00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:08 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:20 [เสียงดนตรี]
00:00:20 → 00:00:23 เครียด เศร้า มีความทุกข์ หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะคุยกับใคร
00:00:23 → 00:00:26 อยากให้ทุกคนมาฟังมหิดลแชนแนลพอดแคสต์
00:00:26 → 00:00:29 ที่จะมาช่วยคุณในการจัดการ ปัญหาสุขภาพทางใจ
00:00:29 → 00:00:33 ในรายการ Re-Mind รู้ทันปัญหาสุขภาพจิต สำรวจอารมณ์ความคิด
00:00:34 → 00:00:36 เข้าใจพฤติกรรมของตนเองและคนใกล้ตัว
00:00:36 → 00:00:39 กับผม หมอหลิว นายแพทย์สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข
00:00:40 → 00:00:45 จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:45 → 00:00:48 วันนี้เราอยู่กันภายใต้สถานการณ์ โรคติดเชื้อโควิดนะครับ
00:00:48 → 00:00:51 ทำให้อุปกรณ์เราเยอะนิดนึงนะครับ
00:00:51 → 00:00:56 อาจจะมีบางช่วงถ้าเสียงกระตุก เสียงอะไร ก็ย้อนกลับมาฟังได้นะครับ
00:00:56 → 00:01:00 ในวันนี้อยากจะมาชวนคุณพ่อคุณแม่นะครับ
00:01:00 → 00:01:06 ได้มารู้เรื่องเกี่ยวกับ วิธีการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
00:01:06 → 00:01:08 อา...เป็นยังไงกันบ้างครับ
00:01:08 → 00:01:14 พอฟังคำนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง สำหรับคุณพ่อคุณแม่
00:01:15 → 00:01:19 ยิ่งโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกเป็นวัยรุ่นนะครับ
00:01:19 → 00:01:23 น่าจะอยากจะทำวิธีนี้กันมาก
00:01:23 → 00:01:26 แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกเล็กนี่
00:01:26 → 00:01:29 บางทีก็อาจจะรู้สึกว่า คิดไม่ค่อยออกใช่ไหมครับว่า
00:01:29 → 00:01:32 จะเลี้ยงลูกแบบเพื่อนอย่างไรใช่ไหมครับ
00:01:32 → 00:01:36 แต่วันนี้เราก็จะคุยกันในหลักการโดยรวมว่า
00:01:36 → 00:01:39 เราจะเลี้ยงลูกแบบเพื่อนอย่างไร
00:01:39 → 00:01:42 แต่พอจะทำหัวข้อนี้ขึ้นมา
00:01:42 → 00:01:46 ก็ได้ไปคุยกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่จริง ๆ หลาย ๆ คนนะครับ
00:01:46 → 00:01:52 หลาย ๆ คนก็จะบอกว่า เอ๊ะ หมอ เลี้ยงลูกแบบเพื่อนแล้ว เด็กจะได้หรือ
00:01:52 → 00:01:54 เด็กจะไม่เคารพหรือเปล่า
00:01:55 → 00:01:58 เด็กจะเหมือนกับแบบ...ก้าวร้าวหรืออะไรไหม
00:01:58 → 00:02:00 ก็เลยเกิดคำถามนี้ขึ้นมาว่า
00:02:01 → 00:02:03 เอ๊ะ แล้วถ้าเด็กก้าวร้าวด้วยล่ะ
00:02:03 → 00:02:05 สมมุติเกิดเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
00:02:05 → 00:02:08 หรือเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่แบบเพื่อน แบบลูกนี่นะ
00:02:08 → 00:02:09 แล้วถ้าลูกก้าวร้าวเป็นไง
00:02:09 → 00:02:13 วันนี้เราก็เลยจะมาชวนคุยกัน 2 เรื่องนะครับ
00:02:13 → 00:02:15 คือในเรื่องของการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
00:02:15 → 00:02:21 กับวิธีการรับมือเวลาที่ลูกมี พฤติกรรมก้าวร้าวนะครับคุณผู้ฟังครับ
00:02:21 → 00:02:24 ก็ต้องมาเริ่มที่คำนิยามก่อนนะครับว่า
00:02:24 → 00:02:28 แล้วการเลี้ยงลูกแบบเพื่อนคืออะไรนะครับ
00:02:28 → 00:02:30 จริง ๆ การเลี้ยงลูกแบบเพื่อนนี่
00:02:31 → 00:02:36 มันหมายถึงว่า วิธีการเลี้ยงลูกที่เลี้ยงแล้ว
00:02:36 → 00:02:41 คนที่เป็นลูกนี่ เขารู้สึกว่าเขาอยู่ด้วยแล้วปลอดภัย
00:02:41 → 00:02:45 อา...กว้างมากเลยนะ คำว่าปลอดภัยนะครับ
00:02:45 → 00:02:50 เขาอยู่ด้วยแล้วปลอดภัย ทำไมผมถึงพูดคำนี้ทราบไหมครับคุณผู้ฟัง
00:02:50 → 00:02:55 เป็นเพราะว่าความปลอดภัยนี่ เป็นพื้นฐานแรกสุดเลยครับ
00:02:56 → 00:03:05 ที่จะทำให้ลูกอยู่แล้ว เขาสามารถที่จะสงบใจได้
00:03:06 → 00:03:08 เขาจะไว้วางใจได้
00:03:08 → 00:03:12 เขาจะอบอุ่นใจ เขาจะมั่นใจ
00:03:12 → 00:03:16 แล้วถึงจะมีดี ๆ อะไรต่อมาในอนาคตอีกมากมาย
00:03:16 → 00:03:19 แต่มันต้องเริ่มด้วยพื้นฐานคำว่าปลอดภัย
00:03:19 → 00:03:22 ดังนั้น จริง ๆ แล้ว คำว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อนนี่นะครับ
00:03:23 → 00:03:26 จริง ๆ มันก็เลยเป็นคำ ที่ให้นิยามไว้ค่อนข้างกว้าง
00:03:26 → 00:03:28 ว่าทำให้เด็กที่ถูกเลี้ยงแบบนี้
00:03:28 → 00:03:31 เขารู้สึกว่าเขาอยู่แล้ว เขารู้สึกปลอดภัยนะครับ
00:03:31 → 00:03:32 ชวนคิดต่อครับว่า
00:03:32 → 00:03:37 จริง ๆ แล้วความปลอดภัยทำไมถึงสำคัญ
00:03:37 → 00:03:41 ขอชวนคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ฟังทุกท่าน ลองคิดตามกันนะครับว่า
00:03:42 → 00:03:44 ทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมา
00:03:44 → 00:03:48 ถ้าเรารู้ว่าชีวิตเราจะเผชิญอะไร
00:03:48 → 00:03:52 เราคาดเดาได้ว่าเดี๋ยวเราจะมีข้าวกินไหม
00:03:52 → 00:03:53 เราคาดเดาได้ว่า
00:03:54 → 00:03:56 เราจะเดินทางได้ รถไม่เสีย
00:03:56 → 00:04:01 เราคาดเดาได้ว่า เราไปถึง จะเจอหัวหน้าที่อารมณ์ดี
00:04:02 → 00:04:08 เราคาดเดาได้ว่า กลับมาตอนเย็น เราจะเจอสามีหรือภรรยาหรือลูกเราที่ดี
00:04:09 → 00:04:10 รู้สึกอย่างไรครับ
00:04:10 → 00:04:13 เชื่อว่าหลาย ๆ อย่าง ถ้าเอามาขมวดรวมกันแล้ว
00:04:13 → 00:04:16 มันก็จะเป็นความรู้สึกว่าเราอุ่นใจ เรามั่นใจ
00:04:16 → 00:04:20 แต่จริง ๆ แล้ว มันคือความรู้สึก ปลอดภัยและมั่นคงภายในใจ
00:04:21 → 00:04:25 เห็นไหมครับ คำว่า ปลอดภัย มั่นคงทางจิตใจ
00:04:25 → 00:04:27 มันยังส่งผลต่อคนเป็นพ่อเป็นแม่
00:04:28 → 00:04:31 ดังนั้น ลูก ๆ เรานะครับ ไม่ว่าจะอยู่วัยไหน
00:04:31 → 00:04:37 เขายิ่งต้องการสิ่งนี้ เพราะเป็นพื้นฐาน ของการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุก ๆ คนนะครับ
00:04:37 → 00:04:39 ดังนั้นวิธีการเลี้ยงลูกแบบเพื่อนนี่
00:04:39 → 00:04:42 จึงจะทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง
00:04:42 → 00:04:44 เกิดความรู้สึกปลอดภัยนะครับ
00:04:44 → 00:04:46 ความสำคัญมันก็เลยเกิดว่า
00:04:46 → 00:04:51 ถ้าเด็กเขารู้สึกว่าเขามั่นคงภายในใจ เขารู้สึกว่าเขาปลอดภัยภายในใจ
00:04:51 → 00:04:54 มันจะทำให้เขาเชื่อมั่นได้ว่า
00:04:54 → 00:04:56 โลกนี้ไว้วางใจได้
00:04:58 → 00:05:02 จะเชื่อมั่นได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งหลาย ๆ ทีก็คือพ่อแม่เขานี่
00:05:02 → 00:05:06 เป็นคนที่เขารู้สึกไว้วางใจได้
00:05:06 → 00:05:09 อยู่ด้วยแล้วเขามีความสุข
00:05:09 → 00:05:12 อยู่ด้วยแล้วเขารู้สึกว่าอุ่นใจ สบายใจ
00:05:13 → 00:05:17 เวลาที่เด็กอยู่ตรงหน้าคุณพ่อคุณแม่นะครับ
00:05:18 → 00:05:22 ถ้าเป็นเวลาที่เกิดเรื่องราวดี ๆ เช่น เขาเล่นสนุก
00:05:22 → 00:05:26 หรือเขาไปโรงเรียนมา แล้วเขาได้รับคำชมจากครู
00:05:26 → 00:05:31 คนแรก ๆ ที่เด็กเขาอยากจะมาบอก อยากจะมาอวด อยากจะมาโชว์
00:05:31 → 00:05:33 ก็คือพ่อกับแม่ครับ
00:05:33 → 00:05:35 คือคนที่เลี้ยงดูเขาเป็นหลัก
00:05:35 → 00:05:38 คนที่เขารู้สึกว่าเขาอยู่ด้วย แล้วเขาสบายใจ ไว้วางใจ
00:05:39 → 00:05:42 อันนี้คือเวลาที่คนเราดี ๆ นะครับ
00:05:43 → 00:05:45 แต่ในเวลาที่ไม่ดีล่ะ
00:05:45 → 00:05:50 เช่น ไปเรียนหนังสือ แล้วสอบได้คะแนนไม่ดี
00:05:50 → 00:05:54 ไปข้างนอกบ้าน แล้วโดนเพื่อนแกล้ง
00:05:55 → 00:05:57 แย่งขนม แย่งของเล่น
00:05:57 → 00:06:01 หรือเดินไปที่ไหน แล้วเขารู้สึกว่าเขาไม่สบายใจ
00:06:02 → 00:06:04 อันนี้คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่ไม่ดี
00:06:04 → 00:06:08 เขาเองก็ต้องการพ่อแม่อีกเช่นกันครับ
00:06:09 → 00:06:13 เขาเองเขาก็ต้องการคนที่จะอยู่ตรงหน้าเขา
00:06:13 → 00:06:19 แล้วคอยให้กำลังใจ คอยปลอบใจ คอยช่วยแก้ไขปัญหา
00:06:20 → 00:06:22 ซึ่งพ่อแม่นี่แหละ
00:06:23 → 00:06:26 ที่เลี้ยงลูกแบบเพื่อนหรือเข้าใจเขานี่นะครับ
00:06:26 → 00:06:28 แล้วก็เลี้ยงแบบให้เขารู้สึกปลอดภัย
00:06:28 → 00:06:30 ถึงจะมอบสิ่งเหล่านั้นให้เขาได้
00:06:30 → 00:06:32 ในส่วนถัดไปที่อยากพูดถึงนะครับ
00:06:32 → 00:06:36 จริง ๆ วันนี้ สำหรับ EP นี้ของรายการ Re-Mind
00:06:36 → 00:06:40 จริง ๆ เรียกง่าย ๆ เราเรียกว่า เราสอนพ่อแม่เลี้ยงลูกแล้วกันนะครับ
00:06:40 → 00:06:41 เราพูดในภาพรวมซะเยอะ
00:06:41 → 00:06:45 เราก็เลยจะพูดถึง หลักการพื้นฐานในการเลี้ยงลูกนะครับ
00:06:45 → 00:06:49 สำหรับหลักการพื้นฐานในการเลี้ยงลูกนะครับ หรือว่าเลี้ยงเด็กนะครับ
00:06:49 → 00:06:53 มีคนสรุปไว้ง่าย ๆ เราเรียกว่า หลัก 3 R นะครับ
00:06:54 → 00:06:56 3 R R ภาษาอังกฤษนะครับ
00:06:56 → 00:06:59 R ตัวแรกนะครับ คือคำว่า Relationship
00:06:59 → 00:07:04 หรือภาษาไทยเราแปลว่า สัมพันธภาพ หรือว่าความสัมพันธ์ที่ดี ๆ
00:07:05 → 00:07:07 R ตัวที่ 2 คือคำว่า Rules
00:07:07 → 00:07:10 หรือว่ากฎกติกานะครับ
00:07:11 → 00:07:15 R ตัวที่ 3 คือคำว่า Resilient หรือ Resilient Child
00:07:15 → 00:07:20 ก็คือเด็กเวลาเขาผิดพลาด เขาทำอะไรไม่ดี แล้วเขาสามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
00:07:20 → 00:07:22 เขามีความยืดหยุ่นในตัวเอง ยืดหยุ่นทางจิตใจ
00:07:23 → 00:07:27 เมื่อได้ R ที่ 1 คือ Relationship มาบวกกับ R ที่ 2 คือ Rules
00:07:27 → 00:07:30 บวกกัน แล้วจะได้ออกมาเป็น Resilient Child
00:07:30 → 00:07:35 หรือเด็กที่ยืดหยุ่น เด็กที่มีความสามารถในการฟื้นฟูจิตใจตัวเอง
00:07:36 → 00:07:38 อันนี้คือหลักการพื้นฐานในการเลี้ยงเด็ก
00:07:38 → 00:07:42 หมอจะไล่ไปทีละอย่าง ให้คุณผู้ฟังคุณผู้ชมได้ทราบกันนะครับ
00:07:42 → 00:07:48 สำหรับ 2 R แรกนี่ คือทั้ง Relationship กับ Rules นี่
00:07:48 → 00:07:50 หมายความว่ามันต้องสมดุลกัน
00:07:50 → 00:07:52 เราเปรียบเทียบเป็นตาชั่งนะครับ
00:07:52 → 00:07:55 ว่าถ้ามีทั้ง 2 ขา คือ Relationship กับมี Rules
00:07:56 → 00:08:00 ถ้าสมดุล เราจะได้เด็กที่เราพึงประสงค์ เด็กที่เราอยากได้
00:08:00 → 00:08:04 แต่ถ้า Relationship มากไป
00:08:05 → 00:08:06 มันก็เหมือนตาชั่งที่เอียงนะครับ
00:08:07 → 00:08:08 Relationship ที่มากไป
00:08:08 → 00:08:11 Relationship ที่ดีหมายความว่าอะไร อะไรที่มากไปหมายความว่า
00:08:12 → 00:08:16 ในขาดี ๆ ยอมตาม เข้าใจ เอาใจ
00:08:17 → 00:08:18 จนบางทีมันเยอะเกินไป
00:08:18 → 00:08:19 ถ้ามันมากเกินไปนี่
00:08:20 → 00:08:24 เราจะได้เด็กที่เราเรียกว่าเด็กเอาแต่ใจ หรือว่าเด็กถูกสปอยล์นะครับ
00:08:24 → 00:08:28 แต่ถ้าบ้านไหน ถ้าสมมุติว่า Relationship ไม่ได้มากไป
00:08:28 → 00:08:29 มันก็เท่า ๆ นี้แหละ
00:08:29 → 00:08:34 แต่สิ่งที่มันมากไปคือตัวของ Rules หรือตัวของกติกา
00:08:34 → 00:08:37 ถ้ากติกามากไป เด็กจะเป็นยังไงครับ
00:08:37 → 00:08:39 เด็กจะเป็นเด็กที่เก็บกด
00:08:40 → 00:08:42 เด็กจะเป็นเด็กที่ถูกบังคับ
00:08:42 → 00:08:45 เขาจะรู้สึกไม่กล้าทำอะไร ๆ เลย
00:08:45 → 00:08:49 แล้วก็เก็บความรู้สึก เก็บความต้องการไว้ภายในทั้งหมด
00:08:50 → 00:08:52 จนวันดีคืนดีมันเก็บไม่ไหว มันก็ระเบิดออกมา
00:08:52 → 00:08:55 กลายเป็นเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม
00:08:55 → 00:09:01 ดังนั้น ทั้ง Relationship ทั้ง Rules ต้องสมดุลกัน
00:09:01 → 00:09:05 เราถึงจะได้เด็กที่มีคุณลักษณะพึงประสงค์
00:09:05 → 00:09:09 ซึ่งวันนี้หลัก ๆ จริง ๆ หมออยากจะมาชวนทุกท่าน
00:09:09 → 00:09:14 ได้รู้จักกับการสร้างในขาของ Relationship กันสักหน่อย
00:09:14 → 00:09:16 เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ในขาของการสร้าง Rules นี่
00:09:16 → 00:09:19 เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หรือหลาย ๆ คน
00:09:19 → 00:09:23 ก็มีความเชี่ยวชาญ ในการสร้าง Rules อยู่พอสมควรนะครับ
00:09:23 → 00:09:27 Relationship ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงลูกแบบเพื่อนนี่แหละครับ
00:09:27 → 00:09:31 เราจะมาพูดถึงวิธีปฏิบัติ ในการสร้าง Relationship กับลูกนะครับ
00:09:31 → 00:09:35 อันแรกสุดเลยนะครับคือเรื่องของการที่เรา คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่
00:09:35 → 00:09:38 ให้ความรัก ให้ความอบอุ่นกับลูก
00:09:38 → 00:09:40 ต้องบอกแบบนี้ครับว่า
00:09:40 → 00:09:43 พ่อแม่เป็นคนที่สำคัญกับเขาที่สุด
00:09:43 → 00:09:45 แบบที่พูดไปตอนต้นว่า
00:09:45 → 00:09:48 เวลาเขาทำอะไรดี เขาก็อยากเห็นคนนี้
00:09:48 → 00:09:50 เวลาที่เขาทำอะไรไม่ดี
00:09:50 → 00:09:52 เขาก็อยากเห็นคนนี้ สองคนนี้แหละ
00:09:52 → 00:09:55 ที่จะมาให้กำลังใจเขา
00:09:55 → 00:09:56 เคยได้ยินไหมครับว่า
00:09:56 → 00:09:58 พ่อแม่เป็นเหมือนพระในบ้านใช่ไหมครับ
00:09:58 → 00:10:00 แล้วคำพูดพ่อกับแม่ ก็เป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์
00:10:01 → 00:10:03 ดังนั้นเวลาพ่อแม่พูดอะไรออกไป
00:10:03 → 00:10:06 สิ่งนั้นก็มักจะเป็นสิ่งที่ลูกจะเชื่อ ว่าเขาเป็นอย่างนั้น
00:10:07 → 00:10:10 ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านไหน อยากให้ลูกเป็นเด็กดี
00:10:10 → 00:10:12 อยากให้ลูกเป็นเด็กน่ารัก
00:10:12 → 00:10:14 ก็หมั่นพูดคำนั้นครับ
00:10:14 → 00:10:17 พูดให้เขาฟังซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เขาก็จะเชื่อ
00:10:17 → 00:10:21 มันเหมือนกับทบทวนประสบการณ์กันล่วงหน้าว่า เราลองนึกย้อนไปว่าตอนเราเป็นเด็ก ๆ
00:10:21 → 00:10:24 พ่อแม่เรามักจะบอกว่าเราเป็นอย่างไร
00:10:24 → 00:10:27 ปัจจุบันหลาย ๆ คนก็มักจะเชื่อว่า เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่นะครับ
00:10:27 → 00:10:29 ดังนั้นวิธีการคือ
00:10:29 → 00:10:31 เรากลับมาที่การให้ความรัก ความอบอุ่น
00:10:31 → 00:10:35 พูดในสิ่งที่เราอยากให้ลูกเป็น แบบเป็นจริงนะครับ
00:10:35 → 00:10:38 หลักการข้อที่ 2 ของการสร้าง Relationship คือ
00:10:38 → 00:10:44 ส่งเสริมให้เด็กเขารู้สึกว่าเขามีคุณค่า และเขาภูมิใจในตัวเอง
00:10:45 → 00:10:47 ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองนี่
00:10:47 → 00:10:50 สำคัญมาก ๆ สำหรับเด็กเลยนะครับ
00:10:50 → 00:10:52 สำคัญตรงที่ว่า
00:10:52 → 00:10:55 คนเราเวลาที่เราจะทำอะไร ๆ บางอย่าง
00:10:55 → 00:10:57 บางทีมันต้องรู้สึกได้ว่า
00:10:57 → 00:10:59 เรามีค่าพอที่จะทำ
00:10:59 → 00:11:03 หรือเรามีคุณค่าพอที่เราจะนั่งอยู่ตรงนี้ จะทำสิ่งเหล่านี้
00:11:03 → 00:11:06 ถ้าเกิดว่าคน ๆ นั้นรู้สึกว่าตัวเอง
00:11:06 → 00:11:09 ฉันไม่เห็นต้องมีค่าเลย ฉันจะอยู่ไปทำไม
00:11:09 → 00:11:11 สุดท้ายบางทีมันวนกลับมาที่ว่า
00:11:11 → 00:11:14 ตั้งคำถามกับการดำรงอยู่ของตัวเอง
00:11:14 → 00:11:18 จนถึงขั้นบางคนอาจจะคิดเรื่องของทำร้ายตัวเอง
00:11:18 → 00:11:19 หรือว่าฆ่าตัวตายไปเลยก็ได้
00:11:19 → 00:11:22 ถ้าเกิดว่าวันนึงเขารู้สึกว่า ตัวเขาเป็นคนที่ไม่มีคุณค่า
00:11:22 → 00:11:27 ดังนั้น ความรู้สึกมีคุณค่า และความรู้สึกที่เขาจะภาคภูมิใจในตัวเอง
00:11:27 → 00:11:30 คนที่จะเป็นคนสร้างตั้งแต่ลูกยังเล็กนี่
00:11:30 → 00:11:31 คือพ่อกับแม่นะครับ
00:11:31 → 00:11:34 ที่มักจะเป็นคนที่ต้องบอกเขาว่า เขามีค่าอย่างไร
00:11:35 → 00:11:37 เขาควรจะดำรงชีวิตอย่างไร
00:11:37 → 00:11:42 เพื่อที่เขาจะได้เติบโตไปในแบบที่เหมาะสม เป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม
00:11:42 → 00:11:44 แต่ต้องเริ่มจากสิ่งเหล่านี้ก่อน
00:11:44 → 00:11:46 โดยถ้าเกิดเป็นคนที่ลูกเล็กนี่
00:11:46 → 00:11:48 เราเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ก่อนนะครับ
00:11:48 → 00:11:49 หมอชวนคุณพ่อคุณแม่คิดนึกย้อน
00:11:49 → 00:11:52 ถ้ามีลูกเล็กอาจจะนึกออกง่ายมากเลยคือ เช่น
00:11:52 → 00:11:55 เด็กแค่เดินได้
00:11:55 → 00:11:59 แค่ก้าวขาได้ หรือว่าเรียกแม่ได้คำแรกนี่
00:11:59 → 00:12:01 พ่อแม่รู้สึกอย่างไรครับ
00:12:01 → 00:12:03 เราชมแล้วนะ เราปรบมือแล้วนะ
00:12:03 → 00:12:06 ใครเก่งยกมือขึ้น โอ้โฮ เราทำอย่างนี้มาโดยตลอด
00:12:07 → 00:12:10 เขาเองเขาจะรู้สึกว่าเขามีคุณค่า แล้วเขาภูมิใจในความเป็นตัวเขา
00:12:10 → 00:12:12 แต่สิ่งเหล่านี้นะครับ
00:12:13 → 00:12:17 มักจะหายไปตอนที่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียน
00:12:17 → 00:12:20 หมอไม่อยากให้คนที่ต้องมาลดทอนคุณค่าของเด็ก
00:12:20 → 00:12:23 กลายเป็นคนที่เด็กเขารู้สึกไว้วางใจ และรักเขามากที่สุด
00:12:23 → 00:12:26 ดังนั้น เราก็เลยต้องมาช่วยกันสร้างไงครับว่า
00:12:26 → 00:12:30 เราจะทำให้ลูกภูมิใจ และเขารู้สึกว่า เขามีคุณค่าในตัวเองได้อย่างไร
00:12:30 → 00:12:33 จากคำพูดของคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่แหละนะครับ
00:12:33 → 00:12:36 เห็นข้อดีของเขา ในสิ่งที่เขาทำได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
00:12:37 → 00:12:40 ในลำดับถัดมาของการเลี้ยงลูกแบบเพื่อนนะครับ
00:12:40 → 00:12:45 เรายังจะต้องคำนึงและตระหนัก ว่าเขาเป็นเด็กอยู่ในวัยนั้น ๆ นะ
00:12:45 → 00:12:50 บางทีพัฒนาการตามวัยนี่ เป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องเรียนรู้นะครับ
00:12:50 → 00:12:53 หมอคิดว่าในยุคปัจจุบัน เราหาความรู้เรื่องพวกนี้ได้ไม่ยากเท่าไหร่
00:12:53 → 00:12:58 เราเองคงไม่คาดหวังให้เด็ก 3 ขวบ ทำได้เท่าเด็ก 12
00:12:59 → 00:13:03 เพราะแปลว่าเราไม่เข้าใจพัฒนาการ ตามช่วงวัยของเด็ก
00:13:03 → 00:13:06 เมื่อไหร่ที่เราไม่เข้าใจเราจะคาดหวัง
00:13:06 → 00:13:08 แล้วเราจะกดดัน
00:13:08 → 00:13:11 แล้วเราอาจจะเผลอลงโทษหรือตำหนิโดยไม่รู้ตัว
00:13:12 → 00:13:13 ในขณะเดียวกัน ฝั่งเด็กเอง
00:13:14 → 00:13:16 สมองเขาบางทีเขาก็ยังพัฒนาไปไม่ถึง
00:13:16 → 00:13:20 เขาก็ไม่เข้าใจ เขาก็อยากเป็นคนที่พ่อแม่ชื่นชม
00:13:20 → 00:13:24 เขาก็อยากเป็นคนที่พ่อแม่ ให้กำลังใจอยู่ตลอดแหละ
00:13:24 → 00:13:27 แต่บางทีเขาทำไม่ได้ ด้วยพัฒนาการเขาที่ยังไปไม่ถึง
00:13:27 → 00:13:29 ดังนั้น พ่อแม่ต้องรู้จักช่วงวัยของเขา
00:13:29 → 00:13:32 ในขณะเดียวกัน เข้าใจธรรมชาติของเด็กแต่ละคนด้วยนะครับ
00:13:32 → 00:13:34 ว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
00:13:34 → 00:13:37 พื้นอารมณ์ของเขา บางคนอาจจะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย
00:13:37 → 00:13:40 บางคนอาจจะเป็นเด็กที่ขี้วิตกกังวล
00:13:40 → 00:13:43 โดยไม่เห็นมีใครไปบังคับให้เขาเป็นอย่างนั้น
00:13:43 → 00:13:44 แต่ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นน่ะ
00:13:44 → 00:13:47 ดังนั้น ถ้าพ่อแม่รู้ความแตกต่างของเขาก่อน
00:13:47 → 00:13:49 เราจะคาดหวังเขาเหมาะสม
00:13:49 → 00:13:52 แล้วเราจะรู้จักลูกเราว่าเขาเป็นยังไงนะครับ
00:13:52 → 00:13:57 จะนำมาสู่ข้อต่อไปคือ เราจะเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง
00:13:57 → 00:14:00 ความเป็นตัวของตัวเอง หมอชวนคุณพ่อคุณแม่นึก
00:14:00 → 00:14:03 เวลาที่เราอยู่กับใครแล้วเราสบายใจ
00:14:03 → 00:14:05 แบบนั้นน่ะ เราจะกล้าเป็นตัวเอง
00:14:05 → 00:14:07 เวลาที่เราเป็นตัวเอง เราไม่ค่อยเหนื่อยนะครับ
00:14:08 → 00:14:10 เราจะทำผิดได้บ้าง
00:14:10 → 00:14:15 เราจะแสดงออกในมุมที่เราไม่ค่อยน่ารักได้บ้าง
00:14:15 → 00:14:19 เราไม่จำเป็นต้อง โอ้โฮ เพอร์เฟกต์ แล้วก็ดูดีอยู่ตลอด
00:14:19 → 00:14:22 ซึ่งเด็กไม่มีทางจะเป็นอย่างนั้นได้อยู่แล้ว
00:14:22 → 00:14:26 เพราะมนุษย์ทุก ๆ คนมีข้อผิดพลาด มีข้อด้อยอยู่เรื่อย ๆ
00:14:27 → 00:14:30 แต่ถ้าพ่อแม่เปิดโอกาส ให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง
00:14:30 → 00:14:33 เขาจะรู้สึกว่าอยู่กับเรา แล้วเขาปลอดภัย เขาอุ่นใจไงครับ
00:14:34 → 00:14:38 และข้อถัดมาคือ เมื่อไหร่ที่เขามีความรู้สึกอะไรนี่
00:14:38 → 00:14:44 พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ แสดงออกถึงความรู้สึกนั้นของเขา
00:14:44 → 00:14:47 และแสดงออกถึงความต้องการของเขา
00:14:47 → 00:14:50 รู้สึกดี อันนี้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่นะครับ
00:14:50 → 00:14:52 ส่วนใหญ่แล้วเวลาคนเรารู้สึกดี
00:14:52 → 00:14:55 พ่อแม่ไม่รู้สึกอะไรที่ลูกจะแสดงออกแบบนั้น
00:14:55 → 00:14:59 เด็กชอบกินอันนี้ เด็กชอบเล่นอันนี้ ชอบดูอันนี้ พ่อแม่ก็เฉย ๆ
00:14:59 → 00:15:01 แต่เวลาที่เขารู้สึกไม่ดี
00:15:01 → 00:15:03 พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสครับ
00:15:03 → 00:15:04 ให้เขาได้แสดงออก
00:15:05 → 00:15:07 เช่น วันนี้หนูเสียใจ
00:15:07 → 00:15:10 วันนี้ผมโกรธจังเลยแม่
00:15:10 → 00:15:13 พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสและฟังความรู้สึกของลูก
00:15:13 → 00:15:18 แล้วลองคุยกับเขา สนทนากับเขาต่อว่า แล้วความต้องการของเขาคืออะไร
00:15:18 → 00:15:21 จะทำให้เราเข้าใจลูกเยอะขึ้นนะครับว่า
00:15:21 → 00:15:24 จริง ๆ แล้วเขามีความรู้สึกอะไรอยู่
00:15:24 → 00:15:26 แล้วจริง ๆ แล้วเขาอยากทำอะไร
00:15:26 → 00:15:28 แล้วในช่วงเวลานั้น เวลาที่เราฟัง
00:15:28 → 00:15:32 อย่าเพิ่งรีบสอน อย่าเพิ่งรีบตำหนิ อย่าเพิ่งรีบต่อว่า
00:15:32 → 00:15:34 เพราะเราจะเข้าใจเขาอย่างแท้จริง
00:15:34 → 00:15:37 แล้วสุดท้าย เราเองเราก็จะบอกเขาได้ว่า
00:15:37 → 00:15:39 สิ่งที่ควรจะทำคืออะไร
00:15:39 → 00:15:41 แต่ต้องเปิดโอกาสให้เขาแสดง ความเป็นตัวเขาก่อนนะครับ
00:15:41 → 00:15:43 อย่าเพิ่งไปรีบสอนรีบบอกตั้งแต่ต้น
00:15:43 → 00:15:48 ไม่อย่างนั้นแล้ว ลูกจะไม่กล้าแสดงออก เพราะเขากลัวว่า เขาพูดออกมาแล้วเขาจะผิด
00:15:48 → 00:15:50 แล้วจะถูกพ่อแม่ตำหนินะครับ
00:15:50 → 00:15:51 ทีนี้คำว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
00:15:52 → 00:15:54 จริง ๆ แล้ว พอเราพูดถึงตั้งแต่คำนิยาม
00:15:54 → 00:15:58 เราพูดถึงตั้งแต่สาเหตุ ความสำคัญ แล้วก็หลักการพื้นฐานของการเลี้ยงลูกแล้วนี่
00:15:58 → 00:16:00 บางคนฟังมาถึงตรงนี้อาจจะรู้สึกว่า
00:16:00 → 00:16:05 เอ๊ะ หมอ แล้วถ้าบางคน พ่อแม่ที่อาจจะอายุเยอะหน่อย
00:16:05 → 00:16:10 แล้วก็มีลูกแล้วก็อายุสมมุติห่างกัน 30-40 ปี บางบ้านเป็นลูกหลงนะ
00:16:11 → 00:16:12 ก็จะรู้สึกว่า จะเลี้ยงยังไงล่ะ
00:16:12 → 00:16:14 มันห่างกับลูกมากขนาดนี้
00:16:14 → 00:16:17 จะไปเป็นเพื่อนยังไง แม่ก็อายุเยอะขนาดนี้แล้ว
00:16:18 → 00:16:20 พอไม่ไหวแล้วนี่ จะไปเป็นเพื่อนยังไง
00:16:20 → 00:16:23 คำว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อน มันไม่ได้หมายความว่า
00:16:23 → 00:16:25 เป็นเพื่อนกันแล้วต้องอายุเท่ากันนะครับ
00:16:26 → 00:16:27 ดังนั้นคำว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อน หมายความว่า
00:16:27 → 00:16:31 คนที่อยู่ด้วยแล้วเด็กเขารู้สึกว่าเขาปลอดภัย
00:16:31 → 00:16:32 เขาไว้ใจได้
00:16:32 → 00:16:33 ดังนั้น ไม่ว่าอายุเท่าไหร่
00:16:33 → 00:16:35 ก็สามารถเลี้ยงลูกแบบเพื่อนได้
00:16:35 → 00:16:37 เพราะเราสามารถสร้างสัมพันธภาพ
00:16:37 → 00:16:42 เราสามารถสร้าง Relationship กับเขาได้นะครับ
00:16:42 → 00:16:43 แต่ความสำคัญนะครับ
00:16:43 → 00:16:48 หมอคิดว่า ก่อนที่จะไปเลี้ยงลูกแบบเพื่อน ก่อนที่จะมีเทคนิค มีทักษะได้
00:16:48 → 00:16:53 ต้องเริ่มที่แนวคิด ต้องเริ่มที่ Mindset ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก่อน
00:16:53 → 00:16:56 เพราะว่าถ้าเรายังติดอยู่กับคำนี้
00:16:56 → 00:16:59 บางคนพอได้ยินคำว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อน เปิดมาเห็นอย่างนี้นะ
00:16:59 → 00:17:01 แล้วก็ปิดเลยเพราะไม่สนใจ รู้สึกว่าหมอน่าจะมาสปอยล์เด็ก
00:17:02 → 00:17:05 มันจะทำให้เราไม่สามารถดูแลเขาได้ อย่างที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
00:17:05 → 00:17:08 หรือทำให้เขารู้สึกว่า เราเป็นเพื่อนกับเขาอย่างแท้จริงได้นะครับ
00:17:09 → 00:17:11 เพราะว่าบางทีคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่แหละ
00:17:11 → 00:17:13 ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน
00:17:13 → 00:17:17 ก็มักจะเอาวิธีการแบบนั้น ไปดูแลลูกตัวเอง
00:17:17 → 00:17:18 ต้องยอมรับแบบนี้ครับว่า
00:17:19 → 00:17:24 สังคมของเราหลาย ๆ ที เราเลี้ยงเด็กโดยการขู่
00:17:24 → 00:17:26 โดยการตำหนิ
00:17:27 → 00:17:28 โดยการจับผิด
00:17:28 → 00:17:30 ยกตัวอย่างเช่นอะไร
00:17:30 → 00:17:33 เรื่องที่หมอเจออยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เป็นหมอใหม่ ๆ เลยนะครับ เช่น
00:17:33 → 00:17:36 อย่าร้องนะ ไม่งั้นเดี๋ยวให้หมอฉีดยา
00:17:36 → 00:17:39 เป็นไง คนเป็นหมอบางที นั่งอยู่ตรงนี้ก็รู้สึกว่า
00:17:39 → 00:17:43 ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมอยู่ดี ๆ ต้องโดนคุณแม่ขู่
00:17:43 → 00:17:45 ว่าจะเป็นคนที่มีปัญหานะ
00:17:45 → 00:17:49 เห็นไหมครับ จริง ๆ แล้วเวลาที่พ่อแม่ขู่เด็ก ว่าอย่าร้องนะเดี๋ยวให้หมอฉีดยา
00:17:49 → 00:17:51 สิ่งที่พ่อแม่ต้องการคือ
00:17:51 → 00:17:53 ให้ร่วมมือกับหมอ
00:17:53 → 00:17:55 ยอมให้หมอตรวจดี ๆ
00:17:56 → 00:17:57 แต่วิธีการบอก มันไม่ได้เป็นแบบนี้ไง
00:17:58 → 00:18:03 วิธีการบอกมันกลับกลายเป็นการขู่ เป็นการตำหนิ ใช่ไหมครับ
00:18:03 → 00:18:05 ซึ่งวิธีเหล่านี้ ต้องยอมรับเลยครับว่า
00:18:05 → 00:18:08 เนื่องจากแต่ก่อน องค์ความรู้ด้านเทคนิคการเลี้ยงลูก
00:18:09 → 00:18:10 เรายังมีไม่พอ
00:18:11 → 00:18:14 ทำให้วิธีการเลี้ยงลูก มันเลยออกมาเป็นแบบลักษณะนั้น
00:18:14 → 00:18:19 ดังนั้น พ่อแม่ต้องมี Mindset หรือต้องมีแนวคิดที่เราเชื่อก่อนว่า
00:18:19 → 00:18:22 วิธีการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน หรือวิธีการเชิงบวก
00:18:22 → 00:18:27 จะทำให้เราได้เด็กที่มีคุณลักษณะ หรือมีคุณสมบัติที่ดี
00:18:27 → 00:18:29 เราถึงอยากจะดูแลเขาแบบเพื่อน
00:18:29 → 00:18:34 หรือแบบคนที่เรารู้สึกว่าเราไว้ใจ แล้วเขาเป็นคนที่มีคุณค่านะครับ
00:18:35 → 00:18:37 แต่ทีนี้นะครับ อย่างที่บอกไปเลยนะ
00:18:37 → 00:18:40 บางบ้านนะ Relationship มีมาก
00:18:41 → 00:18:43 มากเสียจนเด็กถูกสปอยล์
00:18:43 → 00:18:46 มากเสียจนเด็กกลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ
00:18:46 → 00:18:48 ฟังมาถึงตรงนี้นะครับ หมอก็เชื่อว่า
00:18:48 → 00:18:52 คุณพ่อคุณแม่เองคงรู้สึกอยากกลับไป เลี้ยงลูกแบบเพื่อนแล้วเนอะ
00:18:52 → 00:18:56 แต่ก่อนจะไปตรงนั้น อาจจะมีข้อควรระวัง
00:18:56 → 00:18:59 หรือมีข้อแนะนำเพิ่มเติมอีกนิดนึง ก่อนจะไปตรงนั้น
00:18:59 → 00:19:01 จำตอนต้นได้ใช่ไหมครับที่หมอบอกว่า
00:19:01 → 00:19:04 ถ้าเกิดเรามี R ของ Relationship ที่มันมาก
00:19:04 → 00:19:06 มากเสียจนฝั่ง Rules มันเบา
00:19:07 → 00:19:09 เราจะได้เด็กที่เอาแต่ใจ
00:19:09 → 00:19:12 เราจะได้เด็กที่...อะไรก็ต้องฉันก่อนน่ะ
00:19:12 → 00:19:15 เหมือนกับฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลใบนี้
00:19:15 → 00:19:16 แล้วอะไรก็ต้องฉัน ๆ
00:19:16 → 00:19:21 [เสียงดนตรี]
00:19:21 → 00:19:25 ดังนั้น ข้อควรระวังของการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน ที่มากเกินไป คือ
00:19:26 → 00:19:28 เราอาจจะได้เด็กที่ก้าวร้าวนะครับ
00:19:28 → 00:19:29 เพราะเวลาที่เด็กเขาไม่ได้ดั่งใจ
00:19:29 → 00:19:32 เขาก็จะโวยวาย เขาก็จะร้องกรี๊ดต่าง ๆ นานา
00:19:32 → 00:19:34 หรือลงไปนอนดิ้นกับพื้น
00:19:34 → 00:19:39 วิธีการรับมือ เวลาที่ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวนะครับ
00:19:39 → 00:19:44 อย่างแรกสุด พ่อแม่รับรู้อารมณ์ของตัวเองก่อน
00:19:44 → 00:19:46 มีบางคนบอกว่าพ่อแม่ต้องไม่ใช้อารมณ์
00:19:46 → 00:19:48 แต่หมอเองไม่ค่อยเห็นด้วย หมอเองรู้สึกว่า
00:19:48 → 00:19:51 คำว่าพ่อแม่ไม่ใช้อารมณ์ ทำไม่ได้
00:19:52 → 00:19:53 เพราะมนุษย์ทุกคนมีอารมณ์
00:19:54 → 00:19:55 รับรู้อารมณ์ก่อนครับว่า
00:19:55 → 00:19:59 เวลาที่ลูกก้าวร้าว เวลาที่ลูกมีพฤติกรรมที่ไม่ดี
00:20:00 → 00:20:02 พ่อแม่กำลังรู้สึกอะไร
00:20:03 → 00:20:05 หลาย ๆ ที เวลาที่ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวนี่
00:20:05 → 00:20:07 พ่อแม่ก็มันจะเป็นความรู้สึกทางลบแหละครับ
00:20:07 → 00:20:09 เช่น ไม่ชอบ
00:20:10 → 00:20:11 เช่น โกรธ
00:20:12 → 00:20:14 เช่น เสียใจ
00:20:15 → 00:20:20 หรือบางทีไปก้าวร้าวต่อหน้าคนอื่น ก็กลายเป็นความรู้สึกอายของพ่อแม่
00:20:20 → 00:20:24 รับรู้อารมณ์ก่อนครับว่า เรากำลังรู้สึกแบบไหน
00:20:25 → 00:20:28 แต่มันเร็วมากเลยนะครับเพราะว่า เวลาลูกก้าวร้าวนี่
00:20:28 → 00:20:29 พอรับรู้อารมณ์แล้ว เราต้องจัดการทันที
00:20:29 → 00:20:31 แต่ว่าให้เวลาตัวเองตรงนี้แป๊บนึงครับ
00:20:32 → 00:20:35 ฝึกซ้ำ ๆ รู้อารมณ์ตัวเองซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ
00:20:35 → 00:20:37 โกรธ ทำยังไง
00:20:38 → 00:20:40 หายใจเข้าออก 3 ทีก่อน
00:20:40 → 00:20:43 แล้วค่อยเข้าไปเอาลูกออกมาจากสถานการณ์
00:20:44 → 00:20:45 อาย ทำยังไง
00:20:46 → 00:20:47 หายใจเข้าออก 3 ทีเหมือนกัน
00:20:48 → 00:20:49 แล้วก็พาลูกออกไปจากตรงนั้น
00:20:49 → 00:20:51 หรือเราเองเดินออกไปก่อน
00:20:51 → 00:20:54 บางทีเด็กก็จะเงียบลงนะ บางทีเวลาพ่อแม่ไม่อยู่ตรงนั้น
00:20:54 → 00:20:56 ดังนั้น เข้าใจก่อนครับว่า
00:20:56 → 00:20:58 เรากำลังรู้สึกอะไร
00:20:58 → 00:21:00 แล้วใช้อารมณ์แบบเหมาะสม
00:21:00 → 00:21:01 อันถัดมาคือ
00:21:02 → 00:21:05 เราเข้าใจอารมณ์ลูกครับอันที่สอง
00:21:05 → 00:21:10 ว่าตกลงตอนนี้ ที่ก้าวร้าวแบบนี้ พฤติกรรมที่เราเห็นว่าลูกก้าวร้าว
00:21:10 → 00:21:12 ลูกกำลังรู้สึกอะไร
00:21:13 → 00:21:15 เพราะต้นเหตุของความก้าวร้าว
00:21:15 → 00:21:19 ซึ่งจริง ๆ จะนำไปสู่ข้อที่ 3 คือสาเหตุของความก้าวร้าวนี่
00:21:19 → 00:21:21 มันมีหลากหลายเลยนะครับ
00:21:21 → 00:21:24 เช่น อยากได้ของแล้วไม่ได้
00:21:25 → 00:21:27 เช่น ถูกต่อว่า
00:21:27 → 00:21:30 แต่เวลาที่เราจะเข้าใจ สาเหตุของอารมณ์ของลูกนี่
00:21:30 → 00:21:33 บางทีเราก็ต้องรู้เรื่องราวก่อน
00:21:33 → 00:21:36 แล้วหลาย ๆ ที เราก็จะคาดคั้นลูก ระหว่างที่เขากำลังร้องไห้
00:21:36 → 00:21:39 ระหว่างที่เขากำลังกรี๊ด ระหว่างที่เขากำลังโกรธ
00:21:39 → 00:21:40 ซึ่งไม่ได้หรอกครับ
00:21:40 → 00:21:42 ในเวลานั้นเด็กไม่พร้อมที่จะเล่า
00:21:43 → 00:21:46 เวลาที่เราเจอลูกที่ก้าวร้าวนี่
00:21:46 → 00:21:48 เราถึงต้องเข้าไปรับรู้และเข้าใจเขาก่อนครับ
00:21:48 → 00:21:50 เราจะเห็นเหมือนคลื่นอารมณ์ที่พอมันขึ้นนะ
00:21:50 → 00:21:52 แล้วถ้ามันกำลังขึ้นอยู่ในขาขึ้นนะ
00:21:52 → 00:21:55 แล้วเราไปทำให้มันลง มันไม่ลงหรอกครับ
00:21:56 → 00:21:58 ทีนี้ต้องปล่อยให้มันขึ้นไปก่อน
00:21:58 → 00:22:00 แล้วจังหวะมันจะลงมาเองบางที
00:22:00 → 00:22:03 แล้วพอลงตรงนั้นน่ะ จังหวะนั้น คุณพ่อคุณแม่ค่อยเข้าไปจัดการ
00:22:03 → 00:22:06 ว่า เออ...มีอะไรให้แม่ช่วย
00:22:07 → 00:22:09 ไหนลองบอกแม่สิว่าตอนนี้หนูกำลังรู้สึกอะไร
00:22:09 → 00:22:14 อันนี้นะครับคือวิธีการที่เราจะสื่อสาร แล้วเราก็สังเกตอารมณ์ของเขา
00:22:14 → 00:22:17 จังหวะนั้นนำมาสู่ขั้นตอนสุดท้าย ขั้นตอนที่ 4 คือ
00:22:17 → 00:22:19 เราเข้าใจแล้วว่าลูกพร้อม
00:22:19 → 00:22:22 เราถึงจะคุยและสื่อสารกับเขา
00:22:23 → 00:22:24 4 ขั้นนะครับ อย่าลืมนะครับ
00:22:24 → 00:22:26 อันแรก รับรู้อารมณ์ของเรา
00:22:26 → 00:22:28 อันที่ 2 เข้าใจอารมณ์ลูก
00:22:28 → 00:22:30 อันที่ 3 รู้สาเหตุ
00:22:30 → 00:22:32 อันที่ 4 คุยเมื่อพร้อม
00:22:33 → 00:22:35 ค่อย ๆ ไปทีละขั้น
00:22:35 → 00:22:38 เวลาเราเจอลูกที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวนะครับ
00:22:38 → 00:22:40 แล้วบางทีมันก็เกิดซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ
00:22:40 → 00:22:42 หมออยากชวนทุกท่านกลับไปคิดเหมือนกันว่า
00:22:42 → 00:22:45 ตกลงมันมีสาเหตุ ที่มันเบื้องลึกเบื้องหลังกว่านั้นไหม
00:22:45 → 00:22:48 ที่ทำให้ลูกก้าวร้าวซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ
00:22:48 → 00:22:52 เพราะบางทีมันมีปัจจัยในบ้านมากมาย เช่น ผู้ใหญ่บางคนทำไม่เหมือนกัน
00:22:52 → 00:22:55 เช่น เราซึ่งทำไม่เหมือนกันในแต่ละครั้ง
00:22:55 → 00:22:57 เพราะความไม่มั่นคงหรือสถานการณ์บางอย่าง
00:22:58 → 00:23:01 ดังนั้น ความยืดหยุ่นก็สำคัญเหมือนกันนะครับ เวลาที่เราจะเลี้ยงดูเด็ก
00:23:01 → 00:23:06 เพราะบางทีเด็กเขาก็เรียนรู้นะครับ ว่าพ่อแม่เป็นคนยังไง
00:23:06 → 00:23:09 เขาก็เรียนรู้ว่า เขาจะต้องทำแบบไหนกับใคร
00:23:09 → 00:23:11 ดังนั้น ความมั่นคง เสมอต้นเสมอปลาย
00:23:11 → 00:23:12 ผู้ใหญ่ทุกคนเป็นแนวทางเดียวกัน
00:23:12 → 00:23:14 ถึงสำคัญในการเลี้ยงดูเด็ก
00:23:14 → 00:23:18 แล้วทำให้การเลี้ยงดูลูกแบบเพื่อนนี่ ประสบผลสำเร็จ
00:23:18 → 00:23:21 แล้วได้เด็กที่มีความยืดหยุ่นในตัวเอง
00:23:21 → 00:23:23 ได้เด็กที่มีความมั่นคงทางอารมณ์
00:23:24 → 00:23:28 ซึ่งถ้าลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ในบางครั้งนี่
00:23:29 → 00:23:31 มันจะเกิดการเรียนรู้ของเขาครับว่า
00:23:31 → 00:23:33 เขาเอาแต่ใจได้
00:23:33 → 00:23:35 เขาเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้
00:23:35 → 00:23:36 เขาต้องถูกเอาใจ
00:23:36 → 00:23:38 จนกระทั่งการเรียนรู้ใหม่ไม่เกิด
00:23:38 → 00:23:40 จนกระทั่งไม่เกิดพฤติกรรมที่ดี
00:23:40 → 00:23:44 ใครเป็นพ่อแม่รังแกฉัน ซึ่งเราคงไม่อยากได้แบบนั้นนะครับ
00:23:45 → 00:23:48 วันนี้เราได้ฟังเรื่องของ วิธีการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
00:23:48 → 00:23:52 เราได้ดูวิธีการจัดการเด็ก ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวไปบ้างแล้ว
00:23:52 → 00:23:53 สำหรับพ่อแม่บางท่านอาจจะรู้สึกว่า
00:23:54 → 00:23:57 แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่ไหวล่ะ เช่น เด็กก็ไม่ทำตามที่ควรจะทำ
00:23:57 → 00:23:59 แล้วก็ทำผิดอยู่เรื่อย ๆ
00:23:59 → 00:24:03 เราจะลงโทษหรือเราจะจัดการเขาอย่างไร คุณหมอมีวิธีการไหม
00:24:03 → 00:24:06 เดี๋ยวเราจะมาชวนกันมาฟังใน EP ถัดไปนะครับ
00:24:06 → 00:24:10 ว่าถ้าเกิดเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม เด็กที่ทำเรื่องราวที่ไม่น่ารัก
00:24:10 → 00:24:11 พ่อแม่จะลงโทษลูกอย่างไร
00:24:12 → 00:24:13 ตีได้ไหม
00:24:13 → 00:24:15 คำถามเกิดขึ้นแน่ ๆ
00:24:15 → 00:24:17 มาชวนฟังกันในตอนถัดไปนะครับ
00:24:17 → 00:24:20 สำหรับวันนี้ รายการ Re-Mind ก็หมดเวลาลงแล้ว
00:24:20 → 00:24:23 ขอลาคุณผู้ฟังและคุณผู้ชมทุกท่าน ไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ
00:24:23 → 00:24:27 พบกับรายการ Re-Mind รู้ทันปัญหาสุขภาพจิต
00:24:27 → 00:24:31 สำรวจอารมณ์ความคิด เข้าใจพฤติกรรมของตนเองและคนใกล้ตัว
00:24:32 → 00:24:34 ทุกวันจันทร์ เวลา 18.00 น.
00:24:34 → 00:24:36 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:24:36 → 00:24:38 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:24:39 → 00:24:40 YouTube Mahidol Channel
00:24:40 → 00:24:42 Apple Podcasts
00:24:42 → 00:24:43 Spotify
00:24:43 → 00:24:44 Anchor
00:24:44 → 00:24:45 Blockdit
00:24:47 → 00:24:52 ดำเนินรายการโดย หมอหลิว อาจารย์นายแพทย์สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข