00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับในกรณีที่เกิดการฆาตกรรมด้วยยา
00:00:03 → 00:00:07 ไซยาไนท์นะครับก็มีคนสงสัยเข้ามาว่าเอ๊ะ
00:00:07 → 00:00:10 ทำไมเป็นกันเยอะแยะแล้วตรวจไม่เจอนะครับ
00:00:10 → 00:00:13 หรือชนสูตรพิกศพไม่เจอเหรอถ้าไปอยู่
00:00:13 → 00:00:16 ประเทศอื่นเช่นอเมริกาเนี่ยเขาจะมีวิธีใน
00:00:16 → 00:00:18 การตรวจที่มันดีกว่านี้มยที่จะทำให้ตรวจ
00:00:18 → 00:00:20 เจอสาเหตุตั้งแต่เบื้องต้นจะได้เป็นการ
00:00:20 → 00:00:23 ป้องกันไม่ให้เกิดการฆาตกรรมที่ต่อเนื่อง
00:00:23 → 00:00:25 กันอย่างที่เราสงสัยกันอยู่ในปัจจุบันนี้
00:00:26 → 00:00:29 นะครับนอกเหนือจากนี้เนี่ยผมก็เห็นเอ่อใน
00:00:29 → 00:00:32 ข่าวหลายๆข่าวนะครับออกมาบอกว่าเออเนี่ย
00:00:32 → 00:00:36 บางคนเเจอว่าเอ่อผิวเนี่ยเป็นสีคล้ำเลยนะ
00:00:36 → 00:00:38 ครับเล็บสีคล้ำนะฮะบางคนรู้สึกว่ามีน้ำ
00:00:38 → 00:00:41 ลายฟูมปากมีฟองออกมาจากปากพวกนี้เนี่ยมัน
00:00:41 → 00:00:44 ทำให้งสงสัยว่าเป็นจากพิษไยนได้จริงหรือ
00:00:44 → 00:00:46 เปล่าวันนี้ผมก็เลยอยากจะเอาเรื่องเนี้ย
00:00:46 → 00:00:48 มาเล่าให้ทุกๆคนฟังกันเลยนะครับพบกับผมนะ
00:00:49 → 00:00:50 ครับนายแพทย์ธานีธนียวันนะครับเป็น
00:00:50 → 00:00:52 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
00:00:53 → 00:00:55 เชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤต
00:00:55 → 00:00:58 บำบัดนะครับผมต้องขอบอกอย่างนี้สั้นๆง่าย
00:00:58 → 00:01:02 ๆเลยนะครับว่าไซยาไนเนี่ยมันเป็นอะไรที่
00:01:02 → 00:01:05 วินิจฉัยได้ยากมากเวลาคนเราเกิดพิษนะครับ
00:01:05 → 00:01:09 เหตุผลก็คือผมจะขอแบ่งแยกเป็น 2 กรณีนะ
00:01:09 → 00:01:11 ครับกรณีแรกคือก่อนที่จะเสียชีวิตแล้ว
00:01:11 → 00:01:14 กรณีที่ 2 ก็คือหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนะ
00:01:14 → 00:01:16 ครับในการตรวจสอบว่ามันเป็นจากไซยาไนนะ
00:01:16 → 00:01:19 ครับเรามาว่ากันด้วยเรื่องของการเกิด
00:01:19 → 00:01:22 อาการพิษจากไซยาไนก่อนที่จะเสียชีวิตนะ
00:01:22 → 00:01:26 ครับพิษจากไซยาไนเนี่ยคืออาการมันค่อน
00:01:26 → 00:01:29 ข้างที่จะไม่เฉพาะเจาะจงอะไรมากนักนะครับ
00:01:29 → 00:01:32 คือมาหาหมอเนี่ยก็บางคนถ้ามาทันนะครับอาจ
00:01:32 → 00:01:34 จะมีอาการคลื่นแส่เจียนท้องเสียตั้งแต่
00:01:34 → 00:01:38 แรกนะครับแล้วก็มีหัวใจเต้นเร็วนะครับ
00:01:38 → 00:01:40 แล้วพอผ่านไปสักพักนึงหายใจไม่ออกนะครับ
00:01:40 → 00:01:44 หัวใจหยุดเต้นก็เหมือนกับทั่วๆไปที่เรา
00:01:44 → 00:01:46 เจอได้นะครับเช่นการติดเชื้อในกระแสเลือด
00:01:46 → 00:01:49 บางคนก็เป็นเช่นนั้นนะครับบางคนมีอาการ
00:01:49 → 00:01:50 โรคอย่างอื่นก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันนะ
00:01:50 → 00:01:56 ครับแต่สิ่งนึงซึ่งถ้าเราพอจะใช้เป็นเหตุ
00:01:56 → 00:01:59 ผลในการวิเคราะห์วินิจฉัยได้เนี่ยนะครับ
00:01:59 → 00:02:03 มันก็คือต้องถ้าไปถึงมือหมอนะครับเพราะ
00:02:03 → 00:02:05 ว่าต้องต้องบอกก่อนอย่างนี้คือไนทเนี่ย
00:02:05 → 00:02:07 มันทำให้เสียชีวิตได้เร็วมากในระยะเวลา
00:02:07 → 00:02:10 เป็นนาทีเลยนะครับบางทีไม่ถึง 10 นาทีก็
00:02:10 → 00:02:12 เสียชีวิตแล้วนะครับไปโรงพยาบาลไม่ทันนะ
00:02:12 → 00:02:15 ครับหรือว่าบางกรณีคืออาจจะได้รับปริมาณ
00:02:15 → 00:02:17 น้อยไปกว่านั้นก็อาจจะใช้เวลานานกว่านั้น
00:02:17 → 00:02:19 หน่อยนะครับแต่ว่าส่วนใหญ่ก็ประมาณเนี่ย
00:02:19 → 00:02:22 10 นาทีครึ่งชั่วโมงก็ควรจะมีปัญหาแล้วะ
00:02:22 → 00:02:24 นะครับปริมาณที่ได้เข้าไปนี่มันเล็กน้อย
00:02:24 → 00:02:28 ซะจนมันแทบจะมองไม่เห็นเลยนะครับเราละลาย
00:02:28 → 00:02:30 ไปกับน้ำกับอะไรเนี่ยมันก็
00:02:30 → 00:02:32 ไม่สามารถที่จะรู้รสได้นะครับบางคนบอกว่า
00:02:32 → 00:02:34 กินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกเลยเหรอก็ไม่รู้
00:02:34 → 00:02:37 สึกครับแล้วบางคนถึงบอกว่าเอ๊ยถ้าเราเอา
00:02:37 → 00:02:39 เข็มเงินไปจิ้มเหมือนในหนังจีนเนี่ยมันจะ
00:02:39 → 00:02:41 สามารถตรวจสอบพิษได้หรือเปล่าคำตอบคือไม่
00:02:41 → 00:02:45 ได้ครับไซนมันไม่ทำให้เกิดเอ่อเข็มเงิน
00:02:45 → 00:02:47 มันเปลี่ยนสีเหมือนในหนังจีนนะครับอัน
00:02:47 → 00:02:50 นั้นทำไม่ได้นะครับทีนี้สมมุติว่าเรา
00:02:50 → 00:02:53 สามารถนำตัวผู้ป่วยมาถึงมือหมอได้แล้ว
00:02:53 → 00:02:55 แล้วก็ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นนะครับการ
00:02:55 → 00:02:58 วินิจฉัยไซยาไนนี่ไม่ง่ายเลยนะครับต้องมี
00:02:58 → 00:03:00 ความสงสัยเป็นอย่างมากนะครับอย่างแรก
00:03:00 → 00:03:02 อย่างที่ผมเคยเล่าไว้ในวีีดีโอครั้งก่อน
00:03:02 → 00:03:04 นะครับคือไซยาไนด์เนี่ยมันทำให้ร่างกาย
00:03:04 → 00:03:06 ของเราไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้เลยทำให้
00:03:06 → 00:03:09 ออกซิเจนในร่างกายเนี่ยมันยังคงอยู่กับ
00:03:09 → 00:03:12 ฮีโมโกลบินนะครับทำให้ตัวฮีโมโกลบินหรือ
00:03:12 → 00:03:14 เลือดของเราเนี่ยยังคงมีสีแดงมากอยู่นะ
00:03:14 → 00:03:17 ครับปกติเวลาที่เราเจาะเลือดไปตรวจเนี่ย
00:03:17 → 00:03:19 เราจะเจาะจากเส้นเลือดดำตรงบริเวณแขนนะ
00:03:19 → 00:03:22 ครับเส้นเลือดดำเนี่ยสีของเลือดมันจะคล้ำ
00:03:22 → 00:03:24 กว่าในเส้นเลือดแดงเหตุผลเพราะว่า
00:03:24 → 00:03:27 ออกซิเจนมันออกไปจากตัวฮีโมโกบินเรียบ
00:03:27 → 00:03:30 ร้อยแล้วนะครับแต่ในกรณีของไซยาไนถ้าเรา
00:03:30 → 00:03:33 เจาะมาจากเส้นเลือดดำสีของมันก็จะไม่ดำ
00:03:33 → 00:03:35 คล้ำเหมือนเส้นเลือดที่เอ่อไม่ไม่เหมือน
00:03:35 → 00:03:38 เลือดสีปกตินะครับสีมันก็จะออกแดงๆอยู่นะ
00:03:38 → 00:03:41 ครับอันนั้นคือข้อสงสัยข้อที่ 1 แต่บางคน
00:03:41 → 00:03:44 ก็ถ้าไม่ได้สงสัยในภาวะนี้แต่แรกก็จะพลาด
00:03:44 → 00:03:47 ไปเลยนะครับข้อที่ 2 ก็คืออย่างน้อยๆ
00:03:47 → 00:03:51 เนี่ยควรจะพอได้ประวัติมาบ้างว่าเออคนที่
00:03:51 → 00:03:54 หนุ่มสาวแข็งแรงดีเนี่ยอยู่ๆเกิดอาการฉับ
00:03:54 → 00:03:56 พลันเลยนะครับแล้วก็เสียชีวิตทันทีหรือ
00:03:56 → 00:04:00 ว่าอาการจากเมื่อไม่กี่นาทีเนี่ยมันยัง
00:04:00 → 00:04:03 ปกติอยู่เลยแล้วอยู่ๆมารุนแรงเลยถ้าเป็น
00:04:03 → 00:04:06 แบบนี้เนี่ยเราต้องสงสัยว่าเจอสารเคมีสาร
00:04:06 → 00:04:08 พิษอะไรเข้าไปเอ่อเข้าไปอีกหรือเปล่านะ
00:04:08 → 00:04:12 ครับ 2 อย่างนี้ที่เราต้องสงสัยมากๆอย่าง
00:04:12 → 00:04:14 ที่ 3 ก็คือเวลาที่เราเจาะเลือดมาและนะ
00:04:14 → 00:04:17 ครับมันจะมีภาวะมีกรดแลคติกสูงเนื่องจาก
00:04:17 → 00:04:20 ว่าเวลาที่ร่างกายเราเอาออกซิเจนไม่ได้
00:04:20 → 00:04:23 เอาออกซิเจนไปใช้ไม่ได้นะครับด้วยสาเหตุ
00:04:23 → 00:04:25 ที่ไซไนมันไปทำให้เราไม่สามารถใช้
00:04:25 → 00:04:28 ออกซิเจนได้ร่างกายก็จะต้องไปสร้างพลัง
00:04:28 → 00:04:30 งานโดยการไม่ใช้ออกซิเจนแทนนะครับเรียก
00:04:30 → 00:04:33 ว่า anaerobic respiration นะครับแล้ว
00:04:33 → 00:04:36 การทำแบบนี้เนี่ยมันจะทำให้เกิดกดแลคติก
00:04:36 → 00:04:40 สูงมากนะครับถ้าเป็นหมอเข้ามาฟังสิ่งแรก
00:04:40 → 00:04:42 นอกเหนือจากประวัติที่เมื่อกี้บอกแล้วนะ
00:04:42 → 00:04:45 ครับอันที่ 2 ก็คือเรื่องของเลือดที่จาะ
00:04:45 → 00:04:47 มาแล้วมันแดงผิดปกติซึ่งท่านอาจจะไม่ได้
00:04:47 → 00:04:49 เป็นคนเจาะเองทั้งนั้นก็อาจจะไม่รู้นะ
00:04:49 → 00:04:51 ครับข้อที่ 3 ก็คือ
00:04:51 → 00:04:55 ว่าเลือดที่ตรวจออกมาโดยทั่วไปเนี่ยมันจะ
00:04:55 → 00:04:58 มีความเป็นกรดสูงนะครับอย่างน้อยๆแน่นอน
00:04:58 → 00:05:00 ทุกคนจะต้องตรวจอิเล็กตรอนไเนี่ยนะครับ
00:05:00 → 00:05:03 ตรวจออกมาเสร็จก็จะมีแอร์ไน Gap สูงนะ
00:05:03 → 00:05:06 ครับแอร์ไน Gap นี่หมอทุกคนก็คงจะรู้จัก
00:05:06 → 00:05:08 ว่ามันคืออะไรนะครับก็คือเวลาที่เราตรวจ
00:05:08 → 00:05:11 เนี่ยค่าแอ Gap เนี่ยปกติมันอยู่ที่
00:05:11 → 00:05:13 ประมาณ 12 นะครับแต่ถ้ามันสูงกว่านั้นนะ
00:05:13 → 00:05:16 ครับยิ่งสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแปลว่าอาจจะ
00:05:16 → 00:05:19 มีสิ่งที่มาทำให้ร่างกายเป็นกรดที่เราไม่
00:05:19 → 00:05:23 ได้วัดในกรณีของไนทก็คือ lactic นั่นเอง
00:05:23 → 00:05:26 นะครับกดแลคติกอันนี้พูดเรื่องของหมอนิด
00:05:26 → 00:05:29 นึงนะครับถ้าเราตรวจเลือดออกมาแล้วเจอว่า
00:05:29 → 00:05:33 เป็นค่าแนน Gap มันสูงมากแบบ 20 ไปเลย
00:05:33 → 00:05:35 อย่างเงี้ยนะครับขั้นต่อไปก็คือเราต้อง
00:05:35 → 00:05:38 อธิบายให้ได้ก่อนว่า anon Gap เนี่ยมัน
00:05:38 → 00:05:41 มาจากไหนนะครับอาจจะมาจากกรดแลคติกหรือมา
00:05:41 → 00:05:43 จากคีโตนหรือมาจากอะไรก็แล้วแต่นะครับแต่
00:05:43 → 00:05:46 ถ้าเมื่อบวกกับประวัติที่เพิ่งเป็นมาไม่
00:05:46 → 00:05:50 นานแล้วอยู่ๆมันไม่ไม่ไม่กี่นาทีเนี่ยแย่
00:05:50 → 00:05:52 ไปเลยนะครับมันมีไม่กี่อย่างนะครับอย่าง
00:05:52 → 00:05:56 แรกก็คือแอลกอฮอล์บางชนิดนะครับแต่ว่า
00:05:56 → 00:05:59 แอลกอฮอล์เนี่ยมันไม่ได้ออกผลออกฤทธิ์ใน
00:05:59 → 00:06:02 ระยะเวลาเป็นนาทีนะครับมันต้องใช้เวลานาน
00:06:02 → 00:06:03 กว่านั้นเป็นชั่วโมงนะครับเพราะว่า
00:06:03 → 00:06:06 แอลกอฮอล์เนี่ยอันอันนี้สำหรับหมอเท่า
00:06:06 → 00:06:08 นั้นนะครับคนที่ไม่ใช่หมอไม่เป็นไรฟัง
00:06:08 → 00:06:11 สนุกๆนะครับแอลกอฮอลเนี่ยมันเป็นตัว
00:06:11 → 00:06:14 osmolal นะครับเข้ามาในร่างกายตอนแรกมัน
00:06:14 → 00:06:18 จะไม่เปลี่ยนแปลงแอไนเด็ดขาดมันจะไม่
00:06:18 → 00:06:21 เปลี่ยนแปลงแอไน Gap นะครับจะมี osmolal
00:06:21 → 00:06:24 Gap นะครับได้แต่ว่าพอ osmolarity พวก
00:06:25 → 00:06:29 นี้เนี่ยมันโดนเปลี่ยนโดน
00:06:29 → 00:06:32 กดที่งกายเราไม่ได้วัดเช่นกรด aic Acid
00:06:32 → 00:06:35 กรด formic Acid พวกนี้กรดเหล่านี้ที่
00:06:35 → 00:06:39 ไม่ได้วัดนะครับมันจะไปทำให้ anon Gap
00:06:39 → 00:06:42 เพิ่มขึ้นนะครับแต่ประวัติก็คือมันจะไม่
00:06:42 → 00:06:45 เป็นฉับพลันครับมันจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ
00:06:45 → 00:06:49 ฮะแต่ถ้าเป็น lactic นะครับคือลคิเนี่ย
00:06:49 → 00:06:51 เราแน่นอนหอยู่แล้วเราต้องตรวจคีโตน Body
00:06:51 → 00:06:53 ตรวจ lactic นะครับแล้วก็สงสัยว่ามี
00:06:53 → 00:06:55 osmolal Gap อะไรพวกนี้หรือเปล่าอันนี้
00:06:55 → 00:06:58 เป็นเบื้องต้นของการที่เราสงสัยพิษก็คือ
00:06:58 → 00:07:00 ดีๆอยู่ดีๆแล้วแย่ไปเลยแล้วตรวจเจอร่าง
00:07:00 → 00:07:03 กายมีกรดเยอะเราต้องหาแอลกอฮอล์ตัวพิเศษ
00:07:03 → 00:07:09 นะครับหาคีโตนหาลคิ Acid 3 ตัวนี้ต้องหา
00:07:09 → 00:07:11 ให้ได้ก่อนนะครับแล้วสมมุติเป็น lactic
00:07:11 → 00:07:15 Acid นะครับเอ่อมันมีอย่างนึงที่เราต้อง
00:07:15 → 00:07:19 เข้าใจไว้ก่อนเวลาที่เราตรวจค่าแอร์นอน
00:07:19 → 00:07:21 Gap เนี่ยมันจะเป็นมิลลิโมลต่อลิตรนะ
00:07:21 → 00:07:23 ครับก็คือออกมาได้ค่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้
00:07:23 → 00:07:26 ส่วน lactic เนี่ยแล้วแต่โรงพยาบาลบางโรง
00:07:26 → 00:07:28 พยาบาลตรวจเป็นมิลลิกรัม per เดซิลิตรบาง
00:07:28 → 00:07:32 โรงพยาบาลตรวจเป็นมิลลิโมลเปลิตรนะครับ
00:07:32 → 00:07:34 ถ้าเราจะต้องการให้มันเป็นหน่วยเดียวกัน
00:07:34 → 00:07:36 แล้วเราตรวจมาเป็นมิลลิกรัมเปรเดซิลิตร
00:07:36 → 00:07:38 ให้เราหารมันด้วย 9 นะครับแล้วมันจะได้
00:07:38 → 00:07:43 ออกมาเป็นค่าค่า 1 ถ้าค่าค่านั้นมันไป
00:07:43 → 00:07:47 เกือบจะพอดีเป๊ะเลยกับค่าแอร Gap ของเรา
00:07:47 → 00:07:51 นั่นละครับ lactic aid ของจริงนะครับที
00:07:51 → 00:07:54 นี้กลับมาสู่ถ้าเรามีภาวะ lactic ait
00:07:54 → 00:07:56 แบบนี้แล้วแพทย์จะสงสัยได้อย่างไรว่ามัน
00:07:56 → 00:08:00 มาจากไนออันนี้สำคัญมากละแลคติกคนเรา
00:08:00 → 00:08:03 เนี่ยมันมีได้ 2 รูปแบบนะครับแพทเทิร์น a
00:08:03 → 00:08:06 กับแพทเทิร์น B นะครับ type a type B
00:08:06 → 00:08:08 type a ก็คือว่าเป็นการที่ร่างกายของ
00:08:08 → 00:08:11 เรามีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ
00:08:11 → 00:08:14 นะครับทำให้เราเนี่ยจำเป็นจะต้องสร้าง
00:08:14 → 00:08:17 พลังงานด้วยการไม่ใช้ออกซิเจนนะครับ
00:08:17 → 00:08:20 อันเนี้ยก็เป็นคนที่ความดันตกทั่วๆไปนะ
00:08:20 → 00:08:22 ครับช็อกมาอนี้เป็นปกติแต่ถ้าเกิดคนนั้น
00:08:23 → 00:08:25 ล่ะเราไม่เจอภาวะนี้ชัดเจนหรือว่ากรด
00:08:25 → 00:08:27 แลคติกมันสูงมากจนกระทั่งเฮ้ยมันไม่น่าจะ
00:08:27 → 00:08:29 เกิดจากช็อกได้อย่างเดียวนะครับทั้งๆที่
00:08:29 → 00:08:31 ชั่วโมงก่อนยังสบายดีชั่วโมงนี้ไม่สบาย
00:08:31 → 00:08:35 แล้วกรณีแบบนี้ให้เราสงสัยว่ามันเป็นจาก
00:08:35 → 00:08:38 สารเคมีบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเราไม่
00:08:38 → 00:08:42 สามารถที่จะใช้ออกซิเจนได้นะครับยกตัว
00:08:42 → 00:08:45 อย่างเช่นไซนเป็นต้นอันที่ 2 ที่ทำให้
00:08:45 → 00:08:49 เป็นได้ก็ยาเม็ดฟอร์มินะครับยาเม็ดฟอร์มิ
00:08:49 → 00:08:52 เนี่ยที่คนเอาไปเพ็ญยาชะลอไวนะครับเม็ด
00:08:52 → 00:08:54 ฟอร์มิมันทำให้เกิด type B lactic
00:08:54 → 00:08:56 acidosis ได้นะครับก็ต้องระวังมากๆนะ
00:08:56 → 00:08:59 ครับดังนั้นถ้าเราสงสัยว่าเอ๊ะเรื่องของ
00:08:59 → 00:09:03 การช็อกก็ไม่ขนาดนั้นมีค่าเลือดเป็นกรด
00:09:03 → 00:09:06 สูงมากมีลคิ Acid สูงมากๆกรณีเยเราต้อง
00:09:06 → 00:09:10 สงสัยว่าเมื่อประกอบกับประวัติเราจึงต้อง
00:09:10 → 00:09:13 คิดถึงเอ๊ะมันเป็นไซยาไนหรือเปล่านะครับ
00:09:13 → 00:09:16 ตรงเนี้ยเป็นสิ่งที่ต้องมีความสงสัยมาก
00:09:16 → 00:09:19 จริงๆอ่ะครับถึงจะสามารถวินิจฉัยได้นะฮะ
00:09:19 → 00:09:21 เคสเหล่าเนี้ยต่อให้อยู่ที่ไหนในโลกเนี้ย
00:09:21 → 00:09:24 ถึงที่อเมริกาหรือผมเป็นเจอเองก็ตามนะ
00:09:24 → 00:09:27 ครับผมก็ต้องมีความสงสัยมากพอสมควรไม่
00:09:27 → 00:09:29 งั้นผมก็วินิจฉัยไม่ได้ครับดังนั้นผมจะ
00:09:29 → 00:09:32 ไม่โทษแพทย์ที่เมืองไทยที่ได้รับเคสเหล่า
00:09:32 → 00:09:33 นี้เข้ามาเลยนะครับเพราะว่าเคสเหล่านี้
00:09:34 → 00:09:37 มันเจอน้อยมากนะครับพอเจอน้อยมากการสงสัย
00:09:37 → 00:09:39 ในเรื่องพวกเนี้ยมันก็จะไม่ค่อยสงสัยเรา
00:09:39 → 00:09:42 ก็จะไปสงสัยโรคติดเชื้อโรคหัวใจวายนะครับ
00:09:42 → 00:09:45 โรคลิ่มืดอุดตันโรคอะไรต่างๆมากมายนะครับ
00:09:45 → 00:09:48 ดังนั้นเรื่องพวกนี้ผมจะไม่โทษแพทย์ที่
00:09:48 → 00:09:50 ได้รับที่ได้รับเคสเหล่านี้เข้าไปเพื่อ
00:09:50 → 00:09:52 วินิจฉัยนะครับเพราะว่ายากจริงๆนะครับแต่
00:09:52 → 00:09:57 มันก็มีูบางอย่างนะครับูก็คือเป็นเอ่อตัว
00:09:57 → 00:09:59 ที่บอกเราบางอย่างว่าเฮ้ยอันเนี้ยมันน่า
00:09:59 → 00:10:03 จะเป็นไซนนะครับถ้าเป็นแพทย์ที่ดูแล
00:10:03 → 00:10:05 เรื่องห้องฉุกเฉินบ่อยๆก็แน่นอนว่าอาจจะ
00:10:05 → 00:10:08 ต้องรู้จักคำว่า toxidrome นะครับทิม
00:10:08 → 00:10:11 เนี่ยมันเป็นกลุ่มอาการที่เวลาเราโดนพิษ
00:10:11 → 00:10:14 อะไรบางอย่างมาแล้วจะแสดงอาการนะครับในคน
00:10:14 → 00:10:17 ที่โดนพิษไซนนะครับเนื่องจากร่างกายของ
00:10:17 → 00:10:20 เราเนี่ยมันไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้เลยนะ
00:10:20 → 00:10:22 ครับเลือดมันก็จะยังแดงอยู่เป็นปกติแต่
00:10:22 → 00:10:25 ผิวมันจะไม่ได้แดงมากกว่าปกตินะครับต้อง
00:10:25 → 00:10:28 บอกอย่างนี้ผิวจะไม่แดงมากกว่าปกติเท่า
00:10:28 → 00:10:29 ไหร่นะครับเพราะว่าเลือดของของเราเนี่ย
00:10:29 → 00:10:32 มันไม่ได้ไม่ได้เพิ่มความแดงนะครับไม่ได้
00:10:32 → 00:10:34 เพิ่มความแดงแต่ถ้าผิวของเราแดงมากกว่า
00:10:34 → 00:10:37 ปกติอันนั้นต้องสงสัยคาร์บอนมอนอกไซด์นะ
00:10:37 → 00:10:40 ครับคาร์บอนมอนอกไซด์ก็อาจจะได้จากการเผา
00:10:40 → 00:10:43 ไหม้จากอะไรพวกนี้นะครับมันจะทำให้ไอ้ตัว
00:10:43 → 00:10:45 ฮีโมโกลบินที่จับกับคาร์บอนมอนอกไซด์ตัว
00:10:45 → 00:10:47 เนี้ยสีมันจะแดงมากขึ้นกว่าปกตินะครับจะ
00:10:47 → 00:10:49 ทำให้ผิวของเขาเป็นสีแดงหรือที่เราเรียก
00:10:49 → 00:10:53 ว่า Cherry Red นะครับดังนั้นดูอย่าง
00:10:53 → 00:10:56 เงี้ยวินิจฉัยยากมากละนะครับก็เลยทำให้
00:10:56 → 00:10:59 เสียชีวิตคำถามต่อมาพารที่ 2 ก็คือว่าว่า
00:10:59 → 00:11:02 เฮ้ยเสียชีวิตแล้วหมอวินิจฉัยไม่ได้เหรอ
00:11:02 → 00:11:05 นะครับแม้กระทั่งมีทนายคนนึงออกมาบอกว่า
00:11:05 → 00:11:10 เฮ้ยไอ้ดูใบใบที่มรณบัตรสิที่หมอเขาค
00:11:10 → 00:11:13 เขียนชานสูตรมาเอ่อระบบหัวใจและการหายใจ
00:11:13 → 00:11:18 ล้มเหลวเค้าเคเขียนมั้ยว่าถูกทำให้ตายใคร
00:11:18 → 00:11:21 จะไปเขียนได้ครับนะครับมันไม่มีหมอคนไหน
00:11:21 → 00:11:23 ที่เขียนแบบนั้นได้ยกเว้นว่าเป็นหมอ
00:11:23 → 00:11:25 นิติเวชที่ไปตรวจซ้ำอีกรอบนึงนะครับดัง
00:11:26 → 00:11:27 นั้นเนี่ยเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่าเอ้ยมัน
00:11:27 → 00:11:30 ไม่ใช่ละนะครับอ่าคำแก้ต่างตรงนี้เข้าเอา
00:11:30 → 00:11:33 ไว้ใช้ในศาลผมก็คิดว่าศาลคงจะไม่รับฟังนะ
00:11:33 → 00:11:36 ครับเพราะว่ามันมันเป็นคำแก้ตัวที่ไม่
00:11:36 → 00:11:40 ขึ้นนะครับอ่ะทีนี้ถามว่าถ้าตายไปแล้ว
00:11:40 → 00:11:44 เนี่ยนะครับทำไมจึงวินิจฉัยไม่ได้ผมต้อง
00:11:44 → 00:11:47 ขอเริ่มที่ระบบของเมืองไทยก่อนนะครับระบบ
00:11:47 → 00:11:50 ของเมืองไทยเนี่ยมีอยู่ในข้อกฎหมายตอนผม
00:11:50 → 00:11:55 เรียนสมัยเป็นนิสิตแพทย์ว่ามันมันจะมี
00:11:55 → 00:11:58 สาเหตุบางอย่างที่เราจำเป็นจะต้องชันสูต
00:11:58 → 00:12:02 พลิกศพนะครับสาเหตุดังนั้นก็คือ 1 ตายโดย
00:12:03 → 00:12:05 อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่เช่นตายใน
00:12:05 → 00:12:08 คุกหรือว่าควบคุมตัวอยู่ที่สนแล้วตายนะ
00:12:08 → 00:12:12 ครับพวกนี้จะต้องมีการชาสุพิกศพนะครับ
00:12:12 → 00:12:14 แล้วก็การตายโดยผิดธรรมชาตินะครับผิด
00:12:14 → 00:12:18 ธรรมชาติยังไงอ่ะฆ่าตัวตายโดนคนอื่นฆ่า
00:12:18 → 00:12:23 ตายสัตว์ทำร้ายตายนะครับหรือเป็นกรณีที่
00:12:23 → 00:12:26 ตายโดยที่แบบเราไม่รู้ว่ามันเอ้ยสาเหตุ
00:12:26 → 00:12:29 มันมาจากอะไรนะครับแล้วก็อุบัติเหตุนะ
00:12:29 → 00:12:33 ครับเท่าที่เราดูทั้งหมดเนี่ยนะครับแล้ว
00:12:33 → 00:12:36 สมมุติว่าคนไข้ที่เป็นไซยาไนท์เนี่ยไปตาย
00:12:36 → 00:12:41 ที่โรงพยาบาลนะครับหมอเค้าลงเหตุตายเนี่ย
00:12:41 → 00:12:44 จริงๆเ้าไม่ได้รู้นะครับว่าเฮ้ยตายเพราะ
00:12:44 → 00:12:46 อะไรอ่าเค้าไม่ได้รู้นะครับแต่เต้องลงไป
00:12:46 → 00:12:48 อย่างงั้นเพราะไม่ฉะนั้นเนี่ยมันจะไปแจ้ง
00:12:48 → 00:12:51 ตายไม่ได้นะครับมันก็ต้องรีบลงเพื่อไปทำ
00:12:51 → 00:12:54 เรื่องต่อนะครับแต่ว่ากรณีแบบนี้แหละครับ
00:12:54 → 00:12:58 ที่สมควรที่จะต้องหาทางเข้ามาอยู่ในข้อกฎ
00:12:58 → 00:13:00 หมายหรืออะไรก็แล้วแต่ให้มีการชนสูตรพลิก
00:13:00 → 00:13:02 ศพต่อให้ได้นะครับเพราะว่าอย่างที่เมื่อ
00:13:02 → 00:13:04 กี้ผมบอกอ่ะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเจ้า
00:13:04 → 00:13:05 หน้าที่เอ่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ไม่
00:13:05 → 00:13:07 ใช่เจ้าหน้าที่นะครับไม่ได้ไม่ถือเป็น
00:13:07 → 00:13:09 เจ้าหน้าที่ในกรณีนี้นะครับนั่นต้องเป็น
00:13:09 → 00:13:11 เจ้าหน้าที่ตำรวจพวกเนี้ยนะครับตำรวจทหาร
00:13:11 → 00:13:14 พวกนั้นนะครับแต่การตายผิดธรรมชาติก็คือ
00:13:14 → 00:13:16 เมื่อกี้ที่ผมบอก 5 อย่างเนี่ยนะครับอ่ะ
00:13:17 → 00:13:19 เมื่อกี้บอกว่าฆ่าตัวตายคนอื่นฆ่าตายอัน
00:13:19 → 00:13:20 นี้ 2 อันนี้เราไม่รู้ถูกมั้ยครับ
00:13:20 → 00:13:23 อุบัติเหตุเฮ้ยเราก็ไม่มันก็ไม่ได้
00:13:23 → 00:13:25 อุบัติเหตุนะก็คืออยู่ๆอ้วกอาเจียนเราก็
00:13:25 → 00:13:28 ตายไปเลยอันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
00:13:28 → 00:13:30 ครับแล้วก็สัตว์กัตายมันไม่ใช่อยู่แล้ว
00:13:30 → 00:13:32 มันไม่มีสัตว์อยู่เท่านั้นสุดท้ายอะไร
00:13:32 → 00:13:35 ครับไม่รู้ว่าทำไมตายตรงเนี้ยครับที่ต้อง
00:13:36 → 00:13:38 เอาไปชันสูตพิกษกแต่ในเอาในความเป็นจริง
00:13:38 → 00:13:41 แล้วเนี่ยกรณีแบบเนี้ยมันไม่ได้ถูก
00:13:41 → 00:13:45 ชันสูตรสักทุกรายถามว่าทำไมนะครับบางคนก็
00:13:45 → 00:13:48 ไม่ติดใจนะครับบางคนก็มีปัญหาเพราะว่า
00:13:48 → 00:13:53 แพทย์นิติเวชอยู่ตรงไหนของโลกเราครับต่าง
00:13:53 → 00:13:56 จังหวัดมีแพทย์นิติเวชกี่คนส่วนใหญ่ก็
00:13:56 → 00:13:57 อยู่กันในกรุงเทพฯนั่นแหละครับถ้าเกิดว่า
00:13:57 → 00:14:00 ตายต่างจังหวัดแล้วจะส่งกรุงเทพฯญาติก็จะ
00:14:00 → 00:14:03 แบบเฮ้ยเออมันต้องส่งศพไปโน่นไปนี่นะมัน
00:14:03 → 00:14:05 ลำบากมันอะไรเยอะแยะอีกนะครับจะเอามา
00:14:05 → 00:14:08 ดำเนินพิธีกรรมทางศาสนาก็ล่าช้านะครับก็
00:14:08 → 00:14:11 ไม่อยากทำตรงเไม่ได้เราต้องแก้ไขความเข้า
00:14:12 → 00:14:14 ใจตรงนี้ให้หมดก่อนนะครับว่าเฮ้ยเราควรจะ
00:14:14 → 00:14:17 ต้องส่งเคสเหล่าเนี้ยไปชนสูตรนะครับต้อง
00:14:18 → 00:14:20 ส่งไปชนสูตรก่อนเพราะถ้าไม่ส่งชนสูตรอ่ะ
00:14:20 → 00:14:22 ไม่มีทางสงสัยได้ว่าเป็นจากไซนายไม่มีทาง
00:14:22 → 00:14:25 เลยนะครับแล้วทุกเคสที่เข้าขายกฎหมาย
00:14:25 → 00:14:28 เมื่อตะกี้เนี่ยควรจะต้องส่งชนสูตรนะครับ
00:14:28 → 00:14:30 เท่าที่ผมจำได้สมัยผมใช้ทุนเนี่ยนะครับ
00:14:30 → 00:14:34 เอ่อผมไม่เคยออกไปชันสูตรเองแต่เคยมีได้
00:14:34 → 00:14:36 ยินเพื่อนไปชันสูตรแล้วบางกรณีเนี่ยคือ
00:14:36 → 00:14:39 ออกไปดูๆแล้วก็เ่อพนักงานสอบสวนก็บอกว่า
00:14:39 → 00:14:42 เออเคสเไม่ต้องส่งไม่ต้องส่งผ่าชันสูตร
00:14:42 → 00:14:43 หรอกน่าจะเป็นการตายอย่างโน้นอย่างนี้
00:14:44 → 00:14:47 แหละนะครับคือจริงๆเนี่ยเคสเหล่าเนี้ย
00:14:47 → 00:14:50 พนักงานที่สอบสวนน่ะควรจะต้องมีการส่ง
00:14:50 → 00:14:54 ชันสูตรนะครับนี่คือขั้นแรกขั้นแรกคือ
00:14:54 → 00:14:56 ต้องให้โอเคญาตของผู้ตายทุกคนที่คิดว่า
00:14:56 → 00:14:58 เฮ้ยมันเข้าขาย 5 ข้อเนี้ย 5 ข้อ 6 ข้อ
00:14:58 → 00:15:02 เนี้ยนะครับครับส่งชันสูตรอย่าไปรู้สึก
00:15:02 → 00:15:06 ว่าเฮ้ยเราไม่ติดใจเราไม่อะไรเค้ามีกฎ
00:15:06 → 00:15:10 หมายมาเพื่อกรณีแบบนี้นั่นแหละครับนะฮะ
00:15:10 → 00:15:12 ดังนั้นข้อแรกต้องเริ่มจากความเข้าใจของ
00:15:12 → 00:15:16 ทุกคนก่อนข้อที่ 2 ก็คือทางโรงพยาบาลทาง
00:15:16 → 00:15:18 หมอเนี่ยโอเคการเขียนเหตุการณ์ตายเบื้อง
00:15:18 → 00:15:21 ต้นเนี่ยเพื่อที่จะเอาไปทำเอ่อทำเรื่อง
00:15:21 → 00:15:24 ต่อเนี่ยมันทำมันก็ต้องทำละครับจะไปเขียน
00:15:24 → 00:15:26 ว่าเฮ้ยเราไม่รู้ว่าทำไมเตายมันไม่ได้นะ
00:15:26 → 00:15:29 ครับถูกมั้ยครับถ้าโอเคไซยามาตายต่อหน้า
00:15:29 → 00:15:30 ผมแล้วผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรเนี่ยผมก็
00:15:30 → 00:15:32 ไม่รู้จะเขียนอะไรเหมือนกันก็ต้องบอกว่า
00:15:32 → 00:15:35 เออตอนเนี้ยที่มาถึงเราเจอว่าระบบไหลาย
00:15:35 → 00:15:38 เวียนโลหิตล้มเหลวแต่ไม่ทราบสาเหตุถ้าผม
00:15:38 → 00:15:41 เขียนผมก็จะเขียนแบบนี้เพื่ออะไรเพื่อให้
00:15:41 → 00:15:45 เค้าไปชันสูตรต่อไงครับอ่ะทีนี้มาตอน
00:15:45 → 00:15:49 ชนสูตรละตรงนี้ละครับที่จะผมได้ยินมาหลาย
00:15:49 → 00:15:53 ๆกรณีนะครับคือญาติที่ไปรับศพเนี่ยบอกว่า
00:15:53 → 00:15:58 ผิวดำคล้ำเลยเล็บดำคล้ำตรงเนี้ยมันเป็น
00:15:58 → 00:16:01 อะไรที่บอกว่าโดนพิษได้หรือเปล่าคำตอบคือ
00:16:01 → 00:16:04 ไม่ได้ครับไม่ได้บางคนไปเจอแล้วบอกว่ามี
00:16:04 → 00:16:07 ฟองๆออกมาทางปากบอกว่านั่นโดนพิษน้ำลาย
00:16:07 → 00:16:10 ฟูมปากไม่ได้ครับผมจะอธิบายลงเลึกว่าทำไม
00:16:11 → 00:16:15 มันถึงไม่ได้นะครับในกรณีของไซนอันเนี้ย
00:16:15 → 00:16:18 เวลาที่คนเราตายเนี่ยนะ
00:16:18 → 00:16:24 ครับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสีผิวนะครับ
00:16:24 → 00:16:27 เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสีผิวมันจะมีขั้น
00:16:27 → 00:16:30 ตอนของมันนะครับแล้วจะอธิบายให้ท่านฟัง
00:16:30 → 00:16:34 เลยว่าทำไมผิวคล้ำเนี่ยมันใช้บอกไม่ได้
00:16:34 → 00:16:39 ว่าเป็นจากการโดนยาผิดนะครับตรงนี้ตั้งใจ
00:16:39 → 00:16:42 ฟังดีๆนะฮะมันอาจจะไม่ถูกจริตของหลายๆ
00:16:42 → 00:16:44 ท่านนะครับแต่ว่ามันเป็นเหตุผลทางการ
00:16:44 → 00:16:48 แพทย์นะครับการเปลี่ยนแปลงของสีผิวนั้นใน
00:16:48 → 00:16:51 ภาษาทางการแพทย์เราจะเรียกว่า livor
00:16:51 → 00:16:55 morus liv moris นะครับ Li moris นี่
00:16:55 → 00:16:59 ก็คือเกิดจากการที่เลือดของเราเนี่ยมัน
00:16:59 → 00:17:01 ไม่มีการไหลเวนอีกต่อไปแล้วมันก็จะตกลง
00:17:01 → 00:17:04 ตามแรงน้มถ่วงเช่นถ้าเรานอนหงายเลือดมัน
00:17:05 → 00:17:07 ก็จะตกลงใกองอยู่ข้างหลังถ้าเรานอนคว่ำ
00:17:07 → 00:17:09 เลือดมันก็จะตกลงมากองอยู่ข้างหน้าตรง
00:17:09 → 00:17:13 หน้าตรงท้องตรงอกตรงขาด้านหน้าแข้งด้านขา
00:17:13 → 00:17:17 พวกนี้นะครับเวลาเลือดมันมากองตรงเนี้ย
00:17:17 → 00:17:18 มันจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณชั่วโมง 2
00:17:18 → 00:17:21 ชั่วโมงแรกอ่ะเราจะเห็นสีมันเปลี่ยนเลยนะ
00:17:21 → 00:17:23 ครับเช่นถ้าเรานอนหงายอยู่แล้วเราเสีย
00:17:23 → 00:17:26 ชีวิตในท่านอนหงายเนี่ยสีของผิวที่อยู่
00:17:26 → 00:17:29 ด้านหลังของเราเนี่ยมันจะคล้ำนะครับครับ
00:17:29 → 00:17:31 แล้ว rer moris ตัวเนี้นะครับ rmis ตัว
00:17:31 → 00:17:34 เนี้ยถ้าเป็นจากไซยานะครับในช่วงแรกมันจะ
00:17:34 → 00:17:38 สีชมพูจากสีชมพูนะ
00:17:38 → 00:17:41 ครับถ้าเป็นจากพิษชนิดอื่นเช่นคาร์บอน
00:17:41 → 00:17:43 มอนอกไซด์มันจะสีแดงแดงสดเลยแดงเหมือน
00:17:43 → 00:17:46 เชอรี่เลยแต่ถ้าเป็นจากพิษไพวกไนเตรตไ
00:17:46 → 00:17:50 เนี่ยจะสีออกน้ำตาลน้ำตาลปัญหาก็คือผิว
00:17:50 → 00:17:52 ของคนเราเนี่ยสีไม่เหมือนกันถ้าเป็นผิว
00:17:52 → 00:17:54 ฝรั่งที่ผิวขาวเนี่ยมันจะเห็นชมพูชัดเจน
00:17:54 → 00:17:56 ถ้าผิวคนไชที่เป็นผิวเหลืองๆเนี่ยอาจจะ
00:17:56 → 00:17:59 ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นะครับดังนั้นการที่แบบ
00:17:59 → 00:18:02 เฮ้ยเห็นผิวสีนี้แล้วสงสัยว่าเป็นจากไซน
00:18:02 → 00:18:05 ยากมากครับยากมากๆจะต้องมีประวัติอย่าง
00:18:05 → 00:18:10 อื่นประกอบนะครับทีนี้หลังจากที่มันมีการ
00:18:10 → 00:18:12 เปลี่ยนสีมันไม่ได้หยุดแค่นั้นนะครับไอ้
00:18:12 → 00:18:16 Li morage ตัวนี้นะครับมันจะเซตตัวเต็ม
00:18:16 → 00:18:19 ที่ประมาณช่วง 6-8 ชมนะมันจะไม่ไม่ไม่มี
00:18:19 → 00:18:23 การเปลี่ยนสีอีกต่อไปละแต่คงมีคนเคยคิด
00:18:23 → 00:18:25 เคยเห็นไหครับว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
00:18:25 → 00:18:29 ทำไมตัวเขียวทั้งตัวเลยตัวม่วงทั้งตัวเลย
00:18:29 → 00:18:33 อันนั้นน่ะเกิดมาจากปฏิกิริยาการเน่าครับ
00:18:33 → 00:18:36 เรียกว่า put fraction put Reaction
00:18:36 → 00:18:38 เนี่ยมันเป็นจากแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้
00:18:38 → 00:18:40 ของเรานี่แหละครับในลำไส้ในทางเดินหายใจ
00:18:40 → 00:18:42 ในปากในทุกที่หรือว่าคนไหนที่มีแผลมันก็
00:18:42 → 00:18:44 เข้าไปทางแผลทางผิวหนังอะไรพวกนี้เข้าทาง
00:18:44 → 00:18:47 ผิวหนังนะครับแบคทีเรียพวกนี้เนี่ยปกติ
00:18:47 → 00:18:50 แล้วเรามีภูมิพมกันที่จะมาฆ่ามันทิ้งแต่
00:18:50 → 00:18:52 ทีนี้เราไม่มีละเพราะว่าร่างกายเราตายไป
00:18:53 → 00:18:56 แล้วแบคทีเรียพวกนี้มันก็สามารถเข้าสู่
00:18:56 → 00:18:58 กระแสเลือดเราได้เลยทะลุลำไส้เราได้เลยไป
00:18:58 → 00:19:02 ทั่วร่างกายแล้วมันทำอะไรมันก็ไปกัดกิน
00:19:02 → 00:19:04 สิ่งต่างๆของร่างกายเราแล้วก็สร้างแก๊ส
00:19:05 → 00:19:08 ต่างๆเช่นแก๊สมีเทนแก๊สแอมโมเนียนะครับ
00:19:08 → 00:19:11 หรือว่าจะเป็นแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ก็ได้นะ
00:19:11 → 00:19:14 ครับแล้วไอ้แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ตัวนี้
00:19:15 → 00:19:17 แหละครับเอ่อถ้ามีหมอเข้ามาฟังนะผมบอกไว้
00:19:17 → 00:19:20 นิดนึงไอ้แบคทีเรียส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิด
00:19:20 → 00:19:23 กลไกการเน่าของร่างกายเนี่ยมันมีชื่อด้วย
00:19:23 → 00:19:24 นะครับ
00:19:24 → 00:19:28 อ่ามันมีชื่อด้วยชื่อ closterium
00:19:28 → 00:19:32 เชายนะครับลองไปหาดูนะครับเวลาที่
00:19:32 → 00:19:34 แบคทีเรียพวกนี้มันกัดกินอวัยวะต่างๆของ
00:19:34 → 00:19:37 เราจะทำให้เกิดก๊าซขึ้นมาตามอวยวะต่างๆนะ
00:19:37 → 00:19:42 ครับแล้วก๊าซตัวนี้เนี่ยส่วนหนึ่งมันจะไป
00:19:42 → 00:19:46 ดันเอาน้ำออกมาจากร่างกายน้ำมาจากไหนจมูก
00:19:46 → 00:19:49 ไครับปากพวกเนี้ยมันจะไหลออกมาทางจมูกทาง
00:19:49 → 00:19:52 ปากเราจึงเห็นว่าเวลาที่ไปรับศพเนี่ยเขาค
00:19:52 → 00:19:55 จะเอาสำลีอุดไว้นะครับในช่องปากก็อาจจะมี
00:19:55 → 00:19:57 อยู่ลึกๆเราก็ต้องยัดไว้เพราะไม่งั้นไอ้
00:19:57 → 00:20:00 แก๊สพวกนี้ดันๆดันเอาเอาน้ำเนี่ยไหลออกมา
00:20:00 → 00:20:02 ทั้งปากทั้งจมูกหมดเลยนะครับทำให้เรารู้
00:20:02 → 00:20:04 สึกว่าเฮ้ยอันนี้มันเป็นน้ำเหลืองเป็น
00:20:04 → 00:20:07 อะไรพวกนี้หรือเปล่าไม่ใช่มันเกิดจากกลไก
00:20:07 → 00:20:10 การเน่านะครับแล้วก็การที่มันสร้างแก๊ส
00:20:10 → 00:20:12 ถ้าเรามีน้ำลายอยู่ที่ปากนะครับแก๊สมัน
00:20:12 → 00:20:15 ดันน้ำลายเกิดอะไรเป็นฟองครับฟองปุ๊ดๆๆๆ
00:20:15 → 00:20:18 อยู่ตรงปากดังนั้นการที่เราจะเห็นฟองปุ๊ด
00:20:18 → 00:20:21 ๆอยู่ตรงปากตรงนี้น่ะมันเกิดจากกระบวนการ
00:20:21 → 00:20:23 ของแบคทีเรียพวกนี้นั่นแหละครับที่สร้าง
00:20:23 → 00:20:26 แก๊สตรงนี้ออกมานะครับไม่ใช่เกิดจากการ
00:20:26 → 00:20:29 ที่บอกเฮ้ยเราเห็นปู๊ดๆตรงปากนั่นน้ำลาย
00:20:29 → 00:20:33 ฟูมปากเป็นจากพิษไม่ได้นะครับเราใช้ข้อ
00:20:33 → 00:20:35 สังเกตตรงนี้ไม่ได้นะครับงั้นคนที่เขาค
00:20:35 → 00:20:37 ชันสูตรพริกศพเนี่ยเคเห็นตรงนี้บ่อยๆแล้ว
00:20:37 → 00:20:39 เจะบอกว่าเอ้ยนี่มันไม่ได้บอกอะไรหรอกมัน
00:20:39 → 00:20:41 ไม่ได้บอกว่ามันเป็นพิษนะครับอ่ะแต่ก็แน่
00:20:41 → 00:20:44 นอนมันจะมีพิษบางชนิดที่ทำให้มีน้ำลายออก
00:20:44 → 00:20:47 มาเยอะๆเลยนะครับเช่นพิษจากยาฆ่ามแมลงอ่า
00:20:47 → 00:20:49 ที่เรียกว่าออร์แกโนฟอสเฟตหรือคาร์บาเมต
00:20:49 → 00:20:51 พวกเนี้ยมันจะทำให้ร่างกายสร้างพวกสิ่ง
00:20:52 → 00:20:54 ขั้นหลังออกมาเยอะแยะมีท้องเสียคลื่นไส้
00:20:54 → 00:20:58 อาเจียนน้ำหูน้ำตาไหลนะครับน้ำมูกน้ำลาย
00:20:58 → 00:21:01 เยอะฟูมปากไปหมดพวกเนี้ยคือพิษยาฆ่าแมลง
00:21:01 → 00:21:04 นะครับไม่ใช่พิษจากไซยาไนนะครับงั้น
00:21:05 → 00:21:07 เรื่องของการเน่าเนี่ยมันก็ทำให้เกิดตรง
00:21:07 → 00:21:11 นี้ได้นอกเหนือจากนี้เรื่องของการเน่านะ
00:21:11 → 00:21:13 ครับซึ่งเวลามันเน่าเนี่ยนะฮะมันก็จะเน่า
00:21:13 → 00:21:15 จากตรงที่แบคทีเรียเยอะที่สุดก่อนในที่
00:21:15 → 00:21:19 นี้ก็คือท้องน้อยด้านขวาล่างถามว่าตรง
00:21:19 → 00:21:21 นั้นมีอะไรนะครับมีกระเปาะลำไส้ใหญ่นึง
00:21:21 → 00:21:23 ชื่อว่าสีกรมตรงนั้นเชื้อโรคเยอะมากเลย
00:21:23 → 00:21:25 มันเป็นกระเปาะที่มีไส้ตินัแหละครับเชื้อ
00:21:25 → 00:21:27 โรคมันอยู่ตรงนั้นนะฮะตรงนั้นเนี่ยพอ
00:21:27 → 00:21:29 เชื้อโรคมันออกมาเยอะปุ๊บมันจะเข้าไปทำ
00:21:29 → 00:21:32 ปฏิกิริยากับเม็ดเลือดแดงเปลี่ยน
00:21:32 → 00:21:35 ฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงไปเป็นซัลฟา
00:21:35 → 00:21:36 ฮีโมโกลบิน
00:21:36 → 00:21:40 ไฮโดรเจนซัลไฟด์จะทำให้เกิดซัฟฮีโมโกลบิน
00:21:40 → 00:21:43 หรือซฮีโมโกลบินซึ่งมีสี
00:21:43 → 00:21:47 เขียวเป็นไงครับนี่แหละครับมันจะทำให้ตัว
00:21:47 → 00:21:51 เราสีเขียวสีคล้ำขึ้นนะครับโดยไอ้ตัว
00:21:51 → 00:21:53 เขียวๆเนี่ยเริ่มเน่าเนี่ยมันจะเน่าตรง
00:21:53 → 00:21:55 ท้องน้อยด้านล่างขวาของเราก่อนนะครับมัน
00:21:55 → 00:21:57 จะขี่ไตรงนั้นแล้วมันค่อยๆกระจายไปทั้ง
00:21:57 → 00:22:01 ตัวนะครับแล้วเมื่อมันไปผสมกับตัว Li
00:22:01 → 00:22:05 modest นะครับสีก็จะคล้ำขึ้นเราก็จะเห็น
00:22:05 → 00:22:07 ตัวของคนที่เสียชีวิตเนี่ยคล้ำ
00:22:07 → 00:22:11 เขียวนะครับแต่มันไม่ได้บอกว่าเราโดนพิษ
00:22:11 → 00:22:14 นะครับดังนั้นเรื่องเนี้ยมันเป็นเรื่อง
00:22:14 → 00:22:17 ที่ต้องก็เลยต้องอธิบายลงลิกอย่างนี้ว่า
00:22:17 → 00:22:22 เออผมก็ไม่ได้อยากจะไปคัดค้านนะครับญาติ
00:22:22 → 00:22:25 ที่มุมมองเห็นว่าเฮ้ยเล็บดำผิวสีเปลี่ยน
00:22:25 → 00:22:27 เนี่ยมันต้องโดนพิษแน่ๆนะครับคือในทาง
00:22:27 → 00:22:29 วิทยาศาสตร์เนี่ยมันมันมันมีคำอธิบายพวก
00:22:29 → 00:22:31 นั้นแล้วมันเจอได้ทั่วไปนะครับอันนี้คือ
00:22:31 → 00:22:34 กลไกที่เกิดจากการเน่า Li moris นะครับเ
00:22:34 → 00:22:36 Li moris ก็คือเป็นการที่เลือดมันตกลง
00:22:36 → 00:22:38 ไปข้างหลังนะครับการเน่าคือ putrefaction
00:22:38 → 00:22:40 นะครับการเน่าของเราเนี่ยจริงๆมันก็เกิด
00:22:41 → 00:22:42 ในช่วงตั้งแต่ชั่วโมง 2 ชั่วโมงแรกแล้วนะ
00:22:42 → 00:22:45 ครับแล้วมันเน่าเต็มที่ก็โน่นประมาณ 24
00:22:45 → 00:22:47 ชมนะครับจะเน่าสุดๆแล้วนะครับหลังจากนั้น
00:22:47 → 00:22:50 ก็จะเริ่มแน่นอนอย่างที่คนรู้นะครับ 5-8
00:22:51 → 00:22:53 วันแถวนี้สักอาทิตย์นึงก็จะมีหนอนแมลงวัน
00:22:53 → 00:22:55 ตามมาแล้วก็ขึ้นอยู่กับแมลงวันชนิดอะไร
00:22:55 → 00:22:57 มันก็จะบ่งบอกว่าระยะเวลาการตายมันตายมา
00:22:57 → 00:23:00 นานแค่ไหนนะครับ
00:23:00 → 00:23:02 ทีนี้อีก 2 อย่างไหนๆผมก็พูดมาในเรื่อง
00:23:02 → 00:23:04 ของกลไกที่เกี่ยวข้องกับการตายแล้วผมอยาก
00:23:04 → 00:23:08 จะพูดอีก 2 อย่างนก็คือตัว alger mortis
00:23:08 → 00:23:11 นะครับแล้วก็ตัว riger mortis นะครับ
00:23:11 → 00:23:13 alger mortis ก็คือเป็นการที่ร่างกาย
00:23:13 → 00:23:16 ของคนเราเนี่ยลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆนะครับ
00:23:16 → 00:23:18 เพราะว่าร่างกายเรามันไม่ผลิตพลังงานแล้ว
00:23:18 → 00:23:21 เวลาที่ตายไปแล้วพอไม่ผลิตพลังงานมันก็จะ
00:23:21 → 00:23:23 เย็นลงเรื่อยๆนะครับอันนี้เราเรียกว่า alg
00:23:23 → 00:23:26 moris นะครับอ่าก็เป็นการที่ในทางการ
00:23:26 → 00:23:29 แพทย์เราใช้พิสูจน์เวลาการตายได้เหมือน
00:23:29 → 00:23:31 กันนะครับแต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวด
00:23:31 → 00:23:33 ล้อมด้วยถ้าหนาวมากอุณหภูมิก็เย็นลงเร็ว
00:23:33 → 00:23:34 อะไรอย่างเงี้ยนะครับที่เมืองไทยก็ร้อน
00:23:34 → 00:23:37 มากอุณหภูมิก็เย็นลงช้านะครับก็อาจจะไม่
00:23:37 → 00:23:40 ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่นะครับต่อมาคือ
00:23:40 → 00:23:43 riger mortis riger mortis นี่ก็คือ
00:23:43 → 00:23:44 เป็นการที่ร่างเก่าของเราเนี่ยมีการแข็ง
00:23:44 → 00:23:50 เกร็งนะครับก็เคยได้ข่าวมครับที่เวลาที่
00:23:50 → 00:23:52 เราไปเจอคนที่เสียชีวิตอ่ะเบอกว่าเอ้ยคนเ
00:23:52 → 00:23:55 แข็งไปแล้วน่าจะตายมานานะตัว riger moris
00:23:55 → 00:23:57 เนี่ยนะครับมันเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณซัก
00:23:57 → 00:23:59 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงโมงแรกเลยเวลาคนเราตาย
00:23:59 → 00:24:02 ใหม่ๆเนี่ยนะครับคือกล้ามเนื้อทุกอย่าง
00:24:02 → 00:24:05 มันจะป้อแป้ไปหมดนะครับยกอะไรก็ป้อแป้ไป
00:24:05 → 00:24:06 หมดนะครับแล้วหลังจากนั้นผ่านไปสัก
00:24:06 → 00:24:09 ชั่วโมง 2 ชั่่วโมงจะเริ่มแข็งละนะครับ
00:24:09 → 00:24:12 เริ่มแข็งๆงๆไปเรื่อยๆนะครับแล้วประมาณ 12
00:24:12 → 00:24:14 ช่วโมงเนี่ยมันจะเต็มที่แล้วมันแข็งเต็ม
00:24:14 → 00:24:17 ที่ละนะครับแล้วมันก็แข็งต่อไปอย่างเงี้ย
00:24:17 → 00:24:20 จนกระทั่งครบ 24 ชม 24 ชมนี้แข็งแล้วหลัง
00:24:20 → 00:24:23 จากนั้นมันจะอ่อนตัวลงอีกรอบนึงการที่มัน
00:24:23 → 00:24:25 อ่อนตัวลงอีกรอบนึงอ่ะเป็นเพราะว่าเกิด
00:24:25 → 00:24:28 ปฏิกิริยาการเน่าแล้วก็เซลล์ตงต่างของ
00:24:28 → 00:24:30 ร่างกายเวลามันแตกสลายเนี่ยมันจะปล่อย
00:24:30 → 00:24:32 เอนไซม์ออกมาย่อยตัวเองเยอะแยะไปหมดแล้ว
00:24:32 → 00:24:34 ก็ร่วมกับแบคทีเรียที่มันมากัดกินทำให้
00:24:34 → 00:24:36 มันเน่าแล้วก็กล้ามเนื้อของเราก็จะย่อย
00:24:36 → 00:24:38 สลายไปแบบนั้นนะครับนั่นก็คือเป็นอันนี้
00:24:38 → 00:24:40 ที่เอามาบอกว่าเฮ้ยมันช่วงเวลาไหนเกิด
00:24:40 → 00:24:43 อะไรได้บ้างนะครับ R moris มันเกิดที่
00:24:43 → 00:24:46 ไหนก่อนอันนี้เป็นภาษาแพทย์ละนะครับมัน
00:24:46 → 00:24:48 เริ่มที่หัวใจก่อนนะครับบางคนอาจจะไม่รู้
00:24:48 → 00:24:50 นี้ผมสมัยเรียนมาผมชอบเรื่องพวกนี้ก็เลย
00:24:50 → 00:24:53 อ่านเยอะหน่อยนะครับคือมันทำให้หัวใจของ
00:24:53 → 00:24:56 เราเนี่ยหดเกร็งถามว่ามันเกิด riger
00:24:56 → 00:24:59 moris ขึ้นได้ยังไงนะครับเวลาเซลล์ของ
00:24:59 → 00:25:01 เรามันตายไปแล้วเนี่ยนะครับแคลเซียมเนี่ย
00:25:01 → 00:25:04 มันจะออกมาจากทุกที่เลยเข้าไปสู่ในเซลล์
00:25:04 → 00:25:06 ในกล้ามเนื้อก็เป็นเซลล์เหมือนกันนะครับ
00:25:06 → 00:25:08 กล้ามเ้อหัวใจก็เป็นเซลล์นะครับพอมันได้
00:25:08 → 00:25:10 แคลเซียมเข้าเยอะๆไอ้กล้ามเนื้อพวกนี้มัน
00:25:10 → 00:25:14 จะหดตัวหดเกร็งเลยเหมือนคนเราแข็งกล้าม
00:25:14 → 00:25:15 เนื้อแข็งเกร็งเป็นเป็นกล้ามขึ้นมาอย่า
00:25:15 → 00:25:18 งั้นก็คือการหดเกร็งแต่การคลายตัวของ
00:25:18 → 00:25:21 กล้ามเนื้อจะต้องอาศัยพลังงานในรูปของ
00:25:21 → 00:25:25 ATP อินซีไตรฟอสเฟตซึ่งเมื่อเราเราตายไป
00:25:25 → 00:25:28 แล้วมันสร้างไม่ได้หรอกครับพอมันสร้างไม่
00:25:28 → 00:25:30 ได้กล้ามเนื้อก็จะแข็งเกร็งอยู่อย่างงั้น
00:25:30 → 00:25:32 เพราะว่าแคลเซียมไปทำให้มันแข็งเกร็งแล้ว
00:25:32 → 00:25:35 เราไม่มีอะไรไปยืดมันออกนะครับมันจะเริ่ม
00:25:35 → 00:25:39 จากหัวใจก่อนแล้วก็เริ่มจากส่วนในๆของ
00:25:39 → 00:25:41 ร่างกายออกไปส่วนนอกนะครับโดยจริงๆมัน
00:25:41 → 00:25:44 เริ่มที่เปลือกตาก่อนเปลือกตานะครับตรง
00:25:44 → 00:25:47 อ่าหลังคอนะครับกรามล่างนะครับเราจะไป
00:25:47 → 00:25:50 ง้างปากคนตายเี่ง้างไม่ได้นะครับมันแข็ง
00:25:50 → 00:25:53 เกรงต้องรอให้มันผ่านช่วงนี้ผ่านช่วงเอ่อ
00:25:53 → 00:25:55 36 ชมไปก่อนมันจะอ่อนออกมาอ่อนลงมาอีก
00:25:55 → 00:25:59 รอบนึงนะครับแล้วก็ลงมาที่น้าอกนะครับแขน
00:25:59 → 00:26:03 ท้องขาแล้วก็ไล่ไปอย่างเงี้ยนะครับอ่ามัน
00:26:03 → 00:26:07 จะไล่ตามแบบนี้เลยนะครับแล้วก็บางกรณีก็
00:26:07 → 00:26:11 คือเอ่อสมัยผมเรียนมันจะมีอีกอันนึงซึ่ง
00:26:11 → 00:26:15 เอิ่มถ้ามันทำให้ไอ้ตัวกล้ามเนื้อของ
00:26:15 → 00:26:18 อันทะเนี่ยมันหดเกร็งกล้ามเนื้อตัวนี้ผม
00:26:18 → 00:26:21 น่าชื่อเอ่อ ose Muscle นะครับถ้ามันหด
00:26:21 → 00:26:23 เกร็งมันจะทำให้มีการหลั่งของอูจิออกมา
00:26:23 → 00:26:25 ได้ซึ่งบางคนอาจจะไปแปลผลผิดว่าเฮ้ยนี่
00:26:25 → 00:26:27 คือก่อนที่จะตายนี่ไปข่มขืนใครมาหรือ
00:26:28 → 00:26:29 เปล่าอะไรเงี้ยนะครับหรือว่าเกี่ยวข้อง
00:26:29 → 00:26:31 กับอะไรพวกนี้หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่เกี่ยว
00:26:31 → 00:26:33 นะครับนะต้องไปดูกันแต่ผมก็จำไม่ได้ว่า
00:26:33 → 00:26:37 วิธีพิสูจน์มันทำยังไงนะครับแต่ว่าคนก็คง
00:26:37 → 00:26:40 สงสัยว่าเฮ้ยทำไมมันมีมือของคนๆนึงจิก
00:26:40 → 00:26:43 เกร็งแบบเนี้ยนะครับแล้วผมบอกว่าเฮ้ยมัน
00:26:43 → 00:26:45 น่าจะไล่หนักตาทำไมมือคนนั้นจิกเกร็งนะ
00:26:46 → 00:26:48 ครับตัวมือจิกเกร็งตงเนี้ยเราจะเรียกว่า
00:26:48 → 00:26:51 cadaveric spasm นะครับเหตุผลที่มัน
00:26:51 → 00:26:53 เกิดเพราะว่ามีการใช้กล้ามเนื้อบริเวณ
00:26:53 → 00:26:57 นั้นน่ะมากกว่าปกตินะครับโดยปกติ riger
00:26:57 → 00:26:59 modest ตัวเนี้ยมันมันจะบอกว่าเราตายมา
00:26:59 → 00:27:00 นานเท่าไหร่แต่ไอ้ cadaveric spasum
00:27:00 → 00:27:04 เนี่ยมันจะอาจจะบอกได้ว่าเราตายได้ยังไง
00:27:04 → 00:27:07 นะครับเช่นเราอาจจะต่อสู้กับคนร้ายอยู่
00:27:07 → 00:27:09 เราไปจิกเค้านะครับมือเราก็อาจจะมีกระดุม
00:27:09 → 00:27:12 มีเศษผมมีอะไรของเขาคอยู่นะครับหรือตายใน
00:27:12 → 00:27:14 น้ำอย่างเงี้ยนะครับก็อาจจะจมลงไปที่พื้น
00:27:14 → 00:27:19 ก็อาจจะไปปัดป่ายมาแล้วก็มีพวกโคลนมีเอ่อ
00:27:19 → 00:27:22 หินที่อยู่ตรงก้นแม่น้ำอยู่นะครับนั่นก็
00:27:22 → 00:27:24 เป็นไปได้นะครับพวกนี้เราก็จะเจอ
00:27:24 → 00:27:26 cadaveric spasum ได้ก็จะเป็นอย่าง
00:27:26 → 00:27:28 เงี้ยมือแล้วก็จะแงะไม่ออกเลยนะครับแต่
00:27:28 → 00:27:30 ปล่อยไปนานๆมาสุดท้ายก็จะแงะออกเองก็ต้อง
00:27:30 → 00:27:33 รอรอเวลาขึ้นอยู่กับเราไปเจอศพตอนอ่าเสีย
00:27:33 → 00:27:37 ชีวิตไปนานเท่าไหร่นะครับดังนั้นเรื่อง
00:27:37 → 00:27:41 ของการที่แบบเฮ้ยเล็บจิกเกร็งงอนะครับสี
00:27:41 → 00:27:44 ผิวอะไรที่เปลี่ยนไปตรงสีมันคล้ำทั้งตัว
00:27:44 → 00:27:46 อะไรอย่างเงี้ยนะครับหรือมีฟองปรุดๆออก
00:27:46 → 00:27:48 ทางปากอันเนี้ยไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็น
00:27:49 → 00:27:52 จากพิษไซนายหรือแม้แต่พิษอะไรก็ตามนะครับ
00:27:52 → 00:27:55 ดังนั้นมันจึงยากมากเลยที่เราจะคิดถึงพิซ
00:27:55 → 00:27:59 นายนะครับก็ต้องสายคนที่เขาสงสัยจริงๆ
00:27:59 → 00:28:02 แล้วบังเอิญถ้าแบบเฮ้ยเห็นสีผิวที่เป็น
00:28:02 → 00:28:05 เมื่อกี้ผมบอกว่าผิวเนี่ยมันเกิด Li
00:28:05 → 00:28:09 modes นะครับมันออกสีชมพูชูเอ้ยสีมัน
00:28:09 → 00:28:12 แปลกว่ะมันไม่เหมือนกับศพที่เราเคยชนาสูบ
00:28:12 → 00:28:14 มาทุกครั้งเลยอันเนี้ยควรจะต้องตรวจหาพิษ
00:28:14 → 00:28:17 แล้วครับเพราะมันไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย
00:28:17 → 00:28:21 ที่บอกเราเลยว่ามันเป็นจากพิษนะครับ
00:28:21 → 00:28:25 อ่าดังนั้นตรงเนี้ยขอทบทวนอีกทีนึงนะครับ
00:28:25 → 00:28:27 โดยสรุปแล้วผมไม่โทษแพทย์ไม่ว่าจะเป็น
00:28:27 → 00:28:30 แพทย์แพทย์ที่เจอคนไข้ในตอนนั้นหรือเป็น
00:28:30 → 00:28:32 แพทย์ที่ชนสูตรพริกศพเลยนะครับเราต้องมา
00:28:32 → 00:28:35 ดูเป็นขั้นๆขั้นแรกคือแพทย์ที่เจอคนไข้
00:28:35 → 00:28:37 เหล่านี้จะต้องมีความสงสัยอย่างมากเลยนะ
00:28:37 → 00:28:41 ครับคือเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เยัง
00:28:41 → 00:28:43 สบายดีทำไมตอนนี้มาดูป่วยแบหนักมากๆนะ
00:28:43 → 00:28:45 ครับแล้วก็ตรวจเลือดเจอว่ามีกรดสูงนะครับ
00:28:45 → 00:28:48 มีกรดแลคติกสูงกรดแลคติกอยู่ๆมันไม่ได้
00:28:48 → 00:28:50 พึ่งมาได้อย่างนี้หรอกครับนะฮะถ้ามันพึ่ง
00:28:50 → 00:28:52 มาเราต้องสงสัยว่ามีอะไรที่ไปทำให้ร่าง
00:28:52 → 00:28:54 กายของเราไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้เช่นพิษ
00:28:54 → 00:28:57 ชนิดต่างๆเป็นต้นไซยาไนก็เป็นหนึ่งในนั้น
00:28:57 → 00:28:59 นะครับแล้วปัจจุบันตนี้คิดว่าหมอคนไทยทุก
00:28:59 → 00:29:01 คนคงจะรู้จักไยนเป็นอย่างดีเรียบร้อยแล้ว
00:29:02 → 00:29:05 จากอักข่าวที่ออกนะครับกรณีที่ 2 คือถ้า
00:29:05 → 00:29:08 เสียชีวิตไปแล้วนะครับอยากให้ทุกคนเข้าใจ
00:29:08 → 00:29:11 ในข้อกฎหมายว่าถ้ามันจะต้องส่งชันสูตพิก
00:29:11 → 00:29:16 ศพก็ต้องส่งนะครับตายในอ่าในการควบคุมของ
00:29:16 → 00:29:18 เจ้าหน้าที่นะครับตายแบบผิดธรรมชาติคือ
00:29:18 → 00:29:22 ฆ่าตัวตายโดนคนอื่นฆ่าตายสัตว์มาทำให้ตาย
00:29:22 → 00:29:24 นะครับเกิดอุบัติเหตุแล้วก็ข้อสุดท้ายคือ
00:29:24 → 00:29:26 เราไม่รู้ว่าทำไมตายหรือในกรณีที่หมอ
00:29:26 → 00:29:29 เขียนใบบอกว่าระบบหายใจและหัวใจล้มเหลว
00:29:29 → 00:29:31 นั่นแหละครับคือหมอไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร
00:29:31 → 00:29:36 ตายอันนั้นก็ต้องส่งชนะสุพลิกศพนะครับ
00:29:36 → 00:29:39 แล้วมันอาจจะลำบากหน่อยเพราะว่าแพทย์
00:29:39 → 00:29:42 นิติเวชที่ต่างจังหวัดผมไม่รู้ว่ามีอยู่
00:29:42 → 00:29:44 ที่ไหนบ้างแต่น่าจะน้อยนะครับก็อยู่ใน
00:29:44 → 00:29:46 เมืองใหญ่ๆแล้วก็อยู่ในกรุงเทพฯดังนั้นก็
00:29:46 → 00:29:48 จำเป็นจะต้องส่งก็ต้องส่งแล้วครับไม่งั้น
00:29:48 → 00:29:51 เราก็จะก็อาจจะเจอเคสอย่างนี้ผ่านมาหลาย
00:29:51 → 00:29:53 ปีแล้วเราก็ไม่รู้จนกระทั่งมันมีคนตาย
00:29:53 → 00:29:56 เยอะแยะไปหมดเราถึงจะพึ่งพอระแคะระคายก็
00:29:56 → 00:29:59 ได้นะครับดังนั้นตรงนี้อย่านะนะครับส่วน
00:29:59 → 00:30:01 เรื่องประเด็นที่วินิจฉัยเรื่องการตายอ่ะ
00:30:01 → 00:30:04 เมื่อกี้ผมบอกไปแล้วนะครับว่ามีหลายๆขั้น
00:30:04 → 00:30:07 นะครับเรื่องของ loris นะครับผิวที่มัน
00:30:07 → 00:30:09 เปลี่ยนสีเกิดจากเลือดที่มันไปคั่งอยู่
00:30:09 → 00:30:12 ตรงบริเวณตามแรงโน้มถั่วต่างๆนะครับถ้า
00:30:12 → 00:30:14 มันเป็นสีชมพูหรือสีแปลกๆเนี่ยนะครับอัน
00:30:14 → 00:30:17 นี้ต้องไปตรวจว่าเราไปเจอพิษหรือเจอสาร
00:30:17 → 00:30:19 อะไรพิเศษมาหรือเปล่านะครับซึ่งมันมองยาก
00:30:19 → 00:30:21 ในคนที่ผิวคล้ำผิวเหลืองเหมือนคนไทยนะ
00:30:21 → 00:30:23 ครับ lev moris ตัวนี้เนี่ยมันจะเกิด
00:30:23 → 00:30:26 ขึ้นในประมาณป 1-2 ชมงแล้ว 6-8 ช่มเนี่ย
00:30:26 → 00:30:28 มันควรจะเรียบร้อยแล้วมันไม่สามารถ
00:30:28 → 00:30:32 เปลี่ยนแปลงได้ละนะครับอันที่ 2 ก็คือ rig
00:30:32 → 00:30:34 mortis rig mortis คือการที่มีการแข็ง
00:30:34 → 00:30:37 เกร็งของกล้ามเนื้อซึ่งมันจะเกิดขึ้นตาม
00:30:37 → 00:30:39 เอ่อตามที่ต่างๆเยอะแยะไปหมดนะครับแล้วมี
00:30:39 → 00:30:41 cadaveric spasum คือการที่เราแข็ง
00:30:41 → 00:30:43 เกร็งบางบริเวณที่เราใช้งานเยอะๆส่วนใหญ่
00:30:43 → 00:30:45 ก็จะเป็นมือที่เราจับอะไรพวกเนี้ยมันจะพอ
00:30:45 → 00:30:47 บอกได้แต่มันไม่ได้บอกได้ว่าโดนพิษนะครับ
00:30:47 → 00:30:50 อ่าแล้ว REG mortis ตัวนี้เนี่ยมันจะ
00:30:50 → 00:30:52 เริ่มประมาณสักชั่วโมง 2 ชั่วโมงเหมือน
00:30:52 → 00:30:54 กันนะครับเต็มที่ที่ 12 ช่มแล้วมันก็อยู่
00:30:54 → 00:30:56 ไปครบจน 24 ชั่วโมงหลังจากนั้นมันก็จะ
00:30:56 → 00:30:59 อ่อนตัวลงมาอีกทีนึงเลย 36 ช่มไปมือเราก็
00:30:59 → 00:31:02 จะเหมือนปกตินะครับ alger mortis ก็คือ
00:31:02 → 00:31:05 เป็นเ่อการที่อุณหภูมิร่างกายลดลงนะครับ
00:31:05 → 00:31:07 แล้วสุดท้ายคือ putrefaction ก็คือเป็น
00:31:07 → 00:31:10 การเน่าเกิดจากแบคทีเรียต่างๆซึ่ง
00:31:10 → 00:31:12 แบคทีเรียเนี่ยมันก็จะทำให้มีการไหลของ
00:31:12 → 00:31:15 น้ำออกมาจากจมูกจากป่านะครับเรียกว่าเอ่อ
00:31:15 → 00:31:17 อันนี้ไม่ได้บอกเรียกว่า purging นะครับ
00:31:17 → 00:31:19 purging ก็คือเป็นการไล่เอาน้ำพวกนี้ออก
00:31:19 → 00:31:20 เพราะว่าแก๊สที่แบคทีเรียมันสร้างขึ้นมา
00:31:21 → 00:31:23 นั่นแหละครับมีแก๊สหลากหลายชนิดเลยนะครับ
00:31:23 → 00:31:25 แล้วแก๊สที่มันทำให้ร่างกายของเราเปลี่ยน
00:31:25 → 00:31:28 เป็นสีเขียวๆหน่อยก็คือแก๊สชชื่อว่า
00:31:28 → 00:31:30 ไฮโดรเจนสไฟนะครับเพราะว่ามันไปจับกับตัว
00:31:30 → 00:31:32 ฮีโมโกลบินเกิดเซฮีโมโกลบินซึ่งสีมันจะ
00:31:32 → 00:31:35 ออกเขียวๆคล้ำๆนะครับตัวนี้ก็เป็นทำให้
00:31:35 → 00:31:37 เราเห็นศพแล้วเฮ้ยทำไมมันหน้าเขียวคล้ำ
00:31:37 → 00:31:40 โดนของมาหรือเปล่านะโดนพิษมาหรือเปล่า
00:31:40 → 00:31:43 ซึ่งไม่ใช่นะครับอ่าก็หวังว่าตรงนี้คงจะ
00:31:43 → 00:31:46 ให้คความกระจ่างกับหลายๆคนได้นะครับแล้ว
00:31:46 → 00:31:49 จริงๆตรงเนี้ยผมว่าโชคดีในโชคร้ายอย่าง
00:31:49 → 00:31:52 นึงที่ว่าเออก็ทำให้คนเราตื่นตัวเรื่อง
00:31:52 → 00:31:54 ของไซยานนะครับแล้วก็วิธีในการป้องกันพิษ
00:31:54 → 00:31:57 อย่าเงี้อาจจะออกตามมานะครับหมอก็อาจจะมี
00:31:57 → 00:32:00 ความรู้ความเฉลียวกับเรื่องพิษมากขึ้นนะ
00:32:00 → 00:32:02 ครับแล้วที่สำคัญคืออีกอย่างนึงผมเชื่อ
00:32:02 → 00:32:03 เลยนะครับว่าต้องมีคนคิดอย่างนี้ตอนก่อน
00:32:04 → 00:32:07 ที่จะมีเรื่องของไยนออกมาก็คือทำไมคนแข็ง
00:32:07 → 00:32:10 แรงอยู่ๆตายเออวันก่อนดีวันนี้ทำไมตาย
00:32:10 → 00:32:13 ทำไมคนนั้นตายคนนี้ตายฉันไม่รู้จักคนนั้น
00:32:13 → 00:32:17 นี้อยู่ๆตายคุ้นๆมั้ยครับโทษวัคซีนอีก
00:32:17 → 00:32:20 แล้วครับคนแข็งแรงทำไมตายโทษวัคซีนเนี่ย
00:32:20 → 00:32:23 กี่ศพที่เสียชีวิตไปเนี่ยนะครับต้องมีคน
00:32:23 → 00:32:25 โทษวัคซีนอย่างแน่นอนเพราะว่าวันนั้นเห็น
00:32:25 → 00:32:28 แข็งแรงอยู่ๆตายไปเลยล้มไปเลยนะครับ
00:32:28 → 00:32:32 ก็นี่แหละครับสาเหตุนะฮะโอเควันนี้ก็เล่า
00:32:32 → 00:32:34 มายาวขนาดนี้นะครับก็เลยอยากจะอธิบายแล้ว
00:32:34 → 00:32:37 ก็ขอเป็นกำลังใจให้เอ่อทุกๆคนที่เป็นผู้
00:32:37 → 00:32:40 เสียหายนะครับแล้วก็เอ่อแพทย์ที่ไทยด้วย
00:32:40 → 00:32:42 นะครับว่าจริงๆอันเนี้ยไม่ได้วินิจฉัย
00:32:42 → 00:32:44 ง่ายแต่อย่างใดนะครับมาถึงมือผมผมก็อาจจะ
00:32:44 → 00:32:46 พลาดได้นะครับผมก็ไม่ได้เก่งกว่าหมอคน
00:32:46 → 00:32:48 อื่นแต่อย่างใดนะครับมันต้องอาศัยความ
00:32:48 → 00:32:51 สงสัยความเฉลียวใจเท่านั้นนะครับที่จะ
00:32:51 → 00:32:54 วินิจฉัยไอ้โรคพวกนี้ได้นะครับโอเควันนี้
00:32:54 → 00:32:56 ก็เท่านี้นะครับใครมีอะไรก็สอบถามมาได้
00:32:56 → 00:33:00 ครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ y