00:00:00 → 00:00:01 [เสียงดนตรี]
00:00:01 → 00:00:03 คุณแม่เองมีโรคสารพัด
00:00:03 → 00:00:05 คุณหมอท่านนั้นพูดกับแม่ว่า
00:00:05 → 00:00:06 แม่ไม่ต้องห่วงนะ
00:00:06 → 00:00:11 หมอตัดสินใจในฐานะที่หมอเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ที่มีแม่อายุเยอะเหมือนกัน
00:00:11 → 00:00:12 คำเดียวเลยค่ะ
00:00:13 → 00:00:15 นี่คือคำที่ไว้วางใจคุณหมอเลย
00:00:17 → 00:00:20 ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องความรัก กว่า 80% แก้ไม่ได้หรอก
00:00:21 → 00:00:22 บางคนบอกว่า “ก็ทำใจ”
00:00:22 → 00:00:25 ใช่ค่ะ พี่อาจจะอยากจะตอบว่าทำใจก็ได้
00:00:25 → 00:00:26 แต่รายการมันจะสั้นนะ
00:00:26 → 00:00:31 ทุกคนเล่าตั้งนาน แล้วพี่บอก “ทำใจค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอสายต่อไปค่ะ” เหรอ
00:00:31 → 00:00:32 มันเลยกลายเป็นพื้นที่ว่า
00:00:32 → 00:00:34 งั้นโทรหาพี่อ้อยพี่ฉอดดีกว่า
00:00:34 → 00:00:36 ยังไม่รู้เลยนะคะ คนไหนพี่อ้อยพี่ฉอดด้วย
00:00:36 → 00:00:40 วันนี้อัตราความรุนแรงในครอบครัว ประเทศไทยก็ติด Top 5 ค่ะ
00:00:41 → 00:00:43 มีนะคะ ตอนมาทะเลาะกันมา
00:00:43 → 00:00:44 สักพัก มาขอกลับบ้าน
00:00:44 → 00:00:47 เขาก็บอกว่า หนูมั่นใจว่าเขาดีขึ้นมากจริง ๆ
00:00:47 → 00:00:52 กลับไปไม่ถึง 3 เดือน ถูกส่งกลับมา ที่บ้านพักฉุกเฉินอีกครั้งด้วยสภาพกะโหลกร้าว
00:00:52 → 00:00:55 ส่วนใหญ่เราไปจำตอนที่เขาจูบ ลืมตอนที่เขาตบ
00:00:55 → 00:00:59 ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เราต้องปกป้องตัวเองก่อน
00:00:59 → 00:01:05 [เสียงดนตรี]
00:01:05 → 00:01:07 รายการหมอเอ๋คุยนอกเวรวันนี้นะคะ
00:01:07 → 00:01:11 ก็จะได้เจอกับแขกรับเชิญที่มีความสามารถมาก
00:01:11 → 00:01:13 อยากจะบอกว่าตอนนี้เกร็งมาก ๆ เลยค่ะ
00:01:13 → 00:01:16 ขอเชิญพบกับดีเจอ้อยค่ะ
00:01:16 → 00:01:18 - พี่อ้อย สวัสดีค่ะ - สวัสดีค่ะคุณหมอ
00:01:18 → 00:01:19 ยินดีเลย สบาย ๆ
00:01:20 → 00:01:21 บอกเลยว่าเกร็งมาก
00:01:21 → 00:01:22 เหมือนพี่อ้อยมาหาหมอ
00:01:22 → 00:01:23 อุ๊ย !
00:01:23 → 00:01:25 แบบพี่อ้อยยังมีอะไรต้องมาหาหมอหรือคะ
00:01:25 → 00:01:27 มีค่ะ อุ๊ย ตลอด
00:01:27 → 00:01:29 จริง ๆ พี่อ้อยต้องบอกว่าเป็นคนไข้มืออาชีพ
00:01:29 → 00:01:31 เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
00:01:31 → 00:01:34 ต้องบอกว่าเป็นคนพาคนป่วยไปโรงพยาบาลมืออาชีพ
00:01:34 → 00:01:35 แต่ไม่ใช่เป็นคนไข้มืออาชีพ
00:01:35 → 00:01:37 ใช่ จะเป็นคนที่ใกล้ชิดคุณหมอในส่วนใหญ่
00:01:37 → 00:01:40 แล้วก็จะได้เรียนรู้ เรื่องของการดูแลทั้งกายใจกับคุณหมอด้วย
00:01:41 → 00:01:43 คือเวลาที่คนมองภาพเนอะ
00:01:43 → 00:01:46 พี่อ้อยดูใจเย็น ดูแบบว่ารับฟังคนอื่น
00:01:46 → 00:01:48 เคยโกรธใครบ้างไหมคะพี่
00:01:48 → 00:01:50 มีค่ะ ก็เป็นความปกติ
00:01:50 → 00:01:53 แต่เพียงแต่แค่ว่า พี่อ้อยว่า เวลาโกรธใคร มันจะแอบรู้สึกทันทีว่า
00:01:53 → 00:01:56 เรากำลังให้ความสำคัญเขาเยอะไปหรือเปล่า
00:01:56 → 00:01:56 อืม
00:01:56 → 00:01:58 มันก็เป็นสิ่งที่พี่อ้อยบอกกับหลาย ๆ คนเสมอ
00:01:58 → 00:02:01 อย่างบางคนเวลาจะขับรถกลับบ้าน มีคนรออยู่ที่บ้าน
00:02:01 → 00:02:04 แต่เราไปหงุดหงิดกับใครก็ไม่รู้ ที่เราไปเจอกันบนท้องถนน
00:02:04 → 00:02:07 เราก็ต้องพยายามจะขับรถไปปาดเขา เพื่อจะได้ไปทะเลาะกัน
00:02:07 → 00:02:09 คนที่อยู่ที่บ้านสำคัญกว่าอีก
00:02:09 → 00:02:11 มันเป็นวิธีคิดที่ดีนะคะ
00:02:11 → 00:02:15 แต่มันไม่ใช่วิธีคิดที่คนทั่ว ๆ ไป จะคิดได้ในตอนแรก พี่อ้อยนึกออกหรือเปล่า
00:02:15 → 00:02:16 อืม...เข้าใจ เข้าใจ
00:02:16 → 00:02:18 เวลาที่เรามีอะไรเข้ามากระทบปุ๊บนี่
00:02:18 → 00:02:21 มันจะเป็นเหมือน action เท่ากับ reaction แล้วเราก็จะโกรธทันที
00:02:21 → 00:02:24 ทำไมเราถึงแบบ…สามารถคิดแบบนี้ได้
00:02:24 → 00:02:26 พี่ว่าอาจจะมาจากการที่ฟังคนอื่นเยอะมั้งคะ
00:02:27 → 00:02:31 เราได้ยินมาหมด ว่าแต่ละคนเวลาที่รับมือกับความรัก
00:02:31 → 00:02:32 ปัญหากับคนในบ้านเราไม่ได้
00:02:33 → 00:02:36 ฉันต้องพยายามจะโทรไปหาคน ๆ นั้น ที่มาเป็นมือที่สาม
00:02:36 → 00:02:38 ฉันต้องบุกไปที่ทำงานของเขา
00:02:38 → 00:02:39 จริง ๆ แล้วมันคือโจทย์เดียวกันเลย
00:02:39 → 00:02:40 หนึ่ง เสียเวลาหรือเปล่า
00:02:41 → 00:02:43 ทำไมคุณต้องไปร้อนรนขนาดนั้น
00:02:43 → 00:02:47 หรือแม้แต่วันนี้พี่อ้อยว่าทุกคน ก็ได้บทเรียนจากข่าวสารต่าง ๆ นานามากมาย
00:02:47 → 00:02:50 เราสู้กับมะเร็งแทบตาย สุดท้ายตายบนถนน
00:02:50 → 00:02:50 อืม
00:02:50 → 00:02:53 คุณอยู่ให้คุ้มค่าคีโมก่อน
00:02:53 → 00:02:56 มันก็เลยเกิดสิ่งนี้ซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ
00:02:56 → 00:02:59 จนเราเริ่มรู้สึกว่า เดี๋ยว นี่โกรธใช่ไหม
00:02:59 → 00:03:02 กำลังหมกมุ่นอยู่นี่ เมื่อกี้รถแยกกันไปแล้ว
00:03:02 → 00:03:04 รู้แหละว่าเขาขับรถพลาด
00:03:04 → 00:03:07 เขาแบบ โอ้โห เกี่ยวหูช้างฉันแทบจะห้อยเลย แต่เขาขับไปแล้ว
00:03:08 → 00:03:09 ก่อนที่จะทำคลับฟรายเดย์ค่ะ
00:03:09 → 00:03:14 ทำไมมันเริ่มต้นจุดยังไง เราถึงแบบรู้สึกว่าเราเป็นคนฟังที่ดี
00:03:14 → 00:03:15 หรือเป็นคนอยากฟัง
00:03:15 → 00:03:18 เพราะว่าหลายคนอยากพูด อยากระบาย มันเริ่มยังไงคะ
00:03:18 → 00:03:22 หรืออาจจะเป็นอุปนิสัย ที่ชอบฟังชาวบ้านก็ไม่รู้นะคะคุณหมอ
00:03:22 → 00:03:26 คืออย่างนี้ ถ้าเกิดมานั่ง ตั้งคำถามนี้กับตัวเอง จะรู้สึกว่า
00:03:26 → 00:03:28 คือแต่ก่อนก็เป็นคนแบบนี้
00:03:28 → 00:03:31 เป็นคนที่ชอบเรียนรู้จากการฟัง
00:03:31 → 00:03:32 อืม
00:03:32 → 00:03:34 ตั้งแต่ตอนสมัยเด็ก ๆ ก็เป็นคนที่...
00:03:35 → 00:03:36 เราชอบฟังวิทยุอยู่แล้ว
00:03:36 → 00:03:37 เป็นคนพูดไหมคะ
00:03:37 → 00:03:39 - ไม่พูดค่ะ แม่บอกว่าเป็นคนพูดน้อยมาก - หรือว่า อ๋อ อ๋อ เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูด
00:03:39 → 00:03:42 คุณแม่บอกว่า ตอนที่ทุกคนบอกว่าเป็นดีเจนะ
00:03:42 → 00:03:44 ยังงงเลยว่า เพราะตอนเด็ก ๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด
00:03:44 → 00:03:46 ดูเป็นคนที่จะเงียบ ๆ ด้วยซ้ำ
00:03:46 → 00:03:49 แต่เพียงแต่ด้วยความที่ครอบครัวเรา ไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีสตางค์
00:03:49 → 00:03:52 พวกเราก็จะทำมาค้าขายกันนะคะ
00:03:52 → 00:03:56 ความสุขเรียบง่าย ราคาจ่ายได้สบายกระเป๋าที่สุด คือการฟังวิทยุ
00:03:56 → 00:03:58 มันก็เลยเกิดจากการเป็นคนฟังมาโดยตลอด
00:03:58 → 00:03:58 ค่ะ
00:03:58 → 00:04:02 หรือด้วยคาแรกเตอร์ของการเป็น คนที่อยู่ในโรงเรียน
00:04:02 → 00:04:04 โรงเรียนก็โรงเรียนหญิงล้วน เรียนศึกษานารี
00:04:04 → 00:04:05 ก็ไม่ใช่เด็กเปรี้ยวแซ่บน่ะ
00:04:06 → 00:04:07 ก็จะเป็นเด็กเรียบ ๆ นิ่ง ๆ
00:04:07 → 00:04:10 ก็เลยกลายเป็นคนที่ได้นั่งฟัง ได้เรียนรู้
00:04:10 → 00:04:13 หรืออาจจะด้วยมุมหนึ่งคือ อาจจะเป็นคนที่ไม่ได้มั่นใจในตัวเอง
00:04:13 → 00:04:16 ก็เลยรู้สึกว่า ไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นยังไง
00:04:16 → 00:04:18 งั้นก็เลยนั่งฟัง
00:04:18 → 00:04:19 มันก็เลยติดเป็นอุปนิสัยของการฟัง
00:04:19 → 00:04:21 แล้วพอเราเริ่มฟังปั๊บ
00:04:21 → 00:04:22 เราจะเริ่มคิดแทน
00:04:22 → 00:04:23 อืม ๆ
00:04:23 → 00:04:25 มันเลยถูกสะสมมาเรื่อย ๆ
00:04:26 → 00:04:29 มันจะเป็นบางครั้ง เวลาที่เรานั่งฟังคน ๆ หนึ่งค่ะ
00:04:29 → 00:04:33 แล้วเราจะเอาอารมณ์เราเข้าไปตัดสิน สิ่งที่เกิดขึ้น
00:04:33 → 00:04:34 เมื่อกี้ที่บอกว่า อุ๊ย ถ้าเป็นเรา
00:04:35 → 00:04:35 ใช่ค่ะ
00:04:35 → 00:04:37 อันนี้เหมือนพี่อ้อยรู้สึกว่า
00:04:37 → 00:04:40 ถ้าเป็นเรา แล้วนั่งฟังก่อน แล้วคิดใช่ไหมคะ
00:04:40 → 00:04:41 ค่ะ ๆ
00:04:41 → 00:04:45 แปลว่าหลาย ๆ ครั้ง เวลาพอมาปุ๊บน่ะ มันจะออกไปทันทีเลย
00:04:45 → 00:04:45 อา...
00:04:45 → 00:04:47 เช่น สมมุติว่าพอเพื่อนมาบ่นปุ๊บ
00:04:47 → 00:04:50 - จึ้ง...เราก็จะแบบ…ให้คำแนะนำ - ทุ่มตัวเลย
00:04:50 → 00:04:51 ค่ะ
00:04:51 → 00:04:54 ซึ่งคนพูดอาจจะไม่ได้ต้องการ แต่เราก็ให้ไปอะไรอย่างนี้ค่ะ
00:04:54 → 00:04:56 อันนี้จะมีคำแนะนำยังไงไหมคะ
00:04:56 → 00:04:59 พี่อ้อยว่าจริง ๆ เราต้องยอมรับว่า เวลาที่เรานั่งฟังปัญหาของใครก็ตาม
00:04:59 → 00:05:00 เรากำลังฟังความข้างเดียว
00:05:01 → 00:05:01 อืม
00:05:01 → 00:05:04 ในที่สุด ทุกคนอยากเป็นนางเอกในชีวิตของตัวเอง
00:05:04 → 00:05:04 อา...
00:05:05 → 00:05:07 แต่ใครจะไปคิดว่า เราอาจจะเป็นนางร้ายในชีวิตคนอื่นอยู่
00:05:07 → 00:05:09 - ก็คือมุมมองของเขาที่เขาเล่าให้เราฟัง - ถูกต้องค่ะ
00:05:09 → 00:05:12 เหมือนเราดูหนังแต่ละเรื่องค่ะ มันอยู่ที่ว่าเขาเล่าในมุมไหน
00:05:12 → 00:05:15 สมมุติว่าหนังคลาสสิกมาก ๆ ที่แบบยังกลายเป็นหนังที่ทุกคนพูดถึง
00:05:15 → 00:05:16 อย่าง My Best Friend's Wedding
00:05:16 → 00:05:17 อา...
00:05:17 → 00:05:21 ในที่สุดแล้ว เราก็คือคนคนหนึ่งที่แอบรัก คนที่เขากำลังจะเป็นเจ้าของกันแล้ว
00:05:21 → 00:05:23 อะไรอย่างนี้ใช่หรือเปล่าคะ
00:05:23 → 00:05:24 แต่พอเล่าจากมุมใครล่ะ
00:05:24 → 00:05:27 ถ้าเราเล่าจากมุมของความรู้สึกของเขา
00:05:27 → 00:05:30 ก็จะรู้สึกว่า เธอแย่งเลยนะ ฉันรู้ว่าเธอรักแค่ไหน
00:05:30 → 00:05:33 แต่ถ้าเกิดว่าเล่าจากมุมของเจ้าของของเขาล่ะ
00:05:33 → 00:05:33 ค่ะ
00:05:33 → 00:05:35 เออ...เขาจะรู้สึกยังไง
00:05:35 → 00:05:37 เพราะฉะนั้น พี่ก็เลยรู้สึกว่า เวลาที่เรานั่งฟัง
00:05:37 → 00:05:40 หรืออาจจะด้วยวัยวุฒิ หรือการทำงานด้านนี้มาเยอะ ๆ
00:05:40 → 00:05:45 เราจะรู้ว่าไม่มีใครในโลกหรอกอยากตื่นเช้าขึ้นมา แล้วถามตัวเองว่าจะทำเลวอะไรดี
00:05:45 → 00:05:45 อืม
00:05:45 → 00:05:47 พี่ว่าทุกคนก็อยากเป็นคนดีคนหนึ่ง
00:05:47 → 00:05:49 แต่พอทุกคนอยากเป็นคนดี
00:05:49 → 00:05:51 แล้วทำไมคนคนนี้ ถึงกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ดีล่ะ
00:05:51 → 00:05:53 แสดงว่ามันอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง
00:05:53 → 00:05:58 มันเลยทำให้เรามองในบางมุมได้กว้างขึ้น โดยที่ไม่ได้มองจากมุมเดียวที่มองเข้าไป
00:05:58 → 00:06:00 สมมุติว่ามีคนคนหนึ่งมานั่งเล่าให้พี่อ้อยฟัง
00:06:00 → 00:06:02 ก็จะเล่าว่าแฟนเขาไม่ดียังไงยังไง
00:06:03 → 00:06:05 แต่อันหนึ่งที่มันจะเป็นอัตโนมัติ ของความคิดคือ
00:06:05 → 00:06:07 ไม่มีใครผูกขาดความผิดแต่เพียงผู้เดียว
00:06:07 → 00:06:10 คุณบอกว่าแฟนคุณเป็นคนแบบนี้ แบบนี้ เอาแต่ใจ
00:06:10 → 00:06:15 หรือจริง ๆ ก่อนหน้านี้ เราก็เป็นคนเอาใจเขา จนเขารู้สึกว่าทำไมเขาจะเอาแต่ใจไม่ได้หรือเปล่า
00:06:16 → 00:06:18 หรือแม้กระทั่งคนคนหนึ่งเดินออกจากชีวิตเรา
00:06:18 → 00:06:19 พี่อ้อยจะถามเสมอว่า
00:06:19 → 00:06:23 เราเคยวิเคราะห์ไหมว่า เราเป็นคนที่อยู่ด้วยง่ายไหม
00:06:23 → 00:06:23 อืม
00:06:23 → 00:06:26 อา...มันจะเป็นคำถามที่ถามตัวเองก่อน เราอยู่ด้วยง่ายหรือเปล่า
00:06:26 → 00:06:31 ในฐานะที่บอกว่าเป็นมืออาชีพในการพา ญาติผู้ใหญ่หรือใด ๆ ไปโรงพยาบาลค่ะ
00:06:31 → 00:06:32 ค่ะ
00:06:32 → 00:06:37 ในมุมมองของการรับฟังจากบุคลากร ทางการแพทย์ซึ่งตอนนี้มีปัญหากันเยอะ
00:06:37 → 00:06:41 ไม่ว่าจะทะเลาะกันซึ่งมุมมอง หรือการทำร้ายร่างกาย มันไม่ถูกต้อง
00:06:41 → 00:06:45 แต่ว่าอาจจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ที่อาจจะไม่ได้ดีมาก
00:06:45 → 00:06:49 อยากจะมองในมุมมองของคนที่ฟัง หรือเป็นอีกมุมหนึ่งค่ะว่า
00:06:49 → 00:06:51 ควรที่จะสื่อสารอย่างไร
00:06:51 → 00:06:54 หรือว่ามองเห็นจุดบกพร่อง แล้วคิดว่าควรจะแก้ไขยังไง
00:06:54 → 00:06:56 คำว่า “ใจเขา ใจเรา” ยังใช้ได้เสมอ
00:06:56 → 00:06:58 พี่อ้อยเคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต
00:06:58 → 00:07:02 ตอนนั้นนี่ พี่สาวซึ่งเป็นพี่ ลูกพี่ลูกน้องนะคะ
00:07:02 → 00:07:04 คุณแม่ของเขาซึ่งเป็นคุณป้าของพี่อ้อย
00:07:04 → 00:07:07 ลูกแต่ละคนจากไปแบบกะทันหัน 2-3 คนก่อนหน้านี้
00:07:08 → 00:07:11 คนนึงผ่าตัดไส้ติ่ง ติดเชื้อ เสียชีวิต
00:07:11 → 00:07:14 อีกคนหนึ่งก็คือ ประสบอุบัติเหตุ รถชน
00:07:14 → 00:07:16 - จนกระทั่งมาถึงพี่สาวคนนี้ - คนที่ 3 แล้ว
00:07:16 → 00:07:17 เป็นหอบหืด
00:07:18 → 00:07:21 ซึ่งแน่นอนค่ะ วันนั้นคุณหมอบอกพี่อ้อยว่า 50 : 50
00:07:22 → 00:07:23 ก็เลยบอกคุณหมอว่า
00:07:23 → 00:07:27 เข้าใจค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งสื่อสารกับคุณแม่ของเขานะคะ
00:07:27 → 00:07:30 เดี๋ยวยังไงก็ตาม ให้พี่อ้อยเป็นคนสื่อสาร
00:07:30 → 00:07:36 คุณหมอก็สื่อสารไปตามสิ่งที่คิดว่า ทำร้ายจิตใจน้อยสุดแล้วกันนะคะ
00:07:36 → 00:07:41 วันนั้นอาจจะเป็นได้ว่าหมอที่เป็นเจ้าของไข้ มาไม่ทันคุณหมอเวร
00:07:41 → 00:07:42 แล้วคุณป้ามาถึงก่อน
00:07:42 → 00:07:44 แล้วสิ่งที่คุณหมอเวรพูดก็คือ
00:07:44 → 00:07:47 ตกลงเอายังไงคะ ถอดเครื่องช่วยหายใจก็ไปแล้วนะคะ
00:07:48 → 00:07:50 แล้วตอนนั้น พอพี่อ้อยมาถึงปั๊บ
00:07:50 → 00:07:52 ความรู้สึกตรงนั้นคือแบบ...
00:07:53 → 00:07:53 อืม
00:07:53 → 00:07:57 เห็นแบบ...คุณป้าซึ่งเป็นคุณแม่ของพี่ เขาร้องไห้หนักมาก
00:07:57 → 00:07:59 พี่อ้อยก็เลยพูดเรื่องนี้ในรายการเหมือนกัน
00:07:59 → 00:08:01 แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นคุณหมอท่านไหน
00:08:01 → 00:08:05 แต่ก็บอกว่าบางทีเราอาจจะอยู่ในคนละบทบาทมั้ง
00:08:05 → 00:08:09 บทบาทของคนป่วย กับ บทบาทของคุณหมอ ซึ่งอาจจะคุ้นชิน
00:08:09 → 00:08:12 แต่การที่พูดแบบนี้ บางทีมันเหมือนกับการทำร้ายจิตใจเหมือนกัน
00:08:12 → 00:08:15 แม้ว่าความจริงมันจะน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม
00:08:15 → 00:08:19 ก็มีคุณหมอโทรมาซึ่งเป็นคุณหมอ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นหรอก
00:08:19 → 00:08:23 คุณหมอบอกว่า หมอไม่ใช่เทวดานะคะ อย่ามาคาดหวังอะไรขนาดนั้น
00:08:23 → 00:08:26 พี่อ้อยก็บอกว่า คุณหมอคะ ไม่ได้อยากคาดหวังเทวดา
00:08:26 → 00:08:28 คาดหวังคนธรรมดาที่เข้าใจ
00:08:28 → 00:08:33 พี่อ้อยคิดว่าคนที่เป็นหมอ ณ จุดนั้นนะคะ ควรจะสื่อสารยังไงดีถึงจะเหมาะสม
00:08:33 → 00:08:34 พี่อ้อยมีบทเรียนอันหนึ่งค่ะ
00:08:34 → 00:08:37 คุณหมออีกท่านหนึ่ง ซึ่งดูแลทั้งคุณแม่และคุณพ่อมาโดยตลอด
00:08:38 → 00:08:40 และวันนั้นนี่ มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก
00:08:40 → 00:08:43 คุณพ่อพี่อ้อยเป็นมะเร็งไทรอยด์ ซึ่งตอนนี้ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้ว
00:08:43 → 00:08:47 แล้วก็คุณแม่เอง มีโรคสารพัด ทั้งลมชัก ทั้งอะไรก็ตาม
00:08:47 → 00:08:49 คุณหมอท่านนั้นพูดกับพี่อ้อยว่า
00:08:49 → 00:08:51 พี่อ้อยไม่ต้องห่วงนะ
00:08:51 → 00:08:56 หมอตัดสินใจในฐานะที่หมอเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ที่มีแม่อายุเยอะเหมือนกัน
00:08:56 → 00:08:57 คำเดียวเลยค่ะ
00:08:57 → 00:09:01 นี่คือคำที่ไว้วางใจคุณหมอเลย
00:09:01 → 00:09:05 คือพอคุณหมอตัดสินใจจากคนที่เป็น ลูกสาวคนเดียวที่มีคุณแม่อายุเยอะเหมือนกัน
00:09:05 → 00:09:08 มันจะทำให้เรารู้สึกว่า เราได้รับการยืนข้าง ๆ
00:09:08 → 00:09:08 เข้าใจ
00:09:08 → 00:09:10 ประมาณมุมนี้ล่ะค่ะ
00:09:10 → 00:09:13 มันไม่มีหลักสูตรอะไรออกมาหรอกค่ะ ว่าควรพูดอย่างไร
00:09:13 → 00:09:20 แต่คำว่า ใจเขาใจเรา หรือการตัดสินใจ แบบที่เราคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เข้าใจ
00:09:20 → 00:09:22 พี่อ้อยว่าแค่นั้นเอง
00:09:22 → 00:09:23 ในฐานะที่เป็นหมอค่ะ
00:09:23 → 00:09:28 มันจะมีมุมมองของ...เราเห็นความ... เขาเรียกเกิดแก่เจ็บตายเนอะ
00:09:28 → 00:09:30 ก็เห็น…เห็นทุกรูปแบบอย่างนี้ค่ะ
00:09:30 → 00:09:32 ทีนี้พอถึงจุดหนึ่งที่คนไม่สบาย
00:09:32 → 00:09:33 อืม ค่ะ
00:09:33 → 00:09:37 แล้วก็อาจจะต้องเสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้น
00:09:38 → 00:09:40 มันจะมีบางกรณี อย่างเช่นว่า คนดูแล
00:09:40 → 00:09:43 ลูกคนที่ดูแลอยู่ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเห็นว่า
00:09:43 → 00:09:46 คุณแม่ไม่สบาย ต้องกินยา ต้องฉีดยา
00:09:46 → 00:09:49 หรือทุกข์ทรมาน ใช้คำนี้แล้วกัน
00:09:49 → 00:09:51 ในความรู้สึกของเขา เขาก็รู้สึกว่า
00:09:51 → 00:09:54 เคยคุยกับคุณแม่แล้ว คุณแม่บอกว่าไม่อยากจะให้เจ็บปวดทรมาน
00:09:55 → 00:10:00 ลูกที่อยู่ไกล ๆ ซึ่งไม่ค่อยได้ดูแลพ่อแม่ ก็จะแบบ...บอกว่า ไม่ได้นะ ต้องสู้เต็มที่
00:10:00 → 00:10:02 ต้องยื้อทุกอย่าง
00:10:02 → 00:10:07 เราควรรับมือหรือเราควรที่จะแบบ สื่อสารในลักษณะนี้ยังไงดี
00:10:07 → 00:10:09 พี่อ้อยเคยไปอบรมชีวมิตรค่ะ
00:10:09 → 00:10:11 การอบรมชีวมิตรนี่
00:10:11 → 00:10:13 เขาเคยให้ทำการวิจัยด้วยตัวเอง
00:10:13 → 00:10:16 วิจัยอันแรก คุณตอบแบบสอบถามนะ ในฐานะผู้ป่วย
00:10:17 → 00:10:19 เสร็จปั๊บ เอาคืนมา
00:10:19 → 00:10:22 เอาอีกหนึ่งแบบสอบถาม ในฐานะญาติผู้ป่วย
00:10:22 → 00:10:23 อืม
00:10:23 → 00:10:25 แล้วเชื่อไหมคะว่า คำตอบที่ได้มาไม่เหมือนกันเลย
00:10:25 → 00:10:26 ใช่
00:10:26 → 00:10:29 เวลาที่เราเป็นผู้ป่วยค่ะ เรารู้สึกเลยว่า อย่าทรมานฉันเลย
00:10:29 → 00:10:33 เจ็บน้อยสุดค่ะ และงานศพไม่ต้องนานนะคะ
00:10:33 → 00:10:35 ไม่ต้องนะ คือเก็บเงินไว้ค่ะทุกคนอะไรอย่างนี้
00:10:35 → 00:10:37 เพราะฉันมีความสุขมากพอตอนฉันอยู่แล้ว
00:10:38 → 00:10:40 คุณภาพชีวิตสำคัญที่สุด
00:10:40 → 00:10:43 ตอนคุณยังไม่ป่วย คุณยังอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีเลย
00:10:43 → 00:10:45 เพราะฉะนั้น ตอนที่ร่างกายเริ่มเจ็บป่วย
00:10:45 → 00:10:47 ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมถึงที่สุด
00:10:47 → 00:10:54 ก็ควรจะเลือกให้ร่างกายมีลักษณะของ การพัฒนาไปถึงวันสุดท้ายอย่างโอเคที่สุด
00:10:54 → 00:10:56 วันนี้เราถึงมีการรักษาที่เรียกว่า Palliative Care
00:10:56 → 00:10:57 ค่ะ
00:10:57 → 00:10:59 คือ เราไม่ได้ยื้อเพื่อจะเอาลมหายใจ
00:10:59 → 00:11:05 เรายื้อให้ทุกลมหายใจเข้าออก เขายังมีความสุขและเจ็บป่วยน้อยที่สุด
00:11:05 → 00:11:05 เข้าใจ
00:11:06 → 00:11:07 เพราะว่าเวลาที่คนคนหนึ่งเจ็บ
00:11:08 → 00:11:10 เราจะรู้สึกเลยว่า ฉันอยากนอนน่ะ
00:11:10 → 00:11:12 ถ้าหลับไป มันอาจจะไม่เจ็บก็ได้เนอะ
00:11:12 → 00:11:14 คือวันนี้เรายังมาไม่ถึงขั้นการุณยฆาตน่ะค่ะ
00:11:14 → 00:11:16 แต่จริง ๆ แล้ว การทำ Living Will
00:11:16 → 00:11:19 จริง ๆ พี่อ้อยว่าถ้าเกิดใครดูอยู่นะคะ เราเขียนได้หมดนะ
00:11:19 → 00:11:23 คือเราเขียนได้เลยค่ะว่า เราจะใช้การรักษาถึงขั้นไหน
00:11:23 → 00:11:25 เพราะในที่สุดแล้วค่ะ
00:11:25 → 00:11:28 เราเป็นเจ้าของร่างกายนี้ เอาจริง ๆ ถึงช่วงแค่เราป่วย
00:11:28 → 00:11:31 หลังจากนั้น จะเป็นการตัดสินใจ ของคนรอบตัวหมดเลย
00:11:31 → 00:11:33 ซึ่งคนตัดสินใจรอบตัว ไม่ได้ตัดสินใจ based on เรานะคะ
00:11:33 → 00:11:34 แต่ based on เขา
00:11:34 → 00:11:37 เพราะฉะนั้น การเขียน Living Will เอาไว้ มันจะเป็นการบอกเลยว่า
00:11:37 → 00:11:42 อา...ถ้าถึงตรงนั้น หนูห้ามเจาะแม้แต่ครั้งเดียว
00:11:42 → 00:11:44 หัวใจของคำนี้คือ ไม่ยื้อ แต่ไม่รั้ง
00:11:44 → 00:11:47 ไม่ได้รั้ง เพราะร่างกายมันจะไป ตามสิ่งที่มันควรจะเป็น
00:11:47 → 00:11:49 วันนี้ยังหายใจได้
00:11:49 → 00:11:51 พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าหายใจเข้า จะหายใจออกได้หรือเปล่า
00:11:51 → 00:11:54 แต่ฉันก็อยากมีความสุขจนวันสุดท้ายของชีวิต
00:11:54 → 00:11:57 การจากไปของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเราค่ะ เกี่ยวกับโรค
00:11:57 → 00:12:03 แต่เราจะทำให้การจากไปของเขา สวยงามสุด เจ็บน้อยสุด
00:12:05 → 00:12:07 อีกเรื่องหนึ่งตอนนี้ที่เอ๋เจอนะคะคือ
00:12:07 → 00:12:11 ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์ก็ตาม หรือคุณหมอก็ตาม ก็มีปัญหา
00:12:11 → 00:12:13 - เรื่องของสุขภาพจิตเหมือนกัน - ความเครียด
00:12:13 → 00:12:17 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเครียด ซึมเศร้า
00:12:17 → 00:12:19 คนที่เข้ามาปรึกษาหรืออะไรแบบนี้ค่ะ
00:12:19 → 00:12:21 เรามีส่วนช่วยเขายังไงบ้างไหมคะ
00:12:21 → 00:12:23 ใช่ค่ะ อันนึงเลยค่ะ พี่อ้อยเคยเรียนรู้มาว่า
00:12:23 → 00:12:25 คนเป็นซึมเศร้าต้องรักษา 3 อย่าง
00:12:25 → 00:12:27 หนึ่งคือต้องปรึกษาจิตแพทย์แหละ
00:12:27 → 00:12:30 พี่อ้อยเคยอ่านบทความหนึ่ง เขาบอกว่า มันเหมือนกับตาชั่งในสมอง
00:12:30 → 00:12:32 ตอนนี้ตาชั่งในสมองมันไม่สมดุล
00:12:32 → 00:12:34 เพราะฉะนั้น ต่อให้คุณเอาวิธีคิดเข้าไปใส่
00:12:34 → 00:12:36 เมื่อตาชั่งมันไม่สมดุลน่ะ
00:12:36 → 00:12:39 คุณก็ต้องทานยาเพื่อปรับตาชั่งให้สมดุลก่อน
00:12:39 → 00:12:40 แล้วค่อยใช้วิธีคิด
00:12:40 → 00:12:43 หนึ่งคือทานยา สองก็คือการออกกำลังกาย
00:12:43 → 00:12:45 และสามคือคนรอบข้างต้องเข้าใจ
00:12:45 → 00:12:47 พี่อ้อยว่า วันนี้เราขาดคนฟัง
00:12:47 → 00:12:48 จริง
00:12:48 → 00:12:50 วันนี้เราไม่มีคนฟังเลยค่ะ
00:12:50 → 00:12:53 ต่อให้เรามีโทรศัพท์มือถือ มีเบอร์เป็นพัน ๆ เบอร์
00:12:53 → 00:12:54 เวลาเรามีปัญหา
00:12:55 → 00:12:57 คุณสไลด์จนหมดหน้าจอ คุณไม่รู้จะโทรหาใครหรอก
00:12:57 → 00:12:58 และไม่ใช่ว่าเขาไม่ช่วยคุณนะ
00:12:58 → 00:13:00 แต่เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่า
00:13:00 → 00:13:03 อ๋อ คนนี้เขากำลังทำงานใหม่ เขาอาจจะไม่มีเวลามั้ง
00:13:03 → 00:13:05 คนนี้เพิ่งแต่งงาน เดี๋ยวเขาจะมาเครียดกับเรา
00:13:05 → 00:13:06 คนนี้ก็เพิ่งมีลูก
00:13:06 → 00:13:08 เพราะฉะนั้น พี่อ้อยจะพูดเสมอว่า
00:13:08 → 00:13:10 รายการเล็ก ๆ ที่พี่อ้อยทำอยู่ แค่ 2 ชั่วโมงต่ออาทิตย์น่ะ
00:13:11 → 00:13:13 มันเลยกลายเป็นพื้นที่ว่า งั้นโทรหาพี่อ้อยพี่ฉอดดีกว่า
00:13:14 → 00:13:16 ยังไม่รู้เลยนะคะ คนไหนพี่อ้อยพี่ฉอดด้วย
00:13:16 → 00:13:20 แต่มันกลายเป็นโลโก้ว่า ฟังฉันหน่อย ช่วยฟังฉันหน่อย
00:13:20 → 00:13:22 วันนี้พี่อ้อยว่า เราขาดคนฟัง
00:13:23 → 00:13:24 และมีคนเยอะมากที่บอกว่า
00:13:25 → 00:13:27 ปัญหาตัวเองก็ยากจะตายอยู่แล้ว จะให้หนูไปฟังอีก
00:13:27 → 00:13:29 พี่จะบอกว่า ยิ่งมีปัญหา ยิ่งต้องฟังคนอื่น
00:13:30 → 00:13:32 และพอเราฟังคนอื่น เราจะค้นพบว่า
00:13:32 → 00:13:33 ปัญหาเราน้อยมาก
00:13:33 → 00:13:35 จริง แล้วเราก็เศร้า แต่เรื่องซ้ำ ๆ ของโรคแหละ
00:13:35 → 00:13:37 แค่ตอนมันเกิดกับเรา ทำไมมันดูใหม่มาก
00:13:37 → 00:13:38 ใช่
00:13:38 → 00:13:41 และถ้าเมื่อไรก็ตามเราฟังเขา เราจะได้คำตอบในชีวิตตัวเอง
00:13:41 → 00:13:43 และมากไปกว่านั้นคือ
00:13:43 → 00:13:44 เราเป็นผู้ให้โดยไม่รู้ตัว
00:13:45 → 00:13:46 เพราะฉะนั้น วันนี้ค่ะ พี่อ้อยว่า
00:13:46 → 00:13:48 คนที่เป็นซึมเศร้าหลาย ๆ คน
00:13:48 → 00:13:50 ไม่ได้เกี่ยวกับว่าต้องเป็นคุณหมอ
00:13:50 → 00:13:53 ซึ่งหลัง ๆ พี่อ้อยก็เห็นว่า บางทีเป็นนักเรียนหมอด้วยซ้ำ
00:13:53 → 00:13:54 เยอะ
00:13:54 → 00:13:55 เอาจริง ๆ แทบทุกอาชีพ
00:13:55 → 00:13:57 มีคนเป็นซึมเศร้าเยอะขึ้น
00:13:57 → 00:13:59 แม้กระทั่งอาชีพที่ให้ความสุขคนอื่น
00:13:59 → 00:14:02 ดารา นักร้อง ศิลปิน หลาย ๆ คนก็ซึมเศร้า
00:14:03 → 00:14:04 พี่อ้อยไม่โทษอะไรอันใดอันหนึ่ง
00:14:04 → 00:14:06 แต่มีส่วนประกอบคือ
00:14:06 → 00:14:08 พี่อ้อยว่าโซเชียล ทำให้เราเห็นชีวิตคนอื่นเยอะขึ้น
00:14:08 → 00:14:11 - และเวลาที่เราเห็นชีวิตคนอื่นเยอะขึ้น - เราเปรียบเทียบ
00:14:11 → 00:14:12 เราเห็นแค่ส่วนเดียวด้วยค่ะ
00:14:12 → 00:14:13 ใช่
00:14:13 → 00:14:17 อะไรก็ตาม มองอยู่ไกล ๆ ยังไงก็สวย อยู่ด้วยอาจเป็นอีกแบบ
00:14:18 → 00:14:20 - เราเห็นมุมน่าอิจฉาคนอื่นใหญ่โต - ค่ะ
00:14:20 → 00:14:22 เห็นมุมน่าสงสารของตัวเองใหญ่ที่สุด
00:14:23 → 00:14:28 ชีวิตคนนี้ดูดิ เที่ยวอีกแล้ว ฉันไม่มีปัญญาได้เที่ยวขนาดนี้หรอก
00:14:28 → 00:14:29 เราไม่รู้เลยว่า
00:14:29 → 00:14:33 เขาอาจจะเที่ยว 1 ครั้ง ถ่ายภาพเยอะมาก แล้วลงไม่หมด
00:14:33 → 00:14:34 วนกลับมาอีกหรือเปล่า
00:14:34 → 00:14:37 แต่เราเอามาเปรียบเทียบ แล้วจ้วงตัวเองแล้วว่า
00:14:37 → 00:14:39 ฉันมันคงไม่ได้หรอกไอ้ชีวิตแบบนี้
00:14:39 → 00:14:39 อืม ๆ
00:14:39 → 00:14:42 เพราะฉะนั้น การซึมเศร้าที่เกิดขึ้น มันมาหลายอย่างค่ะ
00:14:42 → 00:14:44 เราเห็นชีวิตของคนอื่นเยอะ
00:14:44 → 00:14:47 เห็นชีวิตคนอื่น ตามติดชีวิตคนอื่น แล้วไปถือสิทธิ์ในชีวิตคนอื่น
00:14:47 → 00:14:48 อืม
00:14:48 → 00:14:52 หรือแม้แต่เราลงโพสต์อะไรก็ตามของเรา
00:14:52 → 00:14:54 อยู่ ๆ เหมือนเปิดบ้านให้ใครเขามาด่า
00:14:55 → 00:14:58 ถ้าเป็นแต่ก่อน Gen พี่อ้อยเหรอ ต่างคนต่างอยู่บ้านตัวเอง ไม่มีใครรู้อะไร
00:14:58 → 00:15:00 พอวันนี้เราเปิดโซเชียล
00:15:00 → 00:15:01 เราเหมือนเราเปิดประตูบ้าน
00:15:01 → 00:15:04 ใครก็ตามเดินมาถ่มถุยอะไรก็ได้ แล้วออกไป
00:15:04 → 00:15:04 ใช่
00:15:04 → 00:15:06 เพราะฉะนั้น ถ้าจิตไม่แกร่งพอ
00:15:06 → 00:15:07 กรุณาอย่าเปิด
00:15:07 → 00:15:08 ใช่ค่ะ
00:15:08 → 00:15:11 ไม่ได้อีก โอ้โห อยากรู้ว่า คนอื่นจะไลก์รูปฉันหรือเปล่า
00:15:11 → 00:15:17 เลยแม้แต่วันนี้เราอยู่ยุคของโซเชียลซึ่ง ทำคอนเทนต์อะไรก็ตามให้ยอด engagement สูง ๆ
00:15:17 → 00:15:17 อืม
00:15:17 → 00:15:21 เราก็เลยให้คุณค่ากับชีวิตของเรา ผ่านสายตาคนอื่น
00:15:21 → 00:15:25 เพราะฉะนั้น จะไม่แปลกเลย ที่เรากำลังรอการตัดสินจากชาวบ้าน
00:15:25 → 00:15:27 และเราจะค้นพบเสมอว่า
00:15:27 → 00:15:30 เมื่อไรก็ตามที ที่ไม่ได้รับการชื่นชมและชื่นชอบ
00:15:30 → 00:15:33 ฉันมันเป็นจุดด้อยจุดหนึ่งของชีวิตนี้ ของสังคมนี้
00:15:33 → 00:15:36 ต้องหัดชมตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็มี 1 คนที่ชมตัวเองอยู่
00:15:36 → 00:15:36 ถูกต้องค่ะ
00:15:36 → 00:15:41 พี่อ้อยรู้สึกว่า การชมของเรา เรารู้ทุกบริบทของชีวิตเราเลย
00:15:41 → 00:15:44 แต่กับคนอื่น เขามาเห็นเราแค่ช่วงนิดเดียวน่ะ เท่านั้นเอง
00:15:45 → 00:15:47 บางคนค่ะ พี่อ้อยยังงงว่า คอมเมนต์เขาได้ยังไง
00:15:47 → 00:15:48 ทำไมมีลูกหน้าตาไม่น่ารักเลย
00:15:49 → 00:15:53 จ้า แม่นางงาม แต่เดี๋ยวก่อนนะ อะไร เธอน่ะใคร
00:15:54 → 00:15:54 หรืออะไรอย่างนี้
00:15:54 → 00:15:55 เข้าใจ
00:15:55 → 00:15:56 หรือคู่นี้ไม่เห็นเหมาะกันเลย
00:15:57 → 00:15:57 อะไรคะ
00:15:58 → 00:15:58 ทำไมล่ะ
00:15:58 → 00:16:00 ทำไมเราถึงถือสิทธิ์ในชีวิตคนอื่นเยอะ
00:16:00 → 00:16:05 แล้วถ้าเกิดเราเป็นคนที่ให้คุณค่ากับทุกปาก ที่เข้ามาคอมเมนต์
00:16:05 → 00:16:06 เราเองก็จะแย่
00:16:06 → 00:16:10 พี่ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งก็ได้นะคะ ที่ทำให้ภาวะซึมเศร้ามันเริ่มเยอะขึ้น
00:16:11 → 00:16:15 ทุกครั้งที่เราจัดรายการนี่ คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ในทางลบ
00:16:15 → 00:16:19 หรืออยู่ในทางที่มันเศร้ามากกว่า mood ที่จะเป็นแฮปปี้ค่ะ
00:16:19 → 00:16:19 ค่ะ
00:16:19 → 00:16:22 แล้วเวลามันฟังเรื่องอย่างนี้เรื่อย ๆ ค่ะ
00:16:22 → 00:16:24 มันมีผลกับชีวิตเราไหม แล้วเราเอามันออกยังไงคะ
00:16:24 → 00:16:27 เวลาที่เขาโทรเข้ามา แล้วเขาบอกขอบคุณมากนะพี่
00:16:27 → 00:16:30 หนูยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับที่บ้านเลย
00:16:30 → 00:16:35 มันมีความรู้สึกภาคภูมิใจในการได้รับเลือก ให้เป็นคนที่ได้ฟังมุมอ่อนแอ
00:16:35 → 00:16:36 เราเชื่อใจเรา
00:16:36 → 00:16:36 ถูกต้อง
00:16:36 → 00:16:39 เราต้องยอมรับค่ะว่า เราไม่ได้เล่ามุมอ่อนแอให้ใครฟังได้ทุกคน
00:16:39 → 00:16:40 อืม
00:16:40 → 00:16:42 หรือบางทีเวลาพี่อ้อยไปโรงพยาบาล กับคุณพ่อคุณแม่นี่
00:16:42 → 00:16:45 มีน้อง เขาก็พาแม่มาเหมือนกัน แล้วเขาก็วิ่งมา แล้วให้พี่กอด
00:16:45 → 00:16:47 หนูไม่มีอะไรค่ะพี่ ตอนนี้หนูขอกอดทีนึง
00:16:47 → 00:16:50 เพราะหนู...ตอนนั้นหนูแทบแย่ ดีที่ได้ฟังพี่
00:16:51 → 00:16:55 สิ่งใด ๆ เหล่านี้ มันถูกสะสม ความนับถือในตัวเองมั้งคะ
00:16:56 → 00:16:57 ความที่รู้สึกว่า
00:16:57 → 00:16:59 ต่อให้เธอจะเจอเรื่องที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก
00:16:59 → 00:17:02 แต่เธอก็ยังเป็นประโยชน์ แล้วจะเอาอะไรอีก
00:17:02 → 00:17:04 นี่ มันจะกลายเป็นวน ๆ กลับมา
00:17:04 → 00:17:06 อีกอันหนึ่งค่ะ พี่อ้อยเคยคุยกับคุณแม่ชีศันสนีย์
00:17:06 → 00:17:08 ซึ่งวันนี้ท่านจากไปแล้วนะคะ
00:17:08 → 00:17:09 คุณแม่ชีเคยพูดว่า
00:17:09 → 00:17:11 เราแค่เห็น เราไม่ได้เป็นนะลูก
00:17:11 → 00:17:13 เพราะฉะนั้น หลาย ๆ คนที่โทรเข้ามา
00:17:13 → 00:17:16 เราเห็น เราไม่ได้เป็น
00:17:16 → 00:17:17 พี่อ้อยเป็นคนที่เชื่อว่า
00:17:18 → 00:17:22 ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องความรัก กว่า 80% แก้ไม่ได้หรอก
00:17:22 → 00:17:22 อืม
00:17:22 → 00:17:24 - ยอมรับเหอะ - แก้ยังไงคะ ยอมรับเถอะ
00:17:25 → 00:17:26 หรือบางคนบอกว่า “ก็ทำใจ”
00:17:26 → 00:17:29 ใช่ค่ะ พี่อาจจะอยากจะตอบว่าทำใจก็ได้
00:17:29 → 00:17:30 แต่รายการมันจะสั้นนะ
00:17:30 → 00:17:36 ทุกคนเล่าตั้งนาน แล้วพี่บอก “ทำใจค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอสายต่อไปค่ะ” เหรอ
00:17:36 → 00:17:38 แต่ไม่มีปัญหาไหนที่ไม่ต้องทำใจ
00:17:38 → 00:17:40 พี่ทำให้คนคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรัก
00:17:41 → 00:17:43 เรียกคุณค่าของตัวเองกลับมา
00:17:43 → 00:17:45 เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที
00:17:45 → 00:17:48 สังเกตได้ค่ะ เวลาคนเราอกหักเสียใจ
00:17:48 → 00:17:50 เรามักจะวนกลับมาถามตัวเองว่า
00:17:50 → 00:17:52 ฉันไม่ดีตรงไหน เห็นหรือเปล่า
00:17:52 → 00:17:53 เธอจ้วงก่อนเลย
00:17:53 → 00:17:55 เอ๊ะ อกหักหรือเปล่า เอ๊ะ อกหักหรือเปล่า
00:17:55 → 00:17:57 ทำไมคนถึงไม่ถามว่า
00:17:57 → 00:18:00 พี่ หนูดีแทบตาย สุดท้ายทำไมเหรอ
00:18:00 → 00:18:03 แสดงว่าเขาคนนั้นไม่มีค่า... แบบเขาไม่ควรค่าจะได้หนูใช่ไหม
00:18:03 → 00:18:05 ไม่มีใครพูดอย่างนี้เลยค่ะ
00:18:05 → 00:18:07 แต่จบ หนูไม่ดีตรงไหนคะพี่
00:18:07 → 00:18:11 หนูทำดีมาตลอดไม่ใช่เหรอ ทำไม หนูผิดตรงไหน อยู่อย่างนี้
00:18:11 → 00:18:13 - ดีเกินไป บอกเขาไปว่าดีเกินไป - ใช่ไหมคะ
00:18:13 → 00:18:15 ดีเกินไปไม่มีจริงลูก
00:18:15 → 00:18:18 ถ้าเกิดเขาอยากได้คนเลว เขาแจ้งก่อน เราจะได้จัดให้ตามที่ขอ
00:18:18 → 00:18:21 เพราะฉะนั้น หลาย ๆ อัน เราจะจ้วงที่ตัวเองก่อน
00:18:21 → 00:18:25 เห็นไหมคะ แล้วก็วัดคุณค่าตัวเรา อยู่ที่เขาเลือกหรือไม่เลือก
00:18:25 → 00:18:27 เพราะฉะนั้น ในรายการอย่างที่เราทำอยู่
00:18:27 → 00:18:30 มันก็เลยเป็นรายการที่… พี่ต้องเรียกคุณค่าของเรากลับมา
00:18:30 → 00:18:31 อืม ๆ
00:18:31 → 00:18:34 น้องบางทีเล่าให้ฟังแทบตาย สุดท้ายเขาทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด
00:18:34 → 00:18:38 แล้วก็เลยถามว่า เฮ้ย น้อง แล้ววันนี้ หนูรอดออกมาได้ยังไง หนูเลิกได้ยังไง
00:18:38 → 00:18:40 อ๋อ เขาบอกเลิกหนูค่ะ
00:18:40 → 00:18:42 ในใจก็…โชคดีที่เขาบอกเลิกหนู
00:18:42 → 00:18:46 เพราะถ้าเกิดเขาไม่บอกเลิกหนู พี่ว่าหนูยังทนอยู่ตรงนี้อีกนาน
00:18:46 → 00:18:47 นี่ มันก็จะเป็นการวนกลับมา
00:18:47 → 00:18:51 เพื่อเรียกคุณค่าของคนที่ กำลังสูญเสียคุณค่าในตัวเอง
00:18:52 → 00:18:54 คือแอบสงสัยนิดนึง พอฟังเสร็จ
00:18:54 → 00:18:56 แล้วทำไมต้องทน แล้วทำไมต้องอยู่
00:18:56 → 00:18:59 คือมันเป็นการทำร้ายร่างกายด้วย
00:18:59 → 00:19:00 ใช่ ๆ ใช่ค่ะ
00:19:00 → 00:19:05 คือพี่อ้อยว่า แค่คำว่ารักคำเดียว ก็เป็นเหตุผลแล้ว กับบางคนนะ
00:19:05 → 00:19:08 เราไม่ได้รับคนคนนั้น เท่าที่เจ้าของเรื่องเขารัก
00:19:08 → 00:19:11 หมายถึงว่าเขารัก เขาเลยยอมรับ ที่จะถูกคนนั้นทำร้ายอย่างนี้หรือ
00:19:11 → 00:19:12 ใช่ค่ะ
00:19:12 → 00:19:15 เพราะบางคนเขาจะพูดว่า พี่คะ แต่ตอนดีเขาดีมากนะคะ
00:19:15 → 00:19:19 อ๋อ เหมือนกับเป็นการบวกลบในความรู้สึกเขาว่า
00:19:19 → 00:19:22 ความดีกับความถูกทำร้ายร่างกาย สามารถลบกันได้
00:19:22 → 00:19:25 บางคนอาจจะบอกตัวเองด้วยซ้ำว่า วันนั้นหนูไปยั่วโมโหเขาเองค่ะ
00:19:25 → 00:19:25 หืม
00:19:25 → 00:19:26 ดีไปหมด
00:19:26 → 00:19:28 หรือหนูทนเพื่อลูกค่ะ
00:19:28 → 00:19:28 โอเค
00:19:28 → 00:19:31 มันจะมีเหตุผลสารพัดอย่างค่ะ เวลาที่คนเรารัก
00:19:31 → 00:19:35 แน่นอน เวลาที่เรารักใครสักคนหนึ่ง เราจะให้โอกาสเขาเสมอ
00:19:35 → 00:19:35 อืม
00:19:36 → 00:19:39 บางครั้งเราให้โอกาสเขา จนปิดโอกาสตัวเราด้วยซ้ำ
00:19:40 → 00:19:41 เพราะฉะนั้นก็ต้องด้วยความเข้าใจค่ะ
00:19:41 → 00:19:44 เพราะว่าถ้าเกิดว่า เฮ้ย ถ้าเกิดทำร้ายฉัน ฉันเลิกอยู่แล้วนี่
00:19:44 → 00:19:46 เขาไม่ต้องโทรมา ไม่ต้องมีรายการคลับฟรายเดย์
00:19:46 → 00:19:48 ไม่ต้องมีเพลงเศร้าให้ใครฟัง
00:19:48 → 00:19:50 ก็จะวนกลับมาว่า หนูรักตัวเองหน่อยลูก
00:19:50 → 00:19:51 อืม ใช่
00:19:51 → 00:19:54 ก็หนูรักตัวเองไงคะ หนูถึงพยายามยื้ออยู่กับเขา
00:19:54 → 00:19:56 เห็นหรือเปล่า เขาตีความคำว่ารักตัวเองอีกแบบหนึ่ง
00:19:56 → 00:19:57 โอเค เข้าใจ
00:19:57 → 00:19:59 ซึ่งเราก็ต้องพยายามเข้าใจว่า อา...เข้าใจ
00:19:59 → 00:20:06 หนูรักตัวเองคือ เวลาที่หนูรักตัวเอง หนูจะไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บเพราะใครทั้งสิ้น
00:20:06 → 00:20:08 หรืออยู่เพื่อลูกค่ะ
00:20:08 → 00:20:09 เคยถามลูกหรือยัง
00:20:09 → 00:20:12 ว่าลูกอยากให้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า
00:20:12 → 00:20:17 วันนี้อัตราของการมีความรุนแรงในครอบครัว ประเทศไทยก็ติด Top 5 ค่ะ
00:20:17 → 00:20:19 พี่อ้อยเคยทำงานให้กับบ้านพักฉุกเฉิน
00:20:19 → 00:20:21 ซึ่งเขาจะดูแลเรื่องของผู้หญิงกับเด็ก ที่ได้รับความรุนแรง
00:20:22 → 00:20:24 มีนะคะ ตอนมาทะเลาะกันมา
00:20:24 → 00:20:28 พอบ้านพักฉุกเฉินเอาน้องเข้ามาฟูมฟัก ดูแลจิตใจ
00:20:28 → 00:20:31 ให้ทั้งทุกสิ่งทุกอย่าง พลังกาย พลังใจ
00:20:31 → 00:20:32 สักพักมาขอกลับบ้าน
00:20:32 → 00:20:34 ก็เลยถามว่า ทำไมล่ะ
00:20:34 → 00:20:36 อ๋อ สามีมาขอคืนดีค่ะ
00:20:36 → 00:20:40 อา...เจ้าหน้าที่ก็ต้องบอก เดี๋ยวก่อน ยังไง
00:20:40 → 00:20:42 เขาก็บอกว่า เขามาหลายครั้งแล้วนะคะ
00:20:42 → 00:20:44 และหนูมั่นใจว่าเขาดีขึ้นมากจริง ๆ
00:20:44 → 00:20:46 เพราะวิธีการคุยของเขาก็ไม่เหมือนเดิม
00:20:46 → 00:20:51 กลับไปไม่ถึง 3 เดือน ถูกส่งกลับมา ที่บ้านพักฉุกเฉินอีกครั้งด้วยสภาพกะโหลกร้าว
00:20:51 → 00:20:52 โอ้
00:20:52 → 00:20:55 ในวันนั้นเอง แน่นอนเวลาเป็นเรื่องของคนอื่น เราพูดได้หมดแหละ
00:20:56 → 00:20:58 มีคนเยอะมากที่เวลาคอมเมนต์เรื่องคนอื่น คอมเมนต์ง่าย
00:20:58 → 00:20:59 นี่โง่ไง แบบ...
00:21:00 → 00:21:02 จริง ๆ พี่อ้อยว่า ความรักไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโง่-ไม่โง่
00:21:02 → 00:21:03 มันอยู่ที่ยอมหรือไม่ยอม
00:21:04 → 00:21:05 ซึ่งเขาคือคนที่รักกันน่ะค่ะ
00:21:06 → 00:21:08 เวลาที่เรารัก คนคนนั้นจะดูดีเกินปกติ
00:21:09 → 00:21:13 เวลาคนที่เรารัก คนคนนั้น จะได้รับการให้อภัยมากกว่าปกติอยู่แล้ว
00:21:13 → 00:21:17 เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ของการทำร้ายร่างกายมันมากขึ้น
00:21:17 → 00:21:19 เพราะมีคนทำร้ายและมีคนยอม
00:21:19 → 00:21:22 เพราะว่ามันจะต้องมีคนยอมด้วย เพราะถ้าไม่ยอม มันจะไม่เกิดขึ้น
00:21:22 → 00:21:23 ถูกต้องค่ะ ใช่
00:21:23 → 00:21:25 ต่อให้มีสายด่วนเยอะแยะมากมาย
00:21:25 → 00:21:27 พี่อ้อยทำงานกับกระทรวงพัฒน์ ด้วยเขาก็จะแบบ
00:21:27 → 00:21:30 รณรงค์หน่อยนะพี่อ้อย ให้พูดแบบนี้แบบนี้หน่อยนะ
00:21:30 → 00:21:30 พูดเสมอ
00:21:31 → 00:21:34 แต่ถ้าเกิดคุณไม่เปิดประตูให้คนเข้ามาช่วย
00:21:34 → 00:21:36 คุณไม่โทรเข้าสายด่วนที่เขามี
00:21:37 → 00:21:38 ใครจะเข้าไปช่วยได้
00:21:38 → 00:21:40 หรือบางทีเวลาเกิดกรณีอย่างนี้ค่ะ
00:21:40 → 00:21:43 พอตำรวจจะเคลียร์แป๊บนึง เอ้า ยกฟ้อง
00:21:43 → 00:21:45 ตำรวจมีหลายคดีต้องทำค่ะ
00:21:45 → 00:21:47 เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่า เอ้า คดีผัวเมีย ไปเคลียร์กันก่อน
00:21:47 → 00:21:49 ไปเคลียร์กันปั๊บ เคลียร์ไม่ได้ เสียชีวิต
00:21:50 → 00:21:51 ก็เป็นความรู้สึกเสียใจ
00:21:51 → 00:21:54 เป็นคนข้างบ้าน ได้ยินเสียงตบตีกัน
00:21:54 → 00:21:56 แต่ก่อนช่วยทุกสิ่ง โทรหาคนนั้นคนนี้
00:21:56 → 00:21:57 แต่ปลายจบแล้ว
00:21:57 → 00:21:58 คุณกลับไป
00:21:59 → 00:22:01 - พอหลัง ๆ ก็ไม่... - ปล่อย
00:22:01 → 00:22:02 - จนในที่สุด - ใช่ค่ะ
00:22:02 → 00:22:04 เพราะฉะนั้น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
00:22:04 → 00:22:08 สิ่งหนึ่งก่อนเลยค่ะ เราต้องปกป้องตัวเองก่อน
00:22:08 → 00:22:11 เราจะไม่สามารถตะโกนร้องเรียกใครได้ ถ้าคุณไม่ตะโกน
00:22:11 → 00:22:12 อืม ๆ
00:22:12 → 00:22:14 มันทั้งหมดอยู่ที่ตัวคุณแหละ
00:22:14 → 00:22:15 คนรอบข้างพร้อมจะช่วย
00:22:15 → 00:22:18 แต่พอคุณบอก...ยัง
00:22:18 → 00:22:19 คุณน่ารักดี
00:22:19 → 00:22:22 หรือหลาย ๆ ครั้งที่พี่อ้อยพูดในรายการว่า
00:22:22 → 00:22:23 มันเหมือนกับการตบจูบค่ะ
00:22:23 → 00:22:26 แต่ส่วนใหญ่เราไปจำตอนที่เขาจูบ ลืมตอนที่เขาตบ
00:22:27 → 00:22:30 บางคน…นี่พี่คะ เขาเงื้อมมือแล้วนะคะ
00:22:31 → 00:22:32 แล้วอยู่ป้ายรถเมล์ด้วยนะพี่
00:22:32 → 00:22:34 ตอนนั้นหนูตัดสินใจเลย ถ้าเขาตบ หนูเลิก
00:22:34 → 00:22:36 ถ้า…ต้องถ้าตบด้วย
00:22:36 → 00:22:39 - ใช่ค่ะ จริง ๆ แล้วแค่เงื้อก็เลิกได้แล้ว - เงื้อก็ไม่เอาแล้วนะ
00:22:39 → 00:22:42 แต่เข้าใจ เพราะพี่อ้อยไม่ได้รักคนคนนั้น เท่าที่เขารัก
00:22:43 → 00:22:44 อืม โอเคค่ะ
00:22:44 → 00:22:46 ใช่ ๆ เวลาเราตัดสินหรือเราฟัง
00:22:46 → 00:22:50 เราก็จะรู้สึกว่าเราเอาตัวเรา ซึ่งถูกเลี้ยงดูแบบนี้ คิดแบบนี้
00:22:50 → 00:22:51 ไปตัดสินแทนเขา
00:22:51 → 00:22:52 ใช่ค่ะ
00:22:52 → 00:22:54 หนูรู้สึกว่า ฟังดูค่ะ
00:22:54 → 00:22:57 จริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของ mindset กับ เขาเรียกว่า Postitive Thinking
00:22:57 → 00:22:58 ใช่ค่ะ
00:22:58 → 00:23:00 คือเหมือนกับเราปรับ mindset ของเรา
00:23:00 → 00:23:05 แล้วก็ทำให้ทุกอย่างมันมีมุมมอง แล้วเลือกที่จะมองในมุมบวก
00:23:05 → 00:23:05 ใช่
00:23:05 → 00:23:08 แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างมุมบวก กับหลอกตัวเองนะ
00:23:08 → 00:23:10 โลกสวย อันนี้ไม่ใช่
00:23:10 → 00:23:11 มันบางมาก มันเป็นเส้นบาง ๆ
00:23:12 → 00:23:15 พี่อ้อยเคยไปเป็นวิทยากรที่หนึ่ง เขายกมือขึ้นถามแล้วถามว่า
00:23:15 → 00:23:18 การมองโลกดีเกินไปมันมีข้อเสียไหมคะ
00:23:18 → 00:23:19 พี่อ้อยก็จะบอกว่า
00:23:19 → 00:23:22 แล้วถ้าที่พี่อ้อยเล่าให้ฟัง เป็นการมองโลกดีเกินไปหรือเปล่า
00:23:23 → 00:23:25 เพราะที่สุดแล้ว การมองโลกดีเกินไป
00:23:25 → 00:23:27 เราก็รู้แหละว่าเราหลอกตัวเองไม่ได้
00:23:28 → 00:23:30 แต่เรากำลังมองโลกตามหลักความเป็นจริงต่างหาก
00:23:30 → 00:23:30 อืมฮึ
00:23:30 → 00:23:32 หลายคนที่มองโลกแง่ร้าย
00:23:32 → 00:23:36 อาจจะเป็นการมองโลกในแง่เป็นจริงก็ได้นะ
00:23:37 → 00:23:39 ปัจจุบันนี้มีโทรศัพท์โทรเข้ามา
00:23:39 → 00:23:42 แค่เขาบอกว่า เอ่อ ขอโทษนะครับ ใช่อันนี้หรือเปล่าครับ
00:23:42 → 00:23:44 - วางหูแล้วค่ะ - เราจะแบบ...อา...ใช่หรือเปล่าคะ
00:23:44 → 00:23:47 เพราะเราก็กำลังมองโลกแง่ร้าย
00:23:47 → 00:23:49 ซึ่งเขาอาจจะมาดีก็ได้
00:23:49 → 00:23:50 แต่อย่างน้อยเราต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน
00:23:51 → 00:23:51 ใช่
00:23:51 → 00:23:55 เพราะฉะนั้น การมองโลกในแง่ดีหรือการมองบวก ไม่ได้แปลว่ามองร้ายไม่ได้
00:23:55 → 00:23:57 แต่เป็นการมองร้ายที่หาวิธีรับมือไว้ก่อน
00:23:57 → 00:23:58 อืม
00:23:58 → 00:24:00 พี่อ้อยดูข่าวอันนึงค่ะ
00:24:00 → 00:24:03 ถ้าเราจำข่าวนี้ได้ ที่ตอนนั้นมีที่จตุจักรน่ะค่ะ
00:24:03 → 00:24:05 ตลาดนัดสัตว์เลี้ยงที่ถูกไฟไหม้
00:24:05 → 00:24:08 แล้วความเสียหายเกิดขึ้นเยอะมาก
00:24:08 → 00:24:10 แล้วก็มีนักข่าวไปสัมภาษณ์แต่ละร้าน
00:24:10 → 00:24:12 แต่ละร้านขึ้นต้นประโยคเหมือนกันหมดเลย
00:24:12 → 00:24:15 หนูค้าขายมาตั้งนานแล้ว หนูไม่คิดนะคะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา
00:24:15 → 00:24:18 เฮ้ย ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับเราล่ะ ซึ่งจริง ๆ หนูไม่เคยคิดเลย
00:24:19 → 00:24:22 - นั่นสิ ถ้าก่อนหน้านี้มีใครสักคนนึงคิดขึ้นมา - ก็จะไม่เกิด
00:24:22 → 00:24:25 คิดกันซะว่า เธอ...ค้าขายตรงนี้มาตั้งนานน่ะ
00:24:25 → 00:24:27 ถ้าไฟไหม้นี่ จะทำยังไง
00:24:28 → 00:24:31 พี่อ้อยว่าต้องถูกตบปากก่อน เพราะพวกเราต้องการความมงคล
00:24:31 → 00:24:31 อืม
00:24:31 → 00:24:33 ทำไมเป็นคนปากอย่างนี้
00:24:33 → 00:24:35 แต่จริง ๆ ต้องมานั่งคุยเหมือนกันนะว่า
00:24:35 → 00:24:39 เออ นั่นสิ เธอรู้หรือเปล่าว่า ตรงนี้ถังดับเพลิงอยู่ตรงไหน
00:24:39 → 00:24:40 หรือตอนกลางคืนนี่
00:24:40 → 00:24:42 ถ้าวิ่งไปหา รปภ. อยู่ตรงไหนหว่า
00:24:42 → 00:24:44 เธอมีเบอร์เหรอ แล้วมีเบอร์แจ้งเหรอ
00:24:45 → 00:24:46 มันไม่แน่นะ
00:24:46 → 00:24:49 การมองโลกแง่ร้ายหลาย ๆ ครั้ง แล้วหาวิธีการรับมือไว้ก่อน
00:24:49 → 00:24:51 คือการคิดบวกอีกประเภท
00:24:51 → 00:24:53 เพราะฉะนั้น การคิดบวก ไม่บอกว่าโลกใบนี้สวยทุกวัน
00:24:53 → 00:24:56 - มันคือการเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น - ใช่ค่ะ จริง
00:24:56 → 00:24:59 การคิดบวกไม่ได้บอกว่าโลกใจดีต่อฉันทุกวัน
00:24:59 → 00:25:01 แต่การคิดบวกคือการบอกกับตัวเองว่า
00:25:01 → 00:25:04 - บางวันที่โลกใจร้าย - ฉันจะทำยังไงดี
00:25:04 → 00:25:05 ถูกต้องค่ะ
00:25:05 → 00:25:07 ก็ขอบคุณพี่อ้อยนะคะสำหรับวันนี้ค่ะ
00:25:07 → 00:25:11 คือจริง ๆ แล้วต้องบอกว่า วันนี้เราได้มุมมอง ได้แนวคิดนะคะ
00:25:12 → 00:25:15 แล้วก็เรื่องของการรับฟัง การปรับ mindset
00:25:15 → 00:25:19 แล้วก็วิธีคิดที่เป็นการมองโลกบวก ที่ไม่ใช่โลกสวย
00:25:19 → 00:25:21 และมองโลกในแง่ของความเป็นจริง
00:25:21 → 00:25:21 ยินดีค่ะ
00:25:22 → 00:25:26 รวมทั้งการเตรียมพร้อมในทุก ๆ วัน สำหรับการจากลาที่สวยงาม
00:25:26 → 00:25:28 ยินดีที่ได้คุยกับคุณหมอนะคะ
00:25:28 → 00:25:29 - ขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ - สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ
00:25:30 → 00:25:32 [เสียงดนตรี]
00:25:32 → 00:25:38 พี่อ้อยจะแนะนำคนที่อาจจะอยู่ในภาวะ ที่ต้องรับมือกับการจากลาในระยะเวลาสั้น ๆ
00:25:38 → 00:25:39 หรืออะไรอย่างนี้ยังไงคะ
00:25:39 → 00:25:43 บางคนอาจจะเจอในสถานการณ์ที่ลา แค่ห่างไกล
00:25:43 → 00:25:45 หรือว่าลาในลักษณะที่ลาจากอย่างนี้ค่ะ
00:25:45 → 00:25:47 บางทีพี่อ้อยว่า เรื่องวัยเดี๋ยวนี้ก็ไม่เกี่ยวนะ
00:25:47 → 00:25:50 โรคภัยไข้เจ็บไม่ได้เรียงตามลำดับวัยนะคะ
00:25:50 → 00:25:51 และเรามักได้ยินคำนี้เสมอคือ
00:25:51 → 00:25:53 เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
00:25:53 → 00:25:55 ถ้าเมื่อไรก็ตามเกิดขึ้นกับ คนที่เป็นหัวใจของคุณ
00:25:55 → 00:25:58 - ไม่เคยธรรมดา - ไม่มีทาง ความเจ็บนั้นมันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
00:25:58 → 00:26:01 แต่ที่สุด ไม่มีใครไม่จากกัน
00:26:01 → 00:26:05 ตื่นเช้าทุกวัน เรากำลังเข้าใกล้ วันสุดท้ายของชีวิตอีก 1 วัน
00:26:05 → 00:26:05 อืม
00:26:05 → 00:26:07 เพราะฉะนั้น ถ้ายังมีลมหายใจ
00:26:07 → 00:26:11 เราดูแลคนของเรา ดูแลคนใกล้ ๆ ให้เต็มที่ที่สุดแล้วกัน
00:26:11 → 00:26:15 เพราะไม่แน่ใจเหลือเกินว่า เราจะยังได้ดูแลกันแบบนี้อีกนานแค่ไหน
00:26:15 → 00:26:17 ความรู้ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
00:26:17 → 00:26:19 มหาวิทยาลัยมหิดล
00:26:19 → 00:26:20 ปัญญาของแผ่นดิน