26:57 → 00:26:59 งั้นก็พูดออกไปแบบนั้นสิ่งสำคัญที่สุดอีก
00:26:59 → 00:27:02 อย่างนึงคือเป็นคนที่มีดาวพลูโตเนี่ยเด่น
00:27:02 → 00:27:05 มากๆนะคะมีPowerาเวอร์ในตัวเองมีพลังใน
00:27:05 → 00:27:09 ตัวเองแล้วก็มีอำนาจถ้าเกิดสมมุติลองลอง
00:27:09 → 00:27:11 นึกถึงตัวเองอ่ะชมจะรู้สึกว่าคือเรา
00:27:11 → 00:27:14 เหมือนอยู่ออกจากทุกสิ่งทุกอย่างอ่ะคือ
00:27:14 → 00:27:16 มันไม่ได้อยู่ในแบบสมมุติชมอยู่ในวงการ
00:27:16 → 00:27:19 ใช่มั้ยคะเป็นนักแสดงว่าความเป็นชมมันคือ
00:27:19 → 00:27:22 ความเป็นชมที่มันไม่ได้มีใครกล้าเข้าไป
00:27:22 → 00:27:24 แตะขนาดนั้นอันเนี้ยมันคือเป็นพลังงานที่
00:27:25 → 00:27:28 เราเห็นชัดมากว่าคนๆเนี้ยมีอำนาจในตัวเอง
00:27:28 → 00:27:30 แล้วก็มีpowerาเวอร์บางอย่างที่ทำให้คน
00:27:30 → 00:27:33 ไม่ได้กล้าเข้ามายุ่งขนาดนั้นด้วย
00:27:33 → 00:27:33 >> อื
00:27:33 → 00:27:35 >> ถ้าเกิดสมมุติว่าชมอาจจะนึกว่าโอเคก็เป็น
00:27:35 → 00:27:38 เพราะว่าเราไม่ได้ยุ่งอะไรกับใครแล้วก็
00:27:38 → 00:27:40 แบบโอเคอาจจะอยู่กับครอบครัวแต่ถ้าเกิด
00:27:40 → 00:27:42 เราดูพลังงานเราจะเห็นเลยว่าคนๆเนี้ยเขา
00:27:42 → 00:27:45 ส่งพลังงานบางอย่างออกไปว่าเขามีอำนาจตรง
00:27:45 → 00:27:45 นี้
00:27:45 → 00:27:47 >> ก็คือเวลาคนที่เขาไม่กล้าเข้าหาเราอะไร
00:27:47 → 00:27:49 เงี้ยเพราะว่าเพราะดาวภูโตเหรอคะ
00:27:49 → 00:27:51 >> อือ
00:27:51 → 00:27:54 >> จริงๆไม่ได้ยิงนะคะแต่ว่าดาวพูโตค่ะเป็น
00:27:54 → 00:27:58 เรื่องขอให้โทษดาวพูโต
00:27:58 → 00:28:00 ใช่ค่ะคือมันมีหลายดาวเนาะแต่ว่าดาวฟูโต
00:28:00 → 00:28:03 เนี่ยเป็นดาวที่เด่นมากนะคะฉะนั้นไม่ว่า
00:28:03 → 00:28:06 ทำอะไรออกไปเนี่ยมันจะมีพลังเยอะมาก
00:28:06 → 00:28:06 >> อื
00:28:06 → 00:28:10 >> คือชมมีเป็นคนที่มีพลังในตัวเองเยอะมากๆ
00:28:10 → 00:28:12 >> เหรอชมเก่าคิดว่าชมยังไม่พอใจกับ
00:28:12 → 00:28:14 เอเนอร์gจีที่ชมมี
00:28:14 → 00:28:15 >> เยอะแล้วนะคะ
00:28:15 → 00:28:18 >> เออชมยังไม่พอใจยังแบบว่าเกลียดเวลาที่
00:28:18 → 00:28:19 ตัวเองขี้เกียจ
00:28:19 → 00:28:20 >> อื
00:28:20 → 00:28:22 >> อะไรอย่างเงี้ยเกลียดไม่ชอบเวลาที่แบบเฉา
00:28:22 → 00:28:24 ไม่ชอบวันที่ไม่ productive
00:28:24 → 00:28:24 >> อื
00:28:24 → 00:28:27 >> ชมบอกว่าต้องทำอะไรตลอดเวลาคือเราชอบที่
00:28:27 → 00:28:30 เราเวลาเราแข็งแรงแล้วเรามีแบบเราไม่ป่วย
00:28:30 → 00:28:32 เราสุขภาพดีแล้วเราเหมือนแบบเรา fulless
00:28:32 → 00:28:35 ของเราอ่ะคือเราเต็มในตัวเราเราสามารถที่
00:28:35 → 00:28:38 จะพร้อมที่จะทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มที่
00:28:38 → 00:28:40 อันเนี้ยค่ะมันคือเป็นพลังงานที่ intense
00:28:40 → 00:28:42 เป็นพลังงานที่ extrem นั่นแหละก็คือเรา
00:28:42 → 00:28:45 อ่ะเป็นคนที่มีพลังงานเยอะมากเราถึงอยาก
00:28:45 → 00:28:47 ที่จะเอาพลังงานเออกไปอ
00:28:47 → 00:28:49 >> พอนึกออกมั้ยคะแต่ถ้าเกิดสมมุติเราบอกว่า
00:28:49 → 00:28:51 โอเคเรายังรู้สึกพลังงานเรายังไม่พออะไร
00:28:51 → 00:28:54 เรายังอยากมีแรงเยอะกว่านี้เนี่ยมันเป็น
00:28:54 → 00:28:55 เพราะวันนั้นเราอาจจะพลังงานดรอป
00:28:55 → 00:28:55 >> ค่ะ
00:28:55 → 00:28:57 >> พอมันดรอปปุ๊บเราก็อยากจะตีตื้นให้มัน
00:28:57 → 00:29:00 เป็นพลังงานที่เราทำทุกอย่างได้แล้วชมมี
00:29:00 → 00:29:03 ความสามารถเยอะมากที่จะทำอะไรได้หลากหลาย
00:29:03 → 00:29:06 แล้วก็ที่สำคัญที่สุดอีกดาวนึงที่
00:29:06 → 00:29:10 อันเนี้ยคือเห็นชัดมากคือความฉลาดค่ะ
00:29:10 → 00:29:11 >> อื
00:29:11 → 00:29:16 >> เป็นคนที่ฉลาดมากเลย
00:29:16 → 00:29:17 ต้องเรียกว่าฉลาดสุดๆ
00:29:17 → 00:29:18 >> อื
00:29:18 → 00:29:19 >> อือฮึ
00:29:19 → 00:29:20 >> อื
00:29:20 → 00:29:21 >> อันนี้ดาวอะไรคะ
00:29:21 → 00:29:22 >> อันนี้ดาวพุทธค่ะ
00:29:22 → 00:29:24 >> อ๋อดาวพุทธนะคะ
00:29:24 → 00:29:24 >> อือื
00:29:24 → 00:29:27 >> เป็นคนที่มีดาวพุทธเด่นอีกตัวนึงนะคะเป็น
00:29:27 → 00:29:31 ดาวที่เห็นชัดเลยว่าใช้สมองและความคิด
00:29:31 → 00:29:34 เนี่ยแบบได้แยบยนมากๆ
00:29:34 → 00:29:36 >> อืดูน่ากลัวเหมือนกันแยบยน
00:29:36 → 00:29:39 >> แล้วก็แยบยนแล้วก็มีความคิดที่ลึกซึ้งนะ
00:29:39 → 00:29:41 คะทำให้เวลามีปัญหาอะไรเข้ามาเนี่ยชม
00:29:41 → 00:29:44 สามารถที่จะแก้มันด้วยการเหมือนอยู่กับ
00:29:44 → 00:29:45 ปัญหาก่อน
00:29:45 → 00:29:47 >> แล้วก็แบบอ่ะค่อยๆแก้มันไป
00:29:48 → 00:29:50 >> แล้วด้วยพลังที่มีต่างๆที่รวมกันเนี่ยทำ
00:29:50 → 00:29:53 ให้สามารถที่จะทะลวงเข้าไปในปัญหาและอยู่
00:29:53 → 00:29:56 กับมันได้จนกว่าจะแก้ออกอะไรเงี้ยค่ะแล้ว
00:29:56 → 00:29:59 ก็ในเรื่องของการสื่อสารด้วยว่าการสื่อ
00:29:59 → 00:30:02 สารเนี่ยเด่นที่เวลาเราคุยกับใครเวลาที่
00:30:02 → 00:30:06 เราจะสื่อสารในทุกรูปแบบเนี่ยจะมี
00:30:06 → 00:30:08 challeng บางอย่างในการที่เราจะสื่อสาร
00:30:08 → 00:30:08 กับคนอื่น
00:30:08 → 00:30:12 >> อทีนี้เอาแบบไม่เกรงใจบ้างพี่นีไม่เกรงใจ
00:30:12 → 00:30:14 เอาแบบว่า
00:30:14 → 00:30:15 Daride
00:30:15 → 00:30:17 >> Dark Side ใช่มั้คะคือพลังทั้งหมดอ่ะ
00:30:17 → 00:30:20 ค่ะเขามีทั้งข้อดีและข้อเสียไม่มีดาวไหน
00:30:20 → 00:30:22 เลยที่มีข้อดีอย่างเดียว
00:30:22 → 00:30:24 >> มันขึ้นกับความสมดุลของตัวเราทีนี้ถ้า
00:30:24 → 00:30:27 เกิดสมมุติเราจะกลับมาดูในส่วนที่ดูเป็น
00:30:27 → 00:30:29 อาจจะดูเป็นข้อเสียที่เหมือนกับอ่าเราอาจ
00:30:29 → 00:30:30 จะอ
00:30:30 → 00:30:32 >> ไม่สมดุลหรืออะไรต่างๆเนาะ
00:30:32 → 00:30:36 >> คืออารมณ์ในเรื่องของอารมณ์ความอ่อนไหว
00:30:36 → 00:30:37 ง่าย
00:30:37 → 00:30:40 >> แล้วก็เป็นอารมณ์ที่อาจจะสวิงไปมาได้ค่อน
00:30:40 → 00:30:43 ข้างเยอะความไม่มั่นคงในทางอารมณ์ที่
00:30:43 → 00:30:45 เหมือนกับจะต้องคอยมอนิเตอร์ตัวเองว่าเออ
00:30:45 → 00:30:48 เรารู้สึกอย่างไรไม่แน่ใจเป็นแบบนี้มั้
00:30:48 → 00:30:53 >> อืมจะเป็นคนที่แบบเวลามีอะไรอ่ะชมจะดีล
00:30:53 → 00:30:53 อ่ะ
00:30:53 → 00:30:54 >> อื
00:30:54 → 00:30:56 >> เวลามีอะไรมาฮิตเนี่ย
00:30:56 → 00:30:57 >> อือฮึ
00:30:57 → 00:31:01 >> ชมจะแบบว่าrespอช้ามากหมายถึงว่าในแง่ของ
00:31:01 → 00:31:02 อารมณ์อะไรเงี้ยนะคะ
00:31:02 → 00:31:03 >> อือฮึ
00:31:03 → 00:31:05 >> นั่นแหละอย่างที่บอกถ้าใครมา
00:31:05 → 00:31:07 >> ทำให้ชมรู้สึกอะไรหรืออะไรอย่างเงี้ยบาง
00:31:07 → 00:31:12 ทีชมจะแบบเหมือน part lลogicอ่ะมันจะทำ
00:31:12 → 00:31:13 งานก่อน
00:31:13 → 00:31:14 >> อะไรอย่างเงี้ยก็อย่างที่พี่นีบอกเมื่อ
00:31:14 → 00:31:15 กี้อยู่กับปัญหา
00:31:15 → 00:31:16 >> อื
00:31:16 → 00:31:19 >> แต่เราก็รู้สึกว่าเหมือนบางทีเราก็ละเรา
00:31:19 → 00:31:21 เหมือนเราเก็บอารมณ์เราเอาไว้ข้างไหนแล้ว
00:31:21 → 00:31:24 เราไม่ได้เราดีลกับความรู้สึก
00:31:24 → 00:31:24 >> อือฮึ
00:31:24 → 00:31:25 >> ทีหลัง
00:31:25 → 00:31:26 >> อือฮึ
00:31:26 → 00:31:29 >> เออเราจะดีลกับปัญหาก่อนอะไรเงี้ยแล้วก็
00:31:29 → 00:31:34 บางทีก็รู้สึกว่ากับตัวเองก็ก็หนัก
00:31:34 → 00:31:35 >> อือฮึ
00:31:35 → 00:31:38 >> เออชมก็ไม่แน่ใจว่ามันดีหรือไม่ดีคือโอเค
00:31:39 → 00:31:41 เวลาเรารีแอคด้วยอารมณ์ช้าชมก็รู้สึกว่า
00:31:41 → 00:31:43 ถ้าครั้งไหนที่ปล่อยให้ตัวเองอ่ะเหมือน
00:31:43 → 00:31:45 แบบว่า
00:31:45 → 00:31:47 ตอบโต้กลับไปด้วยอารมณ์ชมจะเสียใจทุก
00:31:47 → 00:31:48 ครั้ง
00:31:48 → 00:31:49 >> อื
00:31:49 → 00:31:52 >> ก็เลยเหมือนเป็นบทเรียนให้ตัวเองว่าสมอง
00:31:52 → 00:31:53 ของก่อน
00:31:53 → 00:31:53 >> อื
00:31:53 → 00:31:57 >> บางทีก็เห็นคนที่เหมือนด่ามาด่ากลับไม่
00:31:57 → 00:31:57 โกงอะไรเงี้ย
00:31:57 → 00:31:58 >> อื
00:31:58 → 00:32:01 >> แล้วมันสบายอ่ะมันโล่งมันแบบอะไรอย่าง
