00:00:05 → 00:00:08 มีงานวิจัยหรือว่าการทดลองอะไรที่น่าสนใจ
00:00:08 → 00:00:11 เกี่ยวกับคลื่นเสียงบำบัดบ้างมคะมี study
00:00:11 → 00:00:14 ที่กำลังทำอยู่ก็คือเอามาใช้เป็นค่าเซลล์
00:00:14 → 00:00:18 แคนเซอร์อะไรอย่างเงี้ยแล้วมันมีมยคะว่า
00:00:18 → 00:00:20 ความถี่เท่า
00:00:20 → 00:00:23 นี้โน้ต
00:00:23 → 00:00:28 นี้กับจักกะ
00:00:28 → 00:00:33 หนีเพื่อฟืฟูเรื่องนี้มนัสสรียุคสิรินัก
00:00:34 → 00:00:36 เื่นเสียงบำบัดที่ใช้สาตของการอาบเครื่อง
00:00:36 → 00:00:39 เสียงมาบำบัดร่างกายและจิตใจให้ผ่อคลาย
00:00:39 → 00:00:43 คล้ายทำสมาธิเสียงเพลงของยุคเนี้ยมันใช้
00:00:43 → 00:00:47 เฮิ 440 ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นเฮิที่แบบ
00:00:47 → 00:00:50 ไม่ดีมากๆเลย unhealthy ใช่เขบอกมันที่
00:00:50 → 00:00:53 คุณแจนเคยเจอมามานั่งทำซาบาด้วยกันเนี่ย
00:00:53 → 00:00:59 มีแบบไหนบ้างคะมือสั่นตัวกระตุกร้องไห้ไป
00:00:59 → 00:01:02 ไกลกว่านั้นก็คือระลึกนู่นนี่นั่นมีคนที่
00:01:02 → 00:01:04 เห็นว่าตัวเองเป็น
00:01:04 → 00:01:08 นาคมีเห็นตัวเองเป็น
00:01:08 → 00:01:10 เงือกแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านางไม่ได้
00:01:10 → 00:01:13 อุปทานกลับไปมองเห็นแล้วมันทุกคนไหมอ่ะ
00:01:13 → 00:01:17 ที่มันปลดล็อคได้
00:01:17 → 00:01:24 [เพลง]
00:01:24 → 00:01:27 ห on the way with ชม EP นี้ค่ะเป็น
00:01:27 → 00:01:30 เรื่องของ Sound Bath ค่ะหรือว่าการนอน
00:01:30 → 00:01:33 อาบเสียงนะคะว่าเอ้ยนอนอาบเสียงแล้วเนี่ย
00:01:33 → 00:01:36 มันได้อะไรกลับไปบ้างนะคะส่วนตัวชมก็ยัง
00:01:36 → 00:01:38 ไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงนะคะแต่ว่าก็เคย
00:01:38 → 00:01:40 ได้ยินมาบ้างนะคะว่าจะช่วยในเรื่องของการ
00:01:40 → 00:01:43 นอนหลับให้สบายนะคะผ่อนคลายช่วยฟื้นฟู
00:01:43 → 00:01:47 สภาพจิตใจนะคะในบางรายที่ดีไปกว่านั้น
00:01:47 → 00:01:50 เนี่ยก็สามารถช่วยกันปลดล็อคปมบางอย่าง
00:01:50 → 00:01:52 ภายในจิตใจนะคะช่วยบรรเทาจากอาการซึม
00:01:52 → 00:01:55 เศร้ากังวลต่างๆได้นะคะวันนี้ค่ะก็จะมา
00:01:56 → 00:01:58 คุยกับคุณแจนนะคะเป็นนักคลื่นเสียงบำบัด
00:01:58 → 00:02:01 นะคะก็จะมาพูดคุยกันถึงเรื่อง Sound Bad
00:02:01 → 00:02:03 นะคะให้เราเนี่ยเอ่อรู้จักแล้วก็มีความ
00:02:03 → 00:02:06 เข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นค่ะวันนี้คุยกับ
00:02:06 → 00:02:09 คุณแจนเมื่อกี้เปิดมาอ้าสรุปเคยเจอกันใช่
00:02:09 → 00:02:12 ค่ะเป็นยังไงมายังไงทำไมถึงได้มาสนใจ
00:02:13 → 00:02:15 เรื่องศาสตร์ของเสียงค่ะแล้วก็ตอนนี้ก็
00:02:15 → 00:02:17 คือเรียกได้ว่าเป็นนักคลื่นเสียงบำบัดเนา
00:02:17 → 00:02:20 ใช่ค่ะตอนแรกๆก็คือก็ประมาณ 10 ปีที่แล้ว
00:02:20 → 00:02:24 พี่ชมพู่น่าจำได้ว่าอยู่ดีๆทุกคนก็ใส่หิน
00:02:24 → 00:02:26 เออใช่ที่แบบว่าเหมือนมี Business ที่แบบ
00:02:26 → 00:02:28 ว่าทำขายหินขายส้อยอะไรอย่างเงี้ยกันเป็น
00:02:29 → 00:02:31 ร่างเป็นสันมากใช่ๆก็คือจันไปแบบร้านนนี
00:02:31 → 00:02:34 ที่มาดาม Stone แล้วจันก็ใช้ไปเรื่อยๆ
00:02:34 → 00:02:36 แล้วก็รู้สึกว่าอยากจะแบบเข้าใจว่าเวลา
00:02:36 → 00:02:38 เขาบอกว่าเ้ยใส่แล้วมีความรักเข้ามาใส่
00:02:38 → 00:02:40 แล้วแบบเงินเข้ามาทำไมึงความรักต้องอะไร
00:02:40 → 00:02:44 นะโรสคอสีชมพูใช่ตอนนั้นก็เลยแบบสนใจว่า
00:02:44 → 00:02:47 จะอยากเรียนคริสตัลีิแล้วนีก็บอกว่าเออ
00:02:47 → 00:02:51 เนี่ยไปเรียนกับคนนี้สิเขาสอนซันก็ติดต่อ
00:02:51 → 00:02:54 คนนี้ไปเขาก็บอกว่าเออเขาไม่สอนิสอย่าง
00:02:54 → 00:02:55 เดียวต้องเรียนเลกิก่อนอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:02:55 → 00:02:58 ก็เลยเลกิคืออะไรคะยิ่งเข้าไปใหญ่เลยนะคะ
00:02:58 → 00:03:01 ตอนแรกจันก็ไม่เข้าเข้าใจตอนแรกันก็แบบไป
00:03:01 → 00:03:03 กดเสิรชว่า lei คืออะไรบอกว่า noninvasive
00:03:03 → 00:03:06 healing modality เวลาเราไปเรียนเนี่ย
00:03:06 → 00:03:08 ก็คือคำว่าเปิดมือเปิดเท้ามันก็จะมองแบบ
00:03:08 → 00:03:11 spiritual S เนาะมาเป็นแบบ Alternative
00:03:11 → 00:03:13 เหมือนกับเปิดมือให้เราเป็นตัว Channel
00:03:13 → 00:03:18 Energy ผ่านตัวเราไปหาคนที่เขามาทำแล้ว
00:03:18 → 00:03:20 เราส่งพลังไปให้เขาเพราะว่าไปเปิดพลังจาก
00:03:20 → 00:03:22 เลกิปุ๊บมันจะเป็นพลังที่เขาบอกว่า
00:03:22 → 00:03:24 เคลียร์ที่สุด From The highest of
00:03:24 → 00:03:26 Good เขาเรียกประมาณนี้แล้วมันก็คือเข้า
00:03:26 → 00:03:28 ไปมันมันฟังดู Abstract มากเลยปใช่แต่ว่า
00:03:29 → 00:03:31 มันมันจะม EP นี้ฉันจะเข้าถึงใช่มั้ยเข้า
00:03:31 → 00:03:35 ถึงถึงถึงถ้าไม่ถึงก็เดี๋ยวมาลองทำโอเค
00:03:35 → 00:03:37 ใช่แล้วเสร็จแล้วพอตอนพอทำตอนเลกแๆก็
00:03:37 → 00:03:39 อย่างเงี้ยค่ะอธิบายให้คนฟังแล้วทุกคนก็
00:03:39 → 00:03:42 แบบอะไรอ่ะอะไรอย่างเงี้ยจันก็เลยพอทำมา
00:03:42 → 00:03:44 สักพักนึงจันก็รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรที่
00:03:44 → 00:03:47 เข้าถึงคนง่ายตอนนั้นก็เลยเห็นว่ามี Sound
00:03:47 → 00:03:49 healing อันนี้แบบประมาณ 6 ปีแล้ว Sound
00:03:49 → 00:03:52 healing แต่ว่าเลกิทำมา 10 ค่ะขอย้อนถาม
00:03:52 → 00:03:55 ไปแล้วตอนที่เราใส่หินน่ะเรารู้สึกอะไรมา
00:03:55 → 00:03:57 ความจริงแล้วจก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะรู้สึก
00:03:57 → 00:04:00 อะไรเลยแต่ว่าเรารู้สึกว่าเราเข้าใจว่า
00:04:00 → 00:04:02 ทำไมถึงต้องใส่เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าใส่
00:04:02 → 00:04:04 อ่ะมันไม่ได้หมายความว่าความรักจะเข้ามา
00:04:04 → 00:04:07 เลยหรอกแต่ว่าหินมันมี vibration ของมัน
00:04:07 → 00:04:09 มีความสั่นสะเทือนของมันที่สูงกว่าตัวเรา
00:04:09 → 00:04:13 เพราะฉะนั้นทำยังไงให้ตัวเราจะ vibrate
00:04:13 → 00:04:15 ได้สูงเท่าเอะไรเงี้ยค่ะก็คือการที่ต้อง
00:04:15 → 00:04:17 แบบเคลียร์ตัวเองจากสิ่งที่ไม่ดีออกสิ่ง
00:04:18 → 00:04:20 ที่แบบที่มัน vibrate ต่ำที่มันเป็น Bad
00:04:20 → 00:04:22 Energy อะไรอย่างเงี้ใช่ที่คนเเรียกว่า
00:04:22 → 00:04:25 bad Energy อย่างงั้นเลยแหละก็หมายความ
00:04:25 → 00:04:30 ว่าใส่หินไปแต่ก็คือยังแบบยังอยู่ในไบที่
00:04:30 → 00:04:33 ไม่ดียังแบบว่ามันก็ตอนนั้นมันก็รู้สึก
00:04:33 → 00:04:35 ว่าชีวิตดีขึ้นแต่ว่าตอนนั้นเราก็เหมือน
00:04:35 → 00:04:37 กับเหมือนกับศึกษามันพอได้หินมาใหม่ก็ไป
00:04:37 → 00:04:40 อ่านดูแล้วว่าหินอันนี้มันควรจะช่วยอะไร
00:04:40 → 00:04:42 อะไรอย่างเงี้ยค่ะก็เลยแบบอยากเข้าใจว่า
00:04:42 → 00:04:45 มันใช้ยังไงมันก็เลยเริ่มศึกษาตรงนั้น
00:04:45 → 00:04:47 อะไรอย่างเงี้ยอือ
00:04:47 → 00:04:51 เรกิเคยได้ยินบ้างมั้ยไม่เคยตอนแรกๆก็ไม่
00:04:51 → 00:04:53 เคยได้ยินไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ยินใช่ใช่
00:04:53 → 00:04:57 เออมันเหมือนหนังจีนกำลังภายในมนิดนึงแต่
00:04:57 → 00:05:00 ว่าเราไม่ต้องแบบแรง
00:05:00 → 00:05:02 ใช่คือมันนอนแล้วันก็จะเอามือวางบนจักระ
00:05:02 → 00:05:05 เลยถ้าทำโยคะก็จะเข้าใจว่าจักระคืออะไร
00:05:05 → 00:05:08 เนาะจักกะมันก็เป็นจรเล่นเล่นโยคะค่ะแต่
00:05:08 → 00:05:09 ไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปต์ของจักระเท่าไหร่
00:05:09 → 00:05:12 ค่ะอธิบายได้มจักมันคือพลังจักกะมันคือ
00:05:12 → 00:05:15 จุดของตัวเราที่เป็นเป็น Center ของ
00:05:15 → 00:05:17 เอเนอจีอ่ะค่ะแล้วเขาก็บอกว่าเออประกอบไป
00:05:18 → 00:05:20 ด้วยตรงไหนบ้างคะมันจะมี 7 ที่ที่ทุกคนจะ
00:05:20 → 00:05:22 เข้าใจก็คือจักกาที่ 1 ก็คือตรงแถวๆแบบ
00:05:23 → 00:05:26 แบบเบสเราข้างหลังต่ำกว่าช่องท้องเงี้ย
00:05:26 → 00:05:29 ค่ะแล้วอันที่ 2 ก็ตรงสะดืออันที่ 3 ก็ก็
00:05:29 → 00:05:32 ตรงใต้หน้าอกอันที่ 4 ตรงที่เราชอบจุกๆ
00:05:32 → 00:05:35 อย่างเงี้ยเหรอแล้วก็สะดือแล้วก็ยังไงแบบ
00:05:35 → 00:05:37 low Back อย่างเงี้ยเหรอใช่ใช่ประมาณ
00:05:37 → 00:05:40 นั้นเลยอันนั้นก็แล้วก็อันที่ 4 ก็หัวใจ
00:05:40 → 00:05:44 อือฮึอันที่ 5 owat อันที่ 6 เด Eye
00:05:44 → 00:05:47 แล้วก็อันที่ 7 ก็คือาแล้วความจริงมันมี
00:05:47 → 00:05:50 อันนึงข้างใต้อีกข้างใต้พื้นแล้วก็อันที่
00:05:50 → 00:05:52 อยู่ข้างบนอีกซึ่งตรงนั้นน่ะไม่ต้องไปพูด
00:05:52 → 00:05:54 ถึงเพราะว่าเขาบอกว่าความจริงมนุษย์เรา
00:05:54 → 00:05:57 มันอยู่แค่จักกะเนี่ยถึงตรงคอเนี่ยเราถึง
00:05:57 → 00:05:59 บอกว่าบางทีเราพูดอะไรไม่ออกเราก็รู้สึก
00:05:59 → 00:06:02 รู้สึกว่าจุกอกใช่เราเวลาเรารู้สึกว่าแบบ
00:06:02 → 00:06:04 จะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นแล้วแน่ๆเลยเราจะรู้
00:06:04 → 00:06:07 สึกไปหมดเลยอ่ะตรงเนี้ยถูกป่ะคะมันก็มัน
00:06:07 → 00:06:09 ก็คือจักกะเรามันเริ่มมันจะมาบอกเราเป็น
00:06:09 → 00:06:13 intuition ของตัวเราละว่าว่าเราต้องรู้
00:06:13 → 00:06:15 สึกยังไงหรือเป็นอะไรอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:06:15 → 00:06:17 จากเรกิทีนี้ก็เลยมาศึกษาเรื่อง Sound
00:06:17 → 00:06:22 Bath ใช่คือมันหลักการมันคือยังไงอ่ะคะ
00:06:22 → 00:06:26 คิลด้วยพลังเสียงเสียงเวลาพูดคำว่าเสียง
00:06:26 → 00:06:28 มันจะเข้าใจยากนิดนึงอค่ะแต่ว่าความจริง
00:06:28 → 00:06:31 แล้วมันคือพลังของการ vibrate พลังของการ
00:06:32 → 00:06:34 สั่นสะเทือนอือซึ่งเขาบอกว่าทุกอย่างใน
00:06:34 → 00:06:37 โลกเป็น Energy ถูกมแล้ว Energy มันทำ
00:06:37 → 00:06:40 อะไร Energy มันก็คือโมเลกุลน่ะสั่นอือ
00:06:40 → 00:06:43 ถ้าพี่ชมพู่เห็นว่าแบบทุกบางอย่างแก้ว
00:06:43 → 00:06:45 อย่างเงี้ยมันก็มีโมเลกุลแต่มันไม่สั่น
00:06:45 → 00:06:47 เพราะว่าเรามองไม่เห็นแต่ความจริงแล้วมัน
00:06:47 → 00:06:49 สั่นเพราะงั้นเพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลก
00:06:49 → 00:06:52 เรามันมีเสียงหมดอืเราจะทำยังไงให้เสียง
00:06:52 → 00:06:56 ในตัวนั้นสมดุลอย่างเงี้ยค่ะเหมือนกับว่า
00:06:56 → 00:06:58 เสียงเป็นเครื่องมืออย่างนึงในการไป
00:06:58 → 00:07:01 vibrate ใช่ทำให้ตัวเรามันสมดุลเหมือน
00:07:01 → 00:07:04 กับว่าเวลาเราอยู่ไปชีวิตเราทุกวันแล้วพอ
00:07:04 → 00:07:06 เราทะเลาะกับใครเราอารมณ์เสียมี Bad
00:07:06 → 00:07:09 Energy ที่เขาเรียกเข้ามาปุ๊บไชของเรา
00:07:09 → 00:07:11 มันก็จะไม่สมดุลละสมมุติว่ามันเรียงอยู่
00:07:11 → 00:07:13 สวยๆก็จะมีอะไรที่มันหลุดออกมาละอยู่ไป
00:07:13 → 00:07:16 เรื่อยๆถ้าเราไม่ฮีลเลยมันก็จะเป็นมาก
00:07:16 → 00:07:18 ขึ้นเป็นมากขึ้นเป็นมากขึ้นจนกลายเป็นไม่
00:07:18 → 00:07:21 สบายเขาบอกว่าตัว physical Body ของเรา
00:07:21 → 00:07:24 อ่ะมันเป็น manifestation ของของ Emotion
00:07:25 → 00:07:26 ของเราเพราะฉะนั้นทำไงให้มัน Heal
00:07:26 → 00:07:30 Emotion ลจากการเริ่มต้นเรามาทำความเข้า
00:07:30 → 00:07:32 ใจแบบคนที่ไม่รู้จักอนะเราก็มองว่ามัน
00:07:32 → 00:07:34 เป็นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการ
00:07:34 → 00:07:37 healing แล้วมันก็เป็น Approach ของของ
00:07:37 → 00:07:41 การใช้อีพลังงานเนี่ยแหละคือเป็นเป็นเวย
00:07:41 → 00:07:44 นึงใช่แล้วถ้าเผื่อจะให้อียก็คือว่าตัว
00:07:44 → 00:07:48 เราเนี่ยเป็นน้ำ 70 Plus เเลยในในตัวของ
00:07:48 → 00:07:51 Human Body เนี่ยคะมนุษย์เราเนี่ยแล้ว
00:07:51 → 00:07:54 เสียงอ่ะมันเข้าไป vibrate ถูกป่ะคะมัน
00:07:54 → 00:07:56 เหมือนกับว่าเวลาเราโยนหินลงไปในน้ำก็จะ
00:07:56 → 00:08:00 เป็น vibration ออกมามันมี Study ของ
00:08:00 → 00:08:03 ดอกเตอร์คนนึงชื่อดรอิโมโตะคนญี่ปุ่นเข
00:08:03 → 00:08:06 เป็นู scientist นะเาไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น
00:08:06 → 00:08:08 เขชอบเรื่องนี้เนาะใช่คนญี่ปุ่นนี่ทำ
00:08:08 → 00:08:11 เรื่องนี้มานานมากแล้วใช่แต่คนเนี้ยเขา
00:08:11 → 00:08:13 study เกี่ยวกับคริสตัลของน้ำเวลาเราาไป
00:08:13 → 00:08:15 ฟรีซอ่ะค่ะถ้าเผิดเรามองเข้าไปมันจะฟรีซ
00:08:15 → 00:08:19 อาจจะเคยได้ยินเคได้ยนเคที่ด่าน้ำใช่มใช่
00:08:19 → 00:08:22 อันนั้นด่าน้ำแล้วก็ชมน้ำใช่ก็คืออันนึง
00:08:22 → 00:08:24 เขียนว่าเลอันนึงเขียนว่าเฮสแล้วอันนึง
00:08:24 → 00:08:26 เขาก็ด่าๆๆๆอแล้วก็จะมีอีกอันนึงก็คือจะ
00:08:26 → 00:08:30 ถูกเอนอไปเลยจะมี 3 อันแล้วเขก็บอกว่าทำ
00:08:30 → 00:08:32 ไปประมาณอาทิตย์นหรือ 30 วันเนี่ยค่ะไม่
00:08:32 → 00:08:35 แน่ใจอันนึงที่เฮเนี่ยมันก็จะแบบเหมือน
00:08:35 → 00:08:37 เริ่มเน่าอะไรอย่างเงี้ยแล้วอันที่แบบเล
00:08:37 → 00:08:40 นี่น้ำมันจะใสมากแต่ว่าอันที่ถูกเอนออ่ะ
00:08:40 → 00:08:43 คือเป็นอันที่เน่าแบบดำที่สุดเออแล้วมัน
00:08:43 → 00:08:47 interesting เพราะว่าเราก็มามาดูว่าเวลา
00:08:47 → 00:08:50 เราเลี้ยงเด็กอย่างเงี้ยคนที่ถูกเอนอเขา
00:08:50 → 00:08:52 จะโตขึ้นเขาก็มีปัญหาของเขาเนมีแบบถูกแบบ
00:08:52 → 00:08:54 abandonment issue อะไรอย่างเงี้ยค่ะก็
00:08:54 → 00:08:57 อาจจะเป็นแบบนั้นให้แบบมารทกับสิ่งที่เรา
00:08:57 → 00:09:00 จะฮีลยังไงอะไรอย่างเงี้ยอือ่ะทีนี้เวลา
00:09:00 → 00:09:03 เราพูดถึงพวกแบบ Sound healing Sound
00:09:03 → 00:09:06 Bath อะไรอย่าเงี้ยเราก็จะนึกถึงอุปกรณ์
00:09:06 → 00:09:11 ก็มีโบว์แล้วก็มีไม้อันนึงใช่แกว่งๆใช่ม
00:09:11 → 00:09:15 ไอ้ตัวโบว์เนี่ยมีชนิดหรือว่ามีแบบว่ามีๆ
00:09:15 → 00:09:19 ๆโบวมันมี 3 แบบค่ะถ้าเผื่อจะให้ใช้โบ
00:09:19 → 00:09:21 ซึ่งแจนน่ะใช้โบวแบบนึงแล้วก็ใช้
00:09:21 → 00:09:23 Instrument อย่างอื่นด้วยใช้เสียงตัวเอง
00:09:23 → 00:09:26 ด้วยอะไรเงี้ยแต่โบวเนี่ยก็คือว่ามีเมน
00:09:26 → 00:09:28 แล้วมี 3 แบบคือ 1 อันน่าจะเคยเห็นเยอะ
00:09:28 → 00:09:30 ที่สุดคือที่เป็น tibetan Bow ที่เป็น
00:09:30 → 00:09:33 เหมือนเหมือนเหล็กๆหรอเออความจริงอันนั้น
00:09:33 → 00:09:36 น่ะทำมาเพื่อให้กินข้าวก็คือเหมือนบาทรม
00:09:36 → 00:09:38 ใช่มันคือบาทเมื่อก่อนนี้มันคือเมื่อก่อน
00:09:38 → 00:09:42 นี้คนอินเดียเขาใช้ทำบาทแล้วอันที่ 2 ก็
00:09:42 → 00:09:46 คือเป็นคริสตัลโแต่เป็นสีขาวที่มันหนาๆ
00:09:46 → 00:09:48 หน่อยค่ะแล้วก็อันที่ 3 คืออันสีๆซึ่ง
00:09:48 → 00:09:52 จารยใช้ก็เป็นของคนอเมริกาทำขึ้นมามัน
00:09:52 → 00:09:55 ชื่อ cristal tones ซึ่งเป็นถ้วยที่แจน
00:09:55 → 00:09:57 น่ะชอบเรียกว่าเป็นแมสของถ้วยทำไมมันได้
00:09:57 → 00:10:00 ยากรอเพราะราคามันแพงแล้วมันก็ได้ยากด้วย
00:10:00 → 00:10:02 สมมติว่าอาจารย์อยากได้หินที่มันหายาก
00:10:02 → 00:10:05 อย่างเงี้ยมันอาจจะหาไม่ได้เพราะว่าเขา
00:10:05 → 00:10:06 อาจจะทำไปแล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้วแล้วเขา
00:10:06 → 00:10:09 ก็ทำๆเหมือนเขาซื้อหินมาทีเดียวแล้วเขาก็
00:10:09 → 00:10:11 ทำแล้วแบบพอ 10 ปีต่อมาคนจะหานี้ก็อาจจะ
00:10:11 → 00:10:13 ไม่ได้แล้วอะไรอย่าเงี้หรือว่ามันอาจจะ
00:10:13 → 00:10:15 mixture ไม่เหมือนกันแล้วอะไรอย่างเงี้ย
00:10:15 → 00:10:18 ค่ะคือบางทีมันก็เป็นถ้วยโรสคอสอย่าง
00:10:18 → 00:10:20 เดียวบางอันก็เป็นโรสคอสผสมกับหินอย่าง
00:10:20 → 00:10:22 อื่นอะไรอย่าเงี้ยอ่ะอย่างเงี้ยถ้วยเนี่ย
00:10:22 → 00:10:25 มันก็เหมือนสร้อยมที่แบบว่าโรสคอสก็คือ
00:10:25 → 00:10:28 เป็นเรื่องนี้อเมทิสก็เรื่องนี้อะไรเงี้
00:10:28 → 00:10:30 ใช่ประมาณนั้นเลยเลยแต่ว่ามันมีมากกว่า
00:10:30 → 00:10:32 นั้นเพราะว่า In The End แล้วคือใช้
00:10:32 → 00:10:34 ถ้วยอะไรอ่ะมันก็เวิร์คได้มันอยู่ที่
00:10:34 → 00:10:37 intention ของเราสมมุติว่าาจารย์มีแค่
00:10:37 → 00:10:38 ถ้วยเดียวถ้าอาจารย์มีเงินซื้อแค่ถ้วย
00:10:38 → 00:10:40 เดียวอ่ะมันก็เวิร์คอยู่ดีสมมุติว่า
00:10:40 → 00:10:42 อาจารย์ทำให้พี่ชมพู่แล้วพี่ชมพู่บอกว่า
00:10:42 → 00:10:44 เออพี่แบบรู้สึกว่าอยากเคลียร์ Energy
00:10:44 → 00:10:47 ที่มันไม่ดีออกไปอย่างเงี้ยยังไงถ้วยนั้น
00:10:47 → 00:10:48 มันก็เป็น vibration ที่สูงกว่าเราอยู่ดี
00:10:48 → 00:10:50 เพราะฉะนั้นเราทำไปอ่ะมันก็ไปเคลียร์ของ
00:10:50 → 00:10:53 มันแล้ว intention ของเราคือการบอกว่าเออ
00:10:53 → 00:10:56 เราอยากให้มันเคลียร์นะอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:10:56 → 00:10:58 ไอ้ประเภทของหินอะไรงเงี้ยมันมีผลต่อ
00:10:58 → 00:11:01 คลื่นอะไรอย่าเงี้ยมมีเพราะว่าหินทุกอัน
00:11:01 → 00:11:03 คลื่นไม่เหมือนกันเพราะว่าโมเลกุลเก็ไม่
00:11:03 → 00:11:05 เหมือนกันใช่ใช่โมเลกุลเาไม่เหมือนกัน 1
00:11:05 → 00:11:07 แล้วก็ 2 คือถ้วยแต่ละถ้วยทำออกมาเสียง
00:11:07 → 00:11:09 ไม่เหมือนกันอีกที่เขาบอกว่าเป็น CD efg
00:11:10 → 00:11:13 โดเรมีฟาซอย่างเงี้ยนะมันก็จะ cate กับ
00:11:13 → 00:11:16 ตรงจักกะเราอีกค่ะเพราะว่ามันมี 7 เสียง
00:11:16 → 00:11:19 มี 7 โดเลยมีฟาซอลทีโดมี 7 เหมือนกัน
00:11:19 → 00:11:22 จักระก็มี 7 เงี้ยค่ะมันก็จะแล้วแต่ว่า
00:11:22 → 00:11:26 อันไหนเข้ากับตรงไหนของร่างกายเราแล้วมัน
00:11:26 → 00:11:29 มีมยคะว่าความถี่เท่านี้
00:11:29 → 00:11:35 โน้ตนี้กับจักกะนี้เพื่อฟื้นฟูเรื่องนี้
00:11:35 → 00:11:38 ถ้าถ้าเอามาพูดตอนนี้เขาบอกว่าเสียงเพลง
00:11:38 → 00:11:44 ของของยุคเนี้ยมันใช้เฮิ 440 ซึ่งเขาบอก
00:11:44 → 00:11:47 ว่ามันเป็นเฮิที่แบบไม่ดีมากๆเลย uny ใช่
00:11:47 → 00:11:49 เขาบอกว่ามัน unhealthy เพราะว่าเขาทูน
00:11:49 → 00:11:51 ให้มันเป็น 440 hz แล้วเขาบอกว่ามัน
00:11:51 → 00:11:54 เพิ่งมาเปลี่ยนตอนหลังแล้วเฮิไอ้ 440 อ่ะ
00:11:54 → 00:11:57 เพลงอ่ะเขาบอกว่าฟังแล้วมันไม่ดีต่อร่าง
00:11:57 → 00:11:59 กายแต่ก็ไม่รู้จริงมเพราะว่ามันก็มีเพลง
00:12:00 → 00:12:01 บางเพลงที่เราฟังแล้วเรารู้สึกมีความสุข
00:12:01 → 00:12:04 นะเพราะงั้นมันแต่จว่ามันมีหลาย layer
00:12:04 → 00:12:07 การเป็นเสียงอ่ะค่ะมันมันช่วยฮีลได้หลาย
00:12:07 → 00:12:10 อย่างมันก็จะมีแบบเลขที่คนเขาชอบพูดถึง
00:12:10 → 00:12:12 กันในอินเทอร์เน็ตถ้าเราเข้าไปใน YouTube
00:12:12 → 00:12:18 อีกอนะก็จะแบบเป็นเลข 432 hz ซึ่ง 432
00:12:18 → 00:12:20 hz เนี่ยคนชอบพูดถึงเพราะบอกว่ามันเป็น
00:12:20 → 00:12:24 vibration ที่ฮีลตัวเราได้แต่ว่าอธิบาย
00:12:24 → 00:12:27 ว่ามันช่วยยังไงก็คือว่า 8 เฮซเนี่ยมัน
00:12:27 → 00:12:31 เป็นเป็นเฮิตของโลกเราเป็น vibration ของ
00:12:31 → 00:12:34 โลกเราซึ่งเขาบอกว่าทุก Planet มันจะมี
00:12:34 → 00:12:37 vibration ของตัวเองแต่ 8 เนี่ยเราไม่
00:12:37 → 00:12:39 ได้ยินเสียงค่ะ 8 เฮิมันต่ำเกินไปที่เรา
00:12:40 → 00:12:43 จะได้ยินคือมนุษย์เราได้ยินแค่ 20 จนถึง
00:12:43 → 00:12:45 20,000 เพราะฉะนั้น 8 มันต่ำเกินไปเพราะ
00:12:45 → 00:12:47 ฉะนั้นเาก็เลยต้องคูณขึ้นมาให้มันเป็น
00:12:47 → 00:12:51 เสียงที่คนฟังแล้วจะนั่งอยู่เฉยๆได้อมัน
00:12:51 → 00:12:53 ก็จะมีหลายๆเลขแต่ว่าอันนึงที่มันดังที่
00:12:53 → 00:12:59 สุดเนี่ยก็คือเลข 432 ซึ่งมันคือคูณ
00:12:59 → 00:13:02 54 ของ 8 ก็เลยเป็นเสียงที่ที่มันทำไม
00:13:02 → 00:13:05 ต้องคูณน่ะเพราะว่าถ้าเผื่อเข้าใจเรื่อง
00:13:05 → 00:13:08 เฮิคือสมมุติเบอกว่า 8 hz ต่อวินาทีอ่ะ
00:13:08 → 00:13:12 ค่ะมันคือการ vi vibration ของ 8 ครั้ง
00:13:12 → 00:13:15 ต่อ 1 วินาทีใช่เพราะฉะนั้น 4 32 ก็คือ
00:13:15 → 00:13:19 432 ครั้งต่อ 1 วินาทีไม่รู้ว่าทำไมเถึง
00:13:19 → 00:13:20 ทำอย่างนี้เหมือนกันเนอันนี้อาจารย์
00:13:20 → 00:13:22 อธิบายยากแต่ว่าคือเขาต้องคุยขึ้นมาให้
00:13:22 → 00:13:24 เราได้ยินแต่ว่ามันเป็น multiplication
00:13:24 → 00:13:26 เพราะว่าโลกเรามันทุกอย่างมันเป็นเกี่ยว
00:13:26 → 00:13:29 กับเลขหมดเลยอีกอ่ะอือือแล้วก็ก็เอิ่ม
00:13:29 → 00:13:32 เสียงอันเนี้ยเพราะว่ามันเป็น vibration
00:13:32 → 00:13:35 ของโลกมันก็เลยเป็นสิ่งที่ grounding มัน
00:13:35 → 00:13:37 ทำให้เรารู้สึกเซฟเหมือนกับว่ารู้สึกว่า
00:13:37 → 00:13:41 เราแบบ Connect กับโลกอือือแล้วเราก็จะ
00:13:41 → 00:13:44 ได้แบบรู้สึกคามเพราะว่ามันเป็น vibration
00:13:44 → 00:13:47 ที่ควรจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกับเรามากที่
00:13:47 → 00:13:50 สุดอ่ะเพราะเราเกิดมาอยู่บนโลกอืถ้าเสียง
00:13:50 → 00:13:53 ความถี่ประมาณเยเราจะพบในอะไรได้บ้างถ้า
00:13:53 → 00:13:57 ไม่ได้เกิดจากการใช้เสียงบำบัดเราจะพบเรา
00:13:57 → 00:14:00 จะหาฟังได้ที่ไหนมันมันพบยากมันมันคงไม่
00:14:00 → 00:14:04 ค่อยมีอ่ะค่ะปกติแล้วแต่ว่ามันต้องไปกดดู
00:14:04 → 00:14:05 ใน YouTube เนี่ยแหละไม่แล้วอย่างพวก
00:14:06 → 00:14:07 เสียงน้ำไหลเสียงน้ำตกเสียงธรรมชาเสียง
00:14:08 → 00:14:09 น้ำไหลมันจะอยู่ข้างหลังเพราะว่าเสียง
00:14:09 → 00:14:11 ความถี่อันนี้ยมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่เ
00:14:11 → 00:14:15 ก็จะเอาเสียงน้ำไหลมากลบอืให้มันฟังดูน่า
00:14:15 → 00:14:17 ฟังแต่ว่าถ้าเบิดฟังดีๆแล้วสมมติว่าใส่หู
00:14:17 → 00:14:20 ฟังควรจะใส่หูฟังอ่ะมันจะได้ยินตึ๊ดๆๆๆ
00:14:20 → 00:14:23 อย่างเงี้ยอมันจะเป็นเสียงที่แบบไม่ได้
00:14:23 → 00:14:25 น่าฟังมากอ่ะเพราะว่ามันรีกเพราะว่ามี
00:14:25 → 00:14:26 เสียงน้ำอะไรอย่างเงี้ยความจริเสียงน้ำ
00:14:26 → 00:14:29 ไหลมันก็เป็นเป็นเป็นเสียงของโลกเนาเพผม
00:14:29 → 00:14:34 ว่าเสียงผึ้งอืที่มันบินน่ะก็เป็น 432
00:14:34 → 00:14:37 สิ่งที่เป็นเเอรส่วนมากจะเป็นน่าจะเป็น
00:14:37 → 00:14:39 เสียเพราะฉะนั้นอ่ะถ้าชมฟังคุณใจอย่าง
00:14:39 → 00:14:42 เงี้ยก็หมายความว่าในทุกๆเสียงที่เราฟัง
00:14:42 → 00:14:43 อาจจะเป็นเสียงเพลงหรือเสียงอะไรอย่าง
00:14:43 → 00:14:47 เงี้ยมันอาจจะมีคลื่นอีกคลื่นนึงที่มัน
00:14:47 → 00:14:50 ซ่อนอยู่ในเสียงนั้นที่มาทำอีกทีนึงใช่
00:14:50 → 00:14:53 ค่ะถ้านึกดูคำสวดมนต์ก็เป็นก็เป็น Sound
00:14:53 → 00:14:55 healing เหมือนกันบทสวดที่เขาสวดมาเป็น
00:14:55 → 00:14:58 พันๆปีแล้ว intention ของการสวดสมมุติว่า
00:14:58 → 00:15:00 สวดแบบแทิเบสมันก็จะมีความที่แบบอันนี้
00:15:00 → 00:15:04 เป็นโคชอันนี้เป็นขอให้มี abundance เข้า
00:15:04 → 00:15:07 มาอะไรก็ตามอ่ะค่ะมันก็ถวดมาเป็นพันๆปีละ
00:15:07 → 00:15:09 แล้ว intention มันซ้ำอยู่อย่างงั้นน่ะ
00:15:09 → 00:15:12 สมมุติว่าแล้วสวดมาเป็นพันๆปีเพราะฉะนั้น
00:15:12 → 00:15:14 ความพลังของสิ่งนมันก็เลยแรงสมมุติว่าเรา
00:15:14 → 00:15:16 จะไปไหว้พระพรหมนะทำไมต้องไปไหว้ตรงนั้น
00:15:16 → 00:15:19 ล่ะก็เพราะว่ามันอยู่ตรใช่เพราะว่าทุกคน
00:15:19 → 00:15:21 คนแบบเราเนี่ยแหละไปถึงแล้วก็ไปไหว้ไปขอ
00:15:21 → 00:15:25 สิ่งเดิมๆ Energy มันก็เลยแรงตรงนั้นโห
00:15:25 → 00:15:28 Energy มันแรงมากก็เพราะว่าคนไปไปขอ
00:15:28 → 00:15:30 เนี่ยแหละอแล้วมีความถี่ไหนอีกคะที่แบบ
00:15:31 → 00:15:34 ว่ามีใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆมันมันมี
00:15:34 → 00:15:37 หลายอันมากเลยครับอันนึงที่คนชอบพูดถึงก็
00:15:37 → 00:15:38 คือ
00:15:38 → 00:15:43 528 เพราะว่าเป็นความถี่ของเขาเรียกว่า
00:15:43 → 00:15:46 Love frequency อืแต่ Love อาจจะไม่ได้
00:15:46 → 00:15:48 หมายความว่าแบบรักหญิงชายเนาะ Love หมาย
00:15:48 → 00:15:50 ความว่า Unconditional Love ความรู้สึก
00:15:50 → 00:15:54 ความรู้สึกอ่ะเวลาเรารู้สึกมีความรักอ่ะ
00:15:54 → 00:15:56 เออมันคือความรู้สึกนั้นมันเข้าไปฮีลแบบ
00:15:56 → 00:15:59 มลกุลได้อะไรอย่างเงี้ยคหรือ DNA อะไร
00:16:00 → 00:16:03 อย่าเงี้ยตอนเเขาก็เริ่มเเทสกันละมันมัน
00:16:03 → 00:16:06 มีแบบแจนไม่ได้เป็น scientist เนาะไม่ได้
00:16:06 → 00:16:08 เป็นนักวิทยาศาเพแต่อธิบายเรื่องพวกนี้
00:16:08 → 00:16:11 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ว่ามันจะมีคนที่ที่
00:16:11 → 00:16:14 เขาเป็นไิจริงๆตเยถ้าแบบไปกดดูในเ Talk
00:16:14 → 00:16:16 มีเยอะมากพูดถึงเรื่อง frequency พวกเค่ะ
00:16:16 → 00:16:20 เพราะว่าเสียงที่เป็น 528 เนี่ยมันลใน
00:16:20 → 00:16:22 สิ่งที่แบบที่เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำอะไร
00:16:22 → 00:16:25 อย่าเงี้ยอือืเพอมันน่าจะมีแบบว่าลิสมานะ
00:16:25 → 00:16:28 ว่าแบบเป็นเพลงอะไรมันลมีเพลงอะไรที่แบบ
00:16:28 → 00:16:31 แบบว่ามันเประมาณนี้อะไรเงี้เป็นแบบซอง
00:16:31 → 00:16:34 แบบซใน YouTube มันจะมีถ้าไปกดเลขเฮที่
00:16:34 → 00:16:36 จันพูดแล้วก็บอกว่าาเพลงมันจะเป็นอย่าง
00:16:36 → 00:16:38 งั้นเลยแต่เพลงมันจะเสียงแปลกๆเพราะว่า
00:16:38 → 00:16:40 เราจะไม่ชินกับ vibration นั้นเราจะชิน
00:16:40 → 00:16:43 กับไอ้ 440 ฟังแล้วมันจะรู้สึกแบบทำไมมัน
00:16:43 → 00:16:46 ฟังแล้วมันไม่เพราะเลยอะไรอย่างเงี้ยฟัง
00:16:46 → 00:16:49 ใสหเหมือนมันก็คงเหมือนเรากินอาหารที่แบบ
00:16:49 → 00:16:52 ทำให้เทสบัตเราเปลี่ยนใช่มันแต่ว่ามันไป
00:16:52 → 00:16:54 เปลี่ยนในสมองเลยแล้วก็มันก็เลยมาฮีลไว้
00:16:54 → 00:16:57 ตรงตัวเราอะไรอย่าเงี้ยค่ะทีนี้เราก็ไป
00:16:57 → 00:17:00 เรียนเนาะแล้วเราเริ่มเริ่มยังไงเริ่มจาก
00:17:00 → 00:17:02 กับคนใกล้ตัวแบบเฮ้ยแกแกเดี๋ยวฉันทำให้ส
00:17:02 → 00:17:05 ส่วนมากก็คนใกล้ตัวเลยค่ะจันทำเลกิมา 4
00:17:05 → 00:17:07 ปีแล้วเพราะฉะนั้นก็จะมีลูกค้าละที่ทำ
00:17:07 → 00:17:10 เลกิจารยก็จะแบบว่าขอลองอยากมาลองมั้ย
00:17:10 → 00:17:13 อะไรอย่างเงี้ยค่ะก็เริ่มเริ่มให้คนสนิท
00:17:13 → 00:17:15 กับลูกค้าเก่าๆมาลองก่อนอะไรอย่างเงี้ย
00:17:15 → 00:17:18 ตอนแรกๆก็มีแค่ 3 ถ้วยยังไม่ได้ร้องเลย
00:17:18 → 00:17:20 ด้วยเสียงเนี่ยมันเปิดเพราะว่าเสียงที่
00:17:20 → 00:17:23 เริ่มร้องมันมาเพราะว่าถ้วยช่วยอันนี้ก็
00:17:23 → 00:17:25 จะ spiritual นิดนึงเพราะว่าตอนที่จะเล่น
00:17:25 → 00:17:27 ถ้วยจจะรู้สึกว่ามันบอกว่าทำไมไม่ร้อง
00:17:27 → 00:17:29 เพลงกับมันล่ะมันได้ได้ยินว่ามันโอให้
00:17:29 → 00:17:31 ร้องด้วยให้ร้องด้วยแล้วอาจันก็จะเป็นคน
00:17:31 → 00:17:34 ที่แบบอายอ่ะไม่กล้าแบบเปิดเสียงมาก็คือ
00:17:34 → 00:17:37 ไอ้ชัก่าของเราบเข้าใจเลยขอนอกเรื่องนิด
00:17:37 → 00:17:42 นึงได้ป่ะวันนั้นน่ะวัน dragonfly อ่ะนี่
00:17:42 → 00:17:46 ไปนั่งพอดีตอนที่มีพระที่มากับนตอ่ะก็จะ
00:17:46 → 00:17:49 มีนตเนี่ยที่แบบว่าร้องคลออะไรเงี้ยแล้ว
00:17:49 → 00:17:52 ก็เาก็จะแบบว่าพยายามเชชนทุกคนเนี่ยแบบ
00:17:52 → 00:17:54 ว่าเหมือนแบบว่าปล่อยแบบเหมือนเพราะว่า
00:17:54 → 00:17:57 เหมือนเขาบอกว่าเขาเชื่อว่าเสียงไอ้ๆไอไอ
00:17:57 → 00:17:59 การไอ้การสั่นอะไรตรงเยเนี่ยมันเหมือน
00:17:59 → 00:18:01 เป็นการแบบว่าที่ยูช่วยปล่อยพลังงานปล่อย
00:18:01 → 00:18:03 อะไรที่แบบว่ามันมันเหมือนกับเวลาที่เรา
00:18:03 → 00:18:06 ถอนหายใจเฮ้อแบบอะไรอย่าเงี้ยใช่แต่
00:18:06 → 00:18:09 ประเด็นที่ไม่อยากจะเอ่ยออกมาเเพราะว่า
00:18:10 → 00:18:13 เสียงนตข้างบนก็คือเป็นแบบว่าเสียงเพาะ
00:18:13 → 00:18:17 มากแล้วแบบ
00:18:17 → 00:18:22 ว่าเเสียงแบบว่าสู้เขไม่ได้อะไ่ and Now
00:18:22 → 00:18:24 we Make A cle With The
00:18:24 → 00:18:27 Shoulders both
00:18:27 → 00:18:31 Shoulders as Slowly as
00:18:31 → 00:18:33 [เพลง]
00:18:33 → 00:18:38 Possible ย้อนกลับมาก็คือทำกับคนใกล้ตัว
00:18:38 → 00:18:40 ก่อนใช่ก็คือเริ่มจากตรงนั้นอ่ะค่ะเริ่ม
00:18:40 → 00:18:43 จากมีลูกค้าแล้วบอกลูกค้าเพราะลูกค้าก็ไป
00:18:43 → 00:18:45 บอกคนอื่นอ่ะแล้วทีเนี้ยลูกค้าเวลาเขา
00:18:46 → 00:18:48 เดินเข้ามาหาเราอ่ะส่วนใหญ่เขามาด้วยจุด
00:18:48 → 00:18:51 ประสงค์อะไรคะจว่าตอนแรกๆเลยเนี่ยทุกคนจะ
00:18:51 → 00:18:54 มาเพราะว่าอกหักเพราะว่ามันจะเป็นเพราะ
00:18:54 → 00:18:55 ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเศร้า
00:18:55 → 00:18:58 มากจนเราอยากจะหาอะไรมาช่วยตัวเองอแต่
00:18:58 → 00:18:59 ความจริงแล้วอาจารย์ไม่ได้ฮีลตรงนั้น
00:18:59 → 00:19:01 อาจารย์พอมาถึงปุ๊บอาจารย์จะบอกว่าเราไม่
00:19:01 → 00:19:05 ได้มาช่วยให้หายอกหักนะเพราะว่าเราอ่ะจะ
00:19:05 → 00:19:09 มาช่วยให้เข้าใจว่าทำไมเราถึงมีชีวิตที่
00:19:09 → 00:19:11 เป็นแบบนี้เราต้องการจะเปลี่ยนชีวิตยังไง
00:19:11 → 00:19:14 เราจะฮีลตัวเองยังไงให้เราอ่ะ unblock
00:19:14 → 00:19:16 สิ่งพวกนี้จะได้ไม่ได้คนแบบเดิมแล้วจะได้
00:19:16 → 00:19:18 ไม่ได้คนที่เขาไม่พร้อมคนที่เขาจะแบบไปมี
00:19:18 → 00:19:21 คนอื่นหรือว่าอะไรก็ตามอ่ะค่ะเหมือนให้
00:19:21 → 00:19:23 หลุดจากแพทเทิร์นใช่เพราะว่าทุกคนจะมี
00:19:23 → 00:19:26 แพทเทิร์นอถ้าถ้าพี่ชมพู่ดูชีวิตตัวเอง
00:19:26 → 00:19:27 พี่ชมพู่ก็คงมีแพทเทิร์นเหมือนกันแต่อาจ
00:19:27 → 00:19:31 จะไม่ใช่เรื่องนี้ก็ได้อความสุเนอาเรื่อง
00:19:31 → 00:19:34 อนที่เข้าไม่หรืออาจจะเคยมีแพทเทิร์นแต่
00:19:34 → 00:19:36 ว่าหลุดจากแเไปแล้วได้่ใช่ซึบางคนมันก็
00:19:36 → 00:19:39 หลุดได้โดยที่ไม่ต้องให้ใครช่วยแต่บางคน
00:19:39 → 00:19:41 มันก็ต้องการให้คนช่วยนิดนึงอะไรอย่าง
00:19:41 → 00:19:44 เงี้ยค่ะมันพาไปให้เราเห็นแพทเทิร์นยังไง
00:19:44 → 00:19:47 มันไม่ได้พาไปหรอกแจนเนี่ยแหละพเหมือนกับ
00:19:47 → 00:19:49 ว่าเวลาเราทำ sess ปุ๊บอ่ะบางคนถ้าเป็น
00:19:49 → 00:19:51 Sound healing นะคะบางทีมันจะเห็น
00:19:51 → 00:19:54 Vision ขึ้นมาว่าอ๋อมันเป็นอย่างงี้นะ
00:19:54 → 00:19:57 แล้วก็อาจจะกลับเข้าไปนึกว่าอ๋อเอ๊เราเคย
00:19:57 → 00:19:58 แบบเกิดอย่างงี้ขึึ้นแล้วเอาอีกแล้วอะไร
00:19:58 → 00:20:00 อย่างเงี้ยเพราะอะไรอไอ้ vibration เนี้ย
00:20:00 → 00:20:04 มันการสั่นสะเทือนเมันมันพาเราไปสู่จุด
00:20:04 → 00:20:08 ที่เรา Connect เมันอธิบายอย่างงี้อาจจะ
00:20:08 → 00:20:09 เข้า
00:20:09 → 00:20:13 ใจเหมือนก็คือว่าถ้าเป็นทำสมาธิอ่ะมันก็
00:20:13 → 00:20:16 จะมันจะใช้เวลานานบางคนจะไม่เข้าใจแต่ว่า
00:20:16 → 00:20:18 ไอ้เสียงเนี่ยมันจะช่วยนำพาเราไปมัน
00:20:18 → 00:20:20 เหมือนแบบเป็นจุดให้เราโฟกัสพาเราไปที่สจ
00:20:20 → 00:20:24 นั้นไปภาวะนั้นได้ใช่ใช่แล้วก็อีกอย่าง
00:20:24 → 00:20:26 นึงก็คือว่าเสียงอ่ะมันเข้าไปสะกิดเพราะ
00:20:26 → 00:20:29 ว่าถ้าเผิดพี่ชมพู่นึกดูว่าเวลาฟังเพลง
00:20:29 → 00:20:30 อย่างเงี้ยบางเพลงที่มันแฮปปี้แฮปี้อ่ะ
00:20:30 → 00:20:32 มันก็จะทำให้เรารู้สึกแฮปปี้ถูกป่ะแต่
00:20:32 → 00:20:36 เพลงที่มันไม่แฮปปี้อ่ะคำคำแต่ละคำมันก็
00:20:36 → 00:20:39 มีไวชของมันอีกมันก็ดึงเราเข้าไปให้เห็น
00:20:39 → 00:20:41 เห็นอะไรบางอย่างเพราะฉะนั้นบางทีคนที่
00:20:41 → 00:20:44 เขานอนอยู่เขาคอาจจะมันอาจจะมีเสียงอะไร
00:20:44 → 00:20:46 ที่มาสะกิดเา้าให้เขาครู้สึกถึงสิ่งที่
00:20:46 → 00:20:49 เขาต้องฮีลอะไรอย่างเงี้ยหรือไปไปแบบไป
00:20:49 → 00:20:51 สะกิดแล้วกลายเป็นว่าอ๋อจำเรื่องนี้ขึ้น
00:20:51 → 00:20:54 มาได้สิ่งที่เราลืมไปแล้วอะไรอย่างเงี้ย
00:20:54 → 00:20:57 มันไม่ได้เป็นแค่คนที่ที่อกหักที่มาบางที
00:20:57 → 00:21:00 เดี๋ยวเมันก็จะเริ่มมีคนที่เป็นซึมเศร้า
00:21:00 → 00:21:03 คนที่เป็น anxiety อะไรอย่างเงี้ยใช่
00:21:03 → 00:21:06 แพนิคอะไรอย่างเงี้ยซึ่งคนพวกเนี้ยอมา
00:21:06 → 00:21:08 เยอะมากเลยเดี๋ยวนี้ค่ะซึ่งเมื่อก่อนไม่
00:21:08 → 00:21:10 มีเลยเดี๋ยวนี้จะเป็นคนที่อายุเด็กๆหน่อย
00:21:10 → 00:21:13 ด้วย 20 กว่าๆเงี้ยจะมาเป็นเรื่องแบบ
00:21:13 → 00:21:16 แพนิคเป็น anxiety แล้วบางคนเอาจจะไม่ได้
00:21:16 → 00:21:19 อยากใช้ยาใช่ใช่แล้วบางคนทานยาแล้วรู้สึก
00:21:19 → 00:21:21 ว่าไม่ดีขึ้นเราก็ไม่ได้บอกให้เขาหยุดทาน
00:21:21 → 00:21:24 นะไม่ใช่เมาหาเราแล้วก็เริ่มถามเรื่องราว
00:21:24 → 00:21:26 เกี่ยวกับชีวิตเาแล้วเราก็ค่อยคุยมาเป็น
00:21:26 → 00:21:29 คล้ายๆ terapi นิดนึงแต่ว่าไม่ได้เทรนมา
00:21:29 → 00:21:30 เพราะฉะนั้นมันก็จะมาจากการก็เหมือนเรา
00:21:31 → 00:21:33 เป็นเพื่อนนะเนาใช่เหมือนกับมาพูดกับพี่
00:21:33 → 00:21:35 สาวหรือน้องสาวหรืออะไรอย่างเงี้ยแต่ว่า
00:21:35 → 00:21:38 มันก็จะมันมาจากการที่เราฮีลตัวเองมาก่อน
00:21:38 → 00:21:41 พอเราฮีลตัวเองปุ๊บเราก็จะเข้าใจตัวเอง
00:21:41 → 00:21:43 มากขึ้นการเข้าใจตัวเองอ่ะค่ะมันเหมือน
00:21:43 → 00:21:46 กับเดี๋ยวเนี้ยพี่ชมพู่อาจจะเจอคนเยอะบาง
00:21:46 → 00:21:47 ทีแบบมีคนเดินเข้ามาในห้องแล้วรู้เลยว่า
00:21:47 → 00:21:50 คนนี้แบบ Bad Energy เอออันนี้มันเป็น
00:21:50 → 00:21:52 เพราะอะไรเพราะว่าเรารู้สึกเราจำได้ว่า
00:21:52 → 00:21:53 ความรู้สึกแบบนี้คืออะไแต่เรามีความรู้
00:21:53 → 00:21:56 สึกว่าพอเราแก่อ่ะเราเก่งอะไรอย่างเงี้ย
00:21:56 → 00:22:00 เก่งขึ้นมากเลยทำทำไมวะที่คุณแจนเคยเจอมา
00:22:00 → 00:22:04 ที่แบบมานั่งทำ sound บาด้วยกันเมีมีแบบ
00:22:04 → 00:22:06 มีแบบไหนบ้างคะความจริงความรู้สึกมันจะ
00:22:06 → 00:22:09 เริ่มจากที่ไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างผู้ชาย
00:22:09 → 00:22:10 ส่วนมากจะเป็นผู้ชายนะเถูกสอนมาให้แบบ
00:22:10 → 00:22:13 เวลาร้องไห้ตอนเ็ก็กโอย่าร้องไห้เลยเป็น
00:22:13 → 00:22:15 เด็กผู้ชายอย่างเงี้ยเขาก็จะไม่รู้สึก
00:22:15 → 00:22:17 อะไรเลยเพราะว่าเขาบล็อกจนเขาไม่รู้สึก
00:22:17 → 00:22:20 ว่าเขามีความรู้สึกแล้วอ่ะถ้าพี่ชมพู่รู้
00:22:20 → 00:22:22 จักผู้ชายบางคนจะบอกว่าฉันไม่ได้ร้องไห้
00:22:22 → 00:22:24 มา 10 ปีแล้วอะไรอย่างเงี้ยมันไม่ใช่ว่า
00:22:24 → 00:22:25 เขาไม่มีความรู้สึกนะแต่มันเป็นเพราะว่า
00:22:25 → 00:22:28 เา Connect กับตัวเองไม่ได้อเอสิ่งสิ่ง
00:22:28 → 00:22:30 ที่มาทำนี้ก็คือเรามาสอนให้เค Connect
00:22:30 → 00:22:32 กับตัวเองแต่มันต้องมาทำเรื่อยๆอะไรเงี้ย
00:22:32 → 00:22:34 ค่ะอย่างแรกอันนั้นก็คือไม่รู้สึกอะไรเลย
00:22:34 → 00:22:38 แล้วมันก็จะมีคนที่เริ่มมือสั่นตัวกระตุก
00:22:39 → 00:22:43 ร้องไห้บางคนหรือไปไกลกว่านั้นก็คือระลึก
00:22:43 → 00:22:46 นู่นนี่นั่นที่อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
00:22:46 → 00:22:49 ในชาตินี้ก็ได้สิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่
00:22:49 → 00:22:51 แล้วก็ได้แต่เอาชาตินี้ก่อนแล้วกันคนจะ
00:22:51 → 00:22:54 ได้เข้าใจง่ายๆนิดนึงสมมุติว่ามีคนที่เขา
00:22:54 → 00:22:57 โดนแบบอาจจะโดน abuse มาตอนเด็กๆเนาะ
00:22:57 → 00:22:59 physically sexually อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:22:59 → 00:23:02 เาจำไม่ได้เพราะว่าสมองเราสมองของมนุษย์
00:23:02 → 00:23:05 มันฉลาดมันบล็อกทำให้เราลืมไปเพราะว่าเรา
00:23:05 → 00:23:07 มันเจ็บปวดมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเพมันไม่
00:23:07 → 00:23:10 อยากให้เราจำได้มันก็ลืมไปตอนเด็กๆแล้วมา
00:23:10 → 00:23:12 ทำเสียงอ่ะจันก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึง
00:23:12 → 00:23:16 ทริกเกอร์แต่ว่าบางครั้งอ่ะมันจะคนเขาจะ
00:23:16 → 00:23:19 อยู่ดีๆจำได้ขึ้นมาว่าเขาโดนอย่างงี้อื
00:23:19 → 00:23:22 แล้วเขาจะเล่าให้เราฟังในเันั้นเลยหลัง
00:23:22 → 00:23:24 จากเซเสร็จเก็อาจารยก็จะถามว่าเออเห็น
00:23:24 → 00:23:26 อะไรมั้ยรู้สึกอะไรมยอะไรเงี้ยถ้าเครู้
00:23:26 → 00:23:30 สึกแล้วเอยากคุยจารยก็จะให้เขาพูดค่ะแต่
00:23:30 → 00:23:33 ว่าถ้าเขาไม่อยากก็ก็เดี๋ยวเขาพร้อมจารก็
00:23:33 → 00:23:35 จะบอกว่าเออถ้าเห็นอะไรแล้วรู้สึกว่ายัง
00:23:35 → 00:23:37 ไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องพูดถ้าพร้อมเมื่อ
00:23:37 → 00:23:40 ไหร่ก็ค่อยมามาอีกทีนึงก็ได้อะไรเงี้ย
00:23:40 → 00:23:42 เพราะมันเป็นเจี่ของเขามันเป็นทางเดินของ
00:23:42 → 00:23:44 เขาเราไม่ได้ไป Force เขาเนาะสมมุติว่า
00:23:44 → 00:23:47 เขาบอกอาจารย์ว่าตอนเด็กๆอ่ะโดนทำร้าย
00:23:47 → 00:23:49 ร่างกายจากสมมุติพ่อแม่หรือว่าอาจจะไม่
00:23:49 → 00:23:51 ใช่พ่อแม่อาจจะคนใกล้ๆตัวที่พ่อแม่อาจจะ
00:23:52 → 00:23:54 ไปฝากไว้อะไรอย่างเงี้ยแล้วมันเจ็บปวดตรง
00:23:54 → 00:23:58 ที่แบบมันไม่ได้แค่เรื่องว่าโดนโดนโดนตี
00:23:58 → 00:24:00 มันอาจจะเป็นเรื่องที่แบบรู้สึกว่าไม่มี
00:24:00 → 00:24:03 ใครช่วยก็คือตรงนี้มันก็ต้องกลับไปดู
00:24:03 → 00:24:05 เรื่อง Inner CH และว่ายังไงเพราะว่ามัน
00:24:05 → 00:24:07 ถูก abandon โดยพ่อแม่เอาไปฝากไวกับคน
00:24:08 → 00:24:11 อื่นพ่อแม่ไม่ได้ช่วยทั้งๆที่ตอนเด็กๆอ่ะ
00:24:11 → 00:24:13 คือมันเหมือนกับว่ามนุษย์อ่ะเราต้องการ
00:24:13 → 00:24:16 เราต้องยังต้องมีพ่อแม่เพื่อที่จะโทคเรา
00:24:16 → 00:24:18 เพื่อที่จะปกป้องเราตลอดเวลาใช่ป่ะคะเขา
00:24:18 → 00:24:22 บอกว่ามนุษย์เราอ่ะรู้สึกโลกก่อนที่จะมอง
00:24:22 → 00:24:24 เห็นโลกอือซึ่งมันก็คือการรู้ความรู้สึก
00:24:24 → 00:24:27 ของพลังถ้าพ่อแม่อารมณ์เสียทะเลาะกันบ่อย
00:24:27 → 00:24:29 ๆได้ยินแต่ไม่เข้าใจก็ยังรู้อยู่ดีว่าเขา
00:24:30 → 00:24:32 ทะเลาะกันมันก็จะเป็นความรู้สึกที่มามา
00:24:32 → 00:24:33 เก็บไว้ในตัวแล้วอะไรอย่าเงี้ยค่ะเพราะ
00:24:33 → 00:24:37 ฉะนั้นแบบการฮีลก็คือว่าการเข้าใจการการ
00:24:37 → 00:24:40 มาเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้สมมุติ
00:24:40 → 00:24:43 ว่าเราเป็นแฟนกับใครแล้วเรารู้สึกว่าเคไป
00:24:43 → 00:24:45 เที่ยวกับเพื่อนเราก็ก็รับไม่ได้ะเราก็
00:24:45 → 00:24:48 แบบหาเรื่องเขาแล้วทะเลาะกับเขาะถ้าอยู่
00:24:48 → 00:24:50 ดีๆคนคนนึงเขาบอกว่าเขาอยากเข้าใจว่าทำไม
00:24:50 → 00:24:52 เขาถึงเป็นอย่างเงี้ยถ้ากลับไปดูมันอาจจะ
00:24:52 → 00:24:54 เป็นเรื่องประมาณนี้ก็ได้ว่าแบบพ่อแม่
00:24:54 → 00:24:56 ทิ้งตอนเด็กๆอะไรอย่างเงี้ยค่ะออ่ะอย่าง
00:24:56 → 00:24:59 เงี้ยเไปกลับไปเห็นไปจะใช้คำว่าเปิดแผล
00:24:59 → 00:25:02 เหรอคือกลับเออกลับไปมองเห็นแล้วมันทุกคน
00:25:02 → 00:25:06 ไหมอ่ะที่มันแบบเปิดแผมันปลดล็อคได้หรือ
00:25:06 → 00:25:10 ว่าแค่กลับไปเห็นแล้วแต่ว่าก็ยังคือบางคน
00:25:10 → 00:25:13 กลับไปเห็นแล้วมันก็จะปลดล็อคแต่บางคนก็
00:25:13 → 00:25:15 ยังต้องการอย่างอื่นซึ่งใน sess ถ้ามาทำ
00:25:15 → 00:25:17 กับใจมันก็จะมีหลายอย่างที่เราทำคือการ
00:25:17 → 00:25:19 อินทิเกรตสิ่งพวกนั้นอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:25:19 → 00:25:22 อาจจะใช้วิธีแบบดึงกลับไปให้ไปเห็น
00:25:22 → 00:25:25 เวอร์ชั่นนั้นแล้วให้ตัวเราเข้าไปฮีลเรา
00:25:25 → 00:25:27 บอกว่าเออตอนนี้เราไม่ต้องการแล้วนะเพราะ
00:25:27 → 00:25:30 ว่าตอนนี้เราโทคตัวเองได้ะคือเมื่อก่อน
00:25:30 → 00:25:32 นี้เรายังรู้สึกว่าเราต้องมีใครมาปกป้อง
00:25:32 → 00:25:35 เราตลอดเวลาแต่ตอนนี้เราโตะอืตัวเราตอน
00:25:35 → 00:25:37 เนี้ยไปโคตัวอชาเราได้แล้วอะไรอย่าเงี้ย
00:25:37 → 00:25:40 ค่ะก็ต้องอธิบายตรงนั้นให้เขาเข้าใจแล้ว
00:25:40 → 00:25:44 ก็ใช้วิธีหลายๆอย่างแต่ว่าของจันก็คือมัน
00:25:44 → 00:25:45 ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างงี้
00:25:45 → 00:25:47 ด้วยซ้ำพี่ชมพูมันเป็นเรื่องเล็กๆก็ได้
00:25:47 → 00:25:50 อย่างงี้ต้องเรียนจิตวิทยาด้วยมั้ยคะจน
00:25:50 → 00:25:52 ไม่ได้เรียนแต่ว่าพอจนอ่านหนังสือเยอะอ่ะ
00:25:52 → 00:25:56 ค่ะแล้วก็แล้วก็พอเริ่มทำเริ่มเจอคนแบบ
00:25:56 → 00:25:59 นี้เริ่มอาจคิดว่าแบบลูกค้าทุกคนที่มาของ
00:25:59 → 00:26:02 จันทรเป็นเป็นครูอืเออหรือว่าเพื่อนเราก็
00:26:02 → 00:26:05 ตามหรือใครก็ตามเป็นเคส study ให้เราใช่ๆ
00:26:05 → 00:26:06 มันแล้วมันอย่างที่จันทร์บอกว่าเราเริ่ม
00:26:06 → 00:26:08 เข้าใจคนอื่นเราก็จะเข้าใจตัวเองบางครั้ง
00:26:08 → 00:26:10 คนนี้เขามาในเรื่องที่แบบไม่เหมือนเรา
00:26:10 → 00:26:12 ด้วยซ้ำแต่ว่ามันก็ทำให้เราคิดอีกแบบนึง
00:26:13 → 00:26:15 ในเรื่องตัวเองแล้วเฮ้ยเออว่ะหรือว่าเรา
00:26:15 → 00:26:17 เป็นอย่างงี้วะอะไรอย่างเงี้ยมันก็มันก็
00:26:17 → 00:26:19 ช่วยให้เราเรียนรู้ได้ไปเรื่อยๆอ่ะค่ะพอ
00:26:19 → 00:26:21 อย่างเงี้ยพอเราเจอคนเราก็จะเห็นเขามาก
00:26:21 → 00:26:24 ขึ้นเห็นตัวเองมากขึ้นมันก็จะเข้าใจคน
00:26:24 → 00:26:27 อื่นได้มากขึ้นอะไรอย่าเงี้ยแต่เห็นบอก
00:26:27 → 00:26:31 ว่าแบบมีแบบ mind แบบไปลึกไปไกลมากๆใช่
00:26:31 → 00:26:32 อันนี้ก็คืออันนี้คือมันเหมือนกับนั่ง
00:26:32 → 00:26:35 สมาธิเนาะเวลาคนที่ไปนั่งสมาธินั่ง
00:26:35 → 00:26:37 กรรมฐานแบบหลายๆวันบางทีเขาก็จะเห็นนู่น
00:26:37 → 00:26:40 เห็นนี่แต่ว่าใช้ถ้วยเยค่ะจะรู้สึกว่ามัน
00:26:40 → 00:26:43 เป็นทางลัดนิดนึงขี้โกงนิดนึงมันมันช่วย
00:26:43 → 00:26:45 ให้ไปได้เร็วขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนแล้วแต่
00:26:45 → 00:26:47 คนที่เขาพร้อมด้วยอะไรอย่างเงี้ยแล้วเรา
00:26:48 → 00:26:49 จะรู้ได้ยังไงว่านางไม่ได้
00:26:50 → 00:26:53 อุปทานบางทีมันเป็นเรื่องที่เราแบบมาได้
00:26:53 → 00:26:55 ไงวะแบบไม่ใช่อุปถากแน่ๆอะไรเงี้ยบางที
00:26:55 → 00:26:59 บางคนมีคนเห็นว่าตัวเองมาจากโลกไหนถ้า
00:26:59 → 00:27:02 เชื่อในทางพวกคนที่เขาบอกว่าคนที่แบบตื่น
00:27:02 → 00:27:05 รู้นะนที่เขาใช้คำนี้กันก็จะประมาณคนเขา
00:27:05 → 00:27:08 ก็จะเชื่อว่าวิญญาณจิตของเรามาจากโลกอื่น
00:27:08 → 00:27:11 ไม่ใช่ตัวแล้วเราก็เข้ามาเรามาอยู่ในโลก
00:27:11 → 00:27:13 นี้เพื่อที่จะมาเข้าใจว่าแบบใช้ชีวิตบน
00:27:13 → 00:27:15 โลกนี้มันจะเป็นความรู้สึกยังไงเพราะเขา
00:27:15 → 00:27:17 บอกว่าเพราะว่าทุกโลกมัน Energy ไม่
00:27:17 → 00:27:19 เหมือนกันมันก็จะรู้สึกไม่เหมือนกันอย่าง
00:27:19 → 00:27:22 โลกเรามันก็จะมีความโกรธความหึงความหวง
00:27:22 → 00:27:24 ความรักความอะไรที่โลกอื่นอาจจะไม่มี
00:27:24 → 00:27:27 เพราะงั้นเหมือนเรามาเที่ยวเรามาโลกมามา
00:27:27 → 00:27:30 โลกเพื่อมาเที่ยวอหมายถึงว่าในบางเคสที่
00:27:30 → 00:27:34 มาเนี่ยแล้วเอ่อย้อนไประลึกไปแล้วก็ก็ไป
00:27:34 → 00:27:37 เห็นว่าตัวเองมาจากไหนหรือพูดในเรื่องที่
00:27:37 → 00:27:40 เาอาจจะไม่ได้เคยมี Background เรื่องนี้
00:27:40 → 00:27:44 มาก่อนใช่มีคนที่เห็นว่าตัวเองเป็นนาคมี
00:27:44 → 00:27:46 เห็นตัวเองเป็นอะไรก็ไม่รู้ด้วยซ้ำบางที
00:27:46 → 00:27:49 แบบอาจจะแบบเป็นเงือกหรืออะไรก็ตามแต่ว่า
00:27:49 → 00:27:52 เราอาจจะคิดว่าในโลกนี้เวลาเราพูดอ่ะมัน
00:27:52 → 00:27:53 ก็เหมือนเป็นเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ถูก
00:27:53 → 00:27:56 มั้ยคะเพราะว่าในโลกเรามันไม่มีสิ่งพวก
00:27:56 → 00:27:59 นี้แต่ว่าถ้าเราจะคิดว่าใน Universe นี้
00:27:59 → 00:28:00 มันมีแค่นี้มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะ
00:28:00 → 00:28:04 งั้นแบบความคิดอะไรมันก็มาได้เขาก็บอกถ้า
00:28:04 → 00:28:07 มันเชื่อเนอะแล้วแต่คนน่ะอืสรุปประโยชน์
00:28:07 → 00:28:11 ของการทำซาวบานอนอาบเสียงแล้วได้อะไรกลับ
00:28:11 → 00:28:14 ไปค่ะได้หลายอย่างบางคนมาเขาก็ได้แค่
00:28:14 → 00:28:17 รีแล็กแต่ว่าได้แค่รีแลกมันก็มากสำหรับ
00:28:17 → 00:28:18 เขาแล้วเพราะอันนั้นจะอาจจะเป็นสิ่งที่
00:28:19 → 00:28:22 เขาต้องการคนที่นอนไม่หลับถ้ามาทำเรื่อยๆ
00:28:22 → 00:28:24 ก็อาจจะช่วยให้นอนหลับได้มากขึ้นคนที่
00:28:24 → 00:28:26 เครียดก็ได้ปลดปล่อยอันนี้เป็นสิ่งที่
00:28:26 → 00:28:28 อาจารย์คิดว่าทุกคนรู้รู้สึกเลยค่ะคือทำ
00:28:28 → 00:28:30 แล้วมันจะรู้สึกจริๆมันก็เป็น basic need
00:28:30 → 00:28:33 นะใช่แต่ว่าถ้ามากกว่านั้นก็คือใช้เสียง
00:28:33 → 00:28:35 เป็นการทริกเกอร์ให้ Heal Inner CH ผม
00:28:35 → 00:28:38 ว่าอาจต้องการให้ให้คนที่มาหาอาจนได้รู้
00:28:38 → 00:28:41 จักตัวเองมากขึ้นเพราะว่าเวลาเรารู้จัก
00:28:41 → 00:28:43 ตัวเองมากขึ้นเราจะยอมรับตัวเองมากขึ้นเ
00:28:44 → 00:28:45 บอกว่าต้องแบบ Self Love ก่อนนะแต่ว่า
00:28:45 → 00:28:48 Self Love มันเริ่มยังไงอ่ะ Self Love
00:28:48 → 00:28:51 คือการเริ่มโดยการที่จะรักตัวเองในทุกมุม
00:28:51 → 00:28:53 ไม่ใช่แค่มุมที่เราอยากจะโพสต์ใน
00:28:53 → 00:28:55 Instagram หรือว่ามุมที่เราอยากจะให้คน
00:28:55 → 00:28:58 เห็นมันมีมุมข้างหลังเราที่แบบที่เราอาจ
00:28:58 → 00:29:01 จะไม่ชอบอ่ะที่เรารับไม่ได้ใช่อย่างเช่น
00:29:01 → 00:29:03 ความรู้สึกอันนี้าจารย์ยกตัวอย่างตัวเอง
00:29:03 → 00:29:05 เหมือนกันเมื่อก่อนนี้ตอนที่ขายขนมก็มี
00:29:05 → 00:29:07 ความอิจฉาคนอื่นแต่ว่าไม่รู้ตัวว่าอิจฉา
00:29:07 → 00:29:09 เขาแต่พอมันรู้ตัวแล้วมันปล่อยได้เลย
00:29:09 → 00:29:12 เพราะว่าเราอ๋อเราอิจฉาเหแล้วเรายอมรับ
00:29:12 → 00:29:14 ว่าเราเป็นมนุษย์อ่ะความรู้สึกแบบนี้มัน
00:29:14 → 00:29:17 ต้องมีอยู่แล้วอืแล้วมันไม่ต้องมาแบบรู้
00:29:17 → 00:29:20 สึกกิลตี้ที่เรารู้สึกแบบนี้มันก็จะทำให้
00:29:20 → 00:29:22 เราไม่สบายอีกเพราะงั้นถ้าเผื่อเรายอมรับ
00:29:22 → 00:29:25 ตัวเองได้ในด้านที่เราเป็นเพราะว่าทุก
00:29:25 → 00:29:27 อย่างแล้วมันคือความรู้สึกที่คือเป็น
00:29:27 → 00:29:30 มนุษย์อือคือความเกความเสียใจความเศร้า
00:29:30 → 00:29:33 มันมีได้หมดแล้วเรายอมรับตรงนั้นปุ๊บมัน
00:29:33 → 00:29:35 จะรักตัวเองได้มากขึ้นเพราะว่าเรารักตัว
00:29:35 → 00:29:38 เองในด้านที่เราไม่อยากจะรับพอเราเข้าใจ
00:29:38 → 00:29:41 ตัวเองแล้วเราก็จะเข้าใจว่าทำไมเราถึงรู้
00:29:41 → 00:29:43 สึกแบบนี้อย่างเงี้ยค่ะอเอาอะไรที่เป็น
00:29:43 → 00:29:45 scientific บ้างเป็นแบบวิทยาศาสตร์บ้าง
00:29:45 → 00:29:48 มีงานวิจัยหรือว่าการทดลองอะไรที่น่าสนใจ
00:29:48 → 00:29:50 เกี่ยวกับคลื่นเสียงบำบัดบ้างมั้ยคะมัน
00:29:50 → 00:29:52 ตอนความจริงตอนนี้มันมีเยอะมากเลยค่ะแต่
00:29:52 → 00:29:57 ว่าอันที่จันที่จันเห็นหลายๆครั้งก็คือมี
00:29:57 → 00:30:01 ผู้ชายเป็นหมอคนนึงเขาชื่อเอ่อ mitel
00:30:01 → 00:30:03 gainer ค่ะแต่ว่าตอนนี้เขาตายไปละเขา
00:30:03 → 00:30:06 เป็น oncologist ทำเกี่ยวกับแคนเซอร์เน
00:30:06 → 00:30:09 ลูกค้าเขาเป็นมะเร็งแล้วเขาก็คนเขาก็เอา
00:30:09 → 00:30:12 ไปใช้กับคนไข้เวลาแบบ recovery ไม่ได้ใช้
00:30:12 → 00:30:15 แบบีลโดยตรงีลโดยตรงแต่ว่าเอาไปใช้กับการ
00:30:15 → 00:30:18 recovery หรือว่าการที่ช่วยให้คนที่เป็น
00:30:18 → 00:30:21 มะเร็งไม่เครียดที่ตัวเองเป็นหรืออะไร
00:30:21 → 00:30:23 อย่างเงี้ยค่ะตอนเนี้ยความจริงมันไปอีก
00:30:23 → 00:30:26 ไกลมากละจเห็นว่าเขาเหมือนกับมี study
00:30:26 → 00:30:30 ที่กำลังทำอยู่ก็คือเอามาใช้เป็นเหมือน
00:30:30 → 00:30:35 ค่าเซลล์แคนเซอร์อะไรอย่างเงี้ยอือืซึ่ง
00:30:35 → 00:30:37 ยังอยู่ในระหว่างการวิจัยหรือว่า pish
00:30:37 → 00:30:39 แล้วคะใช่น่าจะน่าจะยังอยู่ในการวิจัยค่ะ
00:30:39 → 00:30:42 เอามาลองใชใช้ Sonic Energy ซึ่งเราใช้
00:30:42 → 00:30:45 กันอยู่แล้วในในเครื่องต่างๆพวกเวชกรรม
00:30:45 → 00:30:48 อะไใช่แต่อันเนี้ยเขาเอามา adapt เอามา
00:30:48 → 00:30:52 ใช้ไปกับการที่จะฆ่าเซลล์แคนเซอร์เพราะ
00:30:52 → 00:30:55 ว่าเคบอกว่าแคนเซอร์บางจุดอ่ะมันผ่าก็ไม่
00:30:55 → 00:30:58 ได้จี้เอ้วิธีของเขาก็ไม่ได้ว่ามันร้อนไป
00:30:58 → 00:31:01 มันจะไปโดนเอิ่เส้นเลือดหรืออะไรก็ตาม
00:31:01 → 00:31:04 หรือว่ากินทำคีโมก็ไม่เวิร์คอะไรอย่าง
00:31:04 → 00:31:06 เงี้ค่ะก็เลยต้องหาวิธีอื่นซึ่งตอนนี้มัน
00:31:06 → 00:31:09 ก็จะมีอันนี้ขึ้นมาซึ่งก็เหมือนใช้แบบ
00:31:09 → 00:31:12 คลื่นเสียงแบบไปให้เกิดการสั่นสะเทือนให้
00:31:12 → 00:31:14 มันเกิดการเขย่าอะไรประมาณนใช่ค่ะแล้วก็
00:31:14 → 00:31:19 มีหมอคนนึงที่อเมริกาเหมือนกันที่เขาใช้
00:31:19 → 00:31:22 ถ้าเป็น frequency ก็คือเขาบอกว่าใช้เฮิ
00:31:22 → 00:31:25 40 ช้วยคนที่เป็นอัลไซเมอร์เขาบอกว่า
00:31:25 → 00:31:27 เหมือนคนที่เพิ่งพึ่ง discover ว่าตัวเอง
00:31:27 → 00:31:30 แบบเพิ่ง diagnose ว่าเป็นอัลไซเมอร์ปุ๊บ
00:31:30 → 00:31:33 เขาก็จะเอาคนคันเนี้ยมาแล้วก็บอกว่าให้
00:31:33 → 00:31:37 อาจจะฟังเสียง 40 hz อันนี้แบบอาทิตย์ละ
00:31:37 → 00:31:41 2 ครั้ง 30 นาที 5 อาทิตย์นะแล้วแต่คน
00:31:41 → 00:31:44 ว่าเขาจะให้ยังไงแล้วเขาก็เทสไปแล้วส่วน
00:31:44 → 00:31:47 มากคนที่ทำก็จะแบบ 10% ดีดีขึ้น 10% จำ
00:31:47 → 00:31:49 เรื่องเริ่มจำเรื่องนี้ได้จำชื่อลูกตัว
00:31:49 → 00:31:52 เองกลับมาแล้วอะไรเงี้ซึ่งแบบอาจจะลืมไป
00:31:52 → 00:31:54 แล้วแบบจำไม่ค่อยได้แล้วอะไรอย่างเงี้ย
00:31:54 → 00:31:57 ค่ะทีนี้ถ้าเราเปิดเสียงแบบ Sound Bad
00:31:57 → 00:32:00 ที่แบบว่าอยู่ใน YouTube อ่ะมันมีใช่มะ
00:32:00 → 00:32:03 ใช่มันได้ผลเหมือนกันมยสำหรับแจนนะจนว่า
00:32:03 → 00:32:05 มันได้ผลแต่ว่าไม่เหมือนกันเหตุผลที่มัน
00:32:05 → 00:32:07 ไม่เหมือนกันมันไม่ใช่ว่าเสียงมันไม่
00:32:07 → 00:32:10 เวิร์คนะคะแต่ว่าเป็นเพราะว่าเวลามาทำกับ
00:32:10 → 00:32:12 practitioner ที่ที่ทำเนี่ยเวลาเขาคทำ
00:32:12 → 00:32:16 inten เขาคือทำให้คนที่มาอืสมมุติพี่
00:32:16 → 00:32:19 ชมพู่มาจันก็แบบก็จะนึกว่าใช่จันก็จะทำ
00:32:19 → 00:32:22 ให้พี่ชมพู่โดยเฉพาะว่าเอ๊ะเสียงนี้วัน
00:32:22 → 00:32:24 นี้พี่ชมพูต้องการตรงนี้นะต้องการตรงนี้
00:32:24 → 00:32:26 นะจันก็จะทำตรงนั้นแต่ว่าถ้าเปิดทำใน
00:32:26 → 00:32:28 YouTube อ่ะเคทำ
00:32:28 → 00:32:31 เพื่อให้หลายๆคนฟังเราก็ไม่รู้ว่าหลายๆคน
00:32:31 → 00:32:34 ของเขามันคือใครอ่ะเราไม่รู้ว่าแล้วคนที่
00:32:34 → 00:32:36 เล่นเนี่ยก็สำคัญเอเนอจีของคนที่เล่นก็
00:32:36 → 00:32:38 สำคัญเหมือนกับเราไปหาหมอบางทีเราก็ไม่
00:32:38 → 00:32:41 ชอบหมอคนนี้เลยอืออันนี้มันก็เหมือนกัน
00:32:41 → 00:32:43 ค่ะมาทำอันนี้ก็เหมือนกันแบบมาแล้วก็อาจ
00:32:43 → 00:32:46 จะแบบเออดูใน YouTube แล้วเราไม่รู้ว่า
00:32:46 → 00:32:49 เราชอบคนนี้หรือเปล่าอะไรอย่าเงี้ยอือถ้า
00:32:49 → 00:32:51 มันเป็นเรื่องของ vibration เรื่องของการ
00:32:51 → 00:32:54 สั่นอย่างเงี้ยเสียงที่มันออกมาจากลำโพง
00:32:54 → 00:32:58 โทรศัพท์เราหรือลำโพงทีวีหรือคอมอ่ะอะไร
00:32:58 → 00:33:00 ก็แล้วแต่มันจะเหมือนไวเบรชั่นเดียวกัน
00:33:00 → 00:33:02 กับที่มันมาจากถ้วยเพเพราะว่ามันเป็น
00:33:02 → 00:33:06 เสียงไงมันเป็นโน้ตนั้นแต่นก็คือใช่แต่
00:33:06 → 00:33:10 ว่าโน้ตอ่ะใช่แต่ว่าไเหมือนเหมือๆแต่ว่า
00:33:10 → 00:33:12 อีกอย่างนึงที่เขาบอกว่าไม่ดีก็คือว่า
00:33:12 → 00:33:14 เวลามันออกมาจากลำโพงเบอกว่ามันเป็น
00:33:14 → 00:33:16 electricity ซึ่งเขาบอกว่าเสียง
00:33:16 → 00:33:18 vibration พวกนั้นมันต่ำกว่าเสียงเพราะ
00:33:18 → 00:33:21 ฉะนั้นมันก็อาจจะทำให้ต่ำลงได้จันก็คิด
00:33:21 → 00:33:24 แต่ว่ามันหมายถึงว่าดึงดึงมูดเราอย่าง
00:33:24 → 00:33:26 เงี้ยใช่แต่ว่าจันว่ามันมันเวิร์คนะเพราะ
00:33:26 → 00:33:29 ว่าสำหรับจแล้วจันก็จังก็ทำเพวกนี้
00:33:29 → 00:33:32 ออนไลน์ด้วยหมายถึงว่าทำให้ลูกค้าที่แบบอ
00:33:32 → 00:33:34 อยู่อเมริกาอยู่อะไรไม่มีคนแบบทำเลกิที่
00:33:34 → 00:33:37 อเมริกาตัวกระตุกได้คิดดูทำยังไงอ่ะพลัง
00:33:37 → 00:33:39 มันเข้าไปทำงานของมันเองแล้วตัวมันก็เลย
00:33:39 → 00:33:44 กระตุกอือือันเนี้ยมันต้องเปิดใจนิดนึง
00:33:44 → 00:33:47 เพราะว่ามันไม่ใช่ว่าทุกคนจะกระตุกแล้วก็
00:33:47 → 00:33:49 แต่ว่าส่วนมากเวลาคนทำซาวด์นะจะรู้สึกว่า
00:33:49 → 00:33:52 มันร้อนที่มือแบบเ Energy มันจะลสทางมือ
00:33:52 → 00:33:53 กับทางเท้าเพราะฉะนั้นจะรู้สึกอย่างแรก
00:33:53 → 00:33:56 เลยคือแขนสั่นออย่าเงี้ยค่ะก็แต่บางคนมัน
00:33:56 → 00:34:00 สั่นแรงไงกมีกระตุกนิดนึงอะไรอย่างเงี้ย
00:34:00 → 00:34:05 เออต้องอยากทำแล้วอ่ะเอามทำมทำมได้
00:34:05 → 00:34:10 โอเคเอามือไว้ข้างตัวนะคะแล้วก็เอาแบขึ้น
00:34:10 → 00:34:12 เพราะว่ามันเป็น Position ของการรับแล้ว
00:34:12 → 00:34:16 ก็แค่หลับตาโฟกัสที่ลมหายใจของตัวเองนะคะ
00:34:16 → 00:34:19 หายใจเข้าลึกๆลงมาที่
00:34:19 → 00:34:24 ท้องหายใจออกทาง
00:34:24 → 00:34:28 ปากหายใจเข้า
00:34:28 → 00:34:31 หายใจออกทาง
00:34:31 → 00:34:35 ปากหายใจเข้าทาง
00:34:35 → 00:34:43 จมูกก็หายใจออกทางปากอีกทีนึงนะ
00:34:43 → 00:34:46 คะตอนนี้เราก็มา noce ว่าเราได้ยินเสียง
00:34:46 → 00:34:49 อะไรหรือเปล่าเสียงที่อยู่นอกกายของเรา
00:34:49 → 00:34:54 เราปล่อยให้มันเป็น background เราแค่
00:34:54 → 00:34:57 โฟกัสกับเสียง
00:34:58 → 00:35:03 ของถ้วย
00:35:03 → 00:35:45 [เพลง]
00:36:27 → 00:37:16 เ
00:37:16 → 00:37:27 [เพลง]
00:37:27 → 00:37:40 เ
00:37:40 → 00:38:11 [เพลง]
00:38:11 → 00:38:15 แล้วก็กลับมาที่ตัวเองช้าๆถ้าพร้อมเมื่อ
00:38:15 → 00:38:22 ไหร่แล้วพี่ชมสามารถจะลุกได้
00:38:22 → 00:38:27 เอื้อ
00:38:28 → 00:38:31 ตั้งแต่แรกเลยที่แบบว่าเหมือนพอนอนไปแล้ว
00:38:31 → 00:38:33 พอพอมันเริ่มปุ๊บก็คือรู้สึกผ่อนคลายทัน
00:38:33 → 00:38:37 ทีค่ะอันนี้คือคิดว่าไม่ว่าใครที่ที่ทำ
00:38:37 → 00:38:40 อ่ะก็น่าจะรู้สึกว่ามันมันผ่อนคลายก็จะ
00:38:40 → 00:38:45 รู้สึกว่ารู้สึกตัวมันจมลงไปแบบมันแบบ
00:38:45 → 00:38:47 Connect กับเบาะ Connect กับอะไรอย่า
00:38:47 → 00:38:49 เงี้ยรู้สึกว่าเออมันมันมันจมซึ่งอันนี้
00:38:49 → 00:38:52 เป็นแค่ ministation นะคะปกติ 45 นาทีมัน
00:38:52 → 00:38:55 ก็จะมีถ้วยยาวกว่านี้มีเสียงร้องแล้วก็มี
00:38:55 → 00:38:58 คล้องอะไรอย่างเงี้ยมันก็จะไปได้ไกลอ่าๆ
00:38:58 → 00:39:00 อย่างที่บอกก็คือว่าเวลาที่หายใจออกเราจะ
00:39:00 → 00:39:03 รู้สึกได้ถึงไชแต่ตอนหายใจเข้าไม่รู้สึก
00:39:04 → 00:39:06 นะเอออาจจะอันนี้อาจจะเป็นอันนี้เป็นที่
00:39:06 → 00:39:08 เราไม่เป็นไรไม่เป็นไรมันไม่มีอะไรถูกไม่
00:39:08 → 00:39:10 มีอะไรผิดเลยเพราะว่าทุกคนจะ experience
00:39:10 → 00:39:13 ไม่เหมือนกันมีบางช่วงที่เราอ่ะแบบว่าก็
00:39:13 → 00:39:16 หลุดไปบ้างอะไรอย่างเงี้ยหลุดบ้างหลุดไป
00:39:16 → 00:39:19 นี่คิดถึงว่าก็คิดว่าแบบเอ้ยน้ำลายจะจุบ
00:39:19 → 00:39:21 คอแล้วหรือแบบอะไรอย่าเงี้ยขอคืนน้ำลาย
00:39:21 → 00:39:23 แพบหรือว่าแบบเ้ยน้ำลายฉันไหลรอะไรอย่า
00:39:23 → 00:39:26 เงี้ยมีแบบว่ามีแบบแต่พี่ชมเข้าใจที่พูด
00:39:26 → 00:39:29 ว่ามันเหมือนนั่งสมาธิอ่ะค่ะตรงที่แบบมัน
00:39:29 → 00:39:31 ก็มีหลุดบ้างแต่ว่าเสียงมันจะช่วยดึงเรา
00:39:31 → 00:39:33 กลับมาเร็วขึ้นอะไรอย่างเงี้ยค่ะใช่ก็
00:39:33 → 00:39:35 เนี่ยอย่างที่บอกว่าตรงนี้ก็จะรู้สึกว่า
00:39:35 → 00:39:37 มันมันหนักแต่ไม่ได้หนักแบบแบบที่ไม่ดีนะ
00:39:37 → 00:39:40 คือมันเหมือนมันแบบเออมันมันผ่อนคลายแล้ว
00:39:40 → 00:39:42 ก็พอทำไปสักพักนึงมันจะรู้สึกว่าเหมือน
00:39:42 → 00:39:45 ตัวหายเพราะว่ามันจะมันจะซิงลงไปเออก็คิด
00:39:45 → 00:39:48 นึกไปถึงว่าเออเวลาเรานอนน่ะแล้วถ้าเรา
00:39:48 → 00:39:51 หลับทุกคืนด้วยความรู้สึกแบบเนี้ยมันคงจะ
00:39:51 → 00:39:55 ดีอะไอย่าเงี้ยค่ะแล้วก็ surprisingly ก็
00:39:55 → 00:39:58 คือว่าพอลุกขึ้นมาแล้วแบบเอมาคอๆแล้ว
00:39:58 → 00:40:01 เหมือนเราไม่มีอันเนี้ยเหมือนตัวมันกลับ
00:40:01 → 00:40:03 ขึ้นมาเพราะว่าตั้งใจคือเสียงนี้ที่อจัน
00:40:03 → 00:40:05 ชอบทำตอนจบอ่ะมันเป็นเพราะว่ามันเป็น
00:40:05 → 00:40:07 เสียงที่ grounding ไงกลับมาที่โลกเรา
00:40:07 → 00:40:09 ต้องการจะดึงกลับมาเพราะเวลาเล่นอันเนี้ย
00:40:09 → 00:40:11 เพเหมือนเหมือนตัวเรามันมันยกมันยกขึ้นมา
00:40:11 → 00:40:13 จากเบาะเลยอ่ะเพอมันไม่มีไอ้เงงว่าเล่น
00:40:13 → 00:40:18 ้วยอันเนี้ยมันไปอืโลกไหนก็ไม่รู้ละอือ
00:40:18 → 00:40:22 โลกของเราค่ะแต่ว่าก็คิดว่าที่ได้แน่ๆก็
00:40:22 → 00:40:26 คือการผ่อนคลายเออมันเหมือนพักอ่ะเออ
00:40:26 → 00:40:28 เหมือนๆมันเป็นการมันได้อยู่กับตัวเอง
00:40:28 → 00:40:31 ด้วยค่ะมันเป็นนี่แค่ 10 นาทีเองแล้วมัน
00:40:31 → 00:40:33 ก็จะรู้สึกว่าแบบเมื่อกี้ 10 นาทีเหรอใช่
00:40:34 → 00:40:38 เร็วมากเลยดีๆรีกดีเออตอนเป็นแม่ลูกอ่อน
00:40:38 → 00:40:39 ใหม่ๆ
00:40:39 → 00:40:43 เอ่อลูกชาย 2 คนชอบฟังเสียงทางดวนจริง
00:40:43 → 00:40:47 เหรอคือคอนโดเนี่ยก็จะแบบเหมือนที่อยู่
00:40:47 → 00:40:50 ตอนที่เขาที่เขาเกิดเนี่ยห้องนอนเาก็จะ
00:40:50 → 00:40:53 หันไปทางทางด่วนแล้วก็เวลาคนนึงตื่นเนี่ย
00:40:53 → 00:40:55 เราก็ไม่อยากให้อีกคนนึงตื่นเราก็ไม่รู้
00:40:55 → 00:40:58 จะทำยังไงเราเราก็ง่วงด้วยนอนน้อยด้วย
00:40:58 → 00:41:01 อะไรเงี้ยลองเอาออกไปข้างนอกเพราะว่าเด็ก
00:41:01 → 00:41:03 มันร้องมันแหกปากเงใช่มั้ยก็เอาออกไปข้าง
00:41:03 → 00:41:07 นอกเอ้ยพอเขาได้ยินเสียงรถวิ่ง
00:41:07 → 00:41:10 หลับแล้วมันแปลกมากเลยนะรถเนี่ยเอมันแปก
00:41:10 → 00:41:13 แล้วตอนหลังก็เลยอ๋อฉันไม่ต้องออกแล้วฉัน
00:41:13 → 00:41:14 เปิด
00:41:14 → 00:41:18 YouTube แล้วเวิร์คมยอ่ะเวิร์คๆดูรายการ
00:41:18 → 00:41:20 จบแล้วนะคะก็คอมเมนต์มาบอกกันหน่อยนะคะ
00:41:20 → 00:41:24 ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรนะคะอยากจะให้ชมคุย
00:41:24 → 00:41:27 กับใครหรือว่าอยากจะคุยเรื่องไหนนะคะอยาก
00:41:27 → 00:41:29 ฟังคอมเมนต์ของทุกๆคนเลยค่ะขอคนละ 1
00:41:29 → 00:41:31 คอมเมนต์ก็แล้วกันนะคะเพราะว่าพวกเรา
00:41:31 → 00:41:33 เนี่ยอยากจะปรับปรุงรายการของเราจริงๆค่ะ
00:41:33 → 00:41:35 อยากจะให้ทุกๆบทสนทนาใน on the way
00:41:35 → 00:41:37 with CH ในช่อง Live doot ของเราเนี่ย
00:41:37 → 00:41:41 เปลี่ยนทุกๆคนนะคะไปเป็น Best เัของทุกคน
00:41:41 → 00:41:44 ในทุกๆวันค่ะเราจะมีสุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ
00:41:44 → 00:41:47 ฝากกดไลคกดแชร์กด Subscribe ให้กับช่อง
00:41:47 → 00:41:49 Live doot ด้วยนะคะ Live doot
00:41:49 → 00:41:50 platform Talk ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณใน
00:41:50 → 00:41:54 ทุกมิติค่ะ