00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice สวัสดีครับผมวีรพงษ์ทวีศักดิ์
00:00:08 → 00:00:13 ดิฉันสุธิราพรปรีเปรมดิฉันกิตติยาโมร่า
00:00:13 → 00:00:17 และนี่คือศัลกรรมความสุขรายการที่ฟังแล้ว
00:00:17 → 00:00:21 ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นมีความทุกข์น้อย
00:00:21 → 00:00:24 ลงพี่อ้อยสังเกตมครับว่าตั้งแต่เรามีน้อง
00:00:24 → 00:00:27 ยะเข้ามาร่วมในรายการเเราจะมีคำแบบวัย
00:00:27 → 00:00:30 รุ่นวรุ่นเยอะมากเลยใช่มพี่อ้อยใช่ค่ะค่ะ
00:00:30 → 00:00:32 เออเพราะน้องยะนี่เยังเป็นวัยรุ่นอยู่ใช่
00:00:32 → 00:00:36 มั้ยใช่มั้ยน้องยะวัยรุ่นตอนปลายค่ะอวัย
00:00:36 → 00:00:39 รุ่นตอนปลายเนี่ยแล้วพี่อ้อยรู้มยว่าเวลา
00:00:39 → 00:00:41 ที่เราเริ่มพูดคุยกันแล้วเวลาที่เราหา
00:00:41 → 00:00:44 ประเด็นเนี่ยน้องย้าบางทีเพูดพูดคำบางคำ
00:00:44 → 00:00:46 ที่แบบเหมือนกับเอ้ยเป็นไรเป็นสิ่งที่คน
00:00:46 → 00:00:49 สมัยนี้เชอบเนี่ยนะผมอยากจะบอกว่าอะไรรู้
00:00:49 → 00:00:52 มั้ยว่าอะไรคะผมอยากจะบอกว่าคำหลายคำที่
00:00:52 → 00:00:59 น้องยาพูดนะค่ะผมไม่เก็ดว่ะ
00:00:59 → 00:01:03 [เพลง]
00:01:03 → 00:01:07 โอ้โหเหมือนกันเลยค่ะพี่หวีไม่เก็ดว่ะ
00:01:07 → 00:01:11 จริงๆไม่ไม่เก็ด่ะแต่ว่าจริงๆไม่ไม่เก็ต
00:01:11 → 00:01:13 นี่ไม่ใช่ว่าไม่ไม่ดีนะแต่ว่าเรามีความ
00:01:13 → 00:01:16 รู้สึกว่าอเอาจริงๆเลยนะพี่อ้อยที่เรามี
00:01:16 → 00:01:19 ความรู้สึกว่าเราอยากจะชวนน้องยัซึ่งเป็น
00:01:19 → 00:01:21 คนรุ่นใหม่เข้ามาเนี่ยเพราะว่าเรามีความ
00:01:21 → 00:01:24 รู้สึกว่าหลายครั้งเนี่ยเวลาที่เราจัดราย
00:01:24 → 00:01:28 การกันเองเนี่ยอือรุ่นเราเนี่ยค่ะผมมี
00:01:28 → 00:01:30 ความรู้สึกว่าหลายครั้งนะน่าน่าจะเป็นไป
00:01:30 → 00:01:34 ได้ที่คนฟังรุ่นใหม่เค้าคิดในใจไม่เก็ด
00:01:34 → 00:01:40 ว่ะจริงๆๆใช่ป่ะค่ะก็เลยเมื่อเรารู้อย่าง
00:01:40 → 00:01:42 งี้ปึ๊บเราก็เลยต้องเสริมทัพไงเออเอาคน
00:01:42 → 00:01:46 รุ่นใหม่มาเออเราจะได้คุยในสิ่งที่เาเก็ท
00:01:46 → 00:01:49 แต่เกิดปัญหาใหม่อีกไงปัญหาใหม่คืออะไร
00:01:50 → 00:01:54 สิ่งที่เค้าคุยกันน่ะเอ้าเราก็ไม่
00:01:54 → 00:01:58 เก็ตก็เลยต้องให้ยะเนี่ยมาเป็นตัวแปรให้
00:01:58 → 00:02:03 เราอ่าใช่เพราะฉะนั้นประเด็นวันเนี้ผมถึง
00:02:03 → 00:02:05 มีความรู้สึกนึกถึงเรื่องนี้เป็นเรื่อง
00:02:05 → 00:02:08 ใหญ่มากเลยว่าอือคนในสังคมปัจจุบันเนี่ย
00:02:08 → 00:02:11 เวลาที่เราอยู่ในสภาวะที่ต่างกันในหลาย
00:02:11 → 00:02:14 เรื่องอือทั้งวัยทั้งการศึกษาทั้ง
00:02:14 → 00:02:17 วัฒนธรรมทั้งอะไรอย่างเงี้ยมันทำให้แต่
00:02:17 → 00:02:21 ต่างคนต่างไม่เก็ตกันและกันน่ะออเจริงค่ะ
00:02:21 → 00:02:24 จริงค่ะแล้วเป็นเป็นต้นเรื่องของปัญหา
00:02:24 → 00:02:27 หลายเรื่องเลยนะความที่แม่กับลูกแม่ก็ไม่
00:02:27 → 00:02:29 เก็ตลูกลูกก็ไม่เก็ตแม่ในสิ่งที่ตัวเองทำ
00:02:29 → 00:02:31 ทำอะไรอย่างเงี้ยนะใช่เพราะงั้นประเด็น
00:02:31 → 00:02:34 สำคัญที่เราทำแบบนี้เพราะว่ารายการเราที่
00:02:34 → 00:02:36 เกิดการเปลี่ยนแปลงเนี่ยเพราะว่าข้อแรก
00:02:36 → 00:02:38 เรื่องของการเก็ตแล้วไม่เก็ตนี่นะพี่อ้อย
00:02:38 → 00:02:41 ค่ะข้อแรกเราจะต้องรู้ก่อนว่าเราแล้วต้อง
00:02:41 → 00:02:43 ยอมรับด้วยว่าตอนนี้เราไม่
00:02:43 → 00:02:47 เก็บใช่ใช่ค่ะแล้วเราก็ต้องรู้ด้วยว่าเ้า
00:02:47 → 00:02:49 ก็ไม่เก็ตเราเหมือน
00:02:49 → 00:02:54 กันจริงๆเออเพราะฉะนั้นเราจะเผชิญหน้ากับ
00:02:54 → 00:02:56 ความที่ไม่เก็ตแล้วก็ต่างคนต่างไม่เก็ต
00:02:56 → 00:03:00 เนี่ยได้ยังไงนะก็คือเราก็ต้องรู้ตัวก่อน
00:03:00 → 00:03:03 รู้ตัวเสร็จหลังจากนั้นก็มาปรับค่ะแล้วก็
00:03:03 → 00:03:05 แล้วก็พยายามอย่างประเด็นที่บอกว่าเก็ท
00:03:05 → 00:03:07 หรือไม่เก็ทอย่างบางคำที่ต้องยะพูดมา
00:03:07 → 00:03:10 เนี่ยผมไม่เกดปุ๊บวิธีปรับง่ายๆใช่มั้ย
00:03:10 → 00:03:12 พี่อ้อยเราก็ถามว่าเออน้องยะที่พูดนี่
00:03:12 → 00:03:16 เมื่อกี้หมายความว่าอะไรอ่ะเออใช่ๆๆอุ๊ย
00:03:16 → 00:03:20 อันนี้ดีมากเลยพี่วีก็คือเราเราเราถาม
00:03:20 → 00:03:24 ก่อนเลยเค้าเจะได้แบบอธิบายแล้วเราก็
00:03:24 → 00:03:27 เคลียร์ด้วยแต่แต่ไม่ใช่ว่าพอไม่เก็ทแล้ว
00:03:27 → 00:03:32 ก็ก็เลยไปหรือว่าแบบเอ่อไปไปเข้าใจว่า
00:03:32 → 00:03:36 เก็สอ่ะอืคืออโอันนี้น่าสนใจคือไม่เกส
00:03:36 → 00:03:38 แล้วทำหน้าเหมือนเก็สเนี่ยอัน
00:03:38 → 00:03:43 นี้เนียนค่ะเนียนเนียๆค่ะเออๆพอคุณแม่พูด
00:03:43 → 00:03:47 แบบนี้อาจารย์วีคะมันทำให้คิดได้ค่ะว่า
00:03:47 → 00:03:50 จริงๆแล้วคำว่าไม่เกตหวะอ่ะค่ะหรือคำว่า
00:03:50 → 00:03:55 ไม่เข้าใจอ่ะค่ะยะสงสัยค่ะมันมีที่เราไม่
00:03:55 → 00:03:59 เข้าใจจริงๆกับเราเข้าใจว่าเราเข้าใจ
00:03:59 → 00:04:03 เหมือนเข้าใจผิดอือ้าอ่ายะว่ามันมี 2 แบบ
00:04:04 → 00:04:09 นะคะอาจารย์อูดูดิดูดิพย่อยยังไม่ทันไร
00:04:09 → 00:04:12 น้องย้าก็พาเราลงลึกแล้วเนี่ยซึ่งซึ่งมัน
00:04:12 → 00:04:16 น่าสนใจนะเมื่อกี้ไงผมถึงบอกไงว่าไอ้ไม่
00:04:16 → 00:04:18 เก็ทว่าเนี่ยแล้วยอมรับว่าไม่เก็ทเนี่ยก็
00:04:18 → 00:04:22 เป็นเรื่องนึงนะใช่แต่ว่าไม่เก็ทแล้วไม่
00:04:22 → 00:04:24 รู้ตัวว่าไม่เก็ทก็เป็นอีกเรื่องนึงแต่
00:04:24 → 00:04:27 น้องย้ากำลังพูดนี่อีกเรื่องนึงนะอค่ะค่ะ
00:04:27 → 00:04:30 กำลังพูดว่าเก็สแต่จริงๆไม่เกเค็ดหรอก
00:04:30 → 00:04:32 เพราะว่ามันเข้าใจผิดเออใช่ค่ะเพราะว่า
00:04:32 → 00:04:35 ยักษ์เกิดเหตุการณ์แบบนี้ประจำเลยค่ะ
00:04:35 → 00:04:39 อาจารย์กับตัวเองอ้าเออมันเรื่องมันเป็น
00:04:39 → 00:04:42 ยังไงครับเลเล่าให้คุณหมอฟังซิองเล่าให้
00:04:42 → 00:04:45 คุณหมอใช่มั้ยคะอาการมันเป็นยังไงใช่มั้ย
00:04:45 → 00:04:49 คะเออๆๆก็ยะอ่ะค่ะสมัยก่อนเรียนตอนเรียน
00:04:49 → 00:04:53 อ่ะค่ะก็เป็นคนที่ไม่เก่งเลขไม่แน่ใจว่า
00:04:53 → 00:04:55 มีท่านผู้ฟังคนไหนที่แบบไม่ชอบวิชาเลข
00:04:55 → 00:04:59 เหมือนยามคะรู้สึกว่าเอ่อคุณผู้ฟังคุณผู้
00:04:59 → 00:05:02 ฟังเนี่ยไม่รู้แต่ผมเนี่ยคนนั้นเลยแม่
00:05:02 → 00:05:05 ด้วยแม่ด้วยอ้าจริงหรออออาจารย์มีกับแม่
00:05:05 → 00:05:08 ก็ไม่ชอบวิชาเลขใช่มั้ยคะไม่ชอบเออๆยารู้
00:05:08 → 00:05:11 สึกว่ามันเข้าใจยากสมการอะไรอย่างเงี้ย
00:05:11 → 00:05:14 แบบโอ้โหเดี๋ยวแล้วแบบตอนนั้นเป็นช่วงม
00:05:14 → 00:05:19 ปลายด้วยถอดรูสแควร์รูอะไรโองงไปหมดค่ะ
00:05:19 → 00:05:22 แล้วยาก็แล้วแม่เนี่ยด้วยความหวังดีเนาะ
00:05:22 → 00:05:25 เขาก็ส่งเราไปเรียนพิเศษแบบไพเวทเลย
00:05:25 → 00:05:27 อาจารย์ในห้องมีนักเรียนแค่ 4 คนกับ
00:05:27 → 00:05:30 อาจารย์ 1 ท่านอเราก็ไปเรียนมีเพื่อนสนิท
00:05:30 → 00:05:34 เราคนนึงอีก 2 คนเป็นคนที่ไม่รู้จักต้อง
00:05:34 → 00:05:37 บอกว่าเพื่อนเราอ่ะเก่งฉลาดแล้วก็เรียน
00:05:37 → 00:05:40 นางเรียนสายวิทย์เราเรียนสายสิลป์พอเรา
00:05:40 → 00:05:43 เข้าไปเรียนในห้องเรียนนนะคะเราก็เรียนไป
00:05:43 → 00:05:47 ตามที่อาจารย์สอนน่ะแต่อาจารย์วีเชื่อไมย
00:05:47 → 00:05:51 ว่าอีก 3 คนน่ะเขาเข้าใจทันทีที่อาจารย์
00:05:51 → 00:05:55 สอนอืยังไม่เข้าใจอยู่คนเดียวแล้วยาก็
00:05:55 → 00:05:58 เลือกที่จะไม่พูดอแต่อาจารย์เดูจากแววตา
00:05:58 → 00:06:01 แล้วมันดูร่องลอยเหลือเกินน่าจะไม่เข้าใจ
00:06:01 → 00:06:05 แน่เลยเเลยถามว่าเข้าใจมั้ยพอพอมีเปิด
00:06:05 → 00:06:09 อาจารย์เปิดโอกาสนะเราก็เลยพูดไปเลยว่าหึ
00:06:09 → 00:06:13 ไม่เข้าใจค่ะอืๆแล้วอาจารย์ก็อธิบายอีก
00:06:13 → 00:06:17 รอบเราก็ยังไม่เข้าใจค่ะอาจารย์วีจน
00:06:17 → 00:06:19 อาจารย์อธิบายแล้วก็เพื่อนเพื่อนที่เราไป
00:06:19 → 00:06:23 เรียนด้วยเนี่ยเมาช่วยมาช่วยอธิบายอืออ
00:06:23 → 00:06:26 กว่าเราจะเข้าใจหรือกว่าเราจะเก็ตเนี่ยคะ
00:06:26 → 00:06:30 ต้องบอกอาจารย์วีว่าสงสารเพื่อเป็นอีก 2
00:06:30 → 00:06:35 คนมากว่ามันเปลืองเวลาเค้ามากเพราะว่าเออ
00:06:35 → 00:06:39 มันมีเราคนเดียวอ่ะที่ไม่เข้าใจอออใช่ค่ะ
00:06:39 → 00:06:42 แล้วเราอ่ะก็ไม่เข้าใจจนกระทั่งเพราะ
00:06:42 → 00:06:45 อาจารย์เคก็พยายามค่ะจนสุดท้ายอ่ะกับ
00:06:45 → 00:06:48 เพื่อนช่วยกันจนเราเข้าใจยะจะเป็นประเภท
00:06:48 → 00:06:51 ถ้ายยะไม่เข้าใจนะอาจารย์ยะก็จะไม่เข้าใจ
00:06:51 → 00:06:54 อยู่อย่างงั้นน่ะแต่ถ้าเข้าใจลองเข้าใจ
00:06:54 → 00:06:59 ได้ 1 ครั้งแล้วอ่ะค่ะมันจะเข้าใจเลยอื
00:06:59 → 00:07:02 อ่ามันจะเหมือนกับต่อยอดไปได้เลยอันนี้
00:07:02 → 00:07:05 คือเหตุการณ์นึงเรื่องที่บอกว่าเอ่อไม่
00:07:05 → 00:07:08 เข้าใจจริงๆแต่เรื่องที่อีกเรื่องนึงที่
00:07:09 → 00:07:12 เข้าใจผิดอ่ะค่ะอาจารย์พอเรามาทำงานน่ะ
00:07:12 → 00:07:15 บางทีเค้าสื่อสารมาเคต้องการในสิ่งที่ให้
00:07:15 → 00:07:19 เราทำสมมุตินะคะ 1 2 3 4 แต่เราอ่ะ
00:07:19 → 00:07:23 เข้าใจเป็น 4 5 6 7 แล้วเราก็คิดว่า
00:07:23 → 00:07:27 เราเข้าใจอาจารย์อคิดว่าเราเข้าใจแล้วเรา
00:07:27 → 00:07:31 แล้วเราก็เลยไปทำไอ้ 4 5 6 7 มาอปรากฏ
00:07:31 → 00:07:34 ว่าพอมาส่งงานหรือเอางานมาให้เค้าดูเ้า
00:07:34 → 00:07:37 บอกเฮ้ยไม่ใช่เค้าไม่ต้องการสิ่งนี้เ้า
00:07:37 → 00:07:41 ต้องการ 1 2 3 4 อืยาว่าประเด็นเนี้ย
00:07:41 → 00:07:46 อาจารย์เรื่องไม่เก็ทแต่เข้าใจว่าเก็ทเออ
00:07:46 → 00:07:50 เป็นปัญหาที่ยาว่าหลายๆคนอาจจะเคยเจอค่ะ
00:07:50 → 00:07:53 มันเป็นเรื่องของการสื่อสารออาจจะเจอใน
00:07:54 → 00:07:58 ชีวิตประจำวันเจอในงานบางทีแม่งเงี้ยค่ะ
00:07:58 → 00:08:02 ย้ากับแม่พูดอะไรกันแม่หมายถึงสิ่งหนึ่ง
00:08:02 → 00:08:06 ยะเข้าใจเป็นอีกสิ่งนึงแล้วพอถึงเวลาปุ๊บ
00:08:06 → 00:08:07 ตีกัน
00:08:07 → 00:08:12 ค่ะเพราะว่าเพราะว่าเข้าใจคนละอย่างกัน
00:08:12 → 00:08:18 ค่ะอาจารย์อืโหเนี่ยมันน่าสนใจนะพี่อ้อย
00:08:18 → 00:08:21 พี่อ้อยลองลองประเมินสถานการณ์นะว่าไม่
00:08:21 → 00:08:24 เกสแต่คิดว่าเกสเนี่ยอันไหนอาการหนักกว่า
00:08:24 → 00:08:27 กันคืออันไนร้ายแรงอันไหนร้ายแรงกว่ากัน
00:08:27 → 00:08:30 ไม่ไม่เก็ทเลยเนี่ยรู้ตัวว่าไม่เก็ดเลย
00:08:30 → 00:08:34 เนี่ยยังยังแก้ไขได้เพราะว่าก็ต้องไปอ้าว
00:08:35 → 00:08:37 ตกลงยังไงเหรอฉันไม่รู้ทำยังไงจะรู้อะไร
00:08:37 → 00:08:40 อย่างงี้แต่ถ้าสมมุติว่าไม่เก็ตอ่ะแต่
00:08:40 → 00:08:42 เข้าใจว่าเก็ทอ่ะแล้วไปทำอะไรที่มันผิด
00:08:42 → 00:08:45 พลาดอ่ะตรงเนี้ยมันมันส่งผลกระทบเยอะกว่า
00:08:46 → 00:08:49 เลยค่ะแล้วมันต้องกลับมาแก้ไขอะไรที่มัน
00:08:49 → 00:08:52 ผิดพลาดไปแล้วอีกอ่ะแล้วบางโอกาสเนี่ยถ้า
00:08:52 → 00:08:56 สมมุติว่ามันแก้ไขยากหรือว่าแก้ไขไม่ได้เ
00:08:56 → 00:08:59 มันก็จะกลายเป็นปัญหาบานปลายชีวิตอ่ะใช่
00:08:59 → 00:09:03 ค่ะอืออือเนี่ยมันมีทำให้ผมนึกถึงเรื่อง
00:09:03 → 00:09:05 เรื่องนึงนะพี่อ้อยค่ะอันนี้เป็นเรื่อง
00:09:05 → 00:09:09 ที่ผมได้ยินมาจากต่างประเทศอมีสามีภรรยา
00:09:09 → 00:09:11 คู่หนึ่งเนี่ยตอนเช้าภรรยาเคก็จะเตรียม
00:09:11 → 00:09:15 อาหารเช้าให้กับสามีเานะค่ะแล้วเขาก็ปิ้ง
00:09:15 → 00:09:20 ขนมปังอ่ะเออค่ะภรรยาเค้าปิ้งขนมปังเสร็จ
00:09:20 → 00:09:23 ขนมปังมันก็แบบมันแบบเตรียมๆไหม้ๆนิดๆน่ะ
00:09:23 → 00:09:28 เออคค่ะแล้วก็สามีเค้าก็กินกินกินิๆๆแล้ว
00:09:28 → 00:09:31 ก็ก็ขอบคุณภรรยาเอะไรเงี้ยค่ะแล้วสามี
00:09:31 → 00:09:34 ภรรยาคู่นี้เนี่ยเค้าก็มีชีวิตอยู่ด้วย
00:09:34 → 00:09:38 กันแบบยาวนานจนกทั้งแก่เลยอ่ะอค่ะแล้วก็
00:09:38 → 00:09:41 จนในที่สุดแล้วเนี่ยตอนท้ายเนี่ย
00:09:42 → 00:09:47 เอ่อคือเค้าเรียกว่าอะไรเค้าก็ขอบคุณน่ะ
00:09:47 → 00:09:51 ก็คือเค้าขอบคุณกันน่ะประมาณว่าภรรยา
00:09:51 → 00:09:53 เนี่ยเขาคก็ขอบคุณสามีก็ขอบคุณกันประมา
00:09:53 → 00:09:56 แล้วเคก็คุยกันเรื่องว่าภรรยาก็สามีภรรยา
00:09:56 → 00:09:59 เค้าเนี่ยเค้าบอกว่าเค้าเโชคดีจังเลยอะไร
00:09:59 → 00:10:01 เงี้ยสามีเค้าบอกโชคดีจังเลยเหมือนกัน
00:10:01 → 00:10:04 แล้วภรรยาเคก็ไปบอกกับคนอื่นว่าสามีเค้า
00:10:04 → 00:10:07 เนี่ยทุกเช้าเนี่ยเค้าจะต้องปิ้งขนมปัง
00:10:07 → 00:10:10 เนี่ยให้สามีกินแล้วก็ต้องต้องปิ้งให้
00:10:10 → 00:10:12 ไหม้ด้วยให้เกรียมๆไม่ไหม้เพราะว่าสามี
00:10:12 → 00:10:15 เา้าอ่ะชอบกินแบบนั้นอะไรอย่าเงี้ยอือ
00:10:15 → 00:10:17 เชื่อมั้ยว่าอยู่กันมาตลอดชีวิตแบบหลาย
00:10:17 → 00:10:21 สิบปีเลยเนี่ยอือสามีเ้าเพิ่งจะบอกว่าเออ
00:10:21 → 00:10:25 จริงๆเขาไม่ได้ชอบกินขนมปังไหม้อืภรรยา
00:10:25 → 00:10:28 เ้าอ่ะเข้าใจว่าสามีชอบกินขนมปังไแล้วก็
00:10:28 → 00:10:33 ทำให้กินทุกวันตลอดชีวิตอือแต่สามีเ้าบอก
00:10:33 → 00:10:36 เออจริงๆเ้าไม่ได้ชอบอ้าแล้วทำิก็ผมเป็น
00:10:36 → 00:10:38 ก็ผมเป็นคนที่แบบว่าคุณทำอะไรมาให้ผมก็
00:10:39 → 00:10:43 กินไงผมกลัวคุณเสียใจผมก็เลยกินออืแต่ว่า
00:10:43 → 00:10:47 กินขนมปังไหม้นี่ก็คือต้องอดทนกิน
00:10:47 → 00:10:53 นะค่ะค่ะแล้วไม่ได้ชอบผมเมื่อกี้นี้พอพูด
00:10:53 → 00:10:56 ถึงเรื่องนี้พวกผมนึกถึงเรื่องนี้เลยค่ะ
00:10:56 → 00:11:00 อืเข้าใจาก็เข้าใจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต
00:11:00 → 00:11:03 ว่าสามีชอบกินขนมปังปิ้งแล้วก็ทำสิ่งนี้
00:11:03 → 00:11:07 ให้กินตลอดชีวิตเลยออือเออแต่ว่าจริงๆ
00:11:07 → 00:11:09 แล้วเพราะว่าความที่สามีเป็นคนที่แบบว่า
00:11:09 → 00:11:13 ไม่ก็กลัวเจะเสียใจก็กินไปอะไรอย่างเงี้ย
00:11:13 → 00:11:16 ก็เลยเข้าใจว่าชอบแต่จริงๆเอ่อไม่ไม่เข้า
00:11:16 → 00:11:20 ใจจริงๆเข้าใจผิดอย่างเงี้ยอืเป็นการเข้า
00:11:20 → 00:11:24 ใจผิดที่มีเจตนาดีทั้งคู่ใช่ใช่แต่ว่า
00:11:24 → 00:11:28 เอ่อเค้าเรียกว่าอะไรสิ่งที่เป็นผลของการ
00:11:28 → 00:11:32 เข้าใจผิดนั้นน่ะมันกลายเป็นทำให้ต้องคน
00:11:32 → 00:11:35 นึงก็ต้องแบบอดทนอ่ากับไอ้สิ่งบางสิ่ง
00:11:35 → 00:11:39 อย่างเงี้ยเออออืๆแล้วเรื่องของการเก็ท
00:11:39 → 00:11:42 หรือไม่เก็ตนี่นะพี่อ้อยบางทีเน้องยะรู้ม
00:11:42 → 00:11:45 ว่ามันไปเกี่ยวพันกับเรื่องของวัฒนธรรม
00:11:45 → 00:11:47 เรื่องของภาษาเรื่องของอะไรเต็มไปหมดเลย
00:11:47 → 00:11:51 เพราะฉะนั้นใช่ใช่ค่ะถ้าถ้าเราไม่รู้ตัว
00:11:51 → 00:11:56 นะมันจะกลายเป็นเกิดเกิดผลหนักอ่ะว่าใช่
00:11:56 → 00:11:59 ค่ะเข้าใจว่าแต่จริงๆเราไม่ได้เข้าใจยก
00:11:59 → 00:12:02 ตัวอย่างเช่นอะไรมั้ผมผมไปอีกที่นึงไป
00:12:02 → 00:12:05 ช่วงที่ไปเรียนไปบรรยายต่างประเทศเงี้ย
00:12:05 → 00:12:09 แล้วไปกินกินข้าวบ้านอาจารย์เนี่ยเสร็จ
00:12:09 → 00:12:11 แล้วเราก็บอกโหไอ้นี้อร่อยจังเลยอะไร
00:12:11 → 00:12:13 อย่างเงี้ยอาจารย์ก็บอกเฮ้ยใส่ถุงไปกิน
00:12:13 → 00:12:16 มั้ยอ่ะเพราะว่าเราต้องไปพักโรงแรมเราก็
00:12:16 → 00:12:20 จะดีเหรอเราก็เกรงใจเเพราะว่าวัฒนธรรมของ
00:12:20 → 00:12:23 ไทยอ่ะไปกินข้าวบ้านใครแล้วพอกับบ้านด้วย
00:12:23 → 00:12:26 เนี่ยเจะประมาณแโอ้โหกินยังไม่พอยังเอา
00:12:26 → 00:12:29 กับบ้านอีกเหรออะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่ของ
00:12:29 → 00:12:31 ต่างชาติเนี่ยถ้าเกิดเราไปกินข้าวบ้านเ้า
00:12:31 → 00:12:35 แล้วขอห่อกลับนี่คือเขาดีใจมากเลยนะ
00:12:35 → 00:12:42 อออแสดงว่าเ้าทำอร่อยมากไงออออมไม่เคยรู้
00:12:42 → 00:12:46 มาก่อนค่ะพูดถึงวัฒนธรรมอ่ะค่ะอาจารย์นึก
00:12:46 → 00:12:51 ถึงเรื่องนึงค่ะตอนเด็กๆค่ะคุณลุงเคยพาไป
00:12:51 → 00:12:54 สิงคโปร์ไปกันมีย่ามีแม่มีลุงมีป้าแล้ว
00:12:54 → 00:12:56 คุณลุงเขมีเพื่อนที่เป็นฝรั่งอยู่
00:12:56 → 00:13:01 สิงคโปร์ค่ะอืก็เพาไปกินอะไรสักอย่างเจำ
00:13:01 → 00:13:04 ไม่ได้แล้วทีนี้เนี่ยพอตอนเรียกเก็บตังค์
00:13:04 → 00:13:07 อาจารย์วีเคยเห็นคนไทยมั้ยคะเขาจะยกมือ
00:13:07 → 00:13:10 เรียกบ๋อยเหมือนเรียกพนักงานแล้วก็จะมาวน
00:13:10 → 00:13:15 ที่โต๊ะว่าเออเก็บตังค์อ่าคนไทยเข้าใจ
00:13:15 → 00:13:18 แล้วตอนนั้นน่ะค่ะด้วยความเป็นเด็กนะยาก็
00:13:18 → 00:13:23 อยากจะแบบเรียกให้อพอยาจะยกมือปุ๊บเพื่อน
00:13:23 → 00:13:27 ลุงค่ะจับมือเลยจับมือเลยแล้วก็บอกว่า
00:13:27 → 00:13:30 เดี๋ยวเขาบอกเองไอ้ที่สิงคโปร์อ่ะค่ะอัน
00:13:30 → 00:13:33 นี้ไม่รู้ว่าจริงมนะคะเาบอกว่าการที่คุณ
00:13:33 → 00:13:38 ชูมือแล้วคุณวนที่โต๊ะอ่ะมันแปลว่าเอา
00:13:38 → 00:13:41 ทั้งหมดที่เรากินเนี่ยทั้งหมดเนี่ยไเซต
00:13:41 → 00:13:47 นึงเออกลายเป็นว่าแทนที่จะเช็คบินต้องมา
00:13:47 → 00:13:50 ถ้าเคจะต้องเอาไอ้ที่เรากินทั้งหมดอ่ะ
00:13:50 → 00:13:52 อาจารย์มีมาเสิร์ฟอีกรอบเพราะเเข้าใจว่า
00:13:52 → 00:13:58 เราเพิ่มเออๆยาก็แบบว่าตายละเกือบจะตายละ
00:13:58 → 00:14:01 ถ้าเพื่อนลุงเไม่จับมือไว้เนี่ยได้กินอีก
00:14:01 → 00:14:06 แล้วน่าจะท้องแตกกันพอสมควรเลยค่ะอาจารย์
00:14:06 → 00:14:09 แสดงว่าน้องย้ายวันนั้นยังไม่ได้วนใช่
00:14:09 → 00:14:14 มั้ยยังค่ะจับแค่ยกมือปุ๊บเพื่อนลุงจับ
00:14:14 → 00:14:19 มือลงเลยค่ะเออๆนี่ไงนี่ไงน้องย้ารู้มั้ย
00:14:19 → 00:14:21 ว่าแล้วน้องย้าก็ถามว่าไม่รู้ว่าจริงมั้ย
00:14:21 → 00:14:26 ใช่มั้ยค่ะผมก็ตอบผมก็ตอบเลยว่าจริงออื
00:14:26 → 00:14:29 เพราะว่าเคยไปทำแบบนี้แต่ว่าไม่ใช่ที่ที่
00:14:29 → 00:14:35 สิงคโปร์อที่ที่เยอรมันค่ะแล้วเขาก็มี
00:14:35 → 00:14:37 Welcome drink เ่ะเป็นแบบเหล้าอ่ะที่
00:14:37 → 00:14:39 เป็นโรเป็นเค้าเรียกเป็นสปิริตเป็น
00:14:39 → 00:14:42 แอลกอฮอล์อ่ะแก้วเล็กๆแล้วมันมานิดเดียว
00:14:42 → 00:14:45 อ่ะแล้ววิธีการกินนี่คือต้องกระดกอ่ะ
00:14:45 → 00:14:48 กระดกแล้วก็ต้องกลืนมดแก้วทันทีซึ่งนิด
00:14:48 → 00:14:51 เดียวแล้วมันก็ร้อนมากไหลไปถึงไหนนี่รู้
00:14:51 → 00:14:54 ไปถึงนั้นเลยอ่ะอคืออันนี้เป็นงานนานา
00:14:54 → 00:14:57 ชาติแบบไปกับเพื่อนประมาณสัก 20 กว่าคนมา
00:14:57 → 00:15:00 แต่ทุกประเทศอะไรอย่าเงี้ยแล้วก็ไปเวคดิ
00:15:00 → 00:15:04 แล้วทุกคนก็กินด้วยความโอไซหัวเราะขำๆขำๆ
00:15:04 → 00:15:07 แล้วก็แล้วก็มีคนตอนนั้นน่ะเค้าก็จะจ่าย
00:15:07 → 00:15:12 ค่าเนี่ยเค้าก็เนี่ยยกมือวนน่ะมาอีกคนละ
00:15:12 → 00:15:18 แก้วอันนี้ร้อนผ่าวหนักเลยโอ้โหนี่เลยวน
00:15:18 → 00:15:21 มืออย่างเงี้มาอีกคนละแก้วเลยไม่งั้นคณ 2
00:15:21 → 00:15:23 ค่ะเนี่ยเรื่องเก็ทหรือไม่เก็ตเรื่อง
00:15:23 → 00:15:26 วัฒนธรรมเนี่ยมันทำให้คนหรือแม้กระทั่ง
00:15:26 → 00:15:30 ไม่ต้องวัฒนธรรมก็ได้ถ้าผมผมถามว่าเอ่อ
00:15:30 → 00:15:33 พี่อ้อยครับน้องย๊ะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้เรา
00:15:33 → 00:15:36 มีเวลาว่างเราไปกินข้าวกันมเออนัดนัไปกิน
00:15:36 → 00:15:41 ข้าวนะแล้วก็ผมเราไปเจอกันที่ร้านที่เรา
00:15:41 → 00:15:43 เคยไปกินจำได้ใช่มั้ยอ่าร้านนั้นนะอ่า
00:15:43 → 00:15:49 ร้านที่เราเจอกัน 155 อืค่ะโอเคมั้ย 155
00:15:49 → 00:15:53 ว่างมั้ย 1535
00:15:53 → 00:15:56 อ๋อต้องถามว่า
00:15:56 → 00:16:04 1515 นหรือว่าหรือว่า่า 35
00:16:04 → 00:16:10 นที 14 35 นยย่ายังทำหน้าเอ๋อตอนนี้นะคะ
00:16:10 → 00:16:15 มีมีมองบนพี่วีไม่ไม่มองคิดตามจิสิงที่
00:16:15 → 00:16:19 คุณแม่พูดถ้าถ้าอาจารย์บอกว่า 15:15 ยา
00:16:19 → 00:16:24 เข้าใจว่า 15:15 นค่ะเออนี่ไงเห็นป่ะแต่
00:16:24 → 00:16:29 ว่ามีบางคนเนี่ยเข้าใจว่าเป็นบ่าย 35
00:16:29 → 00:16:33 หมายถึงว่า 13:00 นตรงกับ 35 นาทีก็คือ
00:16:33 → 00:16:38 1330 นใช่ 1330 นหรือ 151
00:16:39 → 00:16:42 นมันเป็นเรื่องของภาษาหรืออีกอันนึงเนี่ย
00:16:42 → 00:16:45 เกี่ยวกับเรื่องภาษาด้วยแล้วก็วัฒนธรรม
00:16:45 → 00:16:49 ด้วยนะอือค่ะมีอยู่วันนึงผมก็ตอนนั้นผมไป
00:16:49 → 00:16:52 แสดงดนตรีที่เกาหลีใช่มั้ยพอแสดงดนตรี
00:16:52 → 00:16:55 เสร็จก็ไปตะเวรแสดงในมหาลัยก็รู้จักแบบ
00:16:55 → 00:16:58 นิสิตอะไรนักนักศึกษาดนตรีของเกาหลีหลาย
00:16:58 → 00:17:00 คนก็ก็เป็นเป็นเพื่อนกันในใน
00:17:00 → 00:17:02 โซเชียลมีเดียในยุคนั้นน่ะ Facebook อะไร
00:17:02 → 00:17:05 พวกเงี้นะแล้วก็ก็มีอยู่คนนึงก็สนิทกันมา
00:17:05 → 00:17:08 ก็แอดเฟรนมาแล้วก็พิมพ์คุยกันเงี้ยตลอด
00:17:08 → 00:17:11 เวลาเลยไงแล้วพอเราคุยเรื่องของเขาเราก็
00:17:11 → 00:17:14 ปึ๊บเราก็จบด้วยคำว่าเราก็ชอบพิมพ์เลข 5
00:17:14 → 00:17:16 ติดติดกันน่ะ
00:17:16 → 00:17:23 55 เอฝรั่งงงอืงงงงเกาหลีงงคืออะไรเหรอ
00:17:23 → 00:17:25 ใช่
00:17:25 → 00:17:29 ๆฝรั่งฝริ่งเกาหลีงงหมดนะเออเจอเลข 5 ติด
00:17:29 → 00:17:32 ๆกันเนี่ยคือคืออะไรอ่ะคืออะไรเนี่ยงเออ
00:17:32 → 00:17:35 เงี้ยเพราะฉะนั้นเนี่ยเรื่องของเก็ทหรือ
00:17:35 → 00:17:39 ไม่เก็ทนี่นะมันมีมันมีเหตุมันมีจุดมันมี
00:17:39 → 00:17:42 ประเด็นที่ทำให้คนในสังคมปัจจุบันเนี้ย
00:17:42 → 00:17:47 ค่ะเก็ทหรือไม่เก็ตใช่เยอะมากหรือว่าแต่
00:17:47 → 00:17:49 ว่าที่น้องย้ายกมาประเด็นวันเนี้ยผมผมชอบ
00:17:49 → 00:17:53 มากเลยที่แบบว่าจริงๆแล้วเราคิดว่าเก็ท
00:17:53 → 00:17:56 แต่ไอ้ที่เราเก็ตน่ะมันผิดอืๆใช่ค่ะ
00:17:56 → 00:18:00 อาจารย์ซึ่งอันนี้อยากแนะนำคุณผู้ฟังนิด
00:18:00 → 00:18:02 นึงค่ะจากประสบการณ์ส่วนตัวไม่รู้ว่าจะ
00:18:02 → 00:18:05 เป็นประโยชน์มยว่าไอ้เราที่เราเราเวลา
00:18:05 → 00:18:08 เรื่องที่อะไรที่มันจริงจังอ่ะค่ะเอา
00:18:08 → 00:18:11 เฉพาะที่เรื่องที่จริงจังนะคะยะมองว่าเรา
00:18:11 → 00:18:15 ควรรีเช็คความเข้าใจค่ะอือใช่ๆอันนี้เป็น
00:18:15 → 00:18:19 ทริกสั้นๆเฉยๆค่ะว่าสมมุติเราเข้าใจว่า
00:18:19 → 00:18:22 อย่างที่ยาบอกอ่ะค่ะอาเอ่อเจ้านายอาจจะ
00:18:22 → 00:18:24 สั่งมา 1 2 3 4 แต่เราไปทำ 4 5 6 7
00:18:24 → 00:18:29 อก็เลยอาจจะต้องเหมือนรีเช็คความเข้าใจ
00:18:29 → 00:18:33 อือฮึกับโอหัวหน้าหรือคนที่เราคุยด้วยอ่ะ
00:18:33 → 00:18:37 ค่ะว่าอ๋อคุณหมายถึง 4567 ใช่มั้ยอือมัน
00:18:37 → 00:18:40 จะได้เคลียร์อืยาว่าน่าจะน่าอาจจะช่วยผู้
00:18:40 → 00:18:44 ฟังบางท่านได้ที่แบบว่าเอ่อ
00:18:44 → 00:18:47 เราเหมือนกับในห้องประชุมอาจจะไม่กล้าถาม
00:18:47 → 00:18:50 เนาะเพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่เนี่ยเหมือน
00:18:50 → 00:18:52 เหมือนตอนสมัยเรียนอ่ะค่ะมีใครไม่เข้าใจ
00:18:52 → 00:18:56 มั้ยเงียบกริบทั้งห้องใช่อาจจะเป็นจนถึง
00:18:56 → 00:19:01 ทำงานด้วยก็ได้อะไเงี้ยใช่ๆก็เลยคิดว่า
00:19:01 → 00:19:05 ตรงนี้ยะเรียนรู้มาจากเอ่อเจ้านายคนนึงอื
00:19:05 → 00:19:08 ที่ยะเคยเข้าใจผิดแล้วเขาบอกว่าถ้าไม่แน่
00:19:08 → 00:19:12 ใจอือวันหลังให้ลองแบบมาหลังไมค์กับพี่ก็
00:19:12 → 00:19:16 ได้ว่าเข้าใจแบบนี้แบบนี้ถูกมจริงๆกำลัง
00:19:17 → 00:19:21 จะบอกว่าแม้ว่าจะเข้าใจแต่แม้ว่าจะคิดว่า
00:19:21 → 00:19:26 เข้าใจอือก็รีเช็คซะหน่อยใช่อ่าโอเคค่ะ
00:19:26 → 00:19:28 เพราะฉะนั้นการเ้ยวันนี้ต้องขอบคุณคุณ
00:19:29 → 00:19:30 เทคนิคมากเลยว่าการรีเช็คเนี่ยมันเป็น
00:19:31 → 00:19:35 เป็นปลอดภัยสุดเพราะว่าที่เราพูดถึงเนี่ย
00:19:35 → 00:19:37 ตั้งแต่เริ่มเลยว่าไม่เก็ตว่าไม่เก็ตว่า
00:19:37 → 00:19:40 เนี่ยก็คือคนที่ไม่เก็ทกันแล้วมาปรับจูน
00:19:40 → 00:19:41 กันอันนี้กลายเป็นเรื่องกลายเป็นเรื่อง
00:19:41 → 00:19:45 เล็กไปเลยนะพี่อ้อยค่ะเพราะว่าพอไปแตะ
00:19:45 → 00:19:48 ประเด็นว่าในความเป็นจริงแล้วหลายคนเนี่ย
00:19:48 → 00:19:51 คิดว่าเกสแต่ไอ้ที่เกทน่ะมันไม่ใช่ก็คือ
00:19:51 → 00:19:55 เข้าใจผิดนั่นเองอค่ะใช่รึ่งจะส่งผลเสีย
00:19:55 → 00:19:58 หนักกว่าเดิมแล้วน้องยาก็เสนอว่าวิธีนึง
00:19:58 → 00:20:01 คือต้องรีเช็คแต่สำหรับผมนะวันเนี้ย
00:20:01 → 00:20:04 เรื่องสำคัญเลยก็คือว่าผมมีความรู้สึกว่า
00:20:04 → 00:20:07 ถ้าเรารู้สึกว่านเรารีเช็คเนี่ยประเด็น
00:20:07 → 00:20:10 นึงแต่ประเด็นที่จะเยอะมากอันนึงนะก็คืออ
00:20:10 → 00:20:13 ที่น้องย้าบอกน้องย้าไปเรียนคณิตศาสตร์
00:20:13 → 00:20:16 เรียนคณิตศาสตร์แล้วค่ะเค้าเข้าใจหมดเลย
00:20:16 → 00:20:20 แต่เราไม่เข้าใจอ่ะใช่อ๋อคือผมอยากจะบอก
00:20:20 → 00:20:24 ว่าคนในสังคมอ่ะเวลาที่เราถ้าเราเป็นคน
00:20:24 → 00:20:28 ที่เข้าใจอะไรง่ายๆเนี่ยอือแล้วเวลาที่คน
00:20:28 → 00:20:30 รอข้างเราไม่เข้าใจนี้เราจะหงุดหงิดมาก
00:20:30 → 00:20:35 เลยเอออืเอแล้วเราจะไม่เข้าใจว่าทำไมมึง
00:20:35 → 00:20:38 ไม่เข้าใจวะเออก็จะไปหงุดหงิดใส่เขาก็ไป
00:20:38 → 00:20:41 หงุดหงิดใส่เาเพราะฉะนั้นเนี่ยอันนี้เป็น
00:20:41 → 00:20:43 อีกประเด็นนึงที่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์
00:20:43 → 00:20:46 ก็คือว่าหลายครั้งเวลาที่คนรอบข้างเรา
00:20:46 → 00:20:49 เนี่ยเขาไม่เข้าใจอะไรค่ะให้เราจะต้อง
00:20:49 → 00:20:52 ตระหนักว่าทุกคนไม่ได้มีความไวเท่ากันใน
00:20:52 → 00:20:55 เรื่องนั้นอืค่ะแล้วรู้ว่ามันเป็นเรื่อง
00:20:55 → 00:20:58 ปกติที่คนบางคนจะไม่เข้าใจเรื่องบางา
00:20:58 → 00:21:02 เรื่องอืพอน้องย่าพูดอย่างงี้ปุ๊บผมอ๋อ
00:21:02 → 00:21:04 ทันทีเลยเพราะผมก็เรียนคณิตศาสตร์ไม่รู้
00:21:04 → 00:21:05 เรื่องเหมือน
00:21:05 → 00:21:10 กันอะไรวะเนี่ยเงี้ยเออแล้วแล้วข้อดีของ
00:21:10 → 00:21:12 คนที่เรียนมันอะไรไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
00:21:12 → 00:21:16 นี่นะผมตัวอย่างอันสุดท้ายเลยนะก็คือผม
00:21:16 → 00:21:20 เคยมีเพื่อนคนนึงนะน้องยะสมัยเรียนเนี่ย
00:21:20 → 00:21:23 เวลาเรียนมัธยมเนี่ยเเรียนภาษาอังกฤษไม่
00:21:23 → 00:21:27 รู้เรื่องเลยค่ะอืต้องอธิบายคือเรียนกับ
00:21:27 → 00:21:29 ครูครูอธิบายไม่รู้กลับมาต้องมานั่งเรา
00:21:29 → 00:21:32 ต้องมานั่งติวเขาอีกกว่าจะเขาจะเข้าใจโห
00:21:32 → 00:21:35 แบบยากมากกว่าที่เขาจะเข้าใจภาษาอังกฤษ
00:21:35 → 00:21:38 น่ะเออหลังจากไม่ได้เจอกับมัธยมแยกย้าย
00:21:38 → 00:21:42 กันเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้เจอกันปรากฏว่าเ
00:21:42 → 00:21:46 ไปเป็นครูอ่ะค่ะอืแล้วเเป็นครูสอนภาษา
00:21:46 → 00:21:49 อังกฤษ
00:21:49 → 00:21:52 ว้าวเอ้อเชื่อมั้ยพอเคบอกเคเป็นครูภาษา
00:21:52 → 00:21:54 อังกฤษนะผมรู้เลยว่าเขาจะเป็นครูสอนภาษา
00:21:54 → 00:21:58 อังกฤษที่ดีมากเลยอืเพราะว่าแล้วเด็กอ่ะ
00:21:58 → 00:22:02 เพราะว่าเค้ารู้ว่าไม่เข้าใจตรงไหนเพใช่
00:22:02 → 00:22:07 มั้ยคะใช่อเคจะเข้าใจไม่เข้าใจค่ะเออ
00:22:07 → 00:22:10 เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นข้อดีของคนที่เข้า
00:22:10 → 00:22:14 ใจอะไรยากเหมือนกันนะเออเออดีจังค่ะเออๆ
00:22:14 → 00:22:17 เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าจากประเด็น
00:22:17 → 00:22:19 ที่เราบอกว่าไม่เกทว่าเนี่ยผมว่าเราได้
00:22:19 → 00:22:23 เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในในหลายมิติ
00:22:23 → 00:22:27 แล้วก็ในหลายในหลากหลายมุมมองมากๆเลยนะฮะ
00:22:27 → 00:22:29 ตอนนี้เราเิดว่าแล้วค่ะค่ะ
00:22:29 → 00:22:35 เอว่าเกสว่าอะไรฮะดูซิเช็คก่อนพี่นยะเช็ค
00:22:35 → 00:22:39 หน่อยว่าเกสถูกต้องมั้ยเกว่ารีเช็คเลยใช่
00:22:39 → 00:22:43 มั้ยคะว่าว่าไอ้มุมมิติของการที่ว่าไม่
00:22:43 → 00:22:47 รู้อ่ะมันมันมันเยอะเนาะไม่เก็ทเนี่ยมัน
00:22:47 → 00:22:49 เยอะแต่ว่าอันที่มันสำคัญที่สุดก็คือใน
00:22:49 → 00:22:53 มุมของเรื่องว่าไม่ไม่เก็ทแล้วก็ไปคิดว่า
00:22:53 → 00:22:58 เก็ทอือ่าซึ่งมีวิธีแก้ไขก็คือช็คซะแต่
00:22:58 → 00:23:06 ว่า
00:23:06 → 00:23:10 ใส่เขก็คือมองว่าเออเป็นเรื่องปกติแล้วก็
00:23:10 → 00:23:14 ถ้าช่วยเขาได้ก็ช่วยเขาซะใช่เห็นด้วยค่ะ
00:23:14 → 00:23:18 อันนี้ได้คอาจารยผ่าน
00:23:18 → 00:23:22 ารถูกใจค่ะบก 1
00:23:22 → 00:23:26 ค่ะเพราะฉะนั้นรายการสกรรมความสุขก็เป็น
00:23:26 → 00:23:28 รายการที่เราจะได้มีมุมมองในหลากหลเรื่อง
00:23:28 → 00:23:32 นะโดยเราจะมีวิธีคิดมุมมองใหม่วิธีคิด
00:23:32 → 00:23:35 ใหม่ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น
00:23:35 → 00:23:38 แล้วก็มีความทุกข์น้อยลงนะครับงั้นรายการ
00:23:38 → 00:23:40 สกรรมความสุขในวันนี้นะครับเรา 3 คนครับ
00:23:40 → 00:23:44 ผมพี่วีนะครับพี่อ้อยแลก็พี่ยะต้องลาไป
00:23:44 → 00:23:49 ก่อนครับสวัสดีครับสวัสดีค่ะสวัสดี
00:23:49 → 00:23:52 ค่ะติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:23:52 → 00:23:56 แอปพลิเคชันของไย PBS podcast spotify
00:23:56 → 00:23:58 Sound Cloud Google podcast Apple
00:23:58 → 00:24:02 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:24:02 → 00:24:05 podcast Thai PBS podcast View the
00:24:05 → 00:24:09 world via The Voice
00:24:09 → 00:24:13 [เพลง]