00:32:01 → 00:32:03 เงี้ยแบบเอออยากทำแบบแกได้อะไรอย่างเงี้ย
00:32:03 → 00:32:04 แต่ว่าทำไม่ได้
00:32:04 → 00:32:05 >> อือฮึ
00:32:05 → 00:32:08 >> แต่เอาจริงๆนะรุ่นเนี้ยนะก็ไม่ค่อยมีอะไร
00:32:08 → 00:32:10 ทำอะไรเราได้แล้วนอกจากจะเป็นเกี่ยวกับ
00:32:10 → 00:32:11 ถ้าเกี่ยวกับครอบครัวเกี่ยวกับลูกมากกว่า
00:32:11 → 00:32:13 อะไรอย่าเงี้ยแล้วก็พอมีเรื่องมีอะไร
00:32:13 → 00:32:16 เงี้ยมาฮิตแล้วแบบว่าเรามีทั้งความโกรธ
00:32:16 → 00:32:18 ทั้งความแบบอะไรเงี้ยทุกอย่างเลยแต่ว่า
00:32:18 → 00:32:21 เหมือนสมองเราอ่ะมันให้เรา manage กับ
00:32:21 → 00:32:25 ปัญหาหาแบบให้มันแบบgraสfulที่สุด
00:32:25 → 00:32:25 >> อือฮึ
00:32:25 → 00:32:29 >> แต่ข้างในเนี่ยแบบว่า
00:32:29 → 00:32:32 เออข้างในนี่แบบว่าอืแต่ว่าก็ไม่ค่อยมี
00:32:32 → 00:32:35 ใครไม่ค่อยมีใครได้เห็นอย่างเงี้ยค่ะ
00:32:35 → 00:32:36 >> อือฮึพี่ช่วยตอบให้ได้ค่ะ
00:32:36 → 00:32:38 >> ได้เอาเลยค่ะ
00:32:38 → 00:32:40 >> คืออย่างที่บอกนะคะว่าเป็นคนที่ความคิด
00:32:40 → 00:32:41 เด่นมาก
00:32:41 → 00:32:43 >> ฉะนั้นความคิดเนี่ยมันกลบทุกอย่างหมด
00:32:43 → 00:32:45 เพราะเรารู้ว่านั่นคือ strength คือข้อดี
00:32:45 → 00:32:48 ของเราพอเราแก้ปัญหาหรือมีอะไรเข้ามา
00:32:48 → 00:32:50 กระทบเนี่ยถึงบอกนะคืออย่างที่บอกเน้นใน
00:32:50 → 00:32:54 เรื่องของความคิดก่อนคือมันจะแจเอาตรรกะ
00:32:54 → 00:32:57 เข้ามาในการที่จะแก้ปัญหามันไม่เป็นข้อ
00:32:57 → 00:33:00 เสียชมแต่ว่ามันเป็นในลักษณะของสิ่งที่
00:33:00 → 00:33:03 เราอาจจะเป็น sensitive คือจุดบอบบางแล้ว
00:33:03 → 00:33:06 ก็เป็นจุดที่เราอาจจะซ่อนเร้นเอาไว้อย่าง
00:33:06 → 00:33:09 ที่บอกก็คือในเรื่องของอารมณ์ซึ่งอารมณ์
00:33:09 → 00:33:12 เนี่ยนอกจากจะอ่อนไหวมากๆแล้วอ่ะนะคะยัง
00:33:12 → 00:33:16 มีความอิ่อาจจะสวิงไปมาได้เพราะด้วยความ
00:33:16 → 00:33:18 ที่อารมณ์ของชมเนี่ยเป็นอารมณ์ที่เหมือน
00:33:18 → 00:33:20 กับอย่างที่ชมบอกเนี่ยคือชมเก็บเอาไว้
00:33:20 → 00:33:21 ด้วยค่ะ
00:33:21 → 00:33:24 >> แต่ขะเวลากันที่มาว่าทำไมเราถึงเก็บแต่พอ
00:33:24 → 00:33:27 เรามาดูดดาวปุ๊บเราจำแนกได้หมดเลยว่าโอเค
00:33:27 → 00:33:29 เนี่ยคือคนนี้ฟอร์มขึ้นมาเนี่ยเขามีพลัง
00:33:29 → 00:33:32 งานอะไรบ้างแล้วอย่างของชมเนี่ยก็คือใน
00:33:32 → 00:33:34 เรื่องของอารมณ์เนี่ยเป็นในเรื่องของความ
00:33:34 → 00:33:37 รู้สึกในเรื่องของความอ่อนไหวต่างๆเนี่ย
00:33:37 → 00:33:40 เป็นส่วนที่ sensitive มากๆ
00:33:40 → 00:33:43 >> และนั่นคือที่มาที่ทำไมชมถึงเก็บเอาไว้
00:33:43 → 00:33:45 แล้วก็ไม่แสดงให้ใครเห็นหรือแม้แต่กับตัว
00:33:45 → 00:33:48 เองคือการที่เวลาเราปิดกับคนอื่นน่ะค่ะ
00:33:48 → 00:33:51 มันก็เหมือนกับเป็นการที่เราปิดกับตัวเรา
00:33:51 → 00:33:51 เองด้วย
00:33:51 → 00:33:52 >> อื
00:33:52 → 00:33:55 >> ฉะนั้นมันเลยถึงบอกว่าทำไมถึงดีลayเพราะ
00:33:55 → 00:33:57 ว่ากว่ามันจะผ่านขบวนการของอารมณ์เนี่ย
00:33:57 → 00:34:00 มันไปขับมันไปลงloบของความคิดก่อนพอมันลง
00:34:00 → 00:34:02 รูบความคิดปุ๊บเราก็จะพยายามที่จะคิดให้
00:34:02 → 00:34:04 ได้เหมือนกับอยากจะแก้ปัญหาในแบบที่เรา
00:34:04 → 00:34:06 ถนัดแต่บางครั้งอารมณ์ที่เราฝังเอาไว้
00:34:07 → 00:34:09 แล้วความที่มันบอบบางมากๆเนี่ยมันเลยทำ
00:34:09 → 00:34:12 ให้เราซ่อนสิ่งนี้ไว้จนมันมีเหตุการณ์บาง
00:34:12 → 00:34:14 อย่างหรือว่าอะไรบางอย่างที่มันมาแบบ
00:34:14 → 00:34:16 กระทบแล้วทำให้มันผุดขึ้นมาอ
00:34:16 → 00:34:18 >> ทีนี้ก็จะเขื่อนแตกแบบว่า
00:34:18 → 00:34:20 >> ใช่
00:34:20 → 00:34:22 แล้วมันจะสะสมโดยการที่เหมือนกับร้อย
00:34:22 → 00:34:24 เรียงเอาทุกอย่างอ่ะค่ะที่เหมือนกับเป็น
00:34:24 → 00:34:27 เหตุการณ์ซ้ำๆที่เรารู้สึกแบบนี้หรือว่า
00:34:28 → 00:34:30 อะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกว่าเออเราแบบ
00:34:30 → 00:34:32 เราฝังมันไปข้างในอ่ะแล้วอยู่ดีมันแบบอาจ
00:34:32 → 00:34:34 จะมีคนพูดแค่คำเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
00:34:34 → 00:34:37 อะไรเลยแล้วอยู่ดีก็เทอารมณ์ออกมาทั้งหมด
00:34:37 → 00:34:40 อะไรแบบนี้ได้เชื่อมั้ยหนังแบบหนัง
00:34:40 → 00:34:43 ครอบครัวหนังอะไรเงี้ยยังไม่อยากดูเลยอ่ะ
00:34:43 → 00:34:43 หนังแบบว่า
00:34:43 → 00:34:44 >> ใช่คือเราหนี
00:34:44 → 00:34:47 >> หนังไม่อยากดูเลย
00:34:47 → 00:34:50 >> ดูการ์ตูนดิดิสนีย์บางทียังร้องไห้เลย
00:34:50 → 00:34:51 >> นั่นแหละค่ะ
00:34:51 → 00:34:51 >> ค่ะ
00:34:51 → 00:34:54 >> มันเป็นแหล่งพลังงานที่ sensitive มากๆ
00:34:54 → 00:34:57 แล้วก็แต่จริงๆเป็นพลังงานที่ดีมากๆนะคะ
00:34:57 → 00:35:00 ถ้ามองในแง่ของความโอบอ้อมอารี
00:35:00 → 00:35:02 >> ในแง่ของความรักแล้วในแง่ของการที่เราแบบ
00:35:02 → 00:35:05 เห็นอกเห็นใจคนอื่นเนี่ยเอathyนี่คือมี
00:35:05 → 00:35:07 แบบพลังล้นมาก
00:35:07 → 00:35:07 >> อื
00:35:07 → 00:35:11 >> คือเยอะมากๆข้างในแต่พอมาในแง่ของการที่
00:35:11 → 00:35:13 เราอยากที่จะรู้จักตัวเองหรือเข้าใจตัว
00:35:13 → 00:35:15 เองเนี่ยกลายเป็นว่ามันมีกำแพงปิดกั้น
00:35:15 → 00:35:15 >> ค่ะ
00:35:15 → 00:35:18 >> เพราะว่าเราไม่อยากที่จะอ่อนแอ
00:35:18 → 00:35:20 ไม่อยากที่จะอ่อนไหว
00:35:20 → 00:35:24 >> ชมควรทำไงอ่ะดูหนังแล้วปล่อยดูซีรีย์แล้ว
00:35:24 → 00:35:26 ปล่อยควรจะเป็นอย่างงั้น
00:35:26 → 00:35:28 >> จริงๆแล้วมันเริ่มจากอย่างงั้นได้เลยนะคะ
00:35:28 → 00:35:30 ใช่คือสิ่งที่เราหนีอ่ะมันคือการที่เรา
00:35:30 → 00:35:32 หนีตัวเองแหละอย่างเช่นเราไม่อยากดูหนัง
00:35:32 → 00:35:35 ประเภทนี้เพราะเรามองว่าเออแบบฉันดูไม่
00:35:35 → 00:35:38 ได้พอฉันดูปุ๊บแล้วฉันจะแบบน้ำตาแตกแน่
00:35:38 → 00:35:40 นอนอะไรเงี้ยทีเนี้ยอ่ะเราก็ต้องมานั่ง
00:35:40 → 00:35:42 ถามตัวเองแล้วว่าแล้วทำไมเราถึงน้ำตาแตก
00:35:42 → 00:35:44 >> ใช่มั้มันไม่ใช่แค่ว่าก็ฉันเป็นคนแบบนี้
00:35:44 → 00:35:47 ฉันเลยดูแบบนี้ไม่ได้แต่คือเวลาเรามา
00:35:47 → 00:35:50 ศึกษาดวงดาวอ่ะค่ะเราหาที่มาได้หมดเลยว่า
00:35:50 → 00:35:53 ทำไมแล้วทำไมล่ะทำไมเราถึงไม่อยากที่จะดู
00:35:53 → 00:35:56 ไม่อยากที่จะแตะเพราะว่ามันมีบางมุมของ
00:35:56 → 00:35:58 เราที่เราไม่อยากแตะเขาเลยเพราะมัน
00:35:58 → 00:36:02 sensitive มากถ้าเป็นไปได้อาจจะลองเปิด
00:36:02 → 00:36:02 >> ค่ะ
00:36:02 → 00:36:04 >> เอาเปิดประตูนี่แหละแง้มเข้าไปเองเลยเปิด
00:36:04 → 00:36:08 เองเลยแล้วก็ลองดูว่าข้างในนั้นมีอะไรมัน
00:36:08 → 00:36:11 อาจจะมีเอิ่ที่มาที่ลึกซึ้งกว่าเหตุการณ์
00:36:11 → 00:36:14 ปัจจุบันก็ได้อาจจะเป็นที่มาของตั้งแต่ใน
00:36:14 → 00:36:15 วัยเด็ก
00:36:15 → 00:36:17 >> อาจจะลองทบทวนคนดูก็ได้ค่ะว่าอ่ะที่ผ่าน
00:36:17 → 00:36:19 มาเราเคยมีเหตุการณ์อะไรที่มันทำให้เรา
00:36:19 → 00:36:22 รู้สึกว่าแบบอ่อนไหวค่อนข้างมากมันมีอะไร
00:36:23 → 00:36:26 ที่มันกินใจเราหรือว่าเอิ่มการที่ผู้คน
00:36:26 → 00:36:28 อื่นคนรอบข้างคนที่เรารักเนี่ยเหมือนเขา
00:36:28 → 00:36:30 ทำอะไรกับเราแล้วมันทำให้เรามีความรู้สึก
00:36:30 → 00:36:32 แบบนี้อะไรเงี้ยค่ะคือบางครั้งเนี่ยเรา
00:36:32 → 00:36:34 ต้องย้อนกลับไปถ้าเกิดจริงๆแล้วถ้าย้อน
00:36:35 → 00:36:37 ได้มันเป็นการมันสามารถย้อนได้ไปถึงตอน
00:36:37 → 00:36:39 ที่อยู่ในครรภของแม่ด้วยแต่
00:36:39 → 00:36:42 >> อย่างเงี้ยของพี่นีมีมั้ยมีพากลับไปมั้ย
00:36:42 → 00:36:45 >> จริงๆแล้วเราทำได้ค่ะเราสามารถที่จะย้อน
00:36:45 → 00:36:48 ไปจนถึงแบบช่วงเวลาที่เขาก่อนมาเกิดได้
00:36:48 → 00:36:51 >> จริงๆชมได้ยินพวกแบบเทรปี้แบบอะไรอย่าง
00:36:51 → 00:36:54 เงี้ยเออเยอะมากเลยทีเนี้ยมีคนนำพาเรา
00:36:54 → 00:36:57 กลับไปตรงนั้นได้จริงๆเราไปอาจจะไปเห็น
00:36:57 → 00:36:59 ภาพหรือว่าไปแบบ
00:36:59 → 00:37:01 >> มีประสบการณ์อะไรที่มันเหมือนจริงเหมือน
00:37:01 → 00:37:02 ฉายหนังตรงนั้น
00:37:02 → 00:37:03 >> อือฮึ
00:37:03 → 00:37:05 >> ฉายเสร็จแล้วเราได้อะไรอ่ะ
00:37:05 → 00:37:08 >> คือจริงๆแล้วมันมีหลายแบบนะมันก็มีแบบที่
00:37:08 → 00:37:11 เราจะเข้าไปเองก็ได้คือถ้าถามความเห็นของ
00:37:11 → 00:37:14 นีค่ะคือนีมองว่าถ้าเกิดสมมุติว่าเราเข้า
00:37:14 → 00:37:16 ไปเองโดยที่เราทำความเข้าใจว่าเราค่อยๆ
00:37:16 → 00:37:19 นั่งอยู่นิ่งๆคนเดียวเนอะเราค่อยๆนึกอ่ะ
00:37:19 → 00:37:21 เหมือนกับอยู่กับตัวเองคนเราบางครั้งเรา
00:37:21 → 00:37:23 รู้สึกว่าเราก็อยู่กับตัวเองตลอดเวลาแต่
00:37:23 → 00:37:25 ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลยเรามี
00:37:25 → 00:37:27 เวลาให้กับตัวเองน้อยมากเวลาที่ไม่ต้อง
00:37:27 → 00:37:30 คิดอะไรแค่นั่งอยู่นิ่งๆแล้วเราอาจจะลอง
00:37:30 → 00:37:33 แบบโอเคค่ะลองนั่งนิ่งๆแล้วลองย้อนดูอ่ะ
00:37:33 → 00:37:35 ว่าเฮ้ยมันมีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เหมือน
00:37:35 → 00:37:38 กับมันทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจเสียใจอะไร
00:37:38 → 00:37:41 ก็ตามแต่ตั้งแต่เด็กจนโตเอาแบบที่เราใช้
00:37:41 → 00:37:43 ความที่เราจำได้ก่อน
00:37:43 → 00:37:45 >> ทีนี้เนี่ยพอเราเริ่มจำได้แล้วถ้าเกิด
00:37:45 → 00:37:47 สมมุติว่าเราใช้ความเข้าใจของตัวเองเข้า
00:37:47 → 00:37:50 ไปทำความเข้าใจในเหตุการณ์นั้นแล้วมัน
00:37:50 → 00:37:53 เกิดเฮ้ยอยู่ดีๆมันอาจจะมีแบบเฮ้ยหายเฮ้ย
00:37:53 → 00:37:55 อยู่ดีเราเข้าใจพอแค่แค่เราเข้าใจบาง
00:37:55 → 00:37:57 อย่างอ่ะมันจะมีปรากฏการณ์บางอย่างที่ทำ
00:37:57 → 00:37:59 ให้ตรงนั้นมันคลายออกได้
00:37:59 → 00:37:59 >> อือ
00:37:59 → 00:38:02 >> แต่มันก็มีอีกกรณีนึงถ้าเกิดสมมุติว่าเรา
00:38:02 → 00:38:05 รู้สึกว่าเราทำงานกับกไม
00:38:05 → 00:38:08 มันยังไม่เวิร์คมันยังไม่ได้ผลอาจจะลอง
00:38:08 → 00:38:11 อ่ะอาจจะมีที่เหมือนกับเป็นคนนอกที่อยาก
00:38:11 → 00:38:13 เขาอาจจะมาช่วยให้พาให้เรากลับกันไปตรง
00:38:13 → 00:38:15 นั้นถ้าเกิดถามมีรู้สึกว่าการที่เราทำได้
00:38:15 → 00:38:18 ด้วยตัวเองจริงๆโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
00:38:18 → 00:38:20 เนี่ยมันดีที่สุดเพราะว่าตัวเราเองนี่
00:38:20 → 00:38:22 แหละเป็นยาที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
00:38:22 → 00:38:26 >> โอแต่ว่าจะพาตัวเองไปได้ชมว่าน้อยคนนะคะ
00:38:26 → 00:38:27 ที่จะพาไปได้
00:38:27 → 00:38:30 >> คือจริงๆเราทำได้ค่ะเพียงแต่ว่าเรากล้าพอ
00:38:30 → 00:38:33 หรือเปล่ามากกว่าถ้าเรากล้าพอว่าแบบโอเค
00:38:33 → 00:38:35 เราจะไปแตะในจุดที่เรา sensitive
00:38:35 → 00:38:36 >> อ
00:38:36 → 00:38:38 >> แล้วเรากล้าที่จะอยู่ตรงนั้นแล้วยอมรับ
00:38:38 → 00:38:42 ได้เนี่ยนี่เชื่อว่าชมก็คือชมหายได้
00:38:42 → 00:38:45 >> แล้วต่อไปชมอาจจะดูละครพรแล้วก็แบบเศร้า
00:38:45 → 00:38:47 เรื่องครอบครัวแล้วก็แบบยิ้มได้ไม่แบบอื
00:38:47 → 00:38:50 ไม่ได้ไม่ได้มีอะไรที่มันสะเทือน
00:38:50 → 00:38:52 >> ใจอีกต่อไปอะไรเงี้ยค่ะพอเราได้คำตอบ
00:38:52 → 00:38:55 อย่างงี้กับตัวเองปุ๊บสิ่งที่เราได้ต่อมา
00:38:55 → 00:38:58 คือเราสมดุลมากขึ้นนี่แหละคือ self
00:38:58 → 00:39:01 discovery ที่ทุกคนอาจจะมองว่าแบบเออฉัน
00:39:01 → 00:39:03 ก็รู้จักตัวเองอยู่แล้วทำไมฉันต้องหาแต่
00:39:03 → 00:39:05 บางครั้งมันมีมุมบางอย่างตรงนั้นแหละมัน
00:39:05 → 00:39:07 คล้ายๆว่าอะไรสักอย่างแต่เราหาคำตอบไม่
00:39:07 → 00:39:10 ได้ถ้าเราแก้ได้แล้วถ้าเราสมมุติเราเปิด
00:39:10 → 00:39:13 ใจกับตรงนี้ได้เนี่ยเราจะมีความสุขมาก
00:39:13 → 00:39:13 ขึ้น
00:39:13 → 00:39:14 >> อื
00:39:14 → 00:39:16 >> มันมีคือคนเรามันจะมีกำแพงบางอย่างที่เรา
00:39:16 → 00:39:19 ปิดเราปิดกั้นบางส่วนที่เราไม่ค่อยอยากจะ
00:39:19 → 00:39:20 เข้าไปแตะ
00:39:20 → 00:39:23 >> อาจจะเป็นเค้าเรียกอาจจะเป็นอชadowของตัว
00:39:23 → 00:39:26 เองอาจจะเป็นเอ่อมุมบางสิ่งบางอย่างที่ทำ
00:39:26 → 00:39:29 ให้เราสะเทือนใจอาจจะเป็นข้อเสียอะไรก็
00:39:29 → 00:39:32 ได้มันได้หมดอ่ะค่ะมันมันไม่จำเป็นว่าจะ
00:39:32 → 00:39:34 ต้องเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเดียวมันอาจ
00:39:34 → 00:39:36 จะเป็นอะไรที่บอบบาง sensitive กับเราก็
00:39:36 → 00:39:37 ได้
00:39:37 → 00:39:42 >> อทีเนี้ยเราสามารถฝืน
00:39:42 → 00:39:44 ลิขิตฟ้าพลังของดวงดาวได้มั้คะ
00:39:44 → 00:39:47 >> คือดาวคือเราเราคือดาวถ้าเกิดเราฝืนดาวก็
00:39:47 → 00:39:49 คือเราฝืนธรรมชาติในตัวเองอ
00:39:49 → 00:39:51 >> ถ้าเกิดเราเข้าใจว่าดาวคือธรรมชาติเราจะ
00:39:51 → 00:39:53 รู้สึกว่าดาวไม่ใช่ดับดาวเคราะห์ที่ลอย
00:39:53 → 00:39:56 อยู่แล้วแบบไม่มีที่มาที่ไปมันก็คือ
00:39:56 → 00:39:57 ธรรมชาติอย่างหนึ่ง
00:39:57 → 00:39:59 >> แล้วก็ธรรมชาติเหล่านี้ก็คือตัวของเรา
00:39:59 → 00:40:02 >> อ่าแล้วอย่างเงี้ยถ้าบอกว่าดาวแบบดาว
00:40:02 → 00:40:04 เนี้ยทำให้เราแบบขี้โมโหอย่างเงี้ย
00:40:05 → 00:40:07 >> เราก็แค่เข้าใจตัวเองว่าแบบสมแต่เรารู้
00:40:07 → 00:40:08 อย่างน้อยเรารู้ที่มาแล้วไงว่าเราไม่ใช่
00:40:09 → 00:40:11 ขี้โมโหแบบไม่มีที่มาที่ไปสมมุติว่าความ
00:40:11 → 00:40:12 อารมณ์ร้อน
00:40:12 → 00:40:15 คือดาวอังคารยกตัวอย่างใช่คะอ่ะดาวอังคาร
00:40:15 → 00:40:18 มีชื่อว่าอหตเป็นพลังที่ร้อนเหมือนกับว่า
00:40:18 → 00:40:21 มีความมุ่งมั่นแต่ในขณะเวลาเดียวกันก็อาจ
00:40:21 → 00:40:23 จะถ้าเกิดไม่สมดุลก็จะกลายเป็นว่าเป็น
00:40:23 → 00:40:26 พลังที่ทำให้คนนั้นมีอารมณ์ร้อนได้ยกตัว
00:40:26 → 00:40:27 อย่าง
00:40:27 → 00:40:28 >> พออารมณ์ร้อน
00:40:28 → 00:40:30 >> เรารู้แล้วว่าอ๋อที่มาของเราอ่ะมันไม่ใช่
00:40:30 → 00:40:32 ว่าตัวเราเป็นคนนิสัยไม่ดี
00:40:32 → 00:40:34 >> คือมันแค่เรารู้ว่าเราไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี
00:40:34 → 00:40:37 อ่ะมันจบละอย่างน้อยที่แน่ๆเราไม่ได้โทษ
00:40:37 → 00:40:40 ตัวเองละเหมือนกับเฮ้ยเราเป็นคนแย่เนาะ
00:40:40 → 00:40:42 >> แต่เรารู้แล้วเอ้ยมันมีที่มาว่าเรามีพลัง
00:40:42 → 00:40:44 งานนึงในตัวเราที่เหมือนกับเราต้อง handle
00:40:44 → 00:40:47 เค้าหน่อยแทนที่เราจะวิ่งหนีพลังงานนี้
00:40:47 → 00:40:49 เพราะเขาเป็นตัวเราแล้วก็เปิดรับนี่คือ
00:40:49 → 00:40:51 ที่มาของแกนหลักทั้งหมดอ่ะค่ะว่าทำไมเรา
00:40:51 → 00:40:54 ต้องมาค้นพบตัวเองเพราะว่าค้นพบตัวเองของ
00:40:54 → 00:40:57 เราในที่นี้เนี่ยเรามาจำแนกส่วนเลยอ่ะว่า
00:40:57 → 00:41:00 เรามีอะไรบ้างที่เราหลบซ่อนอยู่ที่เราไม่
00:41:00 → 00:41:03 อยากรับรู้ที่เราไม่อยากให้ใครเห็นอย่าง
00:41:03 → 00:41:05 ประสบการณ์นะคะที่ผ่านมาเนี่ยคนที่เข้ามา
00:41:05 → 00:41:07 หาเนี่ยเขาจะต้องมีจุดเปลี่ยนก่อนหรือบาง
00:41:08 → 00:41:11 ครั้งเขามีคำถามกับตัวเองว่าทำไมเขามีอ่า
00:41:11 → 00:41:15 นิสัยแบบนี้ทำไมเขามีความกลัวหรือว่ามี
00:41:15 → 00:41:17 ความไม่มั่นใจอะไรข้างในที่มันเหมือนกับ
00:41:17 → 00:41:19 มันตะขิดตะขวงอยู่ในใจคือมันมีบางคนที่
00:41:20 → 00:41:20 เขากลัว
00:41:20 → 00:41:21 >> อ
00:41:21 → 00:41:23 >> เขาจะมีความกลัวบางอย่างที่เขาอธิบายไม่
00:41:23 → 00:41:23 ได้
00:41:23 → 00:41:23 >> ค่ะ
00:41:24 → 00:41:27 >> แล้วพอมาถึงเขาจะบอกว่าเนี่ยเขาเนี่ยไม่
00:41:27 → 00:41:30 ชอบปฏิเสธคนสมมติอยากเนอะน้องถามเออแล้ว
00:41:30 → 00:41:32 ทำไมเขาจะค่อยๆเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆคือ
00:41:32 → 00:41:34 เวลาดูดาวแบบเนี้ยค่ะเราจะไม่นีจะไม่พูด
00:41:34 → 00:41:35 คนเดียว
00:41:35 → 00:41:37 >> ไม่ใช่เหมือนแบบมาพูดแล้วแบบคนนั่งฝั่ง
00:41:37 → 00:41:39 แล้วเหมือนแบบคอยเช็คว่าแบบเธอแม่นเธอไม่
00:41:39 → 00:41:41 แม่นจริงไม่จริงคือมันจะไม่มีอะไรที่มัน
00:41:41 → 00:41:43 เกี่ยวกับเรื่องของความแม่นยำเลยมันเป็น
00:41:43 → 00:41:45 อะไรที่เราเดินทางไว้ด้วยกัน
00:41:45 → 00:41:47 >> เวลาเราเอิ่อย่างเคสอย่าเงี้ยก็อย่างอเขา
00:41:47 → 00:41:50 บอกว่าเค้าเนี่ยไม่กล้าที่จะที่จะปฏิเสธ
00:41:50 → 00:41:53 ผู้คนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรพอเราดูดาว
00:41:53 → 00:41:56 ปรากฏว่าเา้ามีดาวที่หลบมุมอยู่อย่างของ
00:41:56 → 00:41:59 ชมเนี่ยดาวพุทธคือเด่นมากคือสามารถที่จะ
00:41:59 → 00:42:02 คิดทำสามารถที่จะexpนตัวเองออกไปได้คือ
00:42:02 → 00:42:02 สามารถที่จะ
00:42:02 → 00:42:04 >> แล้วพุนี่คือเรื่องสื่อสารเหรอคะ
00:42:04 → 00:42:06 >> สื่อสารทั้งหมดใช่ค่ะแต่ดาวของคนๆนี้
00:42:06 → 00:42:08 เนี่ยดันกลายเป็นว่าดาวของเขาเนี่ยดาว
00:42:08 → 00:42:11 พุทธเนี่ยหลบมุมอยู่คือทำองศาในรูปแบบที่
00:42:11 → 00:42:14 เหมือนกับมันเหลือบอยู่ข้างในแล้วทำให้
00:42:14 → 00:42:16 เขาไม่สามารถที่จะเปล่งแม้แต่จะเปล่งพลัง
00:42:16 → 00:42:18 งานนี้ออกไปได้
00:42:18 → 00:42:20 >> ทีนี้เนี่ยเขาไม่เคยเข้าใจเรู้สึกว่าเขา
00:42:20 → 00:42:23 เป็นคนที่แย่แบบเหมือนกับมันมีข้อเสีย
00:42:23 → 00:42:26 >> แล้วก็หาคำตอบไม่ได้พอแค่มาเห็นดาวว่าแบบ
00:42:26 → 00:42:28 อ๋อดาวพุทธเค้าอ่ะมันเป็นดาวพุทธที่มัน
00:42:28 → 00:42:31 หลบอยู่นะแล้วมันทำให้เหมือนพลังงานที่
00:42:31 → 00:42:33 เขาจะเปล่งเสียงออกไปมันกลายเป็นเปล่ง
00:42:33 → 00:42:35 เข้ามาในตัวเองคือเหมือนกับว่ามันทวนกลับ
00:42:35 → 00:42:38 มาหมดแค่เราอธิบายเขาแค่เนี้ยว่าแบบโอเค
00:42:38 → 00:42:40 เริ่มค่อยๆลองแบบจริงๆแล้วเนี่ยมันสอนให้
00:42:40 → 00:42:41 เาไปร้องเพลง
00:42:41 → 00:42:43 >> คือเหมือนว่าลองแบบลองแนะนำเอ่ะค่ะ
00:42:43 → 00:42:44 >> คาราโอเกะ
00:42:44 → 00:42:47 >> ไปเปล่งเสียงใช่ลองเปล่งเสียงโดยใช้ความ
00:42:47 → 00:42:49 กล้าของตัวเองเนี่ยที่จะนำเอาเสียงตัวเอง
00:42:49 → 00:42:52 ออกมาแล้วเขาก็ลองไปฝึกทำดูปรากฏว่าพอเ
00:42:52 → 00:42:55 ฝึกทำแล้วเบอกเออมันแปลกมากเลยอ่ะว่าพอ
00:42:55 → 00:42:58 ต่อไปเขาจะพูดอะไรอ่ะมันเกิด flow บาง
00:42:58 → 00:43:00 อย่างที่เหมือนกับทำให้เขาสามารถสื่อสาร
00:43:00 → 00:43:02 ได้โดยที่ปกติมันจะเหมือนกับเคยมีนะคะนึก
00:43:03 → 00:43:05 ว่าคนที่supรสแล้วไม่กล้าพูดเ่ะมีค่อน
00:43:05 → 00:43:07 ข้างเยอะมากเลยเหมือนกับพอมีอะไรเกิดขึ้น
00:43:07 → 00:43:10 แล้วแทนที่จะอยากจะอธิบายตัวเองอธิบายไม่
00:43:10 → 00:43:13 ได้ละเก็บแล้วคนที่เก็บเนี่ยเยอะมากมัน
00:43:13 → 00:43:16 เลยทำให้คนเปัญหาแล้วก็ depress ไม่
00:43:16 → 00:43:19 สามารถเอาพลังงานตัวเองออกจากตัวได้เนี่ย
00:43:19 → 00:43:21 เราแค่บอกเขาแค่เนี้ยแล้วลองให้เขาแนะนำ
00:43:21 → 00:43:23 ให้เขาไปทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเหมาะ
00:43:23 → 00:43:24 กับเขาอ
00:43:24 → 00:43:27 >> ปรากฏว่ามันได้ผลมากๆแล้วเขาก็พร้อมที่จะ
00:43:27 → 00:43:31 เริ่มที่จะแสดงออกในการสื่อสารออกไปอะไร
00:43:31 → 00:43:33 เงี้ยค่ะเป็นการมันเรื่องของเสียงพี่นี
00:43:33 → 00:43:37 เคยมีแบบมีฟีดแบคหรือว่ามีคนที่แบบว่าบอก
00:43:37 → 00:43:38 ว่าเอ้ย
00:43:38 → 00:43:42 >> อมันก็โหรศาสตร์มันก็เหมือนเรื่องของการ
00:43:42 → 00:43:44 ดูดวงเรื่องของการมูเรื่องของการอะไรที่
00:43:44 → 00:43:46 แบบมันไม่ค่อยเป็น scientific เท่าไหร่
00:43:46 → 00:43:46 อ่ะ
00:43:46 → 00:43:46 >> อือฮึ
00:43:46 → 00:43:48 >> ที่นี่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงฮะ
00:43:48 → 00:43:50 >> โอเคคือจริงๆต้องบอกก่อนนะว่าบ้านเรา
00:43:50 → 00:43:53 เนี่ยใช้คำว่ามูในรูปแบบที่แบบแต่ละคนน่า
00:43:53 → 00:43:55 จะเข้าใจกันแตกต่างกัน
00:43:55 → 00:43:57 >> แต่ที่แน่ๆเนี่ยเวลาเรานึกถึงคำว่า
00:43:57 → 00:44:00 มูเตูเนี่ยมันเหมือนกับว่าเราเน้นใน
00:44:00 → 00:44:02 เรื่องของสิ่งที่เราเชื่อแล้วเรามองไม่
00:44:02 → 00:44:04 เห็นถูกมั้คะคืออะไรก็ตามที่เรามันเกิน
00:44:05 → 00:44:07 เลยสายตาที่เราเข้าใจเนี่ยเราจะเน้นคำว่า
00:44:07 → 00:44:10 มูแต่ว่าคือสิ่งที่นีนำมาวันนี้นะคะแล้ว
00:44:10 → 00:44:12 ก็ที่เรามาแชร์กันวันนี้เนี่ยมันเป็น
00:44:12 → 00:44:15 โหรศาสตร์ที่มันอิงกับการเข้าใจตัวเองใน
00:44:15 → 00:44:18 แง่ของบุคลิกภาพแล้วก็ในแง่ของที่มันเอา
00:44:18 → 00:44:20 จิตวิทยาเนี่ยเข้ามาผสมด้วยคือนีมองว่า
00:44:20 → 00:44:22 จริงๆแล้วมันจะมูหรือไม่มูอ่ะมันขึ้นอยู่
00:44:22 → 00:44:25 กับเราคือเราจะมองว่ามูก็ได้เราจะมองว่า
00:44:25 → 00:44:28 ไม่มูก็ได้แต่ว่าที่แน่ๆเนี่ยถ้าเกิด
00:44:28 → 00:44:30 สมมุติว่าคนๆนั้นเนี่ยศึกษาโหรศาสตร์ทาง
00:44:30 → 00:44:33 ตะวันตกแล้วนำเอาจิตวิทยาเข้ามาช่วยในการ
00:44:33 → 00:44:36 เข้าใจตัวเองมากขึ้นเนี่ยมันจะทำให้เขา
00:44:36 → 00:44:38 เริ่มเห็นความเป็นจริงของตัวเองค่ะ
00:44:38 → 00:44:43 >> ความเป็นที่เราในการที่ศึกาเราไม่ได้ของ
00:44:43 → 00:44:47 ตัวอย่างว่ารู้แล้วว่ามีดาวศุกร์เด่นสม
00:44:47 → 00:44:49 อย่างเงี้ยแล้วกลายเป็นว่าบางคนถ้าเกิดพอ
00:44:49 → 00:44:51 รู้อย่างงี้ปุ๊บกลายเป็นเฮ้ยฉันคือดาว
00:44:51 → 00:44:53 ศุกร์ฉันคือดาวศุขนั่นเองฉันจะต้องไปไหว้
00:44:53 → 00:44:55 ดาวศุกร์แล้วเดี๋ยววันนี้ฉันต้องไปแบบจุด
00:44:55 → 00:44:56 ธูปแบบขอดาวศุขอะไรเงี้ย
00:44:56 → 00:44:59 >> เนี่ยมันคือมันคือเราอ่ะดันใช้ศาสตร์ที่
00:44:59 → 00:45:01 แทนที่จะเข้าใจตัวเองกลายเป็นผ่านความที่
00:45:01 → 00:45:04 เป็นความเชื่อมันก็กลายเป็นว่าคนๆนี้ใช้
00:45:04 → 00:45:07 พลังในแง่ของแบบความเชื่อในการที่มาเข้า
00:45:07 → 00:45:09 ใจดวงดาเรามันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะ
00:45:09 → 00:45:12 มองคำว่ามูยังไงแล้วเราจะเชื่อแบบไหนแล้ว
00:45:12 → 00:45:15 เราจะปฏิบัติตัวเองผ่านศาสตร์เหล่านั้น
00:45:15 → 00:45:16 ยังไงอะไรเงี้ยค่ะมากกว่า
00:45:17 → 00:45:18 >> อืมันก็เหมือนอย่างที่พี่นีบอกนะมันเป็น
00:45:18 → 00:45:21 เรื่องมันเป็นเรื่องของสมดุลน่ะเนาะ
00:45:21 → 00:45:23 เหมือนกับว่าเรารู้ว่าเอ้ยเราได้รับ
00:45:23 → 00:45:24 อิทธิพล
00:45:24 → 00:45:26 >> ของดวงดาวนี้แล้วทำให้เรามีพลังอันนี้
00:45:26 → 00:45:28 แล้วเราจะ
00:45:28 → 00:45:32 เราจะนำพลังอันเนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์
00:45:32 → 00:45:35 กับตัวเองยังไงหรือว่าถ้าเรามีมันมากเกิน
00:45:35 → 00:45:37 ไปเราจะเบี่ยงเบนหรือว่าเราจะเอาพลังนั้น
00:45:37 → 00:45:40 ไปไปใช้กับอะไรอย่างอื่นอะไรเงี้ยเนาะ
00:45:40 → 00:45:42 >> เนี่ยตั้งแต่คุยมาคือชมเข้าใจแล้วตั้งแต่
00:45:42 → 00:45:45 วินาทีแรกที่ชมบอกชมไม่เข้าใจเลยตอนนี้ชม
00:45:45 → 00:45:46 เข้าใจแล้ว
00:45:46 → 00:45:47 >> โอเคเข้าใจ
00:45:47 → 00:45:48 >> ใช่ค่ะถูกต้องเลย
00:45:48 → 00:45:50 >> วันนี้นะคะก็ได้ความรู้ดีๆเยอะเลยนะคะ
00:45:50 → 00:45:54 แล้วก็สำหรับใครนะคะที่เอ่อมีข้อสงสัยนะ
00:45:54 → 00:45:56 คะอยากจะให้ชมเนี่ยทำคเทนเกี่ยวกับเรื่อง
00:45:56 → 00:45:58 สุขภาพเรื่องไหนนะคะแชร์มาบอกกันได้เลย
00:45:58 → 00:46:01 ค่ะหรือว่าดูคเทนนี้นะคะจบแล้วเนี่ยชอบ
00:46:01 → 00:46:03 อะไรหรือว่าไม่ชอบอะไรเนี่ยนะคะก็เม้นต์
00:46:03 → 00:46:05 มาบอกกันได้เลยค่ะเพราะว่ารายการเรานะคะ
00:46:06 → 00:46:08 เราอยากที่จะพัฒนานะคะแล้วก็ปรับปรุงราย
00:46:08 → 00:46:10 การให้ดียิ่งๆขึ้นไปนะคะแล้วก็จะได้มี
00:46:10 → 00:46:13 สุขภาพที่ดีไปด้วยกันค่ะและที่สำคัญนะคะ
00:46:13 → 00:46:15 ฝากกดไลค์กดแชร์นะคะแล้วก็กด Subscribe
00:46:15 → 00:46:17 เป็นกำลังใจให้กับช่อง Life Do ของเรา
00:46:17 → 00:46:21 ด้วยนะคะและปลายปีนี้ค่ะเราจะมีงานใหญ่นะ
00:46:21 → 00:46:23 คะเพื่อคนรักสุขภาพนะคะ Life Expo ค่ะก็
00:46:23 → 00:46:26 จะเป็นงานมหกรรมนะคะชีวิตแล้วก็สุขภาพนะ
00:46:26 → 00:46:29 คะที่ครบวงจรที่สุดเลยนะคะก็ฝากติดตาม
00:46:29 → 00:46:29 ด้วยก็แล้วกัน
00:46:29 → 00:46:36 [เพลง]