00:00:00 → 00:00:02 This Is tha PBS podcast View the
00:00:02 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:08 Voice บางคนเขาจะพูดถึงกิิเป็นคำพูดแย่ๆ
00:00:08 → 00:00:11 ที่ไม่แย่แสความรู้สึกคนอื่นคือพูดแบบปาก
00:00:11 → 00:00:14 ไม่มีหูรูดนะฮะแต่ผลก็คือมันทำให้คนอื่น
00:00:14 → 00:00:17 เนี่ยแย่ไปด้วยเลยนะฮะก็คือบางคนรู้สึก
00:00:17 → 00:00:19 นอยไปเลยว่าเฉันเป็นอย่างงั้นจริงเหรอ
00:00:19 → 00:00:21 อะไรอย่างเงี้ยนะคะทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่
00:00:21 → 00:00:23 ได้เป็นฝ่ายผิดหรือไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม
00:00:23 → 00:00:25 หรือไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุการณ์นั้นมัน
00:00:25 → 00:00:28 เป็นการใช้ความรู้สึกผิดของคนอื่นมาเป็น
00:00:28 → 00:00:31 เครื่องมือที่จะกดดันให้เขาทำตามในสิ่ง
00:00:31 → 00:00:34 ที่เราต้องการโดยผ่านคำพูดในเชิงลบเขาถือ
00:00:34 → 00:00:36 ว่าทั้งหมดเนี่ยมันเป็นการล่วงละเมิดทาง
00:00:36 → 00:00:38 อารมณ์ของคน
00:00:38 → 00:00:42 อื่นฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:42 → 00:00:46 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:46 → 00:00:49 ค่ะ This Is Toy PBS podcast วันนี้
00:00:49 → 00:00:52 นะคะคุณผู้ฟังคะเราจะคุยกันเรื่องนี้นะคะ
00:00:52 → 00:00:55 กับเรื่องของกิทริปนะคะแต่ว่าเอ๊ะคือกิ้ว
00:00:55 → 00:00:58 ทริปคืออะไรนะคะอ่ะถ้าจะบอกว่าบางทีเรา
00:00:58 → 00:01:00 ไม่รู้หรอกว่าอยู่ดีๆเราก็ว่ากลายเป็นคน
00:01:00 → 00:01:03 ผิดได้ยังไงนะคะในหลายๆสถานการณ์บางคนอาจ
00:01:03 → 00:01:05 จะเจอเรื่องแบบเนี้ยแต่ไม่คิดว่ามันเป็น
00:01:05 → 00:01:08 ปัญหาหรือว่าเป็นสิ่งที่ควรจะมีการแก้ไข
00:01:08 → 00:01:11 นะคะแต่เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรเดี๋ยวคุย
00:01:11 → 00:01:13 กับผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรจันท์วิภาดิโล
00:01:13 → 00:01:16 สัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยราชภัฏ
00:01:16 → 00:01:18 บ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้เชี่ยวชาญด้านความ
00:01:18 → 00:01:21 สัมพันธ์และครอบครัวคะสวัสดีค่ะอาจารย์คะ
00:01:21 → 00:01:23 ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะท่านผู้ฟังทุกท่าน
00:01:23 → 00:01:26 ค่ะค่ะวันนี้เป็นอีกเรื่องนึงเอาจริงๆคือ
00:01:26 → 00:01:30 มันเป็นสถานการณ์ที่เราอาจจะไม่เคยไม่รู้
00:01:30 → 00:01:32 ตัวหรือไม่เข้าใจในสิ่งนี้ก็ได้นะคะกับคำ
00:01:32 → 00:01:35 ว่ากิวทิปแล้วก็อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนผิดซะ
00:01:35 → 00:01:37 อย่างงั้นเลยอ่ะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
00:01:37 → 00:01:40 อะไรที่หลายๆสถานการณ์น่าจะมีใครหลายๆคน
00:01:40 → 00:01:43 เจอแบบนี้เหมือนกันนะคะอาจารย์ค่ะเอ่อบาง
00:01:44 → 00:01:47 คนเขาจะพูดถึงกิทิปเป็นเป็นคำพูดง่ายๆ
00:01:47 → 00:01:50 เนี่ยนะฮะเป็นทำนองว่าเป็นคำพูดแย่ๆที่
00:01:50 → 00:01:54 ไม่แยแสความรู้สึกคนอื่นนะฮะคือพูดแบบปาก
00:01:54 → 00:01:56 ไม่มีหูรูดนะฮะแต่ผลก็คือมันทำให้คนอื่น
00:01:56 → 00:02:00 เนี่ยแย่ไปด้วยเลยนะฮะก็คือบางคนคนรู้สึก
00:02:00 → 00:02:02 นอยไปเลยว่าเฮ้อฉันเป็นอย่างงั้นจริงเหรอ
00:02:02 → 00:02:04 อะไรอย่างเงี้ยนะคะทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่
00:02:04 → 00:02:06 ได้เป็นฝ่ายผิดหรือไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม
00:02:06 → 00:02:09 หรือไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุการณ์นั้นนะฮะ
00:02:09 → 00:02:11 ซึ่งเราก็จะเจอบ่อยๆตามข่าวทุกวันนี้แต่
00:02:12 → 00:02:14 ไม่รู้หรอกค่ะว่าวนี่มันคืออะไรนะฮะเพราะ
00:02:14 → 00:02:18 ฉะนั้นตรงเนี้ยนะคะเอาเป็นวิชาการก่อนนะ
00:02:18 → 00:02:21 ฮะวิชาการก็คือนักนักจิตวิทยาเนี่ยเ
00:02:21 → 00:02:25 อธิบายคำว่ากิกิ Trip นะคะซึ่งของคนไทย
00:02:25 → 00:02:28 เราเนี่ยยังไม่ได้มีใครแปลตรงๆนะคะเวลา
00:02:28 → 00:02:31 ที่เปิดเข้าไปค้นข้อมูลเนี่ยก็จะเจอคำว่า
00:02:31 → 00:02:34 กิิเนี่ยนะฮะกิ้วที่แปลว่าความรู้สึกผิด
00:02:34 → 00:02:37 นะฮะทีนี้เอ่อนักจิตวิทยาเบอกว่ามันคือ
00:02:37 → 00:02:40 พฤติกรรมที่คนๆนึงเนี่ยพยายามยัดเยียด
00:02:40 → 00:02:44 ความรู้สึกผิดให้อีกฝ่ายนึงนะฮะเพื่อจะ
00:02:44 → 00:02:47 เปลี่ยนแปลงความคิดหรือควบคุมอารมณ์นะฮะ
00:02:47 → 00:02:51 และการกระทำของของเหยื่อแม่ขอใช้คำว่า
00:02:51 → 00:02:53 เหยื่อแล้วกันนะคะให้เป็นไปในแบบที่ตัว
00:02:53 → 00:02:56 เองต้องการนะฮะซึ่งอาจจะผ่านสื่อหรือการ
00:02:56 → 00:03:00 แสดงออกนะฮะเช่นที่เราใช้กันในออนไลน์ทุก
00:03:00 → 00:03:02 วันเนี้ยก็ถือว่าเป็นการผ่านสื่ออย่างนึง
00:03:02 → 00:03:05 นะฮะหรือเป็นการแสดงออกหรือการเป็นใช้คำ
00:03:05 → 00:03:09 พูดอะไรต่างๆเหล่าเนี้ยนะคะซึ่งถ้าแม่โทษ
00:03:09 → 00:03:12 ค่ะถ้าจารนิภาสรุปสั้นๆเนี่ยมันก็อาจจะ
00:03:12 → 00:03:15 เป็นคำพูดว่าเป็นคำพูดแปลกๆที่ฟังแล้วรู้
00:03:15 → 00:03:19 สึกผิดจับใจเลยไอ้คนฟังอ่ะนะแล้วก็ทั้ง
00:03:19 → 00:03:22 ที่เป็นฝ่ายถูกในเหตุการณ์นั้นๆด้วยซ้ำไป
00:03:22 → 00:03:25 อนะคะเพราะฉะนั้นตรงเนี้ยเดี๋ยวเราต้องมา
00:03:25 → 00:03:29 ดูที่ตัวอย่างแล้วเราจะเห็นชัดนะคะว่าแต่
00:03:29 → 00:03:31 ละคำพูพูดเนี่ยมันเป็นยังไงแสดงว่ามัน
00:03:31 → 00:03:35 เป็นการใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายหนึ
00:03:35 → 00:03:37 โดยที่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวหรือว่ามัน
00:03:37 → 00:03:40 เป็นนิสัยฉันชอบพูดแบบเนี้ยอย่างนี้แหละ
00:03:40 → 00:03:42 ซึ่งเราอาจจะเป็นเหยื่อหรือเราบางวันเรา
00:03:42 → 00:03:45 บางครั้งเราอาจจะเป็นคนที่พูดแบบนี้เองก็
00:03:45 → 00:03:48 ได้ค่ะใช่ค่ะเพราะว่านิสัยคนไทยเนี่ยเรา
00:03:48 → 00:03:51 มีลักษณะของการใช้คำพูดนะคะที่ชอบประชด
00:03:51 → 00:03:55 ประชันกระทบกระเทียบเปรียบเปยแดกดันแหม
00:03:55 → 00:03:58 มันเป็นภาอคนึงได้มั้คะตีวัวกระทบพราด
00:03:58 → 00:04:01 อะไรอย่างเงี้ยอะไรประมาณนนะคะเพะฉะนั้น
00:04:01 → 00:04:04 มันจเป็นคำพูดในเชงจิตวิทยาเนี่ยนะคะเใช้
00:04:04 → 00:04:07 คำว่าเป็นจิตวิทยาเชิงลบนะคะที่ไม่ควรจะ
00:04:07 → 00:04:11 ใช้ไปพูดเพื่อทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างยิ่ง
00:04:11 → 00:04:14 เลยแต่เราก็ใช้กันโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
00:04:14 → 00:04:17 หรือเป็นนิสัยประจำตัวไปแล้วที่ต้องเป็น
00:04:17 → 00:04:21 อย่างนี้นะฮะเพราะฉะนั้นคิดว่าควรแก้มย
00:04:21 → 00:04:24 ล่ะคะมันก็ควรจะแก้นะคะสำหรับคนที่ไม่รู้
00:04:24 → 00:04:29 ตัวนะฮะก็ให้รู้ตัวซะแล้วก็คนที่ทำอยู่
00:04:29 → 00:04:32 หรือใช้อยู่ก็เลิกใช้ซะเพราะมันมีผลค่ะนะ
00:04:32 → 00:04:35 ฮะเดี๋ยวซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดต่อไปอแต่การ
00:04:35 → 00:04:38 เพราะว่าการเอ่อจากที่พูดมาว่าเราใช้จิต
00:04:38 → 00:04:40 วิทยาเชิงลบเนี่ยนะคะมันเป็นการใช้ความ
00:04:40 → 00:04:44 รู้สึกผิดของคนอื่นนะคะมาเป็นเครื่องมือ
00:04:44 → 00:04:46 ที่จะกดดันให้เขาคทำตามในสิ่งที่เรา
00:04:46 → 00:04:49 ต้องการโดยผ่านคำพูดก็ได้คำพูดในเชิงลบนะ
00:04:50 → 00:04:54 ฮะหรืออาจจะเป็นพูดหวานๆแต่มันฝาหัวใจอ่ะ
00:04:54 → 00:04:57 นะฮะแต่ฟังแล้วเนี่ยใจมันห่อเหี่ยวสุดๆ
00:04:57 → 00:05:01 เลยนะคะเอ่อเอ่อเขาถือว่าทั้งหมดเนี่ยมัน
00:05:01 → 00:05:04 เป็นการล่วงละเมิดทางอารมณ์ของคนอื่นนะคะ
00:05:04 → 00:05:07 ให้ตามใจหรือเอนเอียงไปจากสิ่งที่เขาตั้ง
00:05:07 → 00:05:11 เป้าไว้อย่างเช่นสมมุติว่าเอ่อเพื่อน
00:05:11 → 00:05:14 เนี่ยเขาตั้งใจจะดูหนังสือสอบแล้วเราก็ไป
00:05:14 → 00:05:18 ชวนค่ะนะคะแล้วเราก็จะไปใช้คำพูดกดดัน
00:05:18 → 00:05:23 เค้าอ่ะเช่นบอกอะไรได้เอมาทุกวิชาแล้วยัง
00:05:23 → 00:05:27 ไม่พอใจอีกเหรอทีฉันมีเรื่องเธอมีเรื่องเ
00:05:27 → 00:05:30 ฉันยังไปกับเธอเลยแล้วเนี่ยฉันขอเธอแค่
00:05:30 → 00:05:32 วันเนี้ยเธอไปกับฉันไม่ได้เหรออือะไร
00:05:32 → 00:05:34 อย่างเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็จะใช้
00:05:34 → 00:05:37 คำพูดกดดันนะฮะด้วยความรู้สึกอ่ะเพื่อนก็
00:05:37 → 00:05:40 รู้สึกผิดถูกมั้ยคะเพื่อนก็รู้สึกผิดอาจำ
00:05:40 → 00:05:44 ใจไปทั้งๆที่เไม่ได้เต็มใจไปอืมในในฟัง
00:05:44 → 00:05:46 อย่างที่เมื่อกี้อาจารย์บอกยกตัวอย่าง
00:05:46 → 00:05:49 เนี่ยมันเหมือนว่าในคนที่พูดเองเนี่ยก็
00:05:49 → 00:05:52 เหมือนมีอารมณ์ความรู้สึกน้อยใจปนๆนิดนึง
00:05:52 → 00:05:57 ว่าทำไมแค่นี้ถึงแบบไม่ได้อย่าไม่เชิงเง
00:05:57 → 00:06:00 ใช่มแต่ว่าเค้าเเพื่ออๆเป้าหมายก่อนนะตัว
00:06:00 → 00:06:03 เองมีเป้าหมายอยากออกไปเที่ยวค่ะนะฮะแต่
00:06:03 → 00:06:05 ไม่อยากไปคนเดียวด้วยเหตุผลอื่นเช่นมัน
00:06:05 → 00:06:07 กลางคืนแล้วหรือมันอะไรแล้วในขณะที่
00:06:07 → 00:06:10 เพื่อนเขมีเป้าหมายว่าเขาจะต้องดูหนังสือ
00:06:10 → 00:06:14 เพื่อจะสอบให้ได้หรือว่าเพื่อจะแก้ไอ้
00:06:14 → 00:06:17 เกรดที่ติดอยู่อะไรก็แล้วแต่เนี่ยอือการ
00:06:17 → 00:06:19 ที่เราไปกดดันเอย่างเงี้ยเรามุ่งสู่เป้า
00:06:19 → 00:06:22 หมายเราแต่เราไปทำร้ายเป้าหมายคนอื่นอ่า
00:06:22 → 00:06:25 ใช่ๆเข้าใจมั้ยคะอ่าเพราะฉะนั้นตรงเนี้ย
00:06:25 → 00:06:28 มันทำกดดันเพื่ออะไรเพื่อให้ตัวเองบรรลุ
00:06:28 → 00:06:30 ความต้อง
00:06:30 → 00:06:33 อถกมันเป็น
00:06:33 → 00:06:35 ลักณะโอ้โหมันเป็นอย่างงี้แสดงว่ามันก็
00:06:35 → 00:06:38 เกิดขึ้นได้ในทุกๆสถานการทๆสถานภาพจริงๆ
00:06:38 → 00:06:41 ใช่ซึ่งบางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำไปแล้วกิที่
00:06:41 → 00:06:44 มันมักจะเกิดคนที่ใกล้ใกล้ชิดกันนะคะเช่น
00:06:44 → 00:06:48 เพื่อนครอบครัวนะคะพ่อแม่พี่น้องนี่แหละ
00:06:48 → 00:06:50 นะฮะญาติสนิทมิตรสหายนี่แหละบางทีเราใช้
00:06:51 → 00:06:54 บ่อยๆโดยที่เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสีย
00:06:54 → 00:06:57 หายค่ะ่ะก็ถ้าพูดแบบนี้เก็เก็ทำตามที่เรา
00:06:57 → 00:07:00 ต้องการใช่เราก็พอใจไงแล้วพอได้หนนึงทำ
00:07:00 → 00:07:03 อีกมั้ยทำอีกทำอีกกลายเป็นนิสัยไปแล้วอ่า
00:07:03 → 00:07:06 ใช่มั้ยคะโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึงเนี่ย
00:07:06 → 00:07:09 เกิดความกดดันหรือเกิดความคับข้องใจขนาด
00:07:10 → 00:07:14 ไหนมันโดนซ้ำๆๆๆๆๆๆอ่ะอือย่างอย่างงี้
00:07:14 → 00:07:17 แสดงว่าถ้าแบบนานๆเจอทีเราอาจจะยังไม่
00:07:17 → 00:07:20 ค่อยได้รู้สึกอ่ะๆๆก็ได้ก็ได้ก็ได้แต่พอ
00:07:20 → 00:07:23 เริ่มมากๆเข้าเราจะเริ่มรู้สึกแย่ะเรม
00:07:23 → 00:07:26 เอ้ยไม่โอเคละฮ่ะอนะฮะเพราะฉะนั้นถ้าพูด
00:07:26 → 00:07:29 ถึงผลกระทบนะฮะไปผลกระทบเลยนะเพราะว่า
00:07:29 → 00:07:31 ลักษณะของกิ้วทิปเนี่ยมันมีหลายรูปแบบ
00:07:31 → 00:07:33 เดี๋ยวเราตัวอย่างมันเยอะนะคะต้องมาคุย
00:07:33 → 00:07:36 กันแต่ถ้าผลกระทบเนี่ยเพราะเราพูดกันมา
00:07:36 → 00:07:38 ถึงตรงนี้พอดีว่าถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยๆๆมัน
00:07:38 → 00:07:42 จะเกิดอะไรขึ้นนะฮะมันก็จะเกิดทำให้เอ่อ
00:07:42 → 00:07:44 ความรู้ความรู้สึกผิดเนี่ยจะทำให้แม่ใช้
00:07:44 → 00:07:47 คำว่าเป็นเหยื่อแล้วกันนะคะคนที่เป็น
00:07:47 → 00:07:50 เหยื่อเนี่ยก็จะยอมทำตามถูกมั้ยคะแต่พอทำ
00:07:50 → 00:07:52 ตามมากๆเข้ามันก็เหมือนกับต้องปรับตัวเอง
00:07:52 → 00:07:56 อ่ะใจก็ไม่อยากไปแต่การกระทำมันต้องไปนะ
00:07:56 → 00:07:59 ฮะเอ่อเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็เลยทำให้ความ
00:07:59 → 00:08:02 ความสัมพันธ์เแย่ลงแย่ลงแย่ลงอันแรกมัน
00:08:02 → 00:08:05 อาจจะเกิดความไม่พอใจก่อนนะฮะไม่พอใจหนัก
00:08:05 → 00:08:08 เข้าหนักเข้าหนักเข้าหนักเข้านะฮะความไม่
00:08:08 → 00:08:11 พอใจมันก็เกิดเป็นความขุนเคืองระยะยาวนะ
00:08:11 → 00:08:13 ฮะกลายเป็นความเกลียดชังกลายเป็นอะไร
00:08:13 → 00:08:15 อย่างเงี้ยเพราะฉะนั้นไอ้ที่เคยคบกันเป็น
00:08:15 → 00:08:19 เพื่อนอ่าเป็นอะไรด้วยกันก็แล้วแต่เนี่ย
00:08:19 → 00:08:21 มันก็จะเริ่มความสัมพันธ์แย่ลงแย่ลงแย่ลง
00:08:21 → 00:08:24 แม่ใช้คำว่าความสัมพันธ์พังอ่ะความ
00:08:24 → 00:08:26 สัมพันธ์ระหว่างกันเนี่ยพังนะฮะเพราะว่า
00:08:26 → 00:08:29 มันจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายนึงเนี่ยจะกลายเป็น
00:08:29 → 00:08:32 ฝ่ายที่ได้รับความเจ็บปวดเคิดดูสิคะบางที
00:08:32 → 00:08:35 คำพูดที่บอกแล้วกระทบกระเทียบเปรียบเปลย
00:08:35 → 00:08:38 ประชดประชันแดกดันเนี่ยอีกฝ่ายนึงมันจะ
00:08:38 → 00:08:40 เจ็บปวดนะมันจะรู้สึกแย่นะมันจะรู้สึก
00:08:40 → 00:08:43 อะไรอย่างเงี้ยนะคะค่ะแล้วหนักเข้าหนัก
00:08:43 → 00:08:46 เข้าหนักเข้าเนี่ยสุขภาพจิตเสียค่ะนะฮะ
00:08:46 → 00:08:49 เพราะฉะนั้นถ้ามันมากเกินไปเนี่ยมันส่งผล
00:08:49 → 00:08:52 ต่อสุขภาพจิตหลายอย่างเลยนะฮะเช่นเอ่อ
00:08:52 → 00:08:54 ฝ่ายที่เป็นเหยื่อเนี่ยนะคะที่โดนบ่อยๆ
00:08:54 → 00:08:57 เนี่ยอาจจะวิตกกังวลเสียใจนอนไม่หลับซึม
00:08:57 → 00:09:01 เศร้ากลายเป็นโรคย้ำยคิดย้ำทำนะฮะพอเวลา
00:09:01 → 00:09:04 ผ่านไปนะคะความรู้สึกผิดเหล่าเมันนำมาสู่
00:09:04 → 00:09:07 ความอับอายนะฮะหรือส่งผลต่อภาพรักของตัว
00:09:07 → 00:09:12 เองนะฮะก็เลยกลายเป็นบางคนเนี่ยคือจัดการ
00:09:12 → 00:09:14 กับเพื่อนที่ชอบพูดแบบนี้ไม่ได้ก็แยกตัว
00:09:14 → 00:09:19 ออกมาจากสังคมนะคะแล้วก็อ่อใช้คำว่าอะไร
00:09:19 → 00:09:22 อ่ะมาอยู่คนเดียวหรือบางคนอาจจะเก็บกด
00:09:22 → 00:09:25 แล้วก็เป็นลักษณะซึมเศร้าอะไรไปเลยก็ได้
00:09:25 → 00:09:27 หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ถึงขั้นฆ่าตัว
00:09:27 → 00:09:31 ตายก็มีโอหเพราะคำพูดเห่านี้ใช่ค่ะนะฮะเ
00:09:31 → 00:09:34 ถึงบอกคำพูดน่ะมันฆ่าคนได้ไงค่ะนะฮแต่คน
00:09:34 → 00:09:37 ที่พูดอ่ะไม่จำหรอกแล้วก็ไม่ได้รู้สึกบาง
00:09:37 → 00:09:40 ทีไม่รู้สึกเลยเคยใช้แล้วได้ผลก็ใช้
00:09:40 → 00:09:43 เรื่อยๆแต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นผลกับอีก
00:09:43 → 00:09:46 ฝ่ายหนึงอนะคะอย่าลืมว่าเดี๋ยวเนี้เรามัก
00:09:46 → 00:09:50 จะมีสังคมโซเชียลการบูลี่กันในโดยการใช้
00:09:50 → 00:09:53 คีย์บอร์ดเนี่ยมันก็ใช่นะคะถึงแม้เราไม่
00:09:53 → 00:09:56 ได้ออกมาเป็นคำพูดเป็นเป็น verb เป็น
00:09:56 → 00:09:59 ลักษณะของการพูดตรงกันแบบเนี้ยค่ะแต่ตัว
00:09:59 → 00:10:02 หนังสือผ่านตัวหนังสือผ่านสื่อทุกชนิดเ
00:10:02 → 00:10:04 ค่ะมันก็เป็นลักษณะนี้เหมือนกันอาจารย์คะ
00:10:04 → 00:10:07 แล้วทำไมคือการเจออะไรที่มันซ้ำๆบ่อยๆ
00:10:07 → 00:10:10 เนี่ยคในในบางอย่างเนี่ยเราจะรู้สึกชิน
00:10:10 → 00:10:12 ค่ะแล้วก็จะทำความเข้าใจเออเขาคเป็นอย่าง
00:10:12 → 00:10:15 นี้แหละค่ะแต่ในในสถานการณ์แบบนี้คือมัน
00:10:15 → 00:10:17 ไม่ไม่สามารถที่จะเกิดความรู้สึกว่าเออ
00:10:17 → 00:10:21 มันก็อย่างงี้แหละชินละมันบวกความอับอาย
00:10:21 → 00:10:24 อ่ะคะถูกมั้ยคะเไม่ได้พูดกับเราแค่คน
00:10:25 → 00:10:29 เดียวบางทีเาพูดต่อหน้าคนอื่นๆอ๋อสังคม
00:10:29 → 00:10:32 ที่เข้ามาบีบคั้นมันจะเกิดความรู้สึกเจ็บ
00:10:32 → 00:10:36 ปวดความรู้สึกไม่พอใจความรู้สึกอับอาย
00:10:36 → 00:10:39 อะไรอย่างเงี้ยคือบางคนก็ใช้ลักษณะของบุญ
00:10:39 → 00:10:42 คุณมาเป็นตัวล่ออ่าพอพูดถึงตรงนี้งั้น
00:10:42 → 00:10:45 กลับมาดูว่ากิ้วทิปเนี่ยมันมีประเภทของ
00:10:45 → 00:10:49 กิ้วทิปที่การใช้คำพูดเนี่ยแบบไหนบ้างอ๋อ
00:10:49 → 00:10:51 มีหลายประเภทเพื่อเผื่อว่ามันจะเข้าขาย
00:10:51 → 00:10:53 ตรงไหนแล้วเราจะได้ระมัดระวังมาฮะเราจะ
00:10:53 → 00:10:57 ได้รู้ว่าเออเราก็ใช้เนาะแบบเนี้ยเวลาเรา
00:10:57 → 00:11:00 อยากจะไปไหนอะไรอย่างเงี้นะคะจริงๆมัน
00:11:00 → 00:11:01 ต้องมีบ้างแหละหรือแต่ว่าบางครั้งเราอาจ
00:11:02 → 00:11:05 จะรู้สึกว่าเราไม่ได้จ้องมุ่งมั่นที่จะ
00:11:05 → 00:11:08 พูดอะไรที่มันดูอะไรขนาดนั้นแต่แค่ว่าที
00:11:08 → 00:11:11 เล่นทีจริงค่ะแต่เขาอาจจะเก็บไปคิดก็ได้
00:11:11 → 00:11:15 ใช่ค่ะนะฮะค่ะอ่ะทีนี้เรามาดูประเภทของกิ
00:11:15 → 00:11:18 ทิปนะฮะกิ้วทิปเนี่ยมันจะมีอยู่ 4 กลุ่ม
00:11:18 → 00:11:21 ด้วยกันนะคะหมายถึงลักษณะของคำพูดเนี่ยนะ
00:11:21 → 00:11:24 ฮะอ่าอันแรกเนี่ยเคใช้คำว่าเป็นลักษณะ
00:11:24 → 00:11:28 บังคับนะฮะก็คือไม่ขอตรงๆอ่ะอย่างเช่นจะ
00:11:28 → 00:11:31 ให้ทำอะไรให้ไม่ขอตรงๆอ่ะบอกว่าทำให้
00:11:31 → 00:11:33 หน่อยนะหรืออะไรอย่าเงี้ยนะคะแต่กลับพูด
00:11:33 → 00:11:37 อ้อมๆแล้วฟังดูแล้วก็รู้สึกมันยังไงก็
00:11:37 → 00:11:40 ต้องทำให้มันเป็นการบังคับให้แน่นอนน่ะนะ
00:11:40 → 00:11:43 ฮะคือเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็อาจจะทำในเชิง
00:11:43 → 00:11:46 ของเอ่อสร้างสถานการณ์กดดันนะฮะเป็น
00:11:46 → 00:11:49 ลักษณะของคำถามเช่นบอกว่าเนี่ยนะเมื่อ
00:11:49 → 00:11:52 คราวก่อนเนี่ยจำได้มั้ยที่เธอทำพลาดไปฉัน
00:11:53 → 00:11:55 ยังออกรับแทนเธอเลยแล้วคราวเนี้ยจะให้ฉัน
00:11:55 → 00:11:59 ออกรับแทนอีกหไงอะไรอย่างเงี้ยนะฮะคือคือ
00:11:59 → 00:12:02 เอาเหตุการณ์ที่มันผ่านมาแล้วอ่ะอ่า
00:12:02 → 00:12:05 เหมือนกับว่าครั้งนึงเนี่ยฉันเคยมีบุญคุณ
00:12:05 → 00:12:07 กับเธออ่ะแล้วคราวนี้ทำไมเธอไม่ทำให้ฉัน
00:12:08 → 00:12:11 บ้างอะไรอย่างเงี้ยค่ะนะทั้งๆที่เพื่อนเ
00:12:11 → 00:12:14 ต้องฝืนใจทำอ่ะนึกออกมั้ยคะเฮฮคือมันมัน
00:12:14 → 00:12:17 ต่างกากจากคำว่าขอร้องเลยเนาะใช่่ะมันแบบ
00:12:18 → 00:12:21 เออเธอช่วยหน่อยนะเออค่ะแบบถูกมั้ยคะมัน
00:12:21 → 00:12:23 ต่างกันแทนที่จะพูดตรงๆอ่ะแต่พูดเหมือน
00:12:23 → 00:12:26 กับว่าในที่สุดเาปฏิเสธไม่ได้อ่ะถูกมั้ย
00:12:26 → 00:12:30 คะพูดซะขนาดเนี้ยถูกมั้ยฮะทางด้านที่ก็
00:12:30 → 00:12:33 รู้ว่าอย่างเช่นเก็มีธุระสมมุติเราจะแลก
00:12:33 → 00:12:36 เวรกันเก็มีธุระที่จะต้องทำเราก็มีธุระ
00:12:36 → 00:12:38 ที่จะต้องทำแต่เสร็จแล้วเราเอาสิ่งเหล่า
00:12:38 → 00:12:42 เนี้มาบังคับเคนะฮะซึ่งจริงๆการแลกเวร
00:12:42 → 00:12:45 เนี่ยมันต้องเป็นการพอใจทั้ง 2 ฝ่ายมันก็
00:12:45 → 00:12:48 เอื้อเฟื้อกันในบางครั้งบางคราวอะไรอย่าง
00:12:48 → 00:12:51 เงี้ยใช่มั้ยคะที่เราพอทำได้แต่เบางทียก
00:12:51 → 00:12:55 เหตุผลอย่างเงยโดยการบางต้องใช้คำว่าจำใจ
00:12:55 → 00:12:58 ทำอ่ะในที่สุดก็จำใจทำอ่ะนะบางทีก็เป็น
00:12:58 → 00:13:01 เรื่องเรื่องง่ายๆที่พวกเราไม่คิดอ่ะว่า
00:13:02 → 00:13:04 เราเนี่ยใช้วิธีนี้ด้วยนะเช่นสมมุติว่า
00:13:04 → 00:13:08 คุณกชวนคุณขอไปเที่ยวนะฮะโดยใช้คำเป็น
00:13:08 → 00:13:14 เพื่อนมามากดดันน่ะเช่นแอคราวก่อนฉันยัง
00:13:14 → 00:13:16 ไปเป็นเพื่อนเธอเลยแล้วทำไมคราวนี้เธอมา
00:13:16 → 00:13:19 เป็นเพื่อนฉันไม่ได้อ่ะอะไรอย่างเงี้ยใช่
00:13:19 → 00:13:21 มั้ยคะใช้ความสัมพันธ์หรือความเป็นเพื่อน
00:13:21 → 00:13:24 กันอย่างเงี้ยมามากดดันน่ะออะไรอย่างเงย
00:13:24 → 00:13:28 ค่ะแต่ผลก็คือเราต้องตำใจเค้าใช่มั้ยมัน
00:13:28 → 00:13:31 เป็นการขอขอร้องแต่กึ่งบังคับอ่ะนะฮะไอ้
00:13:31 → 00:13:35 ไอ้ครั้ง 2 ครั้งหรือว่านานๆทีก็ไม่ว่า
00:13:35 → 00:13:38 แต่โดนบ่อยๆบ่อๆเข้ามันก็รู้สึกแย่นะฮะ
00:13:38 → 00:13:41 เช่นบางคนเนี่ยอ่ะฝ่ายนึงเนี่ยอต้องใช้คำ
00:13:41 → 00:13:44 ว่ามีบุญคุณหรือมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายนึง
00:13:44 → 00:13:46 อันเนี้ยเอ่ออาจารย์วิภาเจอบ่อยในกลุ่ม
00:13:46 → 00:13:48 นักศึกษาบางทีเราเข้าใจนะคะเพอเราเป็นครู
00:13:48 → 00:13:52 มานานเนาะ 40 กว่าปีเนี่ยเด็กที่พ่อแม่
00:13:52 → 00:13:55 รวยเนี่ยหรือมีอำนาจทางการเงินเนี่ยนะฮะ
00:13:55 → 00:13:58 ขี้มักจะมีอำนาจเหนือกับเด็กที่ยากจนค่ะ
00:13:58 → 00:14:00 คือบางทีเพื่อนเนี่ยช่วยเพื่อนเอ้ยไม่
00:14:00 → 00:14:03 เป็นไรเลงข้าวเดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวเองอะไร
00:14:03 → 00:14:06 อย่างเงี้ยรู้ว่าเพื่อนจนก็ช่วยเหลือแต่
00:14:06 → 00:14:09 บางครั้งไอ้เพื่อนจนเนี่ยมันก็ติดหนี้บุญ
00:14:09 → 00:14:12 คุณอนึกออกมั้ยคะก็จะมาบังคับให้นั่นนี่ๆ
00:14:12 → 00:14:15 นั่นให้อยู่เรื่อยซึ่งซึ่งมันก็ยอมตาม
00:14:15 → 00:14:20 แหละแต่ถามว่าในจิตใจเนี่ยมันเป็นแผลนะคะ
00:14:20 → 00:14:23 ลึกด้วยใช่เอาจจะไม่ได้อยากทำให้ใช่ซึ่ง
00:14:23 → 00:14:25 ในบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะไม่ใช่เรื่อง
00:14:25 → 00:14:28 ถูกต้องค่ะถูกมั้ยคะอะไรอย่างนี้เป็นต้น
00:14:28 → 00:14:32 อืเพราะว่ามันมีเพื่อนมันใช้ทั้งบุญคุณ
00:14:32 → 00:14:35 ใช้ทั้งความอับอายใช้ทั้งอะไรหลายๆอย่าง
00:14:35 → 00:14:37 อ่ะเดี๋ยวเขาก็เอาบุญคุณนั้นน่ะมาทงกัน
00:14:37 → 00:14:39 อีกใช่ทวงกันอีกอยู่เรื่อยๆนะคะอันนี้
00:14:39 → 00:14:42 เป็นกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 คือประเภทที่
00:14:42 → 00:14:45 ชอบหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนะคะโดยการใช้
00:14:46 → 00:14:49 ใช้วิธีเนี้ยเช่นเอ่อเรื่องเนี่ยมันเป็น
00:14:49 → 00:14:51 เรื่องระหว่างคน 2 คนที่ควรจะเคลียร์กัน
00:14:51 → 00:14:55 ให้จบพูดกันให้จบนะฮะแต่อีกฝ่ายนึงเนี่ย
00:14:55 → 00:14:57 ก็จะหาข้ออ้างเพื่อจะหลีกเลี่ยงอันนี้จะ
00:14:57 → 00:15:01 เจอบ่อยเอาตัวอย่างนะคะก็คือคู่รักค่ะที่
00:15:01 → 00:15:05 ฝ่ายนึงเนี่ยเอ่อก็อาจจะถูกพ่อแม่กดดันมา
00:15:05 → 00:15:07 นะคะว่าเออเป็นแฟนกันตั้งนานแล้วเมื่อ
00:15:07 → 00:15:10 ไหร่จะแต่งซักทีอะไรอย่างเงี้ยนะคะก็ขี้
00:15:10 → 00:15:13 มักจะเป็นฝ่ายหญิงถูกมั้ยแล้วพอพูดเรื่อง
00:15:13 → 00:15:16 นี้ขึ้นมาทีไรนะคะผู้ชายก็จะบอกว่า
00:15:16 → 00:15:20 อ้าผมจะไปทำงานและเอาแค่นี้ก่อนนะเอา
00:15:20 → 00:15:22 เรื่องอื่นไว้ทีหลังผมต้องรีบไปทำงานอะไร
00:15:22 → 00:15:24 อย่างเงี้ยหนีจากสถานการ์นั้นหนีจาก
00:15:24 → 00:15:27 สถานการณ์ไม่เผชิญหน้ากับปัญหาอันนี้ยก
00:15:27 → 00:15:29 ตัวอย่างนะคะมันยังมีกอีกหลายเหตุที่แบบ
00:15:30 → 00:15:33 อาจจะใช้วิธีเนี้ยนะคะปฏิเสธในสิ่งที่
00:15:33 → 00:15:35 กำลังพูดกันหรือไม่อยากฟังปัญหานั้นหรือ
00:15:35 → 00:15:37 อะไรอย่างเนี้ยซึ่งในครอบครัวก็หลาย
00:15:37 → 00:15:40 ครอบครัวก็ใช้กันบ่อยนะฮะเช่น
00:15:40 → 00:15:45 เอ่อพ่ออ่าพอพอลูกพูดเรื่องนี้นะต้องไป
00:15:45 → 00:15:48 งานโรงเรียนหรืออะไรอย่างเงี้ยเอาไว้พี่
00:15:48 → 00:15:50 หลังพ่อต้องรีบไปทำงานหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:15:50 → 00:15:53 นะคะทำให้เด็กไม่กล้าพูดหรือว่าไม่กล้า
00:15:53 → 00:15:56 ร้องขออีกอะไรทำนองเนี้ยค่ะก็เป็นลักษณะ
00:15:56 → 00:15:59 นี้เหมือนกันเพื่อให้หยุดการพูดเรื่อง
00:15:59 → 00:16:02 นั้นไว้หรือหยุดการกระทำหรือกระทำในสิ่ง
00:16:02 → 00:16:05 ที่เขาต้องการโดยการหลีกเลี่ยงเป็นคำพูด
00:16:06 → 00:16:07 แบบนั้นแล้วอย่างตัวอย่างอันนี้เดี๋ยวขอ
00:16:08 → 00:16:10 อันนี้ไม่รู้ว่ามันอยู่ในข้อหลีกเลี่ยง
00:16:10 → 00:16:12 ความขัดแย้งด้วยหรือเปล่าอย่างเช่นว่าการ
00:16:12 → 00:16:15 ที่เพื่อนมาปรึกษาอะไรบางอย่างแล้วเนี่ย
00:16:15 → 00:16:17 เรากำลังให้คำแนะนำอยู่แล้วอยู่ๆเขาก็จะ
00:16:17 → 00:16:19 แบบโอเคหายละเปลี่ยนเรื่องดีกว่าหรือ
00:16:19 → 00:16:21 เปลี่ยนเรื่องคุยไปเลยอันนั้นเกำลังหลีก
00:16:21 → 00:16:24 เลี่ยงอะไรอยู่รอาจเป็นได้ค่ะแต่ว่าอาจจะ
00:16:24 → 00:16:27 ไม่เข้าลักษณะนี้ตรงที่ว่าถ้าเข้าลักษณะ
00:16:27 → 00:16:30 นี้มันต้องเป็นลักษณะที่มีผลให้เรากระทำ
00:16:30 → 00:16:34 อะไรบางอย่างหรือหยุดกระทำอะไรบางอย่างนะ
00:16:34 → 00:16:37 ฮะเ่อจะยกตัวอย่างอะไรดีน้อเดี๋ยวกำลัง
00:16:37 → 00:16:41 นึกอยู่ที่มันเข้ากับสังคมไทยเราอ่ะนะคะ
00:16:41 → 00:16:44 เอ่ออาจจะเป็นลักษณะของเวลาที่เรามีปัญหา
00:16:44 → 00:16:47 หรือข้อขัดแย้งที่มันไม่ลงรอยกันน่ะค่ะ
00:16:47 → 00:16:49 ฝ่ายหนึ่งก็จะพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อ
00:16:49 → 00:16:53 เบี่ยงเบนความสนใจนะฮะออฮ่ะให้อีกฝ่ายนึง
00:16:53 → 00:16:57 เอ่อเป็นข้ออ้างที่จะหยุดปัญหาที่เกิด
00:16:57 → 00:16:59 ขึ้นน่ะนะคะนะคะหรือว่าไม่อยากไม่อยากพูด
00:16:59 → 00:17:02 เรื่องนี้ต่อไปแลเพราะรู้ว่าพูดไปแล้ว
00:17:02 → 00:17:04 เนี่ยเข้าเนื้อฉันหรืออะไรก็แล้วแต่เพราะ
00:17:04 → 00:17:07 ฉะนั้นอยู่ที่จุดมุ่งหมายในการคุยนะฮะไม่
00:17:07 → 00:17:09 ใช่ว่าหลีกเลี่ยงเพื่อเขาไม่อยากเล่าแล้ว
00:17:09 → 00:17:12 เรื่องเนี้ยเพราะว่าเขารู้ว่าเป็นเรื่อง
00:17:12 → 00:17:14 ส่วนตัวของเขาหรือเป็นเรื่องของแฟนคนที่
00:17:14 → 00:17:16 เขารักเดี๋ยวเราก็จะหันมาต่อว่าแฟนเค้า
00:17:16 → 00:17:20 อะไรอย่างเงี้ยนะฮะเป็นลักษณะนั้นนะคะ
00:17:20 → 00:17:22 เช่นอ่าอาจจะเป็นคำพูดนี้ค่ะอย่างเช่นบอก
00:17:22 → 00:17:26 ว่าสมมุติว่าเราพูดกันเรื่องเอ่อว่าอยาก
00:17:26 → 00:17:29 จะให้เขาหางานทำพิเศษนะนะฮะเอ่อก็คุย
00:17:29 → 00:17:32 ปัญหานี้มานานว่าเออเนี่ยเดี๋ยวตอนเย็น
00:17:32 → 00:17:34 เราไปทำงานพิเศษกันมั้ยหรือว่าหางานทำ
00:17:35 → 00:17:37 เพิ่มมั้ยอะไรเงี้ยนะฮะฝ่ายนึงเนี่ยไม่
00:17:37 → 00:17:40 อยากไปทำก็จะใช้คำพูดว่าโอ๊อย่าเพิ่งมา
00:17:40 → 00:17:42 พูดเรื่องงงเรื่องงานเลยแค่เรื่องเรียน
00:17:42 → 00:17:44 นี่ก็จะบ้าตายอยู่แล้วเครียดจะแย่อยู่
00:17:44 → 00:17:46 แล้วอะไรอย่างเงี้ยึกอกมั้คะเพื่อให้อีก
00:17:47 → 00:17:49 ฝ่ายนึงหยุดค่ะเอาๆเอาเรื่องเนี้ยขึ้นมา
00:17:49 → 00:17:52 หลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งอะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:17:52 → 00:17:56 ค่ะมากลุ่มที่ 3 เอ่อภาษาอังกฤษเใช้คำว่า
00:17:56 → 00:17:59 การอ้างในเรื่องของสิศีลธรรมหรือ moral
00:17:59 → 00:18:01 นะฮะแต่มันไม่ใช่เรื่องของศีลธรรมหรือคุณ
00:18:01 → 00:18:04 งามความดีซะทีเดียวอ่ะนะคะแต่มันจะเป็น
00:18:04 → 00:18:08 ลักษณะของการที่เอ่อใช้คำว่าไงอ่ะคนแต่ละ
00:18:08 → 00:18:11 คนเนี่ยมันจะมีมุมมองของชีวิตต่างกันเช่น
00:18:11 → 00:18:14 เอาง่ายๆเลยในสังคมเราขณะเนี้ยาจารย์วิภา
00:18:14 → 00:18:19 เนี่ย 70 นะคะคุณสุรีพรสุรีพรเนี่ยอยู่ใน
00:18:19 → 00:18:23 วัย 30 ซึ่งมันแกปมันต่างกันนะฮะสิ่งแวด
00:18:23 → 00:18:26 ล้อมหรือแนวความคิดมันต่างกันแต่บางที
00:18:26 → 00:18:29 เนี่ยไม่ใช่ว่าคนแก่ผิดนะคะหรืออะไรนะคะ
00:18:29 → 00:18:33 แต่บางทีเนี่ยก็จะใช้ยึดเอาสิ่งที่อ่า
00:18:33 → 00:18:35 เหมือนกับเคยทำมาก่อนหรืออะไรมาก่อนเนี่ย
00:18:36 → 00:18:38 มากดดันอีกฝ่ายหนึ่งค่ะเพราะฉะนั้นมันไม่
00:18:38 → 00:18:41 ใช่ใช้คำว่าศีลธรรมที่เป็นเป็นศีล 5 อะไร
00:18:41 → 00:18:44 อย่างงี้นะคะแต่เป็นลักษณะของการที่จะบอก
00:18:44 → 00:18:47 ว่าเอามุมมองเนี่ยหรือความคิดเป็นมุมมอง
00:18:47 → 00:18:49 เดียวของตัวเองเนี่ยว่าเป็นฝ่ายถูกค่ะ
00:18:49 → 00:18:53 ซึ่งสังคมสมัยก่อนเนี่ยเอ่อตอนตอนยุค
00:18:53 → 00:18:55 เมื่อ 70 ปีที่แล้วลกันนะคะที่อาจาร์วิภา
00:18:55 → 00:18:58 ยังเด็กๆเนี่ยเอ่อผู้ใหญ่เนี่ยคือถูกต้อง
00:18:58 → 00:19:02 เสมออ่าใช่ๆใช่มั้ยฮะสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด
00:19:02 → 00:19:04 เนี่ยถูกต้องเสมอกฎหมายคือสิ่งที่ผู้ใหญ่
00:19:04 → 00:19:07 พูดถ้าผู้ใหญ่บอกว่าออกไปนอกบ้านผิดเราก็
00:19:07 → 00:19:11 ไม่ออกอเรียกว่าเหมือนกับพ่อแม่เขีดวงให้
00:19:11 → 00:19:14 อยู่เลยอะไรที่ทำผิดจากคำพูดของพ่อแม่
00:19:14 → 00:19:17 เป็นลูกไม่ดีและเป็นเด็กไม่ดีและแต่สังคม
00:19:17 → 00:19:20 ปัจจุบันไม่ใช่สังคมปัจจุบันเปิดกว้างให้
00:19:20 → 00:19:23 เด็กนั้นสามารถแสดงความคิดเห็นได้อะไรได้
00:19:23 → 00:19:26 เพราะฉะนั้นเนี่ยคนที่ยังยึดแบบเก่าว่า
00:19:26 → 00:19:29 ที่ฉันเจอในสังคมแบบนั้นฉันถูกอืต้องเป็น
00:19:29 → 00:19:32 อย่างงั้นเสมอค่ะอย่างเงี้ยคือการไม่ปรับ
00:19:32 → 00:19:35 เปลี่ยนแล้วเอาคำพูดนั้นมาบังคับคนอีก
00:19:35 → 00:19:38 รุ่นนึงค่ะนะฮะอันนี้พูดถึงวัยนะคะแต่มัน
00:19:38 → 00:19:40 ไม่ได้มีแค่ของเรื่องวัยอย่างเดียวบางที
00:19:40 → 00:19:43 มันเป็นเรื่องของเจ้านายกับลูกน้องเป็น
00:19:43 → 00:19:47 เรื่องของเอ่อผู้บังคับบัญชาหรือเป็นด
00:19:47 → 00:19:49 เรื่องของประสบการณ์ที่มีเหนือกว่าอะไร
00:19:49 → 00:19:53 อย่างเงี้ยมาบอกว่าตัวเองน่ะถูกเสมออื
00:19:53 → 00:19:55 เข้าใจมั้ยคะโดยการที่บังคับอีกฝ่ายนึง
00:19:55 → 00:19:58 อย่างเช่นสมมุติว่าอายุไล่เรียกกันนี่
00:19:58 → 00:20:01 แหละไม่ใช่คนอายุมากอายุน้อยอย่างคนอายุ
00:20:01 → 00:20:04 มากเมื่อกี้อาจจะพูดว่าแหมฉันฉันทำมาแล้ว
00:20:04 → 00:20:06 ฉันผ่านตรงนี้มาแล้วเชื่อฉันเถอะผิดแน่ๆ
00:20:06 → 00:20:09 เธออ่ะต้องทำอย่างที่ฉันบอกถูกมั้ยคะแต่
00:20:09 → 00:20:11 ถ้าเป็นคนที่ทำงานอายุวัยไล่เรียกันแต่
00:20:11 → 00:20:15 ว่าเอ่อคนนึงมีประสบงาด้านนี้เก่งกว่าอีก
00:20:15 → 00:20:18 คนนึงนะฮะก็อาจจะบอกว่าเฮ้ยทำแบบนี้ไม่
00:20:18 → 00:20:21 เวิร์คลอกเชื่อฉันเหอะนะเธอลองทำตามที่
00:20:21 → 00:20:24 ฉันทำสิฉันทำเนี่ยเจ๋งกว่าแน่นอนอะไร
00:20:24 → 00:20:27 อย่างเงี้ยอทั้งๆที่ยังไม่ดูเลยว่าเคทำดี
00:20:27 → 00:20:30 หรือไม่ดีแต่ไปบล็อกเ้าและไปบล็อกความคิด
00:20:30 → 00:20:33 ของและไปบล็อกการกระทำของเขาแลว่าไม่มี
00:20:33 → 00:20:35 ทางได้ผลหรอกฉันรองมาเยอะและอะไรอย่าง
00:20:35 → 00:20:38 เงี้ยค่ะโดยใช้อาจจะเป็นลักษณะของเป็น
00:20:38 → 00:20:42 ลักษณะของความชำนาญหรือความอะไรที่เหนือ
00:20:42 → 00:20:45 กว่านึกออกมั้ยคะ่ะแต่เขาใช้คำว่า moral
00:20:45 → 00:20:48 นะฮะในภาษาอังกฤษะกลุ่มสุดท้ายเนี่ยเป็น
00:20:48 → 00:20:50 กลุ่มที่เรียกร้องความเห็นใจเป็นลักษณะ
00:20:50 → 00:20:54 ที่เอ่อทำให้คนอื่นเเห็นอกเห็นใจนะฮะซึ่ง
00:20:54 → 00:20:57 อันเนี้ยค่อนข้างจะน่ากลัวทีเดียวนะฮะ
00:20:57 → 00:20:58 เพราะส่วนใหญ่เจะเริ่มเร่มต้นมาจากการ
00:20:58 → 00:21:01 ทำลายตัวเองเออน่ากลัวมั้ยนะฮะเพื่ออีก
00:21:02 → 00:21:04 ฝ่ายนึงรู้สึกผิดค่ะหรือว่าอีกฝ่ายนึง
00:21:04 → 00:21:06 เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์อย่างเงี้ย
00:21:06 → 00:21:09 โอ้โหนึกออกมั้ยฮะหรือว่าซึ่งอาจจะได้ผล
00:21:09 → 00:21:12 หรือไม่ได้ผลก็ได้แต่ว่าแน่ๆคือมันทำให้
00:21:12 → 00:21:15 ความสัมพันธ์นี้แย่ลงนะฮะอย่างเช่นมันมัก
00:21:15 → 00:21:18 จะออกมาในรูปของการสร้างสถานการณ์ให้อีก
00:21:18 → 00:21:22 ฝ่ายหนึ่งเี่รู้สึกผิดนะคะเช่นอะไรดีล่ะ
00:21:22 → 00:21:25 เอ่อคนที่พยายามจะฆ่าตัวตายเอันนี้เอาแรง
00:21:25 → 00:21:28 เลยนะคนที่พยายามจะฆ่าตัวตายบอกจำไว้นะ
00:21:28 → 00:21:32 ที่ฉันเป็นอย่างเงี้ยเพราะเธอโอ้โหที่
00:21:32 → 00:21:36 ชีวิตฉันพังเนี่ยเพราะเธอเพราะเธอโอ้โหเ
00:21:36 → 00:21:40 ที่ฉันยอมแย่ทุกวันเนี้ยฉันทำเพื่อเธอนะ
00:21:40 → 00:21:44 เออนึกออกมั้ยฮะทั้งๆที่ตัวเองอ่ะทำอะไร
00:21:44 → 00:21:46 เลวร้ายมากมายจนกระทั่งถึงไปกินเหล้าติด
00:21:46 → 00:21:49 ยาแต่มาโทษอีกฝ่ายนึงว่าที่เป็นทั้งหมด
00:21:49 → 00:21:52 เนี้ยเพราะเธออืใช้สถานการณ์หรืออะไรที่
00:21:53 → 00:21:55 เาจะไปกดดันให้อีกคนนึงรู้สึกผิดทั้งที่
00:21:55 → 00:21:58 จริงๆอเ้าไม่ได้เกี่ยวเลย
00:21:58 → 00:22:02 นึกออกมั้ยคะเค้าไม่เกี่ยวเลยอตัวเองทำ
00:22:02 → 00:22:05 ตัวเองทั้งนั้นแต่มาโทษคนอื่นเพื่อให้คน
00:22:05 → 00:22:08 อื่นเนี่ยรู้สึกแย่หรือว่าทำตามในสิ่งที่
00:22:08 → 00:22:12 เาต้องการหรืออะไรก็แล้วแต่พยายามกดอ่ากด
00:22:12 → 00:22:15 ดันด้วยคำพูดหรือการกระทำอะไรก็แล้วแต่
00:22:15 → 00:22:17 แต่แล้วก็ที่จาร์วิภาเน้นตรงนี้ก็เพราะ
00:22:17 → 00:22:20 ว่าทุกวันเนี้ยเรามีอะไรก็โพสต์มีอะไรก็
00:22:20 → 00:22:25 โพสต์ใช่ๆถูกมั้ยคะมันไม่ใช่แค่ you แอ I
00:22:25 → 00:22:29 ไม่ใช่เธอกับฉันอยู่กันแล้วพูดกัน 2 คน
00:22:29 → 00:22:33 มันไม่ใช่โลกรับรู้อถูกมั้ยคะเพราะโลกรับ
00:22:33 → 00:22:35 รู้มันมีเรื่องของสังคมมีเรื่องของความ
00:22:35 → 00:22:37 อับอายเป็นเรื่องของความเจ็บปวดเข้ามา
00:22:37 → 00:22:40 เกี่ยวข้องอีกเยอะแยะอืใช่ไอ้ข้อเนี้ยคือ
00:22:41 → 00:22:44 พอฟังแล้วปุ๊บเนี่ยจะนึกถึงเพื่อนตัวเอง
00:22:44 → 00:22:47 เลยเพราะว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มา
00:22:47 → 00:22:49 เนิ่นนานกับการเรื่องของจริงๆจะบอกว่า
00:22:49 → 00:22:51 เป็นเรียกร้องความเห็นใจก็ไม่เชิงอ่ะแต่
00:22:51 → 00:22:54 ว่าพฤติกรรมอย่างที่อาจารย์บอกเมื่อกี้
00:22:54 → 00:22:58 เลยว่าค่ะเนี่ยที่เป็นเพราะเธออเพราะแม่
00:22:58 → 00:23:00 ของเธอหรืออะไรทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น
00:23:00 → 00:23:03 เพราะเนี่ยแม่เธอมาหรือเธออยู่อย่างเงี้ย
00:23:03 → 00:23:07 ค่ะแต่ลืมไปมองตัวเองไม่เคยมองตัวเองว่า
00:23:07 → 00:23:11 ผิดเลยอ่ะเออแต่คนอื่นเนี่โอโหเห็นมั้ยฮะ
00:23:11 → 00:23:13 เพราะฉะนั้นมันเป็นอย่างที่บอกมันเป็นคำ
00:23:13 → 00:23:15 พูดเชิงลบที่ทำร้ายคนอื่นหมดอ่ะค่ะถูก
00:23:15 → 00:23:17 มั้ยคะแล้วอย่างงี้มันแก้ได้มั้ยคะกับคน
00:23:17 → 00:23:20 ที่แแก้ได้ค่ะถ้ารู้ตัวปัญหาคือไม่รู้ตัว
00:23:20 → 00:23:23 นี่ไงคะคุณสุรีพรถแล้วถ้าเราไปบอกเคนี่
00:23:23 → 00:23:26 มันจะเกิดอะไรขึ้นมั้ยคะต้องค่อยๆคุยนะฮะ
00:23:26 → 00:23:29 ตอนอารมณ์ดีๆแล้วก็ไม่ใช่อยู่ในอารมณ์
00:23:29 → 00:23:31 โกรธอะไรอย่าเงี้ยต้องค่อยๆคุยไม่รู้นะ
00:23:32 → 00:23:34 ตัวจันท์วิภาเองเนี่ยมีความคิดของบางคน
00:23:34 → 00:23:36 อาจจะบอกว่าเฮ้ยปล่อยมันไปเหอะนะฮะาจารย์
00:23:36 → 00:23:39 วิภากลับไม่คิดอย่างงั้นนะจารย์วิภาถือ
00:23:39 → 00:23:41 ว่าสมมุติว่าจารย์วิภาเป็นเพื่อนสนิทที่
00:23:41 → 00:23:44 เป็นแบบนี้นะฮะมันจะทำให้ความรู้สึกของ
00:23:44 → 00:23:47 เราแย่ลงแย่ลงเนี่ยจารวิพาจะพูดจะพูดกับ
00:23:47 → 00:23:51 เาแต่เขาจะฟังไม่รับรู้นะฮะไม่เคฟังนะเ
00:23:51 → 00:23:54 ฟังแน่แต่เขาจะฟังแล้วรับรู้หรือไม่รับ
00:23:54 → 00:23:57 รู้นั่นเป็นเรื่องของเขาแต่เราทำหน้าที่
00:23:57 → 00:23:59 ของเราดีที่สุดแล้วเราบอกแล้วนะเราบอก
00:23:59 → 00:24:03 แล้วนะฮะจันท์วิภาทำอย่างงี้กับทุกคนที่
00:24:03 → 00:24:06 เข้ามาแล้วเราหมายถึงว่าเข้ามาแล้วเรามี
00:24:06 → 00:24:09 ความสัมพันธ์ที่จะคุยกันได้นะคะจพิภาจะ
00:24:09 → 00:24:12 บอกในสิ่งที่จันพิภามองเห็นแล้วเขาจะรับ
00:24:12 → 00:24:16 หรือไม่รับอมันก็เป็นส่วนของเขาเองโอ้โห
00:24:16 → 00:24:19 บางทีบางคนพูดไม่เป็นด้วยไปพูดอีกพังนึง
00:24:19 → 00:24:21 กว่าเดิมอีกอ่านะฮะเพราะฉะนั้นเดี๋ยวขอ
00:24:21 → 00:24:24 สรุปนิดนึงนะคะว่ากิ้วทิเนี่ยมันก็คือการ
00:24:24 → 00:24:27 คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกคนนึงให้รู้สึกแย่
00:24:27 → 00:24:29 แหละนะนะฮะเพราะฉะนั้นถ้าใครเจอกิ้วทิพนะ
00:24:29 → 00:24:32 คะหมายถึงตกเป็นเหยื่อของกิ้วทิพยหรือโดน
00:24:32 → 00:24:36 คนอื่นกระทำเนี่ยแล้วเราใจอ่อนนะฟื้นใจทำ
00:24:36 → 00:24:40 ไปนะฮะแน่นอนค่ะเพื่อเพื่อที่จะรักษาความ
00:24:40 → 00:24:42 สัมพันธ์หรือมิตรภาพอะไรไว้ก็ตามที่มัน
00:24:42 → 00:24:45 ค้ำคอเราอยู่แล้วเรายอมทำเนี่ยนะฮะแต่ใน
00:24:45 → 00:24:48 ระยะยาวอ่ะถ้าคุณเจอคำพูดแบบเที่หักหาญ
00:24:48 → 00:24:51 น้ำใจกันไปเรื่อยๆๆๆๆๆเนี่ยนะฮะสิ่งที่
00:24:51 → 00:24:54 พยายามรักษาไว้เนี่ยมันอาจจะแตกเป็นสิ่ง
00:24:54 → 00:24:57 เสี่ยงก็คือมิตรภาพที่ว่าแล้วพอของที่มัน
00:24:57 → 00:24:59 แตกเลยแล้วเนี่ยมันจะกลับมาเหมือนเดิมอ่ะ
00:24:59 → 00:25:02 ไม่ได้นะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาที่ใคร
00:25:02 → 00:25:05 เค้ามีคำขอกับเราแบบเนี้ยโดยใช้ความกดดัน
00:25:05 → 00:25:08 อะไรต่างๆชั่งน้ำหนักให้ดีค่ะว่าเราควรจะ
00:25:08 → 00:25:11 ตามใจเค้ามยหรือทำตามที่เค้าต้องการมย
00:25:11 → 00:25:15 อะไรมยนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:25:15 → 00:25:18 เอ่อมันจะมีผลเสียสิ่งที่ดีก็คือเวลาที่
00:25:18 → 00:25:21 เค้าอย่างนี้กับเราเนี่ยเปิดใจคุยกันนะ
00:25:21 → 00:25:25 เปิดใจคุยกันว่าอืเนี่ยอย่างเงี้ยถ้าคุณ
00:25:25 → 00:25:28 พูดแบบมาแบบเนี้ยฉันเจ็บนะันรู้สึกไม่ดี
00:25:28 → 00:25:32 นะฉันรู้สึกว่าฉันกำลังถูกอะไรอ่ะกดดันนะ
00:25:32 → 00:25:34 อะไรอย่างเงี้ยนะคะเพื่ออะไรคะเพื่อให้
00:25:35 → 00:25:38 รักษามิตภาพต่อไปเช่นถ้าเรื่องที่เขาขอมา
00:25:38 → 00:25:41 แล้วอยากให้เราทำเราทำแล้วมันไม่ได้เสีย
00:25:41 → 00:25:44 หายมากมายทำไปก่อนอาจจะทำไปก่อนแต่ต้อง
00:25:44 → 00:25:47 พูดนะฮะเพราะบางทีไปพูดกันหน้างานเนี่ย
00:25:47 → 00:25:50 มันก็ยังไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยก็อย่าไปให้
00:25:50 → 00:25:52 แบบหลายๆครั้งจนเรามากดดันตัวเราเองแล้ว
00:25:52 → 00:25:55 ก็รู้สึกแย่ไม่ดีไม่ต้องรอให้ถึงตอนนั้น
00:25:55 → 00:25:57 ใชใช่ค่ะนะคะอ่ะนี้ก็เป็นเรื่องของของ
00:25:57 → 00:26:01 กิ้วทิปนะคะที่แบบอื้อมันเป็นอะไรที่เรา
00:26:01 → 00:26:03 เจอเจออยู่แล้วแต่แค่เราไม่รู้จักมันแค่
00:26:03 → 00:26:06 นั้นเองนะคะขอบคุณอาจารย์ค่ะสวัสดีค่ะหมด
00:26:06 → 00:26:07 เวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้า
00:26:07 → 00:26:11 นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is
00:26:11 → 00:26:14 Toy PBS podcast ผลการสำรวจผู้สูงอายุ
00:26:14 → 00:26:16 ในช่วงปีใหม่สิ่งที่ผู้สูงอายุอยากได้และ
00:26:16 → 00:26:18 อยากให้มากที่สุดคืออะไรผู้ช่วย
00:26:18 → 00:26:21 ศาสตราจารย์ดรเกสรสำเภาทองผู้เชี่ยวจาน
00:26:21 → 00:26:24 ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมา
00:26:24 → 00:26:27 เล่าให้ฟังครับเราก็คงเคยได้ยินกันนะว่า
00:26:27 → 00:26:30 ในปีใหม่นี้เราจะทำอะไรแล้วผู้สูงอายุเอง
00:26:30 → 00:26:33 เนี่ยนะก็มีงานวิจัยเหมือนกันนะแต่ว่างาน
00:26:33 → 00:26:36 วิจัยเนี่ยยเค้าทำที่ต่างประเทศเบอกผู้
00:26:36 → 00:26:39 สูงอายุเนี่ยท็อป 10 เนาะของสิ่งที่
00:26:39 → 00:26:42 ประสงค์เนอยากจะให้เกิดขึ้นในช่วงปีใหม่
00:26:42 → 00:26:45 เนี่ยก็คือยังหวังเรื่องสุขภาพมาแรง
00:26:45 → 00:26:48 เหมือนเดิมอ๋ออยากให้สุขภาพดีค่ะอยากให้
00:26:48 → 00:26:51 ได้แบบว่าอยู่กับลูกกับหลานได้เห็นความ
00:26:51 → 00:26:54 สุขแล้วตัวเองก็สามารถที่จะ Enjoy กับ
00:26:54 → 00:26:57 สิ่งเหล่านั้นได้สุขภาพก็ยังเป็นอันดับ 1
00:26:57 → 00:26:59 อือแต่ถ้าเป็นคนหนุ่มสาวก็ปีใหม่อยากให้
00:26:59 → 00:27:03 หน้าที่การงานอยากได้โบนัสใช่มยคะอยากได้
00:27:03 → 00:27:07 มีแฟนเอออยากให้มามีคนมาคุกเขาขอแต่งงาน
00:27:07 → 00:27:10 อะไรงี้แต่ผู้สูงุปีใหม่เาอยากให้มี
00:27:10 → 00:27:13 สุขภาพดีและนอกจากนี้เขาอยากให้ลูกหลาน
00:27:13 → 00:27:17 เขามีสุขภาพที่ดีมีความมั่นคงมั่งคั่ง
00:27:17 → 00:27:20 เจริญก้าวหน้าคือเขาก็เผื่อแผ่ความ
00:27:20 → 00:27:23 ปรารถนาดีไปที่ลูกหลานด้วยเห็นมั้ยคะอัน
00:27:23 → 00:27:26 นี้คือคือผู้สูงอายุอยากให้ลูกหลานเนี่ย
00:27:26 → 00:27:30 ได้กลับมานะถ้าเป็นวัฒนธรรมมของตะวันตกก็
00:27:30 → 00:27:33 คือช่วงคริสต์มาสิก็ต้องมานะคะกลับมาเจอ
00:27:33 → 00:27:36 ครอบครัวกันนะของไทยเราก็เช่นเดียวกัน
00:27:36 → 00:27:39 แหละถึงแว่าเราก็รับหมดอ่ะทุกวัฒนธรรมอ่ะ
00:27:39 → 00:27:44 นะคะปีใหม่เอ่อไยสงกรานต์นะุจีนอะไเราก็
00:27:44 → 00:27:46 รับได้นะคะก็เอาสักัก 1 ก็แล้วกันถือเป็น
00:27:46 → 00:27:49 ปีใหม่ของผู้สูงของครอบครัวเรานะคะกลับมา
00:27:49 → 00:27:52 เยี่ยมเยียนกันนอกจากอ่าเรื่องสุขภาพแล้ว
00:27:52 → 00:27:55 อ่ะค่ะบางทีผู้สูงอายุเนี่ยก็ยังมีความ
00:27:55 → 00:27:58 คาดหวังสำหรับปีหน้าอืว่าปีหน้าเนี่ยเขา
00:27:58 → 00:28:02 จะน่าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นในในวัยของเขา
00:28:02 → 00:28:05 อ่ะนะคะเช่นในปีหน้าเนี่ยโรคที่เป็นอยู่
00:28:06 → 00:28:10 น่าจะหายนะหรือดีขึ้นเลยอะไรอย่างนี้นะคะ
00:28:10 → 00:28:13 ก็เป็นความหวังหรือว่าเอ่อถ้าสมมุติ
00:28:13 → 00:28:15 เศรษฐกิจไม่ดีก็หวังว่าปีหน้าเนี่ยจะดี
00:28:15 → 00:28:18 ขึ้นอย่างเงี้ยค่ะมีมีความหวังคือสิ่ง
00:28:18 → 00:28:20 นั้นมันจะเกิดขึ้นน่ะมันก็อาจจะเกิดขึ้น
00:28:21 → 00:28:23 ได้หรือไม่ได้ไม่รู้แหละเนาะแต่ว่าสิ่ง
00:28:23 → 00:28:26 ที่ผู้สูงอายุอาจจะได้ตั้งเหมือนกับเคก็
00:28:26 → 00:28:29 พูว่ามันมี resolution สำหรับปีใหม่หรือ
00:28:29 → 00:28:31 ว่าตั้งปณิธานหรือตั้งเป้าหมายปีใหม่ฉัน
00:28:31 → 00:28:35 จะทำอะไรบ้างเพื่อชีวิตของฉันอีกทั้งปีอ
00:28:35 → 00:28:38 นะคะผู้สูงุเก็มีนะเมีการสำรวจมาเหมือน
00:28:38 → 00:28:40 กันว่าทำอะไรบ้างจริงๆก็เป็นเรื่องของ
00:28:40 → 00:28:42 ร่างกายเป็นเรื่องจิตใจเป็นเรื่องสังคม
00:28:42 → 00:28:45 เป็นร่างกายของเราเนี่ยก็แน่นอนเราก็อยาก
00:28:45 → 00:28:48 จะแข็งแรงปราศจากโรคภัยหรือว่าถ้ามันมี
00:28:48 → 00:28:51 โรคภัยอยู่ก็ให้มันควบคุมได้ดูแลได้เพราะ
00:28:51 → 00:28:53 ฉะนั้นพื้นฐานเลยถ้าเราตั้งเป้าหมาย
00:28:53 → 00:28:56 เกี่ยวกับสุขภาพอยากตั้งให้ตั้งเป้าหมาย
00:28:56 → 00:28:57 เกี่ยวกับเรื่องของการออกกำลังกายกายเอา
00:28:57 → 00:29:00 ไว้เราได้เคยคิดมว่าเออขอนิดนึงนะตั้ง
00:29:00 → 00:29:03 เป้าหมายว่าปีหน้าจะออกกำลังกายทละ 2 วัน
00:29:03 → 00:29:07 1 วันหรืออะไรก็แล้วแต่แล้วทำให้ได้ค่ะ
00:29:07 → 00:29:11 เนี่ยมันมันมีประโยชน์มาก
00:29:11 → 00:29:16 ๆ This Is tha PBS
00:29:16 → 00:29:19 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:19 → 00:29:22 แอปพลิเคชันของ Thai PBS podcast
00:29:22 → 00:29:25 spotify soundcloud Google podcast
00:29:25 → 00:29:27 Apple podcast และ YouTube YouTube
00:29:27 → 00:29:31 Channel Thai PBS podcast Thai PBS
00:29:31 → 00:29:34 podcast View the world via The
00:29:34 → 00:29:44 [เพลง]
00:29:44 → 00:29:47 Voice