00:00:00 → 00:00:03 คุณหมอบู vist คุณหมอน่าจะทันดูหลาย
00:00:03 → 00:00:06 ภาพยนตร์หลายเรื่องของเขาเลยอืมปัจจุบัน
00:00:06 → 00:00:10 นี้คุณหมอเห็นข่าวนะข่าวของบูฟ List ะเอ๊
00:00:10 → 00:00:13 อาการของบูฟิเองเนี่ยมันคืออาการของโรค
00:00:13 → 00:00:18 อะไรคุณหมอครับครับจริงๆอ่าอันเนี้ยผม
00:00:18 → 00:00:20 ต้องบอกก่อนออกตัวก่อนเดี๋ยวเผื่อมีผู้
00:00:20 → 00:00:24 ฟังบางคนจำได้คือจริงๆแล้วอ่ะผมเคยออกราย
00:00:24 → 00:00:27 การสุขภาพดี 22:00 นเรื่องอาเซียมาแล้ว
00:00:27 → 00:00:30 ตอนประมาณเดือนเมษายนปีที่แล้วมันมันคาบ
00:00:30 → 00:00:34 เกี่ยวกับช่วงที่บูมีอาการพอดีครับๆใช่
00:00:34 → 00:00:37 ครับแต่ว่าตอนนั้นเนี่ยก็คือเป็นข่าวออก
00:00:37 → 00:00:40 มาใหม่ๆแล้วก็เ้ายังไม่มีการอัปเดตอาการ
00:00:40 → 00:00:44 ว่าเหมือนกับว่าเอ่อบูฟิเนี่ยมีภาวะ
00:00:44 → 00:00:46 อาเซียแต่เยังไม่ได้มีการอัปเดตตอนนั้น
00:00:46 → 00:00:48 ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่คือตอนนั้นทาง
00:00:48 → 00:00:51 ครอบครัวยังไม่ได้เปิดเผยะทีเดียวใช่ๆๆมี
00:00:51 → 00:00:54 แต่คนรอบข้างเนาะครับครับแล้วตอนหลัง
00:00:54 → 00:00:56 เนี่ยก็คือเหมือนกับว่าพอผ่านหลังจากช่วง
00:00:56 → 00:00:59 นั้นไปสัก 2-3 เดือนน่ะหลังจากนั้นทาง
00:00:59 → 00:01:01 ครอบครัวก็เรเริ่มออกมาให้ข้อมูลมากขึ้น
00:01:01 → 00:01:04 ออกมาตามรายการโทรทัศน์ของทางสหรัฐ
00:01:04 → 00:01:08 อเมริกาว่าอ่าว่าตอนหลังเนี่ยมีการเปิด
00:01:08 → 00:01:10 เผยเลยได้ข้อมูลชัดเจนจากทางแพทย์ที่
00:01:10 → 00:01:13 รักษาว่าเป็นโรคสมองเสือบแบบนึงที่เป็น
00:01:13 → 00:01:16 สัมพันธกับภาวะอะเฟเซียพะหลังข้อมูลก็
00:01:16 → 00:01:19 ค่อยๆเปิดเผยากครอบครวเรื่อยๆจนก็ค่อน
00:01:19 → 00:01:22 ข้างชัดเจนแล้วฮะว่าก็น่าจะตรงตามที่เคย
00:01:22 → 00:01:26 มีการต้องข้อสังเกตกันไว้ก็คือเป็นภาวะ
00:01:26 → 00:01:29 สมองเสียบแบบนึงที่สัมพันธ์กับการสื่อสาร
00:01:29 → 00:01:32 และการใช้ษานะครับก็คือสัมพันธกับภาวะอเฟ
00:01:32 → 00:01:33 เซียอ
00:01:33 → 00:01:39 อืครับเอ่อแสดงว่าเจ้าอาการอ่าโรคนี้เอง
00:01:39 → 00:01:42 มันมีมันมีผลมาจากโรคของอะไรนะสมองส่วน
00:01:42 → 00:01:45 หน้าเสื่อมโดยตรงเลยป่ะฮะอาจารย์คุณหมอ
00:01:45 → 00:01:48 ครับคืออันนี้ต้องอธิบายก่อนว่าถ้าถ้าใคร
00:01:48 → 00:01:51 จำช่วงที่แล้วที่ผมเคยเอ่อที่ผมอาจจะเคย
00:01:51 → 00:01:54 พูดไปครั้งนึงะก็คืออาเซียเนี่ยจริงๆแล้ว
00:01:54 → 00:01:58 เนี่ยมันจะเป็นอาการอย่างนึงคือมันเพงว่า
00:01:58 → 00:02:01 จะบ่งชี้ว่าเป็นตัวโรคไหนออย่าเชสมมติว่า
00:02:01 → 00:02:03 ถ้าเรามีแขงขาอ่อนแรงครึ่งซีกเป็นอัมพฤษ
00:02:03 → 00:02:06 อพาใช่มครับอันนั้นก็คืออาการอาการเนี่ย
00:02:06 → 00:02:09 ยังไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไรแต่ส่วนใหญ่
00:02:09 → 00:02:11 อัมพฤษอัมพาตเนี่ยก็จะเป็นพวกหลอเลือด
00:02:12 → 00:02:15 สมองตีบหลอเลือดสมองแตกที่ทำให้เราอาจจะ
00:02:15 → 00:02:18 มีอาการอ่อนแรงครึ่งนึงอาจจะเป็นข้างซ้าย
00:02:18 → 00:02:21 ข้างขวาอเซียนเนี่ยจริงๆก็อยู่ในความหมาย
00:02:21 → 00:02:24 เดียวกันฮะก็คืออ่าเป็นอาการอย่างหนึ่ง
00:02:24 → 00:02:27 แต่ว่ามันจะบ่งชี้อาการของความบกพร่องของ
00:02:27 → 00:02:31 ทักษะทางสมองบางอย่างที่สันกับการความคิด
00:02:31 → 00:02:34 ความจำความนึกคิดต่างๆอะเฟเซียมันจะเป็น
00:02:34 → 00:02:38 ส่วนหนึ่งของทักษะของสมองฮะอะเฟเซียเนี่ย
00:02:38 → 00:02:40 ก็คือมันจะเป็นลักษณะของการบกพร่องของ
00:02:40 → 00:02:43 สมองที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารการใช้
00:02:43 → 00:02:47 ภาษานะครับซึ่งอันเนี้ยมันก็จะบอกว่าอ่ะ
00:02:47 → 00:02:50 เรามีอาการลักษณะนี้อยู่นะแต่ว่าจริงๆ
00:02:50 → 00:02:52 แล้วจะยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าตัวโรคเนี่ย
00:02:52 → 00:02:55 เป็นโรคอะไรอืปกติแล้วการสื่อสารการใช้
00:02:55 → 00:02:58 ภาษาของเราอ่ะครับมันจะเกี่ยวข้องกับสมอง
00:02:58 → 00:03:00 ที่เกี่ยวข้องกับด้านภาษาซึ่งส่วนใหญ่
00:03:00 → 00:03:03 เนี่ยในคนส่วนใหญ่ที่ถนัดขวากันนะฮะก็คือ
00:03:03 → 00:03:06 ประชากรส่วนใหญ่แบบ 90 กว่าเปอร์เซ็นตที่
00:03:06 → 00:03:09 ถนัดขวาเนี่ยส่วนใหญ่สมองที่เกี่ยวข้อง
00:03:09 → 00:03:12 กับการใช้ภาสาเี่จะอยู่ข้างซ้ายนะครับ
00:03:12 → 00:03:14 เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีรอยโรคที่
00:03:14 → 00:03:17 สมองข้างซ้ายค่อนข้างจะถัดไปทางหน้าๆนิด
00:03:17 → 00:03:21 นึงนะครับก็อาจจะมีโอกาสทำให้เกิดภาวะการ
00:03:21 → 00:03:25 เสื่อมถอยการบกพร่องของทักษะการใช้ภาษา
00:03:25 → 00:03:27 การสื่อสารทั้งความเข้าใจภาษาและความ
00:03:27 → 00:03:31 สามารถในการใช้ภาษาพูดอภาษาเขียนได้เช่น
00:03:31 → 00:03:35 กันนะครับซึ่งอันเนี้ยก็จะเห็นได้ชัดเจน
00:03:35 → 00:03:37 ว่าจริงๆแล้วเนี่ยเกิดจากโรคอะไรก็ได้แต่
00:03:37 → 00:03:42 ขอแค่ให้มันมีการบาดเจ็บมีความเสียหายที่
00:03:42 → 00:03:45 สมองส่วนข้างซ้ายอย่างที่อธิบายไปก็
00:03:45 → 00:03:48 สามารถมีอาการอะเฟเซียได้หมดครับอืค่ะคุณ
00:03:48 → 00:03:52 หมอคะอาการอะเฟเซียเนี่ยคือเ่อคุณหมอยก
00:03:52 → 00:03:54 ตัวอย่างให้เห็นชัดๆได้มั้ยคะว่ามันแสดง
00:03:54 → 00:03:57 ออกมาในลักษณะแบบไหนบ้างเรื่องของการ
00:03:57 → 00:04:02 ทักษะการสื่อสารน่ะค่ะครับอ่าผมสามารถแยก
00:04:02 → 00:04:06 ออกมาได้แบบ 2 3 ส่วนง่ายๆอก็คืออันที่ 1
00:04:06 → 00:04:09 ก็คือเป็นความสามารถในการเข้าใจภาษาก่อน
00:04:10 → 00:04:12 ความสามารถในการเข้าใจภาษาก็คือปกติแล้ว
00:04:12 → 00:04:14 เวลาเราฟังคนอื่นคุยหรือว่าเราอ่าน
00:04:14 → 00:04:17 หนังสือเนี่ยเราก็จะอ่านตัวอักษรหรือฟัง
00:04:17 → 00:04:22 คำพูดออกมาเราก็จะสมมุติว่าถ้าผมบอกให้ไป
00:04:22 → 00:04:25 หยิบของหรือว่าให้ชี้ไปที่ Apple หรือให้
00:04:25 → 00:04:27 ชี้ไปที่สิ่งของเนี่ยเค้าก็ทำตามได้เพราะ
00:04:27 → 00:04:32 เคเข้าใจคำสั่งของเราอ่าหรือว่าอ่านผมผม
00:04:32 → 00:04:35 เขียนว่าให้เดินไปที่ประตูแล้วเอ่านเนี่ย
00:04:35 → 00:04:38 ถ้าเทำได้แสดงว่าเขเข้าใจภาษาของเราที่
00:04:38 → 00:04:40 เราเขียนไว้ให้เนี่ยครับคนไข้ที่มีความ
00:04:40 → 00:04:43 ผิดปกติด้านการเข้าใจภาษาเนี่ยก็จะฟังคำ
00:04:43 → 00:04:46 สั่งแล้วไม่เข้าใจหรือว่าอ่านเนี่ยแล้วก็
00:04:46 → 00:04:49 ไม่เข้าใจก็คือเป็นปัญหาด้านคาเข้าของการ
00:04:49 → 00:04:54 ใช้ภาษานะครับอือันที่ 2 ก็คือการพูดออก
00:04:54 → 00:04:57 มาหการสื่อสารออกมาคือเป็นขาออกของการใช้
00:04:57 → 00:05:00 ภาษาก็คือผู้ป่วยแต่จะมาในรูปแบบของการ
00:05:00 → 00:05:03 ที่ไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้รู้เรื่อง
00:05:03 → 00:05:06 คืออาจจะพูดไม่รู้เรื่องพูดติดๆขัดๆพูด
00:05:06 → 00:05:09 ตะกุกตะกะอันนี้ก็จะเป็นขาออกจะเป็นตงกัน
00:05:09 → 00:05:11 ข้ามกับฝั่งเมื่อกี้นะครับหรือว่าไม่
00:05:11 → 00:05:16 สามารถเขียนได้ก็คืออาจจะอ่านเข้าใจหรือ
00:05:16 → 00:05:17 ไม่เข้าใจนี่แหละแต่ไม่สามารถเขียน
00:05:17 → 00:05:20 หนังสือได้ทั้งๆที่ไม่ได้มีภาวะอ่อนแรง
00:05:20 → 00:05:22 ของกล้ามเนื้ออะไรที่ใช้ในการเขียนแต่ว่า
00:05:22 → 00:05:24 เขียนไม่ได้ไม่สามารถสื่อสารภาษาออกมาใน
00:05:24 → 00:05:27 รูปแบบการเขียนหรือการพูดได้อันเนี้ยก็จะ
00:05:27 → 00:05:30 เป็นปัญหาการใช้ภาษาขาออกนะครับอืแบบสุด
00:05:30 → 00:05:33 ท้ายก็คือคนไข้ที่จะเป็นทั้ง 2 อย่างก็
00:05:33 → 00:05:37 คือเข้าใจภาษาก็เสียด้วยหรือว่าการพูดการ
00:05:37 → 00:05:41 เอ่อเขียนสื่อสารออกไปก็เสียด้วยคือเสีย
00:05:41 → 00:05:43 ทั้ง 2 สระเสียทั้ง 2 ด้านอันนี้ก็จะเป็น
00:05:43 → 00:05:46 ขแบบที่ 3 ก็คือสามารถเจอได้ทั้ง 3 แบบ
00:05:46 → 00:05:50 ครับอืแสดงว่ามันแล้วแต่อาการบาดเจ็บเ่อ
00:05:50 → 00:05:54 หรือว่าร่องรอยของบาดแผลที่สมองส่วนนั้น
00:05:54 → 00:05:58 ครับใช่ครับอืบาดแผลต้องถามคุณหมอก่อน
00:05:58 → 00:06:03 เออบบาดแผลหรือว่าการบาดเจ็บทางสมองซิกซ
00:06:03 → 00:06:05 ซิกซ้ายใช่มั้ยครับซิกซ้ายอย่างที่ว่า
00:06:05 → 00:06:09 เนี่ยครับซซอืมันมันมันมันเกิดจากอะไร
00:06:09 → 00:06:14 ครับกระทบกระเทือนอืมโรคภัยไข้เจ็บอาการ
00:06:14 → 00:06:17 ป่วยอื่นๆหรือมันมีสาเหตุอะไรที่จะทำให้
00:06:17 → 00:06:21 เกิดภาวะตรงนั้นได้ครับครับก็อันเนี้ย
00:06:21 → 00:06:23 เนื่องจากอันนี้เป็นอาการเป็นเป็นเพียง
00:06:23 → 00:06:26 อาการอย่างที่ผมอธิบายแล้วเพราะฉะนั้น
00:06:26 → 00:06:28 จริงๆแล้วอาจจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้หลายๆ
00:06:28 → 00:06:31 อย่างนะครับอสาเหตุที่เจอบ่อยที่สุดจริงๆ
00:06:31 → 00:06:33 แล้วของภาวะอะเฟเซียคือโรคหลอดเลือดสมอง
00:06:33 → 00:06:37 ีบหรือแตกนั่นเองก็คือถ้าสมมุติว่าหลอด
00:06:37 → 00:06:40 เลือดสมองไปตีบเนี่ยอันที่เจอบอกคือไปตีบ
00:06:40 → 00:06:42 ตรงบริเวณข้างซ้ายนะครับตรงตำแหน่งที่มัน
00:06:42 → 00:06:45 เป็นสมองด้านการใช้ภาษาด้านการสื่อสารพอ
00:06:45 → 00:06:48 ดีครับคนใครก็อาจจะมีภาวะอาการของอเลเซีย
00:06:48 → 00:06:52 ได้อาจจะเป็นการเข้าใจภาษาไม่ได้การพูด
00:06:52 → 00:06:54 สื่อสารภาษาออกมาไม่ได้หรืออาจจะเป็นทั้ง
00:06:54 → 00:06:57 2 ฝั่งเลยก็ได้อย่างที่ผมอธิบายไปหอ
00:06:57 → 00:06:59 เลือกสมองตีบหรือแตกเนี่ยเป็นสาเหตุเป็น
00:06:59 → 00:07:02 อันดับที่ 1 ของภาวะอะเฟเซียที่เจอบ่อย
00:07:02 → 00:07:05 ที่สุดสำหรับหมอระบบประสาทนะฮะค่ะนอก
00:07:05 → 00:07:07 เหนือจากนั้นที่อาจจะเจอได้นะฮะก็อย่าง
00:07:07 → 00:07:10 เช่นการติดเชื้อในสมองบางอย่างนะครับเช่น
00:07:10 → 00:07:13 มีการติดเชื้อไวรัสในสมองซึ่งอันนี้ก็จะ
00:07:13 → 00:07:16 เจอบ่อยประมาณนึงเหมือนกันนะฮะค่ะอ่าสมัย
00:07:16 → 00:07:18 ก่อนอ่าอาจจะมีความเสี่ยนติดเชื้อได้ง่าย
00:07:18 → 00:07:20 เพราะว่าภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดีอะไรประมาณ
00:07:21 → 00:07:23 นี้เนี่ยพอมีการติดเชื้อในสมองเกิดขึ้น
00:07:23 → 00:07:25 ถ้ามันมาโดนสมองที่เกี่ยวข้องกับการใช้
00:07:25 → 00:07:28 ภาษาก็อาจจะทำให้เกิดภาวะอะเฟเซียได้เช่น
00:07:28 → 00:07:31 กันนะครับออืโรคที่เจอบ่อยขึ้นในยุคหลังๆ
00:07:31 → 00:07:35 นะครับก็คือโรคอ่าการอักเสบที่สมองจากการ
00:07:35 → 00:07:39 แพ้ภูมิตัวเองนะครับถ้าใครอาจจะเคยได้ยิน
00:07:39 → 00:07:42 พวกโลกพุ่มพวงเคยได้ยินมั้ยครับที่คล้ายๆ
00:07:42 → 00:07:46 กับคุณพุ่มพวงที่เป็นอ่าเป็นเหมือนกับ
00:07:46 → 00:07:48 เป็นโรคที่ทำให้คนไทยเราโตอนนั้นตื่นตัว
00:07:48 → 00:07:50 อยู่ช่วงนึงมากที่ว่าเรามีโรคแพ้ภุมตัว
00:07:51 → 00:07:54 เองที่ทำให้อาจจะทำให้เราเสียชีวิตก่อนวย
00:07:54 → 00:07:56 อันควรได้มนะครับโรคแพ้ภูมิตัวเองบาง
00:07:56 → 00:07:59 อย่างเนี่ยก็ทำให้เกิดการอักเสบในสมองค่ะ
00:07:59 → 00:08:02 และก็สามารถทำให้เกิดภาวะอะเฟเซียได้เช่น
00:08:02 → 00:08:05 กันนะครับอืพวกเนื้องอกถ้ามันไปเกาะอยู่
00:08:05 → 00:08:09 ตรงบริเวณสมองด้านภาษาก็เกิดภาวะอะเฟเซีย
00:08:09 → 00:08:12 ได้เช่นกันแต่ส่วนใหญ่จะมีของแถมเช่นอาจ
00:08:12 → 00:08:15 จะมีอาการปวกปีสะอาการเขียนขาอ่อนแรงตาม
00:08:15 → 00:08:18 มาได้ด้วยนะครับสุดท้ายก็คือกรณีของูิ
00:08:18 → 00:08:20 อันเนี้ยจะเป็นออสาเหตุที่ค่อนข้างใหม่
00:08:20 → 00:08:24 สุดในบรรดาทุกสาเหตุที่เราก็มีการศึกษา
00:08:24 → 00:08:26 เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆในปัจจุบันว่าไม่ต้อง
00:08:26 → 00:08:29 มีทุกอย่างที่ว่ามาเลยเมื่อกี้คือไม่
00:08:29 → 00:08:32 จำเป็นต้องมีเส้นเลือดสมองตีบแตกไม่ต้อง
00:08:32 → 00:08:34 มีเนื้องอกไม่ต้องมีการอักเสบของสมองก็
00:08:34 → 00:08:37 ได้ตัวสมองเสื่อมเองเฉยๆเนี่ยแหละครับแบบ
00:08:37 → 00:08:40 เดียวกับพวกอัลไซเมอร์เนี่ยฮะก็สามารถทำ
00:08:40 → 00:08:43 ให้เกิดภาวะอะเฟเซียได้นะครับถ้าสมองมัน
00:08:43 → 00:08:46 ไปเสื่อมถอยตงบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับ
00:08:46 → 00:08:52 การใช้ศักษาครับค่ะอเอ้แล้วถ้าเราใช้ชใช
00:08:52 → 00:08:54 ชีวิตยังไงที่ทำให้สมองเสื่อมเร็วกว่า
00:08:54 → 00:08:57 ปกติมั้ยคะหรือว่าเอ่ออะไรที่เป็นปัจจัย
00:08:57 → 00:08:59 ทำให้สมองเสื่อมเร็วกว่าปกติได้บบ้างคะ
00:08:59 → 00:09:03 คุณหมอคะครับผมสมองเสื่อมเนี่ยก็จะมี
00:09:03 → 00:09:06 สาเหตุได้หลายอย่างเหมือนกันแต่ส่วนใหญ่เ
00:09:06 → 00:09:08 เราักพูดถึงกันก็คืออัลไซเมอร์ซึ่ง
00:09:08 → 00:09:12 อัลไซเมอร์เนี่ยจะเจอประมาณแบบ 60-70 per
00:09:12 → 00:09:15 ของสาเหตุสมองเสื่อมทั้งหมดนะฮะนอกนั้น
00:09:15 → 00:09:17 เนี่ยสมองเสื่อมหลังจากนั้นสาเหตุอื่นอีก
00:09:17 → 00:09:19 20-30 per ที่เหลือเนี่ยก็จะเป็นสาเหตุ
00:09:19 → 00:09:22 ที่เจอน้อยลงกว่าหน่อยเช่นหอเลือกสมองตีบ
00:09:22 → 00:09:24 หรือแตกเองจริงๆก็ทำให้เกือบสมองเสื่อม
00:09:24 → 00:09:27 ได้นะฮะอือแล้วก็มันก็จะมีภาวะอะเฟเซีย
00:09:27 → 00:09:30 ที่เป็นสัมพันธ์กับสมองเสื่อมเนี่ยก็จะ
00:09:30 → 00:09:33 เป็นอีกกลุ่มนึงซึ่งจริงๆแล้วเจอน้อยนะ
00:09:33 → 00:09:36 ครับก็คือกรณีของบูิเนี่ยโลกอะเฟเซียของ
00:09:36 → 00:09:37 สมองเสื่อมเนี่ยเดี๋ยวผมเรียกง่ายๆเลย
00:09:37 → 00:09:40 แล้วกันว่าเขาจะเรียกว่าโรค ppa นะครับ
00:09:40 → 00:09:43 โรค ppa เนี่ยคือโรคเอ่อสมองเสื่อมในสมอง
00:09:44 → 00:09:46 ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาซึ่งอันเนี้ย
00:09:46 → 00:09:49 จะสัมพันธ์กับการที่เกิดภาวะอาเซียขึ้นมา
00:09:49 → 00:09:53 จะเรียกว่า pba นะผมขอเรียกชื่อย่อง่ายๆ
00:09:53 → 00:09:56 ทีนี้อ่าในแง่ของตัว ppa เนี่ยหรือว่าบาง
00:09:56 → 00:09:58 คนอาจจะเรียกว่ากลุ่มของโรคสมองส่วนหน้า
00:09:58 → 00:10:01 เสื่อมแต่ว่าไปเด่นด้านการใช้ภาษาอย่าง
00:10:01 → 00:10:03 ที่อย่างที่มีการพูดถึงตอนต้นรายการนะ
00:10:03 → 00:10:07 ครับอันเนี้ยข้อมูลปัจจุบันเนี่ยเรื่อง
00:10:07 → 00:10:10 ความเสี่ยงของการเกิดเยังไม่ค่อยชัดมาก
00:10:10 → 00:10:12 เพราะว่าจริงๆแล้วคนไข้กลุ่มที่เป็นเนี่ย
00:10:12 → 00:10:14 น้อยมากถ้าเทียบกับอัลไซเมอร์ซึ่ง
00:10:14 → 00:10:17 ปัจจุบันเราก็ค่อนข้างรู้จักมันพอสมควร
00:10:17 → 00:10:20 แล้วเพราะคนไข้รกว่าล้านคนนะครับทั่วโลก
00:10:20 → 00:10:23 เป็นอัลไซเมอร์แต่ว่าคนไข้ที่เป็น ppa
00:10:23 → 00:10:26 หรือว่าสมองสวนหน้าเสื่อมด้านการใช้ภาษา
00:10:26 → 00:10:29 เนี่ยจริงๆมีน้อยมากคืออาจจะมีอหลักล้าน
00:10:29 → 00:10:33 เหมือนกันแต่ว่าอ่าเนื่องจากบางทีก็เราก็
00:10:33 → 00:10:36 ไม่เจอเพราะว่าอ่าบางหมอบางคนหรือว่าอาจ
00:10:36 → 00:10:39 จะญาติพี่น้องบางคนอาจจะไม่ได้คุ้นเคยว่า
00:10:39 → 00:10:41 อันนี้มันเป็นสมองเสียมแบบนึงได้เพราะ
00:10:41 → 00:10:43 ฉะนั้นความเสี่ยงเกี่ยวกับมันเนี่ยเรารู้
00:10:43 → 00:10:46 ข้อมูลเกี่ยวกับมันน้อยมากอือ่าบางส่วน
00:10:46 → 00:10:50 ที่มีข้อมูลและก็คืออายุที่เพิ่มขึ้นอ่า
00:10:50 → 00:10:52 อันนี้เป็นปัจจัยอันดับ 1 ของโรกสมอง
00:10:52 → 00:10:56 เสี่ยงทุกชนิฮะก็คืออายุเยอะสมองเสี่ยมก็
00:10:56 → 00:11:00 เกิดขึ้นได้มากกว่าสมัอายุน้อยนะอปัจจทาง
00:11:00 → 00:11:02 กรพันธ์บางอย่างอย่างเช่นถ้ามีญาติใน
00:11:02 → 00:11:06 ครอบครัวเป็น pta เหมือนกันโอกาสที่คน
00:11:06 → 00:11:08 นั้นจะเป็น pta ก็จะสูงขึ้นนะครับเพราะ
00:11:08 → 00:11:10 มันมีปัจจัยกรรมพันธ์มาเกี่ยวข้องนอก
00:11:10 → 00:11:12 เหนือจากนั้นที่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ
00:11:12 → 00:11:15 สมองส่วนหน้าเสื่อมหรือว่าพวก pba เนี่ย
00:11:15 → 00:11:18 ก็คือถ้ามีประวัติอุบัติเหตุกระทบกระแทก
00:11:18 → 00:11:20 ที่ิถีสาสตร์นะครับปัจจุบันก็มีข้อมูล
00:11:20 → 00:11:24 ค่อนข้างชัดมากว่าถ้าอ่ากระทบกระเทือน
00:11:24 → 00:11:27 บ่อยๆเช่นอาจจะขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่ใส่
00:11:27 → 00:11:30 หมกกันน็อแล้วก็ล้มหัวกันกระแทกนะฮะหรือ
00:11:30 → 00:11:33 ว่ามีอุบัติเหตุจราจรที่รุนแรงล้มจากที่
00:11:33 → 00:11:35 สูงและมีหัวกระแทกเนี่ยถ้ามีประวัติ
00:11:35 → 00:11:38 อุบัติเหตุกระทบกระแทกที่ศีษะรุนแรงเพียง
00:11:38 → 00:11:40 ครั้งเดียวหรือว่าบ่อยๆเนี่ยมีความเสี่ยง
00:11:40 → 00:11:43 ในการเกิดทั้ง ppa หรือสมองสวนหน้าเสื่อม
00:11:43 → 00:11:46 ได้เช่นกันนะฮะในขณะที่ถ้าอัลไซเมอร์
00:11:46 → 00:11:49 เนี่ยความเสี่ยงอื่นๆจะสัมพันธ์กับพวกโรค
00:11:49 → 00:11:51 ประจำตัวนะฮอันนี้ไม่ได้หมายถึง ppa นะ
00:11:51 → 00:11:55 ครับอย่างเช่นความดันโลหิตสูงเบาหวานไข
00:11:55 → 00:11:57 มันนะครับอันเนี้ยก็จะเป็นตัวที่สัมพันธ์
00:11:57 → 00:11:59 กับความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ก็ได้นะ
00:11:59 → 00:12:02 ครับแต่ในแง่ของ pba เนี่ยเรายังไม่พบ
00:12:02 → 00:12:05 ความเสี่ยงของภาวะพวกนี้ที่สำพันธกับโลก
00:12:05 → 00:12:10 ชัดเท่าไหร่นะอออโอ้โหแสดงว่าเอ่อค่อน
00:12:10 → 00:12:12 ข้างที่จะ
00:12:12 → 00:12:15 เอ่อเป็นเป็นเหมือนภัยเงียบเหมือนกันนะ
00:12:15 → 00:12:18 เรียกได้อย่างงี้มั้ยครับใช่ครับอยู่ดีๆ
00:12:18 → 00:12:22 ก็มีมีอาการขึ้นมาสาเหตุไม่ชัดเจนเทียบ
00:12:22 → 00:12:24 กับโรคเอ่ออัลไซเมอร์แล้วค่อนข้างที่จะ
00:12:24 → 00:12:27 แบบเอ่อมันคล้ายกันมากจริงๆแล้วมันคลค่อน
00:12:27 → 00:12:31 ข้างคล้ายกันคล้ายกันจนแบบบางคนอาจจะสลับ
00:12:31 → 00:12:34 หรือว่าอาจจะสงสัยได้ว่าเอ้ยอะไรกันแน่
00:12:34 → 00:12:37 ใช่มคุณมอใช่ครับมีมีไม่น้อยครับคนไข้ที่
00:12:37 → 00:12:40 เป็น pta เนี่ยอ่าอาจจะถูกได้รับการ
00:12:40 → 00:12:43 วินิจฉัยเป็นอัลไซเมอร์ถ้าเกิดว่าเพราะ
00:12:43 → 00:12:46 ว่าบางครั้งเนี่ยภักษาด้านการใช้ภาษาที่
00:12:46 → 00:12:49 เสียไปของคนไข้ที่เป็น PP เนี่ยบางครั้ง
00:12:49 → 00:12:53 อ่าอาการอาจจะไม่ได้เด่นชัดมากตอนแรกแล้ว
00:12:53 → 00:12:56 ก็การวินิจฉัยอาจจะอยู่ใน ess ที่กลาย
00:12:56 → 00:13:00 เป็นว่าไปเข้าใจว่าเป็นปัญหาด้านความจำ
00:13:00 → 00:13:03 จริงๆแล้วเนี่ยลักษณะมันจะมีความแตกต่าง
00:13:03 → 00:13:05 กันอยู่บางส่วนแต่ว่าเนื่องจากมันเป็นโรค
00:13:05 → 00:13:08 ที่จะหจะบอกว่าใหม่ก็ไม่เชิงใหม่มากครับ
00:13:08 → 00:13:10 แต่ว่าถ้าเทียบกับถ้าเทียบกับสาเหตุ
00:13:10 → 00:13:13 อะเฟเซียจากสมองเสื่อมเราเลียกสมอง 4 ที่
00:13:13 → 00:13:15 เรารู้จักกันมามันเป็นร้อย 100 ปีแล้วอ่ะ
00:13:15 → 00:13:18 ครับครับอันเนี้ยมันก็จะใหม่กว่าเป็นหลัก
00:13:18 → 00:13:21 หลายสิบปีที่เรารู้จักสิ่งที่เป็น PP คือ
00:13:21 → 00:13:24 สมองเสื่อมแล้วความเอ้สมองเสื่อมแล้วการ
00:13:24 → 00:13:26 ใช้ภาษาไม่ดีนะฮเพราะฉะนั้นหลายครั้ง
00:13:26 → 00:13:30 เนี่ยอันที่เราเจอบ่อยสุดเลยคือ 1 คือ
00:13:30 → 00:13:32 ญาติหรือว่าผู้ใกล้ชิดเนี่ยจะคิดว่าเอ่อ
00:13:32 → 00:13:36 เป็นคนสูงอายุธรรมดาที่เริ่มมีความสับสน
00:13:36 → 00:13:39 มีความหลงแล้วก็อาจจะมีการใช้ภาษาที่แย่
00:13:39 → 00:13:41 ลงบ้างแต่เป็นเรื่องธรรมดาอันนี้ก็จะอัน
00:13:41 → 00:13:44 ที่บ่อยที่สุดอันนึงอันที่ 2 ก็คือว่าอ
00:13:44 → 00:13:48 ถ้าอ่าคนที่พบคนไข้เนี่ยอาจจะเป็นหมอบาง
00:13:48 → 00:13:50 ส่วนหรืออะไรประมาณเนี้ยถ้าไม่ได้คุ้นเคย
00:13:50 → 00:13:53 กับภาวะเนี้ยก็อาจจะให้การวินิจฉัยไม่ได้
00:13:53 → 00:13:55 เพราะว่าเขจะคิดว่าเป็นอัลไซเมอร์ซะ
00:13:55 → 00:13:59 ประมาณนั้นนะครับออืระยะเวลามันถือว่ามี
00:13:59 → 00:14:02 ผลมั้ยครับการเกิดระหว่างโรคสมองโรค
00:14:02 → 00:14:05 อัลไซเมอร์กับอัลเฟหรือโรคสมองเสื่อมสน
00:14:05 → 00:14:07 หน้าเองเนี่ยมันความแตกต่างความเร็วความ
00:14:07 → 00:14:12 ช้าในการเกิดอืมความต่อเอ่อระดับความรุน
00:14:12 → 00:14:14 แรงที่เกิดขึ้นมันมันช้าเร็วต่างกันมั้ย
00:14:14 → 00:14:18 ฮะครับอ่าผมจะพูดตัวอย่างอาการไปเลยแล้ว
00:14:18 → 00:14:20 กันเพราะว่าอ่ามันก็จะมีความแตกต่างกัน
00:14:20 → 00:14:22 อยู่บ้างเช่นถ้าสมองเสริมที่เป็น
00:14:22 → 00:14:25 อัลไซเมอร์นะฮะอ่าส่วนใหญ่อาการที่จะเห็น
00:14:25 → 00:14:29 เห็นชัดก็คือปัญหาเรื่องความจำครับจริงๆ
00:14:29 → 00:14:31 เนี่ยลักษณะอาการที่โผลมามจะเป็นปัญหา
00:14:31 → 00:14:34 เรื่องการถามซ้ำๆอันเนี้ยเป็นอาการที่
00:14:34 → 00:14:37 เด็ดชัดที่สุดคือบางทีเรามักจะเข้าใจว่า
00:14:37 → 00:14:40 ความจำที่แย่เนี่ยมันคือการทำของหายหาของ
00:14:40 → 00:14:44 ไม่เจอกุญแจอยู่ไหนหรือว่าลืมปิดน้ำลืม
00:14:44 → 00:14:47 ปิดไฟนะครับจริงๆพวกเนี้ยมันจะสัมพันธ์
00:14:47 → 00:14:50 กับปัญหาด้านสมาธิความจดจอมากกว่าจะเป็น
00:14:50 → 00:14:53 ความจำนะครับความจำที่แท้จริงเนี่ยส่วน
00:14:53 → 00:14:55 มากเนี่ยจะเป็นอาการในลักษณะที่ว่าญาติ
00:14:55 → 00:14:58 ให้ประวัติได้ว่าคนไข้เนี่ยกำลังเคยคุย
00:14:58 → 00:15:01 เรื่องนึงแล้วอยู่ๆไม่เกิน 15-30 นาที
00:15:01 → 00:15:03 หลือจะเป็นหลักชั่วโมงกลับมาถามเรื่อง
00:15:03 → 00:15:06 เดิมซ้ำอีกอันเนี้ยครับเป็นอาการที่เด่น
00:15:06 → 00:15:08 ชาที่สุดของปัญหาความจำที่เสียหายคือการ
00:15:08 → 00:15:11 ถามซ้ำๆเรื่องเดิมๆที่เคยผ่านไปแล้วนะฮะ
00:15:11 → 00:15:15 อันเนี้ยเหชัดครับคนไข้ก็จะหลงลืมภาวะที่
00:15:15 → 00:15:19 เป็นวันเวลาสถานที่บุคคลเช่นสัปดาห์ที่
00:15:19 → 00:15:22 แล้วเพิ่งไปซื้อของที่ห้างมาพอถามเจ้าจ
00:15:22 → 00:15:25 ไม่ได้ว่าเพิ่งไปซื้อของมาจะสังเกตมั้ย
00:15:25 → 00:15:27 ครับว่าความแตกต่างมันแตกต่างจากลักษณะ
00:15:27 → 00:15:30 ของลืมปิดน้ำลืมปิดไฟมากเพราะว่ามันจะ
00:15:30 → 00:15:33 เป็นวันเวลาสถานที่ที่คนไข้เสียไปคือจำ
00:15:33 → 00:15:35 ไม่ได้เลยว่าตัวเองเคยทำอะไรมาอันเนี้ย
00:15:35 → 00:15:38 คือเอไซเมอร์นะฮะเป็นลักษณะของความจำที่
00:15:38 → 00:15:41 ไม่ดีแต่ว่าถ้าเป็น pba เนี่ยลักษณะพิเศษ
00:15:41 → 00:15:44 ของมันจะมีอย่างนึงคือ 1 จะเจอในคนที่
00:15:44 → 00:15:47 อายุน้อยกว่าอัลไซเมอร์คืออัลไซเมอร์ปกติ
00:15:47 → 00:15:50 เนี่ยมักจะเจอตอน 65 ปีขึ้นไปเป็นส่วน
00:15:50 → 00:15:52 ใหญ่แต่คนไข้ที่เป็น pba เนี่ยมักจะเจอ
00:15:52 → 00:15:55 อายุน้อยกว่านั้นบางครั้งเนี่ยจะราวๆ 50
00:15:55 → 00:15:58 ปลายๆจนถึงเกือบๆ 60 เพราะฉะนั้นกลุ่ม
00:15:58 → 00:16:01 เนี้ยจุดสังเกตพิเศษละคือมักจะเจอในวัย
00:16:01 → 00:16:04 ที่ยังทำงานอยู่นะครับก็คือคล้ายๆเป็น
00:16:04 → 00:16:07 ช่วงปลายๆของวัยทำงานละกำลังจะใกล้เกษียณ
00:16:07 → 00:16:09 อยู่ๆก็จะมีปัญหาเรื่องทักษะการทำงานบาง
00:16:09 → 00:16:13 อย่างโดยเฉพาะการสื่อสารทักษะการพูดคุย
00:16:13 → 00:16:16 หรือการเขียนที่อยู่ๆก็โถดถอยลงไปแบบหาคำ
00:16:16 → 00:16:19 อธิบายไม่ได้นะครับออันนึงที่มักจะเจอ
00:16:19 → 00:16:22 บ่อยคือการนึกคำพูดนานอันเนี้ยจะเป็น
00:16:22 → 00:16:25 สัญญาณเตือนพิเศษของคนไข้ที่เป็น ppa
00:16:25 → 00:16:28 หรือเอเซียที่เป็นสมองเสื่อมนะฮะก็คือจาก
00:16:28 → 00:16:31 เดิมเนี่ยเคยเรียกชื่อสิงของได้ปกติดี
00:16:31 → 00:16:34 เหมือนกับยากสังเกตได้ว่าใช้เวลานินาน
00:16:34 → 00:16:36 ขึ้นในการจะเรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันเนี้ย
00:16:36 → 00:16:38 เป็นสัญญาณที่เด่นชัดที่สุดของอาการที่
00:16:38 → 00:16:42 อาจจะเป็น bba ได้อย่างเช่นอเดิมเคยเรียก
00:16:43 → 00:16:45 ต้นไม้ที่ตัวเองปลูกอยู่หน้าบ้านเดิมเคย
00:16:45 → 00:16:48 เรียกได้ว่าต้นอะไรคราวเนี้ยบอกไม่ได้
00:16:48 → 00:16:52 เรียกเป็นตัวแทนเช่นไอ้นั่นน่ะไอ้นี่หรือ
00:16:52 → 00:16:56 ว่าเวลาจะฝากญาติไปหยิบของเช่นอ่าฝากไป
00:16:56 → 00:16:59 หยิบหวีให้หน่อยฝากหยิบรีโมทให้หน่อยคน
00:16:59 → 00:17:02 ไข้จะนึกไม่ออกว่าต้องใช้คำว่าหวีหรือคำ
00:17:02 → 00:17:05 ว่ารีโมทคนไข้จะใช้คำว่าไอ้นี่สิไปหยิบ
00:17:05 → 00:17:07 ไอ้นั่นให้หน่อยสิแล้วบางคนอาจจะต้องใช้
00:17:07 → 00:17:10 วิธีการชี้แทนแล้วพอถามว่าไอ้นั่นอะไรหรอ
00:17:10 → 00:17:13 บางทียากถามไอ้นั่นคืออะไรที่จะให้ไปหยิบ
00:17:13 → 00:17:16 จำไม่ได้จำไม่ได้ว่าคืออะไรไอ้นั่นน่ะไอ้
00:17:16 → 00:17:19 นั่นน่ะไอ้วัตถุไอ้สิ่งของเนี่ยอันเนี้ย
00:17:19 → 00:17:23 คนไข้จะใช้เวลาในึคำพูดนานมากในการที่จะ
00:17:23 → 00:17:25 เรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาอันเนี้ยจะเป็น
00:17:25 → 00:17:28 สัญญาณเตือนเจะเรียกว่าปัญหาด้านการนี้คำ
00:17:28 → 00:17:30 พูดนานหรือว่า Word finding problem
00:17:30 → 00:17:34 ซึ่งอันเนี้ยจะเป็นสัญญาณของโรค ppa ที่
00:17:34 → 00:17:36 จะเป็นตัวบอกเลยว่าเอออันเนี้ยต้องให้
00:17:36 → 00:17:39 ความสนใจเป็นพิเศษว่ามีโอกาสเป็น pba ได้
00:17:39 → 00:17:41 แบบรู้จักไอ้สิ่งนี้แหละคนเนี้ยแหละรู้
00:17:41 → 00:17:44 จักรู้จักแต่ว่าเ้ยชื่ออะไรนอยู่ติดอยู่
00:17:44 → 00:17:47 ในปากนี่แหละอืม 5 นาที 10 นาทีแล้วก็ยัง
00:17:47 → 00:17:49 คิดไม่ออกอันเนี้ยอันเนี้ยอันเนี้ยมันคือ
00:17:49 → 00:17:53 เข้าขายใช่มั้ยครับอ่าเป็นเป็นได้เหมือน
00:17:53 → 00:17:55 กันครับบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการนิก
00:17:55 → 00:17:57 ชื่อไม่ได้เหมือนกันซึ่งก็เจอได้เหมือน
00:17:57 → 00:18:00 กันแต่ว่าส่วนส่วนใหญ่อ่าบางทีชื่อคนยุค
00:18:00 → 00:18:03 นี้มันก็อาจจะจำยากอนะฮะแต่เจอกันได้บ่อย
00:18:03 → 00:18:06 ๆนะที่ผมเคยเจออยู่เคสนึงใช่ครับใช่ครับ
00:18:06 → 00:18:09 อ่าอันเนี้ยอาจจะเป็นได้ทั้งอัลไซเมอร์ก็
00:18:09 → 00:18:12 ได้เพราว่าเอาจจะมีปัญหาเรื่องความจำ
00:18:12 → 00:18:14 เกี่ยวกับคนคนนั้นไม่ได้ก็ได้หรือว่าอาจ
00:18:14 → 00:18:17 จะเป็นตัว ppa เองก็ได้แต่ว่าส่วนใหญ่จุด
00:18:17 → 00:18:20 สังเกตของ ppa ก็คือมักจะจำไม่ได้ในสิ่ง
00:18:20 → 00:18:23 ที่มันพื้นฐานกว่าอย่างเช่นอจะเรียกเมล
00:18:23 → 00:18:25 อ่ะครับก็จำไม่ได้ว่าไอ้สิ่งเนี้ยเรียก
00:18:25 → 00:18:29 ว่าเมลออ๋อว่าเออมันเป็นสัตว์ไอ้ตัวเนี้ย
00:18:29 → 00:18:32 ที่เราเลี้ยงไว้ที่บ้านแต่ว่าไม่รู้ว่า
00:18:32 → 00:18:35 มันเรียกว่าอะไรแนวคิดอะไรก็จำไม่ได้อะไร
00:18:35 → 00:18:38 ประมาณเนี้ยครับประมาณอย่างนั้นอ่าเป็น
00:18:38 → 00:18:41 เรื่องคำคำพื้นฐานที่พบได้ทั่วไปไม่ใช่
00:18:41 → 00:18:43 ชื่อเฉพาะเนาะถ้าชื่อเฉพาะอาจจะเป็น
00:18:43 → 00:18:47 เรื่องของเอ่อความลืมความไม่มีสมาธิอะไร
00:18:47 → 00:18:49 เงี้ยแต่ว่าถ้าเป็น ppa แล้วเนี่ยวิธีการ
00:18:49 → 00:18:53 รักษาเรักษากันยังไงคะคุณหมอคะครับครับ
00:18:53 → 00:18:55 เนื่องจากอย่างที่อย่างที่กล่าวอ่ะครับ
00:18:56 → 00:18:59 ว่ามันเป็นโรคที่ค่อนข้างใหม่มากฮะแล้วก็
00:18:59 → 00:19:03 ส่วนใหญ่อ่าคนไข้มักจะมีความเอ่อผิดปกติ
00:19:03 → 00:19:06 มาประมาณนึงแล้วเหมือนกันถึงจะอ่าพามา
00:19:06 → 00:19:10 ตรวจหรือว่าบางทีได้รับการวินิจฉัยอาจจะ
00:19:10 → 00:19:13 ผ่านการแบบแบบว่าวินิจฉัยเป็นอัลไซเมอร์
00:19:13 → 00:19:15 มาก่อนหรือว่าบางคนอาจจะบอกว่าเป็นซึม
00:19:15 → 00:19:18 เศร้าด้วยซ้ำอะไรประมาณนั้นนะเพราะฉะนั้น
00:19:18 → 00:19:20 บางครั้งเนี่ยหลายครั้งที่คนไข้อาจจะมา
00:19:20 → 00:19:23 เร็วหลายครั้งที่คนไข้อาจจะเป็นมาหลายปี
00:19:23 → 00:19:25 มากละถึงจะได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจน
00:19:26 → 00:19:29 เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วก็คือว่าอ่า
00:19:29 → 00:19:32 ระยะเวลาการเป็นของโลกเนี้ยก็จะยาวสั้น
00:19:32 → 00:19:35 ยาวแตกต่างกันไปแต่ว่าส่วนใหญ่มันก็จะแย่
00:19:35 → 00:19:38 ในหลักปีฮะก็คือค้ายๆกับว่าอาจจะเป็นหลาย
00:19:38 → 00:19:41 เดือนหรือเกือบปีหรือว่าเป็นปีกว่าๆกว่า
00:19:41 → 00:19:44 จะได้รับการพินิจฉัยที่ชัดเจนออกมาฮะแล้ว
00:19:44 → 00:19:46 ก็การรักษาปัจจุบันเนี่ยเนื่องจากเรามี
00:19:46 → 00:19:49 ข้อมูลเกกว่ามันน้อยกว่าอัลไซเมอร์ได้อีก
00:19:49 → 00:19:51 นะฮะเพราะว่าอัลไซเมอร์ปัจจุบันเนี่ยก็มี
00:19:51 → 00:19:55 ความพยายามในการพัฒนายารักษาละอ่าก็มีข้อ
00:19:55 → 00:19:59 มูลใหม่ๆออกมามากมายในช่วงปีนี้ว่าเราอาจ
00:19:59 → 00:20:02 จะมียาที่รักษาอัลไซเมอร์ได้ปนมากขึ้นว่า
00:20:02 → 00:20:06 ตัว pba เนี่ยโอ้โหเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ
00:20:06 → 00:20:09 ลำบากมากเลยครับเพราะว่าเนื่องจากคนที่
00:20:09 → 00:20:12 เป็นก็น้อยนะฮะแล้วก็มันเป็นโรคที่ใหม่
00:20:12 → 00:20:14 กว่าอัลไซเมอร์มากเมื่อเทียบอายุของมัน
00:20:14 → 00:20:17 จริงๆออืปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการรักษา
00:20:17 → 00:20:20 ที่หายขาดฮะในการรักษาโรค PP ให้หายสนิท
00:20:20 → 00:20:24 เลยยังไม่มีแล้วก็ปัญหาที่มักจะเจอกัน
00:20:24 → 00:20:28 ทั่วไปก็คือญาติน่ะกับคนใกล้ชิดอ่ะมักจะ
00:20:28 → 00:20:30 ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วคนไข้มีปัญหาด้าน
00:20:30 → 00:20:33 การใช้ภาษาหลายครั้งจะเข้าใจว่าอ่าเป็น
00:20:33 → 00:20:37 การแ้งธรรมหรือเปล่าทำไมคนไข้เคยคุยแล้ว
00:20:37 → 00:20:40 คุยไม่รู้เรื่องเป็นซึมเศร้ามั้ยหรือว่า
00:20:40 → 00:20:43 จริงๆแล้วคือเป็นปัญหาอย่างอื่นมั้ยอะไร
00:20:43 → 00:20:46 ประมาณเนี้ยอืพอญาติไม่เข้าใจขึ้นมาเนี่ย
00:20:46 → 00:20:48 คนไข้ก็จะยิ่งมีปัญหาเพราะว่าจริงๆเค้า
00:20:48 → 00:20:52 อ่ะสื่อสารลำบากอยู่แล้วแล้วญาติอ่ะยิ่ง
00:20:52 → 00:20:54 มาไม่เข้าใจอีกก็อาจจะเกิดการทะเลาะเบาะ
00:20:54 → 00:20:58 แว้งกันในบ้านเกิดปัญหาเ่อเรื่องการสื่อ
00:20:58 → 00:21:00 สารไม่เข้าใจคนไข้อาจจะกลายเป็นซึมเศร้า
00:21:00 → 00:21:03 บเเลยจริงๆชาวนี้แล้วก็อาจจะกลายเป็นต้อง
00:21:03 → 00:21:06 เก็บตัวมากขึ้นไม่กล้าออกสังคมเพราะว่า
00:21:06 → 00:21:08 พูดไม่ค่อยเข้าใจแล้วหรือว่าไม่เข้าใจ
00:21:08 → 00:21:11 สิ่งที่คนอื่นพูดนะอค่ะ้าเพราะฉะนั้นการ
00:21:11 → 00:21:14 บำบัดด้วยการบำบัดทางภาษาหรือการแก้ไขการ
00:21:14 → 00:21:17 พูดนะฮะอันเนี้ยก็จะเป็นส่วนสำคัญมากที่
00:21:17 → 00:21:20 ช่วยให้คนไข้ ppa เนี่ยอ่าสามารถใช้ชีวิต
00:21:20 → 00:21:24 ได้ปกติสะดวกมากขึ้นยิงอยู่ถึงแม้ว่าตาม
00:21:24 → 00:21:26 ชื่อของโรคสมองเสียมอ่ะครับคือมันไม่หาย
00:21:26 → 00:21:30 ขาดแต่ว่าค่ะการที่ 1 ญาติรับรู้และว่า
00:21:30 → 00:21:32 เป็นปัญหาด้านการใช้ภาษาจริงๆไม่ได้แกล้ง
00:21:32 → 00:21:35 ทำนะทำให้ญาติเข้าใจมากขึ้นญาติก็พร้อม
00:21:35 → 00:21:38 ที่จะอปุ้มให้การช่วยเหลือเพื่อให้การ
00:21:38 → 00:21:40 สื่อสารผู้ป่วยสะดวกขึ้นอันที่ 2 ก็คือ
00:21:40 → 00:21:44 การแก้ไขการพูดให้คนไข้พูดช้าลงให้เลือก
00:21:44 → 00:21:47 วิธีพูดที่สามารถสื่อสารเข้าใจได้มากขึ้น
00:21:47 → 00:21:50 เปลี่ยนไปเป็นวิธีการเขียนแทนหรือว่าการ
00:21:50 → 00:21:53 จดแทนหรือว่าการใช้วิธีการอื่นเพื่อการ
00:21:53 → 00:21:56 สื่อสารแทนการพูดเช่นเรียกสิ่งของไม่ได้
00:21:56 → 00:21:59 ก็ใช้วิธีการชี้เอาอ่านะครับอันเนี้ยก็
00:21:59 → 00:22:02 อาจจะทำให้ผู้ป่วยเนี่ยสามารถสื่อสารได้
00:22:02 → 00:22:05 ดีขึ้นมีความสุขมากขึ้นคุณภาพชีวิตดีขึ้น
00:22:05 → 00:22:09 ครับอืมีคุณผู้ฟังถามมาพอดีเลยคุณหมอคน
00:22:09 → 00:22:11 ที่เป็นอะเฟเซียเนี่ยยังทำกิจวัตรประจำ
00:22:11 → 00:22:15 วันของตัวเองได้อยู่หรือเปล่าครับอ่าส่วน
00:22:15 → 00:22:19 ใหญ่เนี่ยอ่าที่ผมเคยเจอมาในแง่ของอาเซีย
00:22:19 → 00:22:22 ถ้าเป็นสาเหตุอื่นนะครับเหลอดเลือดสมอง
00:22:22 → 00:22:25 ตีบหรือแสงเนี่ยความเสียหายมันจะเยอะรวด
00:22:25 → 00:22:28 เร็วแล้วก็รุนแรงส่วนใหญ่เนี่ยการสื่อส
00:22:28 → 00:22:30 เนี่ยมันจะเสียแบบเสียแบบหายไปเลยคือหมาย
00:22:30 → 00:22:34 ถึงว่ามันจะต่างจาก cpa ตรงที่ว่าคนไข้จะ
00:22:34 → 00:22:37 อยู่ๆพูดไม่ได้เลยอาจจะตื่นเช้ามาพูดไม่
00:22:37 → 00:22:39 ได้สื่อสารไม่ได้ทำตามต่าไม่ได้อันเนี้ย
00:22:39 → 00:22:42 ความเสียหายต่อกิจวัตประจำวันชัดเจนเพราะ
00:22:42 → 00:22:44 เมื่ออะไรก็ตามที่คุณเคยพูดได้แล้วพูดไม่
00:22:44 → 00:22:46 ได้แล้วอยู่ๆพูดไม่ได้เนี่ยอันเนี้ย
00:22:46 → 00:22:48 กิจวัตรประจำวันจะทำไม่ได้ะเพราะว่าเคย
00:22:48 → 00:22:51 สื่อสารกับคนอื่นได้คราวนี้ไม่ได้ละงานก็
00:22:51 → 00:22:54 จะทำไม่ได้อืกิวประจำวันก็จะทำไม่ได้การ
00:22:54 → 00:22:57 เข้าสังคมก็จะทำไม่ได้ฮะอันเนี้ยถ้าเป็น
00:22:57 → 00:23:00 ตัวตัวอะเฟเซียจากสาเหตุอื่นเราเลสมองติด
00:23:00 → 00:23:02 แต่การติดเชื้อเนื้องอกอันเนี้ยเสียชัด
00:23:02 → 00:23:06 เจนตัวของ ppa อ่ะครับมันจะช้ากว่านั้น
00:23:06 → 00:23:08 เพราะว่าอย่างที่ผมอธิบายไปคือมันจะเป็น
00:23:08 → 00:23:11 หลักปีกว่าที่คนไข้จะค่อยๆเสื่อมถอยลง
00:23:11 → 00:23:14 อย่างมากแต่สุดท้ายระยะต้นๆเนี่ยอาจจะ
00:23:14 → 00:23:17 เห็นไม่ชัดว่าคนไข้จะมีกิจวัตรประจำวัน
00:23:17 → 00:23:19 เสียหายหรือเปล่าหลายคนที่ผมเคยเจอเนี่ย
00:23:19 → 00:23:22 อาจจะทำงานเป็นครูอาจจะทำงานเป็นผู้
00:23:22 → 00:23:26 บริหารอาจจะทำงานเป็นอ่าข้าราชการระดับ
00:23:26 → 00:23:29 สูงช่วงแรกก็อาจจะเห็นไม่ชัดอาจจะรู้สึก
00:23:29 → 00:23:32 แค่ว่าอ่าทำงานได้น้อยลงนะสนประสิทธิภาพ
00:23:33 → 00:23:35 การทำงานต่ำลงแต่สุดท้ายแล้วเนี่ยพอผ่าน
00:23:36 → 00:23:38 ไปหลายๆเดือนจนอาการมันเห็นชัดขึ้นเนี่ย
00:23:38 → 00:23:41 คนรอบข้างจะเริ่มเห็นชัดว่าคนไข้อ่ะสื่อ
00:23:41 → 00:23:44 สารไม่ได้หรือไม่สามารถทำงานที่อาจจะต้อง
00:23:44 → 00:23:47 ใช้การเขียนการอ่านได้ต่อไปคือความเข้าใจ
00:23:47 → 00:23:50 ภาษาหรือการใช้ภาษามันลดลงเมื่อเนี้ยมัน
00:23:50 → 00:23:53 ก็จะเริ่มชัดว่ากิจวัตรประจำวันจะเริ่ม
00:23:53 → 00:23:57 เสียหายะและ cpa เนี่ยเมื่อมันเสียหายมัน
00:23:57 → 00:24:00 มักจะไม่กกื้นคืนมาครับมันมักจะหายู่ไป
00:24:00 → 00:24:03 เลยก็คือตกลงไปเลยเรื่อยๆถ้าไม่ได้รับการ
00:24:03 → 00:24:07 รักษาอย่างเหมาะสมครับคุณหมอคะอันนี้มี
00:24:07 → 00:24:11 คุณผู้ฟังถามมาว่าตัวอะเฟเซียที่เกิดจาก
00:24:11 → 00:24:13 โรคภูมิแพ้ตัวเองเนี่ยมีวิธีป้องกัน
00:24:14 → 00:24:17 ไมครับอะเฟเซียที่เกิดจากแพู้มตัวเอง
00:24:17 → 00:24:19 เนี่ยจะเป็นลักษณะของอเฟเซียจากโรคสมอง
00:24:19 → 00:24:23 อักเสบอ่ะครับค่ะอ่าส่วนใหญ่ถ้าเกิดจาก
00:24:23 → 00:24:25 ภาวะเนี้ยจะเป็นอย่างที่ผมเล่าไปตอนเมื่อ
00:24:25 → 00:24:29 กี้เลยฮะว่ามันจะเป็นรวดเร็วและรุนแรง
00:24:29 → 00:24:31 เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เนี่ยมันจะโผลมาชัด
00:24:31 → 00:24:34 เลยว่าคนไข้จะเดิมพูดได้อยู่ๆก็จะพูดไม่
00:24:34 → 00:24:37 ได้สื่อสาไม่ได้ไม่เข้าใจภาษาเอ่อไม่
00:24:37 → 00:24:40 สามารถเขียนได้ไม่สามารถอ่านได้ซึ่งอ
00:24:40 → 00:24:43 อันเนี้ยถามว่าสามารถป้องกันได้มยนะครับ
00:24:43 → 00:24:45 สาเหตุการณ์เกิดจากพพุงตัวเองเนี่ยก็มี
00:24:45 → 00:24:49 หลายอย่างโรคพุ่มพวง sle เนี่ยก็จะเป็น
00:24:49 → 00:24:52 หนึ่งในนั้นที่จริงๆก็เจอได้เหมือนกันอัน
00:24:52 → 00:24:55 อื่นก็อาจจะเป็นพวกแบบโรคสบาอักเสบนะครับ
00:24:55 → 00:24:58 ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเราเรายังไม่มีข้อ
00:24:58 → 00:25:00 มูลชัดเจนว่าจะป้องกันอะไรจงมันได้นะครับ
00:25:00 → 00:25:02 เพราะว่าหลายคนที่เป็นแพ้ภูมิตัวเองเนี่ย
00:25:02 → 00:25:06 สาเหตุอันดับหนึคือไม่เจอสาเหตุฮะค่ะก็
00:25:06 → 00:25:09 คือก็คือเหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นเองอือ
00:25:09 → 00:25:12 แต่ว่าบางคนก็จะมีข้อมูลว่ามันจะสัมพันธ์
00:25:12 → 00:25:14 กับการติดเชื้อบางอย่างเช่นถ้าสมมุติว่า
00:25:14 → 00:25:18 เป็นคนที่อ่าอาจจะติดเชื้อง่ายนะครับแต่
00:25:19 → 00:25:21 เคยมีการติดเชื้อทางเลนหายใจบางอย่างหรือ
00:25:21 → 00:25:24 ว่าการติดเชื้อบางอย่างที่ค่อนข้างเรืรัง
00:25:25 → 00:25:27 เนี่ยมันจะสามารถจะตุ้นให้ร่างกายแพ้ปู
00:25:27 → 00:25:29 ตัวเองได้ง่ายขึ้นอันเนี้ยก็อาจจะสัมคัญ
00:25:29 → 00:25:33 เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีถ้าเข่าที่
00:25:33 → 00:25:37 ชุมชนอาจจะต้องมีการป้องกันตัวเองล้างมือ
00:25:37 → 00:25:40 บ่อยๆการอ่าใส่ผ้าปิดปากเวลาเข้าที่ชุมชน
00:25:40 → 00:25:43 ท่านมีความเสี่ยงเรื่องเ่อระบบการติด
00:25:43 → 00:25:45 เชื้อระบบทำเนหายใจพวกนี้ก็จะช่วยป้องกัน
00:25:45 → 00:25:48 ความเสี่ยงในแง่ที่ว่าป้องกันติดเชื้อ
00:25:48 → 00:25:50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการแพ้ภูมิตัว
00:25:50 → 00:25:53 เองได้อันอื่นที่สำคัญที่สุดคือเนื้องอก
00:25:53 → 00:25:55 ฮะค่ะโรคแพ้ภูมิตัวเองบางส่วนเนี่ยจะ
00:25:55 → 00:25:58 สัมพันธ์กับการวิพบเนื้องอกในร่างกายแต่
00:25:58 → 00:26:01 อาการของเนื้องอกเนี่ยมันยังไม่ผลออกออนะ
00:26:01 → 00:26:04 ครับอันเนี้ยก็เราสามารถสังเกตตัวเองได้
00:26:04 → 00:26:07 ว่าเอมันเป็นสัญญาณเตือนของการที่เนื้อ
00:26:07 → 00:26:09 งอกมันกำลังจะปลูมาแล้วเพราะฉะนั้นถ้าเรา
00:26:09 → 00:26:12 เริ่มมีอาการแสดงที่บ่งชี้ถึงความเป็น
00:26:12 → 00:26:16 เนื้องอกในร่างกายเช่นน้ำหนักลดนะครับค่ะ
00:26:16 → 00:26:19 อาจจะเป็นลักษณะของมีก้อนตามตัวนะครับถ้า
00:26:19 → 00:26:22 เป็นเนื้องอกทางเดินอาหารก็อาจจะมีปัญหา
00:26:22 → 00:26:25 เรื่องการถ่ายวิผีปกติท้องผูกสลับท้อง
00:26:25 → 00:26:28 เสียน้ำหนักลดไม่ทราบสายือถ้าเป็นเนื้อ
00:26:28 → 00:26:31 งอกที่ปอดก็อาจจะเป็นพวกแบบมีไอเรื้อรัง
00:26:31 → 00:26:34 เป็นหลากเดือนมีไอเป็นเลือดนะฮะอันเนี้ย
00:26:34 → 00:26:37 ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าอ่าพวกเนื้องอกพวก
00:26:37 → 00:26:41 เนี้ยอาจจะทำให้เกิดภาวะสมองอักเสบจากการ
00:26:41 → 00:26:43 แพ้ภูมิตัวเองได้เช่นกันเพราะฉะนั้นการ
00:26:43 → 00:26:45 ป้องกันความเปลี่ยนจากเนื้องอกก็ช่วยเช่น
00:26:45 → 00:26:48 ถ้าสูบบุหรี่ก็หยุดซะนะครับเพราะบุหรี่
00:26:48 → 00:26:50 เป็นต้นเหตุของมะเร็งปอดและมะเร็งปอดทำ
00:26:50 → 00:26:54 ให้เกิดสบออักเสบได้นะครับค่ะก็ถ้าสระบบ
00:26:54 → 00:26:56 ทางเดือนอาหารก็คือการกินอาหารที่ถูก
00:26:56 → 00:26:59 สุขลักษณะอยากกินอาหารไหม้อยากกินอาหาร
00:26:59 → 00:27:02 แปรรูป้าอันเนี้ยพูดง่ายๆก็คือเป็นการดู
00:27:02 → 00:27:05 แลสุขภาพโดยรวมอ่ะครับก็จะลดความเสี่ยง
00:27:05 → 00:27:07 พวกนี้ได้
00:27:07 → 00:27:10 อ๋อค่ะเอ่อคุณผู้ฟังยังถามมาเพิ่มเติม
00:27:10 → 00:27:15 ครับเอ่อการการที่บอกว่าเป็นเอ่อปัญหาบก
00:27:15 → 00:27:18 พร่องทางการสื่อสารเเนี่ยเอ่ออาจจะสื่อ
00:27:18 → 00:27:23 สารไม่ได้แต่จำคนรอบข้างได้หรือเปล่าแบบ
00:27:23 → 00:27:27 นี้เข้าใจถูกมั้ยฮะครับอ่าจริงๆแล้ว
00:27:27 → 00:27:31 อะเฟเซียเนี่ยความจำเ้าจะดีฮะจำได้้าจะ
00:27:31 → 00:27:34 เป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่คาดคิดแต่ว่าคนที่
00:27:34 → 00:27:36 เป็นอะเฟเซียเนี่ยเคสื่อสารไม่ได้ก็จริง
00:27:36 → 00:27:39 ถ้าสมองของเขาที่โดนเนี่ยมีแต่การสื่อสาร
00:27:39 → 00:27:41 เ้าไม่ได้โดนสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
00:27:41 → 00:27:43 ความจำแบบคนไข้ที่เป็นอัลไซเมอร์เนี่ย
00:27:43 → 00:27:47 จริงๆความจำเกี่ยวกับคนคนั้นความจำเกี่ยว
00:27:47 → 00:27:48 กับ
00:27:48 → 00:27:52 อ่าความจำระยะสั้นน่ะครับพวกวันเวลาสถาน
00:27:52 → 00:27:55 ที่บุคคลเนี่ยเจะจำได้ดีอืแต่เคไม่สามารถ
00:27:55 → 00:28:01 สื่อสารออกมาได้อือสาสื่ออตามปิอเพราะว่า
00:28:01 → 00:28:04 เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วคือคนไเข้าใจอยู่นะ
00:28:04 → 00:28:08 ว่าเรากำลังคุยกับเเรายังอ่ายังไงวันเวลา
00:28:08 → 00:28:11 สถานที่แต่ว่าเาพูดมันออกมาไม่ได้เเขียน
00:28:11 → 00:28:14 มันออกมาไม่ได้หรือว่าบางครั้งเนี่ยคือคน
00:28:14 → 00:28:16 ไข้จำเราได้แต่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด
00:28:16 → 00:28:19 อยู่ครับคือความแต่ความจำอ่ะเขาไม่ได้แย่
00:28:19 → 00:28:23 ปัญหาอยู่ที่การสื่อสารการใช้ค่ะอันนี้
00:28:23 → 00:28:27 คุณผู้ฟังถามมาอีกว่าเอ่อคนที่เป็นนักม
00:28:27 → 00:28:31 สากลนักมวยอาชีพมีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆมย
00:28:31 → 00:28:34 เพราะมันโดนชกอะไรอย่าเงี้ยค่ะครับอันนี้
00:28:34 → 00:28:37 เป็นคำถามที่ดีมากเลยฮะอันเนี้ยเป็นโห
00:28:37 → 00:28:40 เป็นคำถามที่แอดวานมากครับผมอาจจะต้อง
00:28:40 → 00:28:42 ขอบคุณผู้ฟังท่านนี้เหมือนกันเป็นคำถาม
00:28:42 → 00:28:47 ที่ค่อนข้างแวามากค่ะแล้วก็จริงๆเป็นอัน
00:28:47 → 00:28:49 ที่เขามีการศึกษาที่ต่างประเทศเหมือนกัน
00:28:49 → 00:28:51 อันนี้ต้องยอมรับอย่างนึงเลยว่าในไทย
00:28:51 → 00:28:54 เนี่ยก็จะมีบางอ่าโรงพยาบาลที่มีข้อมูล
00:28:54 → 00:28:57 การศึกษาพานี้อยู่อันเนี้ยถ้ามีโอกาสเล่า
00:28:57 → 00:29:00 เรื่องนี้เอันนี้จะยาวมากเลยฮะเพราะว่า
00:29:00 → 00:29:03 อ่าอ่ามันมันมันจะเป็นอีกโรคนึงที่
00:29:03 → 00:29:07 สัมพันธ์กับภาวะที่มีการกระทบกระเทือนที่
00:29:07 → 00:29:11 สมองซ้ำๆนะฮะอฮะก็ก็จะมีการศึกษาของที่
00:29:11 → 00:29:14 ที่ผมอาจจะต้องยกไว้คือที่รามาธิบดีหรือ
00:29:14 → 00:29:16 ว่าที่โรงเรียนแพทย์หลายๆที่เนี่ยก็มีการ
00:29:16 → 00:29:20 ศึกษาภาวะที่เป็นอ่าการชกมวยทั้งในส่วน
00:29:21 → 00:29:23 ของเด็กแล้วก็ในส่วนของผู้ใหญ่นะครับที่
00:29:23 → 00:29:26 มีการกระทบเถียรซ้ำๆเพราะเวลาเราถูกต่อย
00:29:26 → 00:29:29 มวยอ่ะครับต้องโดนต่อยที่หัวถูกมั้ยครับ
00:29:29 → 00:29:31 แต่ทีเนี้ยนักมวยเนี่ยจะไม่เหมือนกับคน
00:29:31 → 00:29:33 ทั่วไปละอย่างเช่นถ้าเราล้มมอเตอร์ไซค์
00:29:33 → 00:29:35 เราจะล้มครั้งเดียว 2 ครั้งตลอดชีวิตแต่
00:29:35 → 00:29:38 นักมวยเนี่ยเต้องโดนโชคที่สีส่าเนี่ยทุก
00:29:38 → 00:29:41 วันอืค่ะแทบจะทุกวันเลยเก็สัปดาห์ละ 2-3
00:29:41 → 00:29:44 ครั้งที่ึเขึ้นสังเวียนหรือเปล่านะฮะ
00:29:44 → 00:29:47 เพราะฉะนั้นอันเนี้ยคนคนกลุ่มเนี้ยจะมี
00:29:47 → 00:29:49 ความเสี่ในการเกิดภาวะสมองเสี่ยมสูงมาก
00:29:49 → 00:29:52 เพราะว่าสมองเนี่ยจะเหมือนได้รับการกระทบ
00:29:52 → 00:29:54 กระเทือนตลอดเวลาเ้าไม่ได้เลือกออกในสมอง
00:29:54 → 00:29:57 ก็จริงแต่ว่ามันจะมีการเปลี่ยนความดันในก
00:29:57 → 00:30:00 อาจากการถูกชกครับนะครับซึ่งมันก็จะ
00:30:00 → 00:30:03 เหมือนกับเราถูกกระแทกซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำ
00:30:03 → 00:30:07 มาหลายๆครั้งนะครับมันจะมีโรคคือ 1 อะมัน
00:30:07 → 00:30:09 เพิ่มความเสียในการเกิดอะเฟเซียอยู่แล้ว
00:30:09 → 00:30:13 ด้วยในแง่ของโรค PP อย่างที่ผมอธิบายไป
00:30:13 → 00:30:16 ตอนส้นอันที่ 2 ก็คือมันจะทำให้เกิดโรค
00:30:16 → 00:30:19 สมองฝ่ออีกส่วนนึงได้ซึ่งสัมพันธ์กับการ
00:30:19 → 00:30:22 ทำอาชีพการปะทะเช่นนักมวยเนี่ยแหละครับ
00:30:22 → 00:30:24 ถ้าเป็นต่างประเทศก็จะเป็นนักรักบี้
00:30:24 → 00:30:27 รักบี้นี่มันต้องมีการรุมกันอเมริกัน
00:30:27 → 00:30:30 ฟุตบอลอะไรใช่ครับอมริกันฟุตบอลเพราะว่าเ
00:30:30 → 00:30:33 โหเวลาเรุมเจะรุมกันโหดมากคือแบบรุม
00:30:33 → 00:30:36 กระแทกปะทะใส่กันกลุ่มเนี้ยจะเกิดสมอง
00:30:36 → 00:30:38 เสื่อมอีกแบบนึงซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บที่
00:30:38 → 00:30:42 สิตะซ้ำไปซ้ำมานะฮะสมองจะมีโอกาสข่อได้
00:30:42 → 00:30:44 เพราะฉะนั้นกลุ่มเนี้ยเาจะเรียกอีกชื่อ
00:30:44 → 00:30:47 นึงแต่ผมขอไม่เอ่ยแล้วกันเพราะว่าชื่อมัน
00:30:47 → 00:30:50 จะชื่อมันจะพูดยากแต่ว่าภาษาอังกฤษเ้าจะ
00:30:50 → 00:30:54 เรียกว่า pce ครับถ้า pte ฮะมันเกิดที่
00:30:54 → 00:30:57 สมองส่วนเกี่ยวข้องกับความการใช้าษาเช่น
00:30:57 → 00:31:00 ข้างซ้ายฮะอย่างเช่นเค้าโดนปะทะข้างซ้าย
00:31:00 → 00:31:03 บ่อยๆมองว่า่อเนี่ยเค้าอาจจะมีอาการแบบ
00:31:04 → 00:31:06 เดียวกับคนที่เป็น pda ได้ปัญหาด้านการ
00:31:07 → 00:31:10 ใช้ภาษาได้แล้วมันจะพ่วงกับปัญหาด้าน
00:31:10 → 00:31:13 พฤติกรรมปัญหาด้านอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น
00:31:13 → 00:31:15 ด้วยฮะในต่างประเทศเนี่ยมีการศึกษาโลก
00:31:15 → 00:31:17 เนี้ยเยอะมากเพราะว่าเ้าเล่นกีฬาที่มีการ
00:31:17 → 00:31:20 ปะทะสูงแต่ในประเทศไทยเราส่วนใหญ่จะอยู่
00:31:20 → 00:31:24 ในลูกของมวยนะครับมวยเนี่ยมีโอกาสเกิดได้
00:31:24 → 00:31:26 แล้วก็มีข้อมูลสนับสนุนชัดเจนครับว่าจริง
00:31:26 → 00:31:29 ๆแล้วในคนที่ต่อยมวยบ่อยๆสุดท้ายโอกาสสูง
00:31:29 → 00:31:32 มากที่อาจจะยังไม่ถึงวัย 60 ด้วยซ้ำอาจจะ
00:31:32 → 00:31:35 ประมาณ 40 50 ปลายๆเนี่ยอาจะเริ่มมี
00:31:35 → 00:31:38 ปัญหาถดถอยด้านภาษาอาจจะถดถอยด้าน
00:31:38 → 00:31:42 พฤติกรรมหรือความจำความจำเนี่ยมีโอกาสแย่
00:31:42 → 00:31:46 ลงได้จากการปะทะซ้ำๆจากการปล่อยมวยเช่น
00:31:46 → 00:31:48 กันเพราะฉะนั้นคนที่ปล่อยมวยมีความเสี่ยง
00:31:48 → 00:31:52 สูงฮะในการที่จะเกิดภาวะพวกนี้ได้ออืค่ะ
00:31:52 → 00:31:55 อืมีค้าใครเคยได้ยินมูฮัมเหม็ดอาลีอ่ะใช่
00:31:55 → 00:31:58 ๆๆมูฮัมมัดอลีแต่มูฮัมมัดอาลีเนี่ยเาก็
00:31:58 → 00:32:01 เชื่อว่าอันเนี้ยก็สัมพันธ์กับการปล่อย
00:32:01 → 00:32:03 มวยเหมือนกันเป็นภาวะสมองเสื่อมอย่าง
00:32:03 → 00:32:04 หนึ่งที่เขาเชื่อว่าสัมพันธ์กับไอ้โรกที่
00:32:04 → 00:32:09 ึงกล่าวถึงเนี่แหละครับออืออมันก็มีตอ่า
00:32:09 → 00:32:13 ต้นสายปิเเหตุอยู่จากการเรื่องของอาชีพ
00:32:13 → 00:32:17 ใช่ครับอ่าฮะค่ะมีคำถามนึงของคุณผู้ฟัง
00:32:17 → 00:32:20 จากทางบ้านนะคะว่าอะเฟเซียที่เกิดจากเส้น
00:32:20 → 00:32:25 เลือดสมองตีบหรือแตกถ้ารักษาตรงกับต้น
00:32:25 → 00:32:28 เหตุและทันเวลาแล้วจะช่วยให้สมองกลับมา
00:32:28 → 00:32:32 เหมือนเดิมก่อนมีอาการหรือเปล่าอืครับอัน
00:32:32 → 00:32:35 นี้เป็นกิมิที่สำคัญฮะอันนี้ก็เป็นคำถาม
00:32:35 → 00:32:37 ที่ดีเหมือนกันแล้วก็เป็นคำตอบที่ผมอยาก
00:32:37 → 00:32:39 จะให้ความสำคัญมากเพราะว่าจริงๆแล้ว
00:32:39 → 00:32:42 อะเฟเซียที่เกิดจากสมองเสื่อมจริงๆอ่ะ
00:32:42 → 00:32:44 ครับสมองส่วนหน้าเสื่อมอ่ะจริงๆน้อย
00:32:44 → 00:32:47 สาเหตุอันดับ 1 เลยคือเราเลียกสมอง 4 ก8
00:32:47 → 00:32:51 เพราะฉนั้นถ้าเรารักษามันทันคือมันเริ่ม
00:32:51 → 00:32:55 ตีบเสร็จปึ๊บไปโรงพยาบาลพันพ่วงทีนะครับ
00:32:55 → 00:32:59 ก็อย่างที่มีคำแนะนำไปถ้ามีปากเบี้ยวพูด
00:32:59 → 00:33:02 ไม่ชัดแขนขาอ่อนแวงหรือไม่สามารถสื่อสาร
00:33:02 → 00:33:04 ได้ไม่สามารถสื่อสารได้้วความหมายเดียว
00:33:04 → 00:33:07 กันกับปากเี้ยวก็คืออยู่ๆเป็นขึ้นมาขับ
00:33:07 → 00:33:09 ตันทันใดอย่างเช่นกำลังทำอะไรสักอย่าง
00:33:09 → 00:33:12 อยู่วิ่งออกกำลังกายแล้วเป็นหรือว่าตื่น
00:33:12 → 00:33:15 จะเช้าแล้วเป็นเมื่อวานยังปกติดีอยู่เลย
00:33:15 → 00:33:18 เป็นเฉียบพันนะฮะอันเนี้ยมีโอกาสเป็นจาก
00:33:18 → 00:33:20 เราเลสมองตีหรือแตกได้ซึ่งถ้าเข้ารับการ
00:33:20 → 00:33:25 รักษาทันเวลานะครับ 4.5 ชมเราให้ยาละลาย
00:33:25 → 00:33:27 ลิ่มเลือดทันหรือถ้ามันเป็นหลอดเลือดสมอง
00:33:27 → 00:33:30 สีบขนาดใหญ่ปัจจุบันมีการรักษาด้วยการใส่
00:33:30 → 00:33:32 สายตัวหลอดเลือดเพื่อไปล้วงเอาลิ่มเลือด
00:33:32 → 00:33:36 ออกมานะครับถ้าทันท่วงทีมีโอกาสหายกลับมา
00:33:36 → 00:33:39 ปกติได้เลยนะครับเพราะฉะนั้นอันเนี้ย
00:33:39 → 00:33:43 สำคัญกับโรคสมองเสื่อมด้วยซ้ำเพราะว่าถ้า
00:33:43 → 00:33:46 อันเนี้ยเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ถ้าแก้
00:33:46 → 00:33:49 ไขไม่ทันคนไข้จะเป็นอะเฟเซียไปตลอดชีวิต
00:33:49 → 00:33:53 เลยได้แต่ถ้ามาทันไปโรงพยาบาลทันญาติผู้
00:33:53 → 00:33:56 ใกล้ชิดสามารถรู้ว่าเอ้ออันเนี้ยเมื่อวาน
00:33:56 → 00:33:58 พูดได้เลยนะอยู่ๆวันนี้พูดไม่ได้ขึ้นมา
00:33:58 → 00:34:01 ฉับันทันใดมีแขงขาอ่อนแรงซึ่งซิกด้วยมี
00:34:01 → 00:34:05 ปากเบี้ยวพูดไม่ชัดมีเดินเซอันเนี้ยรีบมา
00:34:05 → 00:34:08 โรงงพยาบาลแก้ทันหายสนิทได้เลยครับออมัน
00:34:08 → 00:34:12 ยังมีโอกาสอยู่นะถ้าเราสังเกตดีๆออนี้ก็
00:34:12 → 00:34:15 สำคัญนะสำคัญในเรื่องของระยะเวลาในการนำ
00:34:15 → 00:34:19 ตัวผู้ป่วยมาสู่กระบวนการรักษาให้เร็ว
00:34:19 → 00:34:23 ครับอืมครับเอ่อคุณหมอครับวันนี้ก็ถือว่า
00:34:23 → 00:34:24 เป็นอีกหนึ่งวันที่เรามาอัปเดตเรื่องของ
00:34:24 → 00:34:28 อาการอเซียนก็หลายๆคนก็ได้รับความเข้าใจ
00:34:28 → 00:34:31 กันมากขึ้นแล้วก็อาจจะได้ระมัดระวัง
00:34:31 → 00:34:34 เรื่องของอาการต่างๆที่อาจจะจะเ่อนำไปสู่
00:34:34 → 00:34:37 ภาวะนี้ได้มากขึ้นนะวันนี้ขอบคุณคุณหมอ
00:34:37 → 00:34:41 มากเลยนะครับครับผมครับมีโอกาสเดี๋ยวอาจ
00:34:41 → 00:34:42 จะรบกวนคุณหมออัปเดตเพิ่มเติมถ้ามีความ
00:34:42 → 00:34:44 เคลื่อนไหวต่อนะ
00:34:44 → 00:34:47 ครับครับคุณหมอขอบคุณครับคุณหมอสวัสดี
00:34:47 → 00:34:49 ครับขอบคุณสวัสดีคสวัสดีครับนายแพทย์
00:34:49 → 00:34:51 เจษดาเขียวขจีนะครับนายแพทย์ชำนาญการ
00:34:51 → 00:34:56 สถาบันปราสาทวิทยากรมการแพทย์นะครับก็