00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:08 Voice โดยพื้นฐานที่ี่คือเห็นคนคนนึง
00:00:08 → 00:00:11 เนี่ยเขามีความแตกต่างเป็นความแปลกแยก
00:00:11 → 00:00:13 เป็นความไม่เข้ากลุ่มหรือมีความต้องการ
00:00:13 → 00:00:16 ให้คนเนี้ยไม่เข้ากลุ่มคือมีเจตนาตั้งแต่
00:00:16 → 00:00:18 แรกว่าไม่อยากให้คนเยมาเข้าเป็นกลุ่มเป็น
00:00:18 → 00:00:22 แก๊งเราค่ะก็เลยหาจุดที่จะชี้ว่าคนเนี้ย
00:00:22 → 00:00:24 แตกต่างจากพวกเราในงานวิใจก็คือว่าคนที่
00:00:24 → 00:00:27 ไปบูลลี่คนอื่นมักจะมีปมในใจของตัวเอง
00:00:28 → 00:00:31 หรือแม้กระทั่งตัวเองเคถูกเป็นเหยื่อของ
00:00:31 → 00:00:34 การถูกกระทำมาก่อนคือที่บ้านของเขาอาจจะ
00:00:34 → 00:00:37 ถูกพ่อแม่พ่อหรือแม่ทำร้ายร่างกายหรือทำ
00:00:37 → 00:00:39 ร้ายทางวาจาหรืออาจจะถูกทำร้ายทางเพศอะไร
00:00:39 → 00:00:42 ก็ตามทีเขาก็เลยเอาสิ่งที่ถูกกระทำเนี่ย
00:00:42 → 00:00:45 มาระบายหรือว่ากระทำกับผู้
00:00:45 → 00:00:49 อื่นฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:49 → 00:00:52 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:52 → 00:00:55 ค่ะ
00:00:55 → 00:00:58 ISS สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังค่ะขอต้อนรับเข้า
00:00:58 → 00:01:01 สู่รายการรงหมอทาง PBS พคค่ะวันนี้เรามา
00:01:01 → 00:01:04 พบกันเช่นเคยนะคะคุยกันถึงเรื่องของหยุด
00:01:04 → 00:01:07 บุลลี่กันเสียทีนะคะเรื่องนี้น่าสนใจมาก
00:01:08 → 00:01:10 เดี๋ยวคุยกับดรสุพัฒน์แสนแจ่มใสอาจารย์
00:01:10 → 00:01:13 และนักจิตวิทยาเด็กสถาบันแห่งชาติเพื่อ
00:01:13 → 00:01:16 การพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดน
00:01:16 → 00:01:18 ค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์คะสวัสดีครับผมค่ะคุย
00:01:18 → 00:01:21 กันอีกเรื่องนึงเป็นเรื่องของการบูลี่นะ
00:01:21 → 00:01:26 คะเรามาเชิญชวนให้หยุดบุลลี่กันเถอะนะคะ
00:01:26 → 00:01:29 ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลดีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว
00:01:29 → 00:01:32 แหละครับคะแต่เราขอคุยกันในเชิงวิชากอีก
00:01:32 → 00:01:35 นิดนึงก่อนนะคะก่อนที่จะไปถึงหลายๆเหตุ
00:01:35 → 00:01:38 การณ์หรือรายละเอียดต่างๆเนี่ยอคำว่า
00:01:38 → 00:01:42 บุลลี่เอาจริงๆถ้าย้อนกลับไปในยุคที่ตัว
00:01:42 → 00:01:45 เองแบบเป็นเด็กเติบโตมาเนี่ยเราไม่ค่อย
00:01:45 → 00:01:48 ไม่เอาไม่ได้ยินคำว่าบุลลี่เลยไม่มีคำนี้
00:01:48 → 00:01:52 เลยอย่างมากก็แบบเออล้ออะไรอย่างเงี้ยล้อ
00:01:52 → 00:01:54 เรียนหรืออะไรอย่างเงี้ใช่มั้ยคะแต่คำว่า
00:01:54 → 00:01:56 บุลลี่เราไม่รู้จักเลยเราเพิ่งรู้จักคำ
00:01:56 → 00:01:59 ว่าบุลลี่มาไม่นานไม่กี่ปีนี้เองใช่มั้คะ
00:01:59 → 00:02:02 เกิน 20 ปีประมาณ 15 ปีตั้งแต่เริ่มมี
00:02:02 → 00:02:06 โซเชียลป่ะในถ้าในเมืองไทยผมว่าก็น่าน่า
00:02:06 → 00:02:09 จากจากการที่เริ่มมีโซเชียลใช่ครับอืแล้ว
00:02:09 → 00:02:11 คำนี้จริงๆแล้วคำว่าบูลลี่เนี่ยนิยามความ
00:02:11 → 00:02:15 หมายคือคือจริงๆนิยามก็มีมีหลายคนนิยามนะ
00:02:15 → 00:02:17 ครับแต่ว่าถ้าพูดง่ายๆสั้นๆคือก็คือมีการ
00:02:17 → 00:02:20 กลั่นแกล้งนะครับมีการกลั่นแกล้งกันอาจจะ
00:02:20 → 00:02:22 เป็นกล่นแกล้งในเชิงวาจาหรือการกระทำหรือ
00:02:22 → 00:02:24 แม้ตั่งเดี๋ยวนี้ก็มีเรื่องข้อความถ้า
00:02:24 → 00:02:28 เป็นในเชิงโซเชียลเนาะนะครับเอ่อโดยส่วน
00:02:28 → 00:02:30 ใหญ่บูลี่สถานการณ์ก็จะมีผู้ถูกกระทำแล้ว
00:02:30 → 00:02:34 ก็ตัวศาลแล้วก็ผู้กระทำอืงั้นตัวบุลลี่ก็
00:02:34 → 00:02:37 จะมีผู้ถูกบุลลี่แล้วก็ผู้ผู้ไปบุลลี่คน
00:02:37 → 00:02:39 อื่นงั้นมันก็จะมีกิจกรรมที่ทำให้ผู้ถูก
00:02:39 → 00:02:42 กระทำเนี่ยอาจจะเกิดผลกระทบหรือเกิดบาด
00:02:42 → 00:02:44 แผลในเชิงจิตใจแล้วก็บางทีก็ถึงร่างกาย
00:02:44 → 00:02:47 ด้วยคครับอืเพราะฉะนั้นก็คือการบุรี่
00:02:48 → 00:02:50 เนี่ยเป็นการกระทำที่ทำให้อีกฝ่ายเอ่อ
00:02:50 → 00:02:54 เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีอาจจะได้ทั้งทางใจ
00:02:54 → 00:02:57 ทางกายวาจาอะไรก็ได้มันที่มันเป็นในเชิง
00:02:57 → 00:03:01 ลบไม่ดีมีผลกระทบกับเคใช่ครับอือก็คือการ
00:03:01 → 00:03:05 จะล้อเรียนหรือการกันแกล้งอะไรก็แล้วแต่
00:03:05 → 00:03:08 มีหลหลายช่องทางมากจริงๆเพูดถึงใช่เมื่อ
00:03:08 → 00:03:13 ก่อนนึกถึงตอนเด็กๆก็ก็มีการล้อชื่อเอ่อ
00:03:13 → 00:03:16 พ่อแม่ใช่มั้ยคะอ่าแต่ว่าถามว่ามีโกรธเ
00:03:16 → 00:03:18 มันมันคงมีแหละแต่ว่าเราก็ไม่ได้ถึงขนาด
00:03:18 → 00:03:22 แบบเหมือนกับปัจจุบันที่เรามีสื่อโซเชียล
00:03:22 → 00:03:25 แล้วก็มีการบุลลี่กันผ่านโซเชียลบางทียัง
00:03:25 → 00:03:27 ไม่รู้จักกันเลยเอาสมมุติอย่างเงี้ยอย่าง
00:03:27 → 00:03:29 ลีกับอาจารย์ไม่รู้จักกันเงี้ยครับแต่
00:03:29 → 00:03:32 สามารถบุลลี่อาจารย์ได้หรืออาจารย์บุลลี่
00:03:32 → 00:03:35 รีก็ได้ั้ที่แบบเอ้าไม่เห็นจะได้รู้จัก
00:03:35 → 00:03:39 กันเลยอืแค่เป็นเพื่อนกันในโซเชียลเห็น
00:03:39 → 00:03:41 กันผ่านๆเออบูลีได้แล้วอ่ะอือฮึมันง่าย
00:03:41 → 00:03:44 มากเลยอ่ะมันมันง่ายมากเพราะบางทีก็บูลี่
00:03:44 → 00:03:46 ตั้งแต่กายภาพเนาะของไทยเนี่ยที่จะเจอก็
00:03:46 → 00:03:50 คือบูลลี่กันในเชิงกายภาพก็คือผิวค่ะรูป
00:03:50 → 00:03:53 ร่างหน้าตาอะไรเงี้ยอันนี้อันจะเป็นหลัก
00:03:53 → 00:03:55 ในในในสังคมไทยนะครับก็จะเจอเรื่องเรื
00:03:55 → 00:03:58 บุริทางด้านกายภาพแล้วก็เสร็จสถานะออ่า
00:03:59 → 00:04:03 อือบ้านจนพ่อแกขับรถคนพนักงานทำอะไรเงี้ย
00:04:03 → 00:04:06 ครับก็คือล้อกันเสร็จสถานะของครอบครัว
00:04:06 → 00:04:09 ท็อปปิกที่ที่พบเจอในในสังคมไทยอือฮึอื
00:04:09 → 00:04:11 มันก็เป็นเรื่องที่มีความรู้สึกว่าไม่มัน
00:04:11 → 00:04:13 ก็ไม่น่าต้องมาบูลี่อะไรขนาดนั้นอ่ะอย่าง
00:04:13 → 00:04:16 รูปร่างหน้าตาพอจะเข้าใจได้เพราะว่าอย่าง
00:04:16 → 00:04:19 ถ้าเกิดมีความผิดแผกแปลกไปจากกลุ่มเพื่อน
00:04:19 → 00:04:23 เช่นเมื่อก่อนที่ตอนสมัยนักเรียนนะคะจะมี
00:04:23 → 00:04:26 นักเรียนลูกครึ่งอย่างเงี้ยอ่ะโดนรอซึ่ง
00:04:26 → 00:04:30 จริงๆเฮ้ยเรามองว่าเจ๋งนะเเป็นลูกึเอใช่
00:04:30 → 00:04:33 ดูแบบเฮ้ยแตกต่างดูแปลกดูแบบเออเค้าได้
00:04:33 → 00:04:35 ภาษาด้วยอ่ะเคพูดได้เอออันนี้มันน่าจะ
00:04:35 → 00:04:38 เป็นเศใช่สชื่นชมมากกว่าใช่แต่แบบเฮ้ย
00:04:38 → 00:04:43 ทำไมโดนบูลลี่องงอือคือคือหลักผมว่าดพื้น
00:04:43 → 00:04:46 ฐานคือการบุลลี่คือเห็นคนคนนึงเนี่ยเมี
00:04:46 → 00:04:49 ความแตกต่างอ่าฮะไอ้คนคนที่จะไปกระทำเค้า
00:04:49 → 00:04:51 เนาะคนที่ไปบูลลี่คนอื่นเนี่ยก็คือมอง
00:04:51 → 00:04:53 เห็นถึงคนเนี้ยเป็นความแปลกแยกเป็นความ
00:04:53 → 00:04:56 แตกต่างเป็นความไม่เข้ากลุ่มค่ะหรือมี
00:04:56 → 00:04:58 ความต้องการให้คนเนี้ยไม่เข้ากลุ่มคือมี
00:04:58 → 00:05:00 เจตนาตั้งแต่แรกว่าไม่อยากให้คนเยมาเข้า
00:05:00 → 00:05:04 เป็นกลุ่มเป็นแก๊งเราค่ะก็เลยหาจุดที่จะ
00:05:04 → 00:05:07 ชี้ว่าคนเนี้ยแตกต่างจากพวกเราเช่นการ
00:05:07 → 00:05:09 เป็นลูกครึ่งถ้าคนสวยๆหน่อยก็จะถูกมอง
00:05:09 → 00:05:12 เป็นแบบตัวป๊อบหรือว่าตัวตัวแม่หรือเอ่อ
00:05:12 → 00:05:14 ้าก็จะมีศัตว์ที่ไม่เพราะอเนาะที่ที่จะ
00:05:14 → 00:05:16 เรียกว่าแบบแย่งผู้ชายก็จะถูกไปทางนั้น
00:05:16 → 00:05:20 เออหืชอบไปเฟิสคนอื่นอะไรเงี้ยถ้าคุณสวยๆ
00:05:20 → 00:05:24 ปปเนาะเราแบก็แตกต่างอ่ะเออมากเกินไปอัน
00:05:24 → 00:05:25 นี้ไม่ได้มีความอิจฉาเขาอยู่ใช่มั้ยคะ
00:05:25 → 00:05:30 อาจารย์ผมว่าลึกๆก็คืออคือคือบอกอย่างงี้
00:05:30 → 00:05:31 ว่าในงานวิจัยแล้วกันเนาะอันนี้ไม่ใช่
00:05:31 → 00:05:33 ส่วนตัวเท่านั้นนะครับแต่ว่าในงานวิจัยก็
00:05:33 → 00:05:37 คือว่าคนที่ไปบุลลี่คนอื่นมักจะมีปมในใจ
00:05:37 → 00:05:40 ของตัวเองหรือแม้กระทั่งตัวเองเคยถูกเป็น
00:05:40 → 00:05:43 เหยื่อของการถูกกระทำมาก่อนออเขาว่าเป็น
00:05:43 → 00:05:46 เหยื่อก็คือที่บ้านของเขาอาจจะถูกพ่อแม่
00:05:46 → 00:05:49 พ่อหรือแม่ทำร้ายร่างกายหรือทำร้ายทาง
00:05:49 → 00:05:52 วาจาหรืออาจจะถูกทำร้ายทางเพศอะไรก็ตามที
00:05:52 → 00:05:54 แล้วมันก็เป็นเป็นปมในใจเที่เาถูกกระทำ
00:05:54 → 00:05:58 ถูกกดขี่อจากที่บ้านงั้นเก็เลยเอาเอาสิ่ง
00:05:58 → 00:06:00 ที่ถูกกระทำเนี่ยมามามาระบายหรือว่ามา
00:06:00 → 00:06:03 ด้วยกลไกทางจิตของเาเนาะนะครับก็มาระบาย
00:06:03 → 00:06:05 หรือว่ามามากระทำกับผู้อื่นค่ะหรือมัน
00:06:05 → 00:06:07 เป็นรูปแบบที่เค้าเคยชินในบ้านเค้าอ่ะคือ
00:06:07 → 00:06:09 การกระทำความรุนแรงหรือว่าการใช้วาจาที่
00:06:09 → 00:06:13 ไม่ดีอืก็ใช้สิ่งเนี้ยกับกับเพื่อนของเขา
00:06:13 → 00:06:16 กับคนรอบข้างเขาครับอคือก็พอเข้าใจได้นะ
00:06:16 → 00:06:20 คะถ้าถ้ามองแบบอย่างเป็นกลางเป็นธรรมมที่
00:06:20 → 00:06:23 อ๋อเคอยู่กับครอบครัวลักษณะแบบนี้มาก็เลย
00:06:23 → 00:06:27 ทำให้หล่อหลอมเป็นบุคคลิกภาพลักษณะแบบนี้
00:06:27 → 00:06:30 ครับแต่ว่าแบบนี้มันไม่ไม่ไม่น่าเป็นที่
00:06:30 → 00:06:33 ยอมรับในถูกต้องคือคือมันไม่มันไม่ใช่คือ
00:06:33 → 00:06:35 เราสามารถเข้าใจเได้แต่เราไม่จำเป็นต้อง
00:06:35 → 00:06:37 ยอมรับเขาคือต้องพัดแยกกันคือเราเข้าใจ
00:06:37 → 00:06:39 เคคได้ว่าเคมีพิธิกรรมแบบนี้แต่เราไม่
00:06:39 → 00:06:41 จำเป็นต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่
00:06:41 → 00:06:43 มันผิดต่อระเบียบโรงเรียนผิดต่อกฎหมาย
00:06:43 → 00:06:46 ด้วยบางทีถครับแล้วก็ผิดต่อัมาตรฐานทาง
00:06:46 → 00:06:48 สังคมเราเรายอมรับไม่ได้เราก็ต้องต้อง
00:06:48 → 00:06:51 เอ่อมีแนวทางในการจัดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
00:06:51 → 00:06:54 อืออาจารย์คะว่าการบุลลี่กันเนี่ยนะคะมัน
00:06:54 → 00:06:57 นำไปสู่อะไรได้บ้างเช่นแบบความรุนแรงที่
00:06:57 → 00:07:02 จะเกิดขึ้นต่อคนที่ถูกบุลลี่โอก็ถ้าถ้าใน
00:07:02 → 00:07:04 เชิงของการถูกกล่นแกล้งและกระทบต่อร่าง
00:07:04 → 00:07:07 กายนะชัดเจนก็คือถูกทำร้ายร่างกายอมีบาด
00:07:07 → 00:07:11 แผลด้านร่างกายมันมีซีรีส์เกาหลีก่อนใน
00:07:11 → 00:07:13 นี้ชึกอรี่เนาะเราก็จะเห็นภาพชัดเนานาง
00:07:13 → 00:07:17 เอกก็จะถูกเนาะทำร้ายร่างกายอย่างมากเอ่อ
00:07:17 → 00:07:19 นั่นคือเห็นภาพชัดกายภาพส่วนทั้งจิตใจมัน
00:07:19 → 00:07:22 ก็จะเป็นบาดแผลนในจิตใจของเขาทำให้เขา
00:07:22 → 00:07:25 เนี่ยขาดเอ่อไม่กล้าไปโรงมาโรงเรียนหรือ
00:07:25 → 00:07:29 ว่าเกิดความทุกข์ใจเอ่อรู้สึกไม่ปลอดภัย
00:07:29 → 00:07:31 รู้สึกไม่เป็นที่รักรู้สึกไม่เป็นส่วน
00:07:31 → 00:07:34 หนึ่งของสังคมรู้สึกเราเรามีความแตกต่าง
00:07:34 → 00:07:37 แต่เนี้ยเอ่อนั่นก็คือบาทแผลทางจิตใจที่
00:07:37 → 00:07:39 เขาจะกระทำซึ่งทำให้เขาอาจจะไม่ค่อยกล้า
00:07:39 → 00:07:43 เข้าหาคนอื่นอืเพกลัวคนอื่นจะจะจะมากลั่น
00:07:43 → 00:07:46 แกล้งเขาอีกมันก็จะเป็นปมงั้นแต่มันขึ้น
00:07:46 → 00:07:48 อยู่กับว่าคนนั้นเนี่ยเมื่อเจอถูกกัน
00:07:48 → 00:07:52 แกล้งเนาะเขาจะจัดการกับมันยังไงขอขอ
00:07:52 → 00:07:54 เชื่อมโยงไปที่เรื่องกี่ผมไม่ได้มีส่วน
00:07:54 → 00:07:55 หน้าส่วนเสียอะไรเรื่องนั้นนะครับแต่ว่า
00:07:55 → 00:07:57 เออมันเป็นเรื่องที่ดีจะเห็นว่านางเอก
00:07:57 → 00:07:59 เนี่ยก็เอาปมเนี้ยมาจริงๆมันก็ก็ไม่เหมาะ
00:07:59 → 00:08:02 สมเนาเพราะเแก้แค้นมันก็นำไปสู่การวางแผน
00:08:02 → 00:08:04 ฆ่าคนอื่นนะครับแต่ว่ากลายว่าเ้าลุกขึ้น
00:08:04 → 00:08:06 มาต่อสู้ลุกขึ้นมาเข้มแข็งปกป้องตัวเอง
00:08:06 → 00:08:09 หรอใช่ลุกขึ้นมาที่จะเฮ้ยจะต้องเรียนให้
00:08:09 → 00:08:11 มันได้สูงๆเพื่อจะมีความรู้เพื่อจะมี
00:08:11 → 00:08:15 อำนาจทางด้านความรู้หรือสถานะมที่สูงขึ้น
00:08:15 → 00:08:18 ั้นเก็กลายว่าเอาปรมเยมาเป็นผลักดันค่ะ
00:08:18 → 00:08:21 ตัวเองขึ้นมาแต่ว่าโอเคะในกี่มันก็จบไม่
00:08:21 → 00:08:23 ใช่ทางเลือกที่ที่ถูกต้องเนาะเพราะเเอา
00:08:23 → 00:08:25 คืนคนอื่นนะครับแต่ว่าอย่างน้อยมันมีจุด
00:08:25 → 00:08:27 ที่ทำให้เาเนี่ยผลักดันตัวเองค่ะแต่บางคน
00:08:27 → 00:08:31 แน่นอนว่าเจอแล้วก็คือยอมพ่แพ้เ้าเรียก
00:08:31 → 00:08:34 ยอมรับต่อชะตากรรมนั้นแล้วก็กลายอานาไป
00:08:34 → 00:08:37 สู่โรคทางด้าจิตเวทอื่นๆโดยเฉพาะซึมเศร้า
00:08:37 → 00:08:40 ต้นครับแล้วก็รุนแรงก็คืออาจจะนำไปสู่การ
00:08:40 → 00:08:43 การฆ่าตัวตายได้ครับอย่างที่เราอาจจะเห็น
00:08:43 → 00:08:45 ข่าวที่แบบเรื่องบางเรื่องมีความรู้สึก
00:08:45 → 00:08:49 ว่าเฮ้ยมันเล็กนิดเดียวเองอแต่ว่าเราไม่
00:08:49 → 00:08:52 รู้ใจเนะตอนนั้นที่เผชิญอยู่ว่าเาอยู่
00:08:52 → 00:08:55 ด้วยความอับอายอยู่ด้วยความรู้สึกว่าโลก
00:08:55 → 00:08:59 ใบนี้ไม่ไม่อ่อนโยนกับเขาเลยอืมใช่
00:08:59 → 00:09:02 ยุติธรรมแฟกับทำไมเต้องเกิดในครอบครที่พ
00:09:02 → 00:09:04 แม่ไม่มีเงินซื้อ iPhone ให้กับให้กับเนะ
00:09:04 → 00:09:07 ที่เพื่อนใช้ iPhone กันหมดอะไรเงี้ยมี
00:09:07 → 00:09:10 iPad อะไรเงี้ยเขาก็อาจจะู้สึกสำหรับเรา
00:09:10 → 00:09:12 มองว่าเ้ยก็ประหยัดตังค์หน่อยทำไมต้องใช้
00:09:12 → 00:09:14 ด้วยแต่สำหรับเด็กวัยรุ่นบางคนเรู้สึกว่า
00:09:14 → 00:09:16 เออมันมันมันเป็นสำคัญที่เขาจะเข้ากับคุ
00:09:16 → 00:09:18 ใช่ๆซึ่งซึนี้เราเราก็สามารถคือผมผมไม่
00:09:19 → 00:09:21 ได้พูดว่าเราต้องซื้อให้เด็กทุกคนเนาปิด
00:09:21 → 00:09:23 ว่าเราต้องสอนเขาตั้งแต่แรกว่าเพราะอะไร
00:09:23 → 00:09:28 มันมันถึงเราควรจะเ่อเเรียกเราเรารู้จัก
00:09:28 → 00:09:30 ในข้อจำกัดแล้วก็รู้จักที่จะภูมิใจกับ
00:09:30 → 00:09:32 สิ่งที่เราเป็นสิ่งที่เรามีอยู่ได้อย่าง
00:09:32 → 00:09:35 ไรออืครับอาจารย์อย่างงี้มองได้มั้ยคะว่า
00:09:35 → 00:09:38 เป็นเพราะว่าสังคมเราเปลี่ยนไปด้วยเป็นไป
00:09:38 → 00:09:41 ได้ครับก็คือพอสังคมเนี่ยให้่าให้่ากับ
00:09:41 → 00:09:46 สิ่งใดเนาะเช่นให้่ากับความยอดไร้ให้ค่า
00:09:46 → 00:09:49 กับยอดวิวให้ค่ากับความเป็นเป็นเป็นที่
00:09:49 → 00:09:52 ยอมรับในวงกว้างค่ะให้ค่ากับเรื่องของ
00:09:52 → 00:09:56 ทุนนิยมเม็ดเงินต่างๆอือนั้นเราก็จะ
00:09:56 → 00:10:01 พยายามจะจะไปสู่จุดนั้นค่ะนี้เป้าหมายมัน
00:10:01 → 00:10:03 อยู่แบบเดียวกันแต่ต้นทุนแต่ละคนไม่เท่า
00:10:03 → 00:10:05 กันงั้นมันจะเกิดช่องว่างละช่องว่างตรง
00:10:05 → 00:10:07 เนี้ยมันก็มีทั้งแบบช่องว่างแบบค่อยๆไป
00:10:07 → 00:10:09 ค่อยๆไปก็ทำงานเก็บเงินหรือตั้งใจให้
00:10:09 → 00:10:12 เรียนไปแต่บางคนก็มีทางรัดที่มันจะไปสู่
00:10:12 → 00:10:14 ตรงนั้นนะครับมันก็มีความแตกต่างกันเอ่อ
00:10:14 → 00:10:18 มันก็เลยทำให้ค่านิยมทางสังคมมันมีมีผล
00:10:18 → 00:10:21 ผลักดันพอสมควรที่ทำให้เกิดเอ่อปัญหา
00:10:21 → 00:10:24 เหล่าเนี้ยขึ้นมาได้ในในในยุคสมัยใหม่ค่ะ
00:10:24 → 00:10:28 ครับแต่ว่ามันมีการที่จะกลั่นแกล้งทางคำ
00:10:28 → 00:10:31 พูดหรือการกระทำเนี่ยมันมันดูเหมือนจะมาก
00:10:32 → 00:10:34 ขึ้นกว่าเมื่อก่อนสมัยก่อนใช่มครับเพราะ
00:10:34 → 00:10:37 ว่าเพราะว่าง่ายๆคือสิ่งที่มันแตกต่างชัด
00:10:37 → 00:10:41 เจนคือสื่อเอ่อออนไลน์เนาะนะครับสออนไลน์
00:10:41 → 00:10:43 ตงโซล Network ต่างๆนั้นมันมีช่องทางที่
00:10:43 → 00:10:46 ทำให้เราพูดถึงโดยที่ไม่ต้องปะทะคือสมัย
00:10:46 → 00:10:49 ก่อนเนี่ยถ้าแซวกันก็คือต่อหน้าเราก็อาจ
00:10:49 → 00:10:52 จะจบแบบถ้าวันเลวร้ายคือก็มีเรื่องกันตัว
00:10:52 → 00:10:54 ต่อตัวเลยตัวต่อตัวกันหรืออะไรงี้ไปมันก็
00:10:54 → 00:10:56 คือจบตรงนั้นเห็นหน้ากันแต่เดี๋ยเนี้ยเรา
00:10:56 → 00:11:00 สามารถสร้างแคมาใหม่ใช่ตัวตนเป็นโนมินี
00:11:00 → 00:11:03 ขึ้นอวตารขึ้นมาแล้วก็เที่ยไปว่าเค้าอะไร
00:11:03 → 00:11:06 เงี้ยคือก็คือไปกดให้ตัวเองรู้สึกดีให้
00:11:06 → 00:11:10 รู้สึกสะใจที่เห็นคนเนี้ยเขาเอ่อพ่ายแพ้
00:11:10 → 00:11:14 ต่ำต้อยหรือหรือถูกถูกกระทำอะไรเงี้ยก็
00:11:14 → 00:11:18 รู้สึกพึงพอใจตัวนั้นขึ้นมาได้มันก็เลยพบ
00:11:18 → 00:11:21 ได้มากขึ้นด้วยด้วช่องทางเหล่านี้อะไร
00:11:21 → 00:11:22 เงี้ยครับอือแต่บางทีมันไม่ได้เป็นการ
00:11:22 → 00:11:25 กระทำของคนคนเดียวนะคะมันมีแบบว่าพ่วงกัน
00:11:25 → 00:11:28 ไปเฉยเลยเป็นกลุ่มเลยอะไรอย่างเงี้ยกลคือ
00:11:28 → 00:11:32 มันยอมไปที่ตอนแรกคือว่าพอรู้สึกว่ามันมี
00:11:32 → 00:11:35 มีคนนึงที่แปลกแยกเนาะเราก็รู้สึกว่าด
00:11:35 → 00:11:37 เฉพาะวัยรุ่นนะครับเค้ารู้สึกว่าเไม่อยาก
00:11:37 → 00:11:40 จะไปอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ที่ถูกตีตาหรือ
00:11:40 → 00:11:43 ถูกบุลลี่ไปแล้วเพราะถ้าไปใกล้ชิดปุ๊บก็
00:11:43 → 00:11:46 จะถูกหางเล่ห์ที่จะโดนก่นแกล้งไปด้วยงั้น
00:11:46 → 00:11:49 เขาก็ต้องมีการเปลี่ยนพวกละหรือเพิกเฉยอื
00:11:49 → 00:11:53 ต่อคนที่ถูกบุลลี่นะครับถ้าทกรณีกลางๆคือ
00:11:53 → 00:11:56 เพิกเฉยก็คือไม่ไม่ได้รู้สึกต้องช่วยหรือ
00:11:56 → 00:11:59 ต้องสนับสนุนก็กลางๆไปไม่อยากมีเรื่องแต่
00:11:59 → 00:12:02 พวกนึงคืองั้นฉันรีบมาอยู่พวกที่เป็นแก๊ง
00:12:02 → 00:12:05 ไปบุรี่คนอื่นดีกว่ารู้สึกว่าอ่ะฉันก็แบบ
00:12:05 → 00:12:08 กลายเป็นผู้มีอำนาจในห้องในรโรงเรียนใน
00:12:08 → 00:12:10 ชั้นเรียนก็เป็นกลุ่มเป็นแก๊งขึ้นมาแล้ว
00:12:10 → 00:12:14 ก็ไปไปไปเอ่อแบนเพื่อนคนนั้นซึ่งนี้ก็จะ
00:12:14 → 00:12:17 เจอเยอะในวัยรุ่นนะครับที่ที่จริงๆไม่ไม่
00:12:17 → 00:12:19 ได้มีไม่ได้มีปัญหาโดยตรงกับคนนั้นหรอก
00:12:19 → 00:12:22 แต่ว่าเอเพื่อเพื่อความปลอดภัยในโรงเรียน
00:12:22 → 00:12:26 ก็มาย้ายไปอยู่กลุ่มนี้แกงนี้พวงมากลากไป
00:12:27 → 00:12:29 เป็นใช่ครับพมากลากไปครับเออ
00:12:29 → 00:12:33 แต่ว่ามันอาจจะสนุกสำหรับคนกระทำแต่มัน
00:12:33 → 00:12:35 ไม่สนุกสำหรับคนถูกกระทำนะอแน่แน่นอนครับ
00:12:35 → 00:12:41 แน่นอนอือคือทุกคนถูกกระทำำอมันมันเราไม่
00:12:41 → 00:12:44 รู้หรอกว่าเหตุการณ์มันจะฝังอยู่ในตัวเใน
00:12:44 → 00:12:48 ใจเ้าเนี่ยไปอีกนานแค่ไหนแล้วมันก็ค่ะอาจ
00:12:48 → 00:12:51 จะนำไปสู่เคสที่มันเลวร้ายอย่างที่เราเรา
00:12:51 → 00:12:54 คุยกันไปได้ค่ะคนที่ที่กระทำเนี่ยเราสาด
00:12:54 → 00:12:57 ใจในวันนั้นเนี่ยเอ่อแต่เราไม่รู้เลยว่า
00:12:57 → 00:13:00 มันจะสร้างบาดแผลให้กับกับเขเไปมากน้อย
00:13:00 → 00:13:03 แค่ไหนค่ะเพราะอย่างถ้าถ้าเทียบกับในใน
00:13:03 → 00:13:06 บ้านเรากับในต่างประเทศเนี่ยความรุนแรงเอ
00:13:06 → 00:13:09 หรือหรือการที่คนที่ถูกกระทำจะรู้สึกย่ำ
00:13:09 → 00:13:12 แยะหรือการนำไปสู่การการฆ่าตัวตายหรือ
00:13:12 → 00:13:14 อะไรเงี้ยมันมันค่อนข้างจะเยอะเหมือนกัน
00:13:14 → 00:13:17 นะคะครับคือคือเอ่อความเข้มข้นแลขนาดจริง
00:13:17 → 00:13:20 ๆคือของไทยจริงๆก็เริ่มๆมีมีเนาะตามหน้า
00:13:21 → 00:13:22 ข่าวหรือมันชัดขึ้นแต่ว่าในต่างประเทศ
00:13:23 → 00:13:25 เนี่ยมีเรื่องนี้มามาค่อนข้างนาแล้วโดย
00:13:25 → 00:13:28 เฉพาะอย่างคือง่ายๆคือประเทศที่ให้ค่า
00:13:28 → 00:13:30 นิยมทางสังคมแบบที่เราพูดถึงเมื่อกี้ค่ะ
00:13:30 → 00:13:34 ประเทศพัฒนาจุดนั้นจอเมริกาเกาหลีญี่ปุ่น
00:13:34 → 00:13:36 อย่างเงี้ยครับเก็จะเอ่อมีเรื่องแบบเนี้ย
00:13:36 → 00:13:38 คือประเทศที่ให้ค่ากับวัตถุให้กับความ
00:13:38 → 00:13:42 ป๊อบต่างๆยิ่งเงี้ยมีความเป็นไงไอดอลขึ้น
00:13:42 → 00:13:44 มาเงี้ยเค้าก็จะต้องการการยอมรับต้องการ
00:13:44 → 00:13:47 เป็นซุปเปอร์สตาร์ไม่อยากมาเนิดๆจืดๆชืดๆ
00:13:47 → 00:13:50 อะไรอย่างเงี้ยนะครับมันก็จะก็จะเป็นเป็น
00:13:50 → 00:13:52 เป้าได้นั้นเก็ต้องพยายามผลักดันตัวเอง
00:13:52 → 00:13:57 ขึ้นมานั้นก็คนูกระทบก็จะเนี่ยครับในใน
00:13:57 → 00:13:59 ซีรีส์ที่เราเห็นเนี่ยมันก็จะเป็นภาพ
00:13:59 → 00:14:02 สะท้อนสังคมของของเขาอืที่ที่เหภาพชัดขึ้
00:14:02 → 00:14:06 อาจารย์คะแล้วความความที่เราแบบว่าเป็น
00:14:06 → 00:14:08 ส่วนที่แบบอาจะไปบุลลี่เ้าหรืออะไรก็แล้ว
00:14:08 → 00:14:11 แต่มันจะเป็นแค่ช่วงวัยนึงหรรือเปล่าคะพอ
00:14:11 → 00:14:14 พอพอเราเริ่มโตขึ้นมาอย่างเงี้ยเรากลับจะ
00:14:14 → 00:14:17 ไม่ได้เป็นแบบนั้นมันอาจจะกลายเป็นคนที่
00:14:17 → 00:14:20 เห็นใจคนอื่นแทนก็ได้เป็นไปได้มั้ยคะเป็น
00:14:20 → 00:14:22 ไปได้ครับเป็นไปได้คือต้องบอกงี้ว่าเอ่อ
00:14:22 → 00:14:25 ส่วนใหญ่ที่เราพบว่าเอาเอาแค่ในยุคสมัย
00:14:25 → 00:14:27 ก่อนก็เราก็มีการล้อถูกมั้ยครับมันจะเป็น
00:14:27 → 00:14:29 ช่วงวยรุ่นถ้าสังเกตตัวเองคือมันช่วงมต้น
00:14:29 → 00:14:33 ประมาณม 2 ม 3 เนี่ยกำลังกำลังล้อกำลัง
00:14:33 → 00:14:35 กำลังแซวเพราะอะไรถึงเป็นช่วงนี้คือมัน
00:14:35 → 00:14:38 เป็นถ้าในในเชิงจิตวิทยาเนี่ยมันเป็น
00:14:38 → 00:14:40 พัฒนาการในช่วงที่เด็กวัยรุ่นเนี่ย
00:14:40 → 00:14:42 ต้องการมันเปลี่ยนผ่านระหว่างการเป็น
00:14:42 → 00:14:45 กลุ่มเป็นแก๊งกับการสร้างอัตลักษณ์แห่งตน
00:14:45 → 00:14:48 อืสร้าง Identity อ่าร้า ID นั้นฉันก็
00:14:48 → 00:14:50 ต้องแบบจะทำยังไงดีฉันจะไปทางไหนดีต้อง
00:14:50 → 00:14:53 ต้องต้องมีบบาต้องมีความสำคัญนั้นอะไรที่
00:14:53 → 00:14:56 ทำให้ฉันโดดเด่นอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า
00:14:56 → 00:14:59 เออเป็นที่จดจำเนาะเขาก็เจะพยายามสร้าง
00:14:59 → 00:15:01 ตัวตนขึ้นมาตรงนั้นค่ะพอผ่านจุดนี้ไปได้
00:15:01 → 00:15:04 เนี่ยโฟมันจะมีสิ่งอื่นที่ต้องโฟกัสละมี
00:15:04 → 00:15:06 ความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆตัวตนมันเร่อง
00:15:06 → 00:15:08 อาจจะเริ่มชัดขึ้นมากขึ้นว่าฉันจะไปทาง
00:15:08 → 00:15:10 ไหนอเรียนมหาลัยมันก็เริ่มชัดแล้วว่าฉัน
00:15:10 → 00:15:12 เรียนสายนี้ค่ะทำงานนี้ก็ต้องมุ่งมั่นกับ
00:15:12 → 00:15:16 การเรียนนี้จบมาทำงานเอ่อก็ต้องพารับผิด
00:15:16 → 00:15:20 ชอบในการทำงานมีครอบครัวงั้นมันมีเอ่อ
00:15:20 → 00:15:22 ภาระงานอื่นๆหรือว่ามีกิจกรรมอื่นที่เรา
00:15:22 → 00:15:25 ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นนั้นมันก็เลยอาจ
00:15:25 → 00:15:29 จะลดหายไปหรือลืมไปแล้วว่าฉันเคยเคยกระทำ
00:15:29 → 00:15:31 อะไรแบบนั้นมาก่อนเพราะว่ามันเหมือนมัน
00:15:31 → 00:15:34 เป็นไปตามไวยของของของของเอ่อพัฒนาการ
00:15:34 → 00:15:38 มนุษย์ของเราค่ะครับอืออันนี้ก็อ่ะในวัน
00:15:38 → 00:15:40 นึงสำหรับบางคนที่เขาก็สามารถที่จะ
00:15:40 → 00:15:43 เปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้วก็โฟกัสกับสิ่ง
00:15:43 → 00:15:45 อื่นอันนั้นอาจจะเป็นเรื่องในอดีตแต่ก็
00:15:45 → 00:15:47 ไม่รู้แหละมันคือการสร้างปมให้กับคนคนนึง
00:15:47 → 00:15:49 ไปแล้วใช่ใช่ครับแล้วถ้าเกิดเราเป็นคนที่
00:15:49 → 00:15:53 ถูกบุลลี่ถูกกลั่นแกล้งด้วยรูปแบบอะไรก็
00:15:53 → 00:15:57 แล้วแต่ค่ะจะไม่จะไม่ได้เน้นเฉพาะแค่ทาง
00:15:57 → 00:16:00 โซเชียลหรือว่าแบบซึ่งหน้าก็แล้วอือเราจะ
00:16:00 → 00:16:03 รับมือกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ยังไงคะ
00:16:03 → 00:16:08 เอ่อคือต้องขึ้นอยู่กับเคสก็คือถ้าเคสที่
00:16:08 → 00:16:10 โดนหนักมากๆเนาะจะรู้สึกว่าตัวเองมีภาวะ
00:16:10 → 00:16:12 อาจจะภาวะซุมเศร้ารู้สึกว่าไม่อยากไปโรง
00:16:12 → 00:16:14 เรียนละไม่อยากเจอใครเลยไม่อยากเจอใคระ
00:16:14 → 00:16:17 อันนี้ก็คืออาจจะถ้าเป็นไปได้ก็คืออาจจะ
00:16:17 → 00:16:19 แนะนำให้พบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อๆ
00:16:19 → 00:16:23 ดูแลจัดการเอ่อเอ่อทั้งในเชิงอาจจะให้พบ
00:16:23 → 00:16:27 มีให้ยาหรือบำบัดอะไรก็ตามทีแต่ถ้าเรารู้
00:16:27 → 00:16:29 สึกว่ามันมันแค่กระเทือนกระเพื่อมใจเนาะ
00:16:29 → 00:16:32 เฮ้ยทำไมต้องทำกับเราแบบนี้เกิดความสงสัย
00:16:32 → 00:16:38 นะครับค่ะให้ให้ให้ให้มองตัวเองเนาะเอ่อ
00:16:38 → 00:16:41 พิจารณาถึงถึงอารมณ์ที่เราเกิดขึ้นแล้วก็
00:16:41 → 00:16:43 ความคิดที่มันเกิดขึ้นว่าสิ่งที่เขาล้อ
00:16:43 → 00:16:46 เนี่ยมันเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนอืเราไปง
00:16:46 → 00:16:50 ที่เข้าว่ามั้ยเอ่อูหรูปหล่างขี้เลไอ้ไอ
00:16:50 → 00:16:54 ไอไอเนิร์ดไอ้ไม่ลูกไม่มีพ่อพ่อจนอะไร
00:16:54 → 00:16:57 เงี้ยคือเราก็ถามกตัวเองตอบว่าถ้าถ้าพ่อ
00:16:57 → 00:16:59 ไม่มีพ่อแล้วไงเรามีแไงแล้วเราก็เป็น
00:16:59 → 00:17:02 ครอบครัวของเราเราจนในเธอว่าเราจนแต่เรา
00:17:02 → 00:17:05 ว่าเราอยู่ได้เราไม่สวยเราว่าเดี๋ยวสัก
00:17:05 → 00:17:08 วันนึงเราก็เราว่าเราสวยได้นะเดี๋ยว
00:17:08 → 00:17:12 นี้คำได้หรือผิวทำไมผิวเข้มก็เป็นนางแบบ
00:17:12 → 00:17:15 ในแบบเาก็ผิวสีแทนก็เยอะไปนั้นพยายาม
00:17:16 → 00:17:18 พิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นน่ะมันมันถ้ามัน
00:17:18 → 00:17:22 จริงแล้วมันกระทบกับชีวิตเราจริงๆมยมันมี
00:17:22 → 00:17:24 ผลต่อชีวิตเรากำเนินชีวิตเราจริงๆหรือ
00:17:24 → 00:17:27 เปล่านะครับสิ่งที่จะฝากเพิ่มเติมคือว่า
00:17:27 → 00:17:30 ให้เรามองเห็นว่าเราเรามีคุณค่าในด้านใด
00:17:30 → 00:17:33 ด้านหนึ่งั้นคนทุกคนรู้แล้วแต่มีศักยภาพ
00:17:33 → 00:17:35 นะครับไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่งก็แล้วแต่เรา
00:17:35 → 00:17:37 ลองดูว่าเราอาจจะโดนล้อเรื่องเรียนไม่
00:17:37 → 00:17:40 เก่งแต่เราอาจจะกีฬาเก่งก็ได้อ่าฮเราอาจ
00:17:40 → 00:17:42 จะล้อโดนล้อเรื่องรูป่าหน้าตาแต่เราอาจจะ
00:17:42 → 00:17:46 เออฉลาดกับไ้คนกลุ่มนั้นกลุ่มนึงก็ได้ใช่
00:17:46 → 00:17:49 หรือเราไม่ฉลาดแต่เราขยันกว่าก็ได้อหรือ
00:17:49 → 00:17:51 เฮ้ยอย่างน้นเราก็มีความกตัญญูพ่อแม่ซึ่ง
00:17:51 → 00:17:52 เค้าไม่มีทางรู้หรอกว่าเรากตัญญูพ่อแม่
00:17:52 → 00:17:55 ยังไงนั้นลองดูว่าเรามีคุณค่าในตัวเองใน
00:17:55 → 00:17:58 จุดไหนมันมันมีแน่นอนีว่าบางทีมันอาจจะ
00:17:58 → 00:18:01 ถูกปิดบังด้วยด้วยความซึมเศร้าหรือถูกปิด
00:18:01 → 00:18:04 บังด้วยเอ่อไม่ได้มีโอกาสได้ได้มองเห็น
00:18:04 → 00:18:06 อะไรเงี้ยนะครับแต่ว่าพยายามหาตรงนั้น
00:18:06 → 00:18:08 แล้วเราก็จะบอกตัวเองว่าเรามีเป็นคนที่มี
00:18:08 → 00:18:11 คุณค่าเคล้อยังไงมามันก็มันก็มันก็สุดมัน
00:18:12 → 00:18:13 เป็นมมมของเาเนาะแต่ตัวเราเองเราจะรู้ตัว
00:18:14 → 00:18:15 เองว่าเราเราคือใครเราเป็นใครแล้วเรา
00:18:15 → 00:18:18 สามารถทำอะไรได้บ้างออือก็ฝากถึงสำหรับ
00:18:18 → 00:18:22 ใครที่กำลังโดนบุลลี่อยู่ในในรูปแบบไหนก็
00:18:22 → 00:18:24 แล้วแต่นะคะจะบุลลี่รูปนั่งหน้าตาเราหรือ
00:18:24 → 00:18:27 จะบความสมงสามารถเราอะไรอย่างเงี้ยคนทุก
00:18:27 → 00:18:29 คนอันนี้ให้อยากให้จำไว้ว่ามันไม่มีใคร
00:18:29 → 00:18:31 Perfect 100% นะถูกต้องครับอันนั้นก็
00:18:31 → 00:18:34 เกินไปลมันไม่มีจริงๆนะคะทุกคนต้องมีข้อ
00:18:34 → 00:18:36 บกพร่องในตัวเองเพียงแต่ว่าเอ่อเราไม่ได้
00:18:37 → 00:18:39 ไปเอาข้อบกพร่องของคนอื่นขึ้นมาเป็นจุด
00:18:39 → 00:18:41 เด่นแต่เราต้องเอาจุดเด่นของตัวเองที่มี
00:18:41 → 00:18:44 อยู่เนี่ยขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ให้เขาเนี่ย
00:18:44 → 00:18:47 ทำร้ายเราได้ครับเราต้องต้องใจดีกับตัว
00:18:47 → 00:18:49 เองเนาะอย่าให้เค้ามาทำร้ายเรานะอใช่เรา
00:18:49 → 00:18:51 ต้องใเอ่อประโยคนี้ดีมากครับคือเราใจดี
00:18:51 → 00:18:54 กับตัวเองเรารักตัวเองก่อนคือพื้นฐานคือ
00:18:54 → 00:18:56 เราใจดีตัวเองคำว่าใจดีตัวเองคือทำยังไง
00:18:56 → 00:18:59 ให้เราเองมีความสุขอ่าใช่สบายใจนั่นน่ะ
00:18:59 → 00:19:03 คือความใจดีกับตัวเองงั้นถ้าเรารับคำร้อง
00:19:03 → 00:19:04 ของเขาแล้วทำให้เราทุกข์นั่นแปลว่าเราไม่
00:19:05 → 00:19:07 ใจดีกับตัวเองละงั้นเราก็พยายามโคตัวเอง
00:19:07 → 00:19:10 มันอาจจะยากค่ะหรือว่าน้องๆที่ที่เผชิญ
00:19:10 → 00:19:13 อยู่บอกโอ้โหพี่ก็พูดง่ายสิใช่มั้ยคะบอก
00:19:13 → 00:19:17 ว่าให้มานั่งคิดบอกว่าอ่าถ้าเกิดอันนี้
00:19:17 → 00:19:19 ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่ฟัง
00:19:19 → 00:19:23 รายการอยู่ด้วยนะคะถ้าลูกหลานเราเขาอาจจะ
00:19:23 → 00:19:25 ยังไม่สามารถที่จะแบบมีกระบวนการความคิด
00:19:25 → 00:19:28 อะไรที่ที่เยอะได้เนี่ยก็ไม่เป็นไรเรา
00:19:28 → 00:19:30 ต้องเพิ่มความมั่นใจให้เขาในสิ่งดีๆที่
00:19:30 → 00:19:34 เขามีนะคะหรือเอาไปคุยกับนักจิตวิทยาก็
00:19:34 → 00:19:37 ได้เพื่อที่จะไปหาข้อดีอถ้าเกิดเรามองไม่
00:19:37 → 00:19:40 ออกว่าเรามีมีดีอะไรอ่ะเราต้องคุยถกอ่า
00:19:40 → 00:19:43 ถูกต้องครับก็คือนะคะหรือไม่ก็แบบอาจจะ
00:19:43 → 00:19:45 คุยกับเพื่อนหรือหรือคุณพ่อคุณแม่ก็ได้
00:19:45 → 00:19:48 ว่ามองเห็นเขามีข้อดีอะไรครับมันต้องมี
00:19:48 → 00:19:52 แหละต้องมีต้องมีคือแต่เมื่อกี้ฝากไว้ดี
00:19:52 → 00:19:53 นะครับคือว่าเฮ้ยถ้ามันถึงจุดที่แบบมอง
00:19:53 → 00:19:55 ไม่เห็นอะไรดีเลยอันเนี้ยคุณไปพบกับผู้
00:19:55 → 00:19:59 เชี่ยวชาญะเขาจะได้เอ่อช่วยกันทำงานตรง
00:19:59 → 00:20:01 นั้นเพื่อชี้เห็นว่าเฮ้ยจริงๆนี่ไงในจุด
00:20:01 → 00:20:05 นี้ไงคุณมีคุณค่าในเรื่องนี้ๆใช่ๆความคุณ
00:20:05 → 00:20:09 ค่าในแต่ละคนมีไม่เท่ากันความสวยบุคลิก
00:20:09 → 00:20:12 ภายนอกแต่ละคนมีไม่เท่ากันแต่เข้าใจว่า
00:20:12 → 00:20:16 สังคมเนี่ยก็มักจะยึดถือในบุคลิกภาพหน้า
00:20:16 → 00:20:19 ตาก่อนอนี้เข้าใจแต่ว่าถ้าเรามีความ
00:20:19 → 00:20:21 สามารถอ่ะต่อให้เราไม่สวยอ่ะความสามารถ
00:20:21 → 00:20:24 มันจะโดดเด่นแล้วมันเฉิดฉายทำให้เราดูดี
00:20:24 → 00:20:27 ขึ้นมาได้นะอันนี้จากประสบการณ์เพราะพูด
00:20:27 → 00:20:29 ถึงเดี๋ยวนี้ผมว่าสังคมทุกวันเนี้มันมี
00:20:29 → 00:20:31 ช่องทางให้เราแสดงความสามารถเยอะกว่าเดิม
00:20:31 → 00:20:34 นะอาชีพที่หลากหลายงานที่เยอะแยะมากสมัย
00:20:34 → 00:20:35 ก่อนจะมีกรอบแค่ว่าอ่ะเป็นอาชีพนี้อาชีพ
00:20:35 → 00:20:38 นี้อาชีพนี้เท่านั้นแต่๋นี้โอ้โหคุณทำ
00:20:38 → 00:20:41 อาหารเก่งอุ๊ยคุณก็ดังได้นะเป็นเป็นเชฟ
00:20:41 → 00:20:45 ขึ้นมาได้คุณเสียงคุณไพเราะก็เป็นนักภาค
00:20:45 → 00:20:48 โอหภาคนาทีนึงก็ไหลายทอยู่เหมือนกันใช่ม
00:20:48 → 00:20:51 ครับเพรานั้นมีช่องทางที่จะเอ่อโชว์ภาพ
00:20:52 → 00:20:54 เยอะมากขึ้นใช่ค่ะเพราะฉะนั้นคำพูดของบาง
00:20:54 → 00:20:57 คนมันไม่จำเป็นจะต้องเก็บมาใส่ใจเลยถ้า
00:20:57 → 00:21:00 มันทำให้เราทุกนะคะเรามีความสุขในแต่ละ
00:21:00 → 00:21:03 วันดีกว่าเาอาจารย์ใช่มั้ยคะบุลลี่ก็อยาก
00:21:04 → 00:21:06 บุลลี่ก็บุลลี่ไปแต่เราไม่สะเทือนน่ะถูกเ
00:21:06 → 00:21:08 ก็เหนื่อยของเองสก็จะเป็นความทุกข์ของเขา
00:21:08 → 00:21:11 มันเป็นความทุกข์ของเขาที่แบบทำไมคนนี้
00:21:11 → 00:21:13 ถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดสิ่งที่ฉันพูดเขาก็
00:21:13 → 00:21:15 ต้องพยายามเขาจะเหนื่อยนะเพราะเต้องหาคำ
00:21:15 → 00:21:17 พูดใหม่เต้องหากลเม็ด
00:21:17 → 00:21:20 ใหม่พวกให้ได้ว่าแบว่าเออมาโจมตีเราอะไร
00:21:20 → 00:21:22 อย่างเงี้ยหรือถ้ามันเป็นเรื่องของ
00:21:22 → 00:21:25 โซเชียลอาจารย์เราไม่ไปอ่านเลยดีกว่าเนาะ
00:21:26 → 00:21:28 คอมเมนต์อะไรพวกเนี้ยครับคือเราก็อาจจะ
00:21:28 → 00:21:31 อ่ะเรามันเราเลือบล็อกได้หรือจริงๆเราทุก
00:21:31 → 00:21:34 อย่างเรากำหนดได้ดเราเองอือๆเราจะโหลดแอป
00:21:34 → 00:21:36 เรื่องนี้มั้ยอ่ะเราโหลดก็ได้เราโหลดแต่
00:21:36 → 00:21:40 เราจะเข้าไปในในในานี้มยหรือว่าจะเปิดฟีด
00:21:40 → 00:21:42 นี้มยมันมันเป็นสิทธิ์ที่เราจะเลือกด้วย
00:21:42 → 00:21:45 ตัวเราเองได้ใช่แล้วยิ่งยุคนี้นะคะใคร
00:21:45 → 00:21:48 บูลลี่กันเนี่ยโหเชยแล้วค่ะแบบว่ามันไม่
00:21:48 → 00:21:52 ได้ะไม่มีและนะคะอย่าไปเอ่อเรียกว่าพวก
00:21:52 → 00:21:55 มากลากกันไปบูลลี่กันตามๆไปเป็นเกรียน
00:21:55 → 00:21:57 โซเชียลกันขนาดนั้นเกรียนคีย์บอร์ดเออ
00:21:58 → 00:22:00 อะไรงี้แบบครับไม่เห็นตัวตนไม่รู้จักอ่ะ
00:22:01 → 00:22:03 เอ้ยเสืบได้นะถ้าเกิดเขาจะเอาขึ้นมาจริงๆ
00:22:03 → 00:22:05 อ่ะใช่ครับคือเมื่อกี้คำว่าตัวตนเมื่อกี้
00:22:05 → 00:22:08 คือมันเห็นได้ภาพใชว่าเฮ้ยงานสำคัญคุณของ
00:22:08 → 00:22:10 การเป็นรุ่นคือการหาตัวตนงั้นคุณจะไปเสีย
00:22:10 → 00:22:12 เวลาไปบุลลี่คนอื่นเลยคุณเอาเวลานั้นน่ะ
00:22:12 → 00:22:15 มาหาดีกว่าว่าตัวเองจะจะเฉิดฉายยังไงด้วย
00:22:15 → 00:22:17 ด้วเยของเราเองไม่ใช่อาศัยกลุ่มแก๊ง
00:22:17 → 00:22:20 เพื่อนงั้นเราจะรู้ตัวเองว่าเรามีสภาพใน
00:22:20 → 00:22:22 เรื่องไหนอย่าไปเสียเวลาในการที่แบบคอยจะ
00:22:23 → 00:22:26 ไปพิมพ์คนนู้นคนนี้ล้อคนนี้มันมันมันก็ทำ
00:22:26 → 00:22:29 ให้ขาดโอกาสในการที่จะรู้จักเข้าใจแล้วก็
00:22:29 → 00:22:31 จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่เราเราเราเรามี
00:22:31 → 00:22:35 ศักยภาพใช่ใช่แบบว่าเอาเวลาตรงนั้นทำอะไร
00:22:35 → 00:22:38 อย่างอื่นดีวครับหรือไปอยู่อะไรที่มันมัน
00:22:38 → 00:22:41 ดีๆจะลงใจอยู่ที่สนุกๆให้ทำอีกเยอะนะนอก
00:22:41 → 00:22:45 จากแค่ไปไปไปๆไปไปเอ่อเกรียนหรืออะไร
00:22:45 → 00:22:47 อย่างงี้ในคีย์บอร์ดไปออกออกจากมุมมืดมา
00:22:47 → 00:22:49 อยู่มุมสว่างแล้วจะได้รู้แล้วจะได้เข้าใจ
00:22:49 → 00:22:53 ว่าเออเพราะว่าถ้าตัวเขาเองโดนน่ะเคก็ไม่
00:22:53 → 00:22:55 ชอบเหมือนกันแหละหรือถ้าตัวเองเคยโดนมาก็
00:22:55 → 00:22:58 ต้องเข้าใจแหละว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี
00:22:58 → 00:23:02 เพราะฉะนั้นครับออกมาเถอะบุลลี่กันตอนนี้
00:23:02 → 00:23:04 มันก็ไม่ได้แบบเรื่องเท่อะไรเลยนะครับ
00:23:04 → 00:23:07 ยิ่งคนบูลลี่เนี่ยบางคนไม่ยอมเปิดเผยตัว
00:23:07 → 00:23:10 ตนด้วยนะใช่ๆอ่าเพราะว่าตัวเองก็กลัวดน
00:23:10 → 00:23:13 ใช่เพราะว่าเดี๋ยวนี้กลงมันร่องรอยมันถูก
00:23:14 → 00:23:17 มันเซฟได้มันมันไม่หายไปไหนอ่ะนั้นวันนี้
00:23:17 → 00:23:20 ที่คุณล้อเนี่ยเราจะเราจะเจออย่างมีเคส
00:23:20 → 00:23:23 เยอะมากนะครับที่เป็นนักกีฬาหรือเป็นนัก
00:23:23 → 00:23:26 แสดงแล้วไปถูกคุ้ยว่าในอดีตคุณเคยไปโพสต์
00:23:26 → 00:23:30 บูลี่คนอื่นเนี่ยอ๋อๆๆที่เป็นถกมายเพราะ
00:23:30 → 00:23:32 มันหลักฐานมันอยู่ในโซเชียลมันไม่หายไป
00:23:32 → 00:23:36 ไหนมันมีโอกาสที่จะถูกตามตามตามล้างตาม
00:23:36 → 00:23:38 ผ่านได้อะไรเงี้ยวันที่คุณสมัครงานหรือ
00:23:38 → 00:23:41 วันที่คุณเป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมาอะไร
00:23:41 → 00:23:44 เงี้ยแล้วคุณไปไปทำอะไรในอดีตไว้อืเพราะ
00:23:44 → 00:23:47 ฉะนั้นก็ทำอะไรแต่เรื่องดีๆเอาไว้ดีกว่า
00:23:47 → 00:23:50 ค่ะเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตเนี่ยเราจะต้อง
00:23:50 → 00:23:53 ไปทำอะไรแล้วมันถูกขุดเขมาถูกต้องเราอาจ
00:23:53 → 00:23:56 จะแบบสุดท้ายเราอาจจะเป็นลูกจ้างของคนที่
00:23:56 → 00:23:58 เราไปบูลี่เขาเป็นนายจ้างเราปุ๊บเรียบ
00:23:58 → 00:24:01 ร้อยเราไม่ได้ทำงานทำการะครับเป็นไปได้นะ
00:24:01 → 00:24:05 คะเพราะฉะนั้นก็ก็ทั้งคนที่ถูกบุลลี่ก็
00:24:05 → 00:24:07 ต้องเอาตัวเองออกมานะคะแล้วก็หาจุดดี
00:24:07 → 00:24:10 อย่างที่อาจารย์บอกนะคะถ้าไม่ไหวจริงๆก็
00:24:10 → 00:24:14 มองอะไรไม่เห็นก็คุยกับวิทยาได้เหมือนกัน
00:24:14 → 00:24:16 อาจจะไม่ต้องถึงขนาดเป็นจิตแพทย์แต่ถ้า
00:24:16 → 00:24:19 เป็นจิตแพทย์เลยเนี่ยแสดงว่าต้องหนักละอ
00:24:19 → 00:24:22 คือคือไม่ไหวะใช้แบบอยู่ในสังคมไม่ได้
00:24:22 → 00:24:24 แล้วเรากลัวไปทุกอย่างเลยแบบนี้อันนี้
00:24:24 → 00:24:27 ต้องไปพบจิตแพทย์นะคะแต่ยังหาอะไรที่เรา
00:24:27 → 00:24:30 ไม่เจอบางที่มันอาจจะมีปรมอยู่ในใจอ่ะเรา
00:24:30 → 00:24:34 ไปคุยกับนักจิตวิทยาก็จะได้คลายปลมนั้น
00:24:34 → 00:24:37 ออกไปแล้วจะได้รู้สึกว่าเอ้าใชมันจริงๆ
00:24:37 → 00:24:40 แล้วไม่ได้มีอะไรเราก็มีดีเหมือนกันนะคะ
00:24:40 → 00:24:43 มีคนเคยสอนค่ะอาจารย์ทิ้งท้ายกันตรงนี้
00:24:43 → 00:24:45 ว่าเขาบอกว่าให้ให้อยู่หน้ากระจกค่ะ
00:24:45 → 00:24:49 อาจารย์แล้วก็บอกตัวเองว่าฉัน
00:24:49 → 00:24:54 สวยฉันมีความสามารถนะฉันเก่งนะให้พูดกับ
00:24:54 → 00:24:56 ตัวเองอย่างเงี้ยค่ะทุกๆวันเหมือนสะกดจิต
00:24:56 → 00:24:59 อันนี้มันช่วยได้มั้ยคะอาจาร
00:24:59 → 00:25:02 เอ่อช่วยได้การพูดเนี่ยก็คือขอให้พูดอยู่
00:25:02 → 00:25:05 บนความเป็นจริงอ่าหมายความว่าเราพูดไปเลย
00:25:05 → 00:25:08 คือเราสวยเพราะเราเ่ะมีบอกให้มันชัดเจน
00:25:08 → 00:25:12 เช่นอ่ะใบหน้าของเรามันแบบนี้นายตาแบบนี้
00:25:12 → 00:25:15 นายตาก็ว่ากันไปคือเอ่อพูดี่มันมันลงลงไป
00:25:15 → 00:25:17 ที่ความเป็นจริงเราก็จะรู้สึกว่าเชื่อได้
00:25:17 → 00:25:20 จริงๆเฮ้ยเราเก่งมีความสามารถนะเพราะว่า
00:25:20 → 00:25:23 เนี่ยเราได้ถูกคัดเลือกเข้าตื๊ดๆๆเราเป็น
00:25:23 → 00:25:24 ตัวแทนแข่งอะไรอย่างเงี้ก็ว่าไปหรือว่า
00:25:24 → 00:25:28 เฮ้ยเปเปอร์ั้งที่แล้วเเราได้ได้รับคำชม
00:25:28 → 00:25:31 อ่าใช่ครับชมหน้ากระจกแต่ชมให้มันลง
00:25:31 → 00:25:34 พฤติกรรมที่เราเจอมาจริงๆอันนี้จะช่วยได้
00:25:34 → 00:25:38 อันนี้ชัวร์กว่าอ๋อเหรอคะใช่ครับพอถ้าพูด
00:25:38 → 00:25:40 รอยๆว่าฉันสวยแต่แบบออกไปนอกบ้านแม่ก็ทัก
00:25:40 → 00:25:42 แต่บ้านโอ้โหกล้าแต่งตัวเนาะอย่าเงี้ยมัน
00:25:42 → 00:25:45 ก็มันก็เฟลตั้งแต่ใน
00:25:45 → 00:25:48 บ้านแม่บุลลี่ก่อนเลยเออก่อนเลยในบ้าน
00:25:48 → 00:25:51 ก่อนเลยไม่ได้นี่ดีนะคะฟังอาจารย์ก่อน
00:25:51 → 00:25:54 เนี่ยเกือบแล้วค่ะนี่สวยมาหลายวันแล้วค
00:25:54 → 00:25:57 พยายามสวยมาหลายวันแล้วนะคะนี่เพื่อนจนจน
00:25:57 → 00:25:59 เพื่อนชมจนบอกว่าเดี๋ยวจะไปประกวดนางงาม
00:25:59 → 00:26:01 แล้วค่ะอ่ะถ้างั้นถ้าเนี่ยเพื่อน
00:26:01 → 00:26:04 คอนเฟิร์มไปว่าเราเฮ้ยโอเสวยจริงใช่งั้น
00:26:04 → 00:26:06 ฉันสวยจริงเพื่อนฉันยังชมขนาดเพื่อนที่
00:26:06 → 00:26:09 สนิทที่กล้าด่าฉันยังชมว่าฉันสวยมันฉัน
00:26:09 → 00:26:11 เชื่อได้ว่าฉันสวยอ่ะเราจะมี S
00:26:12 → 00:26:13 confidence ขึ้นมาแล้วถูกต้องถูกต้อง
00:26:13 → 00:26:17 ครับอแต่อย่ามากไปนะมันก็ไม่ดีนะคะอ่านี้
00:26:17 → 00:26:19 ก็เป็นเรื่องราวที่มาคุยกันแล้วก็เชิญชวน
00:26:19 → 00:26:23 เรื่องของการที่เราจะไม่บูลลี่ใครแล้ว
00:26:23 → 00:26:25 หรือแม้กระทั่งตัวเองนะคะให้คุณค่ากับตัว
00:26:25 → 00:26:28 เองเยอะๆนะคะวันนี้ขอบคุณอาจารย์พัฒค่ะ
00:26:28 → 00:26:30 ที่มาร่วมพูดคุยในรายการด้วยนะคะขอบคุณ
00:26:30 → 00:26:33 ค่ะอาจารย์ค่ะสวัสดีค่ะเอาล่ะค่ะคุณผู้
00:26:33 → 00:26:35 ฟังหมดเวลาแล้วนะคะเราจะกลับมาพบกันใหม่
00:26:35 → 00:26:38 ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอไย PBS podcast
00:26:38 → 00:26:41 ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ This Is
00:26:41 → 00:26:44 Toy PBS podcast สิ่งใดที่เป็นปัจจัย
00:26:44 → 00:26:46 ทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านความจำที่ดีตั้ง
00:26:46 → 00:26:49 แต่อย่างเล็กผู้ช่วยศาตราจารย์ดรกณิกา
00:26:49 → 00:26:51 เพิ่มบุญพัฒนาจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการ
00:26:51 → 00:26:54 พัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดลมา
00:26:54 → 00:26:57 เล่าให้ฟังครับความจำในการใช้งานเนี่ย
00:26:57 → 00:27:00 จริงๆจริเป็นกระบวนการทำงานของสมองค่ะ
00:27:00 → 00:27:02 ซึ่งสมองส่วนที่ทำงานก็คือจะเป็นสมองส่วน
00:27:02 → 00:27:04 หน้าของเราก็คือถ้าเกิดว่าเราจับตรง
00:27:04 → 00:27:07 กระหม่อมก็ประมาณส่วนนพากระหม่อมอยู่
00:27:07 → 00:27:09 ประมาณนั้นนะคะซึ่งในส่วนของความจำในการ
00:27:09 → 00:27:13 ใช้งานเนี่ยจะเป็นเหมือนกับทักษะพื้นฐาน
00:27:13 → 00:27:16 ซึ่งมีการเก็บเอาไว้นะคะหรือเป็นลักษณะ
00:27:16 → 00:27:19 ของความรู้ที่มีการเก็บเอาไว้แล้วหลังจาก
00:27:19 → 00:27:21 นั้นปึ๊บเนี่ยเมื่อจำเป็นที่ต้องใช้ก็จะ
00:27:21 → 00:27:25 มีการดึงเอามาใช้แก้ไขปัญหาการประมวลผล
00:27:25 → 00:27:28 เหตุการณ์ต่างๆคือถ้าโดยปกติเนี่ยเวลาที่
00:27:28 → 00:27:30 สมองรับข้อมูลเข้าไปเนี่ยเราจะรับผ่าน
00:27:30 → 00:27:33 ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราถูกต้องมั้ยคะ
00:27:33 → 00:27:36 อย่างเช่นเราได้มองเห็นเราได้ยินเราได้
00:27:36 → 00:27:39 รับรสเราได้กลิ่นเราได้สัมผัสอ่าแล้วหลัง
00:27:39 → 00:27:42 จากนั้นปึ๊บเนี่ยเ่อเมื่อมีการได้สิ่ง
00:27:42 → 00:27:45 เร้าเหล่านั้นซ้ำๆเนี่ยก็จะมีการบันทึก
00:27:45 → 00:27:48 เข้าไปอยู่ในหน่วยความจำของเราถ้าจำเพียง
00:27:48 → 00:27:51 แค่วันหรือ 2 วันก็จะอยู่ในลักษณะของความ
00:27:51 → 00:27:54 จำในระยะสั้นนะคะแต่ถ้าหากว่าความจำระยะ
00:27:54 → 00:27:58 สั้นนั้นถูกดึงกลับมาใช้ซ้ำๆบ่อยๆนะคะจน
00:27:58 → 00:28:02 ทำให้เกิดเป็นความจำในระยะยาวนะคะยกตัว
00:28:02 → 00:28:04 อย่างเช่นเมื่อก่อนเนี่ยสมัยเด็กๆใช่มั้ย
00:28:04 → 00:28:06 ฮะเด็กจะยังไม่สามารถที่จะใส่เสื้อผ้าได้
00:28:06 → 00:28:09 ด้วยตัวเองแต่พ่อแม่ให้โอกาสเขาด้วยการ
00:28:09 → 00:28:13 สอนเขาว่านี่คือเสื้อนะนี่คือกางเกงนะนะ
00:28:13 → 00:28:16 คะขั้นตอนในการใส่เสื้อและกางเกงทำยังไง
00:28:16 → 00:28:20 นะคะให้โอกาสเในการสอนซ้ำๆซ้ำๆหลังจาก
00:28:20 → 00:28:22 นั้นปึ๊บเมื่อเราโตขึ้นนะคะเมื่อเป็นเด็ก
00:28:22 → 00:28:24 ที่โตขึ้นก็จะเป็นเด็กที่สามารถที่จะแต่ง
00:28:24 → 00:28:27 ตัวใส่เสื้อผ้าได้อย่างอัตโนมัติหรือแม้
00:28:27 → 00:28:29 แต่การอ่านถ้าเกิดว่าเราเนี่ยไม่รู้ก่อน
00:28:29 → 00:28:33 ว่านี่คือตัวกไก่กไก่คือเสียงกคไข่คือ
00:28:33 → 00:28:36 เสียงขตัวแบบนี้เรียกว่าขไข่ไม่รู้ว่านี่
00:28:36 → 00:28:39 คือสระอะไรไม่รู้ว่านี่คือวรรณยุกอะไรอัน
00:28:39 → 00:28:41 นี้คือความจำที่เก็บเอาไว้ก่อนถูกต้อง
00:28:41 → 00:28:45 มั้ยคะว่าเมื่อไหร่ที่เราสอนก็ไกลปึ๊บ
00:28:45 → 00:28:48 เด็กบางคนที่มีความจำในการใช้งานดีเ่อ
00:28:48 → 00:28:50 ความซ้ำในการสอนก็จะน้อยกว่าถ้าเทียบกับ
00:28:50 → 00:28:53 เด็กอีกคนนึงซึ่งมีความจำในการใช้งานไม่
00:28:53 → 00:28:55 ดีเพราะฉะนั้นหลังจากที่เด็กจำได้แล้ว
00:28:55 → 00:28:58 ปึ๊บเด็กก็จะดึงเอาความรู้กล่าว่านั้น
00:28:58 → 00:29:01 อันเนี้ยเอามาเพื่อใช้งานถ้าหากลักษณะของ
00:29:02 → 00:29:04 การเลี้ยงดูนะคะเหมือนในเด็กอย่างเงี้ยฮ
00:29:04 → 00:29:07 การเลี้ยงดูที่มีการทำให้เด็กทุกอย่างนะ
00:29:07 → 00:29:10 คะไม่ได้ให้โอกาสเด็กในการที่จะลงมือ
00:29:10 → 00:29:13 กระทำด้วยตัวเองหรือว่าคิดวางแผนด้วยตัว
00:29:13 → 00:29:15 เองนะคะก็จะทำให้เด็กกลุ่มนั้นเนี่ยจะมี
00:29:15 → 00:29:18 ทักษะความจำในการใช้งานเนี่ยน้อยค่ะเอ่อ
00:29:18 → 00:29:21 ง่ายๆก็คือประสบการณ์ของเขาเป็นตัวเพิ่ม
00:29:21 → 00:29:25 ทักษะความจำในการใช้งานนะ
00:29:25 → 00:29:30 คะ This Is Toy PS
00:29:30 → 00:29:33 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:33 → 00:29:36 Application ของ Thai PBS podcast
00:29:36 → 00:29:39 spotify S Cloud Google podcast
00:29:39 → 00:29:41 Apple podcast และ YouTube Channel
00:29:42 → 00:29:46 Thai PBS podcast tha PBS podcast
00:29:46 → 00:29:48 View the world via The
00:29:48 → 00:29:57 [เพลง]
00:29:57 → 00:30:01 Voice อ