00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice สวัสดีครับผมวีรพงษ์ทวีศักดิ์
00:00:08 → 00:00:12 ดิฉันสุธิพรปรีเปรมและนี่คือศัลยกรรมความ
00:00:12 → 00:00:16 สุขรายการที่ฟังแล้วทำให้คุณมีความสุขมาก
00:00:16 → 00:00:18 ขึ้นมีความทุกข์น้อย
00:00:18 → 00:00:25 ลงพี่วีคะครับผมช่วงนี้มีข่าวโอ้โหเยอะ
00:00:25 → 00:00:29 มากเลยที่เป็นข่าวใหญ่ๆอ่ะโอเยอะๆๆเนาะ
00:00:29 → 00:00:33 ที่เป็นกระทบกับผู้คนอ่ะใช่ๆทั้งทองทั้ง
00:00:33 → 00:00:37 ขายตรงโอโหหลายหลายเจ้ามากเลยทั้ง
00:00:37 → 00:00:40 เศรษฐกิจการเมืองและสังคมโออันนั้นอัน
00:00:40 → 00:00:46 นั้นน้ำท่วมพายุโอเยอะๆๆเออแล้วก็มันก็มี
00:00:46 → 00:00:50 ผลกระทบต่อแบบคนจำนวนเยอะอ่ะฮะๆซึ่งพี่
00:00:50 → 00:00:54 อ้อยคิดว่าไอ้ปัญหาเนี้ยมันไม่ถูกแก้ไข
00:00:54 → 00:00:57 อย่างจริงจังอ่ะทำไมอ่ะครับไม่มีคนทำมั้ย
00:00:57 → 00:01:03 ก็อาจจะบอกว่าไม่มีคนทำก็ได้นะแต่ผมคิด
00:01:03 → 00:01:08 [เพลง]
00:01:08 → 00:01:13 ว่าคิดว่าอะไรคะนั่นนแต่ผมคิดว่าไงค่ะคือ
00:01:13 → 00:01:15 ที่ผมพูดว่าแต่ผมคิดว่านี่เป็นเพราะอะไร
00:01:15 → 00:01:17 รือมพี่อ้อยเป็นเพราะว่าพี่อ้อยรู้มั้ย
00:01:17 → 00:01:22 ว่ามันจะมีเอ่อปัญหาของสังคมเราเนี่ยก็
00:01:22 → 00:01:25 คือว่าสมัยก่อนตอนที่ผมเรียนนะพี่อ้อยเา
00:01:25 → 00:01:28 จะบอกว่าเวลาที่เราคุยกันเนี่ยเรื่องที่
00:01:28 → 00:01:30 เราเมื่อกี้เราเปิดหัวมาเนี่ยเป็นเรื่อง
00:01:30 → 00:01:32 ที่แบบถามว่าสุ่มเสี่ยงมั้ยสุ่มเสี่ยงมาก
00:01:32 → 00:01:35 เลยนะอือเพราะอะไรรู้มั้ยเพราะว่าเค้ามี
00:01:35 → 00:01:38 หลักอยู่ว่าเวลาที่เราคุยกันเนี่ยอือเรา
00:01:38 → 00:01:42 ควรถ้าเป็นชาวยุโรปนะอเวลาที่เค้าทักทาย
00:01:42 → 00:01:45 กันเนี่ยพี่อ้อยค่ะส่วนใหญ่เจะทักทายกัน
00:01:45 → 00:01:48 ว่าอะไรรู้มั้ยฝรั่งเจอหน้ากันอ่าเ้าจะ
00:01:48 → 00:01:52 ทักทายเรื่องอะไรเออในฝรั่งยุโรปส่วนใหญ่
00:01:52 → 00:01:56 เฉลิก็สบายดีมั้ยไง how you อ่ะแต่คนไทย
00:01:56 → 00:01:59 บอกว่ากินข้าวรือยังอ่ะเออใช่ๆคือคนไทย
00:01:59 → 00:02:03 เนี่ยเวลาที่เอ่อจริงๆกินข้าวหรือยังไม่
00:02:03 → 00:02:07 ใช่คนไทยด้วยนะจีนเออคนจีนค่ะมันเป็นคำ
00:02:07 → 00:02:10 ทักทายเนี่ยมันจะสื่อถึง mindset อะไรบาง
00:02:10 → 00:02:14 อย่างลึกๆของของชนชาติเลยนะวัฒนธรรมอะไร
00:02:14 → 00:02:17 วัฒนธรรมเลยใช่คือคนจีนเเป็นห่วงเรื่อง
00:02:17 → 00:02:20 อาหารการกินก็เจอหน้าเถามกินข้าวหรือยัง
00:02:20 → 00:02:24 ค่ะคนไทยเถามว่าอะไรรู้มั้ยไปไหนมาไปไหน
00:02:24 → 00:02:29 มาออคนไทยเดินสวงยไปไหนมาคนไทยคือชอบอยาก
00:02:29 → 00:02:31 รู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านไงเค้าบอกอันนี้
00:02:31 → 00:02:34 ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่านะเออแต่เอาที่
00:02:34 → 00:02:38 เค้าพูดๆคุยๆกันเเอแต่ว่าฝรั่งส่วนใหญ่เ
00:02:39 → 00:02:42 จะถามเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศอืเออแ
00:02:42 → 00:02:45 เป็นไงบ้างวันนี้อะไรอย่างเงี้ยอเพราะ
00:02:45 → 00:02:47 อะไรรู้มั้ยเพราะว่าค่ะคือดินฟ้าอากาศถ้า
00:02:47 → 00:02:51 ฝนตกก็คือตกทุกคนอือย่างเงี้ยถ้ามันแดด
00:02:51 → 00:02:55 ออกก็แดดออกทุกคนโอโหล้ำลึกแต่เขาบอกว่า
00:02:55 → 00:02:57 เรื่องที่ห้ามคุยกันคือเรื่องอะไรรู้มั้ย
00:02:57 → 00:03:01 เรื่องศาสนากับการเมืองใช่เพราะว่ามันมี
00:03:01 → 00:03:04 ความเห็นที่แตกต่างกันเยอะมากใช่ไอ้ที่มา
00:03:04 → 00:03:06 ของประโยคที่ผมพูดเมื่อกี้เนี่ยแต่ผมคิด
00:03:06 → 00:03:09 ว่าเนี่ยฮเพราะว่าเรื่องที่พี่อ้อยยกมา
00:03:09 → 00:03:14 เนี่ยค่ะเราแอบมีไปหน่อยเกี่ยวๆหน่อยๆใช่
00:03:14 → 00:03:17 ป่ะไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม
00:03:17 → 00:03:20 เกี่ยวกับเรื่องของคดีเรื่องเกี่ยวกับการ
00:03:20 → 00:03:23 โกมกันเรื่องเกี่ยวกับการขายของเรื่อง
00:03:23 → 00:03:26 เกี่ยวกับอะไรเนี่ยค่ะมันเป็นเรื่องที่
00:03:26 → 00:03:30 มันมีโอกาสที่จะพลิกซ้ายขวาได้ตลอดเวลามี
00:03:30 → 00:03:33 ความเห็นแตกต่างกันอย่างงี้ดีกว่าอค่ะๆ
00:03:33 → 00:03:36 อย่างเอาง่ายๆดราม่าแต่ละอันเนี่ยพี่อ้อย
00:03:36 → 00:03:39 ในโซเชียลมีเดียอค่ะมีเหตุการณ์บางเหตุ
00:03:39 → 00:03:43 การณ์เกิดขึ้นแล้วก็มีคนก็ถบเถียงกันปึ๊บ
00:03:43 → 00:03:47 ก็จะมีคนนึงมาเข้าข้างฝั่งนี้ใช่ๆแล้วก็
00:03:47 → 00:03:50 มีบางคนมาเข้าข้างอีกฝั่งนึงอย่างเงี้ย
00:03:50 → 00:03:53 หรือมันมีเคสที่มีเหตุการณ์บางอย่างแล้ว
00:03:53 → 00:03:56 คนที่อยู่ในเกี่ยวข้องเนี่ยก็ออกมาพูด
00:03:56 → 00:03:59 อะไรบางอย่างอือก็จะมีฟากนึงมาเห็นด้วย
00:03:59 → 00:04:02 กับอีกฟากภานึงไม่เห็นด้วยอๆอย่างเงี้ย
00:04:02 → 00:04:05 มันก็เลยกลายเป็นประเด็นว่าที่มันสับสน
00:04:05 → 00:04:09 โรมานเนี่ยพี่อ้อยค่ะมันเป็นเพราะคำนี้
00:04:09 → 00:04:14 เลยแต่ผมคิดว่าเนี่ยอืแต่ผมคิดว่าเนี่ย
00:04:14 → 00:04:18 คือความคิดของฉันของฉันใช่ในในกรณีนั้น
00:04:18 → 00:04:22 เนี่ยคุณว่าอะไรมาก็ได้อือแต่ผมอ่ะคิดว่า
00:04:22 → 00:04:25 อีกอย่างนึงค่ะใช่มั้ค่ะทีนี้ไอ้เนี่ยย
00:04:25 → 00:04:28 มันจะทำให้เราแบบเกิดความเค้าเรียกว่า
00:04:28 → 00:04:31 อะไรเกิดความขัดขัดแย้งหรือว่ามีปัญหา
00:04:31 → 00:04:34 เรื่องความสัมพันธ์ภายในสังคมอ่ะพี่อ้อย
00:04:34 → 00:04:37 ใช่ในฐานะที่พี่อ้อยทำกิจกรรมเป็นวิทยากร
00:04:37 → 00:04:40 เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนามนุษย์ในบางองค์
00:04:40 → 00:04:43 กรนะในเรื่องอะไรก็ตามทีเนี่ยพี่น้อยเคย
00:04:43 → 00:04:46 สังเกตมว่าในแต่ละองค์กรเนี่ยต้นเหตุแห่ง
00:04:46 → 00:04:50 ปัญหามาจากอะไรความคิดแน่นอนค่ะอืใช่ป่ะ
00:04:50 → 00:04:54 ค่ะเนี่ยแล้วมีคนก็พูดอย่างงี้พี่อ้อย
00:04:54 → 00:04:57 เวลาที่ผมไปบรรยายในบางองค์กรนะหัวข้อ
00:04:57 → 00:05:01 บรรยายเกี่ยวกับเรื่องการฟังอืเนี่ยจุด
00:05:01 → 00:05:03 เริ่มต้นของการบรยายเรื่องการฟังนี่เป็น
00:05:03 → 00:05:06 เพราะว่าคนส่วนใหญ่เขาจะบอกว่าเวลาที่ใน
00:05:06 → 00:05:08 แต่ละองค์กรมีปัญหากันเนี่ยหรือแม้
00:05:08 → 00:05:11 กระทั่งอย่าว่าองค์กรเลยเอาในระดับชีวิต
00:05:11 → 00:05:14 ปกตินี่แหละชาวบ้านนี่แหละพี่อ้อยเคยได้
00:05:14 → 00:05:18 ยินคำนี้มเบอกว่าเฮ้ยมีอะไรก็พูดพูดออกมา
00:05:18 → 00:05:21 ดิอือถ้าไม่ไม่พูดมาแล้วจะจะรู้ได้ไงจะ
00:05:22 → 00:05:25 เข้าใจได้ไงอือๆค่ะใช่มั้ยบางทีเราก็เคย
00:05:25 → 00:05:28 พูดหรือเคยคิดไปั้ไปว่าอ้ามีอะไรทำไมไม่
00:05:28 → 00:05:32 พูดน่ะเออแล้วไม่พูดแล้วจะรู้ได้ไงเนี่ย
00:05:32 → 00:05:35 เนี่ยบางทีพูดแล้วก็ไม่รู้นะเออนี่ไงใช่
00:05:35 → 00:05:38 ป่ะเพราะในความเป็นจริงเนี่ยผมเวลาที่ผม
00:05:38 → 00:05:40 ไปบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการฟังเรื่องการ
00:05:40 → 00:05:42 สื่อสารในองค์กรเนี่ยพูดเรื่องการสื่อสาร
00:05:42 → 00:05:45 ในองค์กรเนี่ยคนส่วนใหญ่จะนึกถึงการพูด
00:05:45 → 00:05:49 ก่อนเลยอืไปเรียนเรื่องการพูดจะพูดยังไง
00:05:49 → 00:05:52 เพื่อให้คนฟังอ่าใช่อแต่ในความเป็นจริง
00:05:53 → 00:05:56 เรื่องการสื่อสารน่ะสิ่งที่สำคัญกว่าการ
00:05:56 → 00:05:59 พูดเนี่ยคือการฟังอื
00:05:59 → 00:06:03 เพราะเราฟังกันไม่ค่อยเป็นอืแล้ววิธี
00:06:03 → 00:06:06 เนี่ยพี่อ้อยรู้มว่าผมผมทำ workshop อัน
00:06:06 → 00:06:10 นึงนะผมก็บอกว่าให้แต่ละคนเนี่ยจับคู่กัน
00:06:10 → 00:06:14 อือจับคู่กันแล้วก็สลับกันค่ะคนที่ 1 กับ
00:06:14 → 00:06:17 คนที่ 2 อืออันที่ 1 ก็เริ่ม workshop
00:06:17 → 00:06:19 ครั้งที่ 1 ก็เริ่มให้คนที่ 1 อ่ะเล่า
00:06:19 → 00:06:23 เรื่องอะไรก็ได้อนะเล่าเรื่องอะไรปึ๊บคน
00:06:23 → 00:06:27 ที่ 2 เนี่ยมีหน้าที่ฟังหึไม่ต้องฟังไม่
00:06:27 → 00:06:30 ต้องฟังคือเค้าเล่าอะไรมาก็ได้แย้งตลอด
00:06:30 → 00:06:34 เลยอ๋อเออค่ะยกตัวอย่างอย่างเช่นพี่อ้อย
00:06:34 → 00:06:36 สมมุติว่าตอนนี้พี่อ้อยเล่าอะไรก็ได้มา
00:06:36 → 00:06:39 เล่ามาเลยเล่าให้ผมฟังหน่อยเล่าอะไรเล่า
00:06:39 → 00:06:41 อะไรสักเรื่องนึงเลยอยอยากเล่าเรื่องที่
00:06:41 → 00:06:44 ตอนเนี้ยมีคนนึงไม่คบพี่อ้อยเพราะพี่อ้อย
00:06:44 → 00:06:47 ไม่ฟังเ้านี่แหละอ้าวจริงึเป่าจริงแล้ว
00:06:47 → 00:06:49 ทำไม
00:06:49 → 00:06:52 คือคือในความเป็นจริงแล้วพี่อ้อยเชื่อ
00:06:52 → 00:06:54 มั้ยว่าไม่มีจริงหรอกอย่างเงี้ยสมมุติ
00:06:54 → 00:06:56 เรื่องแบบนี้จะมีเหรออะไรเงี้ยคือพี่อ้อย
00:06:56 → 00:06:58 เล่าอะไรมาผมก็แย้งไปเรื่อยอย่างเงี้ยก็
00:06:58 → 00:07:00 คือพูดง่ายๆว่าผมก็ไม่ให้ฟังพี่อ้อยใช่
00:07:00 → 00:07:03 มั้ยคราวนี้พอผมทำเวิร์คชอปเี่ให้คนนึง
00:07:03 → 00:07:06 เล่าอีกคนนึงแย้งแย้งแย้งในหลายมิติมาก
00:07:06 → 00:07:10 เลยนะไม่ว่าจะเป็นเกทัพไม่เห็นด้วยสงสัย
00:07:10 → 00:07:12 ตลอดเวลาอะไรเงี้ยปึ๊บพอเริ่มปึ๊บเล่าไป
00:07:13 → 00:07:16 แป๊บนึงแย้งยๆตลอดอีกคนนึงโวยเฮ้ยไม่ฟัง
00:07:16 → 00:07:21 เลยอ่ะอือไม่ฟังเลยบอกปุ๊บหมดรอบสลับกัน
00:07:21 → 00:07:24 มงทีนี้อีกคนนึงเล่าอีกคนนึงโอ้โหบอกอ้า
00:07:24 → 00:07:27 แล้วฉันจะเอาคืนบ้างอย่างเงี้ยแล้วก็
00:07:27 → 00:07:30 หัวเราะกันใหญ่เลยนะแต่ใน workshop
00:07:30 → 00:07:34 หัวเราะชีวิตจริงเออแต่ในในชีวิตจริงยาก
00:07:34 → 00:07:37 กว่านั้นพี่อ้อยในชีวิตจริงเนี่ยมันไม่
00:07:37 → 00:07:40 ใช่ว่าคนนึงพูดและอีกคนนึงแย้งตลอดเวลาใน
00:07:40 → 00:07:44 ชีวิตจริงไม่มีอยู่จริงนะจริงๆอาจจะมีแต่
00:07:44 → 00:07:48 แย้งอยู่ในใจป่ะพิอ่าถูกต้องโอโหพี่อ้อย
00:07:48 → 00:07:52 เข้าถึงประเด็นเลยอือก็คือว่าเวลาที่เรา
00:07:52 → 00:07:55 เล่าแล้วอีกคนนึงแย้งตลอดเวลาเนี่ยเราจะ
00:07:55 → 00:07:57 บอกเฮ้ยไม่ฟังเลยอย่างเงี้ยแต่ในความเป็น
00:07:58 → 00:08:00 จริงผมบอกว่าแล้วถ้าเกิดว่าเราเล่าแล้ว
00:08:00 → 00:08:03 เ้าไม่แย้งอ่ะเราพอใจมั้ยก็พอใจดิแต่ใน
00:08:03 → 00:08:05 ความเป็นจริงมันร้ายกว่านั้นเออคือเค้า
00:08:05 → 00:08:09 ไม่แย้งออกมาไม่พูดออกมาเลยเออแต่เขาคิด
00:08:09 → 00:08:13 ว่าคิดในใจอ๋อคิดในใจแต่ผมคิดว่านี่ใช่
00:08:13 → 00:08:17 มั้ยคะออเอแล้วเคก็เค้าอ่ะคิดในใจแย้งใน
00:08:17 → 00:08:22 ใจแต่เขาไม่พูดออกมาออืออันเนี้ยคำถามคือ
00:08:22 → 00:08:26 ยิ่งหนักหนักกว่าอีกอือันตรายกว่าอีกค่ะ
00:08:26 → 00:08:30 แล้วก็อานุภาพรุนแรงกว่าอีกอือเพราะเรา
00:08:30 → 00:08:33 คุยกันอยู่เนี่ยพี่อ้อยอือเนี่ยสนทนากับ
00:08:33 → 00:08:35 ใครเนี่ยเค้าก็มองหน้าเราพยักพยักหน้า
00:08:35 → 00:08:39 เนี่ยอือแต่ผมคิดว่าอือพี่้องเห็นมั้ยว่า
00:08:39 → 00:08:42 แท้ที่จริงแล้วไอ้คำว่าแต่ผมคิดว่าเนี่ย
00:08:42 → 00:08:47 อือมันเป็นจุดเริ่มต้นของความสับสนรมาน
00:08:47 → 00:08:50 ของความสัมพันธ์ของมนุษย์เลยจริงค่ะแล้ว
00:08:50 → 00:08:53 มันอันตรายมากกว่าการที่ใครสักคนนึงพูด
00:08:53 → 00:08:56 อะไรบางอย่างแล้วอีกคนนึงแย้งตลอดเวลาอื
00:08:56 → 00:08:59 เพราะถ้าสมมุติมีจริงนะพี่อ้อยพูดไปเนี่ย
00:08:59 → 00:09:02 แล้วก็อีกคนก็แย้งยตลอดเวลาเนี่ยเราจะ
00:09:02 → 00:09:07 หยุดพูดเลยเราจะไม่พูดต่อหรอกอืใช่ป่ะค่ะ
00:09:07 → 00:09:11 จริงๆนึกภาพของคนทำงานน่ะพี่วีเออๆที่หัว
00:09:11 → 00:09:14 หน้าลูกน้องอะไรประมาณเนี้ยเออแล้วก็
00:09:14 → 00:09:17 อย่างสมมุติหัวหน้า 1 คนมีลูกน้องหลายคน
00:09:17 → 00:09:20 งานก็ต้องรีบเจ้านายข้างบนก็ท้วงเออ
00:09:20 → 00:09:22 เดี๋ยวจะต้องไปประชุมนี่อะไรอย่างเงี้ย
00:09:22 → 00:09:26 มันมันรัไปหมดเอเรื่องเวลาของการแข่งขัน
00:09:26 → 00:09:29 ที่จะต้องทำอะไรออกมาแล้วก็มักจะมีมีภาพ
00:09:30 → 00:09:34 เออที่ลูกน้องขอพบอือๆเออเข้าไปนั่งพบหัว
00:09:34 → 00:09:37 หน้าก็นั่งอยู่หน้าคอมตัวเองอลูกน้องก็
00:09:37 → 00:09:41 นั่งตรงข้ามอ้ามีอะไรว่ามาอย่างเงี้ยเออ
00:09:41 → 00:09:46 แล้วก็พิมพ์ตอบเมลปึ๊บอ่ะพูดไปฟังอยู่
00:09:46 → 00:09:50 อย่างเงี้ยคืออันเนี้ยแบบเยอะมากเลยแล้ว
00:09:50 → 00:09:53 ได้ยินหรือไม่ได้ยินไม่รู้แต่สิ่งที่ตอบ
00:09:53 → 00:09:56 กลับไปอ่ะแต่ผมคิดว่าแล้วก็เอาสิ่งที่
00:09:56 → 00:09:59 อยู่ในหัวตัวเองอ่ะกลับไปแล้วทุกครั้งที่
00:09:59 → 00:10:02 เป็นแบบนี้ลูกน้องเข้ามาเข้ามาเคก็เคก็
00:10:02 → 00:10:05 ไม่รู้จะอยากจะปรึกษาอะไรหรือปรึกษาไอ
00:10:05 → 00:10:09 หรือนำเสนอไอเดียอหรือไม่แล้วอ่ะเออค่ะ
00:10:09 → 00:10:12 นี่ไงอือมันทำให้ทุกอย่างเนี่ยเค้าเรียก
00:10:12 → 00:10:15 ว่าการประสานงานระหว่างบุคคลเนี่ยพังทลาย
00:10:15 → 00:10:17 ไปหมดเลยแล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของความ
00:10:17 → 00:10:20 เรื่องที่ใหญ่กว่านี้ในทุกอง์กร่มด้วยใช่
00:10:20 → 00:10:24 ๆแล้วพอเราตอนที่ทำ workshop ไอไอ้แต่ผม
00:10:24 → 00:10:27 คิดว่าเนี่ยพี่อ้อยผลัดกันเหล้าแล้วก็
00:10:27 → 00:10:28 ผลัดกันแย้งเลยเนี่ยทุกคนก็หัวเราะใช่
00:10:28 → 00:10:31 มั้ยค่ะแล้วบอกว่าก็ยังสงสัยอยู่นะว่าใน
00:10:31 → 00:10:34 ความเป็นจริงจะมีเหรอนะออผมตามด้วย
00:10:34 → 00:10:37 workshop 2 เลยออเหรอค่ะเอออ่ะข่าวนี้
00:10:37 → 00:10:42 เล่าทุกคนมีหน้าที่ฟังนะอืเออสลครั้งแรก
00:10:42 → 00:10:44 ไม่ฟังครั้งแรกไม่ต้องฟังโอเคครั้ง 2 ฟัง
00:10:44 → 00:10:48 รอบนี้ฟังเอปึ๊บคนที่ 1 เล่าระหว่างนั้น
00:10:48 → 00:10:52 ก็ให้อีกคนนึงฟังแบบฟังเลยอพอเล่าจบฟังจบ
00:10:52 → 00:10:56 ปุ๊บผมถามว่าผมถามคนที่ฟังว่าให้เขียนมา
00:10:56 → 00:10:59 นะว่าเมื่อกี้ระหว่างที่เรากำลังฟังเด้วย
00:10:59 → 00:11:02 ความตั้งใจฟังเลยเนี่ยอือมีความคิดอะไร
00:11:02 → 00:11:06 เกิดขึ้นในหัวบ้างอือเขียนไม่ได้ไม่มีหึ
00:11:06 → 00:11:09 มีเต็มเลยเอาเหรอคะทั้งสงสัยเฮ้ยมันจริง
00:11:09 → 00:11:13 หรือเปล่าออเอ้ยหรือมันเนี่แหละที่บอกว่า
00:11:13 → 00:11:16 ไม่พูดออกมาเนี่ยเออนี่ไงมันมีอยู่จริงนะ
00:11:16 → 00:11:20 พี่อ้อยออือคือทั้งๆที่เราตั้งใจบอกว่า
00:11:20 → 00:11:22 ให้ฟังแล้วนะแต่ว่าความคิดเรามันจะวิ่งไป
00:11:22 → 00:11:28 เรื่อยๆออเราแบบมันจะแบบสงสัยเอจริงึ
00:11:28 → 00:11:31 เปล่าวะเอแล้วมันทำให้นึกถึงประสบการณ์
00:11:31 → 00:11:33 ของตัวเองเลยว่าเฮ้ยเราก็เคยเจอแบบนี้
00:11:33 → 00:11:38 เหมือนกันอืแล้วก็แล้วก็แบบเฮ้ยมันพูดมัน
00:11:38 → 00:11:41 คิดอย่างงี้ได้ไงวะเราไม่เห็นด้วยเลยอุย
00:11:41 → 00:11:45 เต็มไปหมดเลยพี่อ้อยออค่ะค่ะซึ่งไอ้นี่ไง
00:11:45 → 00:11:50 ไอ้ผมคิดว่าเนี่ยมันมีอยู่จริงออโอมันมัน
00:11:50 → 00:11:53 แทรกมาได้ตลอดเวลาเลยนะโความคิดเนี่ยไอ้
00:11:53 → 00:11:56 ผมคิดว่าความคิดเนี่ยค่ะแล้วมันจะมีอยู่
00:11:56 → 00:12:00 อันนึงนะพี่บางคนบอกว่าพอมาตามความคิดนะ
00:12:00 → 00:12:03 แล้วเราก็จะแบบเราจะรู้ได้ไงตามความคิดนะ
00:12:03 → 00:12:06 อเบอกชัดเจนมากเลยผมสมัยก่อนผมเรียนผมจำ
00:12:06 → 00:12:09 ไม่ได้ว่ามันมียุคไหนไม่รู้มันมีภาษาอยู่
00:12:09 → 00:12:11 ภาษานึงคืออาจารย์เเคยสอนแล้วผมจำราย
00:12:11 → 00:12:15 ละเอียดไม่ได้แต่ผมจำได้ว่าเนื้อหาได้ว่า
00:12:15 → 00:12:18 ว่ามันมีประเทศประเทศนึงภาษาภาษานึงอ่ะ
00:12:18 → 00:12:22 พี่อ้อยเขาไม่มีคำว่าความคิดอืเหรอค่ะ
00:12:22 → 00:12:25 อย่างภาษาอังกฤษความคิดคือคำว่า Thinking
00:12:25 → 00:12:27 สมมุติอย่างเงี้ยเงี้ยแต่ว่ามันมีภาษา
00:12:27 → 00:12:31 ภาษานึงไม่มีคำว่าคความคิดโอมีด้วยหรอคะ
00:12:31 → 00:12:34 อืเออแต่ผมจำไม่ได้ว่าภาษาอะไรค่ะแต่เขา
00:12:34 → 00:12:38 ใช้คำๆนึงแทนคำว่าความคิดเออคือถ้าถ้าบอก
00:12:38 → 00:12:42 คำๆนี้พี่อ้อยจะอ๋อเลยเออค่ะคำที่หมายถึง
00:12:42 → 00:12:45 ความคิดเนี่ยภาษานี้เมีคำว่าพูดกับตัวเอง
00:12:45 → 00:12:51 ออๆๆโอเอ๋อเลยเห็นมั้ยใช่ป่ะคคๆการที่เรา
00:12:51 → 00:12:53 พูดกับตัวเองข้างในอ่ะสิ่งนั้นคือความคิด
00:12:53 → 00:12:56 นั่นเองออค่ะๆเพราะฉะนั้นเวลาที่เราฟัง
00:12:57 → 00:13:00 ใครอ่ะพี่อ้อยอืแล้วเราก็บอกว่าเห็นด้วย
00:13:00 → 00:13:03 ไม่เห็นด้วยแล้วนึกถึงอะไรอะไแล้วแล้วเรา
00:13:03 → 00:13:07 มีความคิดข้างในไอ้การที่ฝึกเรื่องการฟัง
00:13:07 → 00:13:09 เนี่ยเมีหลักสูตรเรื่อง Deep Listening
00:13:09 → 00:13:12 ใช่มการฟังอย่างลึกซึ้งอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:13:12 → 00:13:15 บอกเลยว่าเอาข้าริงริงไม่ง่ายเลยนะอือๆ
00:13:15 → 00:13:19 ที่เราจะฟังแบบฟังพี่อ้อยยังอ่อนแออยู่
00:13:19 → 00:13:23 เลยพี่วีเอออือยังฝึกสิ่งนี้อยู่เลยฟัง
00:13:23 → 00:13:26 แล้วเมีคำพูดอันนึงเนี่ยเบอกว่าฟังให้เรา
00:13:26 → 00:13:30 เป็นเหมือนเหมือนเครื่องอัดบันทึกเสียง
00:13:30 → 00:13:34 เหรอคะเอออันนี้คือดีเหรอคะใช่ก็คือฟัง
00:13:34 → 00:13:36 เค้าพูดอะไรมาก็บันทึกเอาไว้บันทึกไว้
00:13:36 → 00:13:38 บันทึกไว้โดยที่ไม่ต้องมีความคิดก็คือ
00:13:38 → 00:13:41 เครื่องบันทึกเสี่ยงนี่แหละอ๋ออย่างเงี้ย
00:13:41 → 00:13:43 แล้วเดี๋ยวแต่ว่าในที่สุดมันก็ต้องมีความ
00:13:43 → 00:13:45 คิดอยู่ในระดับนึงเพียงแต่ว่าพอเราฝึก
00:13:45 → 00:13:49 บ่อยๆปุ๊บเนี่ยเราจะไม่เอาความคิดเอา
00:13:49 → 00:13:54 ประสบการณ์เราเข้าไปผสมใช่แล้วฟังเพื่อจะ
00:13:54 → 00:13:58 บันทึกแล้วก็ฟังว่าเาพูดอะไรค่ะอะไรอย่าง
00:13:58 → 00:14:01 เงี้ยอเพื่อจะได้เข้าใจเอือๆอันเนี้ยอัน
00:14:01 → 00:14:04 นี้มันเป็นทฤษฎีนะแต่ว่าคุณผู้ฟังครับ
00:14:04 → 00:14:07 ต้องฝึกมากเลยฝึกมากเลยเพราะว่าจริงๆแล้ว
00:14:07 → 00:14:11 กระบวนการของสมองอ่ะมันจะทำหน้าที่
00:14:11 → 00:14:14 อัตโนมัติไงไม่ว่าจะแบบอ่าอะไรนะเหมารวม
00:14:14 → 00:14:18 ตัดออกอือแล้วก็อะไรอ่ะมีอีกประเด็นนึง
00:14:18 → 00:14:21 อ่ะค่ะเป็น 3 3 เรื่องอ่ะที่สมองมันจะทำ
00:14:21 → 00:14:24 งานอ่ะอือแล้วมันก็เลยจะทำให้ความคิด
00:14:24 → 00:14:28 เนี่ยมันจะแทรกแซๆแซแซกตลอดเวลาแล้วก็ทำ
00:14:28 → 00:14:31 ให้เราแบบว่าอันที่เวลาฝึกนะเรื่องเนี้ย
00:14:31 → 00:14:34 ง่ายสุดก็คือว่าถ้าสงสัยอย่างน้อยสุดก็
00:14:34 → 00:14:37 อย่าเพิ่งถามอือเพราะการถามมันเพูดให้จบ
00:14:37 → 00:14:41 ก่อนให้เพูดสงสัยก็เหมือนกับว่าสงสัย
00:14:41 → 00:14:43 เนี่ยไม่ใช่ว่าเก็บเอาไว้แล้วไปถามตอน
00:14:43 → 00:14:47 ท้ายด้วยนะอือันนั้นก็ยังอยู่นะค่ะวิธี
00:14:47 → 00:14:50 ที่เหมือนครูครูบางคนสอนวิชาบางวิชาเนี่ย
00:14:50 → 00:14:55 ครูก็จะพูดว่าถ้าสงสัยอะไรให้จดไว้ก่อนออ
00:14:55 → 00:14:57 ถ้าจดไว้มันจะอยู่ในกระดาษใช่มั้ยพี่อ้อย
00:14:57 → 00:15:00 ค่ะแต่ถ้าไม่จดน่ะ่ะอ่าถ้าเกิดสงสัยอะไร
00:15:00 → 00:15:02 เธอสงสัยอะไรเธอจำไว้ก่อนนะแล้วเดี๋ยวครู
00:15:02 → 00:15:05 ค่อยมาถามเนี่ยนับจากวินาทีนั้นถ้าเกิด
00:15:05 → 00:15:08 ว่ากลัวจะลืมนะก็จะโฟกัสกับสิ่งนั้นครู
00:15:08 → 00:15:11 พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องแล้วออใช่มั้ยเออ
00:15:11 → 00:15:14 อันเนี้ยเห็นพี่เห็นมว่ามันต่างกันถ้าครู
00:15:14 → 00:15:17 คนนึงสอนอะไรบางอย่างแล้วบอกเด็กว่าถ้า
00:15:17 → 00:15:20 สงสัยเดี๋ยวเคอถามตอนท้ายก็ไปถามตอนท้าย
00:15:20 → 00:15:24 นะกลับเอาใหม่ถ้าเธอสงสัยเธอจดคำถามไว้
00:15:24 → 00:15:27 ก่อนอออเยี่ยมเลยค่ะพี่ไว่าต่างกันมั้ย
00:15:27 → 00:15:30 ต่างมากเลยเข้าใจแล้ว
00:15:30 → 00:15:34 เอออันนี้เป็นวิธีการฝึกการฟังเลยนะอ๋อ
00:15:34 → 00:15:38 เพราะถ้าเราถามแล้วเดี๋ยวตอนจบเพูดจบแล้ว
00:15:38 → 00:15:40 เราจะถามเนี่ยอือแล้วเราในความเป็นจริง
00:15:41 → 00:15:45 เราจะกลัวลืมคำถามอืเราก็เลยโฟกัสจสิ่ง
00:15:45 → 00:15:47 นั้นหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ฟังเค้าละเออ
00:15:47 → 00:15:52 ใช่เละเลยตอนเนี้ยเออค่ะแต่ถ้าเกิดฟังไม่
00:15:52 → 00:15:57 เข้าใจจดไว้ก่อนอือฮึรีบจดเลยนะจึกๆๆๆ
00:15:57 → 00:16:00 แล้วฟังต่อโอเคอันเนี้ยช่วยได้มั้ยพี่
00:16:00 → 00:16:04 อ้อยได้จะช่วยมากเลยใช่มั้ยค่ะๆหรือแม้
00:16:04 → 00:16:06 กระทั่งจะแย้งอ่ะมีความคิดอะไรมาจดๆไว้
00:16:06 → 00:16:10 ก่อนอือๆจดๆแล้วก็ฟังต่อฟังต่อฟังต่อแล้ว
00:16:10 → 00:16:14 สุดยอดของการฟังเนี่ยกลายเป็นว่าไอ้ไผม
00:16:15 → 00:16:17 คิดว่าเนี่ยมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ
00:16:17 → 00:16:20 ความคิดที่มันดังอ่ะดังกว่าคำพูดของเา
00:16:20 → 00:16:22 เนี่ยอค่ะนะแต่ก็บอกว่ามันจะทำให้เกิด
00:16:22 → 00:16:25 ปัญหาใช่มั้ยฮะแต่สุดยอดที่จะไม่เกิด
00:16:25 → 00:16:29 ปัญหาเหล่านี้ก็คืออะไรก็คือเราจะต้องฟัง
00:16:29 → 00:16:32 ฟังเพื่อได้ยินสิ่งที่เไม่ได้พูดเนี่ย
00:16:32 → 00:16:35 เพราะว่าตอนแรกคำถามเนี้ยโผล่ขึ้นมาตอน
00:16:35 → 00:16:39 ที่พี่วีพูดคำว่าเออให้เราฟังเหมือน
00:16:39 → 00:16:43 เครื่องอัดเสียงอ่าเครื่องบันทึกเสียงออ
00:16:43 → 00:16:46 ถ้าถ้าเราเป็นเครื่องบันทึกเสียงเราก็จะ
00:16:46 → 00:16:49 ไม่ได้ยินสิ่งที่เพราะเครื่องประทศเสียง
00:16:49 → 00:16:51 ไม่เห็นอืเราก็จะไม่ได้เห็นสิ่งที่เา้า
00:16:51 → 00:16:55 ไม่ไม่ได้พูดเออเออนี่ไงนั่นแหละการได้
00:16:55 → 00:16:58 ยินสิ่งที่เขาไม่ได้พูดเนี่ยจะว่าไปมันก็
00:16:58 → 00:17:02 ก็ก้ำกึ่งนะระหว่างการตัดสินนะอ๋อเค้าไม่
00:17:03 → 00:17:05 ได้พูดแต่เราบอกว่าเราได้ยินสิ่งนี้เไม่
00:17:05 → 00:17:07 ได้พูดเอาข้าจริงๆคือเราไปตัดสินรป่ะเออ
00:17:07 → 00:17:11 ใช่ใช่มั้ใช่มันเกือบๆเลยเพียงแต่ว่าออ
00:17:11 → 00:17:14 มันทำตอนไหนแล้วสิ่งนั้นมีผลหรือไม่ยกตัว
00:17:14 → 00:17:17 อย่างเช่นนะคุณผู้ฟังครับสมมุติว่านะตอน
00:17:17 → 00:17:20 นี้ผมจะเอ่อจะเรียกว่าพูดก็ไม่ได้นะแต่ผม
00:17:20 → 00:17:21 จะแบบ
00:17:21 → 00:17:28 ว่าอือผมไอค่ะผมก็พูดคำสอย่างเงี้ยใช่ป่ะ
00:17:29 → 00:17:31 นี่คือสิ่งอันนี้คือสิ่งที่เทปบันทึก
00:17:31 → 00:17:34 เสียงนี่บันทึกไว้แล้วนะเนี่ยใช่ป่ะก็
00:17:34 → 00:17:37 บันทึกก็ถ้าไปจดว่าเขียนว่านี่เมื่อกี้
00:17:37 → 00:17:39 กี้อาจารย์ไอ 2-3 ทีอะไรเงี้ยคอันนี้คือ
00:17:39 → 00:17:42 สิ่งที่พูดค่ะแต่สิ่งที่ไม่ได้พูดเี่คือ
00:17:42 → 00:17:45 อะไรสิ่งที่ไม่ได้พูดเออแล้วพี่อ้อยเข้า
00:17:45 → 00:17:50 ใจว่าผมไอเนี่ยเห็นพ่อก็คือถ้ากิริยาปิด
00:17:50 → 00:17:53 แล้วก็เสียงที่ออกมาเป็นเสียงไอสิ่งที่ผม
00:17:53 → 00:17:56 ไม่ได้พูดนะแต่ว่าผมสื่อสารเมื่อกี้คือผม
00:17:56 → 00:18:00 เจ็บคออ่าๆกำลังจะบอกว่าเอาจจะไม่สบายเออ
00:18:00 → 00:18:03 อย่างเงี้ยเห็นป่ะอันนี้ก็คือมันก็คือการ
00:18:03 → 00:18:07 ตีความหรือเปล่าก็ก็ตีความแต่ว่าเออน่าสน
00:18:07 → 00:18:11 ใจนะเมื่อกี้นี้พบอกว่าพอไอ 2-3 ทีปุ๊บ
00:18:11 → 00:18:15 อ่ะแน่นอนเลยเจ็บคอหรือคอแหคอแห้งเออแต่
00:18:15 → 00:18:18 พี่ออยพูดเขว่าหรืออาจจะไม่สบายอือถามว่า
00:18:18 → 00:18:21 อันนี้คือได้ยินสิ่งที่เขาไม่ได้พูดหรือ
00:18:21 → 00:18:26 การตีความตีความที่พี่วีบอกกึ่งตัดสิน
00:18:26 → 00:18:29 เกือบจะตัดสินอันนี้ตัดสินไปแล้วด้ว
00:18:29 → 00:18:32 ไม่สบายสมมติเพราะริงงก็ไม่ได้ไม่สบาย
00:18:32 → 00:18:34 หรอกก็แค่คอแห้งนิดหน่อยเออใช่อย่างเงี้ย
00:18:34 → 00:18:37 ก็เห็นมว่าโอ้โหแต่ว่าคุณผู้ฟังครับตอน
00:18:37 → 00:18:40 นี้เนี่ยเราอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่อาจจะ
00:18:40 → 00:18:43 ค่อนข้างจะบอกว่าลึกก็ได้นะอืละเยดอ่อนก็
00:18:43 → 00:18:47 ได้นะค่ะแต่ประเด็นสำคัญหลักๆเลยที่เข้า
00:18:47 → 00:18:50 ใจง่ายกว่านั้นเลยก็คือว่าอือชื่อตอน
00:18:50 → 00:18:54 เนี่ยแต่ผมคิดว่าเนี่ยอือมันเป็นจุดเริ่ม
00:18:54 → 00:18:58 ต้นของของความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเอของพวผู้
00:18:59 → 00:19:02 คนในระดับแบบส่วนตัวก่อนอือแล้วก็ลามไปจน
00:19:02 → 00:19:05 ถึงในระดับองค์กรเลยอือแล้วก็ทำให้เกิด
00:19:05 → 00:19:10 ความขุ่นมัวอือเกิดความขัดแย้งอือลุกลาม
00:19:10 → 00:19:13 ไปได้เลยอือมาจากอันนี้เลยอือมาจากสิ่ง
00:19:13 → 00:19:18 นี้เลยแต่ผมคิดว่าเนี่ยค่ะคือถ้าถ้าไป
00:19:18 → 00:19:21 เรียนเรื่องการสื่อสารเขาก็จะให้เปลี่ยน
00:19:21 → 00:19:25 ไปแต่เนี่ยแหละอืตัวดีเาบอกว่าแต่เี่ให้
00:19:25 → 00:19:29 เปลี่ยนเป็นและอ้าเออๆๆนี่ไงอันนี้เป็น
00:19:29 → 00:19:31 เทคนิคเป็นเทคนิคใช่มั้ยค่ะเออถ้าพูดถึง
00:19:32 → 00:19:35 คำว่าแล้วผมคิดว่าเนี่ยมันก็นุ่มนุ่มขึ้น
00:19:35 → 00:19:39 นะนุ่มขึ้นแต่ว่าจริงๆความคิดที่ที่แบบ
00:19:39 → 00:19:42 ไม่ไม่ตรงกันหรือว่าความเห็นต่างเนี่ยมัน
00:19:42 → 00:19:46 ยังอยู่ในหัวไงพี่วีออ่าใช่ดูนุ่มขึ้นอ่า
00:19:46 → 00:19:50 แต่ว่ามันยังประมาณนึงใ่แล้วก็ไอ้คำว่า
00:19:50 → 00:19:54 แต่ผมคิดว่าเนี่ยมันอยู่ตรงไหนด้วยมัน
00:19:54 → 00:19:58 อยู่ตรงไหนของของบทสนทนาด้วยอือเปิดฉากู้
00:19:58 → 00:20:01 อะไรแต่ผมคิดว่าอะไรเนี่ยคือยังไม่ได้พี่
00:20:01 → 00:20:05 คุณยังไม่ได้ฟังเคเลยอ้าปากอ้าปากปุ๊บแต
00:20:05 → 00:20:09 แล้วเลยอย่างเงี้ยเออๆออมันขึ้นอยู่กอยู่
00:20:09 → 00:20:13 ตรงไหนคือคือจริงๆขึ้นอยู่กับอยู่ตรงไหน
00:20:13 → 00:20:17 สำคัญแค่ไหนถ้าอย่างที่พี่หวี่บอกอ่ะอือ
00:20:17 → 00:20:20 เหมือนเหมือนที่ให้ไปถามตอนจบอ่ะอือมันก็
00:20:21 → 00:20:24 จะคาไงแล้วไม่ได้ยินไงเพราะฉะนั้นถ้ามี
00:20:24 → 00:20:28 แต่ผมคิดว่าตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังไม่ได้พูด
00:20:28 → 00:20:32 มันก็ยังไม่ได้ยินเขาอยู่ดีป่ะคะเอ่อถ้า
00:20:32 → 00:20:36 มันมีแล้วเราจดไว้แล้วเราก็ฟังเค้าต่อ
00:20:36 → 00:20:39 เนี่ยอโอเคอยู่สิ่งที่เพูดต่อจากนั้นมัน
00:20:39 → 00:20:43 อาจจะอธิบายแล้วทำให้เราเข้าใจอือแล้วไม่
00:20:43 → 00:20:46 แต่เลยไอ้แต่ผมคิดว่ามันก็เลยหายไปเลย
00:20:46 → 00:20:48 เพราะว่ามันเคลียร์แล้วหายไปโอเคงั้น
00:20:48 → 00:20:51 เพราะงั้นจดจจใช่มั้ยก็คือมันมันเป็นไป
00:20:51 → 00:20:54 ได้แต่ถึงแม้ว่าฟังจะจบแล้วก็ยังไม่แล้ว
00:20:54 → 00:20:58 อยู่ดีก็เอโอเคอืแต่ว่ามันเกิดขึ้นหล่ะ
00:20:58 → 00:21:01 หลังจากที่เราฟังเจนจบแล้วอืถ้าเกิดเ
00:21:01 → 00:21:06 อธิบายจนจบแล้วก็ก็อ้อเคลียร์ละไอ้แต่
00:21:06 → 00:21:08 เมื่อกี้นี้โดนเคลียร์ไปเรียบร้อยมันเป็น
00:21:08 → 00:21:11 เคยมั้ยพี่อ้อยที่เราปึ๊บเราเราเจออะไร
00:21:11 → 00:21:13 บางอย่างแล้วเราตั้งใจถามอะไรบางอย่างแต่
00:21:13 → 00:21:17 พๆออโอเคเสิ่งที่เขาพูดนั้นน่ะตอบคำถาม
00:21:17 → 00:21:20 เราเมื่อกี้ไปแล้วใช่ก็เลยไม่ต้องถามแล้ว
00:21:20 → 00:21:23 เราก็เลยไม่ต้องถามค่ะแต่ถ้าเราถามเลยทัน
00:21:23 → 00:21:27 ทีตอนนั้นอือเขาก็บอกผมกำลังจะอธิบายต่อ
00:21:27 → 00:21:28 ไปนี่แหละ
00:21:29 → 00:21:32 อใช่ป่ะงั้นสรุปที่พี่วีพูดเนี่ยพี่อ้อย
00:21:32 → 00:21:37 เห็นเป็นว่าถ้าเราอ่ะสนทนาอืสื่อสารกับ
00:21:37 → 00:21:42 ใครเนี่ยอือให้เราฟังอ่าเค้าพูดก่อนฮะตรง
00:21:42 → 00:21:46 ไหนที่มันเกิดปิ๊งขึ้นมาไหนหัวเนี่ยจดไป
00:21:46 → 00:21:49 ก่อนจดไปก่อนเอแล้วก็ฟังเ้าพูดต่ออืจนจบ
00:21:49 → 00:21:54 อ่าแล้วเราคิดว่าเรายังคงจะถามคำถามนั้น
00:21:54 → 00:21:58 เรายังไม่เข้าใจหรือเปล่าใช่ก็แค่อย่าง
00:21:58 → 00:22:02 น้อยก็คือฟังให้จบใช่โอเคโอหคำนี้ดีมาก
00:22:02 → 00:22:05 เลยครับคุณผู้ฟังครับพี่อ้อยอย่างน้อยฟัง
00:22:05 → 00:22:07 ให้จบค่ะอย่าเพิ่งรีบ
00:22:07 → 00:22:11 คิดใช่ป่ะค่ะอย่างน้อยฟังให้จบอือเพราะ
00:22:11 → 00:22:14 ฉะนั้นเนี่ยทั้งหลายทั้งมวลเนี่ยก็คือถ้า
00:22:14 → 00:22:17 เราจะเห็นเลยว่าความสับสนโรมานวุ่นวายใน
00:22:17 → 00:22:20 เรื่องของสังคมเศรษฐกิจและการเมืองเนี่ย
00:22:20 → 00:22:24 ค่ะมันมาจากตรงนี้ทั้งนั้นเลยเดี๋ยวนี้
00:22:24 → 00:22:28 น่ากลัวหนักตรงที่ว่าอโซเชียลอ่ะอืตตัดมา
00:22:29 → 00:22:33 เฉพาะอ้าโอ้โหนี่อีกใช่มั้ยฮะตัดตอนมา
00:22:33 → 00:22:37 แล้วเราก็ไปตีความแล้วก็ไปตัดสินใหญ่อใช่
00:22:37 → 00:22:40 มั้ยฮะแล้วก็ไปเรื่อยเลยโดนโดนแต่ตอนมา
00:22:40 → 00:22:44 อย่างเงี้ยอเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเราเข้าใจ
00:22:44 → 00:22:46 เรื่องนี้แล้วเราก็ลดสิ่งนี้เนี่ยผมเชื่อ
00:22:46 → 00:22:50 ว่าจะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเนี่ยก็
00:22:50 → 00:22:53 จะมีความสุขมากขึ้นนะฮะแล้วก็จะมีความ
00:22:53 → 00:22:56 ทุกข์น้อยลงอย่างน้อยก็จะไม่ขุ่นมัวกับ
00:22:56 → 00:22:59 เรื่องราวต่างๆที่มันโหดผมกระพือกันแบบ
00:22:59 → 00:23:01 บางทีมันเป็นเค้าเรียกอะไรนะสะเก็ดไฟเล็ก
00:23:01 → 00:23:06 ๆอเราไม่รู้ตัวเราก็ไปเติมเติมจนกระทั่ง
00:23:06 → 00:23:09 กลายเป็นไฟมันลุกลามใหญ่โตนะครับก็กลาย
00:23:09 → 00:23:12 เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นค่ะเพราะฉะนั้นถึงแม้
00:23:12 → 00:23:16 ว่าเอ่อผมกับพี่อ้อยเนี่ยแบ่งปันเรื่อง
00:23:16 → 00:23:19 ราวต่างๆเหล่านี้เนี่ยในทุกตอนนะครับพอ
00:23:19 → 00:23:22 ฟังจบแล้วถ้าคุณผู้ฟังบอกว่าแต่ผมคิดว่า
00:23:22 → 00:23:25 เนี่ยนะฟังจบแล้วเนี่ยแจ้งให้เราทราบด้วย
00:23:26 → 00:23:30 อยากรู้ค่ะเราอยากรู้ใช่ค่ะนั้นั้นก็ถ้า
00:23:30 → 00:23:33 อย่างงั้นน่ะมีประโยชน์ใช่ๆนะครับแต่ว่า
00:23:33 → 00:23:37 วันนี้ผมพี่วีนะครับและพี่อ้อยก็ต้องลาไป
00:23:37 → 00:23:40 ก่อนครับสวัสดีครับสวัสดี
00:23:40 → 00:23:44 ค่ะติดตามรายการทางเว็บไซต์และแอปพลิเค
00:23:44 → 00:23:47 ของ Thai PBS podcast spotify
00:23:47 → 00:23:50 soundcloud Google podcast Apple
00:23:50 → 00:23:53 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:23:53 → 00:23:57 podcast Thai PBS podcast View the
00:23:57 → 00:24:00 world via The Voice vo
00:24:00 → 00:24:03 [เพลง]