00:00:00 → 00:00:02 ผมเพิ่งเคยได้ยินพี่หยกก็เพิ่งเคยได้ยิน
00:00:02 → 00:00:05 ครับคุณหมอเรื่องของสายตาที่มันเคลื่อน
00:00:05 → 00:00:07 ไหวไม่เท่ากันก็เลยอยากจะถามคุณหมอก่อน
00:00:07 → 00:00:12 เลยว่าไอ้สายตาปกติของคนเรามันมันเคลื่อน
00:00:12 → 00:00:14 ไหวในลักษณะแบบไหนอ่ะคุณหมอครับมันจึงถึง
00:00:14 → 00:00:16 เรียกว่าปกติมันจะถึงเรียกว่าเท่ากันนะ
00:00:16 → 00:00:20 ครับคุณหมอครับออันนี้เป็นคำถามที่ดีมาก
00:00:20 → 00:00:22 เลยครับเพราะว่าเราต้องรู้จักสิ่งที่ปกติ
00:00:22 → 00:00:24 ก่อนถูกมยครับเราถึงจะเข้าใจสิ่งที่ไม่
00:00:24 → 00:00:27 ปกตินะครับผมครับอ่าดังนั้นเนี่ยวันนี้
00:00:28 → 00:00:31 เดี๋ยวขออาจจะใช้มีคำศัพท์บ้างเล็กๆน้อยๆ
00:00:31 → 00:00:33 นะครับเพื่อให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของสาย
00:00:33 → 00:00:36 ตาที่ปกติก่อนแล้วเดี๋ยวเราค่อยกระโดดไป
00:00:36 → 00:00:38 ที่ผิดปกติกันนะครับครับได้เลยครับคุณห
00:00:38 → 00:00:41 การเคลื่อนไหวของสายตาที่ปกติเนี่ยครับ
00:00:41 → 00:00:43 มันจะแบ่งออกได้เป็นหลายแบบนะครับครับ
00:00:43 → 00:00:47 เดี๋ยวเราลองอ่าเ่อยังไงคุณบีมกับพี่หยก
00:00:47 → 00:00:49 แล้วก็คุณผู้ฟังทางบ้านเนี่ยลองจินตนาการ
00:00:49 → 00:00:51 ตามไปด้วยกันแล้วกันได้เลยครับได้การ
00:00:51 → 00:00:53 เคลื่อนไหวแบบแรกเนี่ยเเรียกว่าเคลื่อน
00:00:53 → 00:00:57 ไหวแบบกล้องวัตถุิกนะครับิชหรือว่าการ
00:00:57 → 00:01:00 เคลื่อนไหวแบบโฟกัสแอะไจะจะใช้คำได้ก็ยก
00:01:00 → 00:01:03 ตัวอย่างง่ายๆครับเช่นเรามองไปที่จุดใด
00:01:03 → 00:01:06 จุดหนึ่งนะครับเช่นเราติดไฟแดงนะครับเรา
00:01:06 → 00:01:09 มองไปที่ไฟแดงอย่างเงี้ยตาเราเยังสามารถ
00:01:09 → 00:01:13 จด่อหรือว่าิกกับวัตถุนั้นได้นะครับครับ
00:01:13 → 00:01:17 อันนี้ก็จะเรียกว่าการเคลื่อนไหวแบบิช
00:01:17 → 00:01:19 หรือว่าการเคลื่อนไหวแบบจุดจุดโฟกัสนะ
00:01:19 → 00:01:22 ครับครับอ่านี้อันที่ 1 นะครับจะเห็นว่า
00:01:22 → 00:01:24 ตาเราไม่ได้ขยับไปขยับมาเวลาเราองที่จุด
00:01:24 → 00:01:27 จุด 1 นะครับเนาะครับอันที่ 2 เนี่ยมันจะ
00:01:27 → 00:01:30 เป็นการเคลื่อนไหวแบบที่เราเรียกว่าการ
00:01:30 → 00:01:33 กวาดสายตานะครับหรือว่าแซคขา movement ก็
00:01:33 → 00:01:35 คือเป็นการเคลื่อนไหวแบบเร็วรวเร็วนะครับ
00:01:35 → 00:01:38 ถ้ายังไงเยวกับคุณบีมลองคิดถึงการมองเรา
00:01:38 → 00:01:41 มองซ้ายสุดใช่มครับแล้วทันทีคุณผู้ฟังทาง
00:01:41 → 00:01:42 บ้านก็ได้นะครับมองซ้ายสุดแล้วเรามองหัน
00:01:42 → 00:01:45 ไปทางขวาสุดทันทีไม่ได้หันหน้านะครับใช้
00:01:45 → 00:01:48 แค่สายตาจากทางซ้ายปุ๊บแล้วมองไปทางขวาเ
00:01:48 → 00:01:50 ภาพเรามันก็จะโฟกัสอย่างรวดเร็วจากจุด
00:01:50 → 00:01:53 หนึ่งไปยังอีกจุดนึงภาษาเราเนี่ยเรียกว่า
00:01:53 → 00:01:55 แซกขาแต่ก็ชมันครับเรียกว่าอะไรก็คือทำ
00:01:55 → 00:01:57 ให้ตาเราอ่ะสามารถมองวัตถุที่เคลื่อนไหว
00:01:57 → 00:02:00 เร็วได้นะครับครับอันนี้เป็นอันที่ 2
00:02:00 → 00:02:02 เนาะส่วนอันที่ 3 เนี่ยเราเรียกว่าการ
00:02:02 → 00:02:04 เคลื่อนไหวแบบติดตามนะครับหรือว่าการ
00:02:04 → 00:02:08 เคลื่อนไหวของดวงตาที่แบบสามารถติดตามภาพ
00:02:08 → 00:02:10 ได้เรื่อยๆถ้าให้คิดถึงง่ายๆสมมุติว่ามี
00:02:10 → 00:02:13 ลูกฟุตบอลวิ่งผ่านช้าๆข้างหน้าเราเนี่ยนะ
00:02:13 → 00:02:16 ครับหรือว่ามีรถวิ่งความเร็วช้าๆเงี้ยตา
00:02:16 → 00:02:19 ดวงตาของเราเนี่ยสามารถกวาดตามวัตถุนั้น
00:02:19 → 00:02:21 ได้เนี่ยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่มี
00:02:21 → 00:02:23 การกระจุกภาพมันหายไปหรืออะไรอย่างงี้นะ
00:02:23 → 00:02:25 ครับออันนี้เรียกว่าการเคลื่อนไหวแบบติด
00:02:25 → 00:02:28 ตามหรือว่า Smooth proc นะครับภาษาเรา
00:02:28 → 00:02:31 เนาะครับแต่ว่าอันที่ 3 เนี่ยอันที่ 4
00:02:31 → 00:02:33 เนี่ยจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เขาเรียกว่า
00:02:33 → 00:02:35 จะมีส่วนของระบบประสาทหูมาเกี่ยวข้องด้วย
00:02:36 → 00:02:39 นะครับก็คือเป็นการเคลื่อนไหวโดยใช้ค้าคำ
00:02:39 → 00:02:41 ศัพท์เราเรียกว่ารีเฟกเนาะแต่ว่ามันก็คือ
00:02:41 → 00:02:43 การเคลื่อนไหวประตอบอัตโนมัติผมยกตัว
00:02:43 → 00:02:47 อย่างง่ายๆเช่นสมมุติเราให้มองมองหรือว่า
00:02:47 → 00:02:49 จะลองมองมองจุดที่อยู่ข้างหน้าก็ได้ครับ
00:02:49 → 00:02:52 แล้วเราหันศีรษะไปซ้ายหรือขวาเงี้ครับลอง
00:02:52 → 00:02:54 ท่านผู้ฟังหรือว่าโยกคุณบีมลองทำตามดูก็
00:02:55 → 00:02:57 ได้นะครับมองไปงหน้าเรามองไปทางซ้ายหือ
00:02:57 → 00:02:58 ทางขวาเนี่ยเราจะเห็นว่าดวงตาเราก็ยัง
00:02:59 → 00:03:01 สามาถคสที่จุดๆนั้นได้คือหัวเราเคลื่อน
00:03:01 → 00:03:03 ที่จริงแหละแต่ตาเรายังมองสิ่งที่จุดๆ
00:03:04 → 00:03:06 นั้นได้อันนี้จริงๆมันมีชื่อเต็มๆว่า vul
00:03:06 → 00:03:09 ular Reset ครับมันจะเกี่ยวข้องกับหู
00:03:09 → 00:03:11 ชั้นชั้นในเนาะเดี๋ยวเดี๋ยวเราจะมาอธิบาย
00:03:11 → 00:03:13 กันอีกทีว่าเอ๊ะทำไมหูชั้นในมันจะเกี่ยว
00:03:13 → 00:03:15 อะไรทำไมเป็นโรคหูะตามันถึงต้องกระตุก
00:03:15 → 00:03:18 อย่างงี้นะครับครับแล้วสุดท้ายเนี่ยเขาจะ
00:03:18 → 00:03:21 เรียกกันว่าการเคลื่อนไหวแบบอ่อภาพใกล้
00:03:21 → 00:03:24 ภาพใกล้หรือว่าเป็นการปรับปการในภาพไกยก
00:03:24 → 00:03:26 ตัวอย่างเช่นเราเอาดินสอหรือว่าเอานิ้วก็
00:03:26 → 00:03:29 ได้ครับยื่นไปสุดหน้าหน้านะครับสุดแขน
00:03:29 → 00:03:31 ครับแล้วหลังจากนั้นเนี่ยเราก็ยื่นนิ้ว
00:03:31 → 00:03:33 อันเนี้ยเข้ามาใกล้ๆดวงตาเราทั้ง 2 ข้าง
00:03:33 → 00:03:35 นะครับอันนี้จะเห็นว่าภาพมันน่ะจากเดิม
00:03:35 → 00:03:37 ที่มันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยชัดเจริงๆตาเรา
00:03:37 → 00:03:40 อาจะเเรียกว่าเคลื่อนไหวเข้าหากันเพื่อ
00:03:40 → 00:03:42 ปรับโฟกัสของภาพให้เห็นชัดครับอันนี้ก็
00:03:42 → 00:03:45 คือจะใช้สำหรับการมองใกล้อ่าอืค่ะอันนี้
00:03:45 → 00:03:48 ก็จะเป็น 5 อย่างที่เราเราเราพอทราบกัน
00:03:48 → 00:03:50 ว่าอันนี้แหละเคเรียกว่าการเคลื่อนไหวของ
00:03:50 → 00:03:53 ดงตาที่เป็นปกติครับก็ต้องถามกลับไปว่า
00:03:53 → 00:03:55 อ้าวแล้วการเคลื่อนไหวของดวนตาที่ปกติของ
00:03:55 → 00:03:59 เราเหล่านี้มันใช้ศูนย์ใดในการทำงานบ้าง
00:03:59 → 00:04:01 ครับก็ต้องกลับไปเอ๊ะถ้าเกิดอย่างนี้ก็
00:04:01 → 00:04:03 ต้องเป็น 1 สมองก็ต้องเป็นตัวสั่งครับ
00:04:03 → 00:04:07 เพราทำให้สมองเนี่ยสั่งดวงตาอ่าสั่งสั่ง
00:04:07 → 00:04:10 ลงมาบริเวณของศูนย์การเคลื่อนไหวดวงตา
00:04:10 → 00:04:12 บริเวณก้านสมองนะครับครับแล้วก็ทำให้การ
00:04:12 → 00:04:14 เคลื่อนไหวเนี่ยมันเป็นไปตามที่เรา
00:04:14 → 00:04:16 ต้องการเช่นเราจะสั่งสซ้ายหันขวาเนี่ยมัน
00:04:16 → 00:04:18 ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเองถูกมั้ยครับมันก็คือ
00:04:18 → 00:04:21 ตาเราเนี่ยสมองเราเนี่ยเขาเรียกว่าสมอง
00:04:21 → 00:04:23 ส่วนบนสุดเนี่ยครับสมอง cal เเป็นคนสั่ง
00:04:23 → 00:04:26 ลงมาให้หันซ้ายหรือหันขวาแต่ขณะเดียวกัน
00:04:26 → 00:04:28 เราอย่าลืมว่าเมื่อกี้มีการเคลื่อนไหวแบบ
00:04:28 → 00:04:31 รีเฟกอย่างนึงนะครับเคลื่อนไหวแบบว่าการ
00:04:31 → 00:04:33 อัตโนมัติเนี่ยโดยการใช้หูชั้นในที่เกิด
00:04:34 → 00:04:36 ขึ้นจากการเคลื่อนไหวหันซ้ายหรือหันขวา
00:04:36 → 00:04:39 ซึ่งสิ่งพวกเนี้ยมันก็จะทำให้เกิดความอ่า
00:04:39 → 00:04:43 smoot แม่นยำมากขึ้นโดยการใช้สมองน้อยนะ
00:04:43 → 00:04:46 ครับหรือว่าสมองที่เขาเรียกว่าันะครับอัน
00:04:46 → 00:04:49 นี้ก็คือเป็นภาพรูปแบบของการเคลื่อนไหว
00:04:49 → 00:04:52 แบบปกตินะครับแล้วก็ชุดการสั่งการที่เกิด
00:04:52 → 00:04:56 ขึ้นครับผมอืมีอะไรสอบถามเพิ่มเติมกับตัว
00:04:56 → 00:05:00 นี้นะครับผมโอคือผมก็พยายามที่จะทำตามที่
00:05:00 → 00:05:04 ติดตามคุณหมอได้อธิบายอยู่ทั้งเรื่องของ
00:05:04 → 00:05:07 การหันซ้ายแล้วก็ยังโฟกัสสิ่งที่เห็นเรา
00:05:07 → 00:05:10 อยู่ข้างหน้าอยู่เอออันนี้อันนี้ถือว่า
00:05:10 → 00:05:13 ถ้าถ้าทำได้ตามที่คุณหมอได้อธิบายไว้
00:05:13 → 00:05:16 เนี่ยคือแสดงว่าดวงตาของเราก็คือยังอยู่
00:05:16 → 00:05:20 ในในวิสัยที่ปกติอยู่ใช่มั้ยครับคุณหมอ
00:05:20 → 00:05:24 ใช่เื่อนไหวที่ปกติเออค่ะแล้วถ้าเราไม่
00:05:24 → 00:05:26 รู้ขั้นตอนแล้วนะคะว่ามันละเอียดขนาดนี้
00:05:26 → 00:05:31 ว่าอ๋อมันตัวนี้ตัวนั้นแต่ทำนะคะเพราะ
00:05:31 → 00:05:34 ส่วนใหญ่มันเป็นไปโดยการตั้งแต่เราใช้
00:05:34 → 00:05:35 ชีวิตมาเราก็อยู่กับมันมาตลอดเราก็เลยไม่
00:05:35 → 00:05:38 รู้ว่าเอกลไกมันมีมากมายขนาดนี้ึจะทำให้
00:05:39 → 00:05:41 เราเห็นภาพภาพวัตถุหนึ่งได้ชัดเจนอย่าง
00:05:41 → 00:05:44 ต่อเนื่องนะครับขครับคุณหมอแล้วคือถ้าถ้า
00:05:44 → 00:05:48 สิ่งที่คุณหมอได้ลองให้เรา 2 คนรวมทั้ง
00:05:48 → 00:05:51 คุณผู้ฟังทางบ้านเนี่ยลองขยับทำตามเนี่ย
00:05:51 → 00:05:54 คือถ้าทำได้แค่บางสิ่งบางอย่างเนี่ยแต่
00:05:54 → 00:05:57 บางบางหัวข้อเราอาจจะทำได้ไม่ดีอย่าง
00:05:57 → 00:06:02 เงี้ยถือว่าปกติอยู่ครับคุณหมอครับอ้าที
00:06:02 → 00:06:04 นี้อันนี้ก็เป็นเรื่องคำถามที่น่าสนใจ
00:06:04 → 00:06:06 สำหรับตนนี้มากเลยครับก็คือการเคลื่อนไหว
00:06:06 → 00:06:09 ของดวงตาที่ติดปกติใช่มั้ยครับอย่างเมื่อ
00:06:09 → 00:06:11 กี้เรากลับไปที่ข้อ 1 ผมยกตัวอย่างลองเอา
00:06:11 → 00:06:13 เอาแบบง่ายๆนะข้อ 1 สมมุติว่ามีคนคนึง
00:06:13 → 00:06:16 เนี่ยเขามองไปที่วัตถุ 1 ตื่นขึ้นมาทำไม
00:06:16 → 00:06:19 ฉันมองไปที่วัตถุวคือเงี้ยแล้วมันมีการ
00:06:19 → 00:06:22 สั่นมัน fixation ไม่ได้นะกับไอ้ที่สุด
00:06:22 → 00:06:24 แรกเก็คือการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถอ่า
00:06:24 → 00:06:27 ควบคุมยุดให้มันหยุดอยู่ที่จุดๆเดียวได้
00:06:27 → 00:06:29 ก็เเรียกว่าก็คือการเขีย fixation ว่าจะ
00:06:29 → 00:06:32 เกิดอะไรขึ้นก็ตามยกผมยกตัวอย่างเช่นภาพ
00:06:32 → 00:06:35 มันกระตุกเนาะปึ๊บๆๆๆๆๆๆเหมือนกับบบเงี้ย
00:06:35 → 00:06:37 เกิดภาพกระตุกเรื่อยๆเวลาที่เรามองวัถุ
00:06:37 → 00:06:39 อย่างเงี้ยก็ถือว่าเป็นความผิดปกติแบบนึง
00:06:39 → 00:06:42 นะครับซึ่งอันนี้เรจะเรียกว่าการเคลื่อน
00:06:42 → 00:06:45 ไหวของตาที่เกิดขึ้นเองแล้วอีกฝั่งนึงก็
00:06:45 → 00:06:47 จะมีการเคลื่อนไหวของตาเซมสมมุติว่าเรา
00:06:47 → 00:06:49 ตื่นขึ้นมาแล้วตาดวงนั้นเนี่ยมันมองเห็น
00:06:49 → 00:06:52 ภาพแต่ว่าภาพภาพนั้นเนี่ยมันแยกออกเป็น 2
00:06:52 → 00:06:56 ภาพคืออันเนี้ยเกิดจากการที่ภาตา 2 ข้าง
00:06:57 → 00:06:58 เราเนี่ยนะครับไม่สามารถที่จะมองเห็น
00:06:58 → 00:07:01 วัตถุปกติตาเรา 2 2 ข้างเนี่ยมันจะ
00:07:01 → 00:07:04 พยายามรวบรวมวัตถุให้อยู่ในจุดเดียวกัน
00:07:04 → 00:07:06 เพื่อให้มองเป็นสมิติครับอันนี้เราคงพอ
00:07:06 → 00:07:09 นึกออกนะเหมือนเราเล่นแ่น 3 มิติใช่มย
00:07:09 → 00:07:11 ครับแต่ว่ากรณีเนี้ยสมมุติถ้าเรามองไป 1
00:07:11 → 00:07:14 ภาพเนี่ยแล้วแบบเฮ้ยทำไมสิ่งที่อยู่ข้าง
00:07:14 → 00:07:17 หน้ามันถูกแยกนิ้วมันมือที่เราชี้ดินสอ
00:07:17 → 00:07:19 ที่เราตั้งแล้วมันแยกออกเป็น 2 นิ้วอย่าง
00:07:19 → 00:07:21 เงี้ยครับไม่ว่าจะแยกอยู่ในมุมใดเนี่ยก็
00:07:21 → 00:07:24 เป็นความผิดปกติแบบนึงเหมือนกันนะครับ
00:07:24 → 00:07:27 อยากเรียนอยากเรียนให้แบบค่อยๆตามกันไปที
00:07:27 → 00:07:29 ละสเต็ปครับผมเพราะว่าเดี๋ยวมันจะเพิ่ม
00:07:29 → 00:07:31 ขึ้นไปอีกนิดนึงครับโอโหอันนี้ก็คือความ
00:07:31 → 00:07:34 ผิดปกตินะครับแบบนึงที่เราเจอขึ้นได้ซึ่ง
00:07:34 → 00:07:37 2 แบบนี้มันจะไม่เหมือนกันอันแรกเนี่ย
00:07:37 → 00:07:39 เราเรียกว่าการเคลื่อนไหวเองเบิดขึ้นเอง
00:07:39 → 00:07:43 อ่ะเหมือนถ้าเกิดใช้คำพูดก็คืออ่าตาเรา
00:07:43 → 00:07:45 สั่งเนี่ยมันเกิดขึ้นโดยที่เราบังคับใช่ม
00:07:45 → 00:07:48 ครับไอซ้ายขวาแต่เนี้มันเป็น inv คือไม่
00:07:48 → 00:07:51 สามารถควบคุมได้เลยมันตึ๊กๆๆๆๆๆมันมีการ
00:07:51 → 00:07:54 กระตุกเต้นตลอดเวลาแต่ฝั่งที่บอกว่าภาพ
00:07:54 → 00:07:56 มันแยกออกจากของกันน่ะคือมันไม่สามารถที่
00:07:56 → 00:07:59 จะทำให้ภาพเกิดเป็น 3 มิติได้คือเนื่อง
00:07:59 → 00:08:02 จากว่าอาจจะมีความผิดปกติของ
00:08:02 → 00:08:05 อ่าการที่จะรวบรวมภาพให้มันเช่นกับตาก
00:08:05 → 00:08:07 กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไม่เท่ากันอย่างเงี้ย
00:08:07 → 00:08:10 ครับเป็นต้นเนาะแล้วก็เ่าอาจจะเป็นที่
00:08:10 → 00:08:12 เส้นประสาทหรือจะเป็นที่ข้างในสมองก็ได้
00:08:12 → 00:08:14 ที่ทำให้เกิดลักษณะแบบนี้ขึ้นมาได้นะครับ
00:08:14 → 00:08:18 ผมอ๋อเป็นเรื่องของการสั่งการจากระบบใน
00:08:18 → 00:08:22 สมองของเราใช่มั้ยครับคุณหมอครับสมองออ
00:08:22 → 00:08:26 ใช่ตั้งแต่สมองลงมาที่อ่าสมองส่วนบนนะ
00:08:26 → 00:08:29 ครับลงมาที่บริเวณของก้านสมองควบคุมไปจน
00:08:29 → 00:08:32 ถึงไปสาทที่มาเลี้ยงเส้นประสาทที่จะมา
00:08:32 → 00:08:34 เลี้ยงกล้ามเนื้อลูกตาและรวมไปถึงความผิด
00:08:34 → 00:08:36 ปกติของกล้ามเนื้อลูกตาสิ่งเหล่านี้ก็จะ
00:08:37 → 00:08:39 ทำให้เกิดความผิดปกติดังกล่าวมาแต่ 2 แบบ
00:08:39 → 00:08:42 ที่กล่าวไปถึงเมื่อกี้เนะครับภาพซ้อนกับ
00:08:42 → 00:08:44 ถุ่มที่เป็นภาพกระตุกหรือว่าเคลื่อนไหว
00:08:44 → 00:08:48 เองเนี่ยมันคนละอันกันเราจะมองมันคนในใน
00:08:48 → 00:08:50 ฐานะที่เป็นหมอระบบประสาทเนี่ยเราจะมอง
00:08:50 → 00:08:52 มันคนละคนละมิติคือเขาจะเรียกว่าวิธี
00:08:52 → 00:08:54 Approach วิธีการเข้าหาวิธีการหาสาเหตุ
00:08:54 → 00:08:59 ของคนไข้มันจะแตกต่างกันอครับผมอืคือคือ
00:08:59 → 00:09:01 ทุกทีเราจะเคยชิ้งว่าถ้าเรามีปัญหาดวงตา
00:09:01 → 00:09:04 เราต้องพบหมอตาแต่อันเนี้ยค่ะมันไม่ใช่
00:09:04 → 00:09:06 เกิดจากปัญหาของดวงตาหรือจอประสาทตาแต่
00:09:06 → 00:09:09 มันเป็นปัญหาของระบบประสาทถูกป่ะคะถูก
00:09:09 → 00:09:13 ต้องครับผมใช่เลยครับผมอือ่าคือคือถ้าคุณ
00:09:13 → 00:09:15 ผู้ฟังมองว่าเอ๊ะถ้าชันปกติเราเห็นภาพ
00:09:15 → 00:09:17 เหมือนตอนนี้ที่เขาเห็นเขาแชรภาพกันอย่าง
00:09:17 → 00:09:20 เช่นเขาถ่ายภาพพระอาทิตย์ 7 ดวงก็คือแบบ
00:09:20 → 00:09:22 นั้นน่ะแต่เป็นตาของเราที่เรามองเห็น
00:09:22 → 00:09:25 วัตถุตุที่เราเห็นขวด 1 ขวดเราเห็นขวดเรา
00:09:25 → 00:09:27 ใช้สัตา 2 ข้างมองเราเห็นขวดเดียวถูกมั้ย
00:09:27 → 00:09:30 คะแต่อย่างที่อาจารย์บอกเห็น 3 มิติแต่
00:09:30 → 00:09:32 ถ้าเราตามปกติเราอาจจะมองเห็นขวดเนี่ย
00:09:32 → 00:09:35 เพิ่มจำนวนขึ้นมี 2 ขวดอะไอย่างเงี้ยใช่ม
00:09:35 → 00:09:38 คะใช่ครับใช่ครับถูกต้องครับอันนี้ก็อาจ
00:09:38 → 00:09:41 จะเป็นจะเป็นจริงๆอาจจะเป็นจากตาก็ได้นะ
00:09:41 → 00:09:43 ครับแต่วิธีการแยกอันนี้เราพูดถึงเรื่อง
00:09:43 → 00:09:45 ภาพซ้อนก่อนนะครับวิธีการดูตภเนี่ยถ้า
00:09:45 → 00:09:48 เกิดเราปิดตาข้างนึงแล้ววัตถุมันก็เห็น
00:09:48 → 00:09:50 ชิ้นเดียวนะครับแล้วเราปิดตาอีกข้างนึง
00:09:50 → 00:09:52 วัตถุก็เห็นชิ้นเดียวเหมือนกันแต่เราพอ
00:09:52 → 00:09:55 เปิดตา 2 ข้างมันเห็นภาพเป็น 2 ภาพ 2 อ
00:09:55 → 00:09:58 อันเนี้ยน่าจะเกิดจากระบบประสาทและสมอง
00:09:58 → 00:10:00 แต่ถ้าตาข้างเห็นเป็น 2 ภาพอันเนี้ยเ
00:10:00 → 00:10:03 เรียกว่าเอ่อตามันน่าจะเป็นความผิดปกติ
00:10:03 → 00:10:06 ของสายตามากกว่าคือตา 1 ตาเนี่ยมองเห็น
00:10:06 → 00:10:08 แล้วมันเกิดเป็น 2 อย่างเงี้ยแต่ว่าน่าจะ
00:10:08 → 00:10:12 เป็นความผิดปกติของการสายตาเ่อหรือว่ามี
00:10:12 → 00:10:14 ปัญหาที่ตัวตลุกกตามากกว่านะครับแต่ถ้า
00:10:14 → 00:10:17 เกิดเป็นเป็นติดตาแล้วเนี่ยแล้วเราเราเรา
00:10:17 → 00:10:20 เปิดตาแล้วเนี่ยแล้วเราเห็น 2 ภาพเครับ
00:10:20 → 00:10:22 ติดตาทีละข้างแล้วเห็นภาพเดียวอันเนี้ย
00:10:22 → 00:10:25 อาจจะเป็นเรื่องของสมองมากกว่าครับผมออ
00:10:25 → 00:10:28 คือไอ้สิ่งที่คุณหมอได้บอกไปเนี่ยคือตอน
00:10:28 → 00:10:30 เช้าๆบางวันผมก็มีอาการเหมือนกันนะคุณหมอ
00:10:31 → 00:10:33 คือแบบเรายังไม่สามารถที่จะจับโฟกัสสิ่ง
00:10:33 → 00:10:37 ที่เรามองออกไปได้มันมีอาการเบลอมันแบบ
00:10:37 → 00:10:39 เหมือนมีภาพซ้อนอะไรอย่างเงี้ยเหมือนมา
00:10:39 → 00:10:42 อันนี้คือมันเป็นอาการปกติอยู่ใช่มั้ย
00:10:42 → 00:10:44 ครับเพราะว่าหลายๆท่านหลายๆคนเป็นอยู่
00:10:44 → 00:10:46 เหมือนกันนะครับผมเคยถามเพื่อนอะไรอย่าง
00:10:46 → 00:10:48 เงี้ยเวลาตื่นนอนตอนเช้ามาอะไรเงี้ยเอ้ย
00:10:48 → 00:10:52 บางทีมันอาจจะยังผ้าโฟกัสอะไรมันมันยัง
00:10:52 → 00:10:55 โฟกัสไม่ได้ใชอาจจะเป็นแบบนั้นได้อันนี้
00:10:55 → 00:10:57 อาจจะเป็นแค่ตอนช่วงเวลาในการปรับตัวใน
00:10:58 → 00:11:00 ช่วงเช้าเฉยๆครับกล้ามเนื้อตามันทำงาน
00:11:00 → 00:11:03 เต็มที่ก็จะเข้าสู่ภาวะโหมดปกติได้ครับ
00:11:03 → 00:11:05 อันนี้คุณบีมไม่ต้องสกใจนะเป็นเรื่องปกติ
00:11:05 → 00:11:07 อ๋อปกติใช่มั้ยครับคุณหมอครับคือใช่อแต่
00:11:07 → 00:11:11 คือตราบใดที่คือมันถ้ามันใช้เวลานานเกิน
00:11:11 → 00:11:15 ไปกว่าที่มันจะโฟกัสได้เนี่ยมันจะแสดงว่า
00:11:15 → 00:11:18 มันเริ่มมันเริ่มที่จะไม่ไม่ไม่ปกติแล้ว
00:11:18 → 00:11:20 ใช่มั้ยคุณหมอครับคือมันปกติมันต้องใช้
00:11:20 → 00:11:23 เวลานานขนาดไหนในการที่จะเริ่มปรับโฟกัส
00:11:23 → 00:11:26 ในในสิ่งที่เราจะสามารถมองเห็นหรือว่า
00:11:26 → 00:11:28 สิ่งที่มันอยู่ตรงหน้าเราได้ครับคุณหมอ
00:11:28 → 00:11:31 ครับอ่าอันนี้ถ้าตอนเช้าที่หลังจะตื่น
00:11:31 → 00:11:33 ขึ้นนอนขึ้นมาครับบางทีกล้ามเนื้อตาเนี่ย
00:11:34 → 00:11:37 หรือว่าตัวตาเนี่ยมันอาจจะยังแบบมีอ่าโห
00:11:37 → 00:11:39 อาจจะใช้คำว่าคราบน้ำตาหรืออะไรก็ตามแต่
00:11:39 → 00:11:41 ที่ติดอยู่แล้วมันอาจจะทำให้เราเอ้ยยัง
00:11:41 → 00:11:44 เห็นภาพไม่ชัดถ้าเราล้างหน้าล้างตาแล้วดู
00:11:44 → 00:11:46 ทุกอย่างเนี่ยเอ้ยมันก็กลับมาอยู่เข้า
00:11:46 → 00:11:49 เป็นที่เดิมนะครับอาจจะบอกเวลาก็คือช่วง
00:11:49 → 00:11:51 เวลาแบบเป็นระดับนาทีแล้วกันครับผมล้าง
00:11:51 → 00:11:53 หน้าล้างตาทำทุกอย่างมันกลับมาที่เเออ
00:11:53 → 00:11:56 อย่างนี้ไม่เป็นไรแฮะแต่ถ้าเกิดเราทำปับ
00:11:56 → 00:11:59 ล้างหน้าล้างตาทุกอย่างทำทุกอย่างได้แล้ว
00:11:59 → 00:12:01 ก็เมองวัตถุไปแล้วเนี่ยเอ๊ะทำไมสิ่งที่
00:12:01 → 00:12:04 เคยเห็น 1 ชิ้นของเมื่อวานมันกลายเป็น 2
00:12:04 → 00:12:06 ชิ้นอย่างเงี้ยจะถือแล้วว่าเริ่มผิดปกติ
00:12:06 → 00:12:08 แล้วเราอาจจะลองดูอีกทีก็อย่างที่ผมเล่า
00:12:08 → 00:12:12 ให้ฟังครับลองปิดตาดูข้างนึงปึ๊บปิดตาดู
00:12:12 → 00:12:14 ข้างนึงและเอ้อวัตถุมันเหลือชิ้นเดียว
00:12:14 → 00:12:16 แล้วพอเปิด 2 ตาอ้าวมันกลับมาเป็น 2 ชิ้น
00:12:16 → 00:12:18 ใหม่อย่างเงี้ยอาจจะเป็นความผิดปกติของ
00:12:18 → 00:12:21 ระบบประสาทและสมองได้ครับผม
00:12:22 → 00:12:25 ออเป็นหลักนาทีเนาะเอออาจจะต้องใช้เวลา
00:12:25 → 00:12:28 อีกอีกหลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้วกันนะคุณ
00:12:28 → 00:12:31 หมอเนาะคือถ้าอประมาณักักักระยะเวลาหนึ่ง
00:12:32 → 00:12:35 นะครับึแล้วแต่บุคคลเหมือนกันอ๋อทีนี้ที
00:12:35 → 00:12:38 นี้อายุเยอะขึ้นก็อาจจะแบบเริ่มเปลี่ยน
00:12:38 → 00:12:42 แปลงใช้เวลานานขึ้นนิดนึงครับผมครับอือือ
00:12:42 → 00:12:45 ก็คือให้เวลากับตัวเองประคองสติประคองทุก
00:12:45 → 00:12:48 อย่างก่อนว่าเอาให้ชัวร์ๆก่อนอือ่าใช่
00:12:48 → 00:12:51 แล้วก็ลองทำแบบที่บอกลองปิดตาชูรข้ามเอ๊ะ
00:12:51 → 00:12:53 วัตถุมันยังเป็น 2 ชิ้นอยู่หรือเปล่าแบบ
00:12:53 → 00:12:58 เยครับผมก็จะพอช่วยเราได้อืครับออันนี้ก็
00:12:58 → 00:13:01 คือเป็นเรื่องของสายตาปกตินะพี่หยกคุณหมอ
00:13:01 → 00:13:06 ครับคือแล้วถ้ามันเริ่มที่จะการเอ่อการ
00:13:06 → 00:13:09 อะไรนะการเคลื่อนไหวของตา 2 ข้างของเรา
00:13:09 → 00:13:13 เนี่ยที่มันมันเริ่มจะไม่ปกติละอาการแรก
00:13:13 → 00:13:16 เริ่มเนี่ยมันจะต้องมันจะต้องสังเกตจาก
00:13:16 → 00:13:19 อะไรอ่ะครับคุณหมอครับอ่าทีนี้เราจะมารู้
00:13:19 → 00:13:22 พูดเมื่อกี้เราพูดถึง 2 ฝั่งนะครับฝั่ง
00:13:22 → 00:13:24 แรกเนี่ยก็คือฝั่งที่ตามันเคลื่อนไหวเอง
00:13:24 → 00:13:27 เนาะ involuntary ก็คือ voluntary ก็คือ
00:13:27 → 00:13:29 แบบสชันสั่งแล้วเธอทำอะไอะไรอย่างเงี้นะ
00:13:29 → 00:13:32 ครับครับส่วนอ่าอ่า inv ก็คือเฮ้ยมันอยู่
00:13:32 → 00:13:35 ๆมันก็เกิดการเคลื่อนไหวเองอันนี้ผมอาจจะ
00:13:35 → 00:13:37 มองภาพไอ้เมื่อกี้เราพูดถึงภาพซอนนะขอมัน
00:13:37 → 00:13:39 อนุญาตกระโดดแบคกลับมาไอ้เรื่องของภาพที่
00:13:39 → 00:13:41 เกิดจากการที่ตาเคลื่อนไหวเองนิดนึงแล้ว
00:13:41 → 00:13:44 ่ะนะครับครับการที่ตาเคลื่อนไหวเองเนี่ย
00:13:44 → 00:13:47 จริงๆอ่ะมันจะมีหลายหลายรูปแบบนะครับแต่
00:13:47 → 00:13:49 ว่าที่ที่ศัพท์ที่เราใช้กันอย่างเงี้ย
00:13:49 → 00:13:52 ครับมันจะใช้คำว่านิกมัหรือคำว่าตาตะกุก
00:13:52 → 00:13:55 นะครับตากระอาจจะเคยเห็นว่าแบบเอ๊ะทำไมคน
00:13:55 → 00:13:59 คนนึงเนี่ยเมีตาตามันไม่สำแบบคนเป็นโรค
00:13:59 → 00:14:02 เียนหัวบ้านหมุนก็ได้ครับครับตาเคจะกตุก
00:14:02 → 00:14:03 คืออย่างเช่นเมื่อกี้ที่เรารู้คุยกันครับ
00:14:03 → 00:14:06 ว่า fixation การมองวัตถุวัตถุนึงเนี่ย
00:14:06 → 00:14:08 เ้ยมันหยุดอยู่กับที่ได้มันนิ่งได้แต่
00:14:08 → 00:14:12 ทำไมอันเนี้ยตามันถึงไม่สามารถมองวัตถุ
00:14:12 → 00:14:16 อันนี้ได้มันกระตุกกระๆๆๆภาพภาพภาพเด้งนะ
00:14:16 → 00:14:18 ครับพูดง่ายๆเหมือนเหมแบบเห็นเห็นคนเด้ง
00:14:18 → 00:14:20 อยู่ข้างนัถ้าจริงๆวัตถุมันอยู่นิ่งอยู่ห
00:14:20 → 00:14:23 พี่อือันนี้ถ้าจะกิงให้คุณผู้ฟังเข้าใจ
00:14:23 → 00:14:26 เหมือนเราดูหนังจูรป่ะคะเราเห็นเ่อซา
00:14:26 → 00:14:29 เดโกะค่อยๆขยับใกล้ๆเราใกล้เราใกล้เราเ
00:14:29 → 00:14:31 ไม่ขนาดนอันนี้มันจะเหมือนเป็นกระตุกให้
00:14:31 → 00:14:35 เราเห็นเลยครับตึกๆๆๆๆๆๆๆเหมือนกับแ
00:14:35 → 00:14:37 Dancing Dancing อันนี้เราจะเรียกว่า
00:14:37 → 00:14:40 โรคเอ่อภาวะตากระตุกถ้าเราไปมองที่ตาของ
00:14:40 → 00:14:42 คนไข้หรือผู้ป่วยเเราจะเห็นได้ว่าตามัน
00:14:42 → 00:14:45 กระตุกเป็นเอ่อลองลองดูลูกกตาแบบว่าขึ้น
00:14:45 → 00:14:48 ลงขึ้นลงขึ้นลงแต่ด้วยความผี่ที่ที่มีการ
00:14:48 → 00:14:52 เปลี่ยนแปลงในลักษณะแบบขึ้นขึ้นลงขึ้นลง
00:14:52 → 00:14:54 อย่างเงี้ยครับผมหรืออาจจะเป็นกระกเวลา
00:14:54 → 00:14:57 มองไปซ้ายสุดมองไปขวาสุดก็ได้อันนี้ก็จะ
00:14:57 → 00:15:00 เห็นลักษณะเป็นการอันนี้คือมันเการลักษณะ
00:15:00 → 00:15:03 ของเอ่อตาที่เกิดการเคลื่อนไหวเองนะครับ
00:15:03 → 00:15:08 ผมโอตากระตุกนี่คือแบบพพอพอลกกันไปได้นะ
00:15:08 → 00:15:11 ครับผมเออๆๆๆพอๆพอจะเห็นภาพอยู่เหมือนกัน
00:15:11 → 00:15:14 ครับก็คือมันมันเริ่มจากการที่ตาของเรา
00:15:14 → 00:15:18 เนี่ยกระตุกผิดปกติมากผิดปกติใช่มั้ยครับ
00:15:18 → 00:15:20 คุณหมอครับใช่ครับอันนี้คืออันนี้เรา
00:15:20 → 00:15:22 เริ่มผิดปกติในฝั่งที่เป็นการเคลื่อนไหว
00:15:23 → 00:15:26 เองอ่าครับตากระตุกเนาะแต่ว่าผมว่าเวลา
00:15:26 → 00:15:29 พูดคำว่าตากระตุกเนี่ยคนจะใช้คำที่เราเจอ
00:15:29 → 00:15:31 บ่อยที่ผู้ป่วยนอกเนาะ opb ผู้ป่วยนอก
00:15:31 → 00:15:35 เนี่ยมันจะเป็นตาหนังเคยๆอ่าคุณคุณบีมอาจ
00:15:35 → 00:15:37 จะเคยได้ยินว่าไอ้หนังตากระตุก
00:15:37 → 00:15:40 ตึกดีอะไรประมาณนี้เนาอันนี้ก็เป็น iny
00:15:41 → 00:15:42 movement เหมือนกันหรือเป็นการเคลื่อน
00:15:42 → 00:15:44 ไหวเองโดยที่ฉันไม่ได้สั่งการเจอเหมือน
00:15:44 → 00:15:47 กันแต่ว่ากล้ามเนื้อหนังตามันจะตึกอันนี้
00:15:47 → 00:15:50 เจอบ่อยมากที่ที่ที่แผนกผู้ป่วยนอกนะครับ
00:15:50 → 00:15:53 ออันนี้เนี่ยก็จะเป็นภาวะนึงแต่ว่าเป็น
00:15:53 → 00:15:56 ภาวะที่ไม่ได้รุนแรงเท่ากับที่พูดถึง
00:15:56 → 00:15:59 เมื่อตะกี้ว่าลูกกตากระตุกอันเนี้ยพูดถึง
00:15:59 → 00:16:03 หนังตากระตุกอ๋อหนังครับผมไอ้หนังปา
00:16:03 → 00:16:05 กระตุกเนี่ยผมว่าน่าเล่าเพราะว่ามันเจอ
00:16:05 → 00:16:08 บ่อยที่ีดีเนาะเจอบ่อยที่แผนกผู้ป่วยนอก
00:16:08 → 00:16:11 ผมก็คนก็จะมาปรึกษาด้วยอาการตาเทำไมตา
00:16:11 → 00:16:13 ซั้งกระตุกกระตุกไม่หยุดเลยอะไรเงี้ยเวลา
00:16:13 → 00:16:16 ทำงานหรือว่าเวลาใช้ความเครียดมากๆอย่าง
00:16:16 → 00:16:20 เงี้ยครับอ๋อไม่ใช่เรื่องของโชคร้ายนะคะ
00:16:20 → 00:16:22 ไม่ใช่ครับผมไม่ใช่เรื่องของโชคดีว่าจะ
00:16:22 → 00:16:27 ถูกเวยด้วยครับอโหนี่เดชบุญนะว่ามันมาพูด
00:16:27 → 00:16:30 ถึงตอนช่วงเวลานี้แถ้าพูดถึงช่วงตอนใกล้
00:16:30 → 00:16:32 วันที่ 30 นี่แมจะเป็นการดับความหวังไป
00:16:32 → 00:16:36 เลยทีเดียวนะคุณหมอนะอ๋อก็คือถ้าดวงตาถ้า
00:16:36 → 00:16:38 ดวงตามันกระตุกเองเนี่ยก็คือแสดงว่ามัน
00:16:38 → 00:16:41 มันเริ่มมีความความไม่ปกติเกิดขึ้นในระบบ
00:16:41 → 00:16:44 สมองของเราแล้วนะครับคุณหมอครับครับอัน
00:16:45 → 00:16:48 นั้นเราพูดถึงลูกกตานะว่าถ้าเป็นหนังตา
00:16:48 → 00:16:51 เนี่ยครับผมหนังตาเนี่ยเกิดเกิดได้ในภาวะ
00:16:51 → 00:16:55 ปกติหรือว่าภาวะที่เราเรียกว่าเราแบกความ
00:16:55 → 00:16:57 เครียดเอาาไว้ก็สามารถเกิดขึ้นได้นอนัก
00:16:57 → 00:17:01 ผ่อนไม่เพียงพอทานคาเฟอีนเยอะเกินไปพวก
00:17:01 → 00:17:04 เนี้ยก็จะเกิดปัญหาลักษณะเปลือกตากระตุก
00:17:04 → 00:17:06 แล้วใช้คำว่าเปลือกตาแล้วกันเนาะจะได้
00:17:06 → 00:17:08 เข้าใจมันคำว่าลูกกตาเนามีคำว่าเปือกตา
00:17:08 → 00:17:11 กระตึกอันนี้จะเจอบ่อยในการที่แบบเจอความ
00:17:11 → 00:17:15 เครียดเหนื่อยล้าพักผ่อนไม่พอดื่มคาเฟอีน
00:17:15 → 00:17:19 พวกเยครับก็อาจจะมีภาวะหนังตากระตุกได้
00:17:19 → 00:17:22 แล้วก็บางคนน่ะอาจจะลำเป็นโรคได้เช่นโรค
00:17:22 → 00:17:24 ใบหน้ากระตุกครุ่งชีก็คือจะมีโรก้ากระตุด
00:17:24 → 00:17:26 ก่อนติ๊กๆๆๆๆแล้วหลังจากนั้นมาตามด้วย
00:17:26 → 00:17:28 เรื่องของใบหน้าครุ่งชีกระตุกไปเลยก็มี
00:17:28 → 00:17:31 อันนี้ก็จะเริ่มเป็นภาวะเป็นโรคและนะครับ
00:17:31 → 00:17:33 จากเดิมที่ว่าอ้าร่ะแค่เครียดมากเกินไป
00:17:33 → 00:17:35 เหนื่อยล้าเกินไปอันนี้แต่ถ้าเกิดมันจะ
00:17:35 → 00:17:37 กระตุกนานกระตุกไม่หยุดกระตุกมตาปิดเลย
00:17:38 → 00:17:39 อย่างเงี้ยครับอันเนี้ยก็จะถือว่าเป็นโรค
00:17:39 → 00:17:42 และอันนี้เราเราเราค่อยๆมุฟไปทีละสเต็ป
00:17:42 → 00:17:44 แล้วกันนะครับสำหรับการเคลื่อนไหวเองของ
00:17:44 → 00:17:47 ดวงตาครับอ่ะอันนี้คือไอ้การเคลื่อนไหว
00:17:47 → 00:17:50 เองของดวงตาตัวอย่างแรกที่คุณหมอยกตัว
00:17:50 → 00:17:53 อย่างก็คือดวงตามันเริ่มกระตุกเวลามัน
00:17:53 → 00:17:56 กระตุกเองคุณหมอเปือกตาเปตาขอ้เว่าเปกตา
00:17:56 → 00:17:58 เปกตาแล้วกันเพราะว่าถ้าเน้นไปที่ลูกตา
00:17:58 → 00:18:01 แล้วเนี่ยมันจะต้องเป็นโลคะอ่าๆๆเปลือกตา
00:18:01 → 00:18:05 กระตุกเนี่ยนะคุณหมอครับคือมันกระตุก 2
00:18:05 → 00:18:08 ข้างเลยมั้ยหรือว่าแค่ข้างใดข้างหนึ่งก็
00:18:08 → 00:18:10 ก็มันมันเริ่มสังเกตได้แล้วว่าอ้ามันมัน
00:18:10 → 00:18:12 เริ่มนเริ่มไม่จะไม่โอเคแล้วฮะคุณหมอฮะ
00:18:12 → 00:18:14 ส่วนใหญ่มันจะเริ่มข้างเดียวก่อนครับมัน
00:18:14 → 00:18:16 มักไม่เริ่ม 2 ข้างครับแต่บางคนก็เป็น 2
00:18:16 → 00:18:18 ข้างได้นะครับแต่ว่าเราเจอน้อยกว่าเท่า
00:18:18 → 00:18:21 นั้นเองอืมักจะเริ่มข้างเดียวครับผมแต่
00:18:21 → 00:18:23 ถ้าการเริ่มข้างเดียวแล้วอาการมันดูไม่
00:18:23 → 00:18:25 ได้รุนแรงมากแค่ส่งความลำคาญอย่างเงี้ย
00:18:26 → 00:18:28 ครับก็เราก็พอรู้ะว่าอาจจะเป็นพักผ่อนไม่
00:18:28 → 00:18:30 เป็นบอกไอย่างเงี้ยไม่เป็นไรถ้าไม่ได้
00:18:30 → 00:18:32 อยู่นานต่อเนื่องเป็นวันๆหลายๆวันอย่า
00:18:32 → 00:18:34 เงี้ยครับไม่เป็นไรอืแต่ถ้ามันกระตุกนาน
00:18:34 → 00:18:36 ต่อเนื่องหลายวันอันนี้เนี่ยอันนี้ก็อาจ
00:18:36 → 00:18:38 จะเริ่มต้องคิดแล้วเอ๊ะฉันจะมีโรคหรือ
00:18:38 → 00:18:41 เปล่าจะไปพบแพทย์ได้ครับ
00:18:41 → 00:18:46 อืครับๆๆโอนี้เป็นเป็นเป็นหนึ่งหัวข้อที่
00:18:46 → 00:18:49 บางทีมันก็อาจจะฟังดูเนี่ยเข้าใจยาก
00:18:49 → 00:18:51 เหมือนกันนะแต่ว่าคุณหมอก็อธิบายให้เรา
00:18:51 → 00:18:55 ได้เห็นภาพได้ได้ได้ชัดมากขึ้นนะฮะเออพี่
00:18:55 → 00:18:57 หยกมีเคยมีอาการมั้ยครับพี่หยกครับเปลือก
00:18:57 → 00:19:01 ตากระตุกแบบนี้ฮะที่ี่มีแต่เอ่อตาเขมนอ่ะ
00:19:01 → 00:19:03 ค่ะก็นึกว่าเอ๊ะเราโชคลเอากฟังอาจารย์ใช
00:19:04 → 00:19:06 คำคำนั้นก็ได้ครับตาเขมนแต่ว่าเวลาที่
00:19:06 → 00:19:08 อยู่ที่ผู้ป่วยนอกเจะตากระตึกตากระตึกมา
00:19:08 → 00:19:10 ตากระตึกมาอะไรเงี้ยแต่มันคือมันคือ
00:19:10 → 00:19:13 เปลือกตาเอรอบรอบเปลือกตาเดี๋ยวเราจะมุฟ
00:19:13 → 00:19:18 ไปในในดวมตานิดนึงครับผมอ๋อออค่ะครับเออ
00:19:18 → 00:19:20 แต่ว่าถ้าคนส่วนใหญ่อ่ะค่ะอาจารย์คือคน
00:19:20 → 00:19:23 ที่เขามาคือเขาต้องเป็นักคือเป็นจนเกิด
00:19:23 → 00:19:25 อาการรำคาญก็นั้นเถึงได้มาหาคุณหมออย่าง
00:19:25 → 00:19:29 พวกแบบตากระตุกอะไรอย่างเงี้ยค่ะเยวนี้
00:19:29 → 00:19:31 ไม่ใช่ครับผมผมอ่ะนั่ง opd หลายที่เนาะ
00:19:31 → 00:19:33 นั่งนั่งผู้ป่วยนอกหลายที่เนาะจนรู้สึก
00:19:33 → 00:19:35 ได้เลยว่าเออบางทีเนี่ยสื่อโซเชียลมีเดีย
00:19:35 → 00:19:38 เนี่ยมีประยุมีมีประเด็นมากเลยคือพอตา
00:19:38 → 00:19:41 กระสงนิดเดียวอย่างเงี้ยต้องมาหาหมอทันที
00:19:41 → 00:19:43 อย่างเงี้ยที่โรงพยาบาลปราสาทก็เจอนะครับ
00:19:43 → 00:19:46 สถาบันปราสาทวิทยาแล้วก็ในคลินิกก็เจอ
00:19:46 → 00:19:48 หรือว่าจะเป็น opd ประกันสังคมในบางแห่ง
00:19:48 → 00:19:51 ผมก็เจอเจอเจออยู่ตลอดครับเรื่องเวบตการเ
00:19:51 → 00:19:53 เจอบ่อยมากซึ่งมันเกิดจากสื่อโซเชียล
00:19:54 → 00:19:55 Media ไปไปแชร์กันนะครับว่าแบบเอ้ยมันมี
00:19:55 → 00:19:57 อันตรายบนนมีอะไรอย่าเงี้เป็นโรกระบบ
00:19:57 → 00:20:00 ประสาทต้องมาทำ M อะไรประมาณนี้แต่ว่ามัน
00:20:00 → 00:20:02 ไม่ได้ขนาดนนะครับถ้าเป็นแค่เบตากระตุก
00:20:02 → 00:20:05 เราไม่ได้มองว่าดูเอ้ยมันดูรุนแรงหรือ
00:20:05 → 00:20:07 ร้ายแรงขนาดนั้นนะครับยกเว้นถ้ามันเป็น
00:20:07 → 00:20:09 นานเป็นวันๆอะไรอย่างเงี้ยแล้วไม่หายโอเค
00:20:09 → 00:20:12 อันนี้อาจจะไปปรึกษาแพทย์ได้ครับผมอ๋อ
00:20:12 → 00:20:15 แสดงว่าเดี๋ยวนี้เนี่ยไอ้พวกบรรดาสื่อ
00:20:15 → 00:20:18 โซเชียลหรือว่าข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันมา
00:20:18 → 00:20:21 ผ่านเอ่อช่องทางการพูดคุยเนี่ยเอ่อทาง
00:20:21 → 00:20:24 แอปพลิเคชันต่างๆมันก็ก็มีผลทำให้เกิด
00:20:24 → 00:20:28 ความเข้าใจผิดตื่นตัวเออมันจะใช้คำว่าเออ
00:20:28 → 00:20:31 ใช่ตื่นตัวก็ได้ครับตื่นตัวตื่นตัวแต่ว่า
00:20:31 → 00:20:33 อันนึงที่รู้สึดก็คือว่าคนไข้อ่ะครับหรือ
00:20:33 → 00:20:36 ว่าผู้ป่วยเนี่ยมักจะอ่านกระซุมทรัพย์
00:20:36 → 00:20:38 หมายถึงว่าไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรเขาจะซึม
00:20:38 → 00:20:40 ซับแต่สิ่งที่สิ่งที่ร้ายๆเข้าไปอ่ะมันจะ
00:20:40 → 00:20:43 ไม่ได้แบบว่าเอออันนี้เจะเขียนรายละเอียด
00:20:43 → 00:20:47 ว่าถ้าไม่สิ่งร้ายๆอะไรเงี้ยืรอดูอาการ
00:20:47 → 00:20:49 ได้แต่มันมันจะมักไม่ขนาดนั้นคือส่วนใหญ่
00:20:49 → 00:20:52 ก็จะจะไปรีบไปหาหมอเลยอะไรเงี้ยซึ่งโอเค
00:20:52 → 00:20:55 หมอก็เให้นะครับไม่ได้ไม่ได้เกียงงอนอะไร
00:20:55 → 00:20:58 โอมันถึงขั้นต้องแหม MRI กันเลยแบบนี้นี่
00:20:58 → 00:21:01 มันก็ฟังดูมันมันมันดูน่าตกใจนะคุณหมอนะ
00:21:01 → 00:21:05 ที่เออข้อความที่ถูกส่งต่อกันมาอะไรอย่าง
00:21:05 → 00:21:08 เงี้ยโอโหนน่าน่ากังวลน่ากลัวมากอ่ะหลัง
00:21:08 → 00:21:11 หลังจากนี้อ่าไอ้ที่เปลือกตาเนี่ยเริ่ม
00:21:11 → 00:21:14 กระตุกละอาการต่อไปที่มันจะเป็นสัญญาณที่
00:21:14 → 00:21:17 ว่าเฮ้ยมันเริ่มหนักค้อขึ้นแล้วเนี่ยมัน
00:21:17 → 00:21:20 คืออะไรครับคุณหมอครับอ่าเดี๋ยวเรามุฟ
00:21:20 → 00:21:22 เข้ามาในดวงตานิดนึงนะครับอันนี้เราจะพูด
00:21:22 → 00:21:24 ถึงลูกกตากระตุกแล้วนะครับอ่าครับผมเราจะ
00:21:24 → 00:21:27 ใช้คำว่านแกมัดแล้วภาษาอังกฤษเนาะก็คือตา
00:21:27 → 00:21:30 อย่างที่ผมเมื่อที่ผมเล่าว่าแบบมองว่า
00:21:30 → 00:21:32 วัตถุเฮ้ยมันทำไมภาพมันกระเด้งกระเด้ง
00:21:32 → 00:21:34 กระดงเ้าเรียกว่าอภาพมันเร้งตลอดเวลา
00:21:34 → 00:21:37 อย่างเงี้ยครับมันไม่สามารถคิดจุดใดอยู่
00:21:37 → 00:21:40 มองอยู่ที่จุดใดจุดนึงได้เป็นพิเศษนะครับ
00:21:40 → 00:21:42 มันมีการกระตุกอยู่ตลอดเวลาเนาอันนี้
00:21:42 → 00:21:45 เนี่ยหรือว่าสมมติว่าอ่ะคุณมองตรงคุณอาจ
00:21:45 → 00:21:48 จะพอมองได้เนาภาพกระตุกนิดหน่อยแต่พอมอง
00:21:48 → 00:21:52 ไปทางซ้ายปุ๊บโหภาพกระตุกมากเลยปุ๊บๆๆๆ
00:21:52 → 00:21:54 อย่าเงี้ยครับเเรามาบอกเราเป็นเพื่อนเรา
00:21:54 → 00:21:57 ไปมองเห็นตาเฮ้ยทำไมตาเธอกระตุกซ้ายขวา
00:21:57 → 00:21:59 ซ้ายขวาแบบตลอดเวเวลาแบบไม่หยุดเลยเพราะ
00:21:59 → 00:22:02 ว่าคนปกติเนี่ยคือถ้ามองวัตถุเนี่ยจะต้อง
00:22:02 → 00:22:03 หยุดตาจะต้องหยุดนิ่งกว่าที่เราคุยกัน
00:22:03 → 00:22:05 เนาะแต่ถ้ามองไปทางขวาสุดอย่างเงี้ยครับ
00:22:05 → 00:22:10 ลองลองคุนๆนลจะได้ครับสักพักนึงเนี่ยมัน
00:22:10 → 00:22:12 ควรจะหยุดเนาะมันอาจจะแบบมีปุ๊กๆนิดนึง
00:22:13 → 00:22:15 กระตุกนิดนึงแล้วก็หยุดได้หรือว่ามองไป
00:22:15 → 00:22:17 ซ้ายสุดเนี่ยมันก็นิดนึงแล้วก็หยุดได้แต่
00:22:17 → 00:22:19 ว่าบางพวกเนี่ยคนบางพวกที่เป็นโรคเนี่ย
00:22:19 → 00:22:23 ครับตามันจะกระตึกอยู่ตลอดเวลาตึกๆๆตึกๆๆ
00:22:23 → 00:22:25 เหมือนเห็นาบเมันสัแล้วมันเต้นตลอดเวลาเ
00:22:25 → 00:22:28 มองไปซ้ายาบมันก็สั่นเต้นตึ๊กๆๆๆหือมองไป
00:22:28 → 00:22:32 ทางขวาพระัเบางคนเป็นมากเจะเวียนหัวบ้านห
00:22:32 → 00:22:35 อือ่าอันนี้อันนี้จะเป็นอีกประเด็นนึงะ
00:22:35 → 00:22:37 เดี๋ยวเราจะเข้าไปในโลกของกลุ่มที่มีตา
00:22:37 → 00:22:41 กระตุกที่เกิดจากเ่อการเคลื่อนไหวของลูก
00:22:41 → 00:22:47 ตานะครับผมอืครับผมโอนี่ผมพยายามมองคุณ
00:22:47 → 00:22:52 หมอได้อธิบายมาก็ก็ก็ก็ก็ปวด
00:22:52 → 00:22:55 ตาคุคุณแพนิกหรรือเปล่าคุณแพนิกหือเปล่า
00:22:55 → 00:22:59 ผมพอเนี่ยอาจจะต้องค่อยๆเดินตามกันเพราะ
00:22:59 → 00:23:02 ว่าเต้องไปเต้องไปชสแกนแบบที่อาจารย์บอก
00:23:02 → 00:23:06 นะดูหน้าทาพอฟังคุณหมอเริ่มเริเริเริ่ม
00:23:06 → 00:23:09 ชักเอ้ยสายตาฉันปกติหรือเปล่าครับเนี่ย
00:23:09 → 00:23:11 เอออะไรอย่าเงี้ยประมาณนี้นะครับคุณหมอ
00:23:11 → 00:23:12 อ่ะคุณหมอเชิญต่อได้เลยครับคุณหมอครับ
00:23:12 → 00:23:14 เชิญต่อค่ะเชิญต่อค่ะองั้นขออนุญาตนะครับ
00:23:14 → 00:23:17 เมื่อสมมุติว่าถ้าตาเนี่ยมันเริ่มกระตุก
00:23:17 → 00:23:19 เนาแบบว่าเรามองเห็นแล้วเอ้ยมันพลิกวัตถุ
00:23:19 → 00:23:21 ไม่ได้มันกระตุกอย่าเงี้ยครับหรือมองซ้าย
00:23:21 → 00:23:23 แล้วก็ตาก็เริ่มกระตูกหรือฝากระตูกเนี่ย
00:23:23 → 00:23:26 ครับมันก็จะอาจจะมีสัญญาณของโลกบางโลก
00:23:26 → 00:23:28 แล้วครับให้เราพอรู้ได้เอันนี้คือตาฝึก
00:23:28 → 00:23:31 ต่อเนื่องซึ่งโลกที่จะเป็นได้เนี่ยอย่าง
00:23:31 → 00:23:33 ที่เราพูดถึงเมื่อกี้ครับมันจะเกิดขึ้น
00:23:33 → 00:23:36 ได้ที่ไหนบ้างเพะมันจะเป็นเสียเกี่ยวกับ
00:23:36 → 00:23:38 ศูนย์พวบคุมเป็นหลักหาครับเช่นนะครับ 1
00:23:38 → 00:23:41 ไปมองที่หูกัส่วนใหญ่มันจะมักจะเป็นโรค
00:23:41 → 00:23:44 ที่หูมากกว่าครับอืเอ่อคนผู้ป่วยก็มักจะ
00:23:44 → 00:23:47 มาด้วยอากาศเวนหัวบ้านหมุนเวียนศีรษะอะไร
00:23:47 → 00:23:48 เงี้ยครับอ้วกอาเจียนอย่างเงี้ยครับเพราะ
00:23:48 → 00:23:51 ว่าภาพมันกระตุกเนาะตเ่อคุณบีมังไม่เป็น
00:23:51 → 00:23:53 ไร้าภาพมันกระตุกตลอดเวลาเงี้ยเรามองมัน
00:23:54 → 00:23:56 จะอ้วกตลอดเวลาเราก็รู้สึกอ้วกึ้นใ้
00:23:56 → 00:23:59 อาเชียนตลอดเววลาแบบนะครับอันกรณีเนี้ยก็
00:23:59 → 00:24:01 จะเป็นเรื่องเรื่องของโรคของอ่าโรคของหู
00:24:01 → 00:24:04 ชั้นในนะครับอาจจะเคยได้ยินคำว่าน้ำในหู
00:24:04 → 00:24:10 ไม่เท่ากันครับเเคยด้วยอเป็นด้วยโอเคก็
00:24:10 → 00:24:13 คือคืออยู่ๆก็มีการแบบตาตามันกระตุกขึ้น
00:24:13 → 00:24:16 มาแล้วก็ภาพบ้านมันแต่เราอาจจะไม่ได้รู้
00:24:16 → 00:24:18 สึกว่าตากระตุกเนาะเพราะตากระตุกมันเป็น
00:24:18 → 00:24:19 คนข้างนอกมองเห็นแต่ว่าบ้านมันจะรู้สึก
00:24:19 → 00:24:23 โลกหมุนอ่าโลกหมุนครับบ้านมีควงแบบเนี้ย
00:24:23 → 00:24:25 ครับผมอันนี้ก็จะเป็นอันนึงที่เราเจอได้
00:24:25 → 00:24:28 เนาะอเป็นความผิดปกติของหูชั้นในหรืออ่า
00:24:28 → 00:24:31 โรกน้ำในูไม่เท่ากันก็กระโดดไปที่โรกของ
00:24:31 → 00:24:34 เส้นประสาทผิอักเสบครับเสิราชรสุพวกนี้ก็
00:24:34 → 00:24:38 จะเจอได้เหมือนกันในคนที่เ่อจริงๆก็อายุ
00:24:38 → 00:24:41 เนี่ยก็คือเจอได้ในในช่วงวัยรุ่นจนถึง
00:24:41 → 00:24:43 อายุเยอะเลยล่ะครับก็เจอได้เจอได้อยู่
00:24:43 → 00:24:47 เรื่อยๆในในในทางในทางทางที่ตรวจผู้ป่วย
00:24:47 → 00:24:51 นอกครับผมก็มาด้วยอาการเรียนหมุนบ้านหมุน
00:24:51 → 00:24:52 เนาะแบบไม่ไม่รู้สาเหตุอย่างเงี้ยครับ
00:24:52 → 00:24:55 แล้วก็มาตรวจแล้วก็เจอว่าเป็นอะไรอ่าที
00:24:55 → 00:24:57 นี้ถ้าเกิดเรามฟเข้ามาข้างในเนี่ยครับก็
00:24:57 → 00:25:02 จะมีรโรคของส่วนที่เรียกว่าสมองน้อยสมอง
00:25:02 → 00:25:05 น้อยสมองน้อยเนี่ยเรียกว่าบล่าเนาบสมอง
00:25:05 → 00:25:08 น้อยเนี่ยคือสมองเราเนี่ยถ้าจะแบ่งใหญ่ๆ
00:25:08 → 00:25:10 ก็แบ่งเป็น cib cex นะครับอันนี้ควบคุม
00:25:10 → 00:25:14 เกี่ยวกับเอ่อความรู้การสั่งงานการูดล้า
00:25:15 → 00:25:17 กล้ามเนื้ออะไรอย่างเงี้ยแต่ส่วนสมองน้อย
00:25:17 → 00:25:19 เนี่ยจะเป็นตัวส่วนที่ประสานงานการ
00:25:19 → 00:25:23 เคลื่อนไหวเป็นหลักอือครับเพราะฉะนั้น
00:25:23 → 00:25:25 เนี่ยสมมุติว่าถ้ามันการสูญเสียหรือความ
00:25:25 → 00:25:29 ผิดปกติของสมองน้อยอ่ะครับหรือว่าครับมัน
00:25:29 → 00:25:31 ก็จะทำให้มีลักษณะของอาการเคลื่อนไหวของ
00:25:31 → 00:25:34 ลูชาผิดปกติเกิดขึ้นเองได้ครับผมอืยกตัว
00:25:35 → 00:25:37 อย่างง่ายๆเลยครับเชเลือกสมองตีบอย่าง
00:25:37 → 00:25:39 เงี้ยถ้าเป็นเส้นเลือดสมองตีบจะต้องเป็น
00:25:39 → 00:25:41 เส้นเลเลือดสมองตีบส่วนที่จำเพาะนะครับ
00:25:41 → 00:25:43 ส่วนจำเพาะกับกับสมองน้อยอย่างเงี้ยก็อาจ
00:25:43 → 00:25:45 จะเกิดลักษณะของดวงตากระตกขึ้นมาได้ครับ
00:25:46 → 00:25:47 ผม
00:25:47 → 00:25:51 อ๋อภาพหมุนเราเราเราคนไข้จะรู้สึกว่าหมุน
00:25:51 → 00:25:53 เนาะแต่ว่าตาเนี่ยเราเห็นตาแล้วตามันจะปุ
00:25:53 → 00:25:57 ๆๆๆๆๆอืซึ่งก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งมองซ้าย
00:25:57 → 00:25:59 หรือมองขวามากกว่ากันอันนี้ก็แค่ๆก็จะ
00:25:59 → 00:26:01 เป็นหน้าที่ไปนั่งไปหาโรคไปสืบเกาะหาโรค
00:26:01 → 00:26:03 ครับหรือถ้าโรคอย่างอื่นที่มันเป็นมาก
00:26:03 → 00:26:07 กว่านี้ก็เช่นโกโรคสมองน้อยอักเสบเราอาจ
00:26:07 → 00:26:09 จะได้ยินโรคสมองอักเสบเนาะแต่นี้ผมตั้ง
00:26:09 → 00:26:13 ชื่อว่าโรคสมองน้อยอักเสบบรติก็คือมันก็
00:26:13 → 00:26:16 จะเป็นเป็นสับเซตของของโลกนะแต่ว่ามันจะ
00:26:16 → 00:26:18 เน้นเล่นงานแค่สมองน้อยอย่างเดียวเพราะ
00:26:18 → 00:26:20 ฉะนั้นเนี่ยมันก็จะเป็นเรื่องของเดินเซ
00:26:20 → 00:26:23 เวียนหัวภาพกระตุกอย่างเงี้ยครับตาดวงตา
00:26:23 → 00:26:26 ดวงตาก็จะตกกให้เราเห็นได้อืก็คือตามัน
00:26:26 → 00:26:29 เกิดการเคลื่อนไหวเองเนครับอันนี้ก็เจอ
00:26:29 → 00:26:31 เจอได้เหมือนกันนอกเหนือไปจากเ่อโรกตีบ
00:26:31 → 00:26:34 ใช่มั้ยครับเ่อโรคสมองน้อยอักเสบก็ได้
00:26:34 → 00:26:36 หรือว่าติดเชื้อไวรัสตามชนิดก็ทำให้เือน
00:26:36 → 00:26:38 ได้เหมือนกัน
00:26:38 → 00:26:42 อคืออาการเหล่านี้ครับคุณหมอครับคือเรา
00:26:43 → 00:26:43 มัก
00:26:43 → 00:26:48 จะเห็นหรือว่ามันมักจะเกิดขึ้นเนี่ยกับคน
00:26:48 → 00:26:51 กลุ่มช่วงอายุหรือว่าช่วงวัยไหนที่มันมัน
00:26:51 → 00:26:53 เริ่มจะมีความเสี่ยงแล้วอ่ะครับคุณหมอ
00:26:53 → 00:26:57 ครับอ่าจริงๆเนี่ยถ้าถามอย่างประเด็น
00:26:57 → 00:26:58 อย่างเงี้ยครับมันก็ขึ้นอยู่กเมื่อกี้เรา
00:26:58 → 00:27:01 อาจจะเริเริ่มจำแนกโลกไล่ไปเรื่อยๆเนาะ
00:27:01 → 00:27:04 ว่าโลกมันมีโรคอะไรบ้างอันนี้บางทีผมยัง
00:27:04 → 00:27:05 ไม่ได้ลงไปในโรคของเ้าเรียกโรกทันพัน
00:27:06 → 00:27:08 ทุกรรมบางโลกมันก็เกิดลักษณะแบบนี้ได้
00:27:08 → 00:27:11 ครับผมอออ่าเรองเป็นเจเนติกซึ่งๆอันนี้
00:27:11 → 00:27:13 เราอาจจะเจอตั้งแต่ในเด็กเลยก็ได้นะครับ
00:27:13 → 00:27:17 ผมโอ้เหรถ้าเอาจริงๆออู้โลกที่จะเราจะ
00:27:17 → 00:27:19 เห็นตากระตุกตาเคลื่อนไหวเองผิดปกติได้
00:27:19 → 00:27:21 เนี่ยลูกกตานะครับตอนนี้เราก็กำลังมาเน้น
00:27:22 → 00:27:24 ๆที่เลือปตาไม่เน้นที่เปิดปาแล้วในกลุ่ม
00:27:24 → 00:27:27 เปิดปาเนี่ยเจอในคนที่เป็นกลุ่มอ่ะคนทำ
00:27:27 → 00:27:29 งานเป็นหลักนะมีคคเียบสูก็ว่าไปแต่กลุ่ม
00:27:30 → 00:27:32 ที่เป็นอ่าทางฝั่งที่เป็น
00:27:32 → 00:27:35 เอ่อเอ่อตากระตุกเนี่ยมันก็ต้องขึ้นอยู่
00:27:35 → 00:27:36 กับโลกครับเช่นเมื่อกี้เราคุยกันถึง
00:27:37 → 00:27:41 เรื่องของหูชั้นในเนาะโรคอ่าียีสอเพครับ
00:27:41 → 00:27:43 โรคน้ำในหูไม่เท่ากันครับซึ่งในกรณีโรค
00:27:43 → 00:27:45 ของน้ำในหูไม่เท่ากันเนี่ยมันก็จะเป็นอ่า
00:27:45 → 00:27:49 ส่วนใหญ่ก็มักจะมีอยู่ในผู้หญิงมากกว่า
00:27:49 → 00:27:51 อายุอยู่ประมาณ 40-60 ปีอะไรอย่างเงี้ย
00:27:51 → 00:27:54 ครับแล้วถ้าเรากระโดดลงมาปุ๊บเป็นโรคเส้น
00:27:54 → 00:27:56 เลือดตีบอ่าเส้นเลือดตีบเกิดในอะไรก็ต้อง
00:27:56 → 00:27:58 เป็นคนที่อายุเยอะใช่มั้ยฮะมีปัจจัยเี่ยน
00:27:58 → 00:28:02 สูงความดันอ่าเบาหวานไขมันหรือว่าถ้าเป็น
00:28:02 → 00:28:06 โรคกลุ่มทางอ่าภูมิคุ้มกันผิดปกติก็อาจจะ
00:28:06 → 00:28:09 เป็นกลุ่มที่อายุอ่าไม่เยอะมากนะครับเป็น
00:28:09 → 00:28:11 ผู้หญิงที่กลุ่มอายุไม่เยอะมากซึ่งซึ่ง
00:28:11 → 00:28:14 มันก็จะแตกต่างกันไปตามเอ่อเา้าเรียกว่า
00:28:14 → 00:28:17 สาเหตุของโลกนั่นแหละครับผม
00:28:17 → 00:28:21 อืครับก็ก็ก็ก็มันมีช่วงอายุช่วงช่วงวัย
00:28:22 → 00:28:24 ของมันที่มันมีปัญหาอยู่ไอ้เรื่องของโรค
00:28:24 → 00:28:26 ทางพันธุกรรมนี่มันก็มีส่วนที่ทำให้เกิด
00:28:26 → 00:28:29 ปัญหานี้ได้อยู่ใช่มั้ยครับคุณหมอครับใช่
00:28:29 → 00:28:31 ครับโรคบางโลกเนี่ยเป็นโรคพันธุกรรมที่ทำ
00:28:31 → 00:28:34 ให้เค้าเรียกว่าสมองน้อยมันฝ่อตัวสมอง
00:28:34 → 00:28:38 น้อยมันฝ่อตัวจากสาเหตุพันธุกรรมเช่นยัง
00:28:38 → 00:28:40 ไงอันนี้เรากำลังเน้นที่สมองน้อยนะครับข
00:28:40 → 00:28:42 ไปข้างบนเรานั้นสมองน้อยให้นึกถึงไอ้ตรง
00:28:43 → 00:28:46 แถวใ้าสมองจะมีสมองส่วนเล็กๆๆก็ีีีีไปล่า
00:28:46 → 00:28:48 เนาะซึ่งตรงเนี้ยมันก็จะเจอในโรคบางโรค
00:28:48 → 00:28:51 ของอ่าเจอได้ตั้งแต่อายุน้อยหรือว่าบางคน
00:28:51 → 00:28:54 ก็อาจจะมีอายุสัก 20 30 40 ปีแล้วก็
00:28:54 → 00:28:57 เพึ่งมามีอาการแสดงก็ได้นะครับซึ่งึึอยู่
00:28:57 → 00:29:00 กับิของโลเหมือนกันพันธุกรรมก็มีครับผม
00:29:00 → 00:29:02 ที่ทำให้เกิดตาเคลื่อนไหวเองอะไรอย่าง
00:29:02 → 00:29:05 เงี้ยครับผมอืโอกาสที่เป็นพันธุกรรมเนี่ย
00:29:05 → 00:29:07 ค่ะมันากคนเกิดมาค่ะมันประมาณกี่
00:29:07 → 00:29:10 เปอร์เซ็นต์่ะคะ 1% หรือ 0.1 หรือว่ามัน
00:29:10 → 00:29:12 น้อยกว่านั้นเยอะมากครับผมถ้าไปเทียบใน
00:29:12 → 00:29:15 ประชากรทั้งหมดผมว่าเอ่อตัวเลขอาจจะไม่
00:29:15 → 00:29:17 ชัดเจนนะครับแต่กลมๆแล้วกันนะครับน่าจะ
00:29:17 → 00:29:20 เป็น 1 ต่อแสนนะครับ 1 ตแสนหรือว่าแบบอ 1
00:29:20 → 00:29:23 ต่อแสนน่าจะประมาณ 1 ต่อแสนนะครับโดย
00:29:23 → 00:29:25 ประมาณอาจจะน้อยกว่านั้นด้วยครับถ้าเป็น
00:29:25 → 00:29:28 ทางพพันธุกรรมนะครับออืแต่ว่าถ้าอยู่ดีๆ
00:29:28 → 00:29:30 แบบเป็นเองอย่าเงี้ค่ะความเสื่อมมันเป็น
00:29:30 → 00:29:33 แบบเหมือนแบบความเสื่อมของของของร่างกาย
00:29:33 → 00:29:35 หรือว่ามันเป็นอย่างงี้มันเกิดขึ้นได้มคะ
00:29:35 → 00:29:39 นอกจากอะไรอย่างเงี้ยค่ะเป็นได้ครับผมก็
00:29:39 → 00:29:41 คือถ้าเกิดเป็นในกรุ๊ปที่เป็นความเสื่อม
00:29:41 → 00:29:43 ของสมองอันนี้ผมอาจจะยกตัวอย่างเปรียบ
00:29:43 → 00:29:45 เทียบให้เห็นให้เข้าใจนิดนึงเนาะอย่างเรา
00:29:45 → 00:29:47 อาจจะเคยได้ยินคำว่าโรคอัลไซเมอร์เคยได้
00:29:47 → 00:29:51 ยินคำๆนี้มเคโสมองเสื่อมอันนี้สมองเสื่อม
00:29:51 → 00:29:53 อันเนี้ยมันจะกินสมองส่วนที่เกี่ยวกับ
00:29:53 → 00:29:57 ความจำค่ะก็คือคือคือหมายถึงว่าเราอายุ
00:29:57 → 00:29:59 เยอะขึ้น 70 80 สมองความจำเริ่มแย่ลงด
00:29:59 → 00:30:02 ถอยลงอย่างเงี้ยครับผมอมันก็จะมีอีกกลุ่ม
00:30:02 → 00:30:04 เล็กๆอีกกลุ่มนึงครับที่เป็นกลุ่มเขา
00:30:04 → 00:30:07 เรียกว่าสมองน้อยเสื่อมเมื่ออายุเยอะขึ้น
00:30:07 → 00:30:10 อือ่าอันนี้ก็จะแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่ง
00:30:10 → 00:30:12 เนาะอันนั้นก็เป็นความจำอันนี้เป็นสมอง
00:30:12 → 00:30:14 น้อยเนี่ยเสื่อมเมื่ออายุเยอะขึ้นซึ่ง
00:30:14 → 00:30:16 อันเนี้ยก็จะเป็นจำนวนที่ก็ค่อนข้างน้อย
00:30:17 → 00:30:19 อยู่ดีนะครับจริงๆแล้วแล้วอ่าการศึกษามัน
00:30:19 → 00:30:21 อาจจะไม่ได้มีชัดเจนว่าเท่าไหร่กันแน่แต่
00:30:21 → 00:30:24 โดยปกติเนี่ยพี่เจอใน opd ก็ไม่น่าจะได้
00:30:24 → 00:30:26 เยอะมากเจอในผู้ป่วยนอกก็ไม่ได้ไม่ได้
00:30:26 → 00:30:29 เยอะในจำนวนเยอะมากครับนานๆก็จะเจอทีนึง
00:30:29 → 00:30:31 อย่างเงี้ยครับอืก็จะเจอได้เหมือนกันก็
00:30:31 → 00:30:34 คือเป็นความเสี่ยมของร่างกายก็ได้ครับผม
00:30:34 → 00:30:39 อืเอออเออเสื่อมก็ได้เหมือนกันอ้าอาจารย์
00:30:39 → 00:30:42 คะแต่พอเวลาคนเป็นเนี่ยเราจะไม่รู้ว่าจะ
00:30:42 → 00:30:44 แยกอะไรแบบอย่างที่อาจารย์บอกว่ากว่าเรา
00:30:44 → 00:30:46 จะแยกมันต้องมีวิธีการแยกอย่างด้วยตั้ที่
00:30:46 → 00:30:49 อาจารย์บอกส่วนใหญ่คนมาพุพุ่งมา opd กว่า
00:30:49 → 00:30:52 จะมาคัดกรองมาเจออาจารย์ใช้เวลานานมยคะ
00:30:52 → 00:30:55 เออคอยู่กับโลกครับบางทีถ้าเตตากับกลุ่ม
00:30:55 → 00:30:59 นี่ก็เร็วมากอ๋อกุตากระตุกนะครับนาตา
00:30:59 → 00:31:01 กระตุกเนี่ยส่วนใหญ่มาเร็วมากเลยเพราะเก็
00:31:01 → 00:31:03 รู้ก็คือเหมือนว่าใคนที่คัดครองเก็จะรู้
00:31:03 → 00:31:06 ว่าอ๋อถ้าแบบนี้นะต้องส่งหมอภาสาอย่าง
00:31:06 → 00:31:08 เดียวนั้นแต่จริงๆแล้วมันจะไปไหนก็ได้นะ
00:31:08 → 00:31:11 ครับแต่ว่าอ่ะโอเคทีนี้สำหรับกลุ่มที่ตา
00:31:11 → 00:31:12 กระตุกเนี่ยส่วนใหญ่ครับก็คืออันนี้เรา
00:31:12 → 00:31:15 พูดถึงตากระตุกนะส่วนใหญ่เไม่ค่อยหลุดไม่
00:31:15 → 00:31:16 ค่อยพลาดเพราะว่าคนไข้มักจะมีอาการอย่าง
00:31:16 → 00:31:19 อื่นด้วยเช่นอาการเวียนหัวอาการบ้านหมุน
00:31:19 → 00:31:21 นะครับซึ่งก็จะมีอยู่แค่ 2 แผนกที่ดูแลก็
00:31:21 → 00:31:25 คือแผนกือขอจมูกนะครับอีกแหน่งนึงที่ส่ง
00:31:25 → 00:31:28 มาเลยก็คือระบบาอก็อยู่ของนี้ถ้าเกิดหมอ
00:31:28 → 00:31:31 หูคอจมูกบอกว่าอ๋อไม่ใช่ของผมนะครับอ่าก็
00:31:31 → 00:31:35 จะกลายเป็นหมอประชาเป็นคนดูแลแทนอือืเ
00:31:35 → 00:31:37 ครับคุณต้องเจอ 2 อย่างน 2 หมอแหละถ้าถ
00:31:37 → 00:31:39 ถ้าคุณยังไปไม่ถูกโดยส่วนใหญ่จะเป็น
00:31:39 → 00:31:41 ประมาณนี้แหละครับถ้าเป็นเรื่องของตา
00:31:41 → 00:31:44 กระตุกนะครับผมตากระตุกตาหนังตากระตุกลูก
00:31:44 → 00:31:46 ตากระตุกอย่างเงี้ยครับก็คือการเคลื่อน
00:31:46 → 00:31:50 ไหวของดวงตาที่เกิดขึ้นเองเอือแต่เอาจริง
00:31:50 → 00:31:52 ๆจริงๆผมยังเหลืออีกฝั่งนึงนะผมอยากพูดเห
00:31:52 → 00:31:54 กันได้เลยครับได้แล้วคุณหมอเชิญเลยครับ
00:31:54 → 00:31:57 คุณหมอครับเชิญเลยครับอีกฝั่งหนึงที่เรา
00:31:57 → 00:31:59 ยังไม่ได้ที่พูดกันถึงเมื่อกี้เยครับก็ก็
00:31:59 → 00:32:01 เป็นส่วนที่เจอบ่อยเช่นทำไมตื่นมาตาภาพ
00:32:02 → 00:32:04 มันเป็น 2 ภาพเนาะปิดตาภาพินตามันเอ้
00:32:04 → 00:32:06 เหลือวภาพเดียวทำไมพอมอง 2 ตามันกลายเป็น
00:32:06 → 00:32:08 2 ภาพอีกแล้วอะไรอย่างเงี้ยครับอันเนี้ย
00:32:08 → 00:32:12 ก็จะเป็นโรคที่เกิดความผิดปกติจากได้หลาย
00:32:12 → 00:32:14 ส่วนนะครับจริงๆแล้วแต่ว่าเราก็จะต้องมอง
00:32:14 → 00:32:16 ภาพว่าเอ๊ะอันเนี้ยเป็นที่กล้ามเนื้อตา
00:32:16 → 00:32:20 หรือเปล่าอเป็นที่เส้นประสาทตาหรือเปล่า
00:32:20 → 00:32:22 ครับเป็นที่ก้ามสมองหรือเปล่านะครับผม
00:32:23 → 00:32:26 ซึ่งึพวกเนี้ยคุณหมอเจะมีวิธีการแยกอยู่
00:32:26 → 00:32:29 แล้วก็บอกได้ว่าเอ๊เราควจะต้องส่งตวด MRI
00:32:29 → 00:32:31 หรือว่าส่งตวดอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติมนะ
00:32:31 → 00:32:33 ครับซึ่งกรณีเนี้ยมันก็จะถ้าจริงๆมันก็
00:32:33 → 00:32:35 คือการเคลื่อนไหวของตาที่มันไม่ไปด้วยกัน
00:32:35 → 00:32:39 นั่นแหละเช่นสมมุติว่าเรามองเห็นภาพอ่าไฟ
00:32:39 → 00:32:41 แดงก็ได้ครับยกตัวอย่างไฟแดงอยู่ข้างหน้า
00:32:41 → 00:32:44 เนาะเราจ้องแบบตั้งใจจ้องเลยเฮ้ยมันเป็น 2
00:32:44 → 00:32:47 ภาพแพะติดตาเหลือข้างเดียวแต่เราเวลาเรา
00:32:47 → 00:32:49 มองแล้วเนี่ยเอ้ยมันกลายเป็นว่ามองไปทาง
00:32:49 → 00:32:51 ซ้ายอ่ะภาพมันชัดน้อยลงหรือมองไปทางขวา
00:32:51 → 00:32:54 ภาพมันชัดภาพมันเป็นส่งภาพมากขึ้นอย่าง
00:32:54 → 00:32:57 เงี้ยครับโดยโโดยปกติคุณหมอเก็จะสามารถ
00:32:57 → 00:32:59 ใช้สิ่งเหล่าเนี้ยในการแยกได้แต่จริงๆมัน
00:32:59 → 00:33:01 ก็คือการที่ตา 2 ข้างนั้นแหละมันไม่
00:33:01 → 00:33:05 ประสานกันอืข้าออกออ่าซึ่งๆอันเนี้ยมันก็
00:33:05 → 00:33:07 จะมีวิธีอันเนี้ยอันนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น
00:33:07 → 00:33:10 ส่วนใหญ่จะไปเจอหมอตาก่อนเพราะว่าภาพซ้อน
00:33:10 → 00:33:12 ครับแต่แล้วสุดท้ายก็จะมาเจอหมอระบบ
00:33:12 → 00:33:17 ประสาทเพราะว่าภาพซ้อนมันเป็นของมอืเออๆ
00:33:17 → 00:33:20 อันนี้อันนี้อันนี้เป็นอีก 1 1 1 ศัพท์
00:33:20 → 00:33:24 ที่ที่เราควรจะต้องเรียนรู้แล้วก็ศึกษา
00:33:24 → 00:33:27 กันไว้เผื่อว่าถ้าหากใครที่มันมีอาการใน
00:33:27 → 00:33:29 ลักษณะแบบนี้เนี่ยจะได้จะได้ตระหนักไว้
00:33:29 → 00:33:31 หรือว่าอาจจะต้องไปพบแพทย์ใช่มั้ยครับคุณ
00:33:31 → 00:33:34 หมอครับใช่ครับถูกต้องครับถ้าภาพซ้อนนี่
00:33:34 → 00:33:36 ไม่ควรควรจะรีบไปหาหมออยู่แล้วครับโดย
00:33:36 → 00:33:38 ปกติภาพซ้อนนะคุณหมอมันมันภาพซ้อนหมายถึง
00:33:38 → 00:33:40 ว่าตื่นมาแล้วภาพซ้อนแต่ว่าเมื่อกี้คุณ
00:33:40 → 00:33:42 อ่าคุณบดีพูดถึงว่าเอ้ยตื่นมาเราล้างหน้า
00:33:42 → 00:33:44 ล้างตาแล้วทุกอย่างอายเป็นปกติภาพมัน
00:33:44 → 00:33:47 โฟกัสได้เองอันนี้คือถ้ามันอยู่นานน่ะ
00:33:47 → 00:33:50 อยู่นานนานแค่ไหนเนี่ยหมอนานแค่ไหนึงก็
00:33:50 → 00:33:53 เอาไปหาหมอจริงๆอ่ะมันก็จะมีบางภาวะนะ
00:33:53 → 00:33:55 ครับเช่นเราล้องไปหนังสือนานๆเนาะเราอ่าน
00:33:55 → 00:33:58 เราเราเล่น ione ทั้งอ่าๆๆแต่เช้าสรวด
00:33:58 → 00:34:01 เย็นเลยเออมันจะมีภาวะตาที่มันถูกดึงเข้า
00:34:01 → 00:34:04 หากันกล้ามเนื้อตามันเกร็งเนาะครับอันนี้
00:34:04 → 00:34:06 ก็จะเจอได้นะครับแต่ว่าอาจจะเจอน้อยแหละ
00:34:06 → 00:34:08 แล้วก็อันเนี้ยส่วนใหญ่มันต้องหายเองอ่ะ
00:34:08 → 00:34:10 ในทเวลาไม่เกิน 1 วันอ่ะครับทุกอย่างก็
00:34:10 → 00:34:14 ต้องเป็นปกติอ๋ออือ่าแต่แล้วเราก็ไม่ได้
00:34:14 → 00:34:15 ให้รอนะครับเป็นกรณีที่รู้สึกว่าเราไม่
00:34:15 → 00:34:18 ปลอดภัยเราเริ่มมีอะไรผิดปกติเราก็ไปพบ
00:34:18 → 00:34:20 แพทย์ได้แต่ว่าถ้าเกิดเป็นเพราะว่าเราใช้
00:34:20 → 00:34:22 สายตานานเกินไปหรืออะไรหรือเปล่าพวกเนี้ย
00:34:22 → 00:34:24 ส่วนใหญ่มันอยู่ไม่นานมันควรจะต้องกลับมา
00:34:24 → 00:34:26 ได้ค่ะ
00:34:26 → 00:34:30 อืคุณคุณหมอกคือถ้าถ้าอาการไอ้ลักษณะ
00:34:30 → 00:34:33 เหล่านี้ทั้งหมดที่คุณหมอว่ามาเนี่ยคือ
00:34:33 → 00:34:37 ถ้าเราปล่อยไว้โดยคิดว่ามันเอ้อมันก็คง
00:34:37 → 00:34:39 ไม่น่าจะเป็นอะไรกับเรามากนะมันอาจจะรบ
00:34:39 → 00:34:43 กวนการใช้ชีวิตอืมไม่มากก็น้อยมันก็ยังพอ
00:34:43 → 00:34:46 ที่จะไหวอยู่เนี่ยผลที่มันจะตามมาในระยะ
00:34:46 → 00:34:48 ยาวคุณหมอครับมันมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ
00:34:48 → 00:34:51 คุณหมอฮะก็ขึ้นอยู่กับชนิดของโลกครับ
00:34:51 → 00:34:53 เดี๋ยวเราอาจจะมองแบบลองลองดูเรื่องภาพ
00:34:53 → 00:34:56 ซ้อนที่เราคุยกันเมื่อกี้นี้ครับสมมุติ
00:34:56 → 00:34:58 ว่าถ้าเกิดมันเป็นภาพซ้อนเนาะแล้วกลาย
00:34:58 → 00:35:00 เป็นว่าสิ่งที่เราไปเจอเนี่ยครับผมมัน
00:35:00 → 00:35:03 กลายไปเป็นผมเรียกตัวอยากเนอกสมองแล้วกัน
00:35:03 → 00:35:06 มันก็จะกลายเป็นว่าเออเนี่ยภาพซ้อนที่
00:35:06 → 00:35:08 เกิดขึ้นเนี่ยกับไอ้เนื้อนอกสมองเนี่ยเรา
00:35:08 → 00:35:10 เอ๊เราก็ไม่รู้นะมันก็มันก็ยิ่งๆอยู่ๆไป
00:35:10 → 00:35:12 มันก็ยิ่งแบบซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆภาพมันก็
00:35:12 → 00:35:14 ซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเงี้ยครับ
00:35:14 → 00:35:17 อันเนี้ยก็จะเป็นความอันตรายและดังนั้น
00:35:17 → 00:35:19 เนี่ยถ้ามันเริ่มเห็นเป็นภาพซ้อนอย่าง
00:35:19 → 00:35:21 เงี้ยครับหมายถึงเราคุยกันถึงภาพภาพซอน
00:35:21 → 00:35:24 ที่เป็น 2 ภาพนะติดตาภาคนึงแล้วดีขึ้นอัน
00:35:25 → 00:35:27 นี้อาจจะควรอาจจะไม่ใช่อาจอ่ะต้องมีประแ่
00:35:28 → 00:35:30 ครับผมเพราะว่ามันจะทำให้แบบรู้ไม่เราไม่
00:35:30 → 00:35:32 รู้ว่าโลกที่เรามันอันตรายเมันซ่อนอยู่
00:35:32 → 00:35:34 หรือเปล่าเอาจริงๆว่าถ้าไม่แน่ใจเนี่ยควร
00:35:34 → 00:35:36 จะไปครบ 2 ดีกว่าสำหรับเรื่องนี้นะครับผม
00:35:37 → 00:35:39 ค่ะส่วนไอ้เรื่องตากระตุกเมันส่วนใหญ่เรา
00:35:39 → 00:35:41 มันจะอ comply หรือว่ามาด้วยกันกับไอ้พวก
00:35:41 → 00:35:44 อาการบ้านหมุนอยู่และดังนั้นเนี่ยส่วน
00:35:44 → 00:35:46 ใหญ่อันนี้ไม่ไม่ได้ได้คนหมอไม่ค่อยได้รอ
00:35:46 → 00:35:50 หรอกครับส่วนใหญ่คนไพจะมาอค่ะออ่ะอันนี้น
00:35:50 → 00:35:52 รู้ถึงสรุว่าพคือควรจะไปพบแพทย์ครับถ้า
00:35:52 → 00:35:54 เกิดอาการมันเพิอาการยมันคงอยู่นานเพบ
00:35:54 → 00:35:57 แพทย์พบแพทย์อืค่ะแล้วพอพบแพทย์แล้วค่ะ
00:35:57 → 00:36:00 อาจารย์กระบวนการการรักษาล่ะคะใช้การหยอด
00:36:00 → 00:36:02 ตาหรือว่ายังไงคะเพราะว่ามันเป็นเรื่อง
00:36:02 → 00:36:06 ของเอ่อประสาทใช่หประสาลงสมองส่วนใหญ่
00:36:06 → 00:36:08 ส่วนใหญ่เราต้องหาสาเหตุก่อนเลยครับ
00:36:08 → 00:36:10 อันดับแรกเนว่าทำไมคุณถึงเห็นภาพซ้อนทำไม
00:36:10 → 00:36:12 ตาคุณถึงกระตุกแบบเยตลอดแล้วคุณถึงมี
00:36:13 → 00:36:15 อาการเวียนหัวตลอดมันก็ขึ้นอยู่กับการ
00:36:15 → 00:36:17 รักษาว่าสาเหตุนั้นเป็นอะไรครับผมเช่น
00:36:17 → 00:36:20 อย่างถ้าตามสาเหเบื่อกีผมได้ยินเรื่อง
00:36:20 → 00:36:23 เรื่องของน้ำในหูไม่เท่ากันเนาะคุณหมอเก็
00:36:23 → 00:36:25 จะสั่งยามาแก้เรื่องน้ำในหูไม่เท่ากันทำ
00:36:25 → 00:36:27 ให้บ้านไม่หมุนอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ถ้า
00:36:27 → 00:36:29 เกิดอันนี้ก็จะอาจจะไม่ได้อะไรไม่ได้
00:36:29 → 00:36:32 อันตรายไม่ได้รุนแรงมากนะครับแต่อันที่ 2
00:36:32 → 00:36:35 ก็แต่ถ้าทิ้งไว้ก็ไม่ดีนะครับมากแล้วก็
00:36:35 → 00:36:38 ถ้าเป็นในกรณีของการรักษาพวกเ่อเส้น
00:36:38 → 00:36:40 ประสาทอักเสบอย่างเงี้ยเราก็อาจจะใช้ยา
00:36:41 → 00:36:43 ที่เรียกว่าสเตอรอยด์นะครับในการรักษาอื
00:36:43 → 00:36:45 หรือว่าถ้าเป็นเส้นเลือดตีพวกนี้มันก็มัก
00:36:45 → 00:36:47 จะมาด้วยอาการเวียนหัวรุนแรงแข่งขาอ่อน
00:36:47 → 00:36:49 แรงอะไรอย่าเงี้ยเราก็มักจะแบบต้องต้อง
00:36:49 → 00:36:51 แบบเเรียกว่าต้องนอนโรงพยาบาลนะครับเพื่อ
00:36:51 → 00:36:54 ให้การรักษาอย่างต่อเนื่องส่วนภาพซอนก็
00:36:54 → 00:36:55 เหมือนกันครับอย่างที่เราคุยกันเมื่อกี้
00:36:55 → 00:36:57 ถ้าเกิดมันเกิดอาการแบบนี้อ่ะหมอก็ต้องไป
00:36:57 → 00:37:00 หาสาเหตุแล้วว่าเป็นสาเหตุจากอะไรแล้วก็
00:37:00 → 00:37:03 ค่อยดำเนินการรักษาตามสาเหตุไปนะครับอื
00:37:03 → 00:37:06 อ๋อค่ะอาจารย์คะแล้วการให้สเตรอยด์่ะคะ
00:37:06 → 00:37:08 อาจารย์การให้อย่างเงี้ค่ะมันให้แบบังไหน
00:37:08 → 00:37:13 คะกินทายาฉีอส่วนใหญ่จะเป็นยากินนะครับผม
00:37:13 → 00:37:15 ยากิ่นถ้าเป็นอ่ากลุ่มที่เรียกว่าเส้น
00:37:15 → 00:37:18 ประสาทหูอักเสบเนาะแต่ถ้าเป็นกุ่มสั้นรุน
00:37:18 → 00:37:20 แรงแบบพวกสมองน้อยอักเสบอะไรอย่างเงี้ย
00:37:20 → 00:37:22 อาจจะต้องมาดูว่ารุนแรงขนาดไหนจะต้องทำ
00:37:22 → 00:37:25 ยังไงต่ออว่าผมว่าโรคสมองน้อยอักเสบส่วน
00:37:25 → 00:37:27 ใหญ่มันเจอค่อนข้างน้อยแหละที่เราจะเเจอ
00:37:27 → 00:37:30 บ่อยๆในก็มักจะผู้ป่วยนอกก็มักจะเป็น
00:37:30 → 00:37:33 เรื่องของเนี่ยน้ำในหุไม่เท่ากันอ่าหรือ
00:37:33 → 00:37:36 ว่าเป็นเรื่องของอ่าเส้นประสัหัวเสส่วน
00:37:36 → 00:37:40 พวกนี้ก็มักจะไปไปที่ยากินนะครับผมอือื
00:37:40 → 00:37:44 ค่ะคือถ้าเจอปัญหาแล้วเนี่ยไปจะไปหาคุณ
00:37:44 → 00:37:47 หมอคุณหมอก็มีการวินิจฉัย 1 2 3 4 ตาม
00:37:47 → 00:37:49 ขั้นตอนก็ว่ากันไปมันมีโอกาสที่ัน
00:37:49 → 00:37:52 วินิจฉัยสำคัญสุดผมออค่ะคือถ้าเป็นแล้ว
00:37:52 → 00:37:56 นี่คือมันมันจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
00:37:56 → 00:37:58 ได้มั้ยครับคุณหมครับหรือว่ามันขึ้นอยู่
00:37:58 → 00:38:01 กับแต่ละอาการแต่ละประเภทของสายตาที่มี
00:38:01 → 00:38:04 ปัญหาถูกต้องเลยครับมันขึ้นอยู่กับสาเหตุ
00:38:04 → 00:38:07 ของโลกนะครับว่าคืออะไรถ้าสาเหตุของอ่า
00:38:07 → 00:38:09 น้ำไม่หูไม่เท่ากันกินยาอย่างงนี้ไงเข้า
00:38:09 → 00:38:12 ที่เข้าทางแน่นอนเช่นปสาทหูอักเสบกินยาก็
00:38:12 → 00:38:14 เข้าที่เข้าทางอาจจะเหลือหลวงเหลือนิด
00:38:14 → 00:38:16 หน่อยเดินเนิดหน่อยอะไเงี้แต่ว่ามันก็มัก
00:38:16 → 00:38:18 จะเข้าที่เข้าทางแต่บางโลกเครับอย่างเื่อ
00:38:19 → 00:38:21 เราคุยกันโลกพันธุพวกนี้นี่ไม่ค่อยเข้า
00:38:21 → 00:38:25 ที่เข้าทางครับยังไงก็มีจะแย่ลงเรื่อย
00:38:25 → 00:38:29 ๆมที่โสเสื่อมในผู้สูงอายุที่เป็นสมอง
00:38:29 → 00:38:30 น้อยเสื่อมอย่างเงี้ยที่อายุอาจจะไม่ต้อง
00:38:30 → 00:38:32 สูงอายุมากสมองน้อยเสื่อมแต่ว่าอายุเยอะ
00:38:32 → 00:38:34 ขึ้นที่เป็นเป็นกลุ่มสมองเสื่อมที่เกิดก
00:38:34 → 00:38:37 ผู้สูงอายุเนี่ยมันก็จะค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ
00:38:37 → 00:38:39 อยู่แล้วะส่วนใหญ่มันก็จะไม่ไม่ได้ได้ดี
00:38:39 → 00:38:41 แบบเหือนกินยาักหายอะไรอย่างเงี้ยครับผม
00:38:41 → 00:38:43 ส่วนภาพซอเยเราคงต้องไม่หาสาเหตุเพราะว่า
00:38:44 → 00:38:46 มีหลายโรคเนอซึ่งๆก็ต้องมานั่งระบุกันแต่
00:38:46 → 00:38:49 ละจุดว่าเอ๊ะถ้าเป็นโรคของก้ามเนื้ออ่อน
00:38:49 → 00:38:52 แรงก้ามเนื้อตาอ่อนแรงคุณจะใช้อะไรเช่น
00:38:52 → 00:38:55 บริสาทอักเสบจะใช้อะไรก็ก็ต้องไปว่ากัน
00:38:55 → 00:38:59 ตามสายเิอืคุณหมอครับไอ้เรื่องของดวงตา
00:38:59 → 00:39:03 อะไรอย่างเงี้ยคือหลายคนก็มีความกังวลมี
00:39:03 → 00:39:05 ความเป็นห่วงอยู่เหมือนกันก็ไม่มีใครอยาก
00:39:05 → 00:39:07 จะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตานะเพราะว่ามันมัน
00:39:07 → 00:39:10 มีแค่คู่เดียวในชีวิตของเราอะไรอย่าง
00:39:10 → 00:39:14 เงี้ยคือไอ้การที่จะไปตรวจวัดสายตาตรวจ
00:39:14 → 00:39:18 ความผิดปกติเป็นประจำทุกปีเนี่ยมันจะช่วย
00:39:18 → 00:39:21 ลดโอกาสของการเกิดปัญหาอย่างที่วันนี้เรา
00:39:21 → 00:39:23 ได้พูดคุยกันได้มากน้อยขนาดไหนฮะคุณหมอ
00:39:23 → 00:39:27 ครับอืๆอันนี้ในในในในหลักการครับเป็นโรค
00:39:27 → 00:39:30 กลุ่มพวกนี้นะครับเราพูดถึงโรคทางระบบา
00:39:30 → 00:39:33 ตามแบบมองักฟนหรือว่าปากกตพวกเนี้ยเรา
00:39:33 → 00:39:34 ส่วนใหญ่เราไม่ได้เช็คต่อเนื่องอยู่แล้ว
00:39:34 → 00:39:37 ครับผมที่ต้องเช็คก่อนเเป็นประจำปีอ่ะ
00:39:37 → 00:39:39 ส่วนใหญ่เราจะไปเจอในผู้ปวยเบาหวานไม่แน่
00:39:39 → 00:39:41 ใจเคยได้ยินที่เอ้ยเบาหวานต้องตรวจตานะ
00:39:41 → 00:39:44 อะไรอย่างเงี้ยตรวดตาปวตา 1 ปีอย่างเงี้ย
00:39:44 → 00:39:47 อุ๊ยอันนี้ผมไม่เคยได้ยินเลยคุณหมอนี่ไม่
00:39:47 → 00:39:49 เคยได้ยินเป็นนะครับอันนี้เรื่องใหญ่นะ
00:39:49 → 00:39:52 ครับเดี๋ยวตามอออันเนี้ยจะเป็นกลุ่ม
00:39:52 → 00:39:54 เสี่ยงกลุ่มเฉพาะโลกที่จะต้องไปตรวจตา
00:39:54 → 00:39:56 เป็นกับไปหาหมอตาเลยนะครับไม่ใช่ตรวจตา
00:39:56 → 00:39:59 วัดแว่นตาเลยต้องไปเวจตาประจำปีอยู่แล้ว
00:39:59 → 00:40:01 เพราะว่าไม่อย่างงั้นเนี่ยเจะดูว่าเบา
00:40:01 → 00:40:03 หวานคุณขึ้นตาหรือเปล่าอะไรเงี้ยครับหรือ
00:40:03 → 00:40:06 โรคบางโรคเลยที่ผมอาจจะกล่าวไปอาจจะหลาย
00:40:06 → 00:40:09 ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินเร่นเพื่อปอกประสาท
00:40:09 → 00:40:13 อักเสบเนปอกประสาทอักเสบหรือว่าิสริอย่าง
00:40:13 → 00:40:15 เงี้ยเราก็จะให้เช็คสายตาทุกปีอยู่ะแต่
00:40:15 → 00:40:18 โดยปกติเนี่ยมันก็จะเป็นกลุ่มเฉพาะโลคที่
00:40:18 → 00:40:21 จะต้องไปตรวจกับหมอตาทุกปีนะครับไม่อย่าง
00:40:21 → 00:40:23 นั้นก็คือจะเป็นอย่างที่อ่ะพอเกิดอาการ
00:40:23 → 00:40:26 แล้วก็ไปหาหมอตาไปหาหมอหูแล้วหลังจากนั้น
00:40:26 → 00:40:29 ก็จะได้รับการส่งตัวเพื่อรับการวินิจฉัย
00:40:29 → 00:40:32 ต่อไปครับก็คือสรุปผมตอคำถามคุณบีมว่าไม่
00:40:32 → 00:40:34 ไม่จำเป็นต้องไปทุกปีครับผมยกเว้นเราเป็น
00:40:34 → 00:40:36 กลุ่มเสี่ยงที่คุณหมอบอกเลยว่าเอ๊ะ
00:40:36 → 00:40:38 อันเนี้ยเธอต้องเกิดตาทุกปีนะเช่นเป็นเบา
00:40:38 → 00:40:44 หวานอแน่นอนครับอือ๋ออ่ะๆก็แสดงว่าก็ขึ้น
00:40:44 → 00:40:48 อยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลที่ว่ามันจะ
00:40:48 → 00:40:52 ต้องไปตรวจต้องไปติดตามผลที่มันจะตามมา
00:40:52 → 00:40:54 เนี่ยได้มากน้อยขนาดไหนนั่นเองนะครับคุณ
00:40:54 → 00:40:58 หมอครับถูกต้องครับผมอืครับพี่หยกมีอะไร
00:40:58 → 00:41:01 เพิ่มเติมมั้ยครับพี่หยกครับเรว่าวันนี้
00:41:01 → 00:41:04 ยังต้องก็ได้ฟังจากอาจารย์ค่ะแบบได้เรียน
00:41:04 → 00:41:07 รู้อ๋อระบบประสาทของเรางแบบนี้ใช่ตอนแรก
00:41:07 → 00:41:09 เราก็เข้าใจว่าพอมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตานะ
00:41:09 → 00:41:11 มันจะต้องไปหาคุณหมอจากสุแพทย์อะไรอย่าง
00:41:11 → 00:41:15 เงี้ยปรากฏไม่ใช่แฮะใช่นึกว่าตาก็คือต้อง
00:41:15 → 00:41:17 หาหมอตาแต่จริงๆแล้วในระบบษาตาอ้าฟัง
00:41:17 → 00:41:19 อาจารย์แล้วก็ออาจารย์ค่อยๆคลี่ให้เรา
00:41:19 → 00:41:22 เห็นว่าในกระบวนการการมองเห็นรวมถึงเ่อ
00:41:22 → 00:41:25 ไม่กระทั่งมันมีเยบห้องเกี่ยวกับหูด้วย
00:41:25 → 00:41:28 อ๋อใช่ๆๆ
00:41:28 → 00:41:30 สุดท้ายครับคุณหมอครับอยากให้คุณหมอช่วย
00:41:30 → 00:41:33 ฝากอะไรถึงคุณผู้ฟังทางบ้านนิดนึงถ้าหาก
00:41:33 → 00:41:36 ไม่อยากจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของดวงตา
00:41:36 → 00:41:38 เคลื่อนไหวไม่เท่ากันเราต้องปฏิบัติตัว
00:41:38 → 00:41:41 เราต้องดูแลตัวเองยังไงดีครับคุณหมอครับ
00:41:41 → 00:41:45 อ่าอันนี้ผมอาจจะให้คำแนะนำในลักษณะทั่วๆ
00:41:45 → 00:41:48 ไปมากกครับเพราะว่าหลายๆโรคเนี่ยเรารู้
00:41:48 → 00:41:51 เลยว่ามันเป็นโรคจากความผิดปกติจากการทำ
00:41:51 → 00:41:53 ไม่เพียงพอแล้วก็ความเครียดแต่แต่ว่ามัน
00:41:53 → 00:41:55 ก็ไม่ใช่ทุโลกนะผมก็จะบอกอย่างโรก
00:41:55 → 00:41:57 พันธุกรรมเจะพูดประโยคนี้ผมก็พูดไม่ได้
00:41:57 → 00:42:00 เนาะแต่ว่าถ้าเราเป็นแบบคนที่เกิดมาปกติ
00:42:00 → 00:42:04 อ่ามีมีร่างกายที่ปกติดีอยู่เนี่ยนะครับ
00:42:04 → 00:42:06 ส่วนใหญ่เนี่ยปัญหาที่ตามมาเช่นโกเส่น
00:42:06 → 00:42:09 ประสาทอักเสบน้ำในหูไม่เท่ากันสมองอักเสบ
00:42:09 → 00:42:12 หรือว่าเป็นกลุ่มไม่ว่าจะเป็นภาพซ้อนบาง
00:42:12 → 00:42:14 อย่างอย่างเงี้ยครับที่เป็นโรคทางพระโรค
00:42:14 → 00:42:18 ทางเ้าเรียกออโตอิมมูนหรือว่าโรคทางอ่าุม
00:42:18 → 00:42:20 คุ้มกันผิดปกติทำลายตัวเองอย่างเงี้ยครับ
00:42:20 → 00:42:23 คล้ายๆโลกทุ่มพวงสมัยก่อนที่เราสานี้มัน
00:42:23 → 00:42:26 จะไปทำลายที่เอ่อประสาทตาเส้นประสาทตา
00:42:26 → 00:42:29 หรือว่าตตาก็จะแนะนำอันนึงครับที่สำคัญ
00:42:29 → 00:42:33 มากเลยก็คือพักผ่อนให้เพียงพอพักผ่อนให้
00:42:33 → 00:42:36 เพียงพออืครับนอนเท่านั้นนอนอย่างน้อย 7-8
00:42:36 → 00:42:38 ชั่วโมงนะครับครับ
00:42:38 → 00:42:41 อออันเนี้ยเป็นตัวที่สำคัญมากเลยซึ่งบาง
00:42:41 → 00:42:43 ทีเนี่ยมันก็ไม่ได้เขียนในตำราหรือ
00:42:43 → 00:42:45 หนังสืออย่างชัดเจนแต่ว่าถามย้อนกลับไป
00:42:45 → 00:42:47 มันมักจะเจอไอ้พวกข้อมูลเหล่าเยซึ่งก็ไม่
00:42:47 → 00:42:50 รู้ว่าเป็นการถามที่คนไข้เอาจจะลึกขึ้นมา
00:42:50 → 00:42:52 หรือเปล่าแต่ว่าจะจะเจอข้อมูลพวกเยค่อน
00:42:52 → 00:42:54 ข้างเยอะนะครับว่าเออเนี่ยแบบก่อนที่จะ
00:42:54 → 00:42:57 เกิดอาการมันมีการแบบผมงานหนักทำงานเยอะ
00:42:57 → 00:42:59 เครียดมากเนอไม่หลับอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:42:59 → 00:43:02 หลายๆอย่างเออไม่เพียงพอแล้วก็ออกกำลัง
00:43:02 → 00:43:05 กายสม่ำเสมอนะครับครับทานเริ่มทานอาหาร
00:43:05 → 00:43:07 เนี่ยก็คืออาจจะทานอาหารเลือกทานอาหารที่
00:43:07 → 00:43:09 แบบเราใช้คำว่า Healthy Food ก็ได้ครับ
00:43:09 → 00:43:12 ถ้าเกิดจะคำำกัดความสั้นๆเนาะ Healthy
00:43:12 → 00:43:14 Food ไปนึกถึงอะไรก็อาจจะเป็นนึถึงอาหาร
00:43:14 → 00:43:16 ที่คุณหมอหัวใจแนะนำว่าอ่าต้องมี
00:43:16 → 00:43:18 คอเลสเตอรอลน้อยอย่างเงี้ยครับทานผัก
00:43:18 → 00:43:21 ผลไม้มากกว่าอย่างงนี้ก็ได้ครับถ้าเอาแบบ
00:43:21 → 00:43:24 สั้นๆนะครับก็ก็จะเป็นประมาณนี้เนาะซึผม
00:43:24 → 00:43:27 ว่าพวกเนี้ยช่วยช่วยได้ระดับนึงต่อให้คน
00:43:27 → 00:43:29 ที่ป่วยแล้วเนี่ยเราก็พยายามให้เอยู่ใน
00:43:29 → 00:43:33 แทกเงี้ยเหมือนกับว่าพักผอนให้เพียงพอรวม
00:43:33 → 00:43:35 ถึงรักษาโรคไปด้วยนะครับอาการล่าๆนี้มัน
00:43:35 → 00:43:39 ก็ดีขึ้นเร็วกว่านะครับโหเป็นอะไรที่พื้น
00:43:39 → 00:43:41 ฐานพื้นฐานที่ทุกคนเนี่ยรู้กันแต่ว่าหลาย
00:43:41 → 00:43:45 คนก็อาจจะเลือกที่จะแหมละเมันออกไปนะครับ
00:43:45 → 00:43:48 คุณหมอครับอืเออได้ครับวันนี้ต้องขอยุยุ
00:43:48 → 00:43:50 นี้เนาะยุคแบบนี้นะครับส่วนใหญ่เราก็จะ
00:43:50 → 00:43:52 ขี้เหียดไม่มีเงินอะไรเงี้แล้วก็ทำงานทำ
00:43:52 → 00:43:55 งานทำงานสุดท้ายก็ใช่ไปเป็นปัญหาเรื่อง
00:43:55 → 00:43:58 ของสเสียสุขภาพไปเอาเงินที่ได้มามารักษา
00:43:58 → 00:44:01 ตัวเองเงินที่ได้มารักษาตัวเองบางทีไม่พอ
00:44:01 → 00:44:03 ด้วยจากที่ทำงานมาประโยชนนี้ไม่ได้เพราะ
00:44:04 → 00:44:07 ว่าตอนนี้เรามี 30 บาทอุ๊ยขอโทษนะ
00:44:07 → 00:44:11 ครับอาจารย์คะอาจารย์คะเก็บไปค่ะเดี๋ยว
00:44:11 → 00:44:13 ต้องเสียเงรู้ว่าเรามาพูดก่อนเดี๋ยเรู้
00:44:13 → 00:44:16 ว่ารัฐมนตรีวเเพูดก่อน
00:44:16 → 00:44:19 รัฐมนตรีได้ครับคุณหมอวันนี้ขอบพระคุณคุณ
00:44:19 → 00:44:21 หมอมากๆนะครับได้ความรู้มากจริงๆครับคุณ
00:44:21 → 00:44:23 หมอครับขอบพระคุณมากๆนะครับคุณหมอครับ
00:44:24 → 00:44:27 ครับขอบพระคุณครับขอบพระคุณมากๆครับครับ
00:44:27 → 00:44:30 ขอบคุณผู้ฟังทุกท่านนะครับครับขอบพระคุณ
00:44:30 → 00:44:34 มากๆครับครับผมนะครับคุณหมอสหรัฐอังสุมาศ
00:44:34 → 00:44:37 นะครับนายแพทย์ชำนาญการพิเศษสถาบันปราสาท
00:44:38 → 00:44:43 วิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข