00:00:00 → 00:00:02 ก็สวัสดีครับวันนี้ผมจะเล่าเกี่ยวข้องกับ
00:00:02 → 00:00:05 เรื่องของการเป็นลมนะครับว่าเอ๊ะเป็นลม
00:00:05 → 00:00:07 นี่มันคืออะไรกันแน่มันเป็นอย่างไรแล้วก็
00:00:07 → 00:00:11 เวลาที่เรามาหาหมอนะครับหมอเขาจะดูอะไร
00:00:11 → 00:00:14 บ้างสำหรับคนที่เป็นลงนะครับก็จะเล่าลง
00:00:14 → 00:00:17 ลึกถึงสาเหตุต่างๆแล้วก็เวลาที่หมอคิด
00:00:17 → 00:00:19 เรื่องเกี่ยวข้องกับการเป็นลมเนี่ยเราจะ
00:00:20 → 00:00:22 มีวิธีในการวิเคราะห์วินิจฉัยอย่างไรบ้าง
00:00:22 → 00:00:25 นะครับผมกับผมนะครับในการทนีย์ธนิยะวันนะ
00:00:25 → 00:00:26 ครับเป็นอาจารย์จะอยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:26 → 00:00:29 อเมริกานะครับฉันต่อการปลูกถ่ายพอร์ตและ
00:00:29 → 00:00:32 ได้เก็บบำบัดนะครับคำว่าเป็นลมนี้นะครับ
00:00:32 → 00:00:36 มีภาษาทางการแพทย์เรียกว่าสิ่งขอปี้นะ
00:00:36 → 00:00:39 ครับไม่ใช่สิ่งโขมนะครับ S Y NC oper
00:00:39 → 00:00:42 ซิ่ง Copy นะครับอ่าบางคนอ่านไม่ถูกก็
00:00:42 → 00:00:44 อ่านว่าสิงห์ใข่ซึ่งไม่ถูกนะครับต้องอ่าน
00:00:44 → 00:00:47 ว่าสิ่งคอปีนนะอันนี้เป็นภาษาทางการแพทย์
00:00:47 → 00:00:49 ถือว่าเป็นภาษาพูดทั่วไปนะครับเราก็จะ
00:00:50 → 00:00:53 เรียกว่าฟินเถอะเซนเจอร์นะครับทิ้งเถอะ
00:00:53 → 00:00:57 กรรมมันจะอีกคำนึงซึ่งจะดูรุนแรงมากกว่า
00:00:57 → 00:00:59 แฟนจะเป็นก็คือการเป็นลมธรรมดาธรรมดานี่
00:00:59 → 00:01:02 นะครับพี่มาถึงจะเรียกว่าคอมแอปนะครับก็
00:01:02 → 00:01:05 แล้วแต่คือมันเหมือนดูมากน่าจะเป็นการที่
00:01:05 → 00:01:08 เหมาะสปีดแบบดูอันตรายดูหน้าตัวมากกว่า
00:01:08 → 00:01:10 เซ็นเฉยๆนะครับ friend ตัวนี้ก็คือเป็น
00:01:10 → 00:01:13 แค่การเป็นลมธรรมดาธรรมดาก็รับที่อาจจะ
00:01:13 → 00:01:15 เดินๆอยู่แล้วก็ล้มลงไปกองกับพื้นเลยนะ
00:01:15 → 00:01:19 ครับหมดสติไปเลยนะครับหรืออีกคำหนึ่งซึ่ง
00:01:19 → 00:01:21 เราใช้กันเรื่อยๆนะครับแล้วก็อาจจะหมาย
00:01:21 → 00:01:24 ถึงการเป็นลมของฝรั่งก็คือการที่เรียกว่า
00:01:24 → 00:01:28 mos คอนเชียสนะครับ contest ก็คือสตินะ
00:01:28 → 00:01:31 ครับร้อนก็คือเสียนะครับนะครับตรงนี้ก็จะ
00:01:31 → 00:01:36 เป็นอะไรที่เราใช้ในการมาบอกอาการว่าเอ่อ
00:01:36 → 00:01:39 ลงมีการเป็นลมนะครับเราสูญเสียสตินะมัน
00:01:39 → 00:01:41 ไม่มันไม่ใช่ว่าเราบ้านเลยนะครับ Los
00:01:41 → 00:01:44 ches เน็ตก็คือการที่เราหมดสติไปนะครับ
00:01:44 → 00:01:48 อ่าเนี่ยในทางการให้ก็เลยแบบนี้ทีนี้เวลา
00:01:48 → 00:01:51 เราหมดสติเนี่ยนะครับมันมีหลายสาเหตุก่อน
00:01:51 → 00:01:53 ที่เราจะลงลึกไปถึงว่าเออมันเกิดขึ้นยัง
00:01:53 → 00:01:56 ไงเนี่ยเราก็ต้องทราบก่อนว่าคนเรามีสติ
00:01:56 → 00:02:00 อยู่ได้ยังไงนะครับคนเราเนี่ยสตินว่ามัน
00:02:00 → 00:02:05 จะอยู่ที่ตัวไขสันหลังซึ่งต่อกับตัวสมอง
00:02:05 → 00:02:08 นะครับโดยการต่อเนี่ยจะต่อกันที่การสมอง
00:02:08 → 00:02:10 นะครับสมองและจะเป็นกลมใหญ่ๆวันนี้นะครับ
00:02:10 → 00:02:12 แล้วก็จะมีการ 2 อยู่ตรงกลางนะเชื่อมต่อ
00:02:12 → 00:02:15 กับไขสันหลังตรงบริเวณก้านสมองนี่แหละ
00:02:15 → 00:02:17 ครับมันจะมีบริเวณหนึ่งซึ่งมีหน้าที่
00:02:17 → 00:02:20 สำคัญสำหรับการที่จะทำให้เรามีสติและตื่น
00:02:20 → 00:02:23 อยู่นะครับตรงนี้จะเรียกว่า as sending
00:02:23 → 00:02:27 receiving System นะครับหรือ AIS มาตัว
00:02:27 → 00:02:29 นี้มันจะทำให้เราตื่นรู้อยู่ตลอดเวลานะ
00:02:29 → 00:02:32 ครับส่วนความคิดการควบคุมต่างๆของร่างกาย
00:02:32 → 00:02:34 จะเป็นหน้าที่ของสมองส่วนที่อยู่ด้านบน
00:02:34 → 00:02:36 ตรงนี้หรือที่เรียกว่าเจอรัลด์เหมิดเซีย
00:02:36 → 00:02:39 นะครับสิริก็คือสมองส่วนหน้าที่ตรงเนี้ย
00:02:39 → 00:02:41 เตมิสเบียร์ก็คือเห็นนี่คือเครื่องนึง
00:02:41 → 00:02:44 เซียก็คือเครื่องของทรงกลมนะครับทำไมเรา
00:02:44 → 00:02:46 เรียกมิดเยียร์ก็เพราะว่าสมองของเรามันมี
00:02:46 → 00:02:49 2 40 100 ผลิตเครื่องนึงอีกสิ่งหนึ่ง
00:02:49 → 00:02:50 แล้วก็ได้เครื่องนึงจะไม่ว่าเป็นเส้นว่า
00:02:50 → 00:02:53 เห็นมิสเซียร์นะครับอะไรก็แล้วแต่ซึ่งจะ
00:02:53 → 00:02:57 ยุ่งกับตรงนี้นะฮะตรงเออาร์เอสที่ผมบอกนะ
00:02:57 → 00:03:00 ครับมันก็จะทำให้เรามีปัญหาคือหมดสติได้
00:03:00 → 00:03:02 อีกแล้วอะไรล่ะครับที่จะยุ่งกับตรงนั้น
00:03:02 → 00:03:07 เช่นถ้าเกิดอยู่มีการลดลงของเลือกที่จะ
00:03:07 → 00:03:09 เรียนบริเวณนั้นนะครับก็จะทำให้เราหมดสติ
00:03:09 → 00:03:11 ได้ยกตัวอย่างเช่นถ้าเรามีการเต้นผิดปกติ
00:03:11 → 00:03:14 หัวใจกันจะพันนะครับหัวใจดิบเพื่อไปไม่
00:03:14 → 00:03:17 ได้เราก็หมดสตินะครับการที่อยู่ๆเส้น
00:03:17 → 00:03:19 เลือดขยายเพื่อร่างกายเช่นภาวะที่เรายืน
00:03:19 → 00:03:22 ตากแดดอยู่นานๆแล้วจะได้มันขยายนะครับบาง
00:03:22 → 00:03:24 คนที่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงไม่สามารถบิด
00:03:24 → 00:03:26 เอาเลือดกลับมาเลี้ยงที่หัวใจแล้วก็ส่งไป
00:03:26 → 00:03:29 สมองได้พรุ่งนี้ก็จะเป็นลมได้นะครับหรือ
00:03:29 → 00:03:33 คนที่ตกใจมากๆนะครับเช่นอาจจะเจอข่าวที่
00:03:33 → 00:03:37 ทำให้สะเทือนใจมากๆนะครับพวกนี้ก็จะมี
00:03:37 → 00:03:40 ภาวะหนึ่งสุดว่าเลโก้สิ่ง Copy นะครับดี
00:03:40 → 00:03:43 โกเบโก้คือเบกัส Love เนี่ยมันเป็นเส้น
00:03:43 → 00:03:45 ประสาทอันนึงส่งออกมากับสมองนะครับมันจะ
00:03:45 → 00:03:48 ควบคุมการเต้นของหัวใจนักควบคุมเส้นเลือด
00:03:48 → 00:03:50 บางอย่างนะครับทำให้เส้นเลือดขยายและหัว
00:03:50 → 00:03:52 ใจเต้นช้าลงเวลาเป็นแบบนี้เนี่ยจะทำให้
00:03:52 → 00:03:55 เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอดังนั้นจึงทำให้มี
00:03:55 → 00:03:57 การหมดสติเกิดขึ้นนะครับนี่คือปัญหาทาง
00:03:57 → 00:04:00 ด้านที่เกิดจากตัวเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
00:04:00 → 00:04:03 นี้นะครับบางกรณีก็จะเกิดจากการที่ดิน
00:04:03 → 00:04:06 อะไรไปอุดกั้นในทางเดินของอ่าหัวใจเช่น
00:04:06 → 00:04:10 ถ้าเรามีอะไรไปอุดนั้นเลือกนะครับเช่น
00:04:10 → 00:04:12 เอ่อเลขที่อุดตันในปอนด์อ่ะด้วยก็จะไป
00:04:12 → 00:04:14 เลี้ยงหัวไม่ได้นะครับเราก็จะหมดสติน่ะ
00:04:14 → 00:04:18 อ่ะต่อไปคือเลือกเนี่ยมันมีอะไรอยู่ใน
00:04:18 → 00:04:21 นั้นมาทำให้เรามีสติได้นะครับสมองของเรา
00:04:21 → 00:04:23 เนี่ยมันต้องใช้สิ่งที่อยู่ในเลือดก็คือ 1
00:04:23 → 00:04:27 ออกซิเจนนะอันที่สองคือครู Ghost ซึ่ง
00:04:27 → 00:04:29 เป็นน้ำตาลนะครับที่อยู่ในเลือดเรานี่
00:04:29 → 00:04:32 แหละนะฮะสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
00:04:32 → 00:04:35 สำหรับการที่สมองจะนะทำหน้าที่อยู่ได้ถ้า
00:04:35 → 00:04:37 เกิดว่าขาด 2 อย่างนี้ก็จะมีปัญหานะครับ
00:04:37 → 00:04:41 ถ้าเลือดมาไม่ได้ก็จะทำให้เราหมดสติได้นะ
00:04:41 → 00:04:43 ครับถ้าเกิดว่าเลือกเนี่ยมีน้ำตาลที่น้อย
00:04:43 → 00:04:46 มากๆสมองไม่ต้องการน้ำตาลเยอะมากๆถ้าเรา
00:04:46 → 00:04:49 ไม่มีน้ำต่างๆให้มันก็จะหมดสตินะครับเช่น
00:04:49 → 00:04:52 คนที่เป็นเบาหวานแล้วก็น้ำตาลตกมากๆหลัง
00:04:52 → 00:04:54 จากที่ใช้อินซูลินแล้วก็ไม่สามารถทาน
00:04:54 → 00:04:56 อาหารได้พวกนี้ก็จะน้ำตาลต่ำแล้วก็จะหมด
00:04:56 → 00:05:00 สติได้นะครับอีกอย่างหนึ่งก็คือมันผู้จัด
00:05:00 → 00:05:03 การใช้กลูโคสมันต้องการออกซิเจน Oxygen
00:05:03 → 00:05:05 เนี่ยถ้าเกิดว่าเราไม่มีให้มาเนี่ยนะครับ
00:05:05 → 00:05:10 ก็จะมีปัญหาเช่นอะไรบ้างเช่นคนที่ที่โดน
00:05:10 → 00:05:13 อุตตมจมูกนานๆนะครับก็จะหมดสติคนที่ดำน้ำ
00:05:13 → 00:05:16 แล้วก็โผล่ขึ้นมาไม่ทันก็หมดสติได้นะฮะ
00:05:16 → 00:05:19 อย่างนี้เป็นต้นหรือคนที่ขาดอากาศหายใจ
00:05:19 → 00:05:22 ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆก็จะหมดสติได้นะครับ
00:05:22 → 00:05:25 นี่ก็คือเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงหมดสติ
00:05:25 → 00:05:28 นะครับปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นี้นะครับคือ
00:05:28 → 00:05:31 การที่เราทราบว่าเราหมดสติเนี่ยก่อนที่จะ
00:05:31 → 00:05:33 ไปถึงตรงที่ว่าเราหมดสติแปบเป็นลมเนี่ย
00:05:33 → 00:05:36 เราจะต้องแยกภาวะหนึ่งซึ่งทำให้เรามีสติ
00:05:36 → 00:05:39 ที่เปลี่ยนแปลงไปได้นั่นก็คือภาวะชักนะ
00:05:39 → 00:05:42 ครับฉากหรือที่ภาษาอังกฤษเนี่ยเราจะเรียก
00:05:42 → 00:05:46 ว่าสีเชอนะครับหรือซีซีนะครับ Seed ในแปล
00:05:46 → 00:05:50 ว่าชักนะครับ SE I ce หรือคนไทยก็ and
00:05:50 → 00:05:53 SI Ze นี่แหละครับคือ Peace แปลว่าชัก
00:05:53 → 00:05:57 นะครับหรือถ้าโรคลมชักนะภาษาอังกฤษจะไม่
00:05:57 → 00:06:00 ว่า S Galaxy นะครับจะ galaxxy จะเอามี
00:06:00 → 00:06:03 การชักเนี่ยมันเป็นการที่สมองของเราเนี่ย
00:06:03 → 00:06:06 มีการส่งคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติออกมานะครับ
00:06:06 → 00:06:09 เวลาขึ้นฟ้าตรงนั้นเนี่ยจะจ่ายพวกสมอง
00:06:09 → 00:06:12 เนี่ยนะครับมันจะทำให้ระบบของสมองรวนแล้ว
00:06:12 → 00:06:15 เราก็จะหมดสติไปนั่นคือการชักนะครับเอ๊ะ
00:06:15 → 00:06:19 เราจะแยกยังไงว่าคนนี้เป็นลมเฉยๆคือสิ่ง
00:06:19 → 00:06:23 Coffee หรือคนนี้เป็นชักนะครับหรืออัน
00:06:23 → 00:06:26 ที่สามที่เจอบ่อยคือแกล้งทำอะไรจะรู้ได้
00:06:26 → 00:06:29 ยังไงว่าแกล้งทำแกล้งชักนะครับหรือว่า
00:06:29 → 00:06:32 แกล้งเหมาะสตินะเรามีวิธีการตรวจทางการ
00:06:32 → 00:06:35 แพทย์นะครับเพราะว่าผมก็เจอมาหลายรายแล้ว
00:06:35 → 00:06:37 นะครับสำหรับคนที่ประสบการณ์ทางด้านการ
00:06:37 → 00:06:39 แพทย์น้อยก็จะบอกว่าตกลงไอ้นี่เดี๋ยว
00:06:39 → 00:06:42 แกล้งชักหรือฮักจริงแล้วก็เห็นในหนังที่
00:06:42 → 00:06:45 เขาชักนะคะจริงเลยครับกล่องนะครับเรามา
00:06:45 → 00:06:50 เริ่มจากการที่คนไข้เราจะแยกยังไงว่าอัน
00:06:50 → 00:06:53 นี้มันเป็นการหมดสติแบบเป็นลมหรือเป็นชัก
00:06:53 → 00:06:57 นะครับผ้าแบบเป็นลมธรรมดาส่วนมากแล้วนะ
00:06:57 → 00:07:00 ครับก็คือจะมีแค่หมดสติไปเฉยๆแต่อาชัก
00:07:00 → 00:07:04 เนี่ยนะครับเนื่องจากมันมีการนำไฟฟ้าที่
00:07:04 → 00:07:07 ผิดปกติของทั้งสมองจะทำให้สมองเราเนี่ย
00:07:07 → 00:07:10 ส่งกระแสประสาทมาตามร่างการต่างๆเกิด
00:07:10 → 00:07:13 กล้ามเนื้อกระตุกและเก่งนะฮะกล้ามเนื้อ
00:07:13 → 00:07:17 กระตุกและเกร็งคนไข้ก็บางคนนะครับอาจจะมี
00:07:17 → 00:07:21 อาการนำมาเกาะนะใกล้ๆจ๊ะแต่บางคนจะรู้ว่า
00:07:21 → 00:07:23 ตัวเองกำลังจะชักในสำหรับคนที่เคยชักมา
00:07:23 → 00:07:25 ก่อนก็จะทราบว่าการเป็นแบบนี้นะฮะเพราะ
00:07:25 → 00:07:28 เป็นซักพักหนึ่งตอนชักเนี่ยนะครับก็อาจจะ
00:07:28 → 00:07:31 มีตาเหลืองขึ้นนะครับนี่คือเป็นการทำงาน
00:07:31 → 00:07:33 ผิดปกติของกล้ามเนื้อลูกตามันก็จะเหลือ
00:07:33 → 00:07:36 ขึ้นนะครับกล้ามเนื้อกรามก็จะกัดแข็ง
00:07:36 → 00:07:38 แกร่งอาจจะมีการบาดเจ็บที่ลิ้นอาจจะกลิ่น
00:07:38 → 00:07:41 เลือดออกได้นะครับหรือว่าอาจจะมีการ
00:07:41 → 00:07:43 กระตุกที่ที่หมื่นนะครับพอกระตุกมากๆ
00:07:43 → 00:07:46 เนี่ยจะปวดกล้ามเนื้อนะครับได้นะฮะมีการ
00:07:46 → 00:07:48 ตัดเจ็บนะครับพวกที่ส่วนใหญ่เวลาชักถ้า
00:07:48 → 00:07:51 ยังเดินๆอยู่เนี่ยจะล้มลงไปหัวป้าโดนอะไร
00:07:51 → 00:07:54 นะครับก็จะเกิดกันมาเจ็บนะมีการควบคุม
00:07:54 → 00:07:56 ระบบการขับถ่ายที่ผิดปกติไปพวกนี้อาจจะ
00:07:56 → 00:07:59 ปัสสาวะราดออกมาหรืออุจจาระราดเลยก็ได้นะ
00:07:59 → 00:08:02 ครับจะมีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเนี่ยให้เรา
00:08:02 → 00:08:05 สงสัยไว้ก่อนว่าคนนี้ชักจริงๆนะครับชัก
00:08:05 → 00:08:08 จริงๆชักเล่นด้วยนะครับเอออีกแบบนึงก็คือ
00:08:08 → 00:08:11 ถ้าคนที่เป็นลมเนี่ยจะมักไม่ค่อยมีอาการ
00:08:11 → 00:08:15 พวกนี้นะครับแต่มีภาวะหนึ่งถ้าเป็นลมบาง
00:08:15 → 00:08:17 อย่างเนี่ยอาจจะมีการชักมีกระตุกขึ้นมา
00:08:17 → 00:08:20 อย่างนี้ได้นะแต่มักจะไม่มีอาการที่เรา
00:08:20 → 00:08:23 ปัสสาวะเล็ดหรือว่ามีอุจจาระ LED นะครับ
00:08:23 → 00:08:25 จะมีแบบนั้นแล้วก็จะไม่มีการกัดลิ้นตัว
00:08:25 → 00:08:31 เองนะครับถามว่าเรามีวิธีในการทำให้เกิด
00:08:31 → 00:08:35 อาการแบบนั้นไหมนะครับจริงๆก็มีวิธีอัน
00:08:35 → 00:08:37 นึงเหมือนกันแต่ผมไม่แนะนำให้ไปลองทำนะ
00:08:37 → 00:08:41 ครับสำหรับคนที่อยากรู้ว่าเวลาที่เรา
00:08:42 → 00:08:45 เป็นลมนะมันเป็นยังไงและมีการชักกระตุก
00:08:45 → 00:08:47 ได้บ้างมันเป็นยังไงนะครับ
00:08:47 → 00:08:51 ลองดูก็ได้ไปอยู่ตรงที่มันมีพื้นที่นิ่มๆ
00:08:51 → 00:08:55 นะครับที่เราลบแล้วไม่เป็นอะไรนะครับนั่ง
00:08:55 → 00:08:58 ยองไปนะครับกลั้นลมหายใจแล้วเก่งเหมือน
00:08:58 → 00:09:02 เราเบญจรแล้วยืนขึ้นทันทีเอ่ออ่ะมีหลายคน
00:09:02 → 00:09:04 จะเป็นลมลงปิดลงไปกับพื้นแล้วก็มีเก่ง
00:09:04 → 00:09:06 กระตุกนะครับนั้นไม่ใช่ชักนะครับเป็นการ
00:09:06 → 00:09:08 ทำงานผิดปกติสมองชั่วคราวแล้วหลังจากนั้น
00:09:08 → 00:09:12 ก็จะฟื้นถ้าเป็นชักแบบของจริงนะครับอัน
00:09:12 → 00:09:15 นี้ผมบอกมีการบาดเจ็บที่บินจากการกัดราม
00:09:15 → 00:09:17 นะครับตาเหลือกได้ปัสสาวะเล็ดอุจจระ LED
00:09:17 → 00:09:20 ได้มีอาการปวดตามตามมือตามกล้ามเนื้อต่าง
00:09:20 → 00:09:23 ๆได้นะครับและที่สำคัญคืออาจจะจำเหตุ
00:09:23 → 00:09:25 การณ์ตรงนั้นไม่ได้เลยนะครับก็คือมีความ
00:09:25 → 00:09:28 ที่เสียไปเพราะว่าไฟฟ้านี่มันไปยุ่งกับ
00:09:28 → 00:09:30 สมองส่วนความจำทุกอย่างเลยนะครับทำให้
00:09:30 → 00:09:33 ช่วงนั้นเนี่ยอาจจำไม่ได้ในช่วงหนึ่งแล้ว
00:09:33 → 00:09:35 ค่อยมาฟื้นแต่ถ้าเป็นลมเฉยๆนะครับเวลา
00:09:35 → 00:09:38 ฟื้นเข้ามาแล้วเนี่ยจะจำได้เลยว่าเราเป็น
00:09:38 → 00:09:40 ลมได้ยังไงนะครับก็น่าจะเป็นลมมันเป็นยัง
00:09:40 → 00:09:43 ไงบ้างนะครับแล้วก็ตื่นมาเนี่ยมันจะไม่มี
00:09:43 → 00:09:45 อุจจาระปัสสาวะราดปวดตามตัวนี้อาจจะไม่มี
00:09:45 → 00:09:47 ยกเว้นว่าถ้าเราไปล้มโดนอะไรใส่อันนี้ก็
00:09:47 → 00:09:51 มีแน่ๆนะครับอันนี้คือเป็นเหตุผลส่วน
00:09:51 → 00:09:55 แกล้งขำบางคนแกล้งชัดนะครับแกล้งชักหรือ
00:09:55 → 00:09:57 ว่าแกล้งตัวสติเราจะทดสอบได้อย่างไรนะ
00:09:57 → 00:10:00 ครับคนพรุ่งนี้ส่วนใหญ่เวลาแรกชักเหลือง
00:10:00 → 00:10:02 แล้วก็จัดเราแน่นอนเราต้องจับให้เขานอน
00:10:02 → 00:10:07 อยู่ไหมครับวิธีก็คือถ้าลองให้เขาเปิดตา
00:10:07 → 00:10:09 ก็ได้ถ้าเอามือไปจิ้มตรงตาแล้วก็หลับนาย
00:10:09 → 00:10:11 นะแน่นอนว่านั้นอ่ะไม่ได้ชัดจริงแล้ว
00:10:11 → 00:10:13 เพราะการชักเนี่ยมันจะต้องเป็นการสูญเสีย
00:10:13 → 00:10:16 สตินะครับไม่สามารถประกอบสติได้อีกแบบ
00:10:16 → 00:10:18 หนึ่งซึ่งง่ายที่สุดเลยก็คือถ้าคนไข้ปวด
00:10:18 → 00:10:21 ตาคือหลับตาไว้ตลอดแล้วก็นอนไม่ได้สติเรา
00:10:21 → 00:10:23 เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้นะครับก็เราอย่าง
00:10:23 → 00:10:27 นี้ครับยกมือคนไข้ขึ้นมาไว้ตรงเหลือหน้า
00:10:27 → 00:10:31 นะครับเนี่ยหน้าแบบนี้ก็ปล่อยกะทันหันเลย
00:10:31 → 00:10:34 นะครับมึงจะตกลงมาถ้าเกิดเป็นคนที่ชัก
00:10:34 → 00:10:36 หรอกก็คือยังมีสติอยู่เนี่ยมึงมันตกลงมา
00:10:36 → 00:10:38 ทำเมื่อไหร่จะโดนอ้าปุ๊บเขาจะเอามือของ
00:10:38 → 00:10:41 ได้ทันทีมึงจะไม่โดนแน่เสมอเลยนะครับอัน
00:10:41 → 00:10:44 นี้จะเป็นชัดบอกนะครับถ้าคนที่ชัดจริงๆจะ
00:10:44 → 00:10:46 หมดสติไม่รู้เรื่องไปเลยเวลาที่เราทำแบบ
00:10:46 → 00:10:49 นี้เราปล่อยตกมันจะชนหน้าเลยนะครับแล้ว
00:10:49 → 00:10:51 มันค้นหาว่าเออแล้วมันไม่บาดเจ็บไม่บาด
00:10:51 → 00:10:53 เจ็บครับมันแค่นิดเดียวเท่านั้นเองมือกด
00:10:53 → 00:10:54 กระแทกหน้าเราได้เกิดอะไรอยู่แล้วนะครับ
00:10:54 → 00:10:57 แต่ว่าข้าเป็นคนที่เขามีสติอยู่ข้างใน
00:10:57 → 00:10:59 เนี่ยแกล้งเช้าพรุ่งนี้มือหล่นว่าโอ้ไม่
00:10:59 → 00:11:01 ได้ต้องนี้นะครับตรงนี้มันจะรู้แล้วว่า
00:11:01 → 00:11:04 จริงๆสิ่งที่เขาหมดสตินะก็แกล้งทำแล้ว
00:11:04 → 00:11:07 จริงๆจะมีเหตุผลอย่างอื่นเช่นอาจจะมีโรค
00:11:07 → 00:11:08 ซึมเศร้าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่เบื้อง
00:11:08 → 00:11:12 หลังที่เราจะต้องไปหาเหตุผลนะครับแต่ที
00:11:12 → 00:11:16 นี้มาต่อกันด้วยว่าคนที่เป็นลมนะครับเป็น
00:11:16 → 00:11:19 ลมเนี่ยเอ่อเรามีวิธีสืบหาสาเหตุอย่างไร
00:11:19 → 00:11:22 บ้างนะครับเป็นลมเนี่ยบางครั้งถึงที่เรา
00:11:22 → 00:11:24 ถามคือเราต้องรู้ก่อนว่าที่มีหัวใจเจ็บ
00:11:24 → 00:11:27 ปกติมาก่อนหรือเปล่าบางคนก็จะบอกได้เลย
00:11:27 → 00:11:29 ว่าก่อนหน้าที่จะเป็นเรียนรู้สึกคนมันใจ
00:11:29 → 00:11:32 สั่นน่ะหรือบางชู้สึกหัวใจมันหยุดเต้นใน
00:11:32 → 00:11:34 แป๊บนึงแล้วก็สั่งได้มาใหม่อย่างนี้ให้
00:11:34 → 00:11:36 เราไปหาปัญหาของหัวใจก่อนนะว่าไม่มีอะไร
00:11:36 → 00:11:38 อยู่หรือเปล่านะครับคนที่เป็นเบาหวานแล้ว
00:11:38 → 00:11:41 ต้องตรวจน้ำตาลเสมอนะครับว่ามีการน้ำตาล
00:11:41 → 00:11:43 ต่ำหรือเปล่าถ้ามีเนี่ยมันต้องเด้งรักษา
00:11:43 → 00:11:45 นะครับไม่งั้นไม่ฟื้นนะครับอาจจะอันตราย
00:11:45 → 00:11:48 ถึงชีวิตได้นะครับบางคนไข้ประวัติว่า
00:11:48 → 00:11:52 เนี่ยพอเพิ่งหายป่วยเลยขายป่วยมาแล้วกิน
00:11:52 → 00:11:54 ข้าวได้อยู่ก็เป็นลมไปพวกเนี้ยส่วนใหญ่
00:11:54 → 00:11:56 เป็นเพราะว่าร่างกายเนี่ยขาดน้ำนะครับ
00:11:56 → 00:11:59 เพราะขาดน้ำเนี่ยเลื่อนก็มีไม่พอนะครับ
00:11:59 → 00:12:01 เรื่องนี้ร้านซ่อมปั๊มไปเลี้ยงสมองไม่พอ
00:12:01 → 00:12:04 นะครับยิ่งขาดอาหารอย่างที่เมื่อกี้ผมบอก
00:12:04 → 00:12:07 อาหารที่มาของน้ำตาลน้ำตาลกลูโคสกลูโคส
00:12:07 → 00:12:09 คือสารอาหารของสมองถ้าไม่มีทางเลือกมี
00:12:09 → 00:12:12 ทั้งน้ำไม่มีทั้งน้ำตาลสมองท่านก็ขาดแล้ว
00:12:12 → 00:12:15 ก็เป็นลมง่ายนะฮะอ้านี้แล้วก็เจอบ่อยหรือ
00:12:15 → 00:12:18 ว่าอย่างที่เคยเห็นแบบทหารยืนกลางแดดนานๆ
00:12:18 → 00:12:21 ก็พวกนี้ก็เนื่องจากว่าเราเสียเหงื่อเสีย
00:12:21 → 00:12:24 เกลือแร่ไปด้วยนะครับแล้วก็แน่นอนบางคน
00:12:24 → 00:12:26 เนี่ยเส้นเลือดขยายทั่วร่างกายนะครับ
00:12:26 → 00:12:29 เพราะเวลาที่เราร้อนเสื้อตามร่างกายมัน
00:12:29 → 00:12:31 ขยายเพื่อลดความร้อนการที่มันขยายทำให้
00:12:31 → 00:12:34 ความดันเลือดมันตกลงเวลาตกลงเลือดมันก็ไป
00:12:34 → 00:12:37 เลี้ยงสมองได้น้อยลงนะครับก็จะทำให้เกิด
00:12:37 → 00:12:39 การเป็นลมได้นะครับนี่ก็คือเป็นสิ่งที่
00:12:39 → 00:12:42 ปกติเวลามาหาหมอแล้วจะลองหาสาเหตุพวกนี้
00:12:42 → 00:12:44 ดูก่อนนะครับต้องถือจากนี้ยังมีสาเหตุพวก
00:12:44 → 00:12:47 ปลัดประหลาดหลายๆอย่างนั้นครับเช่นเอ่อ
00:12:47 → 00:12:50 บางคนรู้สึกมีการคลื่นไส้อาเจียนก่อนที่
00:12:50 → 00:12:52 จะเป็นลมนะครับเช่นว่ารู้สึกว่าเพื่อใส่
00:12:52 → 00:12:54 เกียร์หน้าขาวติดเลยนะครับแล้วก็เป็นลงไป
00:12:54 → 00:12:57 หรือบางคนเจ็บมากๆแล้วเป็นลมไปอันเนี้ย
00:12:57 → 00:13:00 มันเป็นเหตุที่ว่าร่างกายเรามีการกระตุ้น
00:13:00 → 00:13:03 เส้นประสาทผู้ที่สิ่งที่เรียกว่า Vegas
00:13:03 → 00:13:05 Love ที่ผมบอกมาตะกี้นี้นะครับขึ้นมาสัก
00:13:05 → 00:13:08 ขึ้นนี้นะครับมันจะมีการไปเลี้ยงที่หัวใจ
00:13:08 → 00:13:11 ทางเดินอาหารทั้งหมดของเราและเวลาที่เรา
00:13:11 → 00:13:13 ไปเกิดการบาดเจ็บมากๆมันจะเป็นกระตุ้น
00:13:13 → 00:13:15 เส้นประสาทเส้นนี้หรือบางครั้งเรามีการ
00:13:15 → 00:13:18 คลื่นไส้มากๆแล้วก็การ์ตูนประสาทเส้นนี้
00:13:18 → 00:13:20 นะครับหรือบางคนรู้สึกว่า
00:13:20 → 00:13:22 เรามีการ
00:13:22 → 00:13:26 เบ่งอุจจาระมากๆเด่นปัสสาวะมากๆก็จะเป็น
00:13:26 → 00:13:28 ตู้ใช่ประสาทชั้นนี้นะครับเวลาก็ตู้ใช่มา
00:13:28 → 00:13:30 จากเส้นนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหัวใจเต้น
00:13:30 → 00:13:34 ช้าลงนะครับและเสื้อจักรยายพ่อเกิดแบบนี้
00:13:34 → 00:13:37 ขึ้นปุ๊ปเนี่ยความดันเลือดจะตกทันทีทำให้
00:13:37 → 00:13:40 เขาเป็นลมนะครับนั้น 5 เราถามประวัติคน
00:13:40 → 00:13:43 ไข้เราจะได้เป้าเราอาจจะบอกว่าน่าจะได้
00:13:43 → 00:13:45 ตลอดว่าคนไข้คนเนี้ยอาจจะไปเจออะไรที่ทำ
00:13:45 → 00:13:47 ให้บาดเจ็บรุนแรงเช่นเจ็บมากๆนะครับหรือ
00:13:47 → 00:13:51 ว่ากรณีที่เอ่อมีการคลื่นไส้อาเจียนมา
00:13:51 → 00:13:54 ก่อนนะครับอยู่หน้าสิมีเหงื่อตกตัวเย็น
00:13:54 → 00:13:56 แล้วเป็นลมไปอย่างเงี้ยให้เราสงสัยไว้
00:13:56 → 00:13:59 ก่อนว่าน่าจะเป็นเพราะว่าเส้นภาษาคุยสิ
00:13:59 → 00:14:01 โดนกระตุ้นมีอะไรสักอย่างนะครับเราจะ
00:14:01 → 00:14:04 เรียกว่าเรย์โซล bagel syncope นะครับ
00:14:04 → 00:14:05 หรือ bagel bagel สิงห์ของปีก็ได้นะครับ
00:14:05 → 00:14:08 ก็ได้ทั้ง 2 แบบแล้วแต่จะเรียกนะครับนี่
00:14:08 → 00:14:13 ก็เป็นสาเหตุที่เวลาเราหาอ่าผมจะแถมให้
00:14:13 → 00:14:16 อีกอย่างนึงละกันสำหรับกรณีที่คนไข้ชัก
00:14:16 → 00:14:18 แล้วเราแยกไม่ได้เพราะว่าคนไข้บางคนเนี่ย
00:14:18 → 00:14:22 เวลามาด้วยชักนะครับเขาจะไม่ได้ชัดจริง
00:14:22 → 00:14:24 และเป็นชักปลอมแต่ทำเหมือนชัดจริงไปเลยนะ
00:14:24 → 00:14:27 ฮะคือมีการกระตุกอย่างเนี้ยเพราะเขารู้
00:14:27 → 00:14:30 ว่ากระตุกแบบไหนทำให้คนรอบข้างเห็นว่าอัน
00:14:30 → 00:14:32 นั้นชัดจริงๆนะครับแล้วมันก็มีวิธีตรวจ
00:14:32 → 00:14:34 ด้วยน้องเลยจะเอามื้ออย่างเงี้ยอยู่บางคน
00:14:34 → 00:14:36 อาจจะรู้วิธีนี้ก็คือยอมปล่อยมันโดนหน้า
00:14:36 → 00:14:39 ไปเขาก็จะได้ไม่เป็นอะไรนะครับบางคนเก่ง
00:14:39 → 00:14:42 ขนาดนั้นแต่ว่าทางแคบก็จะมีวิธีใช้อยู่ดี
00:14:42 → 00:14:44 ถ้าเขาทักมาใหม่ๆเนี่ยเราเจาะเลือดไปตรวจ
00:14:44 → 00:14:48 เลยนะครับลบตรวจหาอะไรแล้วตรวจหาข้อโมตัว
00:14:48 → 00:14:50 นึงครับชื่อว่าโปรแลคตินนะครับตัวแรกเป็น
00:14:50 → 00:14:53 เนี่ยมันเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการ
00:14:53 → 00:14:57 หลั่งน้ำนมนะครับแต่คนที่มีการชักจริงๆ
00:14:57 → 00:15:00 ค่าโปรลักเป็นผู้นี้จะสูงขึ้นนะจะสูงขึ้น
00:15:00 → 00:15:02 ก็เพราะว่าเวลาที่มันมีกระแสไฟฟ้าไป
00:15:02 → 00:15:04 กระตุ้นระบบทั้งหมดของเราเนี่ยต่อมใต้
00:15:04 → 00:15:06 สมองเราจะหลังบนและกินออกมาจริงๆรถติดมัน
00:15:06 → 00:15:09 จะโดนควบคุมด้วยสมองเรานี่แหละครับไม่ให้
00:15:09 → 00:15:11 มันหลั่งออกมามากเกินไปแต่ถ้าเมื่อไหร่
00:15:11 → 00:15:13 มันสูญเสียการควบคุมก็คือมีไฟฟ้าไปช็อต
00:15:13 → 00:15:15 มันสูญเสียการควบคุมผู้ก็จะปล่อยฮอร์โมน
00:15:15 → 00:15:17 ไม่ออกมาเลยทำให้เราตรวจแล้วมันสูงขึ้น
00:15:17 → 00:15:20 แต่ว่าพอหายชักพวกมันก็จะลดลงไปดังนั้น
00:15:20 → 00:15:22 เราจะต้องรีบตรวจก่อนที่ Hormone ตัวนี้
00:15:22 → 00:15:25 จะต่ำลงไปนะครับโดยทั่วไปในช่วงไม่กี่
00:15:25 → 00:15:27 ชั่วโมงละเท่าจอดรถปุ๊บรู้เลยทันทีถ้า
00:15:27 → 00:15:30 เกิดว่าคนไหนที่มีอาการแบบนี้ไปๆแล้วเรา
00:15:30 → 00:15:32 สงสัยชัดจริงเลยชักไม่จริงเราจะตรวจนะ
00:15:32 → 00:15:34 ครับแล้วมันก็รู้ได้เลยนะครับทำให้เราบอก
00:15:34 → 00:15:37 ได้เลยว่าคนเนี้ยชักเพราะว่าอาจจะมีปัญหา
00:15:37 → 00:15:40 ทั้งนั้นจิตใจนะครับทางด้านโรคทางจิตเวช
00:15:40 → 00:15:42 ซึ่งเราอาจจะต้องปรึกษาหมอให้ถูกทางก็
00:15:42 → 00:15:44 ต้องปรึกษาหมอติดทางเนี่ยนะครับไปคิดว่า
00:15:44 → 00:15:47 เขาเป็นโรคลมชักให้ยาไปเท่าไหร่ก็ไม่หาย
00:15:47 → 00:15:50 นะฮะต้องแก้ไขที่ทางด้านภาวะจิตเวชนะครับ
00:15:50 → 00:15:54 โอเคที่นี่ค่ะสุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า
00:15:54 → 00:15:56 ถ้าสมมติว่าเราวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นลม
00:15:56 → 00:15:59 จริงๆนะครับแล้วก็ไม่ได้เจอสาเหตุอะไร
00:15:59 → 00:16:02 พิเศษนะครับมีวิธีในการแก้ไขทำอย่างไร
00:16:02 → 00:16:05 บ้างนะครับถ้าเราเจอเลยอันแรกแน่นอนให้คน
00:16:05 → 00:16:07 ไข้นอนลงนะครับเพราะว่าเลือกจะไปเลี้ยง
00:16:07 → 00:16:10 สมองได้ดีขึ้นนะครับอยากให้มีคนมามุงเยอะ
00:16:10 → 00:16:12 แล้วต้องให้ออกซิเจนให้อากาศถ่ายเทให้ดี
00:16:12 → 00:16:14 ที่สุดนะครับแล้วแต่คนไข้ต้องการที่จะ
00:16:14 → 00:16:17 ป้องกันไม่ให้มันเป็นใหม่นาคตเนี่ยสิ่ง
00:16:17 → 00:16:19 ที่สำคัญอย่างที่ผมบอกเลือดไปเลี้ยงสมอง
00:16:19 → 00:16:23 ต้องเพียงพอนะครับเราจะต้องมีออกซิเจนไป
00:16:23 → 00:16:26 เลี้ยงสมองเกมส์พอและจะต้องมีมีกลูโคส
00:16:26 → 00:16:29 เป็นสมองให้เป็นเพราะ 1 กินข้าวให้ตรง
00:16:29 → 00:16:32 เวลากินข้าวให้เพียงพออะที่ 2 ออกกำลัง
00:16:32 → 00:16:34 กายเพราะว่าการออกกำลังกายจะทำให้กล้าม
00:16:34 → 00:16:36 เนื้อของเราแข็งแรงตัวแจ้งของเราแข็งแรง
00:16:36 → 00:16:38 อีกเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีมากขึ้นนะครับ
00:16:38 → 00:16:42 อันที่ 3 จะต้องพักผ่อนที่เป็นพอทำอะไร
00:16:42 → 00:16:45 เราพักผ่อนไม่เพียงพอสมรดาอยู่แล้วมันขาด
00:16:45 → 00:16:49 เหลือนิดเดียวอ่ะเราไปลงไปเลยนะครับตรง
00:16:49 → 00:16:52 นี้สำคัญมากๆนั้นออกกำลังกายดึงคอกิน
00:16:52 → 00:16:55 อาหารที่มีประโยชน์เฮงให้เพียงพอและการ
00:16:55 → 00:16:58 พักผ่อนให้เพียงพอ 3 ข้อนี้หลักๆในการที่
00:16:58 → 00:17:00 จะป้องกันไม่ให้ท่านเป็นลมอีกนะครับฮะ
00:17:00 → 00:17:02 โอเควันนี้ก็เท่านี้นะครับขอบคุณมากครับ
00:17:02 → 00:17:05 สวัสดีครับ