00:00:06 → 00:00:09 มันจะเป็นลักษณะเหมือนกับสมมุติพูดในมุม
00:00:09 → 00:00:12 ครอบครัวเขาเป็นลูกกตัญญูและรู้สึกว่าพ่อ
00:00:12 → 00:00:14 แม่ก็เป็นบุคคลที่พึงได้รับการดูแลเขาก็
00:00:14 → 00:00:17 อาจจะรู้สึกหนักในการแบกภาระค่าใช้จ่าย
00:00:17 → 00:00:19 หรืออะไรพ่อแม่แต่เขาจะรู้สึกว่าสิ่งนี้
00:00:19 → 00:00:22 คือภารกิจที่เขาจะต้องทำแต่ทีนี้ในความ
00:00:22 → 00:00:23 เป็นภาระต้องบอกว่ามันจะมีอย่างนี้ครับ
00:00:23 → 00:00:25 บางครั้งเขาเกิดมาในครอบครัวที่จริงๆแล้ว
00:00:25 → 00:00:28 เขาไม่เคยถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่เลยแต่พอ
00:00:28 → 00:00:30 จุดนึงกลายเป็นว่าพอพ่อแม่แก่ไม่มีเงินก็
00:00:30 → 00:00:33 จะมาบอกว่าตัวเองบุญคุณหรือพ่อแม่อาจจะ
00:00:33 → 00:00:36 บอกว่าเฮ้ยมีน้องอย่าทิ้งน้องดูแลน้อง
00:00:36 → 00:00:38 ด้วยแต่น้องเป็นคนไม่พึ่งพาตัวเองเลยก็
00:00:38 → 00:00:39 กลายเป็นว่าก็ต้องเป็นพี่ที่ต้องแบกน้อง
00:00:39 → 00:00:43 ถ้าถามเต็มใจไหมไม่ค่อยก็จะกลายเป็นรู้
00:00:43 → 00:00:44 สึกว่าเป็นภาระจังเลย
00:00:44 → 00:00:46 [เพลง]
00:00:46 → 00:00:49 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:49 → 00:00:56 การรอหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:56 → 00:00:59 สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังคะขอต้อนรับเข้าสู่ราย
00:00:59 → 00:01:01 การโรงหมอทาง Thai PBS podcast ค่ะวัน
00:01:01 → 00:01:04 นี้เรามาพบกันเช่นเคยวันนี้อาจจะคุยกัน
00:01:04 → 00:01:07 เรื่องหนังนิดนึงนะคะในเรื่องของปลดปล่อย
00:01:07 → 00:01:10 ชีวิตเดอะแบกค่ะอะไรคือเดอะแบกนะคะเราทำ
00:01:10 → 00:01:12 อะไรกันไว้อยู่เราแบกอะไรกันไว้อยู่นะคะ
00:01:12 → 00:01:15 เดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงศ์ธารสวัสดิ์ณ
00:01:15 → 00:01:17 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้น
00:01:17 → 00:01:19 ค่ะสวัสดีครับ
00:01:19 → 00:01:22 ตอนนี้เนี่ยเราก็ได้ยินกันบ่อยขึ้นเนอะ
00:01:22 → 00:01:26 มันเป็นการที่แบบเหมือนเราได้แบกรับเอา
00:01:26 → 00:01:28 ภาระอะไรบางอย่างเข้ามาอยู่ในชีวิตตัวเรา
00:01:28 → 00:01:32 ในคนๆเดียวนี่แหละอาจจะเป็นหน้าที่การงาน
00:01:32 → 00:01:36 ก็ได้เนาะอ่าชีวิตคนในครอบครัวก็ได้เลย
00:01:36 → 00:01:38 กลายเป็นคำว่า the bear ซึ่งแบะซึ่งทุก
00:01:38 → 00:01:42 สิ่งทุกอย่างจริงๆครับหลังหักกันไปนะฮะก็
00:01:42 → 00:01:44 ไม่รู้ว่าเราจะต้องแบกแบบนี้ไปนานแค่ไหน
00:01:44 → 00:01:47 หรือว่าเราควรจะต้องรู้ตัวเองไหมว่าเฮ้ย
00:01:47 → 00:01:49 อันนี้มันเกินไปแล้วนะมันแบบไม่ไหวแล้วนะ
00:01:50 → 00:01:52 จริงๆต้องบอกว่าไอ้ความเป็นแบบเนี่ยครับ
00:01:52 → 00:01:55 แต่ละคนเรียกว่าเกิดมาพร้อมกับการเจอ
00:01:55 → 00:01:57 บริบทสถานการณ์ชีวิตไม่เหมือนกันคนบางคน
00:01:57 → 00:01:59 เหมือนไม่ต้องแบกเยอะเพราะมีคนช่วยเยอะ
00:01:59 → 00:02:03 เช่นแบบญาติพี่น้องมีพี่น้องที่ดีเนาะเขา
00:02:03 → 00:02:05 อาจจะแค่แบกตัวเองก็พอหรืออาจจะมีส่วน
00:02:05 → 00:02:06 เกี่ยวกับการแบบนิดหน่อย
00:02:06 → 00:02:09 แต่สำหรับบางคนเกิดมาอาจจะโชคดีว่าตัวเอง
00:02:09 → 00:02:11 ไม่ต้องแบกเพราะว่าคนที่เป็นผู้หลักผู้
00:02:11 → 00:02:13 ใหญ่โดยส่วนใหญ่ที่เราเวลาพูดกับแบบเนอะ
00:02:13 → 00:02:16 อาจจะเป็นหมายถึงดูแลลูกบ้างดูแลแม่ดูแล
00:02:16 → 00:02:20 พ่อดูแลญาติพี่น้องถ้าทุกคนรอบตัวดูแลตัว
00:02:20 → 00:02:24 เองได้ไม่ต้องแบกสบายแต่จะมีบางกลุ่มนะ
00:02:24 → 00:02:26 ครับที่แบบเกิดมาพร้อมกับผมไม่รู้เล็กโชค
00:02:26 → 00:02:30 ชะตาอะไรไม่รู้เนาะที่ทำให้เขาต้องเรียก
00:02:30 → 00:02:33 ว่าเอื้อเฟื้อแบ่งปันหรือแม้กระทั่งเฉือน
00:02:33 → 00:02:34 ส่วนที่ตัวเองควรจะได้ใช้เพื่อตัวเอง
00:02:34 → 00:02:38 เนี่ยเพื่อดูแลคนรอบตัวที่อาจจะดูแลตัว
00:02:38 → 00:02:40 เองได้อย่างไม่ค่อยดีแต่คำว่าดูแลตัวเอง
00:02:40 → 00:02:42 ได้ยังไม่ค่อยดีเนี่ยก็จะมีทั้งที่อาจจะ
00:02:42 → 00:02:45 เป็นความชราเป็นความเจ็บป่วยเป็นข้อจำกัด
00:02:45 → 00:02:47 อะไรก็ตามที่ทำให้เขาไม่สามารถดูแลตัวเอง
00:02:47 → 00:02:50 ได้แต่บางทีบางคนก็ต้องแบกคนที่ไม่คิดจะ
00:02:50 → 00:02:53 พึ่งพาตัวเองมันก็กลายเป็นความทุกข์อีก
00:02:53 → 00:02:57 แบบนึงซึ่งอันนี้เรียกว่าแล้วแต่โชคชะตา
00:02:57 → 00:03:00 จะผลักดันให้เป็นอย่างนั้นแต่ว่าระยะเวลา
00:03:00 → 00:03:02 การแบกอันนี้ต้องบอกว่าแต่ละคนก็ไม่เท่า
00:03:02 → 00:03:05 กันเนาะบางคนแบบพ่อแม่แก่เท่าอ่ะบางทีอาจ
00:03:05 → 00:03:07 จะป่วยด้วยโรคร้ายอาจจะแบ่งแค่ระยะเวลา
00:03:07 → 00:03:10 สั้นๆสั้นๆไรเงี้ยค่ะแต่สำหรับบางคนก็แบก
00:03:10 → 00:03:12 ระยะยาวเป็นโรคที่แบบคล้ายๆเจ็บเรื้อรัง
00:03:12 → 00:03:15 แต่ไม่หายสักทีแต่ว่าการรักษาก็ไม่ได้มี
00:03:15 → 00:03:17 อะไรมากกว่ากันบังคับประคองอย่างเงี้ย
00:03:17 → 00:03:19 ครับบางครั้งก็กลายเป็นเดอะแบกที่มันค่อน
00:03:19 → 00:03:21 ข้างระยะยาวซึ่งบางทีมันไม่ใช่แค่เรื่อง
00:03:21 → 00:03:23 นี้เราบางครั้งเป็นเรื่องของอาชีพการงาน
00:03:23 → 00:03:26 ก็มีนะที่มันกลายเป็นว่าทีมของเราบริษัท
00:03:26 → 00:03:27 ของเรา
00:03:27 → 00:03:30 มันมีจุดที่แบบคล้ายๆยังไม่แข็งแรงเราเลย
00:03:30 → 00:03:32 ต้องเอาตัวเองเนี่ยไปช่วยแบบเพื่อให้องค์
00:03:33 → 00:03:35 กรไปต่อได้หรือให้ทีมไปต่อได้เพราะงั้น
00:03:35 → 00:03:37 เดอะแบกเนี่ยมันเกิดขึ้นทั้งบริบทชีวิต
00:03:37 → 00:03:39 ครอบครัวชีวิตส่วนตัวชีวิตการงานได้หมด
00:03:39 → 00:03:43 เลยก็เหมือนเป็นความหมายหนึ่งที่เหมือน
00:03:43 → 00:03:46 กับเรามีภาระมีภาระมีภาระแต่เป็นอาจจะ
00:03:46 → 00:03:49 เป็นภารกิจอย่างหนึ่งเนอะคือเราไม่อยากจะ
00:03:49 → 00:03:51 บอกว่ามันเป็นภาระของชีวิตเพราะมันจะดู
00:03:51 → 00:03:55 เหมือนกับว่าทำให้เราอาจจะรู้สึกไม่ดี
00:03:55 → 00:03:58 หรือว่าน้อยเนื้อต่ำใจได้ว่าทำไมอาจจะไป
00:03:58 → 00:04:00 คิดว่าเขาเป็นภาระสำหรับเราไปด้วยซ้ำแต่
00:04:00 → 00:04:03 ให้มองเป็นว่าเป็นเรื่องของคำว่าภาระกิจ
00:04:03 → 00:04:06 แทนได้ไหมว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้อง
00:04:06 → 00:04:09 จริงๆคำแรกอะไรอย่างเงี้ยจริงๆพอพอผมมี
00:04:09 → 00:04:12 โอกาสได้ฟังปัญหาชีวิตคนเยอะๆเนาะมันจะมี
00:04:12 → 00:04:14 ทั้งคนที่รู้สึกว่าสิ่งนี้คือภารกิจและ
00:04:14 → 00:04:16 รู้สึกว่าเป็นภาระ
00:04:16 → 00:04:18 อืมเพราะว่าคำว่าภารกิจนะครับมันจะเป็น
00:04:18 → 00:04:20 ลักษณะเหมือนกับเขารู้สึกว่าอย่างแรกคือ
00:04:20 → 00:04:22 ตัวเขาอาจจะเป็นอ่ะสมมุติพูดในมุม
00:04:22 → 00:04:25 ครอบครัวเขาเป็นลูกกตัญญูและรู้สึกว่าพ่อ
00:04:25 → 00:04:29 แม่ก็เป็นบุคคลที่พึงได้รับการดูแลอย่าง
00:04:29 → 00:04:32 เงี้ยค่ะเขาอาจจะรู้สึกหนักในการแบบภาระ
00:04:32 → 00:04:34 ค่าใช้จ่ายหรืออะไรพ่อแม่แต่เขาจะรู้สึก
00:04:34 → 00:04:37 ว่าสิ่งนี้คือภารกิจที่เขาจะต้องทำและควร
00:04:37 → 00:04:40 จะต้องทำเหมือนกับเขาก็ยินดีที่จะเต็มใจ
00:04:40 → 00:04:42 ทำต่อให้เหนื่อยนะแต่ทีเนี้ยในความเป็น
00:04:42 → 00:04:44 ภาระต้องบอกว่ามันจะมีอย่างงี้ครับ
00:04:44 → 00:04:47 บางครั้งเขาเกิดมาในครอบครัวที่จริงๆแล้ว
00:04:47 → 00:04:49 เขาไม่เคยถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่เลย
00:04:49 → 00:04:51 แต่พอจุดนึงกลายเป็นว่าพอพ่อแม่แก่ไม่มี
00:04:51 → 00:04:55 เงินก็จะมาบอกว่าทวงบุญคุณฉันเป็นพ่อแม่
00:04:55 → 00:04:56 นะ
00:04:56 → 00:04:59 ก็กลายเป็นว่าลูกที่ดี
00:04:59 → 00:05:02 ฉันไม่มีทางเลือกเมื่อถูกเรียกร้องจากพ่อ
00:05:02 → 00:05:05 แม่เมื่อฉันเป็นชาวพุทธที่ดีฉันก็เลยต้อง
00:05:05 → 00:05:09 ดูแลไปหรือพ่อแม่อาจจะบอกว่าเฮ้ยมีน้อง
00:05:09 → 00:05:11 อย่าทิ้งน้องดูแลน้องด้วยแต่น้องเป็นคน
00:05:12 → 00:05:14 ไม่พึ่งพาตัวเองเลยก็กลายเป็นว่าก็ต้อง
00:05:14 → 00:05:17 เป็นพี่ที่ต้องแบกน้องถ้าถามเต็มใจไหมไม่
00:05:17 → 00:05:21 ค่อยแต่ก็ต้องทะเลาะแม่สั่งก็จะกลายเป็น
00:05:21 → 00:05:23 รู้สึกว่าเป็นภาระจังเลย
00:05:23 → 00:05:27 เพราะฉะนั้นอันนี้มันแล้วแต่บริบทถ้ารู้
00:05:27 → 00:05:29 สึกเต็มใจมันจะกลายเป็นภารกิจแต่ถ้ารู้
00:05:29 → 00:05:32 สึกว่าเป็นตัวถ่วงหรือคนๆนี้ไม่สมควรได้
00:05:32 → 00:05:34 เลยจะกลายเป็นภาระมันเกิดขึ้นจากความรู้
00:05:34 → 00:05:36 สึกจริงๆด้วยแหละพอฟังแล้วรู้สึกว่าเออ
00:05:36 → 00:05:39 แต่จริงๆแล้วเราจะไปมองในแง่ที่มันเป็น
00:05:39 → 00:05:42 โลกสวยอย่างเดียวไม่ได้ว่าเออเป็นภารกิจ
00:05:42 → 00:05:45 เนาะแต่ว่าพอมองในความเป็นจริงแล้วเนี่ย
00:05:45 → 00:05:48 ชีวิตของแต่ละคนมีความเป็นเดอะแบกที่แบบ
00:05:48 → 00:05:51 แตกต่างกันอย่างที่เอิ้นเจอมาว่าเวลาหลาย
00:05:51 → 00:05:55 ๆคนมาปรึกษามันก็จะมีมุมที่โอ้ยมันแตก
00:05:55 → 00:05:58 ต่างหลากหลายจริงๆนะใช้คำว่า The Beach
00:05:58 → 00:06:00 เนี่ยใช่เหมือนๆอย่างเช่นสมมุติบอกว่า
00:06:00 → 00:06:02 เฮ้ยเราเรียนจบแล้วเราทำงานได้แล้วแต่
00:06:02 → 00:06:05 น้องเรายังเรียนอยู่ยังไม่จบพี่บางคนอาจ
00:06:05 → 00:06:07 จะรู้สึกว่าก็สมเหตุสมผลนะถ้าน้องยัง
00:06:07 → 00:06:10 เรียนไม่จบเราก็ต้องทำงานเพื่อส่งค่าค่า
00:06:10 → 00:06:13 เทอมส่งการศึกษาให้น้องถูกไหมครับแต่ลอง
00:06:13 → 00:06:16 นึกภาพว่าถ้าน้องจบแล้วเหมือนกันแต่วันๆ
00:06:16 → 00:06:19 ก็แบบกฎเกณฑ์อยู่บ้านไม่ขยันหางานไม่
00:06:19 → 00:06:21 สมัครงานไอ้ตรงนี้จะเริ่มเป็นความรู้สึก
00:06:21 → 00:07:02 ว่าเป็นภาระแล้ว
00:07:02 → 00:07:04 แต่จริงๆแล้วเรื่องการดูแลตัวเองไม่ได้นะ
00:07:04 → 00:07:07 ครับผมคิดว่ามันจะมีข้อยกเว้นอยู่ตรงที่
00:07:07 → 00:07:10 ว่าถ้าเราเห็นว่าน้องเรามีความพยายามแต่
00:07:10 → 00:07:13 โอกาสไม่เอื้อบางทีพวกนี้เขาอาจจะรู้สึก
00:07:13 → 00:07:15 ว่าเออมันเหนื่อยนะอย่าให้หลุดพ้นสักที
00:07:15 → 00:07:18 แต่เขายังเข้าใจได้ว่ามันไม่ใช่เด็กเรา
00:07:18 → 00:07:21 ไม่พยายามเด็กเราพยายามแล้วแต่ว่าโอกาส
00:07:21 → 00:07:24 หลายๆอย่างมันยังมาไม่ถึงพวกนี้มันอาจจะ
00:07:24 → 00:07:26 มีความอึดอัดแต่เรายังคงพอรู้สึกว่าสู้ไป
00:07:27 → 00:07:30 ด้วยกันแต่ถ้าเกิดแบบโอกาสมีแต่คุณไม่ทำ
00:07:30 → 00:07:33 แต่ตรงนี้แหละจะเริ่มเปรียบเทียบว่าชาว
00:07:33 → 00:07:35 บ้านเขาไปไหนต่อไหนและชาวบ้านเขาแบบมี
00:07:35 → 00:07:37 ความเกรงใจคนอื่นเขาแบบมีความขยันหมั่น
00:07:37 → 00:07:40 เพียรมีความขวนขวายที่จะแบบไปเติบโตหรือ
00:07:40 → 00:07:42 พยายามจะแบบทำให้ตัวเองแบบพึ่งพาพึ่งพา
00:07:42 → 00:07:44 ตัวเองได้ไม่เป็นภาระแต่กลายเป็นว่าเอ้ย
00:07:44 → 00:07:46 คนของเราทำไมแบบทิ้งตัวอย่างนั้นวะ
00:07:46 → 00:07:49 หรือหรือเขารู้สึกว่าแบบเรียกอะไรนะปล่อย
00:07:49 → 00:07:51 ไว้อย่างนี้ก็เหม็นเป็นไรเพราะว่ามีพี่
00:07:51 → 00:07:55 คอยดูคอยส่งให้อยู่แล้วไม่ต้องกลัวจนอยู่
00:07:55 → 00:07:57 บ้านก็สบายดีหรือเปล่าอย่างเงี้ยครับก็จะ
00:07:57 → 00:07:59 มีความรู้สึกอดคิดอย่างนี้ไม่ได้อันนี้
00:07:59 → 00:08:03 มันก็เป็นมุมในของคนที่กำลังแบกอยู่แล้ว
00:08:03 → 00:08:06 ในมุมของคนที่คิดว่าตัวเองอ่ะเรารู้สึก
00:08:06 → 00:08:10 ว่าเราเป็นภาระเราเราเขาเรียกว่าอะไรนะคน
00:08:10 → 00:08:12 อื่นแบบเราอยู่มันก็ต้องมีเนาะใช่ครับ
00:08:12 → 00:08:16 ซึ่งซึ่งในมุมของคนที่รู้สึกว่ากำลังได้
00:08:16 → 00:08:17 ประโยชน์จากการที่คนอื่นแบบเราเนี่ยก็จะ
00:08:18 → 00:08:19 มี 2 แบบ
00:08:19 → 00:08:21 แบบแรกคือรู้สึกโหดเกรงใจให้เกรงใจ
00:08:21 → 00:08:24 ซึ่งพอความเกรงใจเกรงใจเนี่ยครับแน่นอน
00:08:24 → 00:08:27 อย่างแรกก็จะมีความขวนขวายแต่ถ้าการขวน
00:08:27 → 00:08:28 ขวายนั้นเหมือนที่บอกว่ามันยังไม่ได้เกิด
00:08:28 → 00:08:31 โอกาสที่จะสำเร็จเช่นมันอาจจะติดด้วยสภาพ
00:08:31 → 00:08:34 เศรษฐกิจด้วยของการแข่งขันด้วยของแบบ
00:08:34 → 00:08:36 บริษัทยังไม่เรียบร้อยขององค์กรยังไม่
00:08:36 → 00:08:38 เปิดรับอะไรก็แล้วแต่ทีนี้ครับอย่างน้อย
00:08:38 → 00:08:41 เขามีความขวนขวายถูกไหมครับแต่ว่าอีกส่วน
00:08:41 → 00:08:43 นึงสมมุติถ้าเกิดโอกาสไม่เปิดเขาจะพยายาม
00:08:43 → 00:08:46 ไม่ทำตัวให้เป็นภาระมากกว่าเดิมเขาอาจจะ
00:08:46 → 00:08:49 กินจะใช้อาจจะอยู่เท่าที่จำเป็นจริงๆ
00:08:49 → 00:08:51 เพราะไม่อยากทำให้คนที่แบกเขาอยู่ต้องแบบ
00:08:51 → 00:08:54 หนักโดยเกินความจำเป็นอย่างนี้ครับ
00:08:54 → 00:08:57 อันนั้นคือ Part ของคนที่รู้สึกว่าเฮ้ย
00:08:57 → 00:09:00 เราเกรงใจจังเลยแต่มันจะมีอีกแบบนึงคือคน
00:09:00 → 00:09:03 ที่รู้สึกไม่ได้เกรงใจตรงนี้เขาจะทำตัว
00:09:03 → 00:09:06 ยิ่งเป็นภาระหนักขึ้นแล้วก็ไม่ได้พยายาม
00:09:06 → 00:09:09 ขวนขวายด้วยคนกลุ่มนี้จะไม่รู้สึกไม่รู้
00:09:09 → 00:09:11 สึกเกรงใจอะไรเขาจะปล่อยตัวทิ้งไว้อย่าง
00:09:11 → 00:09:13 นั้นอย่างเงี้ยครับ
00:09:13 → 00:09:17 ก็เรียกว่าคำว่า The Bag มันเกิดขึ้นได้
00:09:17 → 00:09:20 ทั้งคนที่กำลังแบ่งอยู่และคนอื่นแบบเรา
00:09:20 → 00:09:26 ซึ่งซึ่งก็ถ้าเกิดว่ารู้สึกได้ก็คงจะไม่
00:09:26 → 00:09:28 อยากเป็นภาระกับใครแต่ก็เชื่อว่าจริงๆ
00:09:28 → 00:09:32 แล้วเนี่ยมันไม่ได้แบบว่าอยากจะให้ใครมา
00:09:32 → 00:09:34 แบกเราหรือเราอยากจะไปแบกใครเพราะว่าทุก
00:09:34 → 00:09:37 คนก็เชื่อแหละว่าทุกคนพอถึงณจุดๆนึงแล้ว
00:09:37 → 00:09:41 เนี่ยมันก็น่าจะมีความเหนื่อยความแบบ
00:09:41 → 00:09:45 ไม่อยากแล้วไม่ไหวแล้วมันหมดพลังไปแล้ว
00:09:45 → 00:09:49 มันมันก็จะแสดงออกซึ่งทั้งทางความคิด
00:09:49 → 00:09:53 อารมณ์ทุกอย่างออกมาเลยเริ่มเริ่มคิดลบ
00:09:53 → 00:09:57 คิดร้ายอารมณ์ไม่ดีฉุนเฉียวอ่ะสมมุติยก
00:09:57 → 00:10:00 ตัวอย่างกรณีแบบเอ่อได้ยินประจำนะดูแลพ่อ
00:10:00 → 00:10:03 แม่แก่เท่าที่แบบอาจจะเป็นโรคร้ายหรืออาจ
00:10:03 → 00:10:05 จะเจอพ่อแม่เป็นอัลไซเมอร์อ่ะสมมุติอย่าง
00:10:05 → 00:10:08 นี้เนาะแล้วเราต้องแบกในการรับผิดชอบดูแล
00:10:08 → 00:10:10 บางทีมีทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายมีทั้งเรื่อง
00:10:10 → 00:10:13 เวลาหรือแม้กระทั่งการรองรับอารมณ์พวก
00:10:13 → 00:10:16 เนี้ยครับมันจะกลายเป็นว่าตอนจุดที่คนที่
00:10:16 → 00:10:19 เป็นเดอะแบกเนี่ยเหนื่อยล้าสุดๆจะเริ่มมี
00:10:19 → 00:10:22 ความคิดลบคิดร้ายต่ออุปการะ
00:10:22 → 00:10:28 เช่นโหถ้าเขาแบบไม่อยู่ทุกอย่างคงจบเนาะ
00:10:28 → 00:10:32 สมมุติถ้าเราพูดตามหลักเหตุผลเลยนะมันก็
00:10:32 → 00:10:35 เป็นจริงตามนั้นแหละถ้าเขาไม่อยู่ทุก
00:10:35 → 00:10:36 อย่างก็คงจะเบาลง
00:10:36 → 00:10:39 ซึ่งเหตุผลนี้ถูกต้องแต่ว่าเจ้าตัวที่คิด
00:10:39 → 00:10:40 ขึ้นมาครับจะเริ่มมีความรู้สึกเหมือน
00:10:40 → 00:10:44 ตำหนิตัวเองว่าเป็นคนบาปเป็นคนเนรคุณเป็น
00:10:44 → 00:10:47 คนจิตใจโหดเหี้ยมหรือเปล่าแล้วเขาจะเริ่ม
00:10:47 → 00:10:49 รู้สึกแย่กับตัวเองกลายเป็นว่าเขาโดนความ
00:10:49 → 00:10:51 รู้สึกแย่ไป 2 เด้งอ่ะครับ
00:10:51 → 00:10:54 เด้งแรกก็คือไอ้ที่แบกก็หนักอยู่แล้วเด้ง
00:10:54 → 00:10:58 ที่ 2 คือการกดด่าตัวเองว่าเราเป็นคน
00:10:58 → 00:11:01 อย่างนี้คิดแย่จังอย่างนี้ครับแล้วบางที
00:11:01 → 00:11:03 ก็อาจจะไม่ชอบที่ตัวเองมานั่งตำหนิตัวเอง
00:11:03 → 00:11:07 ที่รู้สึกแย่ก็กลายเป็น 3 เด้ง
00:11:07 → 00:11:10 มันเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นได้ใช่แต่มันไม่
00:11:10 → 00:11:12 ได้หมายความว่าอุ๊ยเราจะไม่รู้สึกอะไรเลย
00:11:12 → 00:11:14 มันไม่ใช่อย่างนั้นแต่พอเวลาที่เหนื่อย
00:11:14 → 00:11:17 มันทุกคนมันจะรู้สึกเต็มหมดแหละเรื่องที่
00:11:17 → 00:11:19 มันไม่ดีหรืออะไรอย่างนี้มันไม่มีทางที่
00:11:19 → 00:11:21 จะแบบว่าอย่างหลายคนที่มักจะบอกเลยว่า
00:11:21 → 00:11:23 อุ๊ยไอ้ตรงช่วงจังหวะที่มันไม่ดีเนี่ยบาง
00:11:23 → 00:11:26 ทีมันมีดีๆอยู่ในนั้นอยู่นะให้มองหาให้
00:11:26 → 00:11:28 เจอแต่บอกตรงๆนะเอาถ้าตามความเป็นจริงมัน
00:11:28 → 00:11:30 มองไม่เห็นตอนเหนื่อยสุดไม่มีใครเห็นหรอก
00:11:30 → 00:11:32 แม้กระทั่งที่ผมเองทำงานจิตวิทยาอย่าง
00:11:32 → 00:11:35 เงี้ยผมอาจจะตั้งตั้งเค้าเรียกว่าตั้งใจ
00:11:35 → 00:11:37 ทำงานนี้เพราะอยากช่วยคนแต่จุดนึงที่เรา
00:11:37 → 00:11:39 ล้าสุดๆอ่ะครับมันก็มีจุดไล่ลูกค้าเหมือน
00:11:39 → 00:11:44 กันอย่ามาคุยไปอย่ามานัดอย่าเพิ่งไล่ราย
00:11:44 → 00:11:47 การเรานะแต่นี่ต้องบอกว่าโดยธรรมชาติคนนะ
00:11:47 → 00:11:49 ครับมันเหมือนกับจิตใจกับร่างกายเป็นสิ่ง
00:11:49 → 00:11:52 ที่เชื่อมโยงกันทีนี้เราคิดเราคิดแต่ใน
00:11:52 → 00:11:54 มุมจิตใจว่าจิตใจต้องบังคับประคองได้ดี
00:11:54 → 00:11:57 จิตใจจะต้องคิดดีตลอดเวลาแต่เราลืมมองไป
00:11:57 → 00:11:59 ว่าบางครั้งเมื่อสภาพร่างกายมันถูกฉุดให้
00:11:59 → 00:12:02 ลงต่ำที่สุดนะครับมันจะดึงจิตใจลงมาด้วย
00:12:02 → 00:12:04 ลองนึกภาพเราเคยได้ยินคำว่าโมโหหิวไหมฮะ
00:12:04 → 00:12:07 โอ้โหประจำเลยค่ะบางทีเราอาจจะคิดว่าแบบ
00:12:07 → 00:12:10 เราอารมณ์ปกติแต่จริงๆไอ้ปกตินั้นน่ะเรา
00:12:10 → 00:12:13 ถูกฉุดด้วยความหิวมันเลยเป็นความก้าวร้าว
00:12:13 → 00:12:15 ความเกรี้ยวกราดขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นไม่
00:12:15 → 00:12:17 ปกติขึ้นมาแล้วพอกินข้าวปั๊บอ่ะอารมณ์ดี
00:12:18 → 00:12:20 กลายเป็นเรื่องอะไรที่แบบไม่เป็นอะไรก็
00:12:20 → 00:12:23 ไม่ถือสาเอ้อแต่ไอ้ตอนหิวก็ศึกษาทุก
00:12:23 → 00:12:24 เรื่อง
00:12:24 → 00:12:26 เพราะฉะนั้นเช่นเดียวกันครับเวลาคนเรา
00:12:26 → 00:12:28 เหนื่อยล้าขั้นสุดนะครับจิตใจจะถูกดึงลง
00:12:28 → 00:12:31 ไปด้วยสภาพร่างกายเพราะฉะนั้นตรงนี้มัน
00:12:31 → 00:12:33 เลยกลายเป็นว่าแทนที่เราจะเอามาแต่นั่ง
00:12:33 → 00:12:36 เอาแต่มานั่งตำหนิว่าตัวเองทำไมจิตใจแบบ
00:12:36 → 00:12:39 ฮิตร้ายแต่จริงๆเราควรจะให้อภัยตัวเอง
00:12:39 → 00:12:41 ด้วยซ้ำว่าแบบเออการคิดร้ายนี้มันเกิด
00:12:41 → 00:12:43 ขึ้นมาอย่างมีเหตุผลจากการที่สภาพร่างกาย
00:12:43 → 00:12:47 เราล้าเกินไปเราพักไม่เพียงพอการจะแก้จุด
00:12:47 → 00:12:49 นี้ไม่ใช่ต้องอัดศีลธรรมเข้าไปในตัวเรา
00:12:49 → 00:12:52 แต่เป็นการกลับไปพักผ่อนไม่พอแล้วเราถึง
00:12:52 → 00:12:55 จะมีกำลังที่กลับมาคล้ายๆกับมาคิดดีกลับ
00:12:55 → 00:12:58 มาทำดีได้อย่างนี้ครับง่ายๆแค่นี้เองหรอ
00:12:58 → 00:13:01 คือไม่ต้องไปแบบว่าใครต้องมาพูดธรรมะให้
00:13:01 → 00:13:03 เราโดยไม่ต้องขนาดนั้นเลยใช่มั้ยยิ่งทำ
00:13:03 → 00:13:05 อย่างนั้นผมว่าเรายิ่งกดดันตัวเองเรายิ่ง
00:13:05 → 00:13:07 แบกหนักกว่าเดิมซะอีกเพราะว่าจากที่เรา
00:13:07 → 00:13:10 แบกจากตัวเงื่อนไขตัวงานตัวภาระที่เรา
00:13:10 → 00:13:12 ต้องทำอยู่แล้วเนาะมันต้องมาแบกศีลธรรม
00:13:12 → 00:13:13 อีกอ่ะ
00:13:13 → 00:13:16 มันกลายเป็นแหวน 2 เด้งครับทีนี้มันเลย
00:13:16 → 00:13:19 กลายเป็นว่าคนที่น่าสนใจที่สุดคือก็ยัง
00:13:19 → 00:13:21 เป็นเดอะแบกเช่นเคยคือเพราะอย่างนี้คือ
00:13:21 → 00:13:25 หมายความว่าเราก็คงจะต้องแบบว่า
00:13:25 → 00:13:30 ถ้าเรารู้ในความรู้สึกของตัวเองรู้ทันก็
00:13:30 → 00:13:32 น่าจะทำให้เราสามารถที่จะมีจุดที่เราผ่อน
00:13:32 → 00:13:35 คลายได้บ้างในมุมที่ของความเป็นเดอะแบร์
00:13:35 → 00:13:37 เดอะแบกคือบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเอง
00:13:37 → 00:13:40 เป็นเดอะแบกอยู่นะคะชินกับการแบบจนแบบ
00:13:40 → 00:13:42 โอ้โหด่ากันหมดแล้ว
00:13:42 → 00:13:45 บางคนอาจจะไม่รู้อ่ะเดี๋ยวแบบว่าทีละข้อ
00:13:45 → 00:13:48 ให้นะคะอย่างแบบบางทีเราให้ความสำคัญกับ
00:13:48 → 00:13:50 ความต้องการของคนอื่นก่อนตัวเองอันเนี้ย
00:13:50 → 00:13:52 ใช่เลย
00:13:52 → 00:13:55 บางทีบางทีเหมือนกับด้วยบุคลิกเค้าเป็นคน
00:13:55 → 00:13:58 ที่มักจะให้คนอื่นมาก่อนเหมือนความรู้สึก
00:13:58 → 00:14:01 ว่าตัวเขาไว้ทีหลังก็ได้อาจจะเป็นคนที่
00:14:01 → 00:14:03 ดั้งเดิมอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีแรงเยอะก็
00:14:03 → 00:14:05 ได้แล้วเป็นคนชอบเอื้อเฟื้อก็เลยมักจะมอง
00:14:05 → 00:14:08 คล้ายๆว่าคนอื่นอยู่ดีมีสุขหรือยังนะอ่ะ
00:14:08 → 00:14:11 เป็นห่วงเป็นห่วงอะไรเงี้ยครับพอมีเยอะก็
00:14:11 → 00:14:13 เลยแบ่งปันเยอะก็เลยชินกับการที่จะต้อง
00:14:13 → 00:14:17 ให้คนอื่นมาก่อนแต่บางคนก็จะเป็นลักษณะ
00:14:17 → 00:14:20 ว่าอยากให้คนที่เขาให้ความสำคัญยอมรับใน
00:14:20 → 00:14:21 ตัวเขา
00:14:21 → 00:14:25 อีกมุมนึงเลยนะใช่อีกคนเขามีอิทธิพลคนคือ
00:14:25 → 00:14:27 คนที่เขาได้ก่อนเนี่ยเหมือนกับเป็นคนที่
00:14:27 → 00:14:28 มีอิทธิพลกับใจเขา
00:14:28 → 00:14:32 เพราะงั้นเขาเลยอยากให้คนพวกนี้ได้พอได้
00:14:32 → 00:14:34 ปุ๊บแล้วเขาถึงจะรู้สึกอาจจะได้รับความ
00:14:34 → 00:14:38 ชื่นชมหรือรู้สึกว่าแบบวางใจว่าคนๆนี้รู้
00:14:38 → 00:14:39 สึกดีกับเราแล้วแต่มันก็มีมุมพวกนี้
00:14:39 → 00:14:40 เหมือนกัน
00:14:40 → 00:14:43 มันเลยกลายเป็นว่าเป็นการทอดทิ้งตัวเอง
00:14:43 → 00:14:46 ครับไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตัวเองคือ
00:14:46 → 00:14:49 ไม่ได้บอกว่าเขาจะเป็นคนเสียสละขนาดนั้น
00:14:49 → 00:14:53 แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว
00:14:53 → 00:14:56 เห็นแก่ตัวจริงคือตัดทุกคนทิ้งไปก็ง่าย
00:14:56 → 00:14:56 สุด
00:14:56 → 00:15:00 ก็อยากเป็นอย่างนั้นเลยดีกว่าเนาะแล้วก็
00:15:00 → 00:15:04 อีกแบบนึงที่ให้ลองสังเกตตัวเองคือการ
00:15:04 → 00:15:06 เป็นคนที่คอยย้ำให้คนอื่นเนี่ยเอ้อทำงาน
00:15:06 → 00:15:09 นะเธอทำงานนะเธออะไรอย่างนี้แล้วก็รู้สึก
00:15:09 → 00:15:12 แบบเบื่อหน่าย
00:15:12 → 00:15:15 เอ๊ะมันแปลกๆเนาะเออยังไงอ่ะครับเนาะ
00:15:15 → 00:15:17 ยามมันอาจจะแบบว่าอยากจะให้คนอื่นเขาแบบ
00:15:17 → 00:15:18 ได้แบบ
00:15:18 → 00:15:22 ได้ลงมือทำแบบอยู่เฉยอะไรอย่างนี้ด้วย
00:15:22 → 00:15:24 หรือเปล่าแบบพยายามขยันขยอพยายามจะส่ง
00:15:24 → 00:15:28 เสริมผลักดันฟิลลิ่งแบบนี้คือมันเหมือน
00:15:28 → 00:15:30 กับว่าความเป็นเดอะแบบเนี่ยครับตะกี้ที่
00:15:30 → 00:15:59 พี่ลีพูดเนาะ
00:15:59 → 00:16:01 [เสียงหัวเราะ]
00:16:01 → 00:16:11 อันนี้น่ากลัวใครตะขาบ
00:16:11 → 00:16:12 นะ
00:16:12 → 00:16:21 คือชอบรับปากตอบตกลงทั้งที่จริงๆแล้ว
00:16:21 → 00:16:23 คือคือไม่น่ารับปากบางอย่างก็ไม่กล้า
00:16:23 → 00:16:25 ปฏิเสธต้องบอกว่าบางคนเป็นคนไม่กล้า
00:16:25 → 00:16:28 ปฏิเสธจริงๆถ้าถามทำไมไม่กล้าปฏิเสธอาจจะ
00:16:28 → 00:16:31 มองว่าการปฏิเสธอาจจะหมายถึงการไร้น้ำใจ
00:16:31 → 00:16:34 หรือบางคนอาจจะมองว่าการปฏิเสธจะทำให้อีก
00:16:34 → 00:16:36 ฝ่ายรู้สึกไม่ดีกับเราอย่างนี้ครับก็เลย
00:16:36 → 00:16:39 กลายเป็นคนปากหนักไม่กล้าปฏิเสธแต่มันก็
00:16:39 → 00:16:42 มีอีกนะที่แบบว่าถ้าปฏิเสธไปอ่ะคือบางที
00:16:42 → 00:16:46 แค่ปฏิเสธแค่ครั้งเดียวเองเนี่ยกลับโดน
00:16:46 → 00:16:48 ต่อว่าแบบหนักหน่วงมากก็มีเลยทำให้กลาย
00:16:48 → 00:16:51 เป็นว่าก็ไม่ได้ไม่อยากจะปฏิเสธหรอก
00:16:51 → 00:16:55 นะครับว่าเรากำลังปฏิเสธใครเพราะว่าใน
00:16:55 → 00:16:57 ชีวิตความเป็นจริงเนาะสำหรับคนบางคนนะ
00:16:57 → 00:16:59 ครับการปฏิเสธไปกับเกิดผลเสียบางอย่างที่
00:16:59 → 00:17:01 ย้อนกลับมาหาเราเหมือนกันเช่นการปฏิเสธ
00:17:01 → 00:17:03 ผู้มีอำนาจบางท่านเอ้ย
00:17:03 → 00:17:05 อันนี้อันนี้ผมต้องพูดพูดแบบเป็นกลางๆ
00:17:05 → 00:17:08 เนาะคำว่าเป็นกลางๆเพราะว่าเอ่อหลักการใน
00:17:08 → 00:17:12 พวกนี้ครับเรามีผู้คนที่กำลังเจอ
00:17:12 → 00:17:14 สถานการณ์ไม่เหมือนกัน
00:17:14 → 00:17:17 บางคนปฏิเสธผู้มีอำนาจแล้วกลายเป็นหายนะ
00:17:17 → 00:17:19 บางอย่างที่ย้อนกลับมาหาตัวเองอันเนี้ย
00:17:19 → 00:17:22 หายนะอันนี้เลยต้องประมาณเอาว่าสถานการณ์
00:17:22 → 00:17:24 หน้างานเป็นยังไง
00:17:24 → 00:17:26 แต่สำหรับบางคนนะครับมันเป็นการปฏิเสธที่
00:17:26 → 00:17:28 ไม่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในเชิงอิทธิพล
00:17:28 → 00:17:32 นะแต่เป็นผู้มีอำนาจหรือมีอิทธิพลต่อทาง
00:17:32 → 00:17:35 จิตใจเขาเช่นปฏิเสธเพื่อนบางคนปฏิเสธพ่อ
00:17:36 → 00:17:38 เขาปฏิเสธแม่เขาคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นผู้
00:17:38 → 00:17:42 ที่มีอำนาจแบบนั้นแต่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อ
00:17:42 → 00:17:45 ความรู้สึกทางใจในเชิงคุณค่าบางอย่างใน
00:17:45 → 00:17:48 เชิงบุคคลที่มีความหมายบางอย่างกับเราการ
00:17:48 → 00:17:50 ปฏิเสธพ่อปฏิเสธแม่ปฏิเสธเพื่อนคนสำคัญ
00:17:50 → 00:17:54 บางครั้งมันเป็นความรู้สึกเหมือนเรากำลัง
00:17:54 → 00:17:55 จะเสียความสัมพันธ์ที่ดีไปหรือเปล่ากับคน
00:17:55 → 00:17:58 พวกนี้ก็เหมือนกลัวอะไรอย่างนี้ด้วยความ
00:17:58 → 00:18:03 กลัวมันเลยทำให้จำเป็นต้องตกปลาละคำหรือ
00:18:03 → 00:18:05 บางคนก็ไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วคนคนนี้
00:18:05 → 00:18:07 ปฏิเสธไปเถอะต่อให้หักกันก็ไม่เป็นปัญหา
00:18:07 → 00:18:10 ปฏิเสธไปก็ได้นี่
00:18:10 → 00:18:12 ทีนี้มันเหมือนกับว่าพอเขาไม่ได้มีการคัด
00:18:12 → 00:18:14 กรองว่าจะต้องไปเสียใครบ้างมันก็เลยรับ
00:18:14 → 00:18:16 มั่วซั่วอรหันต์เรื่องส่วนตัวหมดหาทำเป็น
00:18:16 → 00:18:19 ทุกวันแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นการเดอะแบก
00:18:19 → 00:18:21 โดยที่ไม่จำเป็นและบางครั้งการตบปากรับคำ
00:18:21 → 00:18:25 พวกนี้ครับกลายเป็นการสปอยคนอื่นด้วยจะ
00:18:25 → 00:18:27 ปล่อยให้คนอื่นเขียนนิสัยหรือทำให้คนอื่น
00:18:27 → 00:18:30 เกิดการจดจำว่าถ้าขาดเหลืออะไรมาบอกเรา
00:18:30 → 00:18:32 เดี๋ยวเราทำให้หมดแหละไม่มีคำว่าผิดหวัง
00:18:32 → 00:18:35 หรอกอย่างนี้ครับทีนี้กลายเป็นว่าตัวเรา
00:18:35 → 00:18:36 ก็เลยไม่ได้เซฟตัวเองไม่ได้ปกป้องตัวเอง
00:18:36 → 00:18:39 คนอื่นก็ชินกับการที่จะต้องเอามาเอา
00:18:39 → 00:18:41 เปรียบเราหรือเขาอาจจะไม่ได้คิดเลยว่า
00:18:41 → 00:18:43 เฮ้ยคิดเผื่อว่าเราเหนื่อยไหมเราไหวหรือ
00:18:43 → 00:18:46 เปล่าไม่มีทางก็หรอกไม่ถามขอเลยง่ายๆ
00:18:46 → 00:18:48 อย่างนี้ครับเพราะงั้นบางทีตรงนี้ก็ต้อง
00:18:48 → 00:18:49 ระวังเราอาจจะกลายเป็นตัวแบกโดยที่ไม่
00:18:49 → 00:18:52 จำเป็นก็ได้กับคนที่ไม่ควรจะได้สิ่งนั้น
00:18:52 → 00:18:55 จากเราด้วยโอ้โหฟังดูแล้วนี่ไม่รู้ว่า
00:18:55 → 00:18:58 เข้าไปกี่ข้อแล้วนะครับผมรู้สึกว่าเอ๊ะ
00:18:58 → 00:19:00 หรือกำลังเป็นเดอะแวกอยู่หรือเปล่าอะไร
00:19:00 → 00:19:03 ประมาณนี้นะคะแต่ว่าคือการมีความรับผิด
00:19:03 → 00:19:05 ชอบอ่ะมันเป็นสิ่งที่ดีนะคะคุณผู้ฟังแต่
00:19:05 → 00:19:08 ว่าคือถ้ามันมากเกินไปซึ่งคำว่ามากเกินไป
00:19:08 → 00:19:11 เนี่ยก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนรับได้มากน้อยแค่
00:19:11 → 00:19:14 ไหนบางคนอาจจะบอกเอ้ยอันเนี้ยคือมากแล้ว
00:19:14 → 00:19:16 นะแต่ในอีกคนนึงมองรู้สึกว่าเฮ้ย
00:19:16 → 00:19:19 เดียวเองอ่ะไม่ไหวแล้วหรอก็เป็นไปได้นะคะ
00:19:19 → 00:19:22 เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีไม่ได้มีผิดไม่ได้
00:19:22 → 00:19:26 มีถูกอะไรมาแบบเจาะจงว่าแบบนี้เกินไปแล้ว
00:19:26 → 00:19:28 นะคะแล้วก็อีกอย่างนึงคือเวลาที่มันเกิด
00:19:28 → 00:19:30 ข้อผิดพลาดค่ะคุณเอิ้นแล้วก็จะรู้สึกว่า
00:19:30 → 00:19:34 เป็นมันเป็นความผิดของตัวเองอ่าอันนี้ก็
00:19:34 → 00:19:37 The Bag แน่ๆละดึงเข้าตัวหมด
00:19:37 → 00:19:40 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันอาจจะมีข้อผิด
00:19:40 → 00:19:44 พลาดได้ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตน่ะนะคะ
00:19:44 → 00:19:46 จำมากจะน้อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุก
00:19:46 → 00:19:48 อย่างต้องมาโทษที่ตัวเองใช่หรือแม้
00:19:48 → 00:19:50 กระทั่งสัดส่วนของความผิดหรือสิ่งที่เกิด
00:19:50 → 00:19:53 ขึ้นเนี่ยครับมันอาจจะมีเราเป็นส่วนหนึ่ง
00:19:53 → 00:19:55 ในนั้นก็ได้แต่อาจจะมีคนอื่นเป็นส่วน
00:19:55 → 00:19:58 หนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกันทีนี้บางทีจริต
00:19:58 → 00:20:02 เดอะแบกนิสัยจะแบกเช่นรับไว้เองมักชอบดึง
00:20:02 → 00:20:04 เข้าตัวทั้งหมดโดยที่ไม่ได้แยกว่าจริงๆ
00:20:04 → 00:20:05 มันก็มีส่วนอื่นจากคนอื่นด้วยเหมือนกันนะ
00:20:05 → 00:20:07 อย่างนี้ครับ
00:20:07 → 00:20:11 แต่จริงๆก็เอ่อมันเป็นภาวะของความรู้สึก
00:20:11 → 00:20:13 อันนี้มันเหมือนแบบคนที่มันเป็นมีความ
00:20:13 → 00:20:16 เป็นผู้นำสูงไหมที่เขาจะชอบแบกอะไรไว้แบบ
00:20:16 → 00:20:20 ก็ด้วยอ่ะด้วยคือบุคลิกผู้นำก็มีหลายแบบ
00:20:20 → 00:20:22 ผู้นำที่ชอบแบบไว้เองฉายเดี่ยวโซโล่แล้ว
00:20:22 → 00:20:25 ก็ให้ทุกคนตามแล้วแต่เราสั่งอันนั้นก็
00:20:25 → 00:20:28 แล้วก็จริตผู้นำที่เหมือนกับชอบสั่งการ
00:20:28 → 00:20:31 โยนงานออกจากตัวก็มีเพราะฉะนั้นความเป็น
00:20:31 → 00:20:34 ผู้นำก็มีหลายแบบนี้ครับแต่ว่าความเป็น
00:20:34 → 00:20:35 ออกแบบมักจะเกิดขึ้นกับความรู้สึกรับผิด
00:20:35 → 00:20:39 ชอบที่อาจจะมากเกินไปหรืออาจจะพยายามอยาก
00:20:39 → 00:20:41 จะควบคุมทุกอย่างให้ให้แบบอยู่ใน scope
00:20:41 → 00:20:43 ที่เราจัดการของเราเองอย่างนี้ครับหรือ
00:20:43 → 00:20:45 บางทีเราอาจจะคิดแทนคนอื่นไปแล้วก็ได้ว่า
00:20:45 → 00:20:48 เขาอาจจะทำไม่ได้แต่ว่าเอองั้นเดี๋ยวทำ
00:20:48 → 00:20:51 ให้เองละกันใช่ครับก็เลยแบกไปหลังหักเลย
00:20:51 → 00:20:54 ตอนนี้เป็น the back หลังแอ่นนะคะ
00:20:54 → 00:20:57 น้องแอ่นนะคะตอนนี้เป็น The Bag กันไป
00:20:57 → 00:21:00 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นเดอะแบด
00:21:00 → 00:21:03 แล้วแบกกันไปตลอดชีวิตจนกว่าจะหาไม่กัน
00:21:03 → 00:21:05 ขนาดนั้นก็ไม่ใช่แต่ว่ามันมีวิธีที่แบบ
00:21:05 → 00:21:10 ว่าเราอาจจะปรับตัวเองได้เนาะความคิดมุม
00:21:10 → 00:21:13 มองอย่างเงี้ยเราปรับได้ใช่ไหมถ้าเกิดเรา
00:21:13 → 00:21:16 รู้สึกว่าแบบเอออันนี้คืออ่ะเราแสดงความ
00:21:16 → 00:21:18 รับผิดชอบเต็มที่แล้วเอ้ยเรื่องบางเรื่อง
00:21:18 → 00:21:20 เนี่ยมันไม่ได้หมายความว่ามันมีข้อผิด
00:21:20 → 00:21:23 พลาดแล้วมันจะเป็นแต่ความผิดของเราบางที
00:21:23 → 00:21:26 มันอาจจะโดยปัจจัยบางอย่างทำให้สถานการณ์
00:21:26 → 00:21:29 นั้นมันไม่ได้ครบสมบูรณ์ 100% ก็ได้สุด
00:21:29 → 00:21:31 ท้ายมันจบที่การยอมรับและปล่อยวางแล้วว่า
00:21:31 → 00:21:33 บางอย่างมันก็ต้องหลุดลอยออกไปที่ไม่
00:21:33 → 00:21:36 สามารถอยู่ในการควบคุมได้
00:21:36 → 00:21:39 เบาๆบ้างปล่อยๆบ้างนะคะมันมีข้อผิดพลาด
00:21:39 → 00:21:42 ได้อยู่แล้วแหละเราคือใครจะไปเพอร์เฟค
00:21:42 → 00:21:46 100% เนอะขนาดนั้นเลยหรือว่าแม้กระทั่ง
00:21:46 → 00:21:48 อย่างที่บอกว่าเวลาที่มีใครให้อะไรมาเรา
00:21:48 → 00:21:51 ก็ต้องปฏิเสธบ้างใช่ไหมเพราะว่าไม่งั้น
00:21:51 → 00:21:52 เราก็จะแบบ
00:21:52 → 00:21:55 รับเอาไว้เองตัวแตก
00:21:55 → 00:21:59 อันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของกินใช่ไหม
00:21:59 → 00:22:03 เรามีงานอะไรที่แบบสำคัญอยู่อ่ะอันนี้ที่
00:22:03 → 00:22:04 เห็นเลยนะเอาจากที่ทำงานตัวเองนี่แหละ
00:22:04 → 00:22:07 เพราะไม่ได้เห็นที่ทำงานอื่นเท่าไหร่ก็จะ
00:22:07 → 00:22:09 มีน้องคนหนึ่งคือเขาไม่ได้เป็นเดอะแบก
00:22:09 → 00:22:12 หรอกแต่มีความรู้สึกว่าใครเรียกปุ๊บเนี่ย
00:22:12 → 00:22:16 เขาไปบริการได้ตลอดเลยเดี๋ยวไปช่วยคนนั้น
00:22:16 → 00:22:20 ก็ผู้หญิงได้ตลอดเราก็เราก็ได้แต่นั่งมอง
00:22:20 → 00:22:22 แล้วเรารู้สึกว่าอืมอันนี้ออกแนวที่แบบ
00:22:22 → 00:22:25 ว่าเออเขาก็มีน้ำจืดน้ำใจนะอะไรเงี้ยแต่
00:22:25 → 00:22:26 ว่ามันไม่ได้เชิง the back หรอกแต่ว่า
00:22:26 → 00:22:30 บางทีก็ต้องมองด้วยว่าตอนนี้เรากำลังทำ
00:22:30 → 00:22:35 อะไรอยู่เนาะไม่ใช่แบบว่าได้ไปหมดเลย
00:22:35 → 00:22:36 [เพลง]
00:22:36 → 00:22:39 แหละเนาะของพวกนี้มันเป็นหน้างานที่แบบ
00:22:39 → 00:22:41 แต่ละคนต้องตัดสินใจเองอ่ะครับ
00:22:41 → 00:22:44 เราจะแบกคือถ้ามันไม่ไหวถ้ามันไม่ไหวเรา
00:22:44 → 00:22:47 ก็ต้องวางก็ควรจะวางใจแล้วจริงๆแล้วเรา
00:22:47 → 00:22:48 ควรจะ
00:22:48 → 00:22:50 เราควรจะเห็นทิศทางหรือแนวโน้มของการที่
00:22:50 → 00:22:53 ต้องแบกน้ำหนักมากขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเรา
00:22:53 → 00:22:55 เห็นทิศทางแล้วเราควรจะป้องกันหรือป้อง
00:22:55 → 00:22:57 ปรามให้มันไม่ต้องแบกหนักเกินไปตั้งแต่
00:22:57 → 00:22:58 เนินๆจะดีกว่า
00:22:58 → 00:23:02 คือคำว่าแบกไว้เนี่ยมันดูเป็นนามธรรมมาก
00:23:02 → 00:23:04 ค่ะคุณเอิ้นแล้วก็แบบเราไม่รู้ว่าบอกให้
00:23:04 → 00:23:07 วางวางแบบไหนมันไม่ใช่เป็นสิ่งของที่เรา
00:23:07 → 00:23:09 จับเออแบกหลังอยู่แล้ววางลงแล้วมันจะได้
00:23:09 → 00:23:12 เบาขึ้นแต่อันนี้มันเป็นความรู้สึกอ่ะมัน
00:23:12 → 00:23:15 จะทำยังไงอ่ะสุดท้ายมันเป็นความมันเป็น
00:23:15 → 00:23:17 ความผูกมัดผูกพันทางใจว่าเรามีความรับผิด
00:23:17 → 00:23:18 ชอบต่อสิ่งนี้
00:23:18 → 00:23:21 อย่างนี้ครับทีนี้ถ้าถามว่าจะแบบไปเรื่อย
00:23:21 → 00:23:24 ๆได้ไหมแล้วแต่คนบางคนอาจจะเข้าถึงการ
00:23:24 → 00:23:25 ปล่อยวางได้จากการแบกจนไม่ไหวแล้วก็ได้
00:23:25 → 00:23:30 ครับอันนี้คือแบบที่ 1 คือคือแบกไปเลยคุณ
00:23:30 → 00:23:32 อยากแบกคุณแบกสุดไปเลยอ่าจนกว่าคุณจะเห็น
00:23:33 → 00:23:34 ว่าการแบบนี้ช่างไร้ประโยชน์เหลือเกินกับ
00:23:34 → 00:23:37 ชีวิตของคุณและคนