00:00:00 → 00:00:02 พลังงานก็คือตัวเรานี่แหละพลังงานที่สอด
00:00:02 → 00:00:05 คล้องอ่ะก็คือสุขภาพที่ดีถ้าพลังงานข้าง
00:00:05 → 00:00:08 ในเราเป็นยังไงอ่ะเราก็จะเลือกสิ่งที่สอด
00:00:08 → 00:00:10 คล้องกับไลฟ์สไตล์หรือว่าชีวิตของเรา
00:00:10 → 00:00:13 นิสัยเกิดจากสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เราคิด
00:00:13 → 00:00:16 นำมาสู่สิ่งที่เรารู้สึกสิ่งที่เรารู้สึก
00:00:16 → 00:00:19 นำมาสู่สิ่งที่เราลงมือทำพอเราลงมือทำซ้ำ
00:00:19 → 00:00:22 ๆอ่ะมันกลายเป็นนิสัยเป็นบุคลิกภาพและ
00:00:22 → 00:00:25 กลายเป็นโชคชะตาของเราความเชื่อของเราอ่ะ
00:00:25 → 00:00:28 มันทำให้เราเปลี่ยนร่างกายของเราได้แต่
00:00:28 → 00:00:33 สิ่งที่ทำให้แบบไปได้ไวกว่าคือNoซebroไม่
00:00:33 → 00:00:35 ได้มีตัวที่ทำให้เกิดโรคแต่ความคิดทำให้
00:00:35 → 00:00:38 เกิดโรคความคิดที่เกิดขึ้นซ้ำๆมีผลต่อ
00:00:38 → 00:00:42 ร่างกายมีผลต่อชีวิตของเราด้วย
00:00:42 → 00:00:48 >> เกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกลโรค
00:00:48 → 00:00:51 สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการเกลา
00:00:51 → 00:00:54 แก้โรคค่ะทุกท่านเคยได้ยินมั้คะว่าคนที่
00:00:54 → 00:00:57 พลังงานดีๆเนี่ยเขามักจะสุขภาพดีกันหรือ
00:00:57 → 00:00:59 เราจะเคยเห็นผู้หลักผู้ใหญ่นะคะที่อายุ
00:00:59 → 00:01:02 ยืนเนี่ยท่านก็มักจะเวลาที่เราไปอยู่ใกล้
00:01:02 → 00:01:04 เนี่ยเราจะรู้สึกรับรู้ได้ถึงพลังงานเย็น
00:01:04 → 00:01:06 ๆสบายๆไม่ร้อนรุ่มเดี๋ยววันนี้แพนด้าว่า
00:01:07 → 00:01:09 เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะว่าพลังงานกับ
00:01:09 → 00:01:12 สุขภาพเนี่ยเขาเกี่ยวข้องกันยังไงแล้ววัน
00:01:12 → 00:01:14 นี้นะคะแพนด้าก็อยู่กับคุณหมอท่านนึงเป็น
00:01:14 → 00:01:17 คุณหมอที่สวยมากแล้วก็น่าจะให้คำตอบได้ดี
00:01:17 → 00:01:19 มากๆด้วยก็คือคุณหมอฟ้าจากเพจหมอฟ้า
00:01:19 → 00:01:20 สมาธิศาสตร์สวัสดีค่ะ
00:01:21 → 00:01:24 >> สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะน้องแพนด้า
00:01:24 → 00:01:25 >> เป็นยังไงบ้างคะตื่นเต้นมั้คะ
00:01:25 → 00:01:27 >> ตื่นเต้นค่ะปกติพูดคนเดียว
00:01:27 → 00:01:28 >> อ้าววันอือๆ
00:01:28 → 00:01:30 >> อ๋อนับเป็นคนมั้คะ
00:01:30 → 00:01:30 >> มัดเป็น
00:01:30 → 00:01:33 >> นับเป็นนะโอเควันนี้ได้คุยกับคนแล้วโอเค
00:01:33 → 00:01:34 ค่ะ
00:01:34 → 00:01:37 >> ค่ะทีนี้อย่างที่แพนด้าเกริ่นไปเนาะว่า
00:01:37 → 00:01:41 เออทำไมคนบางคนที่เขาพลังงานดีๆเนี่ยเามี
00:01:41 → 00:01:43 สุขภาพดีอยากรู้ว่าจริงๆแล้วเรื่องพลัง
00:01:43 → 00:01:45 งานกับสุขภาพเนี่ยค่ะเขาเกี่ยวข้องกัน
00:01:45 → 00:01:45 มั้ยคะ
00:01:46 → 00:01:48 >> บางทีอ่ะเราไปพูดคำว่าพลังงานน่ะเราก็จะ
00:01:49 → 00:01:51 นึกถึงอะไรที่มันแบบออกจากตัวเราอ่ะค่ะ
00:01:51 → 00:01:54 แต่จริงๆแล้วอ่ะพลังงานคือการเคลื่อนไหว
00:01:54 → 00:01:57 ในร่างกายเราอ่ะอะไรที่มันเป็นการเคลื่อน
00:01:57 → 00:01:58 ไหว
00:01:58 → 00:02:01 มีการเข้ามีการออกมีการหมุนเวียนเช่นลม
00:02:01 → 00:02:05 หายใจหรือว่าการเต้นของหัวใจเห็นคะจริงๆ
00:02:05 → 00:02:08 แล้วอ่ะพลังงานก็คือตัวเรานี่แหละพลังงาน
00:02:08 → 00:02:11 ที่สอดคล้องอ่ะก็คือสุขภาพที่ดีพอเวลาที่
00:02:11 → 00:02:13 เราพูดถึงพลังงานอยากให้ทุกคนแบบหรือว่า
00:02:13 → 00:02:15 น้องแพนด้าค่อยๆจินตนาการถึงสิ่งที่
00:02:15 → 00:02:17 เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายเรา
00:02:17 → 00:02:19 >> เออเราจะได้แบบรู้ว่าอ๋อจริงๆมันก็คือตัว
00:02:19 → 00:02:22 เรานี่แหละคือลมหายใจของเราคือเซลล์ของ
00:02:22 → 00:02:23 เราคือร่างกายของเราอ
00:02:23 → 00:02:26 >> ออมันคือมันอยู่ในเนื้อในตัว
00:02:26 → 00:02:27 >> ใช่อยู่ในเนื้อในตัว
00:02:27 → 00:02:30 >> ไอ้แสดงว่าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง
00:02:30 → 00:02:33 ของสุขภาพโดยตรงเลยมั้คะอย่างงี้
00:02:33 → 00:02:35 >> อ่าเกี่ยวข้องโดยตรงมั้อันนี้พี่อาจจะ
00:02:35 → 00:02:38 เล่าจากประสบการณ์แล้วกันค่ะลองนึกถึง
00:02:38 → 00:02:42 เวลาที่เราเครียดเราก็จะไปกินอะไรที่มัน
00:02:42 → 00:02:44 ไม่ได้เป็นสุขภาพอ่ะอาจจะทานน้ำตาลเยอะ
00:02:44 → 00:02:48 หรือว่าทานอาหารfastฟู้ดเราจะเลือกตาม
00:02:48 → 00:02:51 สิ่งที่ข้างในเราเป็นก็คือสุขภาพเราเป็น
00:02:51 → 00:02:53 แบบไหนเราก็จะเลือกแบบนั้นเพราะฉะนั้นน่ะ
00:02:53 → 00:02:56 ค่ะถ้าพลังงานข้างในเราเป็นยังไงอ่ะเราก็
00:02:56 → 00:02:58 จะเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์หรือ
00:02:58 → 00:02:59 ว่าชีวิตของเราอ
00:02:59 → 00:03:01 >> อุ๊ยแต่ถ้าสมมุติว่าเราเถียงแทนบางคนที่
00:03:01 → 00:03:04 บอกว่าอาหารจังฟู้ดหรือแบบช็อกโกแลตหรือ
00:03:04 → 00:03:07 น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีสำหรับเขานะเพราะว่า
00:03:07 → 00:03:09 ช่วยฮีลใจเขาได้เลยอย่างเงี้ยค่ะ
00:03:09 → 00:03:11 >> อ่าอันนี้อาจจะต้องตอบด้วยแบบสารเคมีใน
00:03:11 → 00:03:14 สมองจริงๆแล้วอ่ะคำว่าดีสำหรับเขาถูกต้อง
00:03:14 → 00:03:16 แล้วนะคะน้องแพนด้าเพราะว่าเขาชิน
00:03:16 → 00:03:16 >> อื
00:03:16 → 00:03:19 >> อ่ามันเป็นสารเคมีในร่างกายของเขาอ่ะชิน
00:03:19 → 00:03:22 กับสิ่งนี้เขาก็เลยเลือกสิ่งนี้เออเหมือน
00:03:22 → 00:03:24 แบบบางคนที่กินชานมไข่มุกเคยเห็นมั้ยนาง
00:03:24 → 00:03:28 ก็จะต้องแบบกินทุกเพราะว่าเรากำลังเสพติด
00:03:28 → 00:03:30 สารเคมีในสมองหรือว่าสารเคมีในร่างกายของ
00:03:30 → 00:03:31 เรา
00:03:31 → 00:03:34 >> อืออกเวลาเรากินอะไรที่เรารู้สึกว่าอร่อย
00:03:34 → 00:03:37 หรือเป็นน้ำตาลน้ำหวานอะไรพวกเนี้ยคือเรา
00:03:37 → 00:03:40 ชอบกินแต่ไม่ได้หมายความว่าเราติดที่รส
00:03:40 → 00:03:41 ชาติมันหรอกค่ะอ
00:03:41 → 00:03:43 >> จริงๆมันเกิดจากความเครียดค่ะในร่างกาย
00:03:43 → 00:03:45 เราอ่ะมันจะมีฮอร์โมนฮอร์โมนคือสิ่งที่
00:03:45 → 00:03:49 มันแบบไหลเวียนในร่างกายเราก็คือพลังงาน
00:03:49 → 00:03:51 นี่แหละทีเนี้ยเวลาที่เราอ่ะรู้สึกเครียด
00:03:51 → 00:03:53 ใช่มยเวลาเรารู้สึกเครียดเราจะหลั่งแสน
00:03:53 → 00:03:55 เคมีอย่างเช่นคอร์ติเข้ามาพอคอร์ติซอล
00:03:55 → 00:03:58 เข้ามาปุ๊บเราเครียดเราก็เลยต้องการน้ำ
00:03:58 → 00:04:00 ตาลมาเหมือนสนองนิดความเครียดอ่ะเพราะ
00:04:00 → 00:04:02 ฉะนั้นน่ะค่ะเวลาเสพติดอ่ะเราเสพติด
00:04:03 → 00:04:04 คอร์ติซอล
00:04:04 → 00:04:04 >> อ๋อค่ะ
00:04:04 → 00:04:08 >> เสพติดสารเคมีแห่งความเครียดนั้นและเรา
00:04:08 → 00:04:10 อ่ะก็เลยเอาความหวานมาตอบสนองความเครียด
00:04:10 → 00:04:14 นั้นจริงๆเรากำลังเสพติดสารเคมีนี้มาก
00:04:14 → 00:04:14 กว่าค่ะ
00:04:14 → 00:04:17 >> อค่ะโอน่าสนใจมากๆเลยแล้วเดี๋ยวมีบางคำ
00:04:17 → 00:04:19 ถามที่มันได้อยากถาม
00:04:19 → 00:04:21 >> อ่ะถามไว้ก่อนดีกว่าคืออยากรู้ว่าแล้ว
00:04:21 → 00:04:25 อย่างคอิสตอลคือเราเสพติดใช่มั้คะแต่ว่า
00:04:25 → 00:04:27 ถ้าสมมติสมเรารู้แล้วเนี่ยแต่เรายังมันคง
00:04:27 → 00:04:29 จะหักดิบไม่ได้แต่ถ้าเราจะหักดิบเรามี
00:04:29 → 00:04:32 วิธียังไงบ้างแต่อย่าเพิ่งตอบนะคะเดี๋ยว
00:04:32 → 00:04:35 ไปเรื่อยๆอยากให้ทุกท่านอยู่ฟังจนถึงนาที
00:04:35 → 00:04:37 นั้นที่คุณหมอตอบอ่า
00:04:37 → 00:04:40 >> โอเคค่ะอย่างเมื่อกี้ค่ะคุณหมอบอกว่าเฮ้ย
00:04:40 → 00:04:42 บางครั้งนี่พอเราเครียดร่างกายก็เลย
00:04:42 → 00:04:45 ต้องการน้ำตาลอาจจะมีบางคนที่เขาบอกว่า
00:04:45 → 00:04:49 ไม่ไม่ได้เครียดเลยแต่แค่ชอบกินหวานเฉยๆ
00:04:49 → 00:04:50 มันเกี่ยวยังไงกับ
00:04:50 → 00:04:52 >> ยังไงเอาพูดจากประสบการณ์ฟังแล้วกันค่ะ
00:04:52 → 00:04:55 จริงๆอ่ะการกินหวานวันเดียวอ่ะไม่เป็นไร
00:04:55 → 00:04:58 แต่เราต้องดูว่าเราอ่ะติดเขาไหมติดอ่ะคือ
00:04:59 → 00:05:01 เสพติดหมายความว่าถ้าเรากินหวานแบบเอ้ย
00:05:01 → 00:05:04 นี่ๆหน่อยแล้วเรารู้สึกว่าเราแบบไม่มี
00:05:04 → 00:05:07 เา้าก็ได้อ่ะอันนั้นคือการแบบกินหวานแต่
00:05:07 → 00:05:10 ต้องกินทุกวันหรือว่าเราจะต้องแบบกินกาแฟ
00:05:10 → 00:05:13 ทุกวันกินหวานทุกวันนี่คือการแบบเสพติด
00:05:13 → 00:05:15 ค่ะฉะนั้นแยกที่การเหมือนกับต้องได้รับ
00:05:15 → 00:05:17 มันทุกวันมถ้าไม่ได้รับแล้วเรารู้สึกยัง
00:05:17 → 00:05:20 ไงเรารู้สึกกระวนกระวายมที่จะต้องได้รับ
00:05:20 → 00:05:21 สิ่งนั้นอะไรอย่างเงี้ย
00:05:21 → 00:05:23 >> โหจริงๆถ้าคุยเรื่องนี้เนี่ยอาจจะไม่จบ
00:05:23 → 00:05:26 ได้เพราะว่าจริงๆก็มีพฤติกรรมของผู้ใหญ่
00:05:26 → 00:05:29 หลายๆท่านอย่างคุณพ่อคุณแม่ที่แบบตื่น
00:05:29 → 00:05:32 เช้ามาก็จะมีการกินกาแฟ
00:05:32 → 00:05:34 >> ก็คือก็กินเป็นกิจวัตรอ่ะค่ะ
00:05:34 → 00:05:37 >> คืออย่างงี้ค่ะคือร่างกายเราอ่ะมันจะมี
00:05:37 → 00:05:40 กระบวนการในการทำให้เราอยู่กับสิ่งนั้น
00:05:40 → 00:05:44 ได้เช่นเคยเดินเข้าไปในห้องที่มันเหม็นสี
00:05:44 → 00:05:44 มย
00:05:44 → 00:05:46 >> หรือว่าเดินเข้าไปในห้องที่แบบว่ามีกลิ่น
00:05:46 → 00:05:49 ขยะกลิ่นเหม็นอะไรอย่างเงี้ยตอนแรกเราจะ
00:05:49 → 00:05:51 รู้สึกว่ามันเหม็นแต่พอเราอยู่ไปสักพัก
00:05:51 → 00:05:54 นึงอ่ะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะชินเพราะ
00:05:54 → 00:05:57 เรารู้สึกว่าเราอยู่กับเขาได้อันนี้คือ
00:05:57 → 00:06:00 กลไกร่างกายเพื่อให้เราอ่ะอยู่รอดเพราะ
00:06:00 → 00:06:02 ฉะนั้นในวันที่เราเครียดตอนแรกเราจะรู้
00:06:02 → 00:06:05 สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตมากเอ้ย
00:06:05 → 00:06:08 ฉันมาทำงานที่เนี่ยแบบทำงานตลอดตั้งแต่
00:06:08 → 00:06:10 เช้าจะหลดเย็นมันเป็นแบบเรื่องเครียดอ่ะ
00:06:10 → 00:06:13 แต่ถ้าเกิดผ่านไปสักพักอ่ะเราจะรู้สึกว่า
00:06:13 → 00:06:15 มันอยู่ได้เพราะร่างกายมีกระบวนการแบบ
00:06:15 → 00:06:18 โฮมโอสเตasคือกระบวนการรักษาสมดุลเพื่อ
00:06:18 → 00:06:20 ให้เราอยู่กับสิ่งนั้นได้เพราะฉะนั้น
00:06:20 → 00:06:24 เนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือบางบางทีอ่ะเรา
00:06:24 → 00:06:27 ไม่รู้ว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ
00:06:27 → 00:06:30 หรือว่าอยู่ในอะไรที่มันแบบอยู่ใน
00:06:30 → 00:06:32 สถานการณ์ความเครียดเพราะความเครียดอ่ะ
00:06:32 → 00:06:35 ดันเป็นเราไปแล้วเราชินกับความเครียดไป
00:06:35 → 00:06:37 แล้วอ่ะค่ะเออเราอยู่กับสิ่งนั้นได้เรา
00:06:37 → 00:06:40 อยู่กับกลิ่นสีในห้องนั้นได้ไปแล้วอ่ะมัน
00:06:40 → 00:06:42 ก็เลยไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ร้อนจนบางทีเราอาจ
00:06:43 → 00:06:45 จะต้องแยกแยะว่าเฮ้ย 1 เราไม่ได้เครียด
00:06:45 → 00:06:47 หรือว่า 2 จริงๆเราเครียดแล้วเราไม่รู้
00:06:47 → 00:06:49 งั้นสิ่งที่เราจะรู้ได้เราต้องดูจาก
00:06:49 → 00:06:53 พฤติกรรมค่ะแล้วก็กลับมาจับความรู้สึกอาจ
00:06:53 → 00:06:54 จะต้องเปรียบเทียบอ่ะถ้าเกิดว่าเราเครียด
00:06:54 → 00:06:57 จนชินใช่มยเราลองแบบไปเที่ยวอ่ะหรือว่าทำ
00:06:57 → 00:07:00 ตัวที่แบบสบายๆอ่ะแล้วความรู้สึกมันต่าง
00:07:00 → 00:07:03 กันมั้ถ้ามันต่างกันเราถึงจะวัดได้ว่าเออ
00:07:03 → 00:07:05 จริงๆแล้วฉันชินกับความเครียดนะ
00:07:05 → 00:07:07 >> เพราะว่าวัดในตอนที่เขาเครียดอ่ะมันไม่
00:07:07 → 00:07:11 รู้อ่ะเราอยู่สิ่งนั้นจนชินไปแล้วอ่ะอื
00:07:11 → 00:07:14 >> ค่ะก็เป็นวิธีนึงที่เราจะสามารถเช็คได้
00:07:14 → 00:07:16 ว่าเฮ้ยเรากำลังชินกับความเครียดหรือ
00:07:16 → 00:07:19 เปล่าคือลองพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อม
00:07:19 → 00:07:21 ที่สบายๆขึ้นหรือว่า
00:07:21 → 00:07:21 >> ที่แตกต่าง
00:07:21 → 00:07:23 >> ที่แตกต่างจากที่เราชิน
00:07:23 → 00:07:25 >> อ่าว่าความรู้สึกต่างกันมั้ย
00:07:25 → 00:07:27 >> ใช่ใช่หรือง่ายๆนะถ้ารู้สึกว่ามีวันหยุด
00:07:27 → 00:07:28 อ่ะ
00:07:28 → 00:07:28 >> ค่ะ
00:07:28 → 00:07:31 >> แล้วรู้สึกว่าฉันจะต้องไปหาธรรมชาติฉันจะ
00:07:31 → 00:07:35 ต้องพักวันหยุดแสดงว่าจริงๆแล้วที่ที่เรา
00:07:35 → 00:07:37 อยู่อ่ะร่างกายเขากำลังบอกว่าอันเนี้ยเ
00:07:37 → 00:07:39 ไม่ได้เไม่ได้ชอบเพราะถ้าตรงนี้มันเป็น
00:07:39 → 00:07:42 ที่ที่เราอยู่สบายจริงๆเราไม่จำเป็นที่จะ
00:07:42 → 00:07:44 ต้องตั้งหน้าตั้งตาพักขนาดนั้นอะไรอย่าง
00:07:44 → 00:07:45 เงี้ยเออใช่
00:07:45 → 00:07:47 >> อ๋ออันนี้ชัดเจนค่ะเช่นแบบ
00:07:47 → 00:07:50 >> เอแบบฉันจะต้องหยุดแล้วนะอะไรเงี้ยใช่มี
00:07:50 → 00:07:53 อยากเสาร์อาทิตย์นี้ต้องมีทริปหรืออยากไป
00:07:53 → 00:07:53 หาธรรมชาติ
00:07:53 → 00:07:56 >> หรือว่านอนทั้งวันเพราะว่าร่างกายเขา
00:07:56 → 00:07:58 ต้องการพักผ่อนอะไรอย่างเงี้ยค่ะแสดงว่า
00:07:58 → 00:08:00 ชีวิตส่วนใหญ่ที่เราอยู่อ่ะเขาแบบรู้สึก
00:08:00 → 00:08:03 ว่าเขาไม่ได้พักเต้องวิ่งเเหนื่อยเออวัน
00:08:03 → 00:08:05 ที่เราพักเราก็เลยแบบไม่อยากทำอะไรและ
00:08:05 → 00:08:07 อะไรอย่างเงี้ยมันเป็นกระบวนการรักษา
00:08:07 → 00:08:09 สมดุลของร่างกายอ
00:08:09 → 00:08:11 >> ก็เช็คตัวเองกันได้
00:08:11 → 00:08:12 >> ใช่ๆค่ะ
00:08:12 → 00:08:14 >> แต่มันไม่ได้มีอะไรตายตัวเนาะก็ให้สังเกต
00:08:14 → 00:08:16 ตัวเองกันเยอะๆแล้วกันว่าอันนี้มันเป็น
00:08:16 → 00:08:18 ปกติของเราหรือเปล่าหรือว่าอันนี้ไม่ปกติ
00:08:18 → 00:08:21 ของเรา
00:08:21 → 00:08:24 เรื่องพลังงานกับนิสัยค่ะมันมีความ
00:08:24 → 00:08:25 สัมพันธ์กันมั้คะ
00:08:25 → 00:08:27 >> อจริงๆพลังงานคือนิสัยเลยอาจจะพูดง่ายๆ
00:08:28 → 00:08:30 แบบนี้ที่ตอนแรกพี่บอกไปว่าพลังงานคือการ
00:08:30 → 00:08:32 เคลื่อนไหวใช่มั้ยคะสิ่งนึงที่สำคัญมาก
00:08:32 → 00:08:36 อ่ะคือความรู้สึกสังเกตมยเวลาที่เราแบบ
00:08:36 → 00:08:38 โกรธมากๆน้องแพนด้าเคยโกรธมากๆมั้ย
00:08:39 → 00:08:39 >> เคย
00:08:39 → 00:08:42 >> ถ้าโกรธมากๆบางทีแบบเนื้อตัวเราจะสั่น
00:08:42 → 00:08:44 >> เออสายตาเราก็จะไม่เหมือนเดิมเราจะพูด
00:08:44 → 00:08:47 เสียงดังขึ้นใช่มั้ยคะมันคือพลังงานที่
00:08:47 → 00:08:50 ถูกส่งออกมาเออพลังงานคือความรู้สึกทีนี้
00:08:50 → 00:08:53 เราต้องรู้ว่านิสัยเกิดมาได้ยังไงจริงๆ
00:08:53 → 00:08:57 อ่ะนิสัยเกิดจากสิ่งที่เราคิดในมนุษย์เรา
00:08:57 → 00:09:00 อ่ะค่ะเขาจะมีอิเล็กโต magnetic field
00:09:00 → 00:09:03 คือหมายความว่ารอบๆตัวเราอ่ะมันจะมีสนาม
00:09:03 → 00:09:05 พลังงานเช่นแบบว่าแฟนเรางอน
00:09:05 → 00:09:05 >> ค่ะ
00:09:06 → 00:09:08 >> ที่อยู่ในรถที่เป็นแบบพื้นที่ปิดเขาไม่
00:09:08 → 00:09:10 ได้พูดอะไรเลยนะแต่เรารับรู้ได้ถึงแบบ
00:09:10 → 00:09:13 หลังสีอัมหิตอ่ะที่เขาส่งมาโดยที่เขาไม่
00:09:13 → 00:09:15 ต้องพูดอะไรเพราะว่าจริงๆแล้วเนี่ยมนุษย์
00:09:15 → 00:09:19 ส่งพลังงานหากันตลอดเวลาหรือเคยเจอแบบไม่
00:09:19 → 00:09:22 รู้จักคนนี้เลยแต่เข้าไปทีไรแล้วเรารู้
00:09:22 → 00:09:24 สึกไม่ชอบคนนี้จังเลยอ่ะโดยที่ไม่ต้องพูด
00:09:24 → 00:09:27 อะไรเลยหรือว่าเรารู้สึกว่าอยู่ใกล้คนนี้
00:09:27 → 00:09:29 แล้วเรารู้สึกสบายใจจังเลยโดยที่เราอาจจะ
00:09:29 → 00:09:32 ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหมายความว่าเออจริง
00:09:32 → 00:09:34 ๆแล้วอ่ะเราไม่ได้คุยกันที่คำอย่างเดียว
00:09:34 → 00:09:37 เราคุยกันทางแบบสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยเออ
00:09:37 → 00:09:39 อย่างเงี้ยก็จะเห็นภาพอย่างที่เราไม่ชอบ
00:09:39 → 00:09:42 คนเนี้ยเออเขาไม่ได้มาทำอะไรให้ฉันแต่รู้
00:09:42 → 00:09:44 สึกไม่ถูกชะตาเลยอ่ะเพราะว่าเขาก็ส่งพลัง
00:09:44 → 00:09:47 งานหาเราหรือบางคนแบบออล่ามากเลยเดินมา
00:09:47 → 00:09:49 แล้วแบบเคยเห็นคนที่เด็กๆวิ่งเข้าหามั้ย
00:09:49 → 00:09:50 ค่ะ
00:09:50 → 00:09:53 >> หรือว่าไปอยู่ที่ไหนก็รู้สังหรือว่าเวลา
00:09:53 → 00:09:55 เราไปหาพระที่เรารู้สึกสงบร่มเย็นน่ะค่ะ
00:09:55 → 00:09:58 เพราะว่ามันมีพลังงานออกมาทีเนี้พลังงาน
00:09:58 → 00:10:01 เกี่ยวข้องกับนิสัยตรงที่ว่านิสัยที่เรา
00:10:01 → 00:10:03 บอกอ่ะมันเกิดจากสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เรา
00:10:03 → 00:10:06 คิดนำมาสู่สิ่งที่เรารู้สึกสิ่งที่เรารู้
00:10:06 → 00:10:09 สึกนำมาสู่สิ่งที่เราลงมือทำเออพอเราลง
00:10:09 → 00:10:12 มือทำซ้ำๆอ่ะมันกลายเป็นนิสัยเป็น
00:10:12 → 00:10:15 บุคลิกภาพและกลายเป็นโชคชะตาของเราอ่ะยก
00:10:15 → 00:10:17 ตัวอย่างง่ายๆถ้าวันเนี้ยค่ะเราแบบเริ่ม
00:10:17 → 00:10:20 จะลดน้ำหนักแหละเราต้องคิดก่อนใช่มยว่า
00:10:20 → 00:10:23 เอ้ยฉันจะเป็นคนสุขภาพดีแล้วเราก็มี
00:10:23 → 00:10:25 inspiration เราก็มีแรงบันดาลใจเรารู้
00:10:25 → 00:10:28 สึกเออพอเริ่มรู้สึกปุ๊บเราจะเริ่มปรับ
00:10:28 → 00:10:32 เปลี่ยนอาหารที่เรากินเริ่มไปยิ้มพอไป
00:10:32 → 00:10:34 ยิ้มซ้ำๆอ่ะมันก็เริ่มน้ำหนักลงมันก็
00:10:34 → 00:10:37 เริ่มแบบมีกล้ามเนื้อถูกมั้ยคะอันนั้นก็
00:10:37 → 00:10:40 เลยกลายเป็นคนสุขภาพดีสิ่งที่คนเห็นว่า
00:10:40 → 00:10:42 เฮ้ยคนนี้หุ่นดีจังเลยอ่ะจริงๆแล้วมันคือ
00:10:42 → 00:10:46 การลงมือทำซ้ำๆจนเป็นนิสัยแต่มันเริ่มจาก
00:10:46 → 00:10:48 สิ่งเล็กๆก็คือสิ่งที่เขาคิดอ่ะเค้าเห็น
00:10:49 → 00:10:52 ตัวเองว่าเค้าไม่ควรสุขภาพดีเค้าถึงลงมือ
00:10:52 → 00:10:54 ทำสอดคล้องกับสิ่งที่เขาคิดเพราะฉะนั้น
00:10:54 → 00:10:58 นิสัยที่เราเห็นภายนอกบุคลิกภาพของคนนี้
00:10:59 → 00:11:01 หรือว่าแบบเอ้ยคนนี้เป็นคนแบบเนี้ยจริงๆ
00:11:01 → 00:11:03 เกิดจากสิ่งที่เล็กที่สุดคือสิ่งที่เขา
00:11:03 → 00:11:06 คิดและสิ่งที่เขารู้สึกมันก็เลยเป็นเหตุ
00:11:06 → 00:11:10 ผลว่าทำไมสิ่งที่เรามองไม่เห็นน่ะมันถึง
00:11:10 → 00:11:12 ส่งผลกับสิ่งที่มองเห็นเออหรือที่เขา
00:11:12 → 00:11:14 เรียกว่าการ manifest อะไรเงี้ยซึ่ง
00:11:14 → 00:11:15 เดี๋ยวเราคุยกันต่อไป
00:11:15 → 00:11:18 >> อค่ะเมื่อกี้ค่ะที่คุณหมอบอกว่าเอ่อจริง
00:11:18 → 00:11:21 จริงๆเราไม่ได้คุยกันแค่คำพูดมีสนามพลัง
00:11:21 → 00:11:22 งานอยู่รอบตัวเรา
00:11:22 → 00:11:23 >> อ
00:11:23 → 00:11:26 >> อาจจะมีคำถามนึงค่ะที่แปลกๆอีกและ
00:11:26 → 00:11:26 >> จ้ะ
00:11:26 → 00:11:29 >> เช่นแล้วอย่างเงี้ค่ะบางคนที่สงสัยเรื่อง
00:11:29 → 00:11:30 กระแสจิต
00:11:30 → 00:11:30 >> อื
00:11:30 → 00:11:33 >> อันนี้เกี่ยวข้องกับสนามพลังงานตรงนี้มั้
00:11:33 → 00:11:34 คะที่แบบ
00:11:34 → 00:11:38 >> ส่งแพนด้าเคยมีประสบการณ์สักครั้งมั้ยที่
00:11:38 → 00:11:41 นึกถึงใครและเา้าแบบว่าทักมาหาเรา
00:11:41 → 00:11:42 >> มีค่ะเพื่อนสนิท
00:11:42 → 00:11:45 >> เออหรือว่าทุกคนที่แบบว่าดูช่องนี้ก็ได้
00:11:45 → 00:11:48 ลองนึกดูว่าอยู่ดีๆอ่ะเออนึกถึงคนนี้แล้ว
00:11:48 → 00:11:52 เโทรมาหรือว่านึกถึงอยากกินทุเรียนอะไร
00:11:52 → 00:11:55 อย่างเงี้ยเออมันมันก็จะเข้ามาอะไรอย่าง
00:11:55 → 00:11:56 เงี้ยจริงๆอ่ะเราสื่อสารแบบนั้น
00:11:56 → 00:11:58 >> แต่ว่าถ้าอธิบายมันก็จะลึกใช่มั้
00:11:58 → 00:11:59 >> มันจะลึกมันจะลึกใช่
00:11:59 → 00:12:02 >> โอเคค่ะก็ไม่เป็นไรแต่ว่าถ้าอยากรู้เพิ่ม
00:12:02 → 00:12:03 นี่ก็คือติดตามช่องคุณหมอได้
00:12:03 → 00:12:06 >> ได้ค่ะขอบคุณค่ะ
00:12:06 → 00:12:09 >> ทีนี้อย่างที่เราคุยกันว่านิสัยเนี่ยกับ
00:12:09 → 00:12:11 พลังงาน่ะจริงๆก็คือเป็นสิ่งเดียวกันเลย
00:12:11 → 00:12:16 อ่าแล้วนิสัยอะไรที่ส่งเสริมพลังงานบวก
00:12:16 → 00:12:18 และนิสัยอะไรที่ส่งเสริมพลังงานลบในตัว
00:12:18 → 00:12:19 เราอ่ะค่ะ
00:12:19 → 00:12:23 >> อืโอเคถ้าแบบเนี้ยพี่ขอพูดในมุมมองของ
00:12:23 → 00:12:24 ฮอร์โมน
00:12:24 → 00:12:27 >> หรือว่าในมุมมองของร่างกายเพราะฉะนั้น
00:12:27 → 00:12:29 เนี่ยถ้าเกิดว่าเป็นนิสัยลบเราก็จะมองว่า
00:12:29 → 00:12:32 อ๋ออะไรนะที่ทำให้เกิดการหลังฮอร์โมนแห่ง
00:12:32 → 00:12:35 ความเครียดหรือว่าฮอร์โมนคอร์ติซอลอย่าง
00:12:35 → 00:12:37 เช่นการที่เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองอะไร
00:12:37 → 00:12:39 อย่างเงี้ยค่ะหรือว่าการเปรียบเทียบตัว
00:12:39 → 00:12:41 เองการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้เรารู้
00:12:41 → 00:12:45 สึกเครียดทำให้เกิดฮอร์โมนคอร์ติซอลเมื่อ
00:12:45 → 00:12:47 ซ้ำๆอ่ะสิ่งนั้นก็จะทำให้เราเลือก
00:12:47 → 00:12:49 พฤติกรรมความเครียดแล้วก็เป็นคนที่นิสัย
00:12:49 → 00:12:51 ในเชิงลบอ่ะค่ะแต่มีอันนึงที่พี่รู้สึก
00:12:51 → 00:12:55 ว่าสำคัญมากๆเนที่อยากจะบอกก็คือว่าไม่
00:12:55 → 00:12:59 อยากให้ตีความว่าอันเนี้ยมันเป็นนิสัย
00:12:59 → 00:13:03 เชิงบวกหรือว่านิสัยเชิงลบขนาดนั้นพี่
00:13:03 → 00:13:06 อยากให้มองว่าทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นน่ะ
00:13:06 → 00:13:10 >> เป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดาสิ่งที่
00:13:10 → 00:13:13 พี่เจอก็คือว่าหลายๆคนน่ะค่ะพยายามผลัก
00:13:13 → 00:13:16 ใส่เอ้ยเดี๋ยวแบบหมอฟ้าบอกว่าอันนี้มัน
00:13:16 → 00:13:18 เป็นนิสัยเชิงลบนะมันเป็นนิสัยที่ทำให้
00:13:18 → 00:13:21 เราแบบอยู่ในอารมณ์ไม่ดีอ่ะแล้วฉันอยากจะ
00:13:21 → 00:13:24 เอาสิ่งนี้ออกไปอ่ะค่ะมันทำให้เราแบบกลาย
00:13:24 → 00:13:26 เป็นคนที่แบบว่าปฏิเสธตัวเองด้วยเพราะ
00:13:26 → 00:13:29 จริงๆแล้วเนี่ยทั้งบวกและลบมันก็คือความ
00:13:29 → 00:13:31 เป็นมนุษย์อ่ะเออให้แบบค่อยๆกลับมายอมรับ
00:13:31 → 00:13:33 ตรงเนี้ยถึงจะทำให้เราเป็นคนที่แบบพลัง
00:13:33 → 00:13:35 งานดีจริงๆอะไรเงี้ย
00:13:35 → 00:13:38 >> แพนด้าเคยเห็นสเกลนึงค่ะที่เป็น scale of
00:13:38 → 00:13:42 emotion ก็คือเป็นที่เขาไล่ระดับอารมณ์
00:13:42 → 00:13:44 >> อ่าอันนี้อยากให้หมอฟ้าช่วยอธิบายเพิ่ม
00:13:44 → 00:13:45 เติมหน่อยค่ะ
00:13:45 → 00:13:47 >> อ๋อโอเคค่ะอันนั้นน่ะเขาเรียกว่าเป็น
00:13:47 → 00:13:50 emotional guidance scale คือเขาเอา
00:13:50 → 00:13:52 อารมณ์ของมนุษย์นี่แหละค่ะมาตีว่า
00:13:53 → 00:13:56 อันเนี้ยฉันอยู่ในอารมณ์ระดับไหนนะถ้า
00:13:56 → 00:13:58 เกิดว่าโกรธหรือว่าเกลียดฉันอยู่ใน 50
00:13:58 → 00:14:01 ถ้าฉันมีความอยากฉันอยู่ใน 100 เพื่อให้
00:14:01 → 00:14:05 ดูว่าเราอยู่ในเลเวลไหนซึ่งอันเนี้ยค่ะ
00:14:05 → 00:14:07 มันเป็นมันเป็นดาบสังคมเหมือนกันหมายความ
00:14:08 → 00:14:11 ว่าหลายครั้งอ่ะเราจะไปอยู่ในสเกลสูงก็
00:14:11 → 00:14:14 คือความสุขหรือว่าสิ่งที่ทำให้เราแบบดึง
00:14:14 → 00:14:17 ดูดสิ่งดีๆมีความสุขอะไรเงี้ยจนเราลืม
00:14:17 → 00:14:20 ปฏิเสธไม่เอาด้านล่างอ่ะเออไม่เอาอารมณ์
00:14:20 → 00:14:24 ทางด้านลบซึ่งการตีสเกลนี้อ่ะค่ะ
00:14:24 → 00:14:26 >> ไม่ได้หมายความว่าถ้าฉันรู้สึกโกรธแล้ว
00:14:27 → 00:14:30 มันจะเป็นแบบ 100 เลยนะสเกลนั้นคือเหมือน
00:14:30 → 00:14:32 ขั้นบันไดที่เรายืนอยู่
00:14:32 → 00:14:32 >> ค่ะ
00:14:32 → 00:14:37 >> เออถ้าเคยแบบนึกถึงชื่อเพื่อนคนนึงแล้ว
00:14:37 → 00:14:40 แบบคนนี้เท่ากับเป็นคนแบบไหนม
00:14:40 → 00:14:40 >> อ
00:14:40 → 00:14:45 >> คนเนี้ยเป็นคนขี้โมโหคนเนี้ยเป็นคนขี้
00:14:45 → 00:14:46 หงุดหงิด
00:14:46 → 00:14:50 คนนี้เป็นคนอารมณ์ดีนะเออไอ้คำว่าเป็นคน
00:14:50 → 00:14:54 น่ะค่ะการเป็นน่ะคือสิ่งที่เขารู้สึกซ้ำๆ
00:14:54 → 00:14:56 และทำบ่อยๆ
00:14:56 → 00:14:56 >> อื
00:14:56 → 00:14:59 >> คนภายนอกก็เลยเห็นเขาเป็นแบบนั้น
00:14:59 → 00:15:01 >> เช่นคนนี้แบบโอเจอทุกครั้งแบบนางวีนแตก
00:15:01 → 00:15:05 ทุกครั้งแสดงว่าไม่ว่าอะไรมากระทบคนนี้ก็
00:15:05 → 00:15:09 หวีนหรือคนเนี้ยเป็นคนใจเย็นเออแสดงว่า
00:15:09 → 00:15:11 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนางก็ใจเย็นมันคือ
00:15:11 → 00:15:14 สิ่งที่เขาตอบสนองกับโลกซ้ำๆอ
00:15:14 → 00:15:18 >> อืนั่นน่ะคือการเป็นก็คือนิสัยอ่ะทุกคนจะ
00:15:18 → 00:15:21 ค่อยๆเห็นแบบโมเมนตัมว่าเออจริงๆแล้วอ่ะ
00:15:21 → 00:15:23 ค่ะไอ้พวกแบบพลังงานที่เขาบอกมันคือ
00:15:23 → 00:15:26 อารมณ์พออารมณ์มันเกิดขึ้นซ้ำๆเขาทำซ้ำๆ
00:15:26 → 00:15:28 มันเลยกลายเป็นนิสัย
00:15:28 → 00:15:30 >> เออคือขั้นบันไดที่เขาอยู่อ่ะว่าคนนี้ขี้
00:15:30 → 00:15:34 โกรธคนนี้ขี้แบบอิจฉาคนนี้ขี้อันนั้นคือ
00:15:34 → 00:15:36 สิ่งที่เราทำซ้ำๆเพราะฉะนั้น Emotional
00:15:36 → 00:15:38 Guidance scale ไม่ใช่แค่อารมณ์ใน 1
00:15:38 → 00:15:41 ฉากแต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆจนเขาเสพติด
00:15:41 → 00:15:44 อารมณ์นั้นและเป็นคนแบบนั้นเขาก็จะปล่อย
00:15:44 → 00:15:46 ขึ้นพลังงานแบบนั้นออกมาอย่างเท่านั้น
00:15:46 → 00:15:47 เอง่ะ
00:15:47 → 00:15:49 >> เข้าใจมากขึ้นแล้วแปลว่าจริงๆแล้วเนี่ย
00:15:49 → 00:15:51 ไอชาร์จที่เราขึ้นให้ดูตอนเค่ะจริงๆแล้ว
00:15:51 → 00:15:54 ถ้าเราดูเป็นปกติอย่างที่หมอฟ้าบอกคือ
00:15:54 → 00:15:58 จริงๆเราทุกคนน่ะมีแทบทุกสเกลแหละอ่าเป็น
00:15:58 → 00:16:01 เรื่องปกติเลยแต่ว่าสเกลอ่าชั้นไหนที่เรา
00:16:01 → 00:16:04 แบบมีอยู่บ่อยๆอันนั้นน่ะมันคือการเป็น
00:16:04 → 00:16:05 ของเราละอ
00:16:05 → 00:16:06 >> ใช่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแหละ
00:16:06 → 00:16:08 >> อ่าแล้วก็ทำให้คนอื่นจดจำเราแบบนี้
00:16:08 → 00:16:09 >> ใช่
00:16:09 → 00:16:11 >> ข่าวดีก็คือว่าถ้าเราอยู่ในชั้นที่ไม่
00:16:11 → 00:16:13 ค่อยจะชอบไม่ค่อยโอเค
00:16:13 → 00:16:14 >> ก็เปลี่ยนได้
00:16:14 → 00:16:15 >> ได้
00:16:15 → 00:16:15 >> อ่ะ
00:16:15 → 00:16:18 >> ได้อันนี้ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เออจริง
00:16:18 → 00:16:20 ๆแล้วอ่ะเราสามารถเปลี่ยนตัวเราเองได้
00:16:20 → 00:16:23 เปลี่ยนนิสัยพอเปลี่ยนนิสัยจะเปลี่ยนโชค
00:16:23 → 00:16:24 ชะตาชีวิต
00:16:24 → 00:16:24 >> ออ
00:16:24 → 00:16:26 >> เออเปลี่ยน Destiny เลย
00:16:26 → 00:16:30 >> ค่ะอุ๊ยแต่ว่าถ้าอย่างเราอาจจะไม่รู้หรอ
00:16:30 → 00:16:33 คะว่าตอนนี้เราอยู่ในชั้นไหนมีวิธีในการ
00:16:33 → 00:16:34 สังเกตเรามั้คะ
00:16:34 → 00:16:35 >> รู้ตัว
00:16:35 → 00:16:35 >> อื
00:16:35 → 00:16:39 >> มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของสติว่าทำไมสติ
00:16:39 → 00:16:43 ถึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนิสัยหรือ
00:16:43 → 00:16:45 ว่าจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตเลย
00:16:45 → 00:16:49 >> เพราะถ้าเราไม่รู้ตัวเราจะไหลไปกับสิ่ง
00:16:49 → 00:16:52 ที่เราเคยชินต้องบอกก่อนว่าตัวเราอ่ะมัน
00:16:52 → 00:16:56 คือระบบอัตโนมัติคำว่าระบบอัตโนมัติคือ
00:16:56 → 00:16:59 เราเคยทำแบบไหนเคยเลือกแบบไหนเราจะเลือก
00:16:59 → 00:17:02 แบบนั้นเพราะว่าสมองเราอ่ะค่ะต้องเซต
00:17:02 → 00:17:05 อัตโนมัตินางเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานเยอะ
00:17:05 → 00:17:07 เพราะฉะนั้นเนี่ยเขาจะต้องทำยังไงก็ได้
00:17:07 → 00:17:10 ให้เขาใช้พลังงานน้อยคือเซตออโตมติเคยไหม
00:17:10 → 00:17:13 ที่แบบเวลาเราขับรถเคยไปทำงานทางขวาเงี้ย
00:17:13 → 00:17:15 แต่วันนี้ฉันไม่ต้องทำงานแล้วนะแต่ฉันก็
00:17:15 → 00:17:18 ยังจิตจดจำอยู่อะไรเงี้ยจำว่าเราต้องไป
00:17:18 → 00:17:21 ทางนั้นเราเคยแบบว่าโมโหทุกครั้งที่มี
00:17:21 → 00:17:23 อะไรมากระทบอ่ะเราจะทำสิ่งนั้นโดย
00:17:23 → 00:17:24 อัตโนมัติ
00:17:24 → 00:17:25 >> อื
00:17:25 → 00:17:27 >> เออเพราะว่าเราชินไงค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:17:27 → 00:17:30 ถ้าเกิดว่าวันเนี้ยเรารู้ตัวว่าเราเป็นคน
00:17:30 → 00:17:32 ขี้หงุดหงิดอ่ะจุดเปลี่ยนว่าเราจะเปลี่ยน
00:17:32 → 00:17:36 อะไรได้เราต้องกลับมารู้ตัวเยอะๆเอ้ยตอน
00:17:36 → 00:17:39 เนี้ยฉันกำลังหงุดหงิดแล้วนะเพื่อให้เรา
00:17:39 → 00:17:43 เลือกทางใหม่อ่ะจากปกติแบบรถตัดหน้าฉัน
00:17:43 → 00:17:46 ฉันจะด่าละเราเคยตอบสนองแบบนี้จนเป็น
00:17:46 → 00:17:50 ออโตแมติใช่มั้คะแต่ในวันที่เราอ่ะจะตัด
00:17:50 → 00:17:52 สินใจว่าเราจะเป็นคนใจเย็นคือเราจะไม่ตอบ
00:17:52 → 00:17:55 สนองแล้วอ่ะมันต้องมีสติรู้อ่ะไอ้จุดตรง
00:17:55 → 00:17:58 กลางเพื่อให้เราเลือกใหม่ว่าฉันจะไม่ด่า
00:17:58 → 00:17:58 >> อ
00:17:58 → 00:18:01 >> เออซึ่งถ้าไม่มีจุดของการรู้ตัวหรือว่า
00:18:01 → 00:18:03 สติตรงเนี้ยมันเปลี่ยนไม่ได้
00:18:03 → 00:18:03 >> อื
00:18:03 → 00:18:07 >> มันจะไหลเราจะชินเราจะทำแบบที่เราเคยทำ
00:18:07 → 00:18:08 เพราะว่ามันใช้พลังงานน้อย
00:18:08 → 00:18:10 >> เออมันไม่ต้องใช้พลังงานเยอะมันไม่
00:18:10 → 00:18:11 เหนื่อย
00:18:11 → 00:18:11 >> อื
00:18:11 → 00:18:13 >> เออเออสมองจะเซตแบบนี้
00:18:14 → 00:18:17 >> อือจริงๆแล้วการเปลี่ยนนิสัยเนี่ยคือบาง
00:18:17 → 00:18:18 ท่านอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
00:18:18 → 00:18:20 เหมือนกันเนาะเพราะว่านิสัยเป็นสิ่งที่
00:18:20 → 00:18:21 เราสะสมมานานอ
00:18:21 → 00:18:23 >> แต่ว่าอย่างที่คุณหมอยกตัวอย่างเนี่ยชัด
00:18:23 → 00:18:26 เจนมากว่าเริ่มให้ได้ก่อน
00:18:26 → 00:18:26 >> ใช่
00:18:26 → 00:18:28 >> เออเพราะว่าเมื่อเริ่มแล้วรู้ตัวทุกครั้ง
00:18:28 → 00:18:29 เนี่ย
00:18:29 → 00:18:30 >> มันจะค่อยๆเปลี่ยนไปเอง
00:18:30 → 00:18:33 >> ใช่ใช่อย่างน้อยที่สุดอ่ะค่ะให้กลับมารู้
00:18:33 → 00:18:36 ตัวรู้ตัวในที่เนี้ยไม่จำเป็นที่จะต้อง
00:18:36 → 00:18:38 นั่งทำสมาธิอย่างเช่นพี่คุยกับแพนด้าก็
00:18:38 → 00:18:42 คือรู้ตัวขับรถให้รู้ตัวเพื่อให้กลับมา
00:18:42 → 00:18:42 อยู่ตรงเนี้ย
00:18:42 → 00:18:43 >> อ
00:18:43 → 00:18:45 >> เหมือนเป็นการฝึกกำลังจิตให้มันแข็งแรง
00:18:45 → 00:18:48 อ่ะค่ะเหมือนเรายกเวทอ่ะเออให้ตรงเแข็ง
00:18:48 → 00:18:51 แรงเพราะว่าเราก็ต้องยอมรับอ่ะว่าเวลาเรา
00:18:51 → 00:18:54 จะสร้างนิสัยหรือทำอะไรมันใช้เวลามันใช้
00:18:54 → 00:18:57 กำลังมันเหมือนเราจะต้องค่อยๆไปทีละนิด
00:18:57 → 00:18:57 อ่ะค่ะ
00:18:57 → 00:19:00 >> โหแล้วถ้าสมมุติบางคนที่กำลังอยู่ในขั้น
00:19:00 → 00:19:03 ตอนในการเปลี่ยนนิสัยเอ่อเริ่มรู้ตัวมาก
00:19:03 → 00:19:05 ขึ้นละแต่ว่าอ
00:19:05 → 00:19:08 >> สมมุตินะคะว่าเาทำมาได้สักอาทิตย์นึงละโอ
00:19:08 → 00:19:10 เริ่มเริเริ่มเริ่มไปอีกขั้วนึงดีขึ้นอ่า
00:19:10 → 00:19:14 ๆวันที่ 8 กลับไปเป็นคนที่หงุดหงิดเหมือน
00:19:14 → 00:19:17 เดิมแบบแล้วเรู้สึกว่าแบบฉันคงเปลี่ยนไม่
00:19:17 → 00:19:20 สำเร็จหรอกอคุณหมอมีคำแนะนำยังไง
00:19:20 → 00:19:23 >> ถ้ามีวันใดที่เริ่มที่จะเปลี่ยนเรารู้สึก
00:19:23 → 00:19:28 ว่ายังทำไม่ได้อ่ะค่ะให้กลับมาให้อภัยตัว
00:19:28 → 00:19:30 เองการให้อภัยตัวเองหรือว่าการยอมรับอ่ะ
00:19:30 → 00:19:33 มันทำให้เราไปต่อได้คือไอ้สเต็ปที่แบบเออ
00:19:33 → 00:19:36 ไม่ได้อ่ะแล้วแบบเออไม่เป็นไรเอาใหม่อ่ะ
00:19:36 → 00:19:38 อันนั้นสำคัญมากกว่าอีกเพราะว่ามันทำให้
00:19:38 → 00:19:42 เราแบบไปต่อได้พี่มีแบบหลายเคสมากค่ะที่
00:19:42 → 00:19:45 เขาต้องการที่จะเปลี่ยนจุดสำคัญเวลาแบบ
00:19:45 → 00:19:46 หลายครั้งที่เราโคachชิ่งหรือว่าเราคุย
00:19:46 → 00:19:49 กับคนน่ะค่ะไม่ใช่แค่แบบวันที่ปรบมือให้
00:19:49 → 00:19:51 เขาในวันที่เขาทำสำเร็จนะแต่คือการปรบมือ
00:19:52 → 00:19:54 ให้เขาในวันที่เขาทำไม่ได้ด้วยเพื่อให้
00:19:54 → 00:19:56 เขา้าอ่ะรู้สึกว่าการที่มันล้มเหลวบ้าง
00:19:56 → 00:19:58 อะไรอย่างเงี้ยคือเรื่องธรรมดาแล้วเดี๋ยว
00:19:59 → 00:20:00 เขาจะไปได้เอง
00:20:00 → 00:20:01 >> มันก็คือขั้นตอนนึง
00:20:01 → 00:20:05 >> ใช่มันคือกลับมายอมรับอ่ะให้อภัยยอมรับ
00:20:05 → 00:20:05 >> อื
00:20:05 → 00:20:08 >> อืแต่ว่าจริงๆเนาะพอถ้าเราพูดถึง scale
00:20:08 → 00:20:10 of emotion อย่างกรณีเมื่อกี้เช่นทำมา
00:20:10 → 00:20:13 ได้ 7 วันความถี่ก็คือ 7 วันละแต่อาจจะ
00:20:13 → 00:20:16 วันที่ 8 อาจจะมีครั้งนึงที่แบบกลับไปรู้
00:20:16 → 00:20:19 สึกไม่ดีรู้สึกโมโหอีกแต่ว่าความถี่มัน
00:20:19 → 00:20:21 ต่างกันแล้วไงไอ้สิ่งที่พลังงานที่เรา
00:20:21 → 00:20:24 อยู่สูงๆมันมากกว่าแล้วใช่มั้คะเมื่อกี้
00:20:24 → 00:20:27 ใช่มยในวันที่เราแบบไม่ได้อ่ะแต่ในวันที่
00:20:27 → 00:20:31 เรายอมรับอ่ะค่ะสเกลมันขึ้นไป 300-350
00:20:31 → 00:20:34 แล้วอ่ะเพราะฉะนั้นน่ะแค่กลับมายอมรับว่า
00:20:34 → 00:20:36 ไม่ได้เออไม่ได้ก็คือไม่ได้อ่ะมันคือ
00:20:36 → 00:20:38 คลื่นสูงแล้วนะคะเออเพราะต้องยอมรับก่อน
00:20:38 → 00:20:40 มันถึงไปต่อได้
00:20:40 → 00:20:42 >> อืจริงๆยอมรับก็
00:20:42 → 00:20:43 >> ใช่คลื่นสูงแล้ว
00:20:43 → 00:20:45 >> ยอมรับว่าเออมันก็ไม่ได้อ่ะมันก็มีวันที่
00:20:45 → 00:20:47 ไม่ได้มันทำให้เราไปต่อได้ที่คนไปต่อไม่
00:20:47 → 00:20:51 ได้เพราะว่าทำไมฉันถึงทำไม่ได้นะเออทำไม
00:20:51 → 00:20:54 ฉันเป็นคนแบบนี้อ่ะมันก็เลยถูกติดอยู่ใน
00:20:54 → 00:20:57 แบบระดับล่างอ่ะค่ะแต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้
00:20:57 → 00:21:00 เราขึ้น 350 แล้วนะมันก็จะไปต่อได้เอง
00:21:00 → 00:21:02 >> มันคือการที่แบบอยู่กับปัจจุบันเรื่อยๆ
00:21:02 → 00:21:04 โอเคอันนี้ไม่ได้ไม่เป็นไรจบไปแล้วเอาอัน
00:21:04 → 00:21:07 ใหม่ทำอยู่กับอันปัจจุบันใหม่ใช่
00:21:07 → 00:21:09 >> อโอเคค่ะใช่ค่ะ
00:21:09 → 00:21:11 >> แพนด้าเคยได้ยินเอ่อการใช้ชีวิตแบบนึงมา
00:21:11 → 00:21:14 ค่ะคือการใช้ชีวิตแบบ Survival Mode ก็
00:21:14 → 00:21:16 รู้มาบ้างว่าจริงๆโหมดนี้เป็นโหมดของการ
00:21:16 → 00:21:18 เอาตัวรอดเนาะแต่ว่าอยาก
00:21:18 → 00:21:21 >> ให้พี่หมอฟ้าเนี่ยช่วยแนะนำหน่อยว่าเอ้ย
00:21:21 → 00:21:23 จริงๆ Survival Mode เนี่ยมันคืออะไร
00:21:23 → 00:21:25 แล้วเราอย่างตัวแพนด้าเองเนี่ยมีโอกาส
00:21:25 → 00:21:27 อยู่ใน Survival Mode มั้ย
00:21:27 → 00:21:30 >> อ่าโอเคค่ะคือร่างกายมนุษย์อ่ะอันนี้จะ
00:21:30 → 00:21:33 อธิบายในเชิงของระบบประสาทอัตโนมัติ
00:21:33 → 00:21:36 >> อัตโนมัติหมายความว่าทำเองเราไม่สามารถ
00:21:36 → 00:21:37 บังคับเ
00:21:37 → 00:21:40 เช่นอะไเช่นแบบหายใจอย่าเงี้ยเออเราไม่
00:21:40 → 00:21:43 สามารถบังคับเพมีจังหวะของเขาใช่คะการ
00:21:43 → 00:21:46 เต้นของหัวใจการไหลของเลือดการบีบตัวของ
00:21:46 → 00:21:49 ลำไส้พวกนี้เขาเรียกว่าอัตโนมัติค่ะเรา
00:21:49 → 00:21:51 ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเช่นเขาบอกว่าเออ
00:21:51 → 00:21:54 น้องแพนด้าแบบกำมืออันนี้คือได้แต่เราแบบ
00:21:54 → 00:21:57 หัวใจหยุดเต้นสินางก็จะแบบไม่ได้อ่าอัน
00:21:57 → 00:21:59 นี้คือระบบอสอัตโนมัติทีเนี้ยร่างกาย
00:21:59 → 00:22:02 มนุษย์อ่ะค่ะเขาจะมี 2 เส้น 2 สายในการ
00:22:02 → 00:22:05 ที่จะรักษาร่างกายของเราอันแรกอ่ะก็คือ
00:22:05 → 00:22:07 โหมดสู้หรือหนี
00:22:07 → 00:22:09 หรือว่า Survival mode อันเนี้ยจะถูกควบ
00:22:09 → 00:22:12 คุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาทติคือซิม
00:22:12 → 00:22:15 ก็คือฉันสู้หรือหนีอีกอันนึงอันที่ 2 ก็
00:22:15 → 00:22:18 คือพาราซิมพาราซิมคือผ่อนคลาย
00:22:18 → 00:22:18 >> อื
00:22:18 → 00:22:20 >> เพราะฉะนั้นพี่ไม่ได้อยากบอกว่าเฮ้ยวัน
00:22:21 → 00:22:22 นี้เราไม่ดีเพราะเราอยู่ในโหมดไล่ล่าไม่
00:22:22 → 00:22:26 ใช่ค่ะชีวิตที่สมดุลน่ะคือมีทั้งโหมดไล่
00:22:26 → 00:22:30 ล่าและโหมดพักผ่อนให้นึกถึงเคยเห็นคนที่
00:22:30 → 00:22:31 เขา้าแบบแบกโอ่งมั้ย
00:22:31 → 00:22:33 >> แบกโอ่งเวลาไฟไหม้อ่ะ
00:22:33 → 00:22:35 >> อันนั้นเขาต้องใช้สู้หรือหนี
00:22:35 → 00:22:38 >> อ่ามันจะจะต้องเกิดการสู้ก่อนหรือพูดง่าย
00:22:38 → 00:22:42 ๆเคยเห็นแบบกวางที่โดนเสือไล่ล่าอ่าตอน
00:22:42 → 00:22:45 ที่คือถ้านางไม่โหมดสู้อ่ะนางก็ตายเขา
00:22:45 → 00:22:48 จำเป็นที่จะต้องมีโหมดสู้หรือหนีคือเขาจะ
00:22:48 → 00:22:50 มีการทำงานของร่างกายเพื่อให้พ้นตรงนั้น
00:22:50 → 00:22:53 ไปซึ่งสู้หรือหนีเนี่ยมันหลั่งคอร์ติซอล
00:22:53 → 00:22:54 มันหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดเราจะต้อง
00:22:55 → 00:22:57 เค้นพละกำลังทั้งหมดให้ผ่านตรงนั้นไปถูก
00:22:57 → 00:22:58 มั้คะ
00:22:58 → 00:23:01 >> พอพอกวางตัวนั้นมันรอดจากเสือปุ๊บอ่ะมัน
00:23:01 → 00:23:02 จะเป็นหมวดพัก
00:23:02 → 00:23:02 >> อ
00:23:02 → 00:23:06 >> ชั้นรอดและชั้นพักอันเนี้ยพาราซิมจะกลับ
00:23:06 → 00:23:09 ขึ้นมาทำงานก็คือพอตอนแรกเราหลั่งฮอร์โมน
00:23:09 → 00:23:12 แห่งความเครียดพอเราพักปุ๊บอ่ะฮอร์โมน
00:23:12 → 00:23:14 ความเครียดจะต่ำลงฮอร์โมนอีกชุดนึงจะขึ้น
00:23:14 → 00:23:18 มาเพื่อให้เราซ่อมสร้างสิ่งที่ถูกทำลายไป
00:23:18 → 00:23:18 อื
00:23:18 → 00:23:21 >> เออเพราะฉะนั้นเนี่ยร่างกายคือเกิดการ
00:23:21 → 00:23:25 สมดุลคือสู้ด้วยพักด้วยสู้ด้วยแล้วก็พัก
00:23:25 → 00:23:27 ด้วยแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็คือว่า
00:23:28 → 00:23:31 เราสู้ไม่พักลองจินตนาการว่ากวางตัวเนี้ย
00:23:31 → 00:23:34 มันวิ่งตลอดเวลาสุดท้ายกวางจะไม่ได้ตาย
00:23:34 → 00:23:37 จากเสือกวางจะตายไปด้วยตัวของเขาเองเพราะ
00:23:37 → 00:23:39 ว่าธรรมชาติมนุษย์อ่ะมันไม่ได้ถูกสร้างมา
00:23:39 → 00:23:43 ให้วิ่งตลอดเวลาค่ะแต่ว่าทุกวันเนี้ยเรา
00:23:43 → 00:23:45 วิ่งตลอดเวลาแล้วสิ่งกระตุ้นเราอ่ะมัน
00:23:46 → 00:23:49 เล็กน้อยไปเรื่อยๆเช่นเมื่อก่อนอย่าง
00:23:49 → 00:23:52 เงี้ยกวางจะต้องเห็นเสือตัวใหญ่ๆนางถึงจะ
00:23:53 → 00:23:56 วิ่งแต่เดี๋ยวเนี้ยค่ะตัวเราอ่ะใบไม้ไหว
00:23:56 → 00:23:58 อ่ะเราก็เครียดและสมมุติว่าเราเล่น
00:23:58 → 00:24:01 โซเชียลมีเดียเราเดินออกไปความวุ่นวายของ
00:24:01 → 00:24:04 สังคมที่เราอยู่อ่ะมันทำให้เราอ่ะร่างกาย
00:24:04 → 00:24:08 ของแล้วรับรู้ได้ว่าฉันวิ่งตลอดเวลาแล้ว
00:24:08 → 00:24:10 เหมือนรถที่มันไม่ได้มีแบบพักเติมน้ำมันอ
00:24:10 → 00:24:11 >> ค่ะ
00:24:11 → 00:24:15 >> มันมีแบบใช้ตลอดเวลาแต่ไม่ได้พักเพื่อ
00:24:15 → 00:24:18 ซ่อมสร้างร่างกายเราก็เลยแบบพังไปเรื่อยๆ
00:24:18 → 00:24:20 อ่ะค่ะเกิดจากการที่เราขาดสมดุลเพราะ
00:24:20 → 00:24:23 ฉะนั้นการที่อยู่ใน Survival mode อ่ะ
00:24:23 → 00:24:25 ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเอาโหมดพักอย่าง
00:24:25 → 00:24:27 เดียวถ้าพักอย่างเดียวจะไม่เกิดการก้าว
00:24:27 → 00:24:31 หน้าเออเราจะเป็นคนแบบหนืดๆฉันอยากนอน
00:24:31 → 00:24:33 ตลอดเวลาอะไรอย่างเงี้ยแต่ถ้าเราสู้อย่าง
00:24:33 → 00:24:36 เดียวแล้วเราไม่พักอ่ะร่างกายจะพังเพราะ
00:24:36 → 00:24:39 มันผิดธรรมชาติเขาไม่ได้ถูกสร้างมาแบบ
00:24:39 → 00:24:41 นั้นเราไม่ใช่แบบหุ่นยนต์่ะพอเราอยู่โหมด
00:24:41 → 00:24:44 นี้ตลอดเราก็เลยทำให้เราอ่ะเป็นโรคเครียด
00:24:44 → 00:24:47 หรือว่าเรารู้สึกว่านอนไม่หลับซึ่งลองคิด
00:24:47 → 00:24:50 ดูนะแบบเรื่องนอนน่ะเป็นเรื่องธรรมชาติ
00:24:50 → 00:24:53 ของความเป็นมนุษย์อ่ะมนุษย์ไม่ควรจะกินยา
00:24:53 → 00:24:54 นอนหลับเอออันนี้เดี๋ยวมันจะเกิดข้อ
00:24:55 → 00:24:57 คอนฟิกหมายความว่าถ้าใครกินก็คือกินน่ะ
00:24:57 → 00:24:59 ค่ะแต่ลองค่อยๆถอยออกมาแล้วเห็นความ
00:25:00 → 00:25:03 ธรรมชาติอ่ะการนอนควรจะเป็นเรื่องธรรมดา
00:25:03 → 00:25:06 ที่เราไม่ควรจะมีอะไรไปเสริมเพื่อให้เรา
00:25:06 → 00:25:08 นอนหลับเพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตอ่ะแต่
00:25:08 → 00:25:10 ที่เราต้องใช้อะไรไปเสริมอ่ะเพราะว่าเรา
00:25:10 → 00:25:14 ผิดธรรมชาติหมายความว่าเราใช้ชีวิตอยู่ใน
00:25:14 → 00:25:17 โหมด Survival แล้วทำให้เราอ่ะพักไม่เป็น
00:25:17 → 00:25:20 ถึงคราวที่จะพักอ่ะมันเลยไม่สามารถพักได้
00:25:20 → 00:25:22 แบบธรรมชาติคือหัวถึงหมอแล้วหลับเพราะ
00:25:22 → 00:25:24 ฉะนั้นน่ะบางทีเรานึกถึงแบบโอ๊ยพลังงานดี
00:25:24 → 00:25:27 บางทีแค่อาจจะเป็นการแบบกินดีหัวถึงหมอน
00:25:27 → 00:25:29 แล้วเราหลับถึงเวลาตื่นแล้วเราตื่นได้เอง
00:25:29 → 00:25:31 แล้วเราสดชื่นมันคือการกลับสู่แบบ
00:25:31 → 00:25:34 ธรรมชาติอ่ะเท่านั้นเอง Survival Mode
00:25:34 → 00:25:37 ก็คือว่าคนที่ไม่ได้พักเลยมีความเครียด
00:25:37 → 00:25:38 อยู่ตลอดเวลาอ
00:25:38 → 00:25:41 >> จนเอฟเฟคกระทบต่อร่างกายเรา
00:25:41 → 00:25:45 >> อ่าพลังงานกิจวัตรหลายๆอย่างเนาะเพราะว่า
00:25:45 → 00:25:47 อย่างที่เราจะเห็นได้ชัดมากอย่าง Survival
00:25:47 → 00:25:50 Mode อาจจะเกิดขึ้นในกลุ่มวัยทำงาน
00:25:50 → 00:25:53 >> ที่ต้องทำงานตลอดงานเยอะหรือว่าสมมุติจบ
00:25:53 → 00:25:55 งานแล้วก็ต้องมีเข้าสังคมหรืออะไรก็ตามทำ
00:25:56 → 00:25:56 ให้
00:25:56 → 00:25:59 >> ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตตามรูทีนที่ควรจะเป็น
00:25:59 → 00:26:02 ตามธรรมชาติหรือไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระ
00:26:02 → 00:26:03 อาทิตย์ด้วยซ้ำ
00:26:03 → 00:26:07 >> ใช่ถึงเวลานอนแล้วก็อาจจะแบบไม่ได้นอน
00:26:07 → 00:26:09 อะไรอย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ถึงเวลาพักเราก็
00:26:09 → 00:26:12 ไม่ได้พักหรือเคยมั้ยเราอาจจะพักไปเที่ยว
00:26:12 → 00:26:16 ทะเลแต่หัวเราอ่ะคิดตลอดเพราะว่าเราชิน
00:26:16 → 00:26:19 กับความไม่ได้พักอ่ะความที่เราไล่ล่าหรือ
00:26:19 → 00:26:21 ว่าความที่เราแบบต้องทำงานนะฉันต้องทำมาก
00:26:22 → 00:26:24 กว่านี้เราชินกับสภาวะนั้นน่ะจนมันปิด
00:26:24 → 00:26:26 โหมดไม่ได้อ่ะค่ะ
00:26:26 → 00:26:29 >> จริงๆฟังดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ว่ามี
00:26:29 → 00:26:33 >> สำคัญมากเลยเออสำคัญต่อสุขภาพกายแล้วก็
00:26:33 → 00:26:36 สัมพันธ์ต่อสุขภาพจิตด้วยพี่ว่านะถึงแม้
00:26:36 → 00:26:39 ว่าเราอาจจะเป็นคนนึงที่อยู่ใน Survival
00:26:39 → 00:26:41 mode ค่ะแล้วก็สมมุติฟังคลิปนี้แล้วก็
00:26:41 → 00:26:43 รู้สึกว่าโอเคเราจะเริ่มหาเวลาพักให้กับ
00:26:43 → 00:26:45 ตัวเองมากขึ้นแต่อย่างที่บอกเนาะว่าพอ
00:26:45 → 00:26:48 ร่างกายมันชินกับการอยู่ในโหมดไล่ล่ามา
00:26:48 → 00:26:50 โดยตลอดค่ะพอไปพักปึ๊บ
00:26:50 → 00:26:51 >> มันก็ยัง
00:26:51 → 00:26:51 >> ไม่ได้ใช่มั้
00:26:51 → 00:26:54 >> ไม่ได้อ่าเราทำยังไงดีที่จะค่อยๆปรับ
00:26:54 → 00:26:57 สมดุลร่างกายเราให้มาอยู่ในหมวดพักได้มาก
00:26:57 → 00:26:57 ขึ้น
00:26:57 → 00:27:01 >> อ๋อโอเคการหายใจเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด
00:27:01 → 00:27:04 เป็นของขวัญที่แบบว่ามีในมนุษย์ทุกคนน้อง
00:27:04 → 00:27:07 แพนด้าลองจินตนาการเคยแบบวิ่งแข่งมั้ย
00:27:07 → 00:27:07 >> ค่ะ
00:27:07 → 00:27:10 >> เราที่เราวิ่งเสร็จอ่ะเราหายใจแบบไหนก็
00:27:10 → 00:27:12 เฮือกใหญ่เลยนะ
00:27:12 → 00:27:15 >> เออคือเราจะหายใจหอบใช่มั้ยคะเออแบบเราจะ
00:27:15 → 00:27:16 หายใจแบบ
00:27:16 → 00:27:19 >> หอบอ่ะเหนื่อยลองดูนะเวลาที่เราเหนื่อย
00:27:19 → 00:27:22 เราจะหอบพอหอบเนี่ยเราจะหายใจแล้วก็อก
00:27:22 → 00:27:23 กระเพื่อม
00:27:23 → 00:27:23 >> อื
00:27:23 → 00:27:26 >> ถูกป่ะอันนั้นน่ะคือหมดไล่ล่าแต่เวลาที่
00:27:26 → 00:27:28 เราไปเดินชายทะเลมีความสุขอ่ะค่ะเราจะหาย
00:27:28 → 00:27:31 ใจอีกแบบนึงเพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เราอ่ะ
00:27:31 → 00:27:34 จะพาร่างกายเข้าสู่โหมดพักผ่อนน่ะไม่
00:27:34 → 00:27:36 จำเป็นที่จะต้องไปใช้ทะเลทุกวันแต่คือการ
00:27:36 → 00:27:40 ที่เราต้องหายใจให้ถูกและหายใจให้เป็นคือ
00:27:40 → 00:27:43 จริงๆแล้วธรรมชาติของมนุษย์เราเกิดมาและ
00:27:43 → 00:27:46 หายใจลงไปที่ท้องน้องด้าลองดูก็ได้ค่ะ
00:27:46 → 00:27:48 หรือว่าทุกคนลองดูก็ได้ว่าอาจจะเอาแบบมือ
00:27:48 → 00:27:51 ขวาวางไว้ใช่มยแล้วก็มือซ้ายอันนี้อ่ะ
00:27:51 → 00:27:54 แล้วลองหายใจเข้า
00:27:54 → 00:27:56 หายใจออก
00:27:56 → 00:27:58 อกหรือว่าท้องขยับ
00:27:58 → 00:27:59 >> ไม่หน้าท้องนะ
00:27:59 → 00:28:01 >> เออมีใครแบบว่าอยู่ที่อกมั้คะอันนี้ก็
00:28:01 → 00:28:02 ค่อยๆเช็คได้นะ
00:28:03 → 00:28:06 >> แหมทีมงานบอกท้องใหญ่
00:28:06 → 00:28:09 >> จริงๆแล้วอ่ะธรรมชาติของมนุษย์อ่ะค่ะเรา
00:28:09 → 00:28:11 หายใจไปที่ท้องเอ่อเขาเรียกว่าเป็น
00:28:11 → 00:28:14 diammatic breathing คือหายใจแล้วท้อง
00:28:14 → 00:28:17 ป่องแต่ทีเนี้ยเวลาที่เราแสดงว่านเเป็น
00:28:17 → 00:28:19 ภาวะพักเด็กน้อยเนี่ยเขาจะหายใจไปที่ท้อง
00:28:19 → 00:28:23 หลายครั้งมากตอนแรกที่พี่ทำเอ่อสอนเรื่อง
00:28:23 → 00:28:26 การหายใจอ่ะคนหายใจที่อกเยอะมากค่ะเพราะ
00:28:26 → 00:28:29 ว่าจริงๆแล้วการหายใจที่อกคือโหมดไล่ล่า
00:28:29 → 00:28:32 แต่ท้องอ่ะคือการหายหายใจแบบผ่อนคลายหรือ
00:28:32 → 00:28:35 ว่าเข้าสู่ภาวะพักแต่พอเราอยู่ในภาวะแบบ
00:28:35 → 00:28:37 เครียดตลอดเวลาสิ่งแวดล้อมที่เป็นเครียด
00:28:37 → 00:28:41 ตลอดเวลามนุษย์วิวัฒนาการเออคือมนุษย์จะ
00:28:41 → 00:28:46 ปรับร่างกายให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเหมือน
00:28:46 → 00:28:47 อะไรนะยีราฟอ่ะ
00:28:47 → 00:28:47 >> ค่ะ
00:28:47 → 00:28:51 >> ที่คอต้องยาวมนุษย์เลยวิวัฒนาการมาหายใจ
00:28:51 → 00:28:55 ที่อกตลอดเวลาตลอดจนกลายเป็นธรรมชาติใหม่
00:28:55 → 00:28:58 ของเขาและนั่นทำให้ร่างกายเขารับรู้ได้
00:28:58 → 00:29:00 ว่าต้องล่าตลอดเวลาด้วย
00:29:00 → 00:29:02 >> อืเพราะฉะนั้นการฝึกให้ร่างกายแบบเข้าสู่
00:29:03 → 00:29:06 โหมดผ่อนคลายคือการที่เราต้องฝึกหายใจไป
00:29:06 → 00:29:09 ที่ท้องค่ะคือพอเราหายใจไปที่ท้องปุ๊บอ่ะ
00:29:09 → 00:29:13 มันคือการส่งสัญญาณว่าพักว่าพักแล้วก็
00:29:13 → 00:29:16 เหมือนค่อยๆเหมือนหยอดกระปุกสอนร่างกาย
00:29:16 → 00:29:20 ใหม่ว่าจริงๆแล้วอ่ะเธอพักได้นะเธอหยุด
00:29:20 → 00:29:23 ได้นะรู้ไหมว่าแค่เรื่องหายใจที่อกกับที่
00:29:23 → 00:29:27 ท้องอ่ะคนติดเยอะมากคนบอกพี่ว่าแบบหมอฟ้า
00:29:27 → 00:29:31 พี่ว่ามันไม่น่าจะใช่นะพี่ว่าคนน่ะต้อง
00:29:31 → 00:29:33 หายใจที่อกเพราะว่าพี่หายใจที่ท้องแล้ว
00:29:33 → 00:29:36 พี่เหนื่อยฟาก็เลยบอกว่าพี่อ่ะจะต้องแบบ
00:29:36 → 00:29:39 ลองกลับไปดูเด็กน้อยเด็กน้อยจะหายใจไปที่
00:29:39 → 00:29:41 ท้องแต่ที่เราหายใจที่ท้องไม่ได้เพราะว่า
00:29:41 → 00:29:45 เราชินกับการหายใจไปที่อกเราชินกับการไล่
00:29:45 → 00:29:48 ล่าค่ะร่างกายเลยเกิดการวิวัฒนาการเพราะ
00:29:48 → 00:29:52 ฉะนั้นถ้าช่วงแรกในการที่เราจะปรับให้เรา
00:29:52 → 00:29:55 แบบได้มีโหมดพักขึ้นฟ้ารู้สึกว่ากลับมา
00:29:55 → 00:29:58 ที่ลมหายใจ 1 ให้กลับมารู้ลมหายใจ 2 หาย
00:29:59 → 00:30:02 ใจไปที่ท้องถ้าช่วงแรกเหนื่อยให้ฝึกตอน
00:30:02 → 00:30:04 นอนก่อนนอนแบบเหมือนตอนที่เรากำลังจะหลับ
00:30:04 → 00:30:07 ตาแล้วเราก็เอามือวางไว้ที่ท้องเออแล้วก็
00:30:07 → 00:30:11 ฝึกให้แบบหายใจท้องป่องเพื่อให้ส่งสัญญาณ
00:30:11 → 00:30:16 ใหม่ให้ร่างกายอ่ะค่ะว่าแบบเอ้ยพักพักนะ
00:30:16 → 00:30:19 >> อันนี้คือพักซึ่งนี้เรื่องใหญ่มากนะบางคน
00:30:19 → 00:30:23 นอนเองไม่ได้กินยานอนหลับแบบเป็น 10 ปี
00:30:23 → 00:30:27 แค่ฝึกหายใจแบบนี้นะคะแบบชีวิตประจำวัน
00:30:27 → 00:30:30 หายใจอะไรก็หายใจไปใช่มั้ยแล้วตอนตอนก่อน
00:30:30 → 00:30:33 นอนอ่ะแค่กลับมาที่ท้องอ่ะเขาค่อยๆลดยา
00:30:33 → 00:30:35 นอนหลับนะเพราะว่ามันคือการที่บอกร่างกาย
00:30:35 → 00:30:37 ว่าถึงเวลาพักแล้ว
00:30:37 → 00:30:37 >> อ
00:30:37 → 00:30:40 >> มันเป็นการคุยกับร่างกายผ่านลมหายใจอ่ะ
00:30:40 → 00:30:43 ค่ะว่าถึงเวลาพักแล้วเข้าโหมดพาราซิมแล้ว
00:30:43 → 00:30:45 แล้วสุดท้ายอ่ะเขาเลือกยานอนหลับแล้วฟ้า
00:30:45 → 00:30:47 บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะเพราะว่าการ
00:30:47 → 00:30:50 ที่เรากินยานอนหลับมา 10 ปีอ่ะเราชินกับ
00:30:50 → 00:30:53 สิ่งนี้แต่สมมุติก็ว่าเราค่อยๆลดเองอ่ะ
00:30:53 → 00:30:56 ค่ะหมายถึงว่าค่อยๆลดไปทีละนิดจนวันที่
00:30:56 → 00:30:58 เราไม่ต้องใช้เค้าแล้วอ่ะมันคือการที่เรา
00:30:58 → 00:30:59 แบบเหมือนชนะอ่ะ
00:31:00 → 00:31:02 >> เออชนะตัวเองอ่ะเออซึ่งเรื่องเนี้ยยิ่ง
00:31:02 → 00:31:04 ใหญ่มากการหายใจเป็นเรื่อง
00:31:04 → 00:31:08 >> พี่มองว่ามันแบบมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆแต่
00:31:08 → 00:31:11 คนไม่เห็นคุณค่าความสำคัญและเป็นสิ่งที่
00:31:11 → 00:31:12 สำคัญมากๆ
00:31:12 → 00:31:16 >> เพราะว่าจริงๆแล้วลมหายใจก็ทำให้สุขภาพดี
00:31:16 → 00:31:17 ขึ้นหรือแย่ลงได้ด้วย
00:31:18 → 00:31:21 >> ได้ถ้าสิ่งนี้สามารถวิวัฒนาการมนุษย์ได้
00:31:21 → 00:31:25 อ่ะมันมันสำคัญในการที่เราจะเปลี่ยนได้
00:31:25 → 00:31:25 เลย
00:31:26 → 00:31:29 >> ถามเป็นเทคนิคนิดนึงค่ะว่าแล้วจะหายใจยัง
00:31:29 → 00:31:33 ไงให้ถึงท้องคือคือเราบอกว่าออท้องขึ้น
00:31:33 → 00:31:34 มั้อ่ะบางคนอ่ะก็รู้สึกว่าท้องขึ้นแล้ว
00:31:34 → 00:31:37 แต่มันอาจจะยังไม่ถูกก็ได้
00:31:37 → 00:31:40 >> อ๋อพี่รู้สึกว่าแบบอาจจะไม่ต้องมีมาตวัด
00:31:40 → 00:31:41 ว่าถูกหรือผิดก็ได้
00:31:41 → 00:31:41 >> อ่าค่ะ
00:31:42 → 00:31:45 >> อ่ะให้ทำในขอบเขตที่เราทำได้เช่นถ้าใช้
00:31:45 → 00:31:49 ชีวิตปกติทำไม่ได้เลยขอแค่ตอนเช้ากับตอน
00:31:49 → 00:31:52 นอนได้มยในภาวะที่แบบเออเราก็ค่อยเหมือน
00:31:52 → 00:31:55 มาจ่ายให้กับตัวเองอ่ะให้เริ่มจากทีละนิด
00:31:55 → 00:31:58 ก่อนเพราะว่าพี่จะไม่ค่อยไม่ใส่แบบทุก
00:31:58 → 00:32:00 อย่างไปในทีเดียวว่าเธอจะต้องหายใจที่
00:32:00 → 00:32:03 ท้องนะหายใจทั้งวันนะกลายเป็นว่าทั้งวัน
00:32:03 → 00:32:05 ไม่ทำอะไรแล้วอ่ะเครียดหนักกว่าเดิมอีก
00:32:05 → 00:32:09 อ่ะในการกลับมาจ้องท้องให้ขอแค่แบบสบายๆ
00:32:09 → 00:32:13 ค่ะรู้ตัวก็กลับมาทำได้ก็ทำไม่ได้ก็ปล่อย
00:32:13 → 00:32:15 ผ่านแล้วก็อยู่กับเขาไปอ่ะเพราะสุดท้ายลม
00:32:15 → 00:32:17 หายใจก็อยู่กับเราทั้งชีวิตอยู่แล้วอ่ะ
00:32:17 → 00:32:21 เพราะฉะนั้นน่ะค่อยๆปรับไปตามสิ่งที่เรา
00:32:21 → 00:32:22 ทำได้
00:32:22 → 00:32:25 >> โหลมหายใจนี่มหัศจรรย์มากๆ
00:32:25 → 00:32:28 >> จ้ะน้องแพนด้าเดี๋เราจะต้องลองไปแบบลองทำ
00:32:28 → 00:32:30 ดูแต่สำคัญคืออย่าเครียดเพราะว่าเมื่อ
00:32:30 → 00:32:32 ไหร่ก็ตามที่ทำอะไรแล้วเครียดเนี่ยเดี๋ยว
00:32:32 → 00:32:34 มันเอฟเฟคมากกว่าเดิม
00:32:34 → 00:32:34 >> ใช่
00:32:34 → 00:32:37 >> อ่าค่ะทีนี้ที่เราติดเอาไว้อยู่ตอนแรกค่ะ
00:32:37 → 00:32:41 ที่พูดว่าเรื่องของการที่เราเสพติดอ่า
00:32:41 → 00:32:43 >> ฮอร์โมนบางอย่างอ่า
00:32:43 → 00:32:47 >> ของการกินของหวานแล้วก็ถ้าคนที่รู้สึกว่า
00:32:47 → 00:32:50 โอเครู้แล้วล่ะในเชิงทฤษฎีรู้ละทีนี้ใน
00:32:50 → 00:32:54 เชิงปฏิบัติค่ะว่าอืมจะต้องลดหรอลดแค่ไหน
00:32:54 → 00:32:57 มันก็เป็นความสุขนะหรือว่าทำยังไงที่มัน
00:32:57 → 00:32:58 ดีต่อร่างกายเรามากขึ้น
00:32:58 → 00:33:02 >> อือันดับแรกนะคะร่างกายเราอ่ะมันสมมุติ
00:33:02 → 00:33:06 ว่าเขาเสพติดไปแล้วอ่ะเราจะต้องทำเหมือน
00:33:06 → 00:33:10 ค่อยๆเป็นกบฏอ่ะอย่ากระโตกกระตากเพราะว่า
00:33:10 → 00:33:14 เค้าเถูกเซตออโต้มาแล้วมันเหมือนคอมfort
00:33:14 → 00:33:17 โซนของเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขาเช่น
00:33:17 → 00:33:19 เขากินกาแฟทุกวันหรือว่ากินน้ำตาลทุกวัน
00:33:19 → 00:33:22 น่ะเออมันเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขาทีนี้
00:33:22 → 00:33:24 ถ้าเราต้องการที่จะลดการหยาบน้ำตาลไม่
00:33:24 → 00:33:28 ต้องแบบฉันจะประกาศไม่ต้องค่ะค่อยๆปรับ
00:33:28 → 00:33:28 >> อ
00:33:28 → 00:33:31 >> ทำเหมือนเป็นกบฏเล็กๆน้อยๆอ่ะจากปกติเรา
00:33:31 → 00:33:36 กินแบบน้ำหวานแก้วนึงเออเราลองลดหวานน้อย
00:33:36 → 00:33:39 ลงมานิดนึงหรือปกติกินวันละแก้วอ่ะกลาย
00:33:39 → 00:33:42 เป็นวันละ 2 วันแก้วได้มยหรือว่ากินครึ่ง
00:33:42 → 00:33:44 นึงแบ่งกับเพื่อนครึ่งนึงอะไรอย่างเงี้ย
00:33:44 → 00:33:46 ค่ะค่อยๆทำ
00:33:46 → 00:33:49 >> มันเป็นกระบวนการเมตตาตัวเองอ่ะไม่ใช่บอก
00:33:49 → 00:33:52 ว่าเขาบอกว่าการไม่กินน้ำตาลดีนะแต่มันก็
00:33:52 → 00:33:54 อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในความสุขของเราก็ได้
00:33:54 → 00:33:57 เพราะฉะนั้นลองปรับจากเคยใช้น้ำตาลที่
00:33:57 → 00:33:59 เป็นแบบซูโคสที่เป็นแบบน้ำตาลเลยอ่ะลอง
00:34:00 → 00:34:02 เปลี่ยนเป็นหญ้าหวานได้มยหรือว่าลอง
00:34:02 → 00:34:05 เปลี่ยนเป็นน้ำตาลหล่อฮังก๊วยได้มยให้
00:34:05 → 00:34:08 บาanceซความสุขและบาanceซแบบร่างกายเรา
00:34:08 → 00:34:11 ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดทุกอย่างอ่ะค่ะลอง
00:34:11 → 00:34:14 แบบalanceซเวลาเราใช้ชีวิตอ่ะมันมีแบบ
00:34:14 → 00:34:16 หลายมิติไงเพราะว่าพี่ก็แบบไม่ได้งดได้
00:34:16 → 00:34:19 100% บางวันฉันก็อยากหวานมากอะไรอย่าง
00:34:19 → 00:34:22 เงี้ยค่ะแต่ค่อยๆอยู่กับเขาค่อยๆไปกับเขา
00:34:22 → 00:34:24 อยากกระตุกกระตาก
00:34:24 → 00:34:26 พอกระโตกระตากปุ๊บเดี๋ยวจะมีการ
00:34:26 → 00:34:27 >> ดึงกลับ
00:34:27 → 00:34:28 >> โยโย
00:34:28 → 00:34:31 >> ใช่ๆดึงกลับมันเป็นเรื่องเดียวกับลดน้ำ
00:34:31 → 00:34:34 หนักเอ่อก่อนหน้าที่จะมาอัดอ่ะค่ะมีพี่คน
00:34:34 → 00:34:37 นึงถามเฟ้าว่าแบบเออถ้าเขาจะลดน้ำหนักอ่ะ
00:34:37 → 00:34:40 เขาตั้งไว้ว่าเขาจะลดน้ำหนัก 65 ภายในปี
00:34:41 → 00:34:43 นี้แล้วมันไม่เคยได้สักทีเลยแล้วมันวน
00:34:43 → 00:34:46 หลูปใครเคยเจอใช่มยจริงๆอันเนี้ยค่ะมัน
00:34:46 → 00:34:48 เกิดจากการที่เราอ่ะลืมเมตตาตัวเองหรือ
00:34:48 → 00:34:51 ว่าเรากระโตกกระตากจริงๆการลดน้ำหนักอ่ะ
00:34:51 → 00:34:53 เราต้องแบบไม่ต้องคิดว่าเป็นการลดน้ำหนัก
00:34:53 → 00:34:57 แต่คิดว่าค่อยๆปรับวิถีชีวิตแต่เราอาจจะ
00:34:57 → 00:35:00 ไม่ต้องตั้งธงว่าจะลดกี่กในเท่าไหร่มัน
00:35:00 → 00:35:02 เหมือนเป็นการประกาศก้าวและร่างกายนั้นก็
00:35:02 → 00:35:06 จะแบบเกิดการแอนตี้พอเรารู้สึกว่าเราอยาก
00:35:06 → 00:35:09 ลดอ่ะแสดงว่าเราอ่ะรู้สึกว่ามันไม่โอเค
00:35:09 → 00:35:13 กับตอนนี้เราไม่โอเคกับร่างนี้เออเพราะ
00:35:13 → 00:35:15 ฉะนั้นเนี่ยร่างกายจะรู้สึกว่าเขาเครียด
00:35:15 → 00:35:17 แล้วเขาจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดขึ้น
00:35:17 → 00:35:21 มาเราเลยลดไม่ได้สักทีวิธีการก็คือว่าเรา
00:35:21 → 00:35:24 จะต้องกินให้ช้าลงเพื่อรับรู้แล้วก็ใช้
00:35:24 → 00:35:27 การกินนั้นในการกลับมาบอกรักร่างกายถ้า
00:35:27 → 00:35:29 เราไม่ชอบตรงนี้แสดงว่าเราเกลียดอ่ะมัน
00:35:29 → 00:35:31 เป็นอารมณ์เชิงข้างล่างอ่ะค่ะเราเลยวน
00:35:31 → 00:35:34 หลูมแต่ถ้าทุกการกินเราทำมาเพื่อแบบบอก
00:35:34 → 00:35:36 รักอ่ะมันเป็นอารมณ์เชิงบวกเออเพราะ
00:35:36 → 00:35:39 ฉะนั้นเราจะทำได้ง่ายขึ้นแล้วค่อยๆปรับ
00:35:39 → 00:35:42 เช่นแบบอาจจะเปลี่ยนจากการกินน้ำหวาน 2
00:35:42 → 00:35:45 แก้วเป็นแก้วนึงเปลี่ยนจากข้าวขาวเป็น
00:35:45 → 00:35:48 ข้าวอันเนี้ยค่อยๆทำทีละนิดอ่ะค่ะมันจะทำ
00:35:48 → 00:35:49 ได้สำเร็จมากกว่าอ
00:35:49 → 00:35:52 >> อือค่ะที่สำคัญก็คือว่าอย่างที่พี่ที่หมอ
00:35:52 → 00:35:55 ฟ้าบอกเลยว่าต้องไม่แข่งกับใครเพราะว่า
00:35:55 → 00:35:57 การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
00:35:57 → 00:35:57 >> อือ
00:35:57 → 00:35:59 >> มันก็เป็นพลังงานที่ต่ำอีกเหมือนกัน
00:35:59 → 00:36:03 >> อืใช่ลองดูก็ได้ค่ะเวลาที่เราเปรียบเทียบ
00:36:03 → 00:36:06 กับคนอื่นเราจะรู้สึกว่าคนอื่นสูงกว่า
00:36:06 → 00:36:08 เพราะฉะนั้นน่ะเราจะรู้สึกว่าเราอ่ะดีไม่
00:36:08 → 00:36:12 พอสักทีไอ้คำว่าแบบทำเท่าไหร่ก็ดีไม่พอ
00:36:12 → 00:36:16 สักทีอ่ะมันเป็นูปที่ไม่สามารถขึ้นมาได้
00:36:16 → 00:36:20 อ่ะค่ะแต่ถ้าเรายอมรับไปเลยนะว่าก็ทำได้
00:36:20 → 00:36:22 เท่าเนี้ยมันขึ้นไป 350 แล้วอ่ะอื
00:36:22 → 00:36:26 >> เออแต่ไอ้คำว่าแบบฉันมันไม่ดีหรือว่าฉัน
00:36:26 → 00:36:28 ดีไม่พอมันได้แค่แบบ 50 หรือว่า 100 อ่ะ
00:36:28 → 00:36:31 ค่ะมันมันต่างกันมากเพราะว่ายอมรับไปเลย
00:36:31 → 00:36:34 ทำได้เท่านี้ก็เท่านี้แล้วไปในจังหวะของ
00:36:34 → 00:36:35 แบบตัวเอง
00:36:35 → 00:36:37 >> ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึกเนาะทุก
00:36:37 → 00:36:40 อย่างอ่าไม่ใช่ว่าแบบคิดแล้วเข้าใจวันนี้
00:36:40 → 00:36:42 แล้วคิดว่ามันจะได้ในไม่กี่วันไม่ใช่คือ
00:36:42 → 00:36:46 มันต้องฝึกซ้ำๆเรื่อยๆทีนี้แพนด้าเคยได้
00:36:46 → 00:36:48 ยินมาอีกแล้วค่ะว่าการสวดมนต์เนี่ยค่ะคุณ
00:36:48 → 00:36:51 หมอฟ้าจะช่วยสามารถเปลี่ยนโมเลกุลน้ำใน
00:36:51 → 00:36:52 ร่างกายของเราได้
00:36:52 → 00:36:55 >> เออทำให้เราเป็นคนที่แบบพลังงานดีขึ้น
00:36:55 → 00:36:58 >> อาจจะมีออร่ามากขึ้นอะไรอย่างเงี้ยอ
00:36:58 → 00:37:00 >> เกี่ยวกันมั้คะจริงๆอันนี้มีงานวิจัยของ
00:37:00 → 00:37:04 ดร.มาซุอิโมโตที่เขาเอาน้ำขึ้นมาค่ะแล้ว
00:37:04 → 00:37:06 ก็อันนึงเป็นน้ำปกติแล้วก็อีกอันนึงน่ะ
00:37:06 → 00:37:08 เขาไม่ได้เป็นสวดมนต์นะเป็นเหมือนกับบอก
00:37:08 → 00:37:13 รักอ่ะฉันรักเธอนะฉันชอบเธอนะฉันภูมิใจใน
00:37:13 → 00:37:15 ตัวเธอแล้วก็เอาผลึกของน้ำเนี่ยมาเข้า
00:37:15 → 00:37:18 กล้องจุรทานแล้วก็ดูว่ามันเป็นยังไงสรุป
00:37:18 → 00:37:21 ก็คือว่าน้ำที่เราแบบพูดคำดีๆอ่ะเขากลาย
00:37:21 → 00:37:24 เป็นผลึกที่แบบสวยงามแต่ถ้าเกิดว่าเอา
00:37:24 → 00:37:27 อันเนี้ยมาลิงก์กับการสวดมนต์น่ะจริงๆอ่ะ
00:37:27 → 00:37:29 ความลับก็คือว่ารู้มว่าการสวดมนต์น่ะค่ะ
00:37:29 → 00:37:32 หรือว่าการที่เราท่องบดอะไรอย่างเงี้ยมัน
00:37:32 → 00:37:35 ไปสอดคล้องกับลมหายใจ 1 คือเรื่องของผลึก
00:37:35 → 00:37:39 น้ำเออที่มีการทำทดลองแบบเยอะมากค่ะไม่
00:37:39 → 00:37:41 ว่าจะเป็นเรื่องน้ำหรือว่าเรื่องที่เขา้า
00:37:41 → 00:37:44 แบบเอาข้าวมาเออแล้วอันนึงพูดว่าเกลียด
00:37:44 → 00:37:46 น่ะจะขึ้นลาเร็วแต่อันไหนที่เราบอกว่ารัก
00:37:47 → 00:37:49 เขาจะอยู่ได้นานส่วนนึงนะแต่ว่าการสวด
00:37:49 → 00:37:52 มนต์ที่ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงดีหรือถือ
00:37:52 → 00:37:54 ว่าแบบอยู่ในสภาวะที่ดีมันเกี่ยวข้องกับ
00:37:54 → 00:37:57 การหายใจการหายใจอ่ะมันจะมีจังหวะนึงเขา
00:37:58 → 00:38:00 เรียกว่าเป็น coherent beating ก็คือการ
00:38:00 → 00:38:04 หายใจที่สอดคล้องเข้า 5.5 วินาทีออก 5.5
00:38:04 → 00:38:09 วินทีนี่คือลมหายใจที่ไปสอดคล้องกับการ
00:38:09 → 00:38:13 เต้นของหัวใจสอดคล้องกับสมดุลร่างกายอ่ะ
00:38:13 → 00:38:16 ค่ะแล้วเชื่อมว่ามีแบบงานวิจัยที่บอกว่า
00:38:16 → 00:38:20 เวลาเราสวดมนต์น่ะจังหวะที่สวดมนต์น่ะค่ะ
00:38:20 → 00:38:23 มันทำให้เราหายใจ 5.5 5 วินาสังเกตไม่
00:38:23 → 00:38:25 ว่าจะเป็นบทสวดมนต์หรือเวลาเราร้องเพลง
00:38:25 → 00:38:26 อ่ะมันจะเป็นจังหวะ
00:38:27 → 00:38:27 >> อื
00:38:27 → 00:38:30 >> เออไอ้จังหวะนั้นน่ะมันสอดคล้องกับลมหาย
00:38:30 → 00:38:32 ใจกับร่างกายมันก็เลยทำให้เราอ่ะสุขภาพดี
00:38:32 → 00:38:36 >> อ้าแล้วถ้าสมมุติบางคนสวดมนต์แต่ว่าแรป
00:38:36 → 00:38:36 >> อะไรนะ
00:38:36 → 00:38:39 >> แรปค่ะสวดเร็วสวดแบบมีจังหวะเป็นของตัว
00:38:39 → 00:38:39 เอง
00:38:39 → 00:38:41 >> อ่าๆๆ
00:38:41 → 00:38:42 >> มันยังจะ 5.5 วินมั้คะ
00:38:42 → 00:38:45 >> อันเนี้ยน่าจะไม่ 5.5 จริงๆมันมีบทของเขา
00:38:45 → 00:38:48 ว่าคำไหนที่แบบเป็น 5.5 5 นะแต่สำหรับ
00:38:48 → 00:38:51 พี่อ่ะการที่แบบว่าสวดมนต์น่ะค่ะอย่าง
00:38:51 → 00:38:53 น้อยที่สุดอ่ะมันคือการที่ฝึกเขาอยู่กับ
00:38:53 → 00:38:56 ปัจจุบันขณะมันคือการที่เขาแบบฝึกอยู่
00:38:56 → 00:38:58 อย่างน้อยก็ไม่ได้คิดอะไรแบบในตอนนั้น
00:38:58 → 00:39:00 เพราะว่าสวดมนต์ส่วนมากเราก็จะสวดมนต์ออก
00:39:00 → 00:39:02 เสียงเวลาเราออกเสียงเเราก็จะอยู่กับ
00:39:02 → 00:39:05 โฟกัสในบทนั้นใช่ป่ะเออเราก็จะแบบอยู่กับ
00:39:05 → 00:39:07 ปัจจุบันขณะด้วยเออเพราะฉะนั้นการสวดมนต์
00:39:07 → 00:39:10 มีทั้งหลายอย่างค่ะ 1 เขาเปลี่ยนโมเลกุล
00:39:10 → 00:39:13 น้ำในร่างกายเออทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน
00:39:13 → 00:39:16 ขณะทำให้ลมหายใจเราสอดคล้องกับร่างกายอีก
00:39:16 → 00:39:18 >> แล้วมีอะไรอีกบ้างมั้คะที่จะช่วยเปลี่ยน
00:39:18 → 00:39:20 โมเลกุลน้ำในร่างกายของเราได้
00:39:20 → 00:39:22 >> น่าจะเป็นอันเมื่อกี้ที่พี่แบบบอกกับ
00:39:22 → 00:39:26 แพนด้าก็คือการพูดสิ่งดีๆอ่ะขนาดตัวเรา
00:39:26 → 00:39:29 อ่ะเราอยู่กับเราตลอดเวลาค่ะการที่เราแบบ
00:39:29 → 00:39:31 พูดสิ่งดีๆกับตัวเราเองอ่ะอันเนี้มีผลกับ
00:39:31 → 00:39:35 เซลล์ในร่างกายมีผลกับโมเลกุลน้ำด้วยอื
00:39:35 → 00:39:37 >> อือคำพูดของเราที่มีต่อตัวเราเอง
00:39:37 → 00:39:38 >> ใช่เพราะมันพูดซ้ำๆ
00:39:38 → 00:39:40 >> อ่าถ้ายังไม่ออกมาเป็นคำพูดแต่เป็นความ
00:39:40 → 00:39:41 คิดที่มีต่อตัวเรา
00:39:41 → 00:39:42 >> มีผลหมด
00:39:42 → 00:39:43 >> อต้องค่อยๆรู้ตัวเนาะ
00:39:43 → 00:39:48 >> โอสำคัญมากเพราะบางครั้งเหมือนเราคิด
00:39:48 → 00:39:50 สมมุติเราคิดไม่ดีกับคนอื่นน่ะ
00:39:50 → 00:39:52 >> แพนด้าเคยได้ยินมั้ว่าจริงๆคนแรกที่รู้
00:39:52 → 00:39:53 อ่ะคือตัวเรา
00:39:53 → 00:39:56 >> คือเราเพราะว่าเราแค่คิดปุ๊บมันก็สั่น
00:39:56 → 00:39:58 สะเทือนในเราแล้วอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:39:58 → 00:40:01 >> ทีนี้เราเข้าใจกันแล้วค่ะว่าถ้าเรามีพลัง
00:40:01 → 00:40:04 งานที่ดีนิสัยที่ดีก็อาจจะช่วยให้เรามี
00:40:04 → 00:40:06 สุขภาพที่ดีขึ้นได้
00:40:06 → 00:40:09 >> อยากรู้ว่าแล้วอย่างเงี้ยค่ะสมาธิมีส่วน
00:40:09 → 00:40:11 ช่วยในการที่ทำให้เราพลังงานดีขึ้นได้
00:40:11 → 00:40:11 มั้ยคะ
00:40:11 → 00:40:16 >> ออืจริงๆสมาธิเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรา
00:40:16 → 00:40:19 เห็นตัวเองสังเกตมยเวลาเรานั่งสมาธิอ่ะ
00:40:19 → 00:40:23 เราหลับตาใช่มั้ยคะแล้วเรากลับมาที่ลมหาย
00:40:23 → 00:40:25 ใจไม่ว่ามีความคิดอะไรเรากลับมาที่ลมหาย
00:40:25 → 00:40:28 ใจมันเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเห็นตัว
00:40:28 → 00:40:31 เองมากขึ้นว่าอ๋อจริงๆแล้วเนี่ยฉันเป็นคน
00:40:31 → 00:40:34 ที่แบบเห็นอะไรฉันก็ตอบสนองหมดหรือฉัน
00:40:34 → 00:40:36 เป็นคนแบบนั้นแบบนี้อะไรเงี้ยค่ะเพื่อให้
00:40:36 → 00:40:38 เสียงข้างนอกมันเบาลงแล้วเราได้ยินเสียง
00:40:38 → 00:40:41 ตัวเองเยอะขึ้นสมาธิอ่ะพี่มองว่าคือ
00:40:41 → 00:40:44 เหมือนการยกเวททางใจอ่ะหรือว่ายกเวททาง
00:40:44 → 00:40:46 จิตอ่ะเวลาที่เราฝึกจิตเหมือนกับถ้าเรา
00:40:46 → 00:40:48 อยากมีกล้ามเราก็ต้องยกเวทชีวิตจริงแต่
00:40:48 → 00:40:50 ถ้าเกิดว่าเราอยากให้กำลังจิตเราแข็งแรง
00:40:50 → 00:40:53 อ่ะก็คือการที่เราฝึกสมาธิเพราะว่าทุก
00:40:53 → 00:40:56 ครั้งที่มีความคิดแล่นกลับเข้ามามีความ
00:40:56 → 00:40:58 คิดแล่นเข้ามากลับมาที่จุดศูนย์กลางมัน
00:40:58 → 00:41:00 คือทำให้ตรงเนี้ยแข็งแรงและตรงเแข็งแรง
00:41:00 → 00:41:02 มันมีผลต่อการสร้างนิสัยเพราะว่าเวลาเรา
00:41:02 → 00:41:04 สร้างนิสัยอ่ะเราต้องใช้กำลังจิตที่แข็ง
00:41:04 → 00:41:07 แรงนะใช้ความตั้งจิตตั้งใจอ่ะเช่นฉันจะ
00:41:07 → 00:41:09 เป็นคนใหม่แล้วอย่างเงี้ยและต่อเนื่องยาว
00:41:09 → 00:41:12 นานพอด้วยเราใช้กำลังจิตเยอะมากค่ะเพราะ
00:41:12 → 00:41:14 ฉะนั้นสมาธิเป็นจุดที่ทำให้เราฝึกกำลัง
00:41:14 → 00:41:16 จิตให้แข็งแข็งแรงเป็นฝึกที่ทำให้เราแบบ
00:41:16 → 00:41:19 กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะไม่ได้ไหลไปกับ
00:41:19 → 00:41:21 ระบบออโต้ที่มันถูกเซตอัตโนมัติอ่ะที่ทำ
00:41:21 → 00:41:23 ให้เราแบบมีชีวิตที่เราแบบอาจจะยังไม่
00:41:24 → 00:41:25 โอเคกับตอนเนี้ยเออ
00:41:25 → 00:41:28 >> ค่ะแปลว่าถ้าสมมุติใครที่กำลังรู้สึกว่า
00:41:28 → 00:41:30 อยากเปลี่ยนพลังงานอยากเปลี่ยนนิสัยแล้ว
00:41:30 → 00:41:34 ก็เริ่มทำในเชิงปฏิบัติละแต่ว่าเหมือนทำ
00:41:34 → 00:41:36 ไปสักพักนึงแล้วอาจจะแบบกลับไปนิสัยเดิม
00:41:36 → 00:41:38 หรืออะไรอย่างงี้แล้วก็รู้สึกหมดกำลังใจ
00:41:38 → 00:41:41 สมาธิก็ช่วยตรงนี้ได้ทำให้เรามีกำลังใจ
00:41:41 → 00:41:41 ต่อ
00:41:41 → 00:41:43 >> อืทำให้เรารู้ตัว
00:41:43 → 00:41:44 >> ค่ะ
00:41:44 → 00:41:47 >> พอเรารู้ตัวเราจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง
00:41:47 → 00:41:50 ธรรมดาที่เกิดเรื่องพวกนี้ได้หรือว่าทำ
00:41:50 → 00:41:51 ให้เรากลับมายอมรับตัวเองได้
00:41:51 → 00:41:54 >> อถ้าง่ายกว่านั้นก็หมายความว่าณขณะนั้น
00:41:54 → 00:41:57 ที่เรากำลังทำอะไรแล้วเรารู้ตัวเนี่ย
00:41:57 → 00:41:58 >> สมาธิก็คือลมหายใจ
00:41:58 → 00:42:01 >> ใช่หลายทีเราจะรู้สึกว่าเอ้ยสมาธิต้องแบบ
00:42:01 → 00:42:04 นั่งเป็นจริงเป็นจังไปหลายๆวันอะไรอย่าง
00:42:04 → 00:42:06 เงี้ยสำหรับพี่อ่ะสมาธิก็คือกักลับมารู้
00:42:07 → 00:42:10 ตัวกลับมาที่ลมหายใจเพราะมันคือการแบบ
00:42:10 → 00:42:12 สมาธิแบบไลฟ์สไตล์ meditation น่ะใช้
00:42:12 → 00:42:14 ชีวิตไปกับสมาธินี่แหละ
00:42:14 → 00:42:17 >> คำถามสุดท้ายค่ะแพน่าอยากรู้ว่าแล้วเราจะ
00:42:17 → 00:42:20 ทำยังไงให้เราเนี่ยเป็นคนที่มีพลังงานดีๆ
00:42:20 → 00:42:22 โดยที่เราอ่ะไม่หลอกตัวเอง
00:42:22 → 00:42:26 >> คือการยอมรับเราจะกลับไปที่จุดเดิมคือแม้
00:42:26 → 00:42:28 กระทั่ง Emotional Guidance scale อ่ะ
00:42:28 → 00:42:30 ที่เราอาจจะแบบอุ๊ยอันนี้โซนบวกนะ
00:42:30 → 00:42:31 >> ค่ะ
00:42:31 → 00:42:33 >> อันนี้โซนลบนะแต่การที่มันเป็นเราอ่ะมัน
00:42:34 → 00:42:36 คือทั้งบวกแล้วลูกมันคือการยอมรับในวัน
00:42:36 → 00:42:40 ที่เราแบบก็มีความกลัวมีความอิจฉามีความ
00:42:40 → 00:42:44 คิดลบเป็นเรื่องธรรมดาโดยที่เราอาจจะต้อง
00:42:44 → 00:42:48 ให้ตัวเองได้รู้สึกอ่ะค่ะไม่ต้องพยายาม
00:42:48 → 00:42:52 กำจัดความคิดลบแต่ให้มองเห็นเขาและมีพื้น
00:42:52 → 00:42:55 ที่ให้เขาได้รู้สึกด้วยถ้าแบบนั้นน่ะความ
00:42:55 → 00:42:57 คิดลบหรืออะไรที่เราบอกว่ามันลบอ่ะมันจะ
00:42:57 → 00:42:59 กลายเป็นเรื่องธรรมดาแต่หลายทีอ่ะที่เรา
00:42:59 → 00:43:02 ติดอ่ะเพราะเราอยากเอาเขาออกไปเรารู้สึก
00:43:02 → 00:43:04 ว่าสิ่งนี้มันไม่ดีเลยอ่ะทำไมฉันต้องรู้
00:43:04 → 00:43:08 สึกแบบนี้แต่นี่มันคือฉันเพราะฉะนั้นการ
00:43:08 → 00:43:10 ที่เราแบบต้องคิดบวกทิศบวกอ่ะพี่รู้สึก
00:43:10 → 00:43:12 ว่าแบบผิดธรรมชาติอ่ะพี่รู้สึกว่าการที่
00:43:12 → 00:43:15 เรามีบวกด้วยแล้วในวันที่เราลบเราก็รู้
00:43:15 → 00:43:18 อ่ะแล้วมันก็จะไหลผ่านไปเหมือนสายลมอ่ะ
00:43:18 → 00:43:20 ค่ะมันก็คือแบบความธรรมดาอื
00:43:20 → 00:43:23 >> แล้วเราจะรู้ถึงพลังงานที่ดีของตัวเอง
00:43:23 → 00:43:25 จริงๆได้ยังไงมันจะสัมผัสได้ยังไงว่าอันเ
00:43:25 → 00:43:27 นี้คือพลังงานที่ดี
00:43:27 → 00:43:27 >> อ๋อ
00:43:27 → 00:43:29 >> มันจะรู้สึกประมาณไหนอะไรอย่างเงี้ย
00:43:29 → 00:43:31 >> อ๋อโอเคอันเนี้ยพี่แนะนำว่ากลับมาเช็คที่
00:43:31 → 00:43:34 ฐานกายค่ะเพราะว่าเวลาที่มันเป็นความคิด
00:43:34 → 00:43:37 ความรู้สึกอ่ะมันจับต้องไม่ได้แต่เวลาที่
00:43:37 → 00:43:40 เรากลับมาที่กายลองกลับมาดูดิว่าในวันที่
00:43:40 → 00:43:43 เราโกรธอ่ะลมหายใจเรามันเป็นแบบไหนหัวใจ
00:43:43 → 00:43:46 เรามันเต้นแบบไหนในวันที่เรารู้สึกว่าเรา
00:43:46 → 00:43:48 แบบรู้สึกรักตัวเองจังเลยหัวใจเรามันเต้น
00:43:48 → 00:43:51 แบบไหนลมหายใจเรามันเป็นแบบไหนเพราะว่า
00:43:51 → 00:43:54 กายกับจิตแล้วก็สิ่งที่อยู่ข้างในมันสอด
00:43:55 → 00:43:57 คล้องกันฉะนั้นน่ะถ้าเราจะรู้ว่าอันเนี้ย
00:43:57 → 00:44:00 เราพลังงานดีและกลับมาเช็คที่ถาดกายเรา
00:44:00 → 00:44:03 โอเคมยร่างกายเราโอเคมยหรือในวันที่เรา
00:44:03 → 00:44:06 รู้สึกเครียดลองสังเกตตรงไหนมันตึงลมหาย
00:44:06 → 00:44:09 ใจเราสั้นลงไปหรือเปล่ากินนอนได้มกลับมา
00:44:09 → 00:44:10 ที่ฐานกายเลยค่ะอ
00:44:10 → 00:44:13 >> อันนั้นคือเครื่องในการวัดพลังงานหรือว่า
00:44:13 → 00:44:14 ความรู้สึกของเรา
00:44:14 → 00:44:17 >> อืค่ะเพราะเขาบอกกันไว้ว่าร่างกายไม่เคย
00:44:17 → 00:44:18 โกหก
00:44:18 → 00:44:19 >> ใช่ๆแล้ว
00:44:19 → 00:44:22 >> อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับหรือเปล่าไว้
00:44:22 → 00:44:25 >> อเราจะเห็นมั้ยเออวันนี้ต้องขอขอบคุณคุณ
00:44:25 → 00:44:27 หมอฟ้ามากๆนะคะเพราะว่าสิ่งที่เราคุยกัน
00:44:27 → 00:44:29 แพนด้าว่าเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่มาฟัง
00:44:29 → 00:44:32 แน่ๆเพราะว่าเรื่องของการปรับนิสัยการ
00:44:32 → 00:44:35 เปลี่ยนพลังงานตัวเองมันสอดคล้องกันมัน
00:44:35 → 00:44:36 เป็นแทบจะเป็นสิ่งเดียวกันเลยอย่างที่บอก
00:44:36 → 00:44:38 เนาะเพราะว่าทุกอย่างตรงนี้เนี่ยพอเรา
00:44:38 → 00:44:42 เริ่มทำได้ค่อยๆปรับได้ก็จะทำให้สุขภาพ
00:44:42 → 00:44:44 ของเราดีขึ้นอ่ามันเกี่ยวข้องกันยังไงก็
00:44:44 → 00:44:46 คือตามที่คุณหมอได้พูดไปหมดแล้วว่าเฮ้ย
00:44:46 → 00:44:49 จริงๆมันก็วิทยาศาสตร์นะไม่ไม่ใช่แค่แบบ
00:44:49 → 00:44:52 เป็นความเชื่อนะค่ะแล้วก็ไม่ว่าวันนี้เรา
00:44:52 → 00:44:55 จะหรือขณะนี้เราจะมีความรู้สึกแบบไหนอาจ
00:44:55 → 00:44:56 จะเป็นความรู้สึกบวกหรืออาจจะเป็นความรู้
00:44:56 → 00:45:00 สึกที่ใหม่ขอยดีก็อยากให้ยอมรับเห็นและ
00:45:00 → 00:45:03 ยอมรับก็ไม่ต้องไปผลักดันเขาออกหรือไปกีด
00:45:03 → 00:45:05 กันเค้าเพราะว่าเขาก็คือส่วนนึงของของเรา
00:45:05 → 00:45:08 นี่แหละอ่าก็แค่เรียนรู้ไปแล้วก็ถ้าเรามี
00:45:08 → 00:45:11 เป้าหมายที่จะปรับนิสัยก็ค่อยๆทำแล้วก็
00:45:12 → 00:45:15 รู้ตัวทุกครั้งอ่าถึงแม้ว่าจะพลาดบ้างก็
00:45:15 → 00:45:18 ให้อภัยตัวเองหน่อยก็ไม่เป็นไรค่ะแล้วทุก
00:45:18 → 00:45:21 อย่างจะค่อยๆดีเองเออยุคเนี้ยเราจะได้ยิน
00:45:21 → 00:45:23 เนาะอย่างปี 2024 ที่ผ่านมาค่ะ
00:45:23 → 00:45:26 >> จะเป็นยุคของการ manifest อ่าเราจะได้ยิน
00:45:26 → 00:45:29 เป็นคำประจำปีเลยเดี๋ยววันนี้เราอยากจะ
00:45:29 → 00:45:30 คุยกันในเรื่องนี้ค่ะว่าเอ้ยเราจะ
00:45:30 → 00:45:33 manifest สุขภาพดีได้มยอ่า
00:45:33 → 00:45:35 >> ก่อนอื่นค่ะแพนด้าอยากรู้ว่าแล้วอย่าง
00:45:35 → 00:45:38 เจ้าความคิดอ่ะค่ะความคิดลบเนี่ยค่ะมันมี
00:45:38 → 00:45:41 ผลต่อการเจ็บใครไม่สบายของเราได้ไหมคะ
00:45:41 → 00:45:45 >> มีผลมากๆเลยพี่อยากจะเล่าเคสพี่แล้วกัน
00:45:45 → 00:45:47 จริงๆอ่ะค่ะช่องหมอฟ้าสมาธิศาสตร์ไม่ได้
00:45:47 → 00:45:51 เกิดจากการที่แบบโอ้ชีวิตดีแล้วออกมาทำ
00:45:51 → 00:45:53 ช่องไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเขาเกิดมาจากการ
00:45:53 → 00:45:56 ที่พี่ป่วยคือความคิดของพี่อ่ะทำให้พี่
00:45:56 → 00:45:59 ป่วยตอนนั้นน่ะคือเราทำงานตลอดเวลา 9:00
00:45:59 → 00:46:03 น.ถึง 20:00 น.ทำงานทุกวันอาทิตย์ละ 6
00:46:03 → 00:46:06 วัน 7 วันตลอดและทีเนี้ยมันถึงจุดที่พี่
00:46:06 → 00:46:08 อ่ะเบิร์น out ตอนแรกก็แค่เบิร์น out รู้
00:46:08 → 00:46:10 สึกแบบไม่อยากไปทำงานอะไรเงี้ยสักพัก
00:46:10 → 00:46:13 เริ่มนอนไม่ได้เริ่มมีภาวะซึมเศร้าจนสุด
00:46:14 → 00:46:17 ท้ายอ่ะพี่ไปเป็นโรคที่แบบหาสาเหตุไม่ได้
00:46:17 → 00:46:19 อ่ะเออคือหมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเรา
00:46:19 → 00:46:22 เป็นอะไรเพราะว่าตอนนั้นน่ะค่ะพี่แบบไม่
00:46:22 → 00:46:25 ชอบชีวิตตัวเองเลยรู้สึกไม่ดีไอ้ความคิด
00:46:25 → 00:46:27 นั้นของพี่อ่ะมันทำลายพี่หรือว่าสร้างโลก
00:46:27 → 00:46:29 ให้พี่ทั้งๆที่มันไม่สามารถวินิจฉัยได้
00:46:29 → 00:46:32 แต่ถ้าเกิดว่าในเชิงของวิทยาศาสตร์อ่ะเขา
00:46:32 → 00:46:35 จะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นnoซbroคือ no คือ
00:46:35 → 00:46:38 ไม่มีไม่ได้มีตัวที่ทำให้เกิดโรคแต่ความ
00:46:38 → 00:46:41 คิดทำให้เกิดโรคมีคุณลุงคนนึงชื่อคุณตา
00:46:41 → 00:46:44 แซมลอนแต่ว่าในหลายปีมาแล้วนะคะคือคุณตา
00:46:44 → 00:46:47 เนี่ยเขาไปหาหมอหมอบอกว่าเฮ้ยเนี่ยคุณตา
00:46:47 → 00:46:49 เป็นแบบมะเร็งหลอดอาหารคุณตาหลังจากที่
00:46:49 → 00:46:51 รู้ว่าเป็นมะเร็งหลอดอาหารน่ะค่ะจากตอน
00:46:51 → 00:46:54 แรกอ่ะก็แบบมีความสุขดีใช่ป่ะก็คือแบบดาว
00:46:54 → 00:46:57 ลงมาเรื่อยๆคุณตาคิดว่าตัวเองเป็นและคนใน
00:46:57 → 00:46:59 บ้านก็คิดว่าคุณตาเป็นมะเร็งหลอนอาหาร
00:46:59 → 00:47:01 ด้วยหลังหลังจากนั้นอีกประมาณ 2-3
00:47:01 → 00:47:04 อาทิตย์อ่ะคุณตาเสียชีวิตลงพอคุณตาเสีย
00:47:04 → 00:47:07 ชีวิตลงไปใช่ไหมคะเขาก็เลยเอาไปชันสูตร
00:47:07 → 00:47:10 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณตาไม่ได้เป็น
00:47:10 → 00:47:13 มะเร็งหลอดอาหารคือเขาเป็นแค่แบบจุดในปอด
00:47:13 → 00:47:15 อ่ะค่ะซึ่งสิ่งที่ทำให้คนสงสัยก็คือว่า
00:47:15 → 00:47:18 สิ่งที่คุณตาเป็นน่ะมันไม่สามารถทำให้คน
00:47:18 → 00:47:22 นึงอ่ะเสียชีวิตได้แต่อะไรที่ทำให้คนนึง
00:47:22 → 00:47:25 เสียชีวิตสิ่งนั้นก็คือความเชื่อของคุณตา
00:47:25 → 00:47:28 ว่าเขาจะต้องแบบแน่เลยอะไรอย่างเงี้ยแล้ว
00:47:28 → 00:47:30 สิ่งแวดล้อมก็คือทุกคนคิดว่าคุณตาแบบไม่
00:47:30 → 00:47:32 รอดแน่เลยอ่ะค่ะเพราะฉะนั้นความคิดอ่ะมัน
00:47:32 → 00:47:35 ไม่ใช่แค่ความคิดความคิดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
00:47:35 → 00:47:38 มีผลต่อร่างกายมีผลต่อชีวิตของเราเลย
00:47:38 → 00:47:40 >> เมื่อกี้ที่พี่ฟ้าบอกคือเขาถูกวินิจฉัย
00:47:40 → 00:47:41 ตอนแรก
00:47:41 → 00:47:44 >> ใช่เวินิจฉัยตอนแรกว่าเป็นแต่เหมือนแบบมี
00:47:44 → 00:47:47 การผิดพลาดทางการวินิจฉัยอ่ะแล้วพอพอเขา
00:47:47 → 00:47:49 แบบชันสูตรตอนหลังอ่ะมันไม่ได้เป็นแบบ
00:47:49 → 00:47:51 นั้นคือเหมือนกับวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
00:47:51 → 00:47:53 แต่ว่าอาจจะเป็นแค่แบบเล็กๆอ่ะที่ไม่ได้
00:47:53 → 00:47:55 เป็นสาเหตุที่ทำให้คนนึงอ่ะต้องเสียชีวิต
00:47:55 → 00:47:56 ลง
00:47:56 → 00:47:57 >> อืค่ะเออ
00:47:57 → 00:48:00 >> แพนด้าถามแทนคนที่ฟังอยู่ว่าต้องมีคนหลาย
00:48:00 → 00:48:03 ๆคนแย้งขึ้นมาแน่ๆว่าอ้าวก็คุณหมอเป็นคน
00:48:03 → 00:48:05 บอกเราว่าเราป่วยนี่เราก็มีสิทธิ์ที่จะ
00:48:05 → 00:48:06 เชื่อตามนั้นเพราะว่าคุณหมอเป็นคน
00:48:07 → 00:48:09 วินิจฉัยแล้วแล้วบอกว่าเราอ่ะป่วย
00:48:09 → 00:48:11 >> อ่าคุณตาก็ไม่ผิดที่เชื่อมั้คะ
00:48:11 → 00:48:14 >> ใช่อันเนี้ไม่ผิดที่เชื่อแต่สิ่งเนี้ยมัน
00:48:14 → 00:48:17 บอกว่าความเชื่อของเราอ่ะมันทำให้เรา
00:48:17 → 00:48:20 เปลี่ยนร่างกายของเราได้คือเค้าอ่ะไม่ผิด
00:48:20 → 00:48:22 ที่เชื่อหมออันเนี้ยใช่แต่ไอ้ตรงความ
00:48:22 → 00:48:25 เชื่อที่เขาเชื่อกับตัวเองอ่ะมันทำให้
00:48:25 → 00:48:27 เขา้าอ่ะอยู่หรือไปได้ความเชื่อเขามีพลัง
00:48:27 → 00:48:28 มากขนาดนั้น
00:48:28 → 00:48:31 >> แปลว่าถ้าสมมุติเราไม่ได้เป็นอะไรเลยตอน
00:48:31 → 00:48:33 นี้คือเราตรวจสุขภาพมาแล้วเราก็เป็นคนที่
00:48:34 → 00:48:36 มีร่างกายแข็งแรงคนนึงล่ะแต่ว่าเราอาจจะ
00:48:36 → 00:48:38 มีความวิตกกังวลหรือว่าอย่างทุกวันนี้
00:48:38 → 00:48:42 เห็นโรคมากขึ้นออกไปเจอฝุ่นเจออะไรแล้ว
00:48:42 → 00:48:44 บางครั้งเนี่ยเรากังวลมากเกินกว่าความ
00:48:44 → 00:48:46 เป็นจริง่
00:48:46 → 00:48:47 >> อ่าเราก็มีโอกาสที่จะป่วย
00:48:47 → 00:48:48 >> ใช่
00:48:48 → 00:48:52 >> ใช่หรือลองนึกย้อนไปตอนโควิดจำได้มั้ยคะ
00:48:52 → 00:48:56 ตอนโควิดอ่ะเชื้อส่วนนึงนะแต่สิ่งที่ทำ
00:48:56 → 00:49:00 ให้แบบไปได้ไวกว่าคือความกลัวเพราะเมื่อ
00:49:00 → 00:49:02 ไหร่ก็ตามที่เรากลัวค่ะมันจะทำให้ภูมิ
00:49:02 → 00:49:05 ต้านทานของมนุษย์อ่ะต่ำลงพอต่ำลงปุ๊บอ่ะ
00:49:05 → 00:49:07 สิ่งที่แบบมันอาจจะเป็นอะไรเล็กๆอ่ะมัน
00:49:07 → 00:49:09 ส่งผลต่อร่างกายเรามากกว่าเดิมเพราะ
00:49:10 → 00:49:12 ฉะนั้นน่ะความกลัวเป็นตัวเหมือนแบบขยาย
00:49:12 → 00:49:15 โลกอ่ะอันนี้พี่ก็เลยใช้ในการผ่านพ้นทุก
00:49:15 → 00:49:19 ซีรียส์ของโควิดมาทั้งๆที่เราอ่ะทำงาน
00:49:19 → 00:49:22 เป็นหมอฟันแล้วเราแบบอยู่กับปากคนแต่ว่า
00:49:22 → 00:49:24 เราสามารถแบบเอออยู่กับเขาได้โดยที่ไม่
00:49:24 → 00:49:26 กลัวแล้วเราก็แบบเออไม่ติดโควิดจริงๆ
00:49:26 → 00:49:29 >> อือทั้งๆที่เราใกล้ชิดคิดกับอาจจะมีโอกาส
00:49:29 → 00:49:31 เป็นมากกว่าคนปกติด้วย
00:49:31 → 00:49:33 >> ใช่ใช่ค่ะขอแค่เราอยู่กับเขาได้อ่ะไม่
00:49:33 → 00:49:35 ต้องกลัวหรือว่าตื่นตระหนกอ่ะค่ะ
00:49:35 → 00:49:38 >> แล้วทีเนี้ยค่ะอยากถามถึงคนสุขภาพดีบ้าง
00:49:38 → 00:49:41 ว่าแพนด้าจะเคยเห็นบางคนเนาะว่าเค้าเดิน
00:49:41 → 00:49:43 มาหรือว่าเราเจอเค้าแล้วเรารู้สึกว่าเฮ้ย
00:49:43 → 00:49:45 คนเนี้ยมีออร่าอ
00:49:45 → 00:49:47 >> อ่าไอ้ออร่าที่เกิดขึ้นเนี่ยมันคืออะไร
00:49:47 → 00:49:50 แล้วออร่าเนี่ยจำเป็นมั้ที่จะต้องเกิด
00:49:50 → 00:49:52 ขึ้นกับคนสุขภาพดีเท่านั้น
00:49:52 → 00:49:55 >> จริงๆแล้วอ่ะไอ้คำว่าออร่ามักจะพูดในเชิง
00:49:55 → 00:49:56 ของจิตวิญญาณ
00:49:56 → 00:50:00 >> เออว่าอันเนี้ยแบบออร่าดีหรือว่าคนนี้ดู
00:50:00 → 00:50:02 แบบพลังงานดีจริงๆแล้วอ่ะค่ะออร่า
00:50:02 → 00:50:06 สัมพันธ์กับจักระจักระคือไม่ไม่ได้มีใน
00:50:06 → 00:50:08 ร่างกายมนุษย์นะเค้าเหมือนเป็นศูนย์ของ
00:50:08 → 00:50:11 พลังงานแต่มันเชื่อมโยงกับร่างกายมนุษย์
00:50:11 → 00:50:13 คือเป็นระบบฮอร์โมนถ้าเกิดว่าใครแบบได้
00:50:13 → 00:50:16 ศึกษาเรื่องเาจะบอกว่าจักรกะมันเป็น 7
00:50:16 → 00:50:18 จักกะแต่จริงๆมีมากกว่านั้นนะคะแต่ศูนย์
00:50:18 → 00:50:21 จักรกะมี 7 จักรกะแต่จุดสำคัญก็คือว่าแต่
00:50:21 → 00:50:25 ละที่สัมพันธ์กับต่อมที่สร้างฮอร์โมนของ
00:50:25 → 00:50:27 แต่ละร่างกายเช่นจักกะที่ 2 จะเกี่ยวข้อง
00:50:27 → 00:50:30 กับระบบสืบพันจักกัดที่ 3 เกี่ยวข้องกับ
00:50:30 → 00:50:32 ช่องท้องอย่างเงี้ยค่ะหรือว่าจักรที่ 4
00:50:32 → 00:50:35 เกี่ยวข้องกับหัวใจจักกะที่ 5 คือเนี่ย
00:50:35 → 00:50:37 ไทรรอยด์ก็จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
00:50:37 → 00:50:40 ไทรรอยด์จักรที่ 6 อ่ะคือไพเนียลแกนส่วน
00:50:40 → 00:50:42 จักกะที่ 7 คือพิทูอิตาลีแกนเพราะฉะนั้น
00:50:42 → 00:50:45 พวกเนี้ยถ้าเกิดว่าออร่าดีนั่นหมายความ
00:50:45 → 00:50:49 ว่าฮอร์โมนของเราอ่ะสมดุลถ้าเราสุขภาพดี
00:50:49 → 00:50:52 กินอิ่มนอนหลับมีความสุขฮอร์โมนเราสมดุล
00:50:52 → 00:50:54 ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นประจำเดือนปกติก่อน
00:50:55 → 00:50:57 เป็นประจำเดือนไม่ได้เหวี่ยงไม่ได้วีนเรา
00:50:57 → 00:51:00 สามารถกินได้นอนได้แสดงว่าเราอยู่ในความ
00:51:00 → 00:51:03 สมดุลถ้าอยู่ในความสมดุลฮอร์โมนก็สมดุล
00:51:03 → 00:51:05 เพราะฉะนั้นฮอร์โมนที่สมดุลออล่าก็สมดุล
00:51:05 → 00:51:08 ไปด้วยสังเกตมยอย่างเช่นอย่างผู้หญิงอ่ะ
00:51:08 → 00:51:10 ค่ะจะเห็นชัดถ้าเกิดบางคนแบบประจำเดือน
00:51:10 → 00:51:13 ไม่มาประเจิมเดือนมาไม่ปกติผิวเราก็จะไม่
00:51:13 → 00:51:15 ค่อยดีเคยเป็นมั้ยหรือว่าก่อนประจำเดือน
00:51:15 → 00:51:16 มาเราจะแบบเป็นสิว
00:51:16 → 00:51:19 >> เพราะว่าฮอร์โมนมันเกี่ยวข้องกับออร่าของ
00:51:19 → 00:51:22 เราคือออร่าคือเรื่องของสมดุลฮอร์โมนมาก
00:51:22 → 00:51:23 กว่า
00:51:23 → 00:51:23 >> อื
00:51:23 → 00:51:26 >> ก็เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเพราะว่า
00:51:26 → 00:51:28 >> ฮอร์โมนก็มีส่วนทำให้ร่างกายเราแข็งแรง
00:51:28 → 00:51:30 หรือไม่แข็งแรงด้วยการทำงาน
00:51:30 → 00:51:34 >> โมากมากๆเลยค่ะฮอร์โมนนี่คือเขาเป็นสาร
00:51:34 → 00:51:37 เคมีที่วิ่งอยู่ในร่างกายเราแต่ว่าถ้า
00:51:37 → 00:51:39 เกิดว่าชัดอ่ะจะเห็นในผู้หญิงเพราะผู้
00:51:39 → 00:51:41 หญิงอ่ะฮอร์โมนจะมีผลเยอะเพราะว่าเรามี
00:51:41 → 00:51:43 รอบเดือนเรามีประจำเดือนใช่มั้ยอืเรา
00:51:43 → 00:51:45 สังเกตถ้าเกิดว่าแบบทำไมก่อนเป็นประจำ
00:51:45 → 00:51:48 เดือนทำไมเราถึงหงุดหงิดมากแม้แต่สิ่ง
00:51:48 → 00:51:50 เล็กๆที่เราเรียกว่าแบบมันอาจจะดูไม่มี
00:51:50 → 00:51:52 อะไรอ่ะแต่ทำไมผู้หญิงบางคนถึงแบบโอปวด
00:51:52 → 00:51:55 ท้องขนาดนั้นน่ะเพราะว่าฮอร์โมนมันไม่
00:51:55 → 00:51:57 สมดุลอ่ะฮอร์โมนอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆแต่
00:51:57 → 00:51:59 ว่ามันส่งผลกับชีวิตเราแบบเยอะ
00:51:59 → 00:52:00 >> อื
00:52:00 → 00:52:03 >> ค่ะฮอร์โมนก็ถ้าในเชิงวิทยาศาสตร์ก็คือ
00:52:03 → 00:52:05 มันคือเรื่องของออ่าคือจักรกะ
00:52:05 → 00:52:07 >> ใช่ฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับจักรกะจักรกะจริง
00:52:07 → 00:52:09 ๆเป็นศูนย์พลังงานที่ไม่ได้มีในร่างกาย
00:52:09 → 00:52:12 แต่เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่สร้างฮอร์โมน
00:52:12 → 00:52:14 นั้นๆเพราะฉะนั้นถ้าจักกะสมดุลฮอร์โมนก็
00:52:14 → 00:52:17 สมดุลคนก็ร่างกายแข็งแรงไปด้วยอ
00:52:17 → 00:52:20 >> ออืค่ะใครที่อยู่สายสปิชualเนี่ยอาจจะเคย
00:52:20 → 00:52:22 ได้ยินเรื่องของออร่าเรื่องของจักระจริงๆ
00:52:22 → 00:52:23 ก็คือมันก็เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกาย
00:52:23 → 00:52:25 เนาะอย่างที่คุณหมอบอกไปเลยว่าบางครั้ง
00:52:25 → 00:52:29 แล้วการที่เรามาดูแลร่างกายก็จะทำให้
00:52:29 → 00:52:31 ออร่าหรือจักกะเราดีขึ้น
00:52:31 → 00:52:31 >> ใช่
00:52:31 → 00:52:35 >> อือจริงๆก็บนเป็นแบบเดียวกันเรื่องเดียว
00:52:35 → 00:52:37 กันพี่ไม่ได้มองว่าแบบเอ้ย spiritual คือ
00:52:37 → 00:52:40 เรื่องนอกตัวจริงๆแล้วอ่ะคือเรื่องร่าง
00:52:40 → 00:52:43 กายเราถ้าเราดูแลร่างกายเราดีพลังงานเรา
00:52:43 → 00:52:45 ดีออร่าเราก็ดีตามไปด้วยสมมุติว่าร่างกาย
00:52:45 → 00:52:48 เราดีอ่ะค่ะเราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองเวลา
00:52:48 → 00:52:50 คนที่เข้ามาแบบใกล้ชิดกับเราเขาก็จะ
00:52:50 → 00:52:52 สัมผัสได้ถึงพลังงานดีๆจากเราอ่ะเออ
00:52:52 → 00:52:56 >> อืเราจะเคยได้ยินคำว่าคิดแบบไหนก็ได้แบบ
00:52:56 → 00:52:57 นั้น
00:52:57 → 00:52:59 >> มันเป็นอย่างนั้นจริงๆมั้ยคะอ
00:52:59 → 00:53:02 >> อันเนี้ยสำคัญถ้าคิดแล้วไม่ได้คิดซ้ำๆอ่ะ
00:53:03 → 00:53:05 ไม่ได้เป็นแต่สิ่งที่เราเกิดขึ้นก็คือ
00:53:05 → 00:53:08 สิ่งที่เราคิดซ้ำๆนำมาสู่รู้สึกซ้ำๆรู้
00:53:08 → 00:53:11 สึกแล้วทำให้เกิดการลงมือทำลงมือทำแล้ว
00:53:11 → 00:53:14 กลายเป็นนิสัยจริงๆอ่ะคิดแล้วเป็นแบบนั้น
00:53:14 → 00:53:18 น่ะค่ะเกิดจากการที่คิดซ้ำๆจนเป็นนิสัย
00:53:18 → 00:53:21 ของเราเออเราก็เลยได้สิ่งนั้นอย่างคนที่
00:53:21 → 00:53:24 แบบมีนิสัยชอบออกกำลังกายอ่ะเขาก็มีซกแพค
00:53:24 → 00:53:27 เห็นป่ะคิดว่าอยากมีซิแพคแต่เกิดจากการ
00:53:27 → 00:53:31 คิดแล้วก็ทำซ้ำๆจนมีซกแพคเขาเลยเป็นคนที่
00:53:31 → 00:53:32 มีซิกแพค
00:53:32 → 00:53:36 >> คิดแล้วเลยได้สิ่งนั้นเออเห็นมั้ยคะมัน
00:53:36 → 00:53:39 ไม่ได้เกิดจากความคิดอย่างเดียวแต่คิดซ้ำ
00:53:39 → 00:53:42 ๆอ่ะมันนำมาสู่โมเมนตัมโมเมนตัมที่ใหญ่
00:53:42 → 00:53:44 ขึ้นที่นำมาสู่การลงมือทำและกลายเป็นการ
00:53:44 → 00:53:45 เป็นของเรา
00:53:45 → 00:53:47 >> แล้วอย่างอย่างเมื่อกี้เนี่ยเป็นตัวอย่าง
00:53:47 → 00:53:50 ของการที่ในด้านที่ดีเนาะคิดในเชิงที่
00:53:50 → 00:53:53 อยากพัฒนาร่างกายมีซิแพคแล้วอย่างกรณีคน
00:53:53 → 00:53:56 ที่คิดซ้ำๆในด้านที่ไม่ค่อยดี
00:53:56 → 00:53:59 >> อ่ามันจะได้แบบนั้นคือจะได้แบบไหนคะอย่าง
00:53:59 → 00:54:03 เช่นถ้าเรากลัวหรือว่าวิตกกังวลซ้ำๆแบบ
00:54:03 → 00:54:05 เนี้ยค่ะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพอมันเป็น
00:54:05 → 00:54:08 ซ้ำๆอ่ะจะเป็นคนที่ภูมิตกหรือว่าเป็นคน
00:54:08 → 00:54:11 ที่เป็นภูมิแพ้ง่ายบางอย่างไม่ควรจะแพ้ก็
00:54:11 → 00:54:14 แพ้แบบเนี้ยค่ะเพราะว่าเราอยู่กับความ
00:54:14 → 00:54:17 กลัวหรือว่าความคิดแบบนั้นซ้ำๆอ่ะเออก็จะ
00:54:17 → 00:54:20 เป็นอันนี้แบบอาจจะยกตัวอย่างน้องฟักก็
00:54:20 → 00:54:22 ได้ค่ะเพราะว่าแบบใกล้ตัวเนาะไม่กล้าไม่
00:54:22 → 00:54:24 กล้าไปพูดเรื่องของคนอื่นคือน้องฟ้าน่ะ
00:54:24 → 00:54:27 อันนี้ฟักขอเขามาแล้วนะมีอยู่ช่วงนึงที่
00:54:27 → 00:54:30 เขาแบบเครียดเออแล้วเขาคิดซ้ำๆอ่ะแล้ว
00:54:30 → 00:54:33 เชื่อไหมว่าเขาอ่ะเป็นแบบทอนซินอักเสบเฉย
00:54:33 → 00:54:38 ๆช็อกเข้า ICU เลยอ่ะคือสิ่งที่เป็นน่ะ
00:54:38 → 00:54:41 เขาแบบไม่ได้สอดคล้องกับรอยโรคอ่ะค่ะ
00:54:41 → 00:54:43 เหมือนนิดนึงแต่ว่ามันส่งผลเยอะเพราะว่า
00:54:44 → 00:54:46 อยู่ในช่วงที่เขาภูมิตกเอออาจจะมีความ
00:54:46 → 00:54:48 กลัวความกังวลแล้วภูมิมันตกอ่ะ
00:54:48 → 00:54:49 >> อื
00:54:49 → 00:54:51 >> เออเราก็อาจจะเป็นนิดเดียวหรือช่วงเนี้ย
00:54:51 → 00:54:54 ใครที่เป็นเยอะอย่างเช่นเมื่อก่อนน่ะเป็น
00:54:54 → 00:54:56 หวัด 3-4 วันหายและเดี๋ยวเนี้ยเป็นกัน
00:54:56 → 00:54:58 เป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์เพราะว่าภูมิเราตก
00:54:58 → 00:55:00 เรากลัวหรือว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มี
00:55:00 → 00:55:02 ความกลัวค่ะมันก็เลยทำให้สิ่งนั้นน่ะไม่
00:55:02 → 00:55:05 หายสักทีหรือเป็นก็เป็นหนักขึ้นอย่าง
00:55:05 → 00:55:05 เงี้ย
00:55:05 → 00:55:08 >> โอแม้กระทั่งมันเสมอไปมั้คะเช่นก็เป็นคน
00:55:08 → 00:55:10 ที่กลัวนะเพราะก็ไม่ได้อยากป่วยใช่มั้คะเ
00:55:10 → 00:55:12 ก็กลัวแต่ว่าพอเขาเป็นอย่างอย่างเป็นหวัด
00:55:12 → 00:55:15 เาก็ดูแลตัวเองดีค่ะคือก็มีความกลัวอยู่
00:55:15 → 00:55:18 นะแล้วก็ก็ดูแลตัวเองกินยาคือทำทุกอย่าง
00:55:18 → 00:55:19 เลยเพื่อที่จะให้หายอ่ะค่ะ
00:55:19 → 00:55:20 >> อื
00:55:20 → 00:55:22 >> อ่าในเมื่อเขาดูแลตัวเองดีขนาดนี้แล้วแต่
00:55:22 → 00:55:23 มีความกลัวกลัวอยู่ด้วยเนี่ยแปลว่าเขาจะ
00:55:23 → 00:55:24 หายช้าขึ้นหรอคะ
00:55:24 → 00:55:27 >> ใช่จับด้วยความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอ่ะ
00:55:27 → 00:55:30 เราทำด้วยความรักหรือว่าทำด้วยความกลัว
00:55:30 → 00:55:33 เราแบบกินดีเพราะเรากลัวเพราะว่าความกลัว
00:55:33 → 00:55:35 นั้นน่ะมันทำให้เราแบบภูมิต้านทานเราต่ำ
00:55:35 → 00:55:36 อือ
00:55:36 → 00:55:39 >> ให้ทำแต่ว่าทำด้วยความรักเป็นก็ยอมรับ
00:55:39 → 00:55:41 แล้วก็อาจใช้เหมือนแบบกินยาแล้วก็บอกรัก
00:55:41 → 00:55:43 ตัวเองไปด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะว่า
00:55:43 → 00:55:45 ทุกคำที่สื่อสารน่ะเซลล์เขาก็ได้ยินนะให้
00:55:45 → 00:55:48 เช็คความรู้สึกว่าเราทำด้วยความรักหรือ
00:55:48 → 00:55:50 ว่าทำด้วยความกลัวถ้าทำด้วยความกลัวมันก็
00:55:50 → 00:55:51 จะหายช้าอยู่ดี
00:55:51 → 00:55:52 >> อื
00:55:52 → 00:55:54 >> อือค่ะก็คือเป็นอีกทางเลือกนึงเอ่อเพราะ
00:55:55 → 00:55:57 ว่าเวลาที่เราป่วยเนี่ยเราก็ต้องดูแลตัว
00:55:57 → 00:55:59 เองอยู่แล้วล่ะต้องกินยาอยู่แล้วเนาะ
00:55:59 → 00:56:01 อย่างที่หมอฟ้าบอกก็คือเพิ่มอีกนิดนึงก็
00:56:01 → 00:56:04 คือใส่ความรู้สึกขอบคุณหรือว่ารู้สึกดี
00:56:04 → 00:56:06 รู้สึกแบบว่าอยากให้เขาหายอยากให้ร่างกาย
00:56:06 → 00:56:08 เกลับมาเป็นปกติ
00:56:08 → 00:56:11 >> แล้วก็เวลาที่เราป่วยเนี่ยค่ะเราไม่ควรจะ
00:56:11 → 00:56:13 โทษร่างกายที่ป่วยด้วยใช่มั้ยคะ
00:56:13 → 00:56:15 >> ใช่เราเหมือนจะต้องเป็นคนที่แบบเหมือน
00:56:15 → 00:56:18 เป็นเพื่อนน่ะเออคือถ้าเรารู้สึกว่าคนนี้
00:56:18 → 00:56:20 เป็นเพื่อนน่ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะ
00:56:20 → 00:56:22 อยู่ข้างๆเขาใช่มั้ยในวันที่เาอ่อนแอร์
00:56:22 → 00:56:24 เราก็คือโอเคเราก็กลับไปอยู่กับเขาอ่ะเออ
00:56:24 → 00:56:27 ไม่เป็นไรถึงเวลาที่จะต้องพักก็ต้องพัก
00:56:27 → 00:56:30 ร่างกายเนี่ยเขามีปัญญาของเขาคือเขาแบบ
00:56:30 → 00:56:33 เขาจะค่อยๆบอกเราว่าเราควรจะทำอะไรสังเกต
00:56:33 → 00:56:36 มั้คะโรคไข้หวัดใหญ่อ่ะจริงๆแล้วอ่ะไม่
00:56:36 → 00:56:38 ได้มียารักษาเพราะว่าไข้หวัดใหญ่เขาเกิด
00:56:38 → 00:56:40 จากไวรัสอย่างบางอันเนี่ยมาจากเชื้อ
00:56:40 → 00:56:43 แบคทีเรียเขาจะมีแอนตีไบโอติกที่เรากินยา
00:56:43 → 00:56:45 เข้าไปแต่เวลาเป็นไข้หวัดใหญ่อ่ะเราจะรู้
00:56:45 → 00:56:48 สึกว่าอะไรเราอยากนอนน้องแพนด้าเคยเป็น
00:56:48 → 00:56:49 ไข้หวัดใหญ่มั้คะ
00:56:49 → 00:56:50 >> น่าจะเคยค่ะจำไม่ได้
00:56:50 → 00:56:58 >> จำไม่ได้แล้วใช่มั้อื
00:56:58 → 00:57:01 ปวนะแต่ไข้วใหญ่ลองสังเกตค่ะเวลาที่เรา
00:57:01 → 00:57:04 เป็นไข้อ่ะเราจะอยากนอนเพราะว่าร่างกาย
00:57:04 → 00:57:07 เขากำลังพาตัวเราอ่ะมาพักเพียงแต่ว่าเรา
00:57:07 → 00:57:10 อ่ะไม่รู้ว่าเอ้ยมันต้องพักอ่ะเราเป็นนิด
00:57:10 → 00:57:13 ๆอ่ะเราก็แบบอุ้ยฉันไหวเออฉันไหวแล้วก็ไป
00:57:13 → 00:57:15 ต่อมันก็เลยเป็นเยอะเพราะเราไม่ได้กลับมา
00:57:15 → 00:57:18 ฟังเสียงร่างกายตัวเราเองถ้าเราฟังอ่ะเรา
00:57:18 → 00:57:21 ก็รู้สึกว่าอ๋อแค่ง่วงเราก็นอนพอนอนไปสัก
00:57:21 → 00:57:23 พักอ่ะเราก็จะหายโดยที่เราไม่ต้องกินยาก็
00:57:23 → 00:57:24 ได้อื
00:57:24 → 00:57:24 >> เออ
00:57:24 → 00:57:27 >> อ๋อจริงๆร่างกายก็ค่อนข้างมหัศจรรย์เนาะเ
00:57:27 → 00:57:30 ค่อนข้างจะมีกลไกในการที่จะรักษาตัวเอง
00:57:30 → 00:57:30 >> ใช่
00:57:30 → 00:57:33 >> อ่าเพียงแต่เราก็ต้องฟังเสียงร่างกายของ
00:57:33 → 00:57:34 เราให้
00:57:34 → 00:57:37 >> ใช่ใช่ค่ะเาเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดละ
00:57:37 → 00:57:40 เขามีกลไกในการปกป้องแล้วก็ดูแลตัวเองแต่
00:57:40 → 00:57:41 เราอ่ะไม่ได้ยิน
00:57:41 → 00:57:44 >> แสดงว่าเวลาที่เราป่วยเราจะแค่กินยาอย่าง
00:57:44 → 00:57:47 เดียวแล้วไม่ไม่ให้เวลาในการพักผ่อนพัก
00:57:47 → 00:57:49 ฟื้นเลยอันนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้หาย
00:57:49 → 00:57:52 >> อาจจะพูดยากถ้าถามว่าหายมั้ยบางทีก็หาย
00:57:52 → 00:57:55 ค่ะแต่เราอาจจะใช้ยานานกว่าเดิมเราอาจจะ
00:57:55 → 00:57:59 ใช้ยาโดสแบบมากกว่าเดิมที่รู้สึกว่ายังไง
00:57:59 → 00:58:01 อ่ะตัวเราอ่ะการที่เราค่อยๆกลับมารักษา
00:58:01 → 00:58:04 ร่างกายหรือว่ากลับมาดูแลเขาอ่ะร่วมกับยา
00:58:04 → 00:58:06 ไปด้วยมันเหมือนร่วมด้วยช่วยกันน่ะ
00:58:06 → 00:58:07 >> ทำให้มันง่าย
00:58:07 → 00:58:07 >> ใช่
00:58:07 → 00:58:08 >> ง่วงก็นอน
00:58:08 → 00:58:12 >> ใช่ง่วงก็นอนแล้วก็เหนื่อยก็พักตามจังหวะ
00:58:12 → 00:58:14 ของเราอะไรอย่างเงี้ยแล้วมันจะไม่ได้เกิด
00:58:14 → 00:58:17 อะไรใหญ่ๆอ่ะส่วนมากโลกที่เรารู้สึกว่า
00:58:17 → 00:58:20 เป็นอะไรใหญ่ๆอ่ะมักจะมาจากเสียงเล็กๆแต่
00:58:20 → 00:58:21 เราไม่ได้ยิน
00:58:21 → 00:58:23 >> อย่างที่ตอนแรกที่แพนด้าพูดถึงนะว่าเอ้ย
00:58:23 → 00:58:26 เราจะสามารถดึงดูดหรือ manifest สุขภาพดี
00:58:26 → 00:58:28 ได้มก่อนอื่นต้องถามคุณหมอก่อนค่ะว่าการ
00:58:28 → 00:58:30 manifest เนี่ยคืออะไร
00:58:30 → 00:58:32 >> manifest อ่ะคือการเปลี่ยนความคิดให้
00:58:32 → 00:58:34 กลายเป็นความจริงก็คือเหมือนเปลี่ยนสิ่ง
00:58:34 → 00:58:36 ที่อยู่ในหัวเราอ่ะให้กลายเป็นความจริง
00:58:36 → 00:58:38 ไม่ว่าเฮ้ยฉันอยากมีสุขภาพที่ดีกว่านี้
00:58:38 → 00:58:40 ฉันอยากมีเงินมากกว่านี้อะไรอย่างเงี้ย
00:58:40 → 00:58:41 ค่ะแล้วเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เราแบบจับต้อง
00:58:41 → 00:58:43 ได้เห็นในโลกที่เราเป็นจริง
00:58:43 → 00:58:45 >> อันนั้นคือ manifest
00:58:45 → 00:58:47 >> ใช่แต่ว่ากระบวนการของการ manifest อ่ะ
00:58:47 → 00:58:51 ถ้าพูดคร่าวๆมันก็คือการขอเชื่อแล้วก็รับ
00:58:51 → 00:58:53 ที่เขาพูดกันใช่มั้คะการขอก็คือเราต้อง
00:58:53 → 00:58:56 ส่งออกไปก่อนหรือว่าเราเห็นภาพว่าเราอ่ะ
00:58:56 → 00:58:58 จะเอาอะไรเราเห็นภาพตัวเองเป็นแบบไหนเช่น
00:58:58 → 00:59:01 เราเห็นภาพตัวเองเป็นคนที่มีซิแพคอันนี้
00:59:01 → 00:59:04 คือเราส่งออกไปละเชื่อคือการลงมือทำพอเรา
00:59:04 → 00:59:07 เห็นเสร็จปุ๊บว่าเออฉันแบบมีหุ่นแบบนี้นะ
00:59:07 → 00:59:09 ฉันมีสุขภาพดีแบบนี้ฉันก็ลงมือปรับ
00:59:09 → 00:59:11 เปลี่ยนนี่คือความเชื่อค่ะความเชื่อไม่
00:59:11 → 00:59:14 ใช่แบบเชื่อๆแต่เชื่อที่แท้จริงอ่ะคือเรา
00:59:14 → 00:59:17 ลงมือทำอ่ะฉันลงไปฟิตเนสฉันกินอาหารที่ดี
00:59:17 → 00:59:20 ขึ้นฉันกินโปรตีนให้ถึงมันก็เลยสอดคล้องไ
00:59:20 → 00:59:23 ค่ะขอก็คือเห็นภาพและเชื่อเราลงมือทำแล้ว
00:59:23 → 00:59:25 เราก็ได้รับเราทำแบบไหนเราก็ได้รับแบบ
00:59:25 → 00:59:26 นั้นเออ
00:59:26 → 00:59:28 >> อืค่ะเพราะว่าขั้นตอนของความเชื่อเนี่ย
00:59:28 → 00:59:30 ถ้าจะให้เชื่อจริงๆมันต้องมีหลักฐานถูก
00:59:30 → 00:59:30 มั้คะอ
00:59:30 → 00:59:33 >> อืใช่เราไม่ได้เชื่อจากการแบบโอ๊ยนั่ง
00:59:33 → 00:59:37 สมาธิเราเชื่อแต่มันเชื่อจากการที่เราลืม
00:59:37 → 00:59:40 ตาลงมือทำให้สอดคล้องเราถึงจะเกิดความ
00:59:40 → 00:59:41 เชื่อขึ้นมาค่ะ
00:59:41 → 00:59:44 >> แล้วการตั้งจิตอธิษฐานอย่างเงี้ยค่ะถือ
00:59:44 → 00:59:45 เป็นการ manifest มั้ยคะ
00:59:45 → 00:59:48 >> การตั้งจิตอ่ะมันคือการส่งแรงปรารถนาเออ
00:59:48 → 00:59:51 มันคือส่วนหนึ่งของการ manifest แต่ถ้า
00:59:51 → 00:59:53 เราส่งอย่างเดียวฉันจะเอาซิแพคอย่างเดียว
00:59:53 → 00:59:56 แต่เราไม่ได้ลงมือทำอ่ะมันก็ไม่สามารถ
00:59:56 → 00:59:58 เกิดในสิ่งที่เราจับต้องได้เพราะฉะนั้น
00:59:58 → 01:00:01 น่ะการตั้งจิตอฐานเป็นส่วนหนึ่งแค่แบบ
01:00:01 → 01:00:03 ส่วนเล็กๆอ่ะค่ะเออแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของ
01:00:03 → 01:00:06 การ manifest manifest ไม่ได้ลงมือทำก็
01:00:06 → 01:00:09 ไม่มีทางเกิดเหมือนเรานึกภาพอยากได้ซpแพค
01:00:09 → 01:00:11 อ่ะแต่เราไม่ได้ปรับอะไรเลยอ่ะเราก็ยัง
01:00:11 → 01:00:12 เหมือนเดิม
01:00:12 → 01:00:14 >> จริงๆการตั้งจิตอธิษฐานนี่ก็ต้องลงมือทำ
01:00:14 → 01:00:15 อย่างที่บอก
01:00:15 → 01:00:18 >> เพราะบางทีขออย่างเดียวมันก็ไม่ใช่มันก็
01:00:18 → 01:00:20 จะไปโทษเป็นภาระของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก
01:00:20 → 01:00:23 ใช่แต่ว่ามันจะดีตรงที่ว่าเวลาที่เราตั้ง
01:00:23 → 01:00:26 จิตอธิษฐานน่ะหรือว่าขออ่ะมันเป็นกระบวน
01:00:26 → 01:00:28 การโฟกัสค่ะอย่างเช่นแบบมันเกิดการโฟกัส
01:00:28 → 01:00:30 ว่าฉันจะเอาซิแพคอันเนี้ยเพราะฉะนั้นฉัน
01:00:30 → 01:00:33 จะได้ทำทุกอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับซกแพค
01:00:33 → 01:00:35 อันนี้จะเอาหุ่นแบบนี้ก็ต้องออกกำลังกาย
01:00:35 → 01:00:37 แบบนี้จะเอาหุ่นอีกแบบนึงก็ออกกำลังกาย
01:00:37 → 01:00:40 แบบนึงเพราะฉะนั้นน่ะมันคือการโฟกัสว่าจะ
01:00:40 → 01:00:42 เอาอะไรเฉยๆแต่ว่าโฟกัสอย่างเดียวอ่ะแต่
01:00:42 → 01:00:44 เราไม่ได้ทำอ่ะมันไม่สามารถให้สิ่งนั้น
01:00:44 → 01:00:46 น่ะมันเกิดขึ้นในแบบชีวิตจริงของเราได้
01:00:46 → 01:00:49 >> มีคำถามถามค่ะว่าแล้วอย่างเงี้ย manifest
01:00:49 → 01:00:50 คือตัณหามั้คะ
01:00:50 → 01:00:53 >> ถ้าเกิดว่าตัณหาเท่ากับความอยากใช่มยอยาก
01:00:53 → 01:00:56 ได้ก็คือเราส่งไปจริงๆแล้วอ่ะค่ะ Manifest
01:00:56 → 01:01:00 อ่ะคือกฎแห่งธรรมชาติเราอ่ะไม่ได้ในสิ่ง
01:01:00 → 01:01:02 ที่เราอยากเราได้ในสิ่งที่เราควรพี่ยกตัว
01:01:02 → 01:01:05 อย่างง่ายๆอย่างวันเนี้ยเราอยากได้เงิน
01:01:05 → 01:01:08 ล้านเราส่งไปว่าเราอยากได้เงินล้านแต่ถ้า
01:01:08 → 01:01:11 เราเงินล้านเงินล้านเงินล้านแต่เราไม่ได้
01:01:11 → 01:01:13 กลับมาเปลี่ยน่ะเราอยู่คนละระดับกัน
01:01:13 → 01:01:15 manifest คือการจูนคลื่นหรือว่าเหมือน
01:01:15 → 01:01:17 เราจูนคลื่นวิทยุอยู่ให้อยู่ในร่องเดียว
01:01:17 → 01:01:19 กันแล้วเราได้รับในสิ่งนั้นสมมุติว่าเงิน
01:01:19 → 01:01:22 ล้านมันจูนคือ 100 อ่ะค่ะแต่เราอยากคือ
01:01:22 → 01:01:24 เราเป็นศูนย์น่ะเราไม่ได้นะคะการที่เราจะ
01:01:24 → 01:01:26 manifest ได้คือการที่เรากลับมาตัวเอง
01:01:27 → 01:01:30 ฉันทำอะไรได้ในตอนนี้แล้วลงมือทำให้มัน
01:01:30 → 01:01:32 สอดคล้องเพื่อไปจูนคลื่นเดียวกันให้มัน
01:01:32 → 01:01:34 ตรงเราถึงจะได้เพราะฉะนั้นสำหรับพี่
01:01:34 → 01:01:37 manifest ไม่ได้เป็นความอยากอยากเป็นการ
01:01:37 → 01:01:39 ส่งแต่เราไม่ได้ในสิ่งที่อยากเราได้ใน
01:01:39 → 01:01:42 สิ่งที่เราคู่ควรที่จะได้รับเมื่อเราลง
01:01:42 → 01:01:45 มือทำสอดคล้องกับสิ่งนั้นเราถึงจะได้รับ
01:01:45 → 01:01:47 เพราะฉะนั้น manifest ก็คือกดกฎธรรมชาติ
01:01:47 → 01:01:51 การเหตุและผลทำอะไรได้แบบนั้นอย่างเงี้ย
01:01:51 → 01:01:51 อื
01:01:51 → 01:01:53 >> เรามานิเฟสเพื่อสุขภาพที่ดีกันแล้วเนี่ย
01:01:53 → 01:01:55 นะคะเราก็ต้องมาสร้างเหตุที่ดีกันด้วยค่ะ
01:01:55 → 01:01:58 ด้วยการดูแลร่างกายแล้วก็ดูแลผิวพรรณของ
01:01:58 → 01:02:00 เราให้ดีนะคะหากใครที่มีปัญหาเรื่องมี
01:02:00 → 01:02:02 เวลาน้อยนะคะแล้วก็อยากหาสกินแคร์ที่มี
01:02:02 → 01:02:05 ประสิทธิภาพเนี่ยก็จะแนะนำเป็นสกินแคร์
01:02:05 → 01:02:07 ที่มีส่วนผสมของ PLA หรือว่า Penla ค่ะ
01:02:07 → 01:02:09 ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและชะลอ
01:02:09 → 01:02:12 ความเสื่อมของผิวค่ะ PLA หรือว่า Penla
01:02:12 → 01:02:14 เนี่ยเป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในสโคปaคล้ายๆ
01:02:14 → 01:02:16 โบท็อกซ์ค่ะแต่ว่าคอตัวนี้เนี่ยสามารถทำ
01:02:17 → 01:02:18 ให้เราใช้เพลได้ทุกวันเลยค่ะ
01:02:18 → 01:02:22 >> ทีนี้สำหรับบางท่านที่อาจจะเคย manifest
01:02:22 → 01:02:24 หรือว่าเคยทำกระบวนการแบบนี้เนาะแล้วก็
01:02:24 → 01:02:26 เฮ้ยบางเรื่องเรา manifest สำเร็จกับบาง
01:02:26 → 01:02:28 เรื่องนะเช่นแบบว่าเราเป็นคนมีหน้าที่การ
01:02:28 → 01:02:31 งานที่โอเคละสำเร็จละแต่ทำไมกับอย่างอีก
01:02:31 → 01:02:33 บางเรื่องเช่นความสัมพันธ์ไม่สำเร็จสักที
01:02:33 → 01:02:35 นึงอ่ามันเป็นเพราะอะไรคะมันติดอยู่ที่
01:02:35 → 01:02:36 ขั้นตอนไหนหรือเปล่า
01:02:36 → 01:02:38 >> ส่วนมากที่เรา manifest ได้มักจะเป็น
01:02:38 → 01:02:41 เรื่องที่เราไม่ค่อยคาดหวังเป็นเรื่องแบบ
01:02:41 → 01:02:43 เล็กๆลองสังเกตนะคะว่าเรื่องที่เรา
01:02:43 → 01:02:46 manifest ได้ที่เราสร้างได้มักจะเป็น
01:02:46 → 01:02:49 เรื่องง่ายๆที่เราไม่คาดหวังหรือว่าเรา
01:02:49 → 01:02:50 รู้สึกว่าเรื่องนี้เอาอยู่แต่ว่าเรื่อง
01:02:51 → 01:02:53 ที่เราแบบ manifest ไม่ได้อ่ะมักจะเป็น
01:02:53 → 01:02:55 เรื่องที่ใหญ่เป็นเรื่องที่เราอยากเป็น
01:02:55 → 01:02:58 เรื่องที่เราแบบต้องลงมือทำมากอีกนิดนึง
01:02:58 → 01:02:59 เกิน comfort z โซน
01:02:59 → 01:03:01 >> น่าสนใจมากค่ะคือเรื่องที่เรามักจะ
01:03:01 → 01:03:02 manifest สำเร็จมันเป็นเรื่องที่เรามี
01:03:03 → 01:03:05 ความรู้สึกว่าเเรื่องเเราเอาอยู่
01:03:05 → 01:03:07 >> เอาอยู่คือไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรกับตรง
01:03:07 → 01:03:11 นั้นฉันจะผ่านไปได้ฉันจะทำได้แน่ๆคือการ
01:03:11 → 01:03:12 วางใจใช่มั้คะ
01:03:12 → 01:03:14 >> ใช่หรือว่าเรื่องที่แบบได้ก็ได้ไม่ได้ก็
01:03:14 → 01:03:19 ไม่เป็น
01:03:19 → 01:03:23 มันไม่เป็นอย่างเราก็จะวางใจได้ง่ายกว่า
01:03:23 → 01:03:27 แต่ถ้าเกิดว่าถ้าไม่ได้เงินแสนสิ้นเดือน
01:03:27 → 01:03:30 เนี้ยไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านโอ้โหมันมีความ
01:03:30 → 01:03:32 อยากมันต้องได้มันมีความเครียดตั้งแต่แรก
01:03:33 → 01:03:35 แล้วอ่ะค่ะมันก็เลยทำให้เราอ่ะได้ยากขึ้น
01:03:35 → 01:03:37 มันมีแรงต้านเยอะ
01:03:37 → 01:03:37 >> อื
01:03:37 → 01:03:39 >> แต่มันก็เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นใช่มั้
01:03:39 → 01:03:41 คะไอ้พลังงานพวกนี้
01:03:41 → 01:03:41 >> หมายถึง
01:03:41 → 01:03:43 >> เอ่าแรงต้านต่างๆ
01:03:43 → 01:03:46 >> จริงๆมันก็มีอยู่ตลอดนะลองไปกลับไปที่
01:03:47 → 01:03:48 เรื่องลดน้ำหนักก็ได้เราแบบลดน้ำหนักมา
01:03:49 → 01:03:51 ตั้งกี่ครั้งแล้วอ่ะการที่บอกว่าเราอ่ะจะ
01:03:51 → 01:03:53 ลดน้ำหนักได้มากกว่าเนี้ยแต่สุดท้ายพอเรา
01:03:53 → 01:03:56 ทำอ่ะเราก็กลับไปเหมือนเดิมหรือฉันจะตื่น
01:03:56 → 01:03:58 5:00 น.ฉันเขียน New Year Resolu ตอน
01:03:58 → 01:04:00 เช้าว่าฉันจะตื่น 5:00 น.มานั่งสมาธิอ่ะ
01:04:00 → 01:04:02 ค่ะเราทำไปประมาณ 1 เดือนน่ะสุดท้ายเรา
01:04:02 → 01:04:05 กลับไปเป็นเหมือนเดิมเพราะมันมีแรงต้าน
01:04:05 → 01:04:08 เออมันมีสิ่งที่ดึงเราสู่จุดเดิมอ่ะค่ะ
01:04:08 → 01:04:10 มันก็คือไอ้ตรงความเชื่อจำกัดตรงนี้นี่
01:04:10 → 01:04:10 แหละ
01:04:10 → 01:04:13 >> แล้วเราจะมีวิธียังไงในการที่จะลดแรงต้าน
01:04:13 → 01:04:15 ตรงนั้นมั้คะเพื่อทำให้เราเนี่ย manifest
01:04:15 → 01:04:16 สำเร็จมากขึ้นน่ะ
01:04:16 → 01:04:19 >> สำหรับพี่นะลงมือทำความเชื่อไม่ได้ถูกลบ
01:04:19 → 01:04:22 ล้างด้วยการนั่งแล้วบอกว่าแบบรู้สึกดีแต่
01:04:22 → 01:04:26 ความเชื่อถูกลบล้างเมื่อเราลงมือทำค่ะใน
01:04:26 → 01:04:29 วันที่แบบอุ๊ยเราวางซิแพคไว้ไกลมากอ่ะแต่
01:04:29 → 01:04:31 ความเชื่อนั้นน่ะมันจะแบบเฮ้ยฉันทำได้
01:04:31 → 01:04:34 เมื่อเราเริ่มลงมือทำเมื่อเราลงมือทำอาจ
01:04:34 → 01:04:36 จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามอาจจะออกไปเดิน
01:04:36 → 01:04:39 เปลี่ยนการกินเล็กๆน้อยๆอ่ะมันจะทำให้แรง
01:04:39 → 01:04:41 ต้านตรงเนี้ยมันน้อยลงความเชื่อไม่ได้ถูก
01:04:41 → 01:04:45 กำจัดหรือว่าทำให้น้อยลงผ่านการนั่งเฉยๆ
01:04:45 → 01:04:48 ผ่านการเรียนไม่ใช่ต้องทำด้วยตัวเราเอง
01:04:48 → 01:04:50 เพราะว่าการทำอ่ะก่อให้เกิดประสบการณ์
01:04:50 → 01:04:53 แล้วตรงนั้นถึงจะค่อยๆทลายความเชื่อลงไป
01:04:53 → 01:04:54 ค่ะ
01:04:54 → 01:04:56 >> อ่าแล้วอย่างกรณีที่เราจะ manifest อะไร
01:04:56 → 01:04:57 สักอย่างค่ะ
01:04:57 → 01:05:00 >> มันจะต้องเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าสิ่งเนี้ย
01:05:00 → 01:05:03 เป็นไปได้ด้วยมั้คะคืออย่างสมมุตินะอยู่ๆ
01:05:03 → 01:05:07 วันนี้ manifest ว่าฉันจะเป็นเจ้าของ NASA
01:05:07 → 01:05:10 อ่าอย่างเงี้ยอือแล้วก็เราจะทำสำเร็จได้
01:05:10 → 01:05:12 มั้ยอ่ะอจริงๆอ่ะมันได้หมดเลย
01:05:12 → 01:05:13 >> อ่ะ
01:05:13 → 01:05:15 >> ไอ้ตรงที่เราส่งไปอ่ะได้หมดเลยแต่คำถาม
01:05:15 → 01:05:18 คือตอนที่เราส่งไปความเชื่อที่เรามีต่อ
01:05:18 → 01:05:21 สิ่งนั้นน่ะมันได้ไหมแล้วกระบวนการ
01:05:21 → 01:05:23 manifest อ่ะไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้น
01:05:23 → 01:05:27 แบบ 1 วัน 2 วันมันเป็นรองเกมมันเป็นระยะ
01:05:27 → 01:05:29 ยาวอ่ะค่ะเพราะฉะนั้นนั้นเราอาจจะแบบเอ้ย
01:05:29 → 01:05:32 ฉันจะไปทำงานNASซ่าเอ้ยเราทำได้นะหรือว่า
01:05:32 → 01:05:34 เราตั้งเป้าหมายได้นะแต่ประเด็นคือพูด
01:05:35 → 01:05:37 แล้วอ่ะเรารู้สึกเชื่อได้ไหมเพราะถ้าเรา
01:05:37 → 01:05:40 เชื่อปุ๊บอ่ะเดี๋ยวเราจะหาทางสักอย่างนึง
01:05:40 → 01:05:41 >> เพื่อไปถึงตรงนั้นน่ะ
01:05:41 → 01:05:44 >> อแปลว่าตั้งแต่กระบวนการขอเนี่ยถ้าตรงที่
01:05:44 → 01:05:46 ขอเราจะรู้อยู่แล้วหรอว่าอันเนี้ยเราคิด
01:05:46 → 01:05:48 ว่ามันจะเป็นไปได้จริงหรือเปล่าใช่มั้ยคะ
01:05:48 → 01:05:50 >> อ่ากับบางอย่างอย่างเมื่อกี้ที่้ายกตัว
01:05:50 → 01:05:51 อย่างคือ
01:05:51 → 01:05:53 >> มันดูสุดต่งไปเลยใช่มั้ต่งมาก
01:05:53 → 01:05:56 >> เออพอย์ก็คือว่าแบบพอมันสุดต่งมากอ่ะเรา
01:05:56 → 01:05:59 ก็เชื่อไม่ได้อ่ะพอเราเชื่อในตัวเองไม่
01:05:59 → 01:06:01 ได้จริงๆไม่ผิดเลยนะคือส่งได้ทุกอย่างแต่
01:06:01 → 01:06:04 ว่าพอเราเชื่อไม่ได้เนี่ยมันก็ไม่เกิดการ
01:06:04 → 01:06:06 ลงมือทำที่สอดคล้องอ่ะ
01:06:06 → 01:06:09 >> งั้นมีแบบแซ่นิดนึงค่ะพี่รู้สึกว่าจริงๆ
01:06:09 → 01:06:11 แล้วกระบวนการ manifest อ่ะเวลาที่เราส่ง
01:06:11 → 01:06:14 อะไรไปอ่ะมักจะเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคย
01:06:14 → 01:06:14 ได้รับ
01:06:14 → 01:06:17 >> อ่าเช่นชีวิตที่มี passive income ชีวิต
01:06:17 → 01:06:19 ที่มีอิสระมีร่างกายที่อุดมสมบูรณ์เพราะ
01:06:19 → 01:06:22 ฉะนั้นน่ะสิ่งที่เราส่งไปอ่ะมักจะออกจาก
01:06:22 → 01:06:25 comfor โซนเรานิดนึงแต่อย่าให้ไกลเกิน
01:06:25 → 01:06:29 กว่าเราไม่เชื่อสิ่งแต่มันไม่ใช่แน่นอน
01:06:29 → 01:06:31 ถ้าเรายังทำงานประจำเราคงไม่ man ทำงาน
01:06:31 → 01:06:34 ประจำเพราะเราได้รับมันแล้วไงเราเป็นสิ่ง
01:06:34 → 01:06:36 นั้นไปแล้วส่วนมากถ้าเรายังทำงานประจำเรา
01:06:36 → 01:06:38 ก็อยากที่จะมีชีวิตอิสระใช่ไหมให้ออกจาก
01:06:38 → 01:06:41 comfort โซนแต่อย่าไกลเกินไปที่เราไม่
01:06:41 → 01:06:45 เชื่อว่าเราจะทำได้ค่อยๆขยับจากแบบโอเคทำ
01:06:45 → 01:06:47 งานประจำอาจจะขยายหรือว่าเริ่มทำธุรกิจ
01:06:47 → 01:06:49 อ่ะสเกล 1 ล้าน 10 ล้านให้เรารู้สึกว่า
01:06:49 → 01:06:51 เอ้ยเราค่อยๆไปแบบเนี้ยค่ะ
01:06:51 → 01:06:54 >> อืค่ะอ๋อจริงๆอย่างที่บอกเลยเนาะว่าไม่
01:06:54 → 01:06:57 ว่าจะขอใหญ่แค่ไหนไม่ได้แปลว่าจะไม่
01:06:57 → 01:07:00 สำเร็จแต่มันมีกระบวนการที่ว่าอาจจะต้อง
01:07:00 → 01:07:02 ถอยมาให้มันเป็นสเต็ปไปก่อนเพื่อให้เข้า
01:07:03 → 01:07:04 ใกล้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆ
01:07:04 → 01:07:06 >> ใช่จริงๆคำว่าเข้าใกล้อ่ะคือมันเป็นการ
01:07:06 → 01:07:10 พัฒนาความเชื่อเราอ่ะเฉยๆอย่างเช่นถ้าเรา
01:07:10 → 01:07:13 ไม่เคยได้ 1 ล้านเลยอ่ะแล้วเราไป manifest
01:07:13 → 01:07:16 แบบ 100 ล้านน่ะยากที่เราแบบจะเชื่อในวัน
01:07:16 → 01:07:19 ที่แบบเราเงินเดือน 15,000 กับ 100 ล้าน
01:07:19 → 01:07:21 น่ะมันแบบมันไกลมากอ่ะค่ะแต่ถ้าเรา
01:07:21 → 01:07:24 manifest ล้านแรกแล้วเราทำร้านแรกได้อ่ะ
01:07:24 → 01:07:27 เราเปลี่ยนจากมนุษย์เงินหมื่นเป็นมนุษย์
01:07:27 → 01:07:29 เงินล้านแล้วเพราะว่าเราเชื่อว่าเราทำได้
01:07:29 → 01:07:32 แล้วอ่ะล้านนึงไป 100 ล้านมันก็เลยเหมือน
01:07:32 → 01:07:35 ทำให้เราทำมันสั้นลงอ่ะค่ะพอยคือความ
01:07:35 → 01:07:37 เชื่อของเราตัวตนเรามันถูกขยายว่าฉันทำ
01:07:37 → 01:07:38 สิ่งนี้ได้แล้ว
01:07:38 → 01:07:43 >> อืค่ะก็มีวิธีการในการที่จะตั้งเป้าหมาย
01:07:43 → 01:07:45 หรือว่าการขอเหมือนกันเนาะเพราะว่าบาง
01:07:45 → 01:07:48 ครั้งถ้าตั้งอะไรที่มันยังไม่สมควรจะตั้ง
01:07:48 → 01:07:51 ในตอนนี้มันอาจจะทำให้เราเข้าใจผิดว่าเรา
01:07:51 → 01:07:53 ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำสิ่งนั้นได้
01:07:53 → 01:07:56 >> เมื่อก่อนน่ะคนจะถามพี่ว่าเอ้ยเฮ้ย
01:07:56 → 01:07:59 manifest ต้องใช้กระบวนการอะไรจะต้องมี
01:07:59 → 01:08:02 ขั้นตอนอะไรบ้างอะไรเงี้ยแต่จริงๆแล้วอ่ะ
01:08:02 → 01:08:06 manifest คือการเป็นการเป็นคือนิสัย
01:08:06 → 01:08:08 เมื่อไหร่ก็ตามอ่ะค่ะสมมุติว่าเราส่งไป
01:08:08 → 01:08:11 ว่าเราเป็นคนสุขภาพดีแต่เราจะได้รับสิ่ง
01:08:11 → 01:08:14 นั้นเมื่อเราลงมือทำใช่ป่ะจนเราเป็นคนที่
01:08:14 → 01:08:18 นิสัยสุขภาพดีคือเป็นคนกินผักเป็นนิสัย
01:08:18 → 01:08:20 เป็นคนแบบออกกำลังกายเป็นนิสัยอ่ะเราถึง
01:08:20 → 01:08:23 ได้รับสิ่งนั้นจริงๆแล้ว manifest ไม่ใช่
01:08:23 → 01:08:27 กระบวนการ manifest คือการพัฒนาตัวเราอ่ะ
01:08:27 → 01:08:30 จนเราขยายการเป็นหรือว่าเป็นนิสัยใหม่อ่ะ
01:08:30 → 01:08:32 แล้วเราจะได้รับสิ่งใหม่โดยที่เราไม่ต้อง
01:08:32 → 01:08:33 ใช้กระบวนการ manifest เลย
01:08:33 → 01:08:34 >> อื
01:08:34 → 01:08:37 >> เราจะไม่กลับมาถามว่าขอแบบนี้ได้มยเชื่อ
01:08:37 → 01:08:40 ยังไงได้รับยังไงเราจะไม่มีกระบวนการเลย
01:08:40 → 01:08:42 เพราะว่ามันเป็นการเป็นของเราไปแล้ว
01:08:42 → 01:08:45 >> คือ manifest เกี่ยวกับนิสัยว่าเราพัฒนา
01:08:45 → 01:08:48 ตัวเองพัฒนานิสัยเราเพื่อที่สมควรจะเป็น
01:08:48 → 01:08:50 คนๆนั้นที่เราต้องการ
01:08:50 → 01:08:51 >> ใช่ใช่
01:08:51 → 01:08:53 >> หมายความว่าจริงๆแล้วอ่ะคะมันก็เป็นสิ่ง
01:08:53 → 01:08:55 ที่ต้องแลกเหมือนกันใช่มั้ยคะไม่ใช่ใช่
01:08:55 → 01:08:56 ได้ฟรีๆ
01:08:56 → 01:09:00 >> อือาจจะต้องถามว่าเราแลกกับอะไรมากกว่า
01:09:00 → 01:09:02 เพราะว่าสุดท้ายแล้วอ่ะสิ่งที่เรา
01:09:02 → 01:09:05 manifest ก็เป็นชีวิตที่เราต้องการอยู่
01:09:05 → 01:09:07 แล้วเราคงไม่ได้ manifest ในเชิงลบแต่
01:09:07 → 01:09:09 ส่วนใหญ่อ่ะเราจะ manifest อัตโนมัติแล้ว
01:09:09 → 01:09:11 จะได้ผลลบเพราะว่าสิ่งแวดล้อมหรือว่าสิ่ง
01:09:11 → 01:09:13 ที่เราอยู่อ่ะมันทำให้เรา manifest
01:09:13 → 01:09:14 อัตโนมัติ
01:09:14 → 01:09:17 >> จริงๆแล้วมนุษย์ทุกคน manifest ตลอดเวลา
01:09:17 → 01:09:18 >> อื
01:09:18 → 01:09:21 >> เพียงแต่สิ่งที่เราได้รับเป็นสิ่งที่เรา
01:09:21 → 01:09:24 ไม่ได้เลือกเช่นเราออกไปแบบดูข่าวเราก็จะ
01:09:24 → 01:09:27 เจอเจออะไรที่มันเป็นโซนลบหรือว่าเขา
01:09:27 → 01:09:30 อาชญากรรมมันเลยทำให้เราอ่ะอยู่ในโซนลบ
01:09:30 → 01:09:32 เออให้รู้ไว้ว่าตอนเนี้ยเรากำลัง manifest
01:09:32 → 01:09:34 อยู่เพียงแต่ว่าสิ่งนั้นเราไม่ได้เลือก
01:09:34 → 01:09:37 แต่เวลาที่เราแบบตั้งจิตแล้วเรา manifest
01:09:37 → 01:09:39 อ่ะเป็นชีวิตที่เราเลือกแล้วอ่ะแล้วเราลง
01:09:39 → 01:09:42 มือทำแบบนั้นมันก็เลยเป็นจุดโฟกัส
01:09:42 → 01:09:42 >> อื
01:09:42 → 01:09:46 >> นั่นหมายความว่าถ้าสมมุติเรื่องของการมี
01:09:46 → 01:09:47 สุขภาพดี
01:09:47 → 01:09:50 >> เรา manifest เนี่ยดึงดูดเลยเราอยากเป็น
01:09:50 → 01:09:52 คนที่มีสุขภาพดีแต่เราไม่ได้เปลี่ยนนิสัย
01:09:52 → 01:09:54 ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองระหว่างหลัง
01:09:54 → 01:09:57 นี้ให้เป็นคนที่สมควรจะเป็นคนที่มีสุขภาพ
01:09:58 → 01:09:58 ดี
01:09:58 → 01:10:00 >> นั่นหมายความว่าเราก็คงไปไม่ถึงสิ่งที่
01:10:01 → 01:10:01 เราต้องการนั่นเอง
01:10:01 → 01:10:04 >> ไม่มีทางใช่เพราะว่า manifest มันไม่ใช่
01:10:04 → 01:10:07 ความคิดอ่ะค่ะแต่คิดซ้ำๆอ่ะถึงลงมือทำลง
01:10:07 → 01:10:09 มือทำซ้ำๆเป็นนิสัยเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้
01:10:09 → 01:10:12 เปลี่ยนนิสัยก็ไม่สามารถได้รับในสิ่งนั้น
01:10:12 → 01:10:13 ได้
01:10:13 → 01:10:14 >> ไม่มีทางลัดเนาะ
01:10:14 → 01:10:17 >> ไม่มีทางลัดทางลัดคือทำไปเรื่อยๆค่ะมันก็
01:10:17 → 01:10:20 เลยกลับไปตอบคำถามเดิมที่ว่าจริงๆแล้วอ่ะ
01:10:20 → 01:10:22 manifest ไม่ใช่แบบตัณหาหมายถึงว่าไม่
01:10:22 → 01:10:25 ใช่เป็นความอยากเพราะว่าเราไม่ได้ในสิ่ง
01:10:25 → 01:10:27 ที่เราอยากเราอาจจะอยากหุ่นดีทุกคนก็อยาก
01:10:27 → 01:10:29 ได้แบบ passive income แต่ไม่ใช่ทุกคน
01:10:29 → 01:10:33 ที่จะได้อยู่ที่ว่าเราลงมือทำจนเป็นนิสัย
01:10:33 → 01:10:36 แล้วไหมเออนิสัยความรับผิดชอบนิสัยแบบล้ม
01:10:36 → 01:10:38 แล้วลุกขึ้นมาใหม่นิสัยอะไรพวกเนี้ยค่ะ
01:10:38 → 01:10:40 ที่ทำให้เราไปได้รับสิ่งนั้นน่ะ
01:10:40 → 01:10:42 >> คล้ายๆกับอันนึงที่เขาจะบอกว่าถ้าเราอยาก
01:10:42 → 01:10:44 ได้ผลลัพธ์ใหม่แต่เรายังทำวิธีการเดิม
01:10:44 → 01:10:46 เนี่ยไม่มีทางที่มันจะเกิดผลลัพธ์ใหม่
01:10:46 → 01:10:47 ขึ้นได้
01:10:47 → 01:10:49 >> ใช่จริงๆก็คือเรื่องเดียวกันเพราะว่าเป็น
01:10:49 → 01:10:51 เรื่องแบบธรรมชาติเออ
01:10:51 → 01:10:54 >> ออยากถามว่าในระหว่างที่เราตั้งเป้าเป้า
01:10:54 → 01:10:56 หมายแล้วอ่ะค่ะแล้วก็อาจจะมีการลงมือทำ
01:10:56 → 01:10:59 อย่างเข้มข้นมีวินัยมากขึ้นหรือกำลัง
01:10:59 → 01:11:00 เปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนตัวเองเปลี่ยน
01:11:00 → 01:11:02 พฤติกรรมเนี่ยค่ะมันอาจจะมีความเครียด
01:11:02 → 01:11:06 เกิดขึ้นบ้างเพราะว่ามันต้องสู้กับนิสัย
01:11:06 → 01:11:09 เดิมๆเนาะอ่าอาจจะต้องมีคำการฝืนหรือหลาย
01:11:09 → 01:11:11 ๆอย่างค่ะอยากรู้ว่าระหว่างที่ทำไปแล้ว
01:11:11 → 01:11:14 เครียดกดดันตัวเองไปด้วยก็จะได้ผลลัพธ์
01:11:14 → 01:11:15 เหมือนกันมั้คะ
01:11:15 → 01:11:19 >> มันจะติดหลูปเท่าที่พี่เจอนะถ้าเกิดว่าทำ
01:11:19 → 01:11:22 แล้วแบบทำไมฉันทำไม่ได้อ่ะมันทำให้เราไป
01:11:22 → 01:11:25 ต่อไม่ได้เพราะฉะนั้นนั้นน่ะมันคือการทำ
01:11:25 → 01:11:28 รับรู้ว่าเออตอนนี้ไม่ได้แล้วแบบไปต่ออ่ะ
01:11:28 → 01:11:30 เหมือนกลับมาคิลิ่งตัวเองแล้วก็แบบไปต่อ
01:11:30 → 01:11:33 เพราะฉะนั้นถ้าเกิดทำแล้วแบบเครียดทำด้วย
01:11:33 → 01:11:35 ความอยากทำไมฉันทำไม่ได้ดีมากกว่าเนี้ย
01:11:35 → 01:11:38 ค่ะมันจะทำให้เราอยู่โซนล่างอ่ะอยู่ใน
01:11:38 → 01:11:41 อารมณ์ที่แบบเป็นเชิงลบอ่ะแล้วมันทำให้
01:11:41 → 01:11:42 เราไปต่อไม่ได้
01:11:42 → 01:11:44 >> นั่นหมายความว่าระหว่างที่เรากำลัง
01:11:44 → 01:11:46 เปลี่ยนกำลังปรับเราก็ต้องมีการวางใจด้วย
01:11:46 → 01:11:46 มั้ยคะ
01:11:46 → 01:11:49 >> โออันนี้สำคัญมากจริงๆเป็นกระบวนการที่
01:11:49 → 01:11:52 แบบคนแบบ 80-90% ติดเพราะว่ากระบวนการวาง
01:11:52 → 01:11:54 ใจอ่ะเวลา Manifest อ่ะค่ะเรา manifest
01:11:54 → 01:11:56 สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะฉะนั้นน่ะ
01:11:56 → 01:11:59 สิ่งที่คนติดคือความอยากแก้ด้วยการแบบรู้
01:11:59 → 01:12:01 สึกวางใจแต่เราจะวางใจไม่ได้นะคะถ้าเรา
01:12:01 → 01:12:04 อยู่เฉยๆเราจะวางใจได้เมื่อเราลงมือทำ
01:12:04 → 01:12:07 เท่านั้นมันทำให้ระยะสั้นลงเพราะว่าพอลง
01:12:07 → 01:12:09 มือทำปุ๊บอ่ะมันกลับมาเติมความเชื่อเราพอ
01:12:09 → 01:12:11 มันเติมความเชื่อมันทำให้ไอ้เส้นที่มัน
01:12:11 → 01:12:14 เคยแบบ 100 ก.อ่ะมันลดเหลือเหลือแบบ 80
01:12:14 → 01:12:16 อ่ะแล้วมันสั้นลงไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นการ
01:12:16 → 01:12:19 วางใจไม่ได้เกิดจากการที่นั่งเฉยๆแล้วบอก
01:12:19 → 01:12:21 ตัวเองว่าวางใจแต่เกิดจากการลืมตาไปใช้
01:12:21 → 01:12:25 ชีวิตแล้วก็ลงมือทำไปเรื่อยๆค่ะทำให้ความ
01:12:25 → 01:12:28 เชื่อแข็งแรงขึ้นการวางใจจะมากขึ้น
01:12:28 → 01:12:30 >> อค่ะการวางใจก็เหมือนกับที่เราคุยกันไป
01:12:30 → 01:12:32 ก่อนหน้านี้ว่าบางเรื่องที่มัน manifest
01:12:32 → 01:12:34 สำเร็จก็คือเพราะว่าเราคิดเราวางใจเรา
01:12:34 → 01:12:36 เชื่อว่าเราเอาอยู่อ่าอันนี้ก็เช่นกันคือ
01:12:36 → 01:12:38 ระหว่างกระบวนการขั้นตอนที่เราจะไปถึง
01:12:38 → 01:12:40 สิ่งที่เราตั้งใจเรากำลังเปลี่ยนหรืออะไร
01:12:40 → 01:12:43 ก็ตามขอให้เชื่อมั่นละกันว่าเออวันนึงเรา
01:12:43 → 01:12:44 จะไปถึงแหละ
01:12:44 → 01:12:45 >> ใช่
01:12:45 → 01:12:48 >> อ่าอย่างตอนแรกค่ะที่เราคุยกันแล้วคุณหมอ
01:12:48 → 01:12:51 ฟ้าพูดถึงเรื่องของnoซคือคนที่ไม่ได้ป่วย
01:12:51 → 01:12:53 แต่ว่าคิดว่าป่วยก็เลยเกิดเอฟเฟคกับร่าง
01:12:53 → 01:12:56 กายทีนี้อยากรู้ว่าแล้วมีคนไหนที่เขาป่วย
01:12:56 → 01:13:00 จริงๆแล้วสามารถหายได้ด้วยการทำสมาธิหรือ
01:13:00 → 01:13:02 ว่าสามารถหายได้ด้วยพลังใจบ้างมอ่ะค่ะ
01:13:02 → 01:13:04 >> อือพี่เองนี่แหละ
01:13:04 → 01:13:07 >> เออคือตอนแรกเราป่วยแล้วมันหาสาเหตุไม่
01:13:07 → 01:13:10 ได้พอหาสาเหตุไม่ได้เนี่ยหมอเขาก็เลย
01:13:10 → 01:13:12 เหมือนแบบเออจะต้องพักนิดนึงและไอ้ช่วง
01:13:12 → 01:13:15 นั้นน่ะด้วยความที่มันไม่มีทางแก้ในโลก
01:13:15 → 01:13:17 ข้างนอกแล้วอ่ะค่ะพี่ก็เลยกลับมานั่งทำ
01:13:17 → 01:13:20 สมาธิคือกลับมาอาจจะแบบไม่ได้นั่งสมาธิ
01:13:20 → 01:13:22 ทั้งวันทั้งคืนนะคะแต่กลับมาพักแล้วก็
01:13:22 → 01:13:25 กลับมาอยู่กับตัวเองแล้วจุดนั้นน่ะเป็น
01:13:25 → 01:13:28 จุดที่ทำให้เราอ่ะค่อยๆหายจากตอนแรกอ่ะ
01:13:28 → 01:13:31 เรานอนเองไม่ได้เริ่มกลับมานอนเองได้เออ
01:13:31 → 01:13:34 แล้วก็เริ่มลดยาวิตกกังวลไปเรื่อยๆอ่ะค่ะ
01:13:34 → 01:13:37 แล้วแค่ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนอะไร
01:13:37 → 01:13:39 ประมาณเนี้ยไอ้ตรงโรคที่เราแบบเป็นอยู่
01:13:39 → 01:13:42 ตรงนั้นน่ะมันหายเองพี่เลยมี inspiration
01:13:42 → 01:13:44 ตรงนั้นน่ะเป็นจุดศึกษาว่าเฮ้ยจริงๆแล้ว
01:13:44 → 01:13:47 ความคิดของเราหรือว่าสิ่งที่เรารู้สึกอ่ะ
01:13:47 → 01:13:49 มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกแล้วนะมันสามารถทำ
01:13:49 → 01:13:51 ให้เราป่วยแล้วมันไม่มีคำวินิจฉัยได้และ
01:13:51 → 01:13:54 เป็นสิ่งที่ทำให้เราหายได้ซึ่งอันเนี้ยพอ
01:13:54 → 01:13:56 เราไปศึกษาเขาเรียกว่าเป็นplซiboไอ้ตอน
01:13:56 → 01:13:58 ที่แบบความคิดทำให้เราป่วยเขาเรียกว่า
01:13:58 → 01:14:01 noซiboแต่ความคิดทำให้เราหายเขาเรียกว่า
01:14:01 → 01:14:03 pasibอible
01:14:03 → 01:14:06 ก็คือมันเป็นการทดลองเหมือนเขาเรียกว่ายา
01:14:06 → 01:14:08 หลอกคือเหมือนแบ่งคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่ม
01:14:08 → 01:14:11 กลุ่มนึงอ่ะได้ยาจริงเช่นคนไข้เป็นเบา
01:14:11 → 01:14:13 หวานแล้วก็ให้ยาจริงๆค่ะแล้วก็วัดปริมาณ
01:14:13 → 01:14:17 น้ำตาลส่วน possible คือให้นางกินแป้งแต่
01:14:17 → 01:14:19 ผลก็คือน้ำตาลลดเหมือนกัน
01:14:19 → 01:14:21 >> อันนี้คือยาหลอกแป้งที่บอกนี่คือไม่ใช่
01:14:21 → 01:14:25 แบบว่ากินแป้งนะคะเป็นเม็ดแป้งที่ทำเป็น
01:14:25 → 01:14:29 เหมือนยาแล้วคนไข้อ่ะเข้าใจว่าอันนี้คือ
01:14:29 → 01:14:32 ยาแต่จริงๆไม่ใช่ยาเป็นแค่เม็ดแป้งเฉยๆ
01:14:32 → 01:14:35 แต่สิ่งที่รักษาเขาอ่ะคือจิตใจหรือว่า
01:14:35 → 01:14:37 ความคิดของเขาเอง
01:14:37 → 01:14:40 >> มีเคสไหนอีกมั้คะที่รักษาด้วย
01:14:40 → 01:14:43 >> ในในฐานะที่พี่เป็นหมอฟันเนาะอาจจะแบบไม่
01:14:43 → 01:14:45 ไม่ใช่เป็นเชิงรักษาแต่ว่าเล่าแบบตลกๆ
01:14:45 → 01:14:46 แล้วกัน
01:14:46 → 01:14:49 >> ส่วนมากเนี่ยคนจะกลัวเวลามาหาหมอฟันมี
01:14:49 → 01:14:52 ความทรงจำอันเลวร้ายอะไรอย่างเงี้ยโดย
01:14:52 → 01:14:54 เฉพาะพาร์ทแบบผ่าฟันคุดอ่ะถ้าเมื่อไหร่ก็
01:14:54 → 01:14:57 ตามที่คนไข้เดินมาด้วยความกลัวนะยาชา
01:14:57 → 01:15:01 ไม่เคยชาเลยประสบการณ์ตรงเลยคือยาชาปกติ
01:15:01 → 01:15:04 ฉีดแล้วอ่ะต้องชาเพราะว่ามันเป็นเฉพาะที่
01:15:04 → 01:15:08 ไงคะมันไม่ควรมีกลไกอื่นแล้วอ่ะแต่พี่เคย
01:15:08 → 01:15:11 เจอแบบคนไข้ปวดแล้วแบบกลัวกลัวพอกลัวปุ๊บ
01:15:11 → 01:15:15 อ่ะเราใส่ยาชาไปแบบ 3 หลอด 4 หลอดแล้วอ่ะ
01:15:15 → 01:15:17 คนไข้ไม่ชาค่ะเพราะว่าความกลัวที่คนไข้
01:15:18 → 01:15:21 สร้างขึ้นความคิดที่เขากลัวมันทำให้ระบบ
01:15:21 → 01:15:23 การช้าไม่ช้าร่างกายสามารถผิดเพี้ยนไปได้
01:15:23 → 01:15:25 หมดเลยตามความคิดของเขาอ
01:15:25 → 01:15:26 >> อื
01:15:26 → 01:15:27 >> แหลกเหมือนกันเลย
01:15:27 → 01:15:28 >> เออใช่
01:15:28 → 01:15:32 >> โหทีนี้จริงๆอันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
01:15:32 → 01:15:35 จริงๆเนาะที่เรามาพูดก็คือมีคนที่หายได้
01:15:35 → 01:15:38 ด้วยการทำสมาธิหรือหายได้ด้วยพลังใจแต่
01:15:38 → 01:15:41 ว่าเราก็ไม่ได้หมายความว่าท่านที่กำลังมี
01:15:41 → 01:15:45 การรักษาอยู่จะหยุดการรักษาแล้วมาทำแบบ
01:15:45 → 01:15:46 นี้เลยอย่างี้ใช่มั้คะ
01:15:46 → 01:15:50 >> อ๋อใช่อันนี้พี่แบบไม่สนับสนุนมากๆถ้ามี
01:15:50 → 01:15:52 โรคอะไรอยู่หรือว่าดูแลตัวเองยังไงไปหา
01:15:52 → 01:15:56 หมอแบบไหนอ่ะค่ะทำไปตามนั้นเพียงแต่ว่า
01:15:56 → 01:15:58 ที่เรามาคุยกันในวันเนี้ยค่ะเพื่อเป็นจุด
01:15:58 → 01:16:01 ว่าอ๋อจริงๆแล้วเนี่ยความคิดเราเขาสามารถ
01:16:01 → 01:16:05 รักษาร่างกายเราได้เราช่วยคุณหมอเขาด้วย
01:16:05 → 01:16:07 เออคือนี่มันเป็นร่างกายของเราเราอาจจะไป
01:16:07 → 01:16:10 เจอหมอแบบเดือนละครั้งอ่ะแต่เราเป็นคนที่
01:16:10 → 01:16:13 อยู่กับตัวเราตลอดเวลามันจะดีมยถ้าโอเค
01:16:13 → 01:16:16 เราได้กินยาซึมเศร้านะเรามีภาวะวิโตกังวล
01:16:16 → 01:16:18 นะเรากินไปแต่ว่าเรากลับมาบอกรักร่างกาย
01:16:19 → 01:16:21 เรามั้ยเรากลับมาดูแลร่างกายในส่วนที่เรา
01:16:21 → 01:16:24 ทำได้เพื่อเสริมเค้าอ่ะค่ะและถ้าตรงนี้
01:16:24 → 01:16:26 เค้าดีอ่ะเดี๋ยวคุณหมอเขาจะเป็นคนลดยาเอง
01:16:26 → 01:16:29 ไม่ได้สนับสนุนว่าโอ้ทุกคนจะต้องลุกขึ้น
01:16:29 → 01:16:32 มาทำสมาธิแล้วจะต้องมาแบบรักษาตัวเองค่อย
01:16:32 → 01:16:34 ๆไปตามจังหวะถ้าอะไรที่ต้องอยู่ในวงการ
01:16:34 → 01:16:38 แพทย์ทำตามนั้นแต่ช่วยร่างกายเราด้วยจาก
01:16:38 → 01:16:40 ที่แบบโอ๊ยเเราอาจจะกินยายาวกว่านี้เรา
01:16:40 → 01:16:42 อาจจะกินยาสั้นลงแล้วเดี๋คุณหมอเขาจะลดไป
01:16:42 → 01:16:46 เองค่ะถ้าอาการดีเขาจะปล่อยแบบลดยาเองแต่
01:16:46 → 01:16:48 ไม่ต้องแบบไปทำเองอะไรอย่างเงี้ย
01:16:48 → 01:16:51 >> อยากรู้ว่าสมาธิเนี่ยเ้ามีกระบวนการยังไง
01:16:51 → 01:16:55 ที่ทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้อ่าคือทำงาน
01:16:55 → 01:16:56 ยังไงกับร่างกายอ่ะค่ะอ
01:16:56 → 01:17:00 >> อืจริงๆอ่ะสมาธิอ่ะเป็นจุดของปัจจุบันขณะ
01:17:00 → 01:17:00 >> อื
01:17:00 → 01:17:04 >> ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนสมมุติว่าเราเคยป่วย
01:17:04 → 01:17:07 แบบนี้เราจะมีความคิดแบบเนี้จนทำให้เรา
01:17:07 → 01:17:09 ป่วยอย่างบางคนคิดมากอ่ะเราจะคิดวนอยู่
01:17:09 → 01:17:12 กับเรื่องเดิมๆแล้วพอเราคิดวนอยู่ซ้ำๆอ่ะ
01:17:12 → 01:17:14 ค่ะมันทำให้เราสมว่าวนซ้ำๆอันเนี้ยทำให้
01:17:14 → 01:17:17 เราเป็นโรคนี้แต่เวลาที่เราฝึกสมาธิอ่ะ
01:17:17 → 01:17:19 เวลามีความคิดเรากลับมาที่ลมหายใจเวลามี
01:17:19 → 01:17:22 ความคิดเรากลับมาที่จุดศูนย์กลางมันทำให้
01:17:22 → 01:17:25 เราอ่ะไม่ได้ไปเลือกไอ้ความคิดวนนั้นและ
01:17:25 → 01:17:28 ทำให้เราเลือกเส้นทางใหม่เฉยๆงั้นพี่มอง
01:17:28 → 01:17:30 ว่าสมาธิคือจุดสำคัญที่ทำให้เรากลับมา
01:17:30 → 01:17:33 อยู่กับปัจจุบันขนาดเพื่อให้เราไม่ได้ไป
01:17:33 → 01:17:36 เลือกในสิ่งที่เราเคยเลือกแล้วมันสร้าง
01:17:36 → 01:17:39 โลกให้เราอ่ะอ่าทำให้เราแบบเลือกใหม่และ
01:17:39 → 01:17:42 อีกจุดนึงที่สำคัญมากๆคือเวลาที่เราฝึก
01:17:42 → 01:17:45 สมาธิอ่ะค่ะมันเกี่ยวข้องกับลมหายใจคือ
01:17:45 → 01:17:47 เราจะสังเกตมยถ้าเราทำสมาธิไปเรื่อยๆลม
01:17:47 → 01:17:50 หายใจเราจะช้าลงเราจะหายใจได้แบบละเอียด
01:17:50 → 01:17:53 ขึ้นพอลมหายใจดีอ่ะมันดันไปสอดคล้องกับ
01:17:53 → 01:17:54 การทำงานของร่างกาย
01:17:55 → 01:17:57 >> ก็คล้ายๆกับเราคุยกันไปแล้วใน EP ที่แล้ว
01:17:58 → 01:18:00 เนาะว่าลมหายใจสัมพันธ์สอดคล้องกับการทำ
01:18:00 → 01:18:02 งานของร่างกายยังไงถ้าท่านไหนยังไม่ได้
01:18:02 → 01:18:05 ฟังนะคะก็ตามไปฟังกันได้นะคะสุดท้ายค่ะ
01:18:05 → 01:18:08 แพนด้ามีคำถามนึงอยากถามคุณหมอมากมากแล้ว
01:18:08 → 01:18:09 แพนด้าว่าคุณหมอน่าจะเป็นคนที่มี
01:18:09 → 01:18:12 ประสบการณ์ตรงด้วยก็คือการขอบคุณร่างกาย
01:18:12 → 01:18:15 เนี่ยสำคัญยังไงและการขอบคุณร่างกายเนี่ย
01:18:15 → 01:18:17 จะทำให้เราสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยไหม
01:18:17 → 01:18:21 >> อันเนี้ยมันอาจจะไม่ได้มีแบบโอวิจัยที่
01:18:21 → 01:18:22 ออกมาชัดเจนเพราะว่ามันทำกับร่างกาย
01:18:23 → 01:18:26 มนุษย์นะคะแต่ว่าสิ่งที่พี่ทำมาโดยตลอด
01:18:26 → 01:18:29 ตอนนั้นน่ะตัวที่พี่แบบว่ามีภาวะซึมเศร้า
01:18:29 → 01:18:31 อ่ะแล้วขึ้นมาได้อ่ะเกิดจากการกลับมา
01:18:31 → 01:18:34 ขอบคุณร่างกายเพราะว่าเรารู้ว่าทุกเสียง
01:18:34 → 01:18:37 ทุกความคิดที่มันส่งไปอ่ะมันส่งผลต่อ
01:18:37 → 01:18:39 เซลล์ในร่างกายหลายคนอาจจะแบบเออ้ยแล้ว
01:18:39 → 01:18:41 มันมีแบบงานวิจัยมั้ยหรืออะไรมยสำหรับพี่
01:18:41 → 01:18:44 พี่รู้สึกว่าการทำสิ่งเนี้ยไม่มีอะไรเสีย
01:18:44 → 01:18:48 หายพี่หายมาได้จากการที่เรากลับมาขอบคุณ
01:18:48 → 01:18:50 เขาแล้วเวลาที่เราขอบคุณไปเรื่อยๆอ่ะเรา
01:18:50 → 01:18:54 กำลังฝึกตัวเองให้ชินกับการขอบคุณซึ่ง
01:18:54 → 01:18:55 สิ่งนั้นน่ะมันเป็นคลื่นพลังงานบวกอยู่
01:18:55 → 01:18:58 แล้วงั้นพอเราเริ่มชินกับการขอบคุณน่ะสาร
01:18:58 → 01:19:01 เคมีในร่างกายเราก็ชินกับพลังงานบวกเราก็
01:19:01 → 01:19:04 เลยค่อยๆแบบรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ใช้สิ่งเใน
01:19:04 → 01:19:06 การกลับมา healing หรือว่ากลับมาเยียวยา
01:19:06 → 01:19:07 ร่างกายได้ค่ะ
01:19:07 → 01:19:10 >> แล้วเราจะมีวิธีในการขอบคุณร่างกายที่คุณ
01:19:10 → 01:19:12 หมออยากแนะนำแล้วก็สามารถทำตามได้ง่ายๆ
01:19:12 → 01:19:12 บ้างมั้คะ
01:19:12 → 01:19:16 >> ตอนนั้นที่พี่ทำนะคือตอนเช้ากับก่อนนอน
01:19:16 → 01:19:19 น่ะพี่จะกลับมาที่ร่างกายก่อนเออแล้วก็
01:19:19 → 01:19:22 กลับมาแบบเอ้ยขอบคุณนะขอบคุณร่างกายอะไร
01:19:22 → 01:19:24 อย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ใช้แบบทุกกิจวัตรหรือ
01:19:24 → 01:19:27 ว่าสิ่งที่เราทำอ่ะเป็นการกลับมาขอบคุณ
01:19:27 → 01:19:30 ทุกอย่างเลยเช่นในวันที่กินข้าวเราต้อง
01:19:30 → 01:19:33 กินข้าวอยู่แล้วใช่มั้คะเวลากินข้าวเราจะ
01:19:33 → 01:19:35 กินด้วยความภาวนาหรือว่ากินด้วยความ
01:19:35 → 01:19:37 ขอบคุณเพราะว่าจริงๆข้าวก็มาจากแผ่นดิน
01:19:37 → 01:19:39 น่ะค่ะเขาหล่อเลี้ยงเราเพราะฉะนั้นน่ะเรา
01:19:39 → 01:19:43 กินเหมือนแบบค่อยๆกินไม่ต้องรีบแล้วก็
01:19:43 → 01:19:47 ขอบคุณในขณะที่กินกินข้าวดื่มน้ำหรือว่า
01:19:47 → 01:19:49 ทำอะไรถ้าเรานึกได้เราจะให้เหมือนกับคำ
01:19:49 → 01:19:52 ขอบคุณเนี้ยอยู่ในวิถีชีวิตเราเลยไม่ว่า
01:19:52 → 01:19:54 เราจะทำอะไรก็ตามอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆอ่ะ
01:19:54 → 01:19:57 แรกๆมันก็ดูขัดๆอ่ะแต่พอทำไปเรื่อยๆทุก
01:19:57 → 01:19:59 ครั้งที่เรากินข้าวเราก็แบบทำสิ่งนี้จน
01:19:59 → 01:20:02 มันชินไปแล้วอ่ะเพื่อสร้างเส้นทางในสมอง
01:20:02 → 01:20:05 ใหม่สร้างสารเคมีในร่างกายใหม่อ่ะเออ
01:20:05 → 01:20:08 >> อค่ะโอเป็นกันขอบคุณทั้งร่างกายขอบคุณทุก
01:20:08 → 01:20:08 อย่าง
01:20:08 → 01:20:11 >> เออมันจะทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆแล้วเราก็
01:20:11 → 01:20:13 เป็นคนนึงที่ได้รับและเป็น
01:20:13 → 01:20:13 >> ใช่
01:20:14 → 01:20:16 >> เออเพราะว่าบางครั้งเนี่ยเรามีหลายๆอย่าง
01:20:16 → 01:20:19 >> แต่พอเราไม่เคยขอบคุณหรือแม้กระทั่งร่าง
01:20:19 → 01:20:22 กายตัวเองที่เราก็มีอยู่อย่างจริงๆอ่ะแต่
01:20:22 → 01:20:24 ว่าเราพอเราไม่ได้ขอบคุณเนาะเรามองข้ามเา
01:20:24 → 01:20:29 เกินไปอ่าจริงๆก็มีผลต่อกันหมดเลยอ่
01:20:29 → 01:20:31 >> ทั้งหมดที่เราคุยกันมาในวันนี้ค่ะใน
01:20:31 → 01:20:33 เรื่องของการที่จะดึงดูดสุขภาพดีเนี่ย
01:20:33 → 01:20:37 เอ่อจริงๆแล้วทุกๆคนสามารถที่จะทำได้อ่า
01:20:37 → 01:20:39 แต่ว่าจะมา manifest ยังไงให้สำเร็จหรือ
01:20:39 → 01:20:41 อะไรก็ตามอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องไปถาม
01:20:41 → 01:20:46 ตัวเองแล้วก็ขอในสิ่งที่เราก็คิดว่าเฮ้ย
01:20:46 → 01:20:49 เราจะมีความเชื่อว่าเราจะได้รับแล้วก็ลง
01:20:49 → 01:20:52 มือทำนิสัยเปลี่ยนพฤติกรรมให้เรามีความ
01:20:53 → 01:20:55 เชื่อมีหลักฐานในการเชื่อแล้ววันนึงมันก็
01:20:55 → 01:20:58 จะสำเร็จแล้วก็ในการขอสิ่งใดสิ่งนั้นก็
01:20:58 → 01:21:01 ต้องเป็นสิ่งที่เราก็คือออกจากเซฟโซนออก
01:21:01 → 01:21:03 จาก comfort โซนหน่อยอ่าแต่อาจจะไม่ใช่
01:21:03 → 01:21:06 สิ่งที่ไกลตัวมากเกินไปเพราะว่าพอเราตั้ง
01:21:06 → 01:21:08 อะไรที่ไกลตัวมากเกินอาจจะทำให้บั่นทอน
01:21:08 → 01:21:11 ตัวเองอ่าค่ะอันนี้ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
01:21:11 → 01:21:15 เนาะรวมถึงเรื่องของ noble pri ด้วยความ
01:21:15 → 01:21:17 คิดของเราเนี่ยมีผลต่อร่างกายของเราแม้
01:21:17 → 01:21:19 ว่าตอนนี้เราอาจจะไม่ได้เจ็บป่วยแต่ว่า
01:21:19 → 01:21:22 เรามีความคิดที่ว่าเราป่วยหรือคิดไม่ดี
01:21:22 → 01:21:24 คิดเชิงลบกับสุขภาพร่างกายก็เอ้ยเราก็อาจ
01:21:24 → 01:21:26 จะป่วยขึ้นมาจริงๆกับอีกอย่างนึงคือถ้า
01:21:26 → 01:21:30 สมมุติเราป่วยอยู่ก็อาจจะลองplางใจแล้วก็
01:21:30 → 01:21:32 เชื่อว่าร่างกายเนี้ยจะ healing จะรักษา
01:21:33 → 01:21:35 ตัวเขาเองได้ในขะขณะเดียวกันคือท่านไหน
01:21:35 → 01:21:38 ที่มีการรักษาอยู่ก็ทำควบคู่กันไปนะคะไม่
01:21:38 → 01:21:41 ได้บอกให้หยุดการรักษาอะไรเนาะเพราะว่าทำ
01:21:41 → 01:21:43 ควบคู่กันไปไม่มีอะไรเสียหายสมองเนี่ย
01:21:43 → 01:21:46 เป็นอวัยวะนึงที่สำคัญมากๆแล้วก็อยู่กับ
01:21:46 → 01:21:49 เราตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิตเลย
01:21:49 → 01:21:51 แล้วสมองเนี่ยเราต้องดูแลยังไงบอกก่อนเลย
01:21:51 → 01:21:52 นะคะว่า EP นี้เนี่ยเราจะพาทุกท่านเนี่ย
01:21:53 → 01:21:55 มาเพิ่มพลังโฟกัสด้วยสมาธิกันค่ะแล้วจะ
01:21:55 → 01:21:57 เป็นใครไม่ได้นะคะที่จะให้คำตอบเรื่องนี้
01:21:57 → 01:22:00 ได้ดีนั่นก็คือคุณหมอฟ้าจากเพจหมอฟ้า
01:22:00 → 01:22:02 สมาธิศาสตร์สวัสดีค่ะคุณหมอ
01:22:02 → 01:22:04 >> สวัสดีค่ะ
01:22:04 → 01:22:05 >> อ่าวันนี้เจอกันอีกแล้วนะคะ
01:22:05 → 01:22:06 >> ค่ะ
01:22:06 → 01:22:08 >> อยากชวนคุยในเรื่องของการที่เราจะเพิ่ม
01:22:08 → 01:22:11 พลังโฟกัสค่ะด้วยการทำสมาธิก่อนอื่น
01:22:11 → 01:22:14 พันน้าอยากถามก่อนว่าอย่างสมองของเรา
01:22:14 → 01:22:16 เนี่ยค่ะแพนด้าก็จะรู้ว่าสมองของเราเนี่ย
01:22:16 → 01:22:19 ก็จะมีบางอย่างที่เป็นขยะเนาะเออแล้วอะไร
01:22:19 → 01:22:21 บ้างที่ถือเป็นขยะสมองค่ะอ
01:22:21 → 01:22:23 >> ขยะสมองในที่เนี้ยอ่ะขยะเวลาเรานึกถึงขยะ
01:22:23 → 01:22:25 ก็คือสิ่งที่เราไม่ต้องการหรือว่าเรา
01:22:26 → 01:22:28 ต้องการที่จะทิ้งใช่มั้ยคะสมองคือสิ่งที่
01:22:28 → 01:22:30 อยู่ในความคิดเราอาจจะต้องกลับมาคิดว่า
01:22:30 → 01:22:33 เอ้ยอันไหนที่เราคิดวนแล้วทำให้เรารู้สึก
01:22:33 → 01:22:35 เป็นทุกข์แล้วเราอยากจะกำจัดออกอันนั้น
01:22:36 → 01:22:38 น่ะถือว่าเป็นขยะเออคือเหมือนคิดแล้วมัน
01:22:38 → 01:22:40 แบบไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมาหรือว่าอยู่ตรง
01:22:40 → 01:22:42 นี้แล้วทำให้เราเป็นทุกข์อ่ะค่ะ
01:22:42 → 01:22:44 >> เอออันนั้นคือขยะที่เราแบบค่อยๆเคลียร์
01:22:44 → 01:22:45 ออกไป
01:22:45 → 01:22:47 >> รวมถึงสิ่งที่เราสะสมมาโดยที่เราไม่รู้
01:22:47 → 01:22:48 ตัวด้วยมั้คะ
01:22:48 → 01:22:50 >> ใช่เพราะว่าเวลาที่เราออกไปใช้ชีวิตอ่ะ
01:22:50 → 01:22:53 ค่ะสื่อที่เราเซฟสิ่งที่เราเห็นโดยที่เรา
01:22:53 → 01:22:55 เข้ามาสิ่งนั้นน่ะพอเข้ามาที่สมองก็เข้า
01:22:55 → 01:22:57 ไปสู่จิตใต้สำนึกหรือว่าตัวเราเหมือนกัน
01:22:57 → 01:23:00 อันนั้นก็ถือว่าเป็นขยะถ้าเป็นสิ่งที่เรา
01:23:00 → 01:23:03 แบบไม่ต้องการหรือว่าไม่ได้ตั้งใจให้เกิด
01:23:03 → 01:23:03 ขึ้น
01:23:03 → 01:23:06 >> แล้วอย่างเงี้ยค่ะเราจะสามารถสังเกตร่าง
01:23:06 → 01:23:08 กายหรือว่ามีเอฟเฟคทางร่างกายอะไรบ้างที่
01:23:08 → 01:23:10 จะทำให้เรารู้ว่าเฮ้ยตอนเนี้ยสมองของเรา
01:23:10 → 01:23:12 เนี่ยมีขยะมากเกินไป
01:23:12 → 01:23:15 >> อันนี้อาจจะแชร์จากประสบการณ์ของพี่แล้ว
01:23:15 → 01:23:18 กันนะคะเพราะฉะนั้นขยะคือสิ่งที่เรารับมา
01:23:18 → 01:23:20 แล้วทำให้เราเป็นทุกข์เออสำหรับพี่อ่ะถ้า
01:23:20 → 01:23:22 เกิดว่าเราเช็คก็คือพี่จะเช็คว่าช่วงนั้น
01:23:22 → 01:23:25 น่ะพี่มีความเครียดหรือว่าวิตกกังวลเยอะ
01:23:25 → 01:23:29 ไหมหรือว่าทำอะไรแล้วแบบรีบๆลนๆโฟกัสไม่
01:23:29 → 01:23:32 ได้แล้วรู้สึกแบบไม่สุขสบายอ่ะรู้สึกรู้
01:23:32 → 01:23:33 สึกโฟกัสไม่ได้เพราะถ้าเกิดโฟกัสไม่ได้
01:23:33 → 01:23:35 มันเกิดแบบผลงานไม่ได้ไงคะเพราะฉะนั้น
01:23:36 → 01:23:39 ช่วงไหนที่รู้สึกเครียดเยอะๆกังวลเยอะๆ
01:23:39 → 01:23:42 คิดมากๆคิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดแล้วทำให้
01:23:42 → 01:23:45 เรากลับมาวนๆอะไรอย่างเงี้ยคือให้รู้ว่า
01:23:45 → 01:23:47 เออตรงนั้นถึงเวลาที่เราจะต้องแบบมา
01:23:47 → 01:23:50 เคลียร์ละเราได้รับข้อมูลที่มากเกินไป
01:23:50 → 01:23:53 เพราะว่าข้อมูลที่เข้ามาเข้ามาที่หัวแต่
01:23:53 → 01:23:55 มันมีความรู้สึกที่ใจไงเข้ามาแล้วมันทำ
01:23:55 → 01:23:57 ให้เรารู้สึกอะไรที่ทำให้เรารู้สึกที่มัน
01:23:57 → 01:23:59 ไม่ดีอ่ะคือนั่นแหละถึงเวลาที่เราจะต้อง
01:23:59 → 01:24:02 เที่ยวอือค่ะแล้วอย่างถ้าสมมุติการนอนไม่
01:24:02 → 01:24:04 หลับอ่าอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นกับ
01:24:04 → 01:24:07 ร่างกายเนี่ยค่ะสามารถสะท้อนกับสุขภาพ
01:24:07 → 01:24:08 สมองของเราได้มั้คะ
01:24:08 → 01:24:11 >> โอแน่นอนเพราะเราคิดเยอะเราพักไม่เป็นเรา
01:24:11 → 01:24:14 คิดตลอดเวลาค่ะเพราะฉะนั้นเราก็ชินกับ
01:24:14 → 01:24:16 ความคิดติดอยู่ที่หัวเพราะฉะนั้นเวลาที่
01:24:16 → 01:24:18 เรารู้สึกว่าเราจะต้องพักอ่ะเขารู้สึกว่า
01:24:18 → 01:24:21 โหมดพักเป็นโหมดที่เขาไม่ชินเขาก็เลยนอน
01:24:21 → 01:24:24 เองไม่ได้หรือบางคนแบบไปเที่ยวเออเหมือน
01:24:24 → 01:24:26 จะไปพักเตก็กลับมาคิดอีกอะไรอย่างเงี้ย
01:24:26 → 01:24:28 ค่ะเพราะฉะนั้นการคิดบนเป็นเรื่องสำคัญ
01:24:28 → 01:24:30 มากเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน
01:24:30 → 01:24:31 แปลงสมองด้วย
01:24:31 → 01:24:33 >> คุณหมอบอกแพนด้าว่าจริงๆสมองของคนเรา
01:24:33 → 01:24:35 เนี่ยสามารถเปลี่ยนได้เปลี่ยนเส้นทางได้
01:24:35 → 01:24:37 ด้วยแล้วมันคืออะไรอ่ะคะ
01:24:37 → 01:24:39 >> อเอ่ออันเนี้ยเขาเรียกว่าเป็น neur
01:24:39 → 01:24:43 plasticity neur คือสมองพลาสติกคือยืด
01:24:43 → 01:24:44 หยุ่น
01:24:44 → 01:24:47 >> เปลี่ยนเส้นทางได้พี่พูดอย่างงี้เวลาที่
01:24:47 → 01:24:49 อ่ะพี่คุยกับแพนด้าอย่างเงี้ยมีเสียงเข้า
01:24:49 → 01:24:51 มาหรือว่าเราเห็นอะไรอ่ะค่ะมันจะเกิด
01:24:51 → 01:24:54 สัญญาณขึ้นในสมองแล้วเวลาสมองเคยเห็นที่
01:24:54 → 01:24:55 เขาเป็นโครงข่ายมย
01:24:55 → 01:24:56 >> ค่ะ
01:24:56 → 01:24:59 >> เออเขาจะเกิดการคุยกันด้วยสารเคมีคือเขา
01:24:59 → 01:25:01 จะแบบอย่างเงี้ยแล้วเขาจะคุยกันด้วยสาร
01:25:01 → 01:25:04 เคมีเขาเรียกกระบวนการเว่าเป็นการไซนAP
01:25:04 → 01:25:06 อ่ามันเป็นศัพท์การแพทย์แบบไม่ต้องสนใจ
01:25:06 → 01:25:08 หรอกพูดง่ายๆคือทุกครั้งที่เราได้รับอะไร
01:25:08 → 01:25:10 มาเขาจะคุยกันแล้วเขาเกิดการเชื่อมกัน
01:25:10 → 01:25:13 เพราะฉะนั้นเนี่ยสิ่งที่เราทำซ้ำๆจะกลาย
01:25:13 → 01:25:15 เป็นสิ่งที่เขาคุยกันและเชื่อมกันแบบนี้
01:25:15 → 01:25:16 >> อื
01:25:16 → 01:25:18 >> แล้วมันจะถูกเซตอ่ะเป็นแบบเหมือนกับ
01:25:18 → 01:25:21 เชื่อมแข็งไปแล้วอ่ะในตอนที่อายุ 25
01:25:21 → 01:25:23 สังเกตว่าหลังอาย 25 เราจะแบบเปลี่ยนแปลง
01:25:23 → 01:25:26 ได้ยากเพราะว่ามันถูกเซ็ตอ่ะค่ะสมองที่
01:25:26 → 01:25:29 ถูกเซ็ตคือตัวเราที่ถูกเซ็ตทีนี้เคยเห็น
01:25:29 → 01:25:31 คนที่เป็นอัมพฤกอัมพาตมั้ยที่บางทีเขา
01:25:31 → 01:25:34 เป็นสตกสตกคือเส้นเลือดในสมองตีบถูกมั้คะ
01:25:35 → 01:25:37 และตอนแรกเขาอาจจะแบบยังเดินไม่ได้สักพัก
01:25:37 → 01:25:39 เเริ่มเดินได้มันอาจจะไม่ได้กลับมา 100%
01:25:39 → 01:25:42 แต่ว่าเขาจะกลับมาเดินได้นั่นแหละเกิดจาก
01:25:42 → 01:25:45 การที่สมองเขาสามารถซ่อมสร้างตัวเองได้ที
01:25:45 → 01:25:48 เนี้ยจุดสำคัญก็คือว่าเขาเคยเชื่อมกัน
01:25:48 → 01:25:51 อย่างเงี้ยมา 25 ปีจุดสำคัญคือถ้าวันนี้
01:25:51 → 01:25:54 เรารู้สึกว่าเราอยากเป็นคนใหม่เราจะ
01:25:54 → 01:25:56 เปลี่ยนแปลงสมองอ่ะมันเลยต้องกลับมาที่
01:25:56 → 01:25:59 การโฟกัสมันคือกลับมาจุดของปัจจุบันขณะ
01:25:59 → 01:26:02 แล้วเกิดการโฟกัสก่อนเพราะว่าเวลาเขา
01:26:02 → 01:26:04 เชื่อมกันอย่างเงี้ยเขาเชื่อมเป็นอutโมติ
01:26:04 → 01:26:06 เขาเชื่อมเป็นระบบประสาทอัตโนมัติไปแล้ว
01:26:06 → 01:26:09 เคยทำแบบนี้มาตั้ง 25 ปีเขาทำแบบนี้ซ้ำๆ
01:26:09 → 01:26:12 อ่ะค่ะการที่เราจะเปลี่ยนนิสัยใหม่เป็นคน
01:26:13 → 01:26:15 ใหม่เราเลือกเส้นทางใหม่เราต้องมีการ
01:26:15 → 01:26:16 โฟกัส
01:26:16 → 01:26:16 >> อื
01:26:16 → 01:26:19 >> เพราะถ้าไม่โฟกัสเราจะกลับไปที่ร่องสมอง
01:26:19 → 01:26:22 เดิมงั้นเนี่ยสมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้
01:26:22 → 01:26:25 แต่คุณสมบัติสำคัญคือเราจะต้องกลับมาที่
01:26:25 → 01:26:26 จุดของการโฟกัสก่อน
01:26:26 → 01:26:27 >> อื
01:26:27 → 01:26:29 >> เออเพื่อรู้ก่อนว่าเฮ้ยเนี่ยเนี่ยมันเป็น
01:26:29 → 01:26:32 แบบตัวเก่าของฉันนะฉันจะเป็นคนใหม่มัน
01:26:32 → 01:26:34 ต้องรู้ตัวกลับมาจุดตรงนี้ก่อนอ
01:26:34 → 01:26:38 >> อืคือสมองจะเปลี่ยนได้เราต้องมีโฟกัส
01:26:38 → 01:26:38 >> ใช่
01:26:38 → 01:26:42 >> อ่าถามต่อค่ะว่าแล้วพฤติกรรมอะไรบ้างที่
01:26:42 → 01:26:44 ทำลายโฟกัสของเราอ่ะ
01:26:44 → 01:26:47 >> อย่างแบบมากสุดทำลายโฟกัสโฟกัสคือแสง
01:26:47 → 01:26:48 เลเซอร์อ
01:26:48 → 01:26:51 >> คือทำสิ่งหนึ่งในครั้งหนึ่ง
01:26:51 → 01:26:54 >> อ่าให้นึกถึงเคยเล่นเกมแบบตอนเด็กๆมั้คะ
01:26:54 → 01:26:57 ที่เราเอาแว่นขยายมาคือแสงแดดมันก็แค่
01:26:57 → 01:26:59 ร้อนใช่ป่ะแต่ถ้าเราแว่นแว่นขยายมาเขา
01:26:59 → 01:27:02 สามารถโฟกัสแล้วมันทำให้กระดาษไหม้ได้อ่ะ
01:27:02 → 01:27:06 โฟกัสคือทำ 1 อย่างณชั่วขณะนั้นจนเป็นแสง
01:27:06 → 01:27:08 เลเซอร์เลยเพราะฉะนั้นเนี่ยตรงข้ามกับการ
01:27:08 → 01:27:11 ทำโฟกัสคือทำมันทุกอย่างเพราะฉะนั้นพอทำ
01:27:11 → 01:27:14 ทุกอย่างอ่ะเราไม่สามารถใส่โฟกัสไปในอะไร
01:27:14 → 01:27:17 ได้อ่ะค่ะถามว่ามันเกิดงานมอ่ะเกิดงานแต่
01:27:17 → 01:27:20 ว่าถามว่าคุณภาพจะเป็นแบบไหนอ่ะอันนี้อีก
01:27:20 → 01:27:23 เรื่องนึงแต่ไม่ดีกับสมองแน่ๆเพราะว่า
01:27:23 → 01:27:25 สมองเขาแบบไม่ได้เกิดมาเพื่อนทสอ่ะขนาด
01:27:25 → 01:27:27 เขาจะเปลี่ยนเขายังต้องโฟกัสเลยอ่ะเขาถึง
01:27:28 → 01:27:29 จะเปลี่ยนได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของเขา
01:27:29 → 01:27:30 อะไรเงี้ยอ
01:27:30 → 01:27:32 >> อืคือทำอะไรทำทีละอย่างก่อน
01:27:32 → 01:27:33 >> ทีละอย่าง
01:27:33 → 01:27:34 >> อ่าค่ะ
01:27:34 → 01:27:37 >> แต่ว่าในปัจจุบันเนี้ยค่ะโลกมันหมุนไวมาก
01:27:37 → 01:27:41 เนาะแล้วก็เราต้องใช้ชีวิตให้มันทันกับ
01:27:41 → 01:27:44 โรคที่หมุนไวอ่าก็จะมีเรื่องของการบริหาร
01:27:44 → 01:27:47 เวลาเกิดขึ้นเช่นบางคนรู้สึกว่าใน 1
01:27:47 → 01:27:49 ชั่วโมงเฉันต้องทำอะไรให้มันได้เยอะๆถึง
01:27:49 → 01:27:52 จะแบบรู้สึกว่าเป็นคนโปรดักเป็นคนที่แบบ
01:27:52 → 01:27:55 เออมีคุณภาพอย่างเงี้ยอ่าจริงๆสิ่งเนี้ย
01:27:55 → 01:27:56 มันดีหรือไม่ดียังไงคะ
01:27:56 → 01:27:58 >> แบบไม่ได้อยากบอกว่าแบบดีไม่ดีเลยเพราะ
01:27:59 → 01:28:02 ว่าแต่ละคนเขาก็จะมีแบบสไตล์ของเขาพี่อาจ
01:28:02 → 01:28:05 จะแชร์ในมุมของพี่แล้วกันว่าในสำหรับพี่
01:28:05 → 01:28:08 อ่ะค่ะที่แบบเออเราฝึกสมาธิมาแล้วก็เราทำ
01:28:08 → 01:28:10 งานแบบหลายอย่างด้วยอ่ะการโฟกัสอ่ะเป็น
01:28:10 → 01:28:14 สิ่งที่พี่ทำเสมอคือทำได้แค่ 1 อย่างณ
01:28:14 → 01:28:17 ชั่วขณะนั้นนะคะแล้วสิ่งสำคัญคือมันไม่
01:28:17 → 01:28:19 เครียดอ่ะสมมุติว่าอันนั้นเราก็ต้องทำอัน
01:28:19 → 01:28:22 นี้ก็ต้องทำอ่ะค่ะมากกว่าสมองเครียดอ่ะ
01:28:22 → 01:28:25 คือร่างกายเราเครียดนะสังเกตมว่าทำอะไร
01:28:25 → 01:28:30 เราก็จะแบบรีบไปหมดอ่ะเพราะว่ากำลังความ
01:28:30 → 01:28:33 สอนร่างกายเรากำลังสอนสมให้ชินกับความ
01:28:33 → 01:28:37 เครียดเพะสำหรับพี่อ่ะการโฟกัสอ่ะเป็น
01:28:37 → 01:28:40 สิ่งที่เราทำแล้วมันได้ผลน่ะถ้ามัน
01:28:40 → 01:28:43 มัลติสองเราจะใช้พลังงานเยอะเพราะฉะนั้น
01:28:43 → 01:28:47 เขาก็จะเหนื่อยเขาก็จะล้าอาจจะลองดูก็ได้
01:28:47 → 01:28:50 ค่ะวันที่เราโฟกัสอาจจะ 1 อย่างกับวันที่
01:28:50 → 01:28:51 เราแบบทำทุกอย่างลองดูว่าผลงานมันเป็นยัง
01:28:51 → 01:28:52 ไง
01:28:52 → 01:28:54 >> อืลองค่อยๆชั่งน้ำหนักแล้วก็บาลานซเอา
01:28:54 → 01:28:57 >> อ่าแล้วถ้าสมมุติบางคนที่เไม่สามารถวัน
01:28:57 → 01:29:00 นึงทำแค่อย่างเดียวได้ด้วยหน้าที่การงาน
01:29:00 → 01:29:03 หรือด้วยอ่ะสมมุตินะคะเช่นเป็นคุณแม่
01:29:04 → 01:29:07 >> อ่าต้องดูแลลูกด้วยต้องทำงานด้วยต้องดูแล
01:29:07 → 01:29:08 บ้านต้องดูแลสามี
01:29:08 → 01:29:10 >> อ่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเลือกทำ
01:29:10 → 01:29:14 แค่สิ่งที่ที่อยากทำแล้วเขาจะทำยังไงให้เ
01:29:14 → 01:29:17 ยังต้องทำสิ่งหลายๆอย่างเนี้ย
01:29:17 → 01:29:20 >> แล้วเป็นผลดีต่อสมองใช่เป็นผลดีต่อคนรอบ
01:29:20 → 01:29:23 ตัวความสัมพันธ์แล้วก็สมองของตัวเองโอเออ
01:29:23 → 01:29:26 โอเคสำหรับพี่นะงั้นงั้นแชร์แล้วกันเพราะ
01:29:26 → 01:29:29 ว่าพี่ก็แบบทำหมอฟันด้วยเป็นแม่ด้วยอะไร
01:29:29 → 01:29:32 อย่างเงี้ยค่ะให้ดูว่ากิจกรรมไหนที่มัน
01:29:32 → 01:29:35 ไม่ต้องใช้โฟกัสเยอะเช่นการกวาดบ้านถ้า
01:29:35 → 01:29:38 กวาดบ้านแล้วเอาลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
01:29:38 → 01:29:41 ของการกวาดบ้านการกวาดบ้านอาจจะไม่ใช่การ
01:29:41 → 01:29:44 กวาดบ้านะเราสามารถแบบใช้เวลานั้นกับลูก
01:29:44 → 01:29:46 อันนี้ถือว่าเป็น multitest ส่วนหนึ่งที่
01:29:46 → 01:29:49 แบบดีอาจจะดูว่ากิจกรรมไหนที่เราไม่ต้อง
01:29:49 → 01:29:53 ใช้ความคิดเยอะขับรถหรือฟังพcสก็ได้นะ
01:29:53 → 01:29:55 >> อ้าหรือเนี่ยแบบฟังเกาอะไรอย่างเงี้ย
01:29:55 → 01:29:57 เพราะว่าการขับขับรถมันถูกเซตเป็นออโต้ไป
01:29:57 → 01:30:00 แล้วและเราไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแต่
01:30:00 → 01:30:03 ถ้าอะไรที่เราจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนใช้
01:30:03 → 01:30:05 พลังโฟกัสเยอะเป็นงานที่เราจะต้อง
01:30:05 → 01:30:07 concentrate อันนั้นน่ะต้องทำ 1 อย่าง
01:30:07 → 01:30:10 แต่่งงานไปแล้วไปเรื่อยอ่ะเออแบบว่า
01:30:10 → 01:30:13 เรื่องปกติทั่วไปที่ไม่ใช้พลังงานเยอะไม่
01:30:13 → 01:30:15 จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอาจจะเอาสิ่งอื่น
01:30:15 → 01:30:18 เล็กๆน้อยๆเข้ามาแทรกได้อาจจะทำให้เรา
01:30:18 → 01:30:20 balance ได้เพราะฉะนั้นสรุปก็คือถ้าเป็น
01:30:20 → 01:30:22 งานที่เราต้องโฟกัสช่วงที่พี่จะต้องทำ
01:30:22 → 01:30:24 คลิปช่วงจะต้องเขียนสิปเรา concentrate
01:30:24 → 01:30:27 เราไม่สามารถทำกับอันอื่นได้เลยแต่แบบ
01:30:27 → 01:30:29 เอ้ยบางอันที่เราจะต้องแบบอ่าล้างจานเรา
01:30:29 → 01:30:32 ก็ทำกับอย่างอื่นได้ลองดูเอกความสำคัญดู
01:30:32 → 01:30:32 ค่ะ
01:30:32 → 01:30:34 >> อืแสดงว่าจริงๆแล้วแต่ละท่านเนี่ยไม่ได้
01:30:34 → 01:30:36 เหมือนกันเลยอาจจะต้องดูว่ากิจกรรมอะไร
01:30:36 → 01:30:39 ที่เอ้ยเราทำจนมันเป็นกิจวัตรจนทำจนแบบ
01:30:39 → 01:30:41 เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างอัตโนมัติแล้วเรา
01:30:41 → 01:30:44 อาจจะเพิ่มสิ่งอื่นเข้ามาได้จริงๆเกณฑ์
01:30:44 → 01:30:46 ของมันหรือว่าสิ่งที่จะทำให้เราดูได้คือ
01:30:46 → 01:30:49 ตัวเราเองไม่ได้รู้สึกว่ามันมากระทบหรือ
01:30:49 → 01:30:52 เปล่าคะไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้มาขัดมา
01:30:52 → 01:30:55 >> รู้สึกหงุดหงิดอะไรอย่างเงี้ยใช่ใช่แล้ว
01:30:55 → 01:30:58 ก็ว่าสำคัญน่ะคือจับความรู้สึกตัวเราเอง
01:30:58 → 01:31:01 ค่ะแบบมันไม่ได้มีถูกว่าเอ้ยโฟกัสดีหรือ
01:31:01 → 01:31:04 ว่าเป็นmultิทสดีเราก็โฟกัสในบางงานเพียง
01:31:04 → 01:31:07 แต่ว่าถ้าเราทำให้เราค่อยๆปรับในขอบเขต
01:31:07 → 01:31:09 ที่เรารู้สึกว่ามันโอเคแล้วไม่กดดันตัว
01:31:09 → 01:31:12 เองเกินไปเราเคยมัลติสอย่างวันนี้ป๊าบอก
01:31:12 → 01:31:14 ให้ทำ 1 อย่างมันก็เยอะไปอ่ะค่ะให้เรา
01:31:14 → 01:31:17 ค่อยๆปรับไปทีละนิดตามไลฟ์สไตล์
01:31:17 → 01:31:17 >> อ
01:31:17 → 01:31:19 >> ที่สำคัญก็คือเรื่องของความเครียดใน
01:31:19 → 01:31:22 ระหว่างที่ทำเนาะว่าบางคนอาจจะทำได้หลาย
01:31:22 → 01:31:24 อย่างแต่ว่าเทำได้ไม่ได้เครียดอันนี้ก็
01:31:25 → 01:31:26 ไม่ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไร
01:31:26 → 01:31:29 >> ใช่ๆค่ะสุดท้ายถ้าเขาแบบสามารถไปต่อได้
01:31:29 → 01:31:30 นี่เป็นไลฟ์สไตล์ที่เรารู้สึกว่าเราโอเค
01:31:31 → 01:31:33 ก็ถือว่าแบบดีตามนั้นเลย
01:31:33 → 01:31:35 >> อแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันหนักไปอ่ะ
01:31:35 → 01:31:37 เดี๋ยวร่างกายเขาจะบอกเราเอง
01:31:37 → 01:31:40 >> ใช่ให้กลับมาเช็คผ่านร่างกายเยอะๆเช่นแบบ
01:31:40 → 01:31:43 เราเริ่มแบบนอนไม่หลับละเราเริ่มกระวน
01:31:43 → 01:31:46 กระวายเราเริ่มหายใจไม่โอเคร่างกายเรามัน
01:31:46 → 01:31:49 ไม่ดีอ่ะค่ะอันนั้นเป็นลักษณะที่ว่าเฮ้ย
01:31:49 → 01:31:51 จริงๆอ่ะคำว่า multitest มันอาจจะหมายถึง
01:31:51 → 01:31:53 การที่เราเสพติดคอติซอลหรือว่าฮอร์โมความ
01:31:53 → 01:31:55 เครียดก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะ
01:31:55 → 01:31:58 ต้องทำเยอะกว่านี้มากกว่านี้เราถึงจะโอเค
01:31:58 → 01:32:00 ได้รับการยอมรับเราอาจจะต้องเช็คกายเป็น
01:32:00 → 01:32:03 หลักเพราะว่ากายอ่ะจะบอกถึงภาวะของใจหรือ
01:32:03 → 01:32:04 ว่าความรู้สึก
01:32:04 → 01:32:06 >> ทุกวันเค่ะเราทุกคนก็ใช้โซเชียลเนาะใช้
01:32:06 → 01:32:09 โทรศัพท์ใช้เครื่องมือสื่อสารในการที่จะ
01:32:09 → 01:32:12 สื่อสารกันเป็นยุคของการที่แบบออนไลน์
01:32:12 → 01:32:15 >> อ่าทีนี้แพนด้าอยากรู้ว่าการใช้ออนไลน์
01:32:15 → 01:32:17 เยอะๆหรือว่าการใช้โทรศัพท์เครื่องมือ
01:32:18 → 01:32:20 สื่อสารเยอะๆเนี่ยค่ะเยอะแค่ไหนที่มัน
01:32:20 → 01:32:23 เริ่มจะส่งผลต่อร่างกายของเราเราจะสามารถ
01:32:23 → 01:32:26 ดูร่างกายได้ยังไงว่าเฮ้ยขณะเเราใช้
01:32:26 → 01:32:27 โซเชียลมากเกินไปนะ
01:32:28 → 01:32:30 >> คือเช็คความเป็นธรรมชาติถ้าสมมุติว่าเล่น
01:32:30 → 01:32:32 โทรศัพท์แล้วแบบทำให้เราตื่นกลางคืนเช้า
01:32:32 → 01:32:35 มาไม่สดชื่นปวดค้อบลัยอะไรอย่างเงี้ยคือ
01:32:35 → 01:32:38 เช็คฐานกายไปเลยว่ามีตรงไหนที่เขาปวดมมี
01:32:38 → 01:32:41 ตรงไหนที่แบบเฮ้ยฉันเคยแบบสมองปอดโป่งอ่ะ
01:32:41 → 01:32:43 ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมแล้วอะไร
01:32:43 → 01:32:45 อย่างเงี้ยค่ะแล้วก็มีอย่างนึงก็คือ
01:32:45 → 01:32:47 ระหว่างการใช้ออนไลน์กับการใช้โซเชียล
01:32:47 → 01:32:49 medเดียไม่เหมือนกันนะ
01:32:49 → 01:32:49 >> อื
01:32:49 → 01:32:52 >> อ่าเพราะว่าสมมุติว่าอ่ะทุกคนนั่งดูเกลา
01:32:52 → 01:32:53 ค่ะ
01:32:53 → 01:32:56 >> นั่งดูแบบ 1 ชม.อ่ะจริงๆเรา concentrate
01:32:56 → 01:32:59 เราอาจจะขับรถไปด้วยแต่มันคือการเปิดยาว 1
01:32:59 → 01:33:01 ชม.อืแต่การเล่นโซเชียล Media ที่น่ากลัว
01:33:01 → 01:33:04 คือการสไลด์เร็วๆบ่อยๆ
01:33:04 → 01:33:05 >> อื
01:33:05 → 01:33:08 >> อืหรือว่าเราทำงานแล้วเราเปิดคอมที่เรา
01:33:08 → 01:33:10 ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลแต่เรา
01:33:10 → 01:33:11 concentrate อันนั้นอันนี้ก็ถือว่าเป็น
01:33:11 → 01:33:14 อะไรที่ที่โอเคนะคะเพราะฉะนั้นการใช้
01:33:14 → 01:33:16 ออนไลน์อ่ะไม่ได้เป็นแบบผู้ร้ายแม้
01:33:16 → 01:33:18 กระทั่งการใช้โซเชียลมีก็ไม่ใช่ผู้ร้าย
01:33:18 → 01:33:21 ค่ะแต่ให้ระวังตรงที่เวลาที่เราแบบใช้
01:33:21 → 01:33:23 บ่อยๆเลื่อนบ่อยๆเพราะว่าอันนี้มันนำไป
01:33:24 → 01:33:25 เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองเรา
01:33:26 → 01:33:28 >> อืเกี่ยวข้องยังไงคะการเลื่อนบ่อยๆ
01:33:29 → 01:33:30 >> เพราะเพราะว่ามันไปเกี่ยวกับสารเคมีตัว
01:33:30 → 01:33:34 นึงที่เราเรียกว่าโดปามีนจริงๆโดินก็ไม่
01:33:34 → 01:33:37 ใช่ผู้ร้ายจริงๆเขาเป็นฮอร์โมนของแรง
01:33:37 → 01:33:40 บันดาลใจเคยมที่แบบว่ามีแรงบันดาลใจในการ
01:33:40 → 01:33:43 ทำสิ่งอื่นหรือว่าเวลาเราอยากทำความฝัน
01:33:43 → 01:33:45 ให้เป็นจริงอ่ะเราใช้โดปามินนะมันเป็น
01:33:45 → 01:33:47 ฮอร์โมนของการขับเคลื่อนแต่ว่าจุดก็คือ
01:33:48 → 01:33:50 ว่าฮอร์โมนโดปามีนจะเกิดขึ้นเมื่อเราลง
01:33:50 → 01:33:52 มือทำ
01:33:52 → 01:33:54 >> ฮอร์โมนหลั่งแล้วทำให้เกิดการเสพติดเวลา
01:33:54 → 01:33:57 ที่เราแบบเคยชนะอะไรเล่นเกมอะไรแล้วชนะ
01:33:57 → 01:34:00 เราจะอยากชนะแต้มใหญ่ไปอีก
01:34:00 → 01:34:02 >> เออหรือว่าเล่นเกมเลเวลต่อไป
01:34:02 → 01:34:05 >> เออหรือว่าถ้าเราติดอะไรในเชิงไม่ดีก็
01:34:05 → 01:34:07 อย่างเช่นแบบติดการพนันน่ะสังเกตมยพอเรา
01:34:07 → 01:34:10 ได้อันนึงอ่ะเราจะอยากได้ใหญ่ไปอีกเขา
01:34:10 → 01:34:12 เรียกว่าเป็นวงจรของการแdictหรือว่าวงจร
01:34:12 → 01:34:16 ของการเสพติดค่ะคือลงมือทำแล้วก็จะหลั่ง
01:34:16 → 01:34:19 สารเกิดการเสพติดแล้วเกิดทำให้เราอยากทำ
01:34:19 → 01:34:22 สิ่งนั้นไปเรื่อยๆอันนี้เป็นเรื่องปกติ
01:34:22 → 01:34:25 ของธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์เราขับเคลื่อน
01:34:25 → 01:34:27 แต่ว่าจุดก็คือว่าเวลาที่เราเล่นโซเชียล
01:34:28 → 01:34:30 medดีอ่ะที่เราสไลด์เร็วๆอ่ะมันทำให้
01:34:30 → 01:34:32 โดปามีนของเราอ่ะมันหลั่งง่ายเกินไปเค้า
01:34:32 → 01:34:35 เรียกว่าเป็น sheep โดปามีนก็คือว่าเรา
01:34:35 → 01:34:38 แทบจะไม่ต้องทำอะไรเยอะเราก็ถูกสนองความ
01:34:38 → 01:34:41 ต้องการแล้วเช่นถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจอ่ะ
01:34:41 → 01:34:43 เมื่อก่อนถ้าเราไม่ได้มีโซเชียลมีดียเรา
01:34:43 → 01:34:45 อาจจะมีกระบวนการที่มันแบบเอ้ยเราต้อง
01:34:45 → 01:34:48 เคลื่อนย้ายตัวเองออกไปเดินจะต้องไปคุย
01:34:48 → 01:34:51 กับเพื่อนไปทำอะไรที่มันแบบมีความพยายาม
01:34:51 → 01:34:52 นิดนึงอ่ะค่ะแต่เวลาที่เราเล่น
01:34:52 → 01:34:55 โซเชียลมีเดียเฮ้ยเราไม่โอเคอ่ะไม่โอเค
01:34:55 → 01:34:57 เราก็ปัดเฮ้ยไม่ชอบคลิปนี้อ่ะดูไป 3 นาที
01:34:57 → 01:35:00 ทีเราก็ปัดเพราะฉะนั้นน่ะมันทำให้เราอ่ะ
01:35:00 → 01:35:04 คะมีความอดทนน้อยลงเราอดทนในโลกแห่งความ
01:35:04 → 01:35:08 เป็นจริงได้น้อยลงเพราะในโลกแห่งโซเชียล
01:35:08 → 01:35:10 medเดียเราไม่ต้องทนอะไรเลยแล้วมันแบบมัน
01:35:10 → 01:35:13 ล็อคเราไว้ด้วยสารเคมีเพราะว่าพอเราพึงพอ
01:35:13 → 01:35:16 ใจอ่ะเราเลื่อนแล้วเราพึงพอใจใช่มั้คะพึง
01:35:16 → 01:35:19 พอใจปุ๊บหลั่งโดปามีนพอหลั่งโดปามีนปุ๊บ
01:35:19 → 01:35:21 เกิดการติดสังเกตมยเวลาที่เราเล่น
01:35:21 → 01:35:24 โซเชียลมีเดียเรากะจะเล่นแบบ 15 นาทีมัน
01:35:24 → 01:35:27 ไม่เคย 15 นาทีเพราะมันเกิดการไหล
01:35:27 → 01:35:29 สังเกตเวลาเราเล่นโซเชียลมีเนี่ยเรารู้
01:35:29 → 01:35:33 ตัวน้อยมากเราไหลไปกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก
01:35:33 → 01:35:35 ค่ะแล้วเราโฟกัสน้อยมากมันคือการทำงานที่
01:35:35 → 01:35:38 แบบเราไม่เหลือความแบบปัจจุบันขณะหรือว่า
01:35:38 → 01:35:41 สติรู้ตัวเลยมันก็คือเรื่องเดียวกันกับ
01:35:41 → 01:35:43 ที่เราแบบมีนิสัยทุกวันนี้เพราะเราเซต
01:35:43 → 01:35:44 ออโต้ไง
01:35:44 → 01:35:46 >> มันเป็นเรื่องเดียวกันน่ะค่ะมันทำให้จิต
01:35:46 → 01:35:49 เราไม่มีกำลังในการที่เราจะแบบสร้างชีวิต
01:35:49 → 01:35:51 ที่ดีหรือมีอะไรอย่างเงี้ยอื
01:35:51 → 01:35:54 >> ค่ะโอการสไลด์บ่อยๆคือทำให้เรารู้สึกว่า
01:35:54 → 01:35:56 สำเร็จละสำเร็จละมันคือกัน
01:35:56 → 01:35:57 >> อืออื
01:35:57 → 01:36:00 >> เพิ่มขึ้นของจำนวนจำนวนที่มากขึ้นอื
01:36:00 → 01:36:04 >> แต่ว่าไอ้ความว่าพอใจและสำเร็จนั้นน่ะมัน
01:36:04 → 01:36:06 ดันไม่ใช่ความสำเร็จในชีวิตจริงไง
01:36:06 → 01:36:07 >> อืค่ะ
01:36:07 → 01:36:10 >> เพราะเวลาสมมุติว่าเราจะทำอะไรใหม่แม้
01:36:10 → 01:36:12 กระทั่งเราจะแบบมีสุขภาพที่ดีเราจะมี
01:36:12 → 01:36:15 ซิแพคอ่ะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะเราต้อง
01:36:15 → 01:36:18 แบบมีความช่วงเวลาที่เราต้องอดทนมีช่วง
01:36:18 → 01:36:21 เวลาของการพ้นผ่านอะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่
01:36:21 → 01:36:25 เราดันไปติดความง่ายที่มันถูกตอบสนองมัน
01:36:25 → 01:36:27 ทำให้เวลาที่เราไปใช้ชีวิตจริงอ่ะเราปรับ
01:36:27 → 01:36:28 ตัวไม่ได้
01:36:28 → 01:36:29 >> อื
01:36:29 → 01:36:32 >> เออเราทนไม่ได้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเพราะ
01:36:32 → 01:36:34 ว่าในโซเชียลมีดีเราไม่ต้องทน
01:36:34 → 01:36:34 >> อ
01:36:34 → 01:36:37 >> เราไม่ชอบเราก็แค่เลื่อนผ่านแต่ในชีวิต
01:36:37 → 01:36:39 จริงอ่ะมันเป็นไปไม่ได้ไงเรามีเรื่องที่
01:36:39 → 01:36:41 เราต้องทนหรือว่ามีเรื่องที่เราต้องผ่าน
01:36:41 → 01:36:43 >> แต่เราไม่ได้ฝึกค่ะ
01:36:43 → 01:36:46 >> ว่าแต่จริงๆคือการใช้โซเชียลมีเดียถ้าใช้
01:36:46 → 01:36:48 อย่างไม่ได้มีสติใช้อย่างไหลตามคือบาง
01:36:48 → 01:36:50 ครั้งเราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแต่
01:36:50 → 01:36:52 จริงๆแล้วมันเปลี่ยนนิสัยของเราไปเลย
01:36:52 → 01:36:53 >> อมาก
01:36:53 → 01:36:53 >> อื
01:36:53 → 01:36:54 >> มากเลย
01:36:54 → 01:36:57 >> เปลี่ยนเป็นคนที่จากคนที่อาจจะเคยมีความ
01:36:57 → 01:37:00 พยายามก็อาจจะรู้สึกว่าอันนี้มันง่ายคือ
01:37:00 → 01:37:02 มันดูไม่มีอะไรมันดูแค่สิ่งที่อยู่ในมือ
01:37:02 → 01:37:03 เนาะแต่มันเอฟเฟคกับ
01:37:03 → 01:37:05 >> จิตใจความสมองของเรา
01:37:05 → 01:37:08 >> ใช่ใช่อีกอย่างนึงที่พี่ว่าสำคัญคือเวลา
01:37:08 → 01:37:10 ที่เราเสพโซเชียลmedเดียทุกคนก็จะโพสต์
01:37:11 → 01:37:13 ด้านที่ดูดีเพราะว่ามันเป็นด้านที่เขา
01:37:13 → 01:37:15 ต้องการจะโชว์ใช่มยเพราะฉะนั้นน่ะมันยิ่ง
01:37:15 → 01:37:17 ทำให้เรากลับมารู้สึกว่าแบบเอ้อตัวฉันไม่
01:37:17 → 01:37:19 เห็นดีอย่างเขาเลยเขาไปเที่ยวต่างประเทศ
01:37:19 → 01:37:22 ตลอดเลยเขาขับรถนั่นรถนี่อ่ะแต่จริงๆแล้ว
01:37:22 → 01:37:24 ความเป็นมนุษย์อ่ะมันก็มีด้านที่ดีด้าน
01:37:24 → 01:37:24 ที่ไม่ดีแต่
01:37:24 → 01:37:26 [เพลง]
01:37:26 → 01:37:29 ด้านที่ต้องการให้มันยิ่งทำให้เรากลับมา
01:37:29 → 01:37:32 ยิ่งแบบรู้สึกแย่งกับตัวเองอีกเออเพราะ
01:37:32 → 01:37:35 ฉะนั้นแบบสารเคมีก็ถูกล็อกคพิเศษก็ทำให้
01:37:35 → 01:37:37 เรากลับมาแบบไม่ได้ดูแลหัวใจเราอีกอะไร
01:37:37 → 01:37:39 อย่างเงี้ยค่ะตอนที่เราได้คุยกันค่ะคุณ
01:37:39 → 01:37:43 หมอพูดถึงว่าจริงๆแล้วเนี่ยคนเราอ่ะคน
01:37:43 → 01:37:45 เนี่ยถูกกำหนดให้เป็นอิสระ
01:37:45 → 01:37:46 >> อื
01:37:46 → 01:37:49 >> อ่าแต่ว่าด้วยหลายๆอย่างทำให้เราอ่ะ
01:37:49 → 01:37:52 >> ไปยึดไปบล็อกตัวเองอยากให้คุณหมอช่วย
01:37:52 → 01:37:53 อธิบายเรื่องนี้เลย
01:37:53 → 01:37:56 >> คำว่าอิสระคือสมมุติถ้าเราย้อนกลับไปที่
01:37:56 → 01:38:00 manifest อ่ะเราสามารถตั้งความฝันอะไรก็
01:38:00 → 01:38:02 ได้และถ้าเราลงมือทำสอดคล้องอ่ะสิ่งนั้น
01:38:02 → 01:38:05 จะเกิดเพียงแต่ว่าเราอาจจะรอไม่ได้เรา
01:38:05 → 01:38:07 อยากให้มันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้
01:38:07 → 01:38:07 >> อื
01:38:08 → 01:38:10 >> แต่จริงๆมันเกิดแต่เราอยากให้มันเร็วกว่า
01:38:10 → 01:38:13 นี้ค่ะความอดทนเราไม่ได้เพียงพอแต่เวลา
01:38:13 → 01:38:16 ที่เราอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดียหรือว่า
01:38:16 → 01:38:19 โลกที่เราอยู่ปกตินี่แหละมันแบบเออ้ยคน
01:38:19 → 01:38:22 นั้นก็ดีคนนี้ก็ดีอะไรอย่างเงี้ยค่ะคน
01:38:22 → 01:38:24 นั้นก็มีรถคนนี้ก็อันเนี้ยเนี่ยมันทำให้
01:38:24 → 01:38:27 ความอิสระหรือว่าตัวเราอ่ะมันน้อยตรงที่
01:38:27 → 01:38:29 บางทีเราไปตั้งความฝันหรือว่าสิ่งที่เรา
01:38:29 → 01:38:32 ต้องการตามสังคมอ่ะโดยที่เราไม่ได้กลับมา
01:38:32 → 01:38:34 ถามว่าอันนี้มันเป็นความฝันของฉันจริงๆ
01:38:34 → 01:38:37 ใช่มยอะไรอย่างเงี้ยค่ะเคยมีช่วงนึงที่
01:38:37 → 01:38:38 พี่เคยตั้งว่าแบบเอ้ยต้องไปเที่ยวต่าง
01:38:38 → 01:38:41 ประเทศทุกปีกับพ่อแม่เว้ยแล้วก็กลับไปถาม
01:38:41 → 01:38:44 พ่อว่าเออเนี่ยเราจะไปญี่ปุ่นด้วยกันนะ
01:38:44 → 01:38:45 อะไรอย่างเงี้ยเพราะว่าเรารู้สึกว่ามัน
01:38:45 → 01:38:48 เป็นความฝันแล้วพ่อพี่ก็บอกพี่ว่าแบบเอ้ย
01:38:48 → 01:38:50 จริงๆเขาไม่ได้อยากไปเขาไม่ได้อยากแบบ
01:38:50 → 01:38:52 นั่งเครื่องบินเขาไม่ได้อยากไปญี่ปุ่นที่
01:38:52 → 01:38:54 มันหนาวอะไรอย่างเงี้ยมันเลยทำให้เราเข้า
01:38:54 → 01:38:58 ใจว่าเออว่ะภาพของสังคมอ่ะที่อาจจะบอกว่า
01:38:58 → 01:39:01 การทำสิ่งนี้คือประสบความสำเร็จอ่ะแต่ถ้า
01:39:01 → 01:39:03 เราไม่เงียบฟังตัวเองอ่ะเราจะรู้สึกว่า
01:39:03 → 01:39:05 เราไปยึดติดกับสิ่งเนี้ยว่าคือความสำเร็จ
01:39:06 → 01:39:08 แต่มันอาจจะไม่ใช่ความสำเร็จสำหรับเราก็
01:39:08 → 01:39:10 ได้คนที่เรารักอาจจะไม่ได้ต้องการสิ่ง
01:39:10 → 01:39:11 นั้นก็ได้อื
01:39:11 → 01:39:14 >> แล้วการที่เราพอใจในชีวิตของเราอ่ะค่ะ
01:39:14 → 01:39:18 >> มันมีผลดีกับการพัฒนาตัวเองมั้คะเพราะว่า
01:39:18 → 01:39:20 บางครั้งคือแพนด้าจะเคยได้ยินมาแล้วว่า
01:39:20 → 01:39:23 จริงๆมันต้องกลับมาพอใจแล้วมันจะรู้สึก
01:39:23 → 01:39:25 รู้สึกคือหลายๆอย่างมันจะดีขึ้นอ่าแต่ถ้า
01:39:25 → 01:39:28 สมมุติเราพอใจจนเราแบบไม่พัฒนาเลย
01:39:28 → 01:39:30 >> อ๋ออันนี้เป็นคำถาม inside ที่คนผ่านการ
01:39:30 → 01:39:33 ทำงานกับตัวเองมาแล้วคือแบบนี้จริงๆแล้ว
01:39:34 → 01:39:36 การ manifest อ่ะค่ะเท้าต้องแน่นหมายความ
01:39:36 → 01:39:39 ว่าแบบนี้ลองจินตนาการว่าเรายืนอยู่อ่ะ
01:39:39 → 01:39:42 ค่ะแล้วเราแบบส่งไปว่าเราต้องการอะไรใช่
01:39:42 → 01:39:45 ป่ะแต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอม
01:39:45 → 01:39:48 รับหรือว่าพอใจในสิ่งที่เรามีแล้วเพราะ
01:39:48 → 01:39:51 ว่าเวลาที่เราพอใจเราจะสามารถขอบคุณใน
01:39:51 → 01:39:54 สิ่งที่เรามีได้พอเราขอบคุณในสิ่งที่เรา
01:39:54 → 01:39:56 มีได้เราจะเกิดการเชื่อมต่อหรือว่า
01:39:56 → 01:39:59 connect the dog และก้าวไปเรื่อยๆพอ
01:39:59 → 01:40:01 เราขอบคุณปุ๊บจะมีโอกาสเข้ามาตามการ
01:40:01 → 01:40:05 manifest แล้วเราก็จะแบบโอเคเติบโตไปตาม
01:40:05 → 01:40:07 จังหวะค่ะมันเหมือนตัวเราแน่นน่ะนั่นคือ
01:40:07 → 01:40:10 ความพอใจแต่ถ้าลิงก์กับสารเคมีในสมองจริง
01:40:10 → 01:40:13 ๆแล้วอ่ะการพอใจไปเชื่อมโยงกับสาร
01:40:13 → 01:40:16 ซิโลโตนินมันคนละหมวดกันซิโลตนินเนี่ย
01:40:16 → 01:40:19 เป็นสารที่เป็น Fundamental ก็คือเป็นฐาน
01:40:19 → 01:40:23 ใหญ่มากเป็นฮอร์โมนที่หลังโดยที่ไม่ต้อง
01:40:23 → 01:40:26 ทำอะไรโดปามีนเนี่ยนะต้องทำเป็นฮอร์โมน
01:40:26 → 01:40:29 แห่งการวิ่งต้องทนกับความลำบากและได้รับ
01:40:29 → 01:40:32 ส่วนซีโรโตนินน่ะเป็นฮอร์โมนของความพึงพอ
01:40:32 → 01:40:35 ใจถ้าวันนี้เราสามารถยืนอยู่แล้วเรา
01:40:35 → 01:40:39 สามารถขอบคุณชีวิตได้ขอบคุณโลกใบเนี้ยโดย
01:40:39 → 01:40:41 ที่เราไม่ต้องทำอะไรอ่ะค่ะมันเป็นฮอร์โมน
01:40:41 → 01:40:45 ของการรับรู้ว่ามีอันนั้นน่ะถึงจะทำให้
01:40:45 → 01:40:47 เราอ่ะเป็นต้นกำเนิดของการ manifest
01:40:47 → 01:40:50 เพราะรับรู้ว่ามีอ่ะมันเหมือนว่าเราได้
01:40:50 → 01:40:52 รับไปแล้วไงเพราะฉะนั้นนั้นมันไม่เหมือน
01:40:52 → 01:40:55 กันตรงที่ว่าเวลาที่เรารับรู้ได้ว่ามีอ่ะ
01:40:55 → 01:40:58 มันคือการที่เราไม่วิ่งไม่ไล่ล่าเราถึง
01:40:58 → 01:41:01 ดึงดูดหรือว่า manifest แต่เวลาที่เราแบบ
01:41:01 → 01:41:03 อยากไปอีกแล้วไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมี
01:41:03 → 01:41:06 เรากำลังวิ่งตลอดเวลาเราอยู่ในเลนส์ไล่
01:41:06 → 01:41:09 ล่าตลอดเวลามันจะไม่ใช่การดึงดุทีนี้ถ้า
01:41:09 → 01:41:12 เรากลับมาที่เรื่องของอชีฟโดูปามีนที่เรา
01:41:12 → 01:41:16 เสพติดจากการไถฟีดต่างๆเนี่ยค่ะเอิ่มแน่
01:41:16 → 01:41:19 นอนว่าณขณะนั้นที่เรากำลังอยู่ในวงจร
01:41:19 → 01:41:21 เนี้ยมันแดดิมันติดอ่ะ
01:41:21 → 01:41:24 คือมันค่อนข้างจะยากเหมือนกันนะที่จะถอน
01:41:24 → 01:41:28 ตัวเองออกมาอ่าเราจะมีวิธีการในการหยุดวง
01:41:28 → 01:41:31 จรนี้ได้ยังไงบ้างคะที่แบบคุณหมออยากแนะ
01:41:31 → 01:41:34 นำแล้วเราก็เอาไปทำได้จริงอถ้าจะหยุดวงจร
01:41:34 → 01:41:37 นี้คือมันจะกลับไปที่วิธีการสร้าง
01:41:37 → 01:41:41 พฤติกรรมใหม่เราอาจจะต้องใช้สิ่งแวดล้อม
01:41:41 → 01:41:44 ในการช่วยสร้างเช่นเราอาจจะแบบเอา
01:41:44 → 01:41:48 โทรศัพท์วางไว้นอกห้องก่อนที่จะนอนถ้าเรา
01:41:48 → 01:41:50 เป็นคนตื่นมาแล้วชอบหยิบโทรศัพท์อ่ะจัด
01:41:50 → 01:41:53 การสิ่งแวดล้อมง่ายกว่าจัดการใจเพราะว่า
01:41:53 → 01:41:56 จัดการสิ่งแวดล้อมอ่ะมันง่ายอ่ะใจมันใช้
01:41:56 → 01:41:58 Wel Power หรือว่ากำลังของจิตเยอะถ้า
01:41:58 → 01:42:00 เรารู้เป็นคนตื่นมาแล้วเราแบบชอบจับ
01:42:00 → 01:42:02 โทรศัพท์เอาเ้าไปไว้ที่อื่นหรือบอกกับตัว
01:42:02 → 01:42:06 เองว่ากินข้าวไม่จับโทรศัพท์ถ้าจะเข้าไป
01:42:06 → 01:42:08 กินข้าวเอาโทรศัพท์ไปไว้ที่อื่นเคลียร์
01:42:08 → 01:42:10 แบบนี้ก่อนค่ะแล้วเวลาที่เราจะเกิด
01:42:10 → 01:42:13 พฤติกรรมได้คือหลังจากที่ทำให้กลับมา
01:42:13 → 01:42:16 รีวอร์ดก็คือจะต้องให้รางวัลตัวเองในวัน
01:42:16 → 01:42:19 ที่ทำได้จะต้องกลับมาแบบเออเธอทำได้แล้ว
01:42:19 → 01:42:22 นะคือต้องกลับมาให้เหมือนชื่นชมด้วยอ่ะ
01:42:22 → 01:42:24 มันถึงจะเกิดวงจรของโดปามีนอีกอันนึงมัน
01:42:24 → 01:42:28 คือทำหลังโดปามีนแล้วได้รางวัลมันถึงจะ
01:42:28 → 01:42:31 เกิดการทำซ้ำเราแค่ต้องทำพฤติกรรมใหม่ใน
01:42:31 → 01:42:34 อีกวงจรนึงถ้าสมมุติว่าเราอ่ะตื่นมาแล้ว
01:42:34 → 01:42:36 เราไม่ได้จับโทรศัพท์กลับมาชมตัวเองด้วย
01:42:36 → 01:42:38 เพื่อให้เกิดรางวัลกับตัวเราเองแล้วเรา
01:42:38 → 01:42:41 อยากจะทำเส้นใหม่เนี้ยซ้ำอ่ะเพราะว่าอัน
01:42:41 → 01:42:43 นี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีมันเกิดจาก
01:42:43 → 01:42:45 โดปามีนหลูปนี้แหละแต่เราต้องไปสร้าง
01:42:45 → 01:42:49 พฤติกรรมใหม่ด้วยการทำให้รางวัลตัวเอง
01:42:49 → 01:42:52 แล้วกลับมาทำซ้ำๆมันจะอยากเสกซ้ำๆอ่ะค่ะ
01:42:52 → 01:42:52 เออ
01:42:52 → 01:42:55 >> อืก็เป็นเหมือนการสร้างเส้นทางใหม่ในสมอง
01:42:55 → 01:42:55 ของเรา
01:42:55 → 01:42:58 >> ใช่ๆวิธีการสร้างพฤติกรรมใหม่หรือว่า
01:42:58 → 01:43:00 เปลี่ยนเส้นทางอ่ะทำแบบนี้อาจจะเชื่อมโยง
01:43:00 → 01:43:03 กับพี่ยกตัวอย่างแบบลูกพี่คือลูกพี่อ่ะ 3
01:43:03 → 01:43:05 ขวบเพราะฉะนั้นเป็นช่วงที่เขาปรับ
01:43:05 → 01:43:09 พฤติกรรมเช่นถ้าเราอยากให้เขากินข้าวเอง
01:43:09 → 01:43:13 เขาไปกินข้าวเองเราชมแบบตบมือเล่นใหญ่เขา
01:43:13 → 01:43:16 จะทำอีกมันเหมือนเด็กที่แบบบ้ายออ่ะตัว
01:43:16 → 01:43:19 เราเองอ่ะก็บ้ายอเราชอบได้ยินคำชมเราชอบ
01:43:19 → 01:43:23 การที่คนมองเห็นความสำคัญเหมือนกันค่ะถ้า
01:43:23 → 01:43:25 ทำอะไรสำเร็จในการแบบปรับพฤติกรรมเล็กๆ
01:43:25 → 01:43:27 น้อยๆกลับมาชมตัวเองด้วย
01:43:27 → 01:43:27 >> อื
01:43:27 → 01:43:29 >> เออแล้วเราจะอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้นไปอีก
01:43:29 → 01:43:34 >> อการให้รางวัลตัวเองแบบนี้นะคะเช่นอ่าเรา
01:43:34 → 01:43:36 ไม่เล่นโทรศัพท์ตอนนี้เราตั้งใจจะโซเชียล
01:43:36 → 01:43:37 ดีท็อกซ์ห่างโทรศัพท์
01:43:37 → 01:43:38 >> อือๆ
01:43:38 → 01:43:41 >> อ่าแล้วก็อ่ะเดี๋ยวทำซักครึ่งวันแล้วก็
01:43:41 → 01:43:43 หลังกับครึ่งวันทำได้อ่ะทำได้แล้วเล่นให้
01:43:43 → 01:43:45 รางวัลด้วยการเล่นโทรศัพท์
01:43:45 → 01:43:48 >> อันนี้การให้รางวัลต้องไม่ใช่แบบสิ่งนั้น
01:43:48 → 01:43:51 แล้วก็สิ่งสำคัญก็คือว่าระหว่างแบบ
01:43:51 → 01:43:55 ดีท็อกซ์ยาวๆอ่ะกับฝึกเล็กๆอ่ะฝึกเล็กๆมี
01:43:55 → 01:43:56 ผลกว่า
01:43:56 → 01:43:56 >> อื
01:43:56 → 01:43:59 >> พฤติกรรมให้เอาแบบเหมือนเอาจิ๊กซอมาต่อที
01:43:59 → 01:44:01 ละนิดอ่ะค่ะมากกว่าการที่แบบฉันเลิกเล่น 3
01:44:01 → 01:44:04 วันมันเหมือนคนจะลดน้ำหนักแล้วกลับมาโยโย
01:44:04 → 01:44:07 อ่ะให้พยายามพฤติกรรมอยู่ในชีวิตปรับจาก
01:44:07 → 01:44:08 ชีวิต
01:44:08 → 01:44:10 >> ค่ะเหมือนความถี่อย่างี้ใช่มั้คะ
01:44:10 → 01:44:11 >> ใช่
01:44:11 → 01:44:14 >> ใช่เหมือนความถี่ในเมื่อเราติดจากความถี่
01:44:14 → 01:44:16 ที่มากขึ้นเราต้องสร้างเส้นทางใหม่จาก
01:44:16 → 01:44:18 ความถี่ทำบ่อย
01:44:18 → 01:44:21 สำคัญกว่าทำนานทีเดียวอ่ะ
01:44:21 → 01:44:23 >> อ๋อเหมือนกับการที่อย่างที่เราคุยกันตอน
01:44:23 → 01:44:25 แรกว่าจริงๆเราเปลี่ยนสมองได้คือเราสร้าง
01:44:25 → 01:44:28 เส้นทางใหม่ได้คือเหมือนการขุดร่องใหม่
01:44:28 → 01:44:28 เนี่ย
01:44:28 → 01:44:31 >> คือทำซ้ำๆยิ่งทำก็ยิ่งขุดยิ่งทำก็เกิด
01:44:31 → 01:44:32 ร่องใหม่
01:44:32 → 01:44:35 >> อ่าแต่ถ้านานๆทำทีมันก็เหมือนขุดวางขุด
01:44:35 → 01:44:37 วางแต่มันก็ยังไม่เกิดร่องใหม่
01:44:37 → 01:44:40 >> ใช่ใช่ค่ะอย่างที่คุณหมอบอกว่าจริงๆแล้ว
01:44:40 → 01:44:42 การที่เราจะเปลี่ยนอะไรสักอย่างเนี่ย
01:44:42 → 01:44:44 อย่างเมื่อกี้ความถี่ก็คือเป็นเป็นสิ่ง
01:44:44 → 01:44:46 นึงที่ช่วยให้เปลี่ยนสำเร็จแต่ว่าก่อนที่
01:44:46 → 01:44:48 เราจะเปลี่ยนมันต้องมีโฟกัสก่อน
01:44:49 → 01:44:52 >> อ่าแล้วทีเนี้ยค่ะเราจะทำยังไงได้บ้างให้
01:44:52 → 01:44:54 เราแบบมีโฟกัสมากขึ้นหรือว่าอะไรที่จะ
01:44:54 → 01:44:57 ช่วยเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีโฟกัสได้ดี
01:44:57 → 01:45:00 ขึ้นจริงๆโฟกัสอ่ะมันคือการที่เรารู้มัน
01:45:00 → 01:45:03 จะพุ่งไปโฟกัสไปที่ไหนคำว่าโฟกัสมันต้อง
01:45:03 → 01:45:05 มีจุดหมายปลายทาง
01:45:05 → 01:45:05 >> ค่ะ
01:45:05 → 01:45:07 >> เพราะฉะนั้นน่ะการที่ทำให้เรามีโฟกัสอ่ะ
01:45:07 → 01:45:10 มันการคือการที่เรากลับมาอยู่ตรงนี้มัน
01:45:10 → 01:45:15 คือการที่เราให้เสียงในตัวเรามันชัดขึ้น
01:45:15 → 01:45:17 ไม่ใช่หมายความว่าการเสพโซเชียลmedดียไม่
01:45:17 → 01:45:20 ดีแต่เราต้องมีเวลาพักเพื่อให้เรากลับมา
01:45:20 → 01:45:23 ถามตัวเองว่าอะไรเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ
01:45:23 → 01:45:26 ชีวิตฉันต้องการอะไรเป้าหมายของฉันคือ
01:45:26 → 01:45:29 อะไรเพราะนั่นน่ะถึงจะรู้ว่าเราจะโฟกัส
01:45:29 → 01:45:31 ที่ไหนถ้าเราแบบมีเป้าหมายที่จะอ่ะฉันจะ
01:45:32 → 01:45:34 มีอายุยืนยาวถึง 80 อันนี้คือจุดโฟกัส
01:45:34 → 01:45:37 แล้วนะคะเราถึงจะทำอะไรให้มันสอดคล้องได้
01:45:37 → 01:45:39 อ่ะแต่ถ้าเกิดว่าเสียงข้างนอกมันดังไปหมด
01:45:39 → 01:45:42 เลยอ่ะเราจะวิ่งทุกอย่างเลยจนเราไม่รู้
01:45:42 → 01:45:44 ว่าจริงๆแล้วความต้องการมันคืออะไรเพราะ
01:45:44 → 01:45:48 ฉะนั้นโฟกัสอ่ะมาหลังจากการที่เรากลับมา
01:45:48 → 01:45:51 ที่ตัวเองเราต้องกลับมาที่ตัวเองก่อนเรา
01:45:51 → 01:45:53 ถึงจะเข้าใจตัวเองแล้วเราถึงจะรู้ว่าเรา
01:45:53 → 01:45:57 จะโฟกัสอะไรเราต้องรู้ก่อนที่จะโฟกัสไม่
01:45:57 → 01:45:59 งั้นมันไม่เกิดจุดโฟกัสได้
01:45:59 → 01:46:02 >> อค่ะแล้วเราจะกลับมาที่ตัวเองมีวิธียังไง
01:46:02 → 01:46:04 บ้างคะที่จะกลับมาที่ตัวเอง
01:46:04 → 01:46:05 >> ให้เวลาตัวเอง
01:46:05 → 01:46:08 >> อืแต่บางคนคือให้เวลาตัวเองก็ให้นะคะแต่
01:46:08 → 01:46:10 คือเขาก็อาจจะแบบสมมุตินะวันนี้ตั้งใจลา
01:46:10 → 01:46:13 หยุด 1 วันอยากให้เวลาตัวเองอ่ะแต่ไม่รู้
01:46:13 → 01:46:17 ว่าไอ้ 1 วันเนี้ต้องทำอะไรหรอคืออะไรคือ
01:46:17 → 01:46:19 ที่จะจะทำให้แบบเนี่ยคือให้เวลาตัวเอง
01:46:19 → 01:46:20 แล้วอ่ะ
01:46:20 → 01:46:23 >> สำหรับพี่น้าอาจจะไม่ต้องแบบลา 1 วันแต่
01:46:23 → 01:46:27 ขอลองดูว่าภายใน 1 วันน่ะมีเวลาโดยที่ไม่
01:46:27 → 01:46:31 ต้องทำอะไรเลยสัก 5 นาทีหรือ 10 นาทีได้
01:46:31 → 01:46:34 ไหมอยากคิดว่าเป็นเรื่องแบบสั้นๆนะเรื่อง
01:46:34 → 01:46:36 เนี้ยแบบเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเพราะว่า
01:46:36 → 01:46:39 หลายคนติดเพราะว่าเรารู้สึกกับการติดใน
01:46:39 → 01:46:43 การที่จะทำลงมือทำให้ฉันรู้สึกดีการลงมือ
01:46:43 → 01:46:46 ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีค่าทำให้ฉันรู้สึก
01:46:46 → 01:46:49 ว่าฉันโปรtiveแต่เวลาที่เราอยู่นิ่งๆอ่ะ
01:46:49 → 01:46:51 เรารู้สึกว่าแบบบางคนจะรู้สึกว่าโอ้ยฉัน
01:46:51 → 01:46:54 แบบไร้ค่ามากเลยทั้งๆที่ถ้าเราไม่เงียบ
01:46:55 → 01:46:57 อ่ะเราไม่ได้ยินแล้วเสียงข้างนอกอ่ะมัน
01:46:57 → 01:46:59 ดังกว่าเสียงข้างในเราอยู่แล้วเพราะ
01:46:59 → 01:47:02 ฉะนั้นน่ะค่ะให้เวลาตัวเองอาจจะแค่ 5
01:47:02 → 01:47:05 นาทีต่อวันที่จะวางทุกอย่างแล้วลองอยู่
01:47:05 → 01:47:08 เงียบๆแล้วลองดูว่าในตอนที่มันไม่ได้ทำ
01:47:08 → 01:47:11 อะไรเลยอ่ะมันมีอะไรขึ้นมาแล้วเราจะค่อยๆ
01:47:11 → 01:47:13 กลับไปทำความรู้จักตัวเองอีกครั้งนึงอ่ะ
01:47:13 → 01:47:16 ถ้าไม่เงียบอ่ะไปต่อไม่ได้เหมือนมันมัน
01:47:16 → 01:47:19 ดังไปหมดอ่ะทำไปหมดอ่ะมันไม่มีช่องว่าง
01:47:19 → 01:47:19 เลยอ่ะค่ะ
01:47:20 → 01:47:22 >> อืแต่ว่าคือทุกคนก็จะเป็นอย่างงี้ใช่มั้
01:47:22 → 01:47:25 คะคือแค่เราเงียบเราปิดการรับรู้จากคน
01:47:26 → 01:47:26 อื่นบ้าง
01:47:26 → 01:47:27 >> ใช่
01:47:27 → 01:47:29 >> อ่าแล้วเสียงเรามันจะดังขึ้นมาเองเลย
01:47:29 → 01:47:31 >> ใช่เพราะว่าจริงๆเขาบอกเราอยู่แล้วเสื่อ
01:47:31 → 01:47:34 สารกับเราอยู่แล้วเในที่นี้คือร่างกาย
01:47:34 → 01:47:34 >> ค่ะ
01:47:34 → 01:47:36 >> เอออยู่แล้วแต่เราแบบไม่ได้ยินเหมือน
01:47:36 → 01:47:38 เรื่องป่วยอ่ะก่อนที่พี่จะเป็นภาวะซึม
01:47:38 → 01:47:41 เศร้าอ่ะมันไม่ได้อยู่ดีๆเป็นนะคือเราแบบ
01:47:41 → 01:47:45 ไม่มีความสุขกับการทำงานพี่ที่ปวดคอจนแบบ
01:47:45 → 01:47:48 ไม่สามารถหันซ้ายหันขวาได้เป็นหลักเดือน
01:47:48 → 01:47:50 ไม่สามารถนอนเองได้เพราะว่าปวดทางร่างกาย
01:47:50 → 01:47:54 แต่เราไม่ได้ยินไงเราไม่ได้ยินเราเพิกเฉย
01:47:54 → 01:47:56 สิ่งที่มันเป็นเรื่องเล็กๆมันก็เลยเป็น
01:47:56 → 01:47:58 เรื่องที่ยิ่งใหญ่เขาแค่ตะโกนบอกเราว่า
01:47:58 → 01:48:00 เขาไม่ไหวแล้วเพราะฉะนั้นน่ะทุกอย่างที่
01:48:00 → 01:48:02 เกิดขึ้นน่ะมันเกิดจากการที่เราไม่หยุด
01:48:02 → 01:48:05 ฟังเราแบบเสียงดังไปหมดอ่ะเพราะฉะนั้นถ้า
01:48:05 → 01:48:08 เราหยุดฟังอ่ะเราจะได้ยินเขาแน่นอนค่ะ
01:48:08 → 01:48:10 อยู่นิ่งๆหรือว่าอยู่เงียบๆกับตัวเองอ่ะ
01:48:10 → 01:48:13 อันนี้สำคัญมากพี่มีแบบเคสนึงเนาะเขาแบบ
01:48:13 → 01:48:15 ได้เข้ามาเรียนหรือว่าได้คุยกันอะไรอย่า
01:48:15 → 01:48:20 เงี้ยค่ะเขาเป็นคุณหมอที่ยุ่งมากแล้วก็มี
01:48:20 → 01:48:23 ภาวะ SLE SL คือภาวะภูมิคุ้มกันเขาทำลาย
01:48:23 → 01:48:25 ตัวเองค่ะเป็นเลือดเพราะฉะนั้นเนี่ยเขาก็
01:48:25 → 01:48:28 เลยไม่สามารถมีลูกได้คุณหมอเนี่ยก็บอกว่า
01:48:28 → 01:48:30 เอ้ยมีลูกยากนะไม่ได้หมายความว่าแบบไม่มี
01:48:30 → 01:48:33 ได้เลยมียากทีเนี้ยพอมันยุ่งไปหมดอ่ะเขา
01:48:33 → 01:48:37 ไม่ได้มีเวลากลับมาให้ตัวเองเชื่อมว่าแค่
01:48:37 → 01:48:39 แบบมีเวลาให้ตัวเองนะมันเหมือนได้กลับมา
01:48:39 → 01:48:42 เชื่อมโยงกับตัวเองอ่ะตอนหลังครั้งล่าสุด
01:48:42 → 01:48:45 อ่ะคือเค้าแบบไปเช็คอ่ะเลือด SL อ่ะกลับ
01:48:45 → 01:48:47 มาปกติอีกสักพักนึงอ่ะเขาสามารถกลับมามี
01:48:47 → 01:48:51 ลูกได้แล้วตอนนี้เขาท้องแบบน่าจะ 5 เดือน
01:48:51 → 01:48:53 แล้วอ่ะเออแล้วเขาก็กลับมาบอกพี่ว่าเออ
01:48:53 → 01:48:56 หมอฟ้ารู้มว่าไอ้การที่แบบกลับมาอยู่กับ
01:48:56 → 01:48:59 ตัวเองบ้างอ่ะมันทำให้เค้าอ่ะได้กลับมา
01:48:59 → 01:49:02 เชื่อมโยงกับตัวเองแล้วแบบพลังงานในตัว
01:49:02 → 01:49:04 เราอ่ะมันจะค่อยๆดีขึ้นน่ะค่ะเออแล้วเขา
01:49:04 → 01:49:07 ก็แบบสุดท้ายก็ได้มีลูกแล้วพยายามมาแบบ
01:49:07 → 01:49:08 หลายปีมาก
01:49:08 → 01:49:09 >> 4-5 ปี
01:49:09 → 01:49:11 >> อย่างอย่างที่คุณหมอบอกว่าจริงๆแล้วการ
01:49:11 → 01:49:13 ให้เวลากับตัวเองอะไรอย่างเงี้ยมันไม่ได้
01:49:13 → 01:49:17 จำเป็นว่าเราจะต้องลา 1 วันหรือเป็น
01:49:17 → 01:49:20 กิจจลักษณะหรือแบบเอ้ยเดี๋ยวเดี๋ทริปหน้า
01:49:20 → 01:49:22 นะเดี๋ยวจะให้เวลากับตัวเองอันนี้ไม่ใช่
01:49:22 → 01:49:24 แต่เราควรจะทำให้มันเป็นกิจวัตรคือทำให้
01:49:24 → 01:49:26 มันอยู่ในชีวิตประจำวัน
01:49:26 → 01:49:26 >> ใช่
01:49:26 → 01:49:27 >> ออ
01:49:27 → 01:49:30 >> ทุกวันสำคัญกว่าแบบลานานๆ
01:49:30 → 01:49:33 >> เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันจะกลายเป็น
01:49:33 → 01:49:36 กิจวัตรสิ่งที่เป็นกิจวัตรจะกลายเป็น
01:49:36 → 01:49:39 นิสัยและสุดท้ายมันจะกลายเป็นตัวตนของเรา
01:49:39 → 01:49:43 เออเพราะฉะนั้นน่ะทำทุกวันสำคัญกว่าหยุด 3
01:49:43 → 01:49:46 วัน 5 วันหรือว่าหยุดเดือนนึงอะไรอย่าง
01:49:46 → 01:49:46 เงี้ยค่ะเออ
01:49:46 → 01:49:50 >> อค่ะแล้วการที่เราให้เวลาตัวเองเป็นประจำ
01:49:50 → 01:49:54 ทุกวันอย่างเงี้ยค่ะมันขุดร่องใหม่อะไรใน
01:49:54 → 01:49:56 สมองของเราหรือเปล่าคะ
01:49:56 → 01:49:59 >> เวลาที่เราจะเปลี่ยนสมองนะ 1 คือเราต้อง
01:49:59 → 01:50:01 มีโฟกัสว่าเราจะไปที่ไหนแต่การที่จะ
01:50:01 → 01:50:04 เปลี่ยนได้อ่ะคือต้องผ่อนคลายเราไม่
01:50:04 → 01:50:07 สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตในขณะที่เรารีบไป
01:50:07 → 01:50:11 หมดได้ลองสังเกตในเวลาที่เช้าสายไปเที่ยน
01:50:11 → 01:50:13 เราแบบสกสเกดเต็มไปหมดอ่ะเราจะคิดอะไรออก
01:50:13 → 01:50:17 มยไม่เพราะเราจะทำทุกอย่างตาม schedule
01:50:17 → 01:50:20 คือทำแล้วไหลเพราะฉะนั้นในการที่เราจะ
01:50:20 → 01:50:22 เปลี่ยนอะไรใหม่เราต้องผ่อนคลายการที่เรา
01:50:22 → 01:50:25 มีเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายอ่ะมันคือช่วง
01:50:25 → 01:50:28 เวลาที่ทำให้เราอ่ะเซ็ตเส้นทางใหม่เวลาจะ
01:50:28 → 01:50:31 เปลี่ยนสมองเวลาจะโปรแกรมอะไรทำอะไรที่
01:50:31 → 01:50:33 เกี่ยวกับจิตอ่ะค่ะต้องผ่อนคลายเออสมาธิ
01:50:33 → 01:50:36 เลยกลายเป็นคีย์เวิร์ดนึงเพราะว่าสมาธิทำ
01:50:36 → 01:50:39 ให้คลื่นสมองเราอ่ะอยู่ในคลื่นผ่อนคลาย
01:50:39 → 01:50:41 เราเลยสามารถ manifest ก็คือการที่เรามี
01:50:41 → 01:50:44 ภาพใช่มั้มีภาพแล้วใส่เข้าไปเลยทำตอนทำ
01:50:44 → 01:50:46 สมาธิเพราะว่ามันผ่อนคลายค่ะในภาวะปกติ
01:50:46 → 01:50:48 เราแบบโอ้โหเครียดอ่ะความเครียดในคลื่น
01:50:48 → 01:50:51 สมองเขาจะเป็นเบต้าหรือว่าคลื่นเร็วเพราะ
01:50:51 → 01:50:54 ฉะนั้นน่ะมันไม่ผ่อนคลายเขาจะเจะรับไม่
01:50:54 → 01:50:54 ได้
01:50:55 → 01:50:55 >> เขาจะเอาออก
01:50:55 → 01:50:58 >> ถ้าสมมุติเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็
01:50:58 → 01:51:01 เช่นไม่ต้องรอเวลาพักไม่ต้องรอตอนเย็น
01:51:01 → 01:51:04 หรืออะไรเรารู้ตัวตอนไหนเราก็พักสักนิด
01:51:04 → 01:51:08 นึงออฮะค่ะแล้วมีวิธีที่จะช่วยรีเซตได้ใน
01:51:08 → 01:51:09 ขณะนั้นเลยมั้คะ
01:51:10 → 01:51:12 >> สำหรับพี่ก็ยังกลับไปที่ลมหายใจอยู่เพราะ
01:51:12 → 01:51:15 ว่าลมหายใจเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องมีกระบวน
01:51:15 → 01:51:17 การเยอะถ้าเราจะเปลี่ยนอะไรอ่ะมันต้องไม่
01:51:17 → 01:51:20 มีกระบวนการเยอะขอแค่โอเครู้ตัวปุ๊บอ่ะ
01:51:20 → 01:51:23 หายใจไปที่ท้องนะหายใจช้าลงก็ได้ถ้าตอน
01:51:23 → 01:51:26 นี้ยังท้องไม่ได้ฉันยังหายใจที่อกก็ไม่
01:51:26 → 01:51:29 เป็นไรค่ะขอช้าลงหน่อยได้มยแค่นั้นเองถ้า
01:51:29 → 01:51:32 หายใจช้าไม่ได้รู้ตัวก่อนได้มั้ทำอะไรก็
01:51:32 → 01:51:35 ได้ค่ะให้เริ่มน้อยที่สุดแต่ทำไปเลย
01:51:35 → 01:51:36 >> อื
01:51:36 → 01:51:38 >> อืทีละเล็กๆแต่ว่า
01:51:38 → 01:51:41 >> ทำเลยทำเลย
01:51:41 → 01:51:43 ไม่งั้นจะเปลี่ยนไม่ได้แล้วก็แบบการ
01:51:43 → 01:51:46 เปลี่ยนมันต้องแบบทำทันทีอ่ะขอแค่รู้ตัว
01:51:46 → 01:51:48 ค่ะมันก็เป็นจุดที่แบบหัวใจเราก็จะแบบ
01:51:48 → 01:51:51 แข็งแรงขึ้นและเริ่มเปลี่ยนได้จากที่เรา
01:51:51 → 01:51:53 คุยกันมาทั้งหมดของวันนี้เนาะเป็นเรื่อง
01:51:53 → 01:51:55 เกี่ยวกับการที่เราอ่ะจะเปลี่ยนชีวิตของ
01:51:55 → 01:51:58 เราก็คือต้องเปลี่ยนสมองอ่าซึ่งจะเปลี่ยน
01:51:58 → 01:52:01 สมองได้ก็ต้องเปลี่ยนนิสัยแล้วก็ไอ้นิสัย
01:52:01 → 01:52:03 เจะเปลี่ยนได้ก็ต้องมีโฟกัสเมื่อทำ 1 อ่ะ
01:52:03 → 01:52:06 เดี๋ยวมันจะกระชอบชิ่งไปเองอ่าแต่ต้อง
01:52:06 → 01:52:08 เริ่มให้ถูกก่อนแล้วก็สิ่งที่สำคัญมากๆ
01:52:08 → 01:52:11 คือเรื่องของโฟกัสที่ว่าอะไรบ้างทุกวัน
01:52:11 → 01:52:13 นี้ที่แบบทำลายโฟกัสเราอยู่เราจำเป็นต้อง
01:52:13 → 01:52:16 รู้เพื่อที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงแล้วก็ลด
01:52:16 → 01:52:18 แล้วก็รวมถึงโดามีนที่เราเสพติดชีป
01:52:18 → 01:52:22 โดปามีนด้วยว่าเฮ้ยจริงๆแล้วถ้าเรารู้ตัว
01:52:22 → 01:52:25 แล้วเราก็ลองเปลี่ยนอีกแผนนึงในการที่เรา
01:52:25 → 01:52:28 จะลองเปลี่ยนนิสัยทำถี่ๆเนี่ยแล้วก็มีการ
01:52:28 → 01:52:30 ชื่นชมตัวเองให้รางวัลตัวเองว่าเฮ้ยเรา
01:52:30 → 01:52:33 กำลังทำสิ่งนี้โดยใช้ความพยายามมากขึ้นก็
01:52:33 → 01:52:36 จะทำให้เรามีเ่อโดปามีนที่เป็นโดปามีน
01:52:36 → 01:52:38 ราคาแพงมากขึ้นเออซึ่งมันก็จะดีต่อร่าง
01:52:39 → 01:52:41 กายของเราซึ่งทั้งหมดที่คุยมาแพนด้าว่าดี
01:52:41 → 01:52:44 มากๆแล้วก็น่าจะช่วยให้หลายๆท่านเนี่ยมี
01:52:44 → 01:52:46 แนวทางในการที่จะไปเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว
01:52:47 → 01:52:49 ก็พอเปลี่ยนนิดนึงก็อย่างที่บอกเนาะ
01:52:49 → 01:52:51 เดี๋ยวชีวิตเราก็จะค่อยๆดีขึ้นเองแล้ววัน
01:52:51 → 01:52:54 นี้ค่ะเราคุยกันเรื่องสมองเนาะอ้าแพนด้า
01:52:54 → 01:52:59 ก็เลยมีสิ่งนึงค่ะช่วยปกป้องสมองของเรา
01:52:59 → 01:53:02 หมวกเกลาค่ะอันนี้มามอบให้คุณหมอนะคะจริง
01:53:02 → 01:53:05 ๆข้างในเป็นสีดำอ่าสามารถใส่ได้ 2 ด้าน
01:53:05 → 01:53:08 เลยพิกด้านไหนก็ใส่ได้เหมือนกันค่ะแล้วก็
01:53:08 → 01:53:10 ถ้าท่านไหนสนใจหมวกแบบนี้นะคะรับรองว่าหู
01:53:10 → 01:53:13 ใส่แล้วชิกมากใส่แล้วดีแล้วก็อาจจะได้
01:53:13 → 01:53:16 เตือนให้เราแบบอ่าปกป้องสมองของเราด้วยก็
01:53:16 → 01:53:19 ฝากอุดหนุนได้นะคะที่ใต้ description นี้
01:53:19 → 01:53:21 นะคะแล้วก็ยังมีเสื้อเกลานะคะแล้วก็
01:53:21 → 01:53:23 กระเป๋าผ้าเกาด้วยค่ะยังไงก็เป็นกำลังใจ
01:53:23 → 01:53:25 ให้พวกเราด้วยนะคะอันนี้ให้คุณหมอเลยค่ะ
01:53:25 → 01:53:26 ขอบค
01:53:26 → 01:53:28 >> แล้วก็ดูคลิปนี้แล้วนะคะได้ประโยชน์ยังไง
01:53:28 → 01:53:30 บ้างหรือว่าอยากแชร์อะไรประสบการณ์ส่วน
01:53:30 → 01:53:33 ตัวนี้เราก็ยินดีรับฟังนะคะคอมเมนต์บอก
01:53:33 → 01:53:35 กันเอาไว้ได้นะคะแล้วก็อย่าลืมกดไลค์กด
01:53:35 → 01:53:37 แชร์แล้วก็กด Subscribe เป็นกำลังใจให้
01:53:37 → 01:53:39 พวกเราด้วยนะคะรวมถึงตามไปกดไลก์กดแชร์
01:53:39 → 01:53:41 ช่องคุณหมอช่องไหนคะ
01:53:41 → 01:53:42 >> หมอฟ้าสมาธิศาสตร์ค่ะ
01:53:43 → 01:53:45 >> อ่าไปติดตามกันได้คุณหมอจะมีไลฟ์ประจำวัน
01:53:45 → 01:53:46 ไหนคะ
01:53:46 → 01:53:47 >> ทุกวันอังคารค่ะ
01:53:47 → 01:53:50 >> อ่าทุกวันอังคารก็ไปติดตามไลฟ์ช่องคุณหมอ
01:53:50 → 01:53:52 ได้ค่ะสำหรับวันนี้ก็ต้องขอขอบคุณมากๆเลย
01:53:52 → 01:53:53 นะคะ
01:53:53 → 01:53:57 >> ขอบคุณค่ะ
01:53:57 → 01:54:16 [เพลง]