00:00:00 → 00:00:05 บนโซเชียลแชร์ข้อความเตือนว่า การล้างตาเมื่อสารเคมีเข้าตาที่ถูกต้องคือ
00:00:05 → 00:00:10 การเทหรือปล่อยน้ำผ่านลูกตาโดยลืมตาและกลอกตาไปมา
00:00:10 → 00:00:14 เพราะการล้างในขันสารเคมีก็จะลอยอยู่ในนั้นไม่ไปไหน
00:00:14 → 00:00:15 หืม! ชัวร์เหรอ ?
00:00:22 → 00:00:25 เรื่องนี้ถ้าจริงก็น่าตกใจและควรรีบบอกเตือนกันครับ
00:00:25 → 00:00:27 แต่ก่อนจะแชร์ต่อต้องเช็กให้ถูกชัวร์
00:00:27 → 00:00:29 ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท
00:00:29 → 00:00:31 สอบถามกับจักษุแพทย์ครับ
00:00:32 → 00:00:34 การล้างตาเมื่อสารเคมีเข้าตาที่ถูกต้อง
00:00:34 → 00:00:38 คือการเทหรือปล่อยน้ำผ่านลูกตาโดยลืมตาและกลอกตาไปมา
00:00:39 → 00:00:42 เพราะการล้างในขันสารเคมีก็จะลอยอยู่ในนั้นไม่ไปไหน
00:00:42 → 00:00:44 แบบที่เขาแชร์กันนี้ จริงไหมครับ
00:00:44 → 00:00:48 มีทั้งส่วนที่จริงและไม่จริง ส่วนที่จริงก็คือวิธีการล้างตา
00:00:48 → 00:00:50 เวลาสารเคมีเข้าตาที่ถูกต้องที่สุด
00:00:50 → 00:00:53 เวลากรณีเราไปที่โรงพยาบาลเขาก็จะมีที่เปิดตา
00:00:53 → 00:00:56 แล้วก็เปิดสายน้ำเกลือเพื่อที่จะล้างสารเคมี
00:00:56 → 00:00:58 ออกจากตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
00:00:58 → 00:01:01 แต่ว่าในกรณีที่เราประสบเหตุตรงนั้น
00:01:01 → 00:01:04 การโดนสารเคมีเข้าตาเป็นภาวะที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาล
00:01:04 → 00:01:07 อย่างปัจจุบันทันด่วนการหาอุปกรณ์ในการเปิดตา
00:01:07 → 00:01:12 หรือน้ำเกลือหรือสายมาล้างออกหาไม่ทันการลืมตาในน้ำสะอาด
00:01:12 → 00:01:15 ก็ยังเป็นวิธีที่ดีกว่าการที่เราจะยังไม่ได้ล้าง
00:01:15 → 00:01:21 หรือเราพยายามไปล้างตาโดยที่คนไข้จะรู้สึกว่าแสบตา
00:01:21 → 00:01:24 แล้วบีบตาก็จะไม่สามารถล้างสารเคมีนั้นออกได้
00:01:24 → 00:01:27 เพราะฉะนั้นการลืมตาในน้ำสะอาดเป็นการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน
00:01:27 → 00:01:31 ยังเป็นวิธีที่เหมาะสมอยู่แต่หากมีอุปกรณ์ที่พร้อม
00:01:31 → 00:01:37 ก็คือมีที่เปิดตามีน้ำเกลือที่สามารถที่จะล้างไหลสารเคมีทิ้งไปได้เลย
00:01:37 → 00:01:39 ก็จะเป็นวิธีการการล้างที่ดีที่สุด
00:01:39 → 00:01:42 ส่วนกรณีที่ว่าสารเคมีจะปะปนอยู่ในขัน
00:01:42 → 00:01:46 หรือในน้ำที่เราล้างตาจริง ๆ แล้วสารเคมีที่อยู่ในตาเรา
00:01:46 → 00:01:49 เมื่อเทียบกับปริมาตรของน้ำสะอาดที่อยู่ในขัน
00:01:49 → 00:01:51 จะทำให้เกิดการเจือจางของสารเคมีนั้น
00:01:51 → 00:01:53 เพราะฉะนั้นความเป็นอันตรายต่อดวงตา
00:01:53 → 00:01:57 ก็จะลดลงกว่าสารเคมีที่อยู่ในตาเราตั้งแต่ต้น
00:01:57 → 00:02:00 นอกจากนั้นการที่เราลืมตากลอกตาไปมาในน้ำ
00:02:01 → 00:02:04 ก็จะช่วยทำให้สารเคมีที่ตกค้างอยู่ตามซอกในลูกตาเรา
00:02:04 → 00:02:08 ได้ออกไปอยู่กับน้ำในขันซึ่งเมื่อไปเจือจางด้วยปริมาณน้ำจำนวนมาก
00:02:09 → 00:02:11 ก็จะทำให้ความอันตรายต่อเนื้อเยื่อดวงตาลดน้อยลง
00:02:11 → 00:02:14 แล้วบางคนที่อาจจะใช้สายยางเปิดน้ำไหลผ่าน
00:02:14 → 00:02:17 เพื่อล้างดวงตามีข้อควรระวังยังไงบ้างครับ
00:02:17 → 00:02:20 อย่างแรกคือความรุนแรงของน้ำอาจจะเพิ่มความบอบช้ำ
00:02:20 → 00:02:23 หรือบาดเจ็บของบริเวณกระจกตาได้ถ้าน้ำที่เปิดนั้น
00:02:23 → 00:02:28 มีความรุนแรงค่อนข้างสูง 2.น้ำที่ไหลจากสายยางอาจจะไม่สามารถ
00:02:28 → 00:02:31 ล้างบริเวณส่วนที่คนไข้พยายามจะบีบตาสู้
00:02:31 → 00:02:34 แล้วก็เพราะความระคายเคืองก็อาจจะทำให้
00:02:34 → 00:02:36 ในซอกหลีบของลูกตาน้ำจากสายยาง
00:02:36 → 00:02:39 ก็อาจจะไม่เข้าไปชะล้างให้สารเคมีนั้นออกจากดวงตาได้
00:02:39 → 00:02:42 จักษุแพทย์ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมไว้แบบนี้
00:02:42 → 00:02:45 โดยทั่วไปความรุนแรงของสารเคมีที่เข้าตาจะขึ้นอยู่กับ 2-3 ปัจจัย
00:02:45 → 00:02:49 ปัจจัยแรกเลยชนิดของสารเคมีถ้าเป็นชนิดที่เป็นด่าง
00:02:49 → 00:02:51 จะมีความรุนแรงต่อการเสียหายของดวงตามากกว่า
00:02:51 → 00:02:54 ชนิดที่เป็นกรดใน ขณะเดียวกันน้ำที่มีความเป็นด่าง
00:02:54 → 00:02:56 หรือเป็นเบสแต่ละชนิดก็มีความรุนแรงไม่เท่ากัน
00:02:56 → 00:03:00 อย่างโซดาไฟอย่างงี้ก็จะเป็นชนิดที่มีความรุนแรงค่อนข้างเยอะ
00:03:00 → 00:03:02 ถ้าเทียบกับสารเคมีที่เป็นด่างตัวอื่น ๆ
00:03:02 → 00:03:06 ปัจจัยที่ 2 ปริมาณที่โดยดวงตาถ้าโดนปริมาณมาก
00:03:06 → 00:03:09 ก็จะมีความเป็นอันตรายกับดวงตามากกว่าโดนปริมาณน้อย
00:03:09 → 00:03:11 ปัจจัยที่ 3 ความรวดเร็วในการปฐมพยาบาล
00:03:11 → 00:03:14 การพยายามล้างเอาด่างนั้นออกจากดวงตา
00:03:14 → 00:03:16 ถ้าสามารถทำได้เร็วความเสียหายของดวงตา
00:03:16 → 00:03:18 ก็อาจจะน้อยกว่ากรณีที่ทำได้ช้า
00:03:18 → 00:03:21 เพราะฉะนั้น 3 ปัจจัยนี้จะเป็นตัวตัดสินว่า
00:03:21 → 00:03:23 ดวงตาเราจะมีความเสียหายมากน้อยเพียงใด
00:03:23 → 00:03:25 ถ้าความเสียหายน้อยหมายความว่า
00:03:25 → 00:03:28 พอหลังจากเราล้างตาเสร็จแล้วไม่ได้มีอาการตามัว
00:03:28 → 00:03:30 หรือเคืองตามากจนลืมตาไม่ขึ้น
00:03:30 → 00:03:32 การมองเห็นยังเห็นชัดดีอยู่ 3 ปัจจัยนี้
00:03:32 → 00:03:35 ก็อาจจะบอกถึงว่า ความเสียหายของดวงตาไม่มากนัก
00:03:35 → 00:03:38 สามารถจะสังเกตอาการก่อนได้ หมายความว่า
00:03:38 → 00:03:41 รอดูว่าถ้าไม่ได้มีการเคืองตามากจนลืมตาไม่ขึ้น
00:03:41 → 00:03:45 ตามัวลงหรือยังมีอาการปวดแสบปวดร้อนอยู่
00:03:45 → 00:03:49 แต่ถ้าไม่สามารถล้างสารเคมีออกได้ทันหรือสารเคมีนั้นมีความรุนแรง
00:03:49 → 00:03:51 โดนเข้าไปปริมาณมากทำให้ลืมตาไม่ขึ้น
00:03:51 → 00:03:56 การมองเห็นไม่ชัดกรณีแบบนี้สมควรต้องไปพบจักษุแพทย์ต่อทันทีครับ
00:03:56 → 00:03:59 ดังนั้นสรุปแล้ว การล้างตาเมื่อสารเคมีเข้าตาที่ถูกต้อง
00:04:00 → 00:04:03 คือการเทหรือปล่อยน้ำผ่านลูกตาโดยลืมตาและกลอกตาไปมา
00:04:04 → 00:04:07 เพราะการล้างในขันสารเคมีก็จะลอยอยู่ในนั้นไม่ไปไหน
00:04:07 → 00:04:09 แบบที่เขาแชร์กันนี้ เป็นยังไงครับ
00:04:09 → 00:04:11 สามารถแชร์ต่อได้ แต่ต้องเพิ่มคำแนะนำไปด้วยว่า
00:04:11 → 00:04:15 การล้างสารเคมีด้วยน้ำในขันก็สามารถทำได้
00:04:15 → 00:04:17 ในกรณีที่เป็นการปฐมพยาบาลที่ไม่มีอุปกรณ์อื่นครับ
00:04:17 → 00:04:19 การปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
00:04:19 → 00:04:21 จะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่รุนแรงได้นะครับ
00:04:21 → 00:04:23 พบกับชัวร์ก่อนแชร์ Membership
00:04:23 → 00:04:26 พื้นที่ใหม่ที่ให้คุณเรียนรู้ ตรวจสอบ ถามตอบ
00:04:26 → 00:04:28 สนับสนุนและใกล้ชิดกันมากขึ้น
00:04:28 → 00:04:29 พบกันที่ Youtube ชัวร์ก่อนแชร์นะครับ
00:04:30 → 00:04:32 ยังมีอีกหลายเรื่องน่าสงสัยบนสังคมออนไลน์
00:04:32 → 00:04:34 หากได้รับอะไรมาอย่าเพิ่งแชร์ต่อ
00:04:34 → 00:04:35 ร่วมตรวจสอบไปด้วยกันกับ
00:04:35 → 00:04:36 ชัวร์ก่อนแชร์