00:00:00 → 00:00:00 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:06 world vi The Voice สวัสดีครับผม
00:00:06 → 00:00:10 วีรพงษ์ทวีศักดิ์และนี่คือศัลยกรรมความ
00:00:10 → 00:00:11 สุข
00:00:11 → 00:00:39 [เพลง]
00:00:39 → 00:00:43 คุณผู้ฟังครับมีคำสุภาษิตหรือคำพังเพยอัน
00:00:43 → 00:00:46 หนึ่งที่อยู่มานานแล้วนะครับจะว่าเก่าแก่
00:00:46 → 00:00:50 ก็ได้นะครับถ้าพูดแล้วทุกคนคงจะคุ้นหู
00:00:50 → 00:00:52 คุ้นชินดีนะครับแล้วก็น่าจะเข้าใจความ
00:00:52 → 00:00:55 หมายเป็นอย่างดีด้วยนะครับสุภาษิตหรือคำ
00:00:55 → 00:00:59 พังเพยที่ว่าก็คือความรักทำให้คนตาบอดนะ
00:00:59 → 00:01:03 ครับแต่ว่าวันนี้ผมจะไม่ได้มาชวนคุย
00:01:03 → 00:01:06 เรื่องความรักทำให้คนตาบอดนะครับผมอยากจะ
00:01:06 → 00:01:09 มาชวนพูดคุยแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องความ
00:01:09 → 00:01:14 ไม่รักทำให้คนตา
00:01:14 → 00:01:18 บอดใช่เลยครับคุณผู้ฟังเราจะคุ้นมากใช่
00:01:18 → 00:01:21 มั้ยครับกับเรื่องของคำพูดที่ว่าความรัก
00:01:21 → 00:01:25 ทำให้คนตาบอดผมเชื่อว่าคุณผู้ฟังส่วนใหญ่
00:01:25 → 00:01:29 ก็จะเข้าใจทันทีใช่มั้ยครับว่าอ๋อมันน่า
00:01:29 → 00:01:33 จะหมายหถึงว่าคนเราเนี่ยเวลาที่มีความรัก
00:01:33 → 00:01:36 นะครับถ้าเกิดเรารักใครเนี่ยนะครับความ
00:01:36 → 00:01:41 รักเนี่ยมันทำให้เราตาบอดก็คือเราจะตามืด
00:01:41 → 00:01:46 บอดชั่วขณะนะครับมองมองไม่เห็นสิ่งที่
00:01:46 → 00:01:49 เค้าทำที่ไม่ดีไม่ถูกต้องเราจะไม่เห็นเลย
00:01:49 → 00:01:53 ครับทำอะไรคือถ้าเรารักใครเนี่ยใครทำอะไร
00:01:53 → 00:01:56 คนๆนั้นนะเรารักใครคนๆนั้นทำอะไรนะเราก็
00:01:56 → 00:01:58 จะเห็นดีเห็นงามไปหมดน่ะส่วนใหญ่นะครับ
00:01:58 → 00:02:02 เค้าก็เลยเป็นที่มาของการพูดว่าความรักทำ
00:02:02 → 00:02:06 ให้คนตาบอดนะคือตัดสินใจผิดพลาดไปหมดนะ
00:02:06 → 00:02:10 ครับแต่ว่าวันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของ
00:02:10 → 00:02:14 ความรักทำให้คนตาบอดอย่างที่ผมได้บอกไว้
00:02:14 → 00:02:19 แล้วก็คือผมอยากจะมาชวนคุยว่าความไม่รัก
00:02:19 → 00:02:23 นั่นแหละทำให้คนตาบอดด้วยเหมือนกันนะครับ
00:02:23 → 00:02:26 ยังไงครับก็จริงๆแล้วคุณผู้ฟังเชื่อมครับ
00:02:26 → 00:02:30 ว่ามันก็คือรูปแบบเดียวกับความรักทำให้คน
00:02:30 → 00:02:33 ตาบอดนั่นแหละความไม่รักก็ทำให้คนตาบอด
00:02:33 → 00:02:38 เหมือนกันครับคือความรักทำให้เราตาบอดมอง
00:02:38 → 00:02:44 ไม่เห็นสิ่งไม่ดีที่เขาทำคือเรารักใครชอบ
00:02:44 → 00:02:49 ใครนะครับเค้าทำไม่ดียังไงเค้าจะแย่ขนาด
00:02:49 → 00:02:52 ไหนเา้าจะผลิดจะพลาดยังไงนี่เราไม่เห็น
00:02:52 → 00:02:54 เลยนะครับพอเรารักเค้าซะแล้วนี่เราไม่
00:02:54 → 00:02:57 เห็นเลยครับข้ามมองข้ามไปหมดเลยโอเคได้
00:02:57 → 00:03:00 ยอมรับได้ทุกเรื่องนะครับในในทางเดียวกัน
00:03:00 → 00:03:04 นะครับความไม่รักก็ทำให้เราตาบอดเพราะ
00:03:04 → 00:03:07 เวลาที่เราไม่ชอบใครไม่รักใครนะครับคุณ
00:03:07 → 00:03:11 ผู้ฟังเค้าทำอะไรดีเราก็ไม่เห็นนะครับก็
00:03:11 → 00:03:14 คือความรักทำให้เราตาบอดมองไม่เห็นสิ่ง
00:03:14 → 00:03:18 ไม่ดีแต่ความไม่รักเนี่ยก็ทำให้เราตาบอด
00:03:18 → 00:03:23 ครับทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งดีๆที่เขามี
00:03:23 → 00:03:27 สิ่งดีๆที่เขาทำเรากลับมองไม่เห็นเหมือน
00:03:27 → 00:03:30 กันเพราะอะไรเพราะว่าเราไม่รักเขาครับเรา
00:03:30 → 00:03:33 ไม่รักเราไม่ชอบเราเกลียดคนเนี้ยครับไม่
00:03:34 → 00:03:37 ว่าจะทำดีแค่ไหนเราก็ทำทำไม่รู้ไม่ชี้มอง
00:03:37 → 00:03:39 ไม่เห็นไปซะอย่างงั้นน่ะมองข้ามความดีไป
00:03:39 → 00:03:42 หมดเลยเพราะฉะนั้นคุณผู้ฟังครับผมนึกถึง
00:03:42 → 00:03:44 เรื่องนี้เพราะอะไรรู้มั้ยครับเพราะว่าผม
00:03:44 → 00:03:48 เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเนี่ยมีอยู่
00:03:48 → 00:03:53 ครั้งนึงครับผมเคยไปชมละครเวทีเป็นการ
00:03:53 → 00:03:57 แสดงละครเวทีเพื่อที่จะเสียดสีจะเรียกว่า
00:03:57 → 00:04:00 เสียดเสียดสีสังคมหรือเปล่าประมาณนั้นนะ
00:04:00 → 00:04:03 ครับเป็นการแสดงละครเวทีเพื่อจะเสเสียดสี
00:04:03 → 00:04:06 สังคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็คือว่าใน
00:04:06 → 00:04:10 สังคมเนี่ยมันก็จะมีคนอยู่ 2 ฝ่ายฝ่ายนึง
00:04:10 → 00:04:15 ก็จะเอ่อเชียร์ฝ่ายของตัวเองอีกฟากนึงก็
00:04:15 → 00:04:17 จะเชียร์ฟากของตัวเองแล้วมันทำให้เกิดการ
00:04:17 → 00:04:20 เผชิญหน้ากันของ 2 ฝ่ายนะครับต่างคนต่าง
00:04:20 → 00:04:24 เผชิญหน้ากันแล้วก็ไม่คือขัดแย้งกันตลอด
00:04:24 → 00:04:27 เวลานะครับแล้วเขาก็ทำละครเวทีขึ้นมา
00:04:27 → 00:04:30 เพื่อเสียดสีสังคมในเรื่องนี้นี่แหละนะฮะ
00:04:30 → 00:04:33 ในระหว่างนั้นเนี่ยที่เขามีการแสดงละคร
00:04:33 → 00:04:37 เวทีกันเนี่ยเค้าก็จินตนาการว่าไอ้ 2
00:04:37 → 00:04:41 ฝ่ายที่มันเห็นตรงกันข้ามกันเนี่ยมันมา
00:04:41 → 00:04:45 จากคนละดาวครับคนนึงก็มาจากดาวดวงนึงอีก
00:04:45 → 00:04:48 คนนึงก็มาจากดาวอีกดวงนึงเพราะฉะนั้น 2
00:04:48 → 00:04:52 ฝ่ายเนี่ยคนที่มาจากดาวคนละดวงเนี่ยมันจะ
00:04:52 → 00:04:55 คิดไม่เหมือนกันเห็นไม่เหมือนกันแล้วมัน
00:04:55 → 00:04:59 ก็เกิดการขัดแย้งกันแล้วก็ทะเลาะกันตลอด
00:04:59 → 00:05:02 เวลานะครับหลังจากที่เขาแสดงละครเรื่อง
00:05:02 → 00:05:04 ความขัดแย้งของ 2 กลุ่มนี้เนี่ยนะครับคุณ
00:05:04 → 00:05:07 ผู้ฟังเขาก็ให้ผู้ชมอ่ะมีส่วนร่วมด้วยการ
00:05:07 → 00:05:11 ถามคำถามว่าเนี่ยเอาา 2 ฟากที่ต้องเผชิญ
00:05:11 → 00:05:13 หน้ากันมาทะเลาะกันบนเวทีเนี่ยแล้วให้ผู้
00:05:13 → 00:05:17 ชมถามถามผู้ชมว่าเห็นด้วยกับฝ่ายไหนนะ
00:05:17 → 00:05:22 ครับแล้วก็อยากจะถามคำถามอะไรมยประมาณนี้
00:05:22 → 00:05:26 นะครับซึ่งผมเห็นกิจกรรมแบบนั้นแล้วผมก็
00:05:26 → 00:05:28 คิดว่าเ้ยกิจกรรมนี้ดีนะครับเนี่ยเพราะ
00:05:29 → 00:05:30 ว่า
00:05:30 → 00:05:35 การที่ให้คน 2 ฝ่ายที่อยู่ฟากตรงข้ามอ่ะ
00:05:35 → 00:05:38 ที่ไม่ชอบกันที่เกลียดกันเนี่ยได้มาเจอ
00:05:38 → 00:05:42 หน้ากันเนี่ยแล้วก็มาพูดคุยกันเนี่ยมัน
00:05:42 → 00:05:45 น่าจะทำให้มันเกิดความเข้าใจกันมากขึ้น
00:05:45 → 00:05:48 เพียงอันนั้นแนวความคิดที่ผมมีแต่แรกแต่
00:05:48 → 00:05:53 พอผมดูดูกิจกรรมไปเรื่อยๆแล้วบอกเอ๊น่า
00:05:53 → 00:05:55 สังเกตที่
00:05:55 → 00:05:59 ทำไมการพูดคุยกันในเวทีหรือว่าการเสนอ
00:05:59 → 00:06:03 ความเห็นของผู้ชมที่โยนเข้าไปในบนเวที
00:06:03 → 00:06:07 เนี่ยทำไมมันกลับทำให้ความเห็นที่มันต่าง
00:06:07 → 00:06:11 กันเนี่ยมันมากขึ้นความเกลียดชังจะมีมาก
00:06:11 → 00:06:15 ขึ้นผมสังเกตแล้วผมก็ประหลาดใจว่าในที่
00:06:15 → 00:06:20 สุดผมพบว่าอ๋อเป็นเพราะว่ากิจกรรมในวัน
00:06:20 → 00:06:23 นั้นเนี่ยแล้วก็คำถามที่เขาตั้งเนี่ยเป็น
00:06:23 → 00:06:28 คำถามที่ตอกย้ำความแตกแยกแล้วก็เป็นคำถาม
00:06:28 → 00:06:32 ที่ตอกย้ำความแตกต่างวินาทีนั้นผมก็เกิด
00:06:32 → 00:06:36 ความคิดขึ้นมาว่าเอ๊ะแล้วคำถามที่มันจะทำ
00:06:36 → 00:06:41 ให้เชื่อมความสัมพันธ์คำถามที่จะทำให้
00:06:41 → 00:06:44 ความแตกแยกเนี่ยมันน้อยลงหรือความแตกต่าง
00:06:44 → 00:06:49 เนี่ยมันน้อยลงมีมคำถามแบบนั้นมีมระหว่าง
00:06:49 → 00:06:52 ที่คิดนั้นผมก็เกิดเกิดความคิดขึ้นมาว่า
00:06:52 → 00:06:57 เออน่าลองนะถ้าเราถามคำถามถ้ามันมีวิธีใน
00:06:57 → 00:07:00 การถามคำถามที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นน่ะมัน
00:07:00 → 00:07:03 น่าจะเป็นยังไงแล้วพอดีระหว่างที่กำลัง
00:07:03 → 00:07:06 คิดอยู่อย่างงั้นนะครับบนเวทีเบอกอ้าวมี
00:07:06 → 00:07:10 ผู้ชมท่านไหนที่อยากจะแสดงความเห็นหรือ
00:07:10 → 00:07:14 อยากจะถามคำถามมยนะครับผมก็เลยเกิด
00:07:14 → 00:07:17 จินตนาการแล้วอยากทดลองครับก็เลยยกมือ
00:07:17 → 00:07:21 ครับบอกมีครับผมมีคำถามครับเออคำถามที่ผม
00:07:21 → 00:07:26 ถามก็คือคนที่มาจากดาวคนละดวงนะครับข้อดี
00:07:26 → 00:07:30 แล้วก็ข้อเสียครับของคนที่มาจากคนละดวง
00:07:30 → 00:07:35 เนี่ยแต่เพียงแต่ว่าผมแค่สลับคำถามครับผม
00:07:35 → 00:07:40 ถามดาวดวงนึงว่าคนที่มาจากดาวอีกคนละดวง
00:07:40 → 00:07:45 เนี่ยคนฟากตรงข้ามคุณน่ะพูดง่ายๆคุณคิด
00:07:45 → 00:07:49 ว่าเค้ามีข้อดีอะไรบ้าง
00:07:49 → 00:07:52 ไหมคือผมไม่ถามข้อเสียหรือข้อแตกต่างแต่
00:07:53 → 00:07:56 ผมถามว่าถามถึงข้อดีของคนที่อยู่ตรงข้าม
00:07:56 → 00:08:01 คุณน่ะคุณคิดว่าเคมีข้อดีอะไรมั้แล้วผมก็
00:08:01 → 00:08:04 ถามคำถามนี้กับอีกฟากนึงด้วยนะครับว่าคน
00:08:04 → 00:08:08 ที่นั่งตรงข้ามคุณเนี่ยคุณคิดว่าเค้ามี
00:08:08 → 00:08:11 ข้อดีอะไรมหรือมีสักเรื่องนึงมที่คุณคิด
00:08:11 → 00:08:16 ว่าเออดีมันพอรับได้อะไรอย่างเงี้ยมี
00:08:16 → 00:08:20 มั้ยคุณผู้ฟังเชื่อมยครับว่าพอผมโยนคำถาม
00:08:20 → 00:08:21 นี้ไป
00:08:21 → 00:08:25 เนี่ยมันเหมือนกับเป็นสัญญาณที่จะบอกว่า
00:08:25 → 00:08:28 ถ้าเกิดเขาตอบได้นะครับมันจะเป็นสัญญาณ
00:08:28 → 00:08:33 ที่มันจะทำให้เาสามารถที่จะลดความขัดแย้ง
00:08:33 → 00:08:39 ลงได้แต่ปรากฏว่าเวทีนั้นเป็นเวทีที่เขา
00:08:39 → 00:08:43 จัดมาเพื่อตอย้ำความขัดแย้งครับเไม่
00:08:43 → 00:08:47 ต้องการการสมานชัยไเค้าก็เลยมองหน้ากลับ
00:08:47 → 00:08:50 มาที่ผมซึ่งเป็นคนถามคำถามประมาณว่าคนนี้
00:08:51 → 00:08:54 มาจากไหนอ่ะนะฮะเพราะว่าคำถามเค้าเนี่ย
00:08:54 → 00:08:57 มันจะทำให้เวทีที่เค้าต้องการตอกย้ำความ
00:08:57 → 00:09:00 ขัดแย้งเนี่ยคำถามแบบนั้นมันจะทำให้เวที
00:09:00 → 00:09:03 นั้นเดินต่อไม่ได้ครับเพราะว่าถ้าเกิดเ
00:09:03 → 00:09:07 ตอบคำถามได้เนี่ยมันจะเกิดการสมานฉันครับ
00:09:07 → 00:09:10 แล้วมันจะเกิดความเข้าใจเค้าก็เลยไม่มี
00:09:11 → 00:09:15 การตอบใดๆนะแล้วพิธีกรที่โยมคำถามมาหรือ
00:09:16 → 00:09:19 ดำเนินการต่อก็ไม่เอาประเด็นนี้ไปสานต่อ
00:09:19 → 00:09:24 ใดๆครับปล่อยให้มันจางหายไปในเวทีนั่น
00:09:24 → 00:09:27 แหละนะแล้วก็ไปเน้นที่ความขัดแย้งเหมือน
00:09:27 → 00:09:32 เดิมคุณวังเห็นมั้ยครับว่าคำพูดที่บอกว่า
00:09:32 → 00:09:36 ความรักทำให้คนตาบอดเนี่ยความไม่รักก็ทำ
00:09:36 → 00:09:39 ให้คนตาบอดเหมือนกันครับเพียงแต่ว่ามัน
00:09:40 → 00:09:44 เป็นประเด็นที่ตรงกันข้ามกันความรักทำให้
00:09:44 → 00:09:48 เราไม่เห็นข้อเสียครับไม่ว่าเค้าทำอะไร
00:09:48 → 00:09:52 ถ้าเรารักเค้าซะแล้วเราจะเห็นแต่ข้อดี
00:09:52 → 00:09:56 ความไม่รักก็ส่งผลเหมือนกันแต่ตรงกันข้าม
00:09:56 → 00:10:00 คือความไม่รักทำให้เราไม่เห็นข้อดีเขาเลย
00:10:00 → 00:10:04 ครับไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหนเราจะไม่เห็น
00:10:04 → 00:10:07 เลยแต่เราจะเห็นแต่ข้อเสียเพราะ
00:10:07 → 00:10:11 ฉะนั้นทั้ง 2 กรณีครับคุณผู้ฟังมันเป็น
00:10:11 → 00:10:16 กรณีที่เราต้องระมัดระวังอย่างยิ่งแล้ว
00:10:16 → 00:10:21 เราจะต้องฝึกฝึกยังไงครับฝึกที่จะทำยังไง
00:10:21 → 00:10:24 ก็ตามเราหลุดพ้นจากอคติของความรักและก็
00:10:25 → 00:10:28 ความไม่รักอ่ะเราจะต้องหลุดพ้นจากอคติ
00:10:28 → 00:10:31 หรือหรือสิ่งที่บังตานี้ให้ได้เหมือนกับ
00:10:31 → 00:10:35 ต้องไปลอกต้อออกนะฮะเวลาที่เราตาเราถ้า
00:10:35 → 00:10:38 มองไม่ชัดนี่ถ้ามันมีต้อมันจะมองไม่ชัด
00:10:38 → 00:10:41 ใช่มั้ครับวิธีที่จะทำให้เรากลับมาเห็น
00:10:41 → 00:10:44 อะไรบางอย่างชัดเจนสดใสเหมือนเดิมอ่ะก็
00:10:44 → 00:10:48 ต้องไปลอกต้อออกใช่มั้ยฮะเพราะฉะนั้นสาย
00:10:48 → 00:10:50 ตาที่ถ้าเราอยากจะเป็นคนที่มองอย่างเป็น
00:10:50 → 00:10:54 กลางแบบตามความเป็นจริงนะครับถ้าเรากำลัง
00:10:54 → 00:10:57 มีความรักเราก็ต้องไปลอกต้อไอ้ความรักนี่
00:10:57 → 00:11:02 ออกนะแต่ถ้าเกิดเรามีความไม่รักเรามีความ
00:11:02 → 00:11:05 เกลียดชังใครเนี่ยเราก็ต้องไปลอกต้อไอ้
00:11:05 → 00:11:08 ความเกลียดชังความไม่รักนี้ออกพอเราลอก
00:11:08 → 00:11:12 ฟิล์มบางๆที่เคลือบอยู่นี้ออกเนี่ยเราถึง
00:11:12 → 00:11:16 จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงแบบที่มัน
00:11:16 → 00:11:20 เป็นจริงๆแล้วเราถึงจะหลุดรอดจาก
00:11:20 → 00:11:23 สถานการณ์นี้ที่ว่าความรักแล้วก็ความไม่
00:11:23 → 00:11:27 รักทำให้เราตาบอทั้งคู่อนะมันจะทำให้เรา
00:11:27 → 00:11:32 ดวงตาเราเนี่ยสดใสกลับมามองทุกอย่างแบบ
00:11:32 → 00:11:36 ที่มันเป็นจริงจริงๆแล้วหลังจากนั้นเนี่ย
00:11:36 → 00:11:39 ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ชีวิตเราเนี่ยไม่บิด
00:11:39 → 00:11:43 เบี้ยวผิดเพี้ยนนะครับถูกก็ว่าไปตามถูก
00:11:43 → 00:11:47 ผิดก็ว่าไปตามผิดไม่ว่าคนๆนั้นเป็นใครถ้า
00:11:47 → 00:11:50 เราทำแบบนี้ได้นะครับคุณผู้ฟังชีวิตเรา
00:11:50 → 00:11:55 เนี่ยจะสดใสมากแล้วเราก็จะไม่บิดเบี้ยผิด
00:11:55 → 00:11:58 เพี้ยนเราจะไม่ขุ่นมัวเลยนะครับคุณผู้ฟัง
00:11:58 → 00:12:00 ครับเดี๋ยวเราลองมาดูดูซิว่าว่าด้วย
00:12:00 → 00:12:04 เรื่องของอคติหรือสิ่งที่มาบังตาเรามัน
00:12:04 → 00:12:07 ยังมีอะไรอีกแล้วเราสามารถที่จะจัดการ
00:12:07 → 00:12:10 อะไรกับมันได้บ้างเดี๋ยวเราพักสักครู่
00:12:10 → 00:12:18 แล้วเรามาพบกันช่วงที่ 2
00:12:18 → 00:12:20 [เพลง]
00:12:20 → 00:12:24 ครับ About to
00:12:24 → 00:12:28 leave come
00:12:28 → 00:12:31 [เพลง]
00:12:31 → 00:12:33 to a Place
00:12:33 → 00:12:37 [เพลง]
00:12:37 → 00:12:41 We About to see the world in
00:12:41 → 00:12:44 Action what we can
00:12:44 → 00:12:46 be
00:12:46 → 00:12:49 distractions get away This Is what
00:12:49 → 00:12:50 we waited
00:12:50 → 00:12:54 [เพลง]
00:12:54 → 00:12:59 for take my Hand Make It
00:12:59 → 00:13:03 We Can't Miss
00:13:03 → 00:13:05 Out
00:13:05 → 00:13:07 I'm with
00:13:07 → 00:13:10 the with
00:13:10 → 00:13:17 my Be Free with mee
00:13:17 → 00:13:27 [เพลง]
00:13:32 → 00:13:37 Back E on the
00:13:37 → 00:13:39 fre
00:13:39 → 00:13:41 CL on
00:13:41 → 00:13:42 the is
00:13:42 → 00:13:44 What
00:13:44 → 00:13:47 [เพลง]
00:13:47 → 00:13:51 For Take Hand
00:13:51 → 00:13:56 Make We
00:13:56 → 00:14:05 [เพลง]
00:14:05 → 00:14:11 Free with
00:14:11 → 00:14:21 [เพลง]
00:14:40 → 00:14:46 Be Free with
00:14:46 → 00:14:48 me let
00:14:48 → 00:14:50 go
00:14:50 → 00:14:53 Free with
00:14:53 → 00:14:58 me Oh Come On Let's go let Be
00:14:58 → 00:15:02 Free
00:15:02 → 00:15:14 [เพลง]
00:15:14 → 00:15:17 คุณผู้ฟังครับช่วงที่ 2 ของศัลยกรรมความ
00:15:17 → 00:15:21 สุขนะครับตอนนี้เป็นชื่อตอนที่มีชื่อว่า
00:15:21 → 00:15:25 ความไม่รักทำให้คนตาบอดนะครับก็อย่างที่
00:15:25 → 00:15:27 ผมได้บอกไปแล้วนะครับว่าจริงๆแล้วทั้ง 2
00:15:27 → 00:15:30 อย่างครับทั้งความรักและความไม่รักมันทำ
00:15:30 → 00:15:33 ให้คนตาบอดทั้งคู่แหละนะเพียงแต่ว่าบอด
00:15:33 → 00:15:37 บอดกับอะไรมองไม่เห็นอะไรนะครับรักก็จะ
00:15:37 → 00:15:40 มองเห็นแต่เรื่องดีๆอะไรไม่ดีมองไม่เห็น
00:15:40 → 00:15:44 ข้ามไปหมดความไม่รักก็ทำให้เห็นแต่สิ่ง
00:15:44 → 00:15:48 ที่ไม่ดีครับอะไรดีๆมองข้ามไปหมดซึ่งมัน
00:15:48 → 00:15:52 เป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกันเพียงแต่ว่าตรง
00:15:52 → 00:15:55 กันข้ามเรื่องกันนะครับคือเรื่องดีกับ
00:15:55 → 00:15:58 เรื่องไม่ดีแล้วมันส่งผลยังไงครับคุณผู้
00:15:58 → 00:16:01 ฟังเรามาดูีอีกทีนึงก็คือว่าดูเหมือนว่า
00:16:01 → 00:16:05 คนที่ถูกปฏิบัติแบบนี้เนี่ยสมมุติว่าเรา
00:16:05 → 00:16:09 รักใครคนๆนั้นทำอะไรไม่ดีเนี่ยเราก็ไม่
00:16:09 → 00:16:12 เห็นเนี่ยเราจะเห็นแต่เรื่องดีๆเนี่ยถาม
00:16:12 → 00:16:17 ว่าสิ่งนี้มันส่งผลดีต่อคนคนนั้นหรือไม่
00:16:17 → 00:16:21 เอาเข้าจริงๆแล้วเนี่ยครับคุณผู้ฟังดู
00:16:21 → 00:16:24 เหมือนว่าจะเป็นผลดีนะที่เขาได้รับความ
00:16:24 → 00:16:27 รักจากเราเราก็เลยไม่ตำหนิเขาไม่เห็นข้อ
00:16:27 → 00:16:29 เสียเขาดูเหมือนจะเป็นผลดีดีแต่จริงๆแล้ว
00:16:29 → 00:16:33 ไม่ใช่ผลดีนะครับอันเนี้ยกลายเป็นสิ่งที่
00:16:33 → 00:16:36 ส่งผลร้ายอย่างมหาศาลเลยครับคุณผู้ฟัง
00:16:36 → 00:16:38 เชื่อมยครับว่าสิ่งนึงที่ผมเห็นในสังคม
00:16:38 → 00:16:41 ปัจจุบันนี้เยอะมากเลยนะครับก็คือเวลาที่
00:16:42 → 00:16:45 พ่อแม่เนี่ยมีลูกเล็กๆนะครับแน่นอนเลย
00:16:45 → 00:16:48 ครับพ่อแม่โดยทั่วไปธรรมชาติเนี่ยเห็นลูก
00:16:49 → 00:16:51 ตัวเองก็จะรู้สึกว่าลูกตัวเองน่ะน่ารักไป
00:16:51 → 00:16:54 หมดนะครับลูกตัวเองทำอะไรก็ดีไปหมดนะ
00:16:54 → 00:16:59 โอ้โหชื่นชมนะฮะไม่ว่าจะทำอะไรลูกเราถูก
00:16:59 → 00:17:02 ถูกเสมอนะถ้าไปมีกรณีขัดแย้งมีประเด็นกับ
00:17:02 → 00:17:05 ใครอะไรยังไงลูกเราถูกเสมออันนี้เป็นพ่อ
00:17:05 → 00:17:08 แม่ที่เห็นได้โดยทั่วไปนะครับถึงแม้เรา
00:17:08 → 00:17:11 อาจจะบอกว่าเอ่อไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือว่า
00:17:11 → 00:17:13 เราบอกว่าไม่จริงฉันไม่ได้เป็นอย่างงั้น
00:17:13 → 00:17:16 อะไรก็ตามทีนะครับลองสังเกตดีๆส่วนใหญ่
00:17:16 → 00:17:19 ที่เราเห็นในสังคมก็จะเป็นแบบนี้การที่
00:17:19 → 00:17:23 ลูกเราเราก็รักนี่เป็นเรื่องปกติแต่ว่าพอ
00:17:23 → 00:17:27 ลูกเราทำอะไรไม่ว่าจะยังไงก็ตามถูกเสมอ
00:17:27 → 00:17:31 เนี่ยดูเหมือนจะเป็นผลดีแต่จริงๆเพราะว่า
00:17:31 → 00:17:33 เขาได้รับความรักใช่มั้ยครับแต่ในความ
00:17:33 → 00:17:36 เป็นจริงแล้วสิ่งนี้เนี่ยส่งผลเสียอย่าง
00:17:36 → 00:17:39 มหาศาลเลยนะครับเพราะว่าจากปรากฏที่เรา
00:17:39 → 00:17:42 จากปรากฏการณ์ที่เราเห็นก็คือเด็กเหล่า
00:17:42 → 00:17:48 นั้นเนี่ยมันทำให้เขาเติบโตมาในสภาวะที่
00:17:48 → 00:17:50 เขาไม่ได้รับรู้เลยนะครับว่าจริงๆแล้ว
00:17:50 → 00:17:53 สิ่งที่เขาทำนั้นน่ะมันไม่ถูกต้องตามหลัก
00:17:53 → 00:17:58 เกณฑ์ของสากลหรือในของสังคมปกติเคไม่รู้
00:17:58 → 00:18:01 นะครับครับแล้วเค้าก็จะคิดว่าเค้าทำแบบ
00:18:01 → 00:18:06 นี้ได้เคทำสิ่งนี้ได้นะครับผมเคยเห็นเด็ก
00:18:06 → 00:18:09 บางคนนะครับคุณผู้ฟังที่ในที่สาธารณะ
00:18:09 → 00:18:14 เนี่ยแล้วเค้าก็เล่นกับพ่อแม่เค้าเนี่ย
00:18:14 → 00:18:17 อย่างรุนแรงคือ
00:18:17 → 00:18:22 ปีนคือจริงๆก็เล่นได้นะปีนเข้าไปทุบหัว
00:18:22 → 00:18:25 หรืออะไรก็ตามทีเนี่ยแล้วพ่อแม่ก็จะ
00:18:25 → 00:18:29 หัวเราะชื่นชมเด็กก็ไม่รู้นะครับว่าแบบ
00:18:29 → 00:18:34 นั้นทำกับคนอื่นไม่ได้แต่ว่าพ่อแม่บอกทำ
00:18:34 → 00:18:37 ได้ก็ลูกเราใช่มั้ยแล้วหลังจากนั้นเด็กคน
00:18:37 → 00:18:40 นี้ก็ไปเล่นแบบนี้
00:18:40 → 00:18:44 นะกับคนอื่นกับเพื่อนคนอื่นพอไปแสดงแบบ
00:18:44 → 00:18:47 นี้กับคนอื่นปุ๊บแบบนั้นเนี่ยกลายเป็น
00:18:47 → 00:18:52 ความไม่มีมารยาทกลายเป็นความก้าวร้าวทัน
00:18:52 → 00:18:54 ทีคุณผู้ฟังเห็นมั้ยครับเรื่องนี้เป็น
00:18:54 → 00:18:58 เรื่องที่เราเห็นบ่อยๆในสังคมเพราะฉะนั้น
00:18:58 → 00:19:01 ที่เราต้องต้องระมัดระวังก็คือไอ้ความรัก
00:19:01 → 00:19:05 หรือความไม่รักเนี่ยมันทำให้เราเนี่ยบิด
00:19:05 → 00:19:07 เบี้ยวผิดเพี้ยนกับคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
00:19:07 → 00:19:10 ข้อหนึแล้วข้อที่ต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น
00:19:10 → 00:19:13 ไปอีกเพราะอะไรเพราะว่าความบิดเบี้ยวผิด
00:19:13 → 00:19:16 เพี้ยนนั้นไม่ว่าจะรักหรือไม่รักดีไม่ดี
00:19:16 → 00:19:20 ชอบไม่ชอบเนี่ยความบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนนี้
00:19:20 → 00:19:25 มันจะส่งผลกระทบต่อคนๆนั้นเสมอไม่ว่าจะ
00:19:25 → 00:19:28 รักหรือไม่รักคือถ้าเราไม่รักใครสักคนนึง
00:19:28 → 00:19:32 แล้วเราก็เห็นแต่เรื่องไม่ดีของเค้า
00:19:32 → 00:19:34 เรื่องดีเราไม่เห็นเนี่ยมันก็ทำให้เราไม่
00:19:34 → 00:19:38 ยุติธรรมกับเาเคก็ได้รับความอยุติธรรมใช่
00:19:38 → 00:19:42 มั้ยฮะแต่คนที่เรารักเราก็บิดเบี้ยวผิด
00:19:42 → 00:19:46 เพี้ยนก็ต้องนับว่ามันก็ไม่ยุติธรรมกับ
00:19:46 → 00:19:50 เขาเหมือนกันเพราะอะไรเพราะเค้าไม่รู้ตัว
00:19:50 → 00:19:55 ครับว่าเคทำแบบนั้นกับคนอื่นไม่ได้นะเค้า
00:19:55 → 00:19:59 ทำแบบนี้เค้ามีกิริยาแบบนี้ในที่สาธารณะ
00:19:59 → 00:20:05 ไม่ได้เาทำแบบนี้กับผู้ใหญ่คนอื่นไม่ได้
00:20:05 → 00:20:09 แล้วเราเห็นมาจนนับครั้งไม่ท้วดแล้วใน
00:20:09 → 00:20:12 สื่อในโซเชียลมีเดียหรือ
00:20:12 → 00:20:16 ว่าในข่าวต่างๆคุณผู้ฟังเคยสังเกตมั้ย
00:20:16 → 00:20:21 ครับว่าทุกครั้งเวลาที่มีข่าวใหญ่ๆนะครับ
00:20:21 → 00:20:26 ไม่ว่าจะเป็นข่าวใหญ่ขนาดไหนนะคนๆนึงที่
00:20:26 → 00:20:31 ทำความผิดในเรื่องใหญ่โตด้วยนะครับเป็น
00:20:31 → 00:20:35 ฆาตกรไปฆ่าใครหรือไปสร้างความรุนแรงกับ
00:20:35 → 00:20:39 ใครเนี่ยแล้วเวลาที่เป็นคดีความเรื่องยาว
00:20:39 → 00:20:43 ใหญ่โตเนี่ยพ่อแม่หรือแม้กระทั่งปู่ย่าตา
00:20:43 → 00:20:47 ยายก็จะมักจะออกมาให้ข่าวแบบนี้เสมอว่า
00:20:47 → 00:20:51 ไม่จริงลูกฉันหลานฉันเป็นคนดีนะฮะไม่ไม่
00:20:51 → 00:20:57 เคยโกรธใครไม่เคยคือจะเป็นอย่างนี้เสมอ
00:20:57 → 00:21:00 แล้วคำถามก็คือว่าการที่ใครสักคนนึงหรือ
00:21:00 → 00:21:03 เด็กสักคนนึงจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหน
00:21:03 → 00:21:07 เนี่ยอยู่ๆไม่ใช่วันนึงมาถึงวันนึงแล้วก็
00:21:07 → 00:21:10 เปลี่ยนเป็นแบบนี้เลยนะครับทุกอย่างนั้น
00:21:10 → 00:21:14 เนี่ยจะต้องผ่านการสั่งสมแล้วก็ค่อยๆ
00:21:15 → 00:21:19 พัฒนาค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆพัฒนามาเรื่อยๆ
00:21:19 → 00:21:22 อย่างต่อเนื่องด้วยนะครับจนกระทั่งเป็น
00:21:22 → 00:21:25 แบบนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวแล้วนะตอนนั้นไม่
00:21:25 → 00:21:29 รู้ตัวแล้วแว่าเจะเป็นยังไงเนี่ยแต่ละคน
00:21:29 → 00:21:32 นะครับคุณผู้ฟังเวลาที่มีใครสักคนหนึ่ง
00:21:32 → 00:21:36 ก่อเหตุสะเทือนใจรุนแรงในบ้านเมืองในโลก
00:21:36 → 00:21:39 นี้ก็ตามทีเนี่ยพอสืบค้นไปจะพบว่า
00:21:39 → 00:21:43 พฤติกรรมเหล่านั้นมีที่มาเสมอไม่ว่าจะใน
00:21:43 → 00:21:48 ระดับตั้งแต่การเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือการ
00:21:48 → 00:21:51 อบรมเลี้ยงดูในโรงเรียนตั้งแต่ตอนที่เขา
00:21:51 → 00:21:54 เป็นเด็กเหล่านั้นเนี่ยล้วนแต่ส่งเสริม
00:21:54 → 00:21:58 ให้เขามาถึงจุดนี้มาถึงวันนี้ทั้งทั้ง
00:21:58 → 00:22:02 สิ้นนะครับแล้วทั้งหมดเนี้ยก็มาจากนี้เลย
00:22:02 → 00:22:07 นะครับคุณผู้ฟังมาจากอคติบางตาของคนรอบ
00:22:07 → 00:22:12 ข้างใกล้ชิดที่มีหน้าที่ในการดูแลรับผิด
00:22:12 → 00:22:15 ชอบในการอบรมเลี้ยงดูดูแลคนๆนึงขึ้นมาก็
00:22:15 → 00:22:18 คือความรักกับความไม่รักนี่แหละนะทำให้
00:22:18 → 00:22:22 เราตาบอดเราไม่เห็นพอเราไม่เห็นก็มา
00:22:22 → 00:22:25 ยุติธรรมกับเขาแล้วเป็นตัวส่งเสริมให้เขา
00:22:25 → 00:22:29 เป็นแบบนั้นในเวลาต่อมา
00:22:29 → 00:22:31 มีอยู่ครั้งนึงครับคุณผู้ฟังผมได้ยินคำ
00:22:31 → 00:22:37 พูดคำนึงจากคนๆนึงนะฮะพอผมได้ยินนี่ผม
00:22:37 → 00:22:40 อยู่ในอาการตกใจมากๆเลยนะก็คือในระหว่าง
00:22:40 → 00:22:45 ที่แม่คนนึงเนี่ยกำลังพาลูกไปเดินเล่น
00:22:45 → 00:22:50 อยู่ในสวนสาธารณะนะซึ่งก็มีพ่อแม่คนอื่น
00:22:50 → 00:22:54 พาลูกๆเล็กๆไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะด้วย
00:22:54 → 00:22:57 เช่นเดียวกันในระหว่างนั้นพ่อแม่ก็เดินดู
00:22:57 → 00:23:01 เล่นไปไปดูลูกไปนะครับเล่นกับลูกบ้างหัน
00:23:01 → 00:23:03 ไปนู่นนี่นั่นบ้างในระหว่างนั้นเด็กๆก็
00:23:03 → 00:23:07 เล่นกับพ่อแม่ตัวเองบ้างเล่นกับเด็กคน
00:23:07 → 00:23:09 อื่นบ้างก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้น
00:23:09 → 00:23:12 ในสวนสาธารณะใช่มั้ยครับในระหว่างนั้นก็
00:23:12 → 00:23:16 มีเด็กคนนึงครับคุณผู้ฟังไปเล่นรุนแรงกับ
00:23:16 → 00:23:20 เด็กคนอื่นนะไปเล่นรุนแรงมีพฤติกรรมแบบ
00:23:20 → 00:23:25 รุนแรงเลยครับพอแล้วเขาเป็นเด็กโตกว่า
00:23:25 → 00:23:28 เด็กที่เา้าไปก่อความรุนแรงด้วยแม่ของ
00:23:28 → 00:23:32 เด็กเล็กเนี่ยซึ่งอยู่ตรงนั้นเนี่ยครับก็
00:23:32 → 00:23:35 เลยปกป้องลูกตัวเองแล้วการปกป้องลูกตัว
00:23:35 → 00:23:38 เองเนี่ยก็เผอิญมันก็อยู่ในอาการเหมือน
00:23:38 → 00:23:43 กับจะไปไปห้ามปรามเด็กโตอ่ะครับซึ่งกำลัง
00:23:43 → 00:23:46 ก่อความรุนแรงกับลูกตัวเองเหมือนไปห้าม
00:23:46 → 00:23:48 ปรามแต่ว่ามองจากอีกฟากนึงก็เหมือนกับจะ
00:23:48 → 00:23:53 ไปตักเตือนหรือว่าถ้าคนมองก็อาจจะบอกว่า
00:23:53 → 00:23:58 ไปตีไปทำร้ายลูกเ้าก็ได้นะครับีพอแม่ของ
00:23:58 → 00:24:01 เด็กโตซึ่งไปทำร้ายเด็กเล็กเนี่ยเห็นเข้า
00:24:01 → 00:24:03 เนี่ยนะครับ
00:24:03 → 00:24:07 ออหผมสังเกตพิธีการผมสังเกตเหตุการณ์อยู่
00:24:07 → 00:24:10 ผมสังเกตเห็นเลยว่าโอ้โหแม่ของเด็กโต
00:24:10 → 00:24:14 เนี่ยโกรธมากแล้วยอมไม่ได้เลยนะครับเพราะ
00:24:14 → 00:24:17 เวลาที่เขาหันมาเห็นเนี่ยเขาไม่ได้เห็น
00:24:17 → 00:24:20 ตอนที่ลูกเขาไปทำร้ายเด็กเล็กแต่เวลาที่
00:24:20 → 00:24:24 เขาหันมาเห็นเมาเห็นตอนที่ลูกเ้าอ่ะโดน
00:24:24 → 00:24:28 แม่ของเด็กเล็กเนี่ยกำลังห้ามปรามซึ่งเม
00:24:28 → 00:24:31 มองว่าเหมือนกับเป็นการทำร้ายลูกเขาเท่า
00:24:31 → 00:24:35 นั้นแครับคุณผู้ฟังเกิดการถกเถียงโต้แย้ง
00:24:35 → 00:24:38 กันอย่างรุนแรงในสวนสาธารณะนั้นเลยนะครับ
00:24:38 → 00:24:43 คำพูดคำพูดหนึ่งของแม่ของเด็กโตนะครับที่
00:24:43 → 00:24:46 ไปทำร้ายเด็กเล็กเนี่ยเพูดออกมาบอกว่ามา
00:24:47 → 00:24:50 ทำมาทำร้ายลูกเ้าได้ยังไงนะครับแล้วเขพูด
00:24:50 → 00:24:54 มาบอกว่าฉันเนี่ยนะยอมเห็นลูกเป็นโจรดี
00:24:54 → 00:24:58 กว่าเห็นลูกโดนคนอื่นทำร้ายครับอูพราะผม
00:24:58 → 00:25:00 ได้ยินคำนั้นนี้ผมตกใจมากแต่ผมก็ไม่รู้
00:25:00 → 00:25:03 ว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากของแม่คนนั้นได้
00:25:03 → 00:25:07 ยังไงนะครับไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพูด
00:25:07 → 00:25:10 ไปเพราะความโกรธเพราะความโมโหเพราะความ
00:25:10 → 00:25:12 ไม่ได้ยั้งคิดหรือเปล่าหรืออะไรก็ไม่รู้
00:25:12 → 00:25:15 นะครับแต่ผมได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของ
00:25:15 → 00:25:19 แม่คนหนึ่งจริงๆที่เป็นแม่ของเด็กโตที่ไป
00:25:19 → 00:25:24 ทำร้ายเด็กเล็กคำพูดนี้ที่บอกว่ายอมเห็น
00:25:24 → 00:25:27 ลูกตัวเองเป็นโจรดีกว่ายอมที่จะเห็นลูก
00:25:27 → 00:25:31 ตัวเองถูกถูกทำร้ายเนี่ยโหมันเป็นวิธีคิด
00:25:31 → 00:25:35 เป็นทัศนคติที่ผมผมไม่แน่ใจเลยนะครับว่า
00:25:35 → 00:25:38 ไม่กล้าตัดสินด้วยว่ามันถูกหรือผิดนะแต่
00:25:38 → 00:25:41 ฟังดูแล้วมันแปลกๆนะครับแล้วก็ได้แต่ถาม
00:25:41 → 00:25:44 ตัวเองว่ามันใช่มอ่ะความคิดแบบนี้มันใช่
00:25:44 → 00:25:47 ไหมเอาเขจริงๆผมก็ไม่สามารถตัดสินได้นะ
00:25:47 → 00:25:50 แต่ผมสงสัยเฉยๆว่ามันใช่ไหมนะครับคุณผู้
00:25:50 → 00:25:55 ฟังก็ลองเอาไปคิดแล้วลองพิจารณาดูนะครับ
00:25:55 → 00:25:57 ถ้าเห็นว่าใช่หรือไม่ใช่เห็นด้วยหรือไม่
00:25:57 → 00:26:01 เห็นด้วยเพราะอะไรเนี่ยคุณู้ฟังก็ส่งข้อ
00:26:01 → 00:26:04 ความหรือส่งข้อความมาทางใดก็ได้นะฮะมาถึง
00:26:04 → 00:26:07 ผมก็ได้มาพูดคุยแบ่งปันกันในประเด็นนี้ก็
00:26:07 → 00:26:10 น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยนะครับแต่ประเด็น
00:26:10 → 00:26:13 ก็คือคุณผู้ฟังครับวันนี้เนี่ยผมได้ยก
00:26:13 → 00:26:16 ประเด็นมาพูดคุยกับคุณผู้ฟังว่าคำพูดที่
00:26:16 → 00:26:18 เราได้ยินบ่อยคือความรักทำให้คนตาบอด
00:26:18 → 00:26:22 เนี่ยเราเข้าใจแต่ผมเกิดความคิดว่าแท้ที่
00:26:23 → 00:26:26 จริงแล้วความไม่รักก็ทำให้เราตาบอดเหมือน
00:26:26 → 00:26:30 กันแต่ทั้งคู่ครับมันทำให้เราตาบอดเพราะ
00:26:30 → 00:26:34 อะไรมันมาบังตาเราครับมันทำให้เราไม่เห็น
00:26:34 → 00:26:38 ความจริงแบบที่เป็นจริงๆมันทำให้สายตาเรา
00:26:38 → 00:26:42 บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนทั้ง 2 กรณีเพราะ
00:26:42 → 00:26:47 ฉะนั้นจะดีมากเลยครับถ้าเราสามารถที่จะ
00:26:47 → 00:26:51 ลอกต้อของดวงตาเราออกฮลอกความบิดเบี้ยว
00:26:51 → 00:26:53 ผิดเพี้ยนออกทั้งความรักและความไม่รักนี่
00:26:53 → 00:26:57 แหละเราจะได้มองเห็นสถานการณ์ต่างๆแบบที่
00:26:57 → 00:27:01 มันเป็นจริงจริงๆนะครับก็จะได้ทำให้เรา
00:27:01 → 00:27:04 เนี่ยมีชีวิตหลุดรอดจากการมีอคติต่อ
00:27:04 → 00:27:07 เรื่องราวต่างๆรอบตัวนะครับซึ่งผมมีความ
00:27:07 → 00:27:10 เชื่อว่าก็จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมาก
00:27:10 → 00:27:13 ขึ้นแล้วก็มีความทุกข์น้อยลงวันนี้ผม
00:27:13 → 00:27:16 วีรพงษ์ทวีศักดิ์ต้องขอลาไปก่อนนะครับ
00:27:16 → 00:27:18 ขอบคุณคุณผู้ฟังทุกท่านที่ติดตามรับฟัง
00:27:18 → 00:27:22 รายการนะครับสวัสดี
00:27:22 → 00:27:25 ครับติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:27:25 → 00:27:29 แอปพลิเคชันของไย PBS podcast spotify
00:27:29 → 00:27:31 soundcloud Google podcast Apple
00:27:31 → 00:27:35 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:27:35 → 00:27:38 podcast tha PBS podcast View the
00:27:38 → 00:27:40 world via The Voice
00:27:40 → 00:27:46 [เพลง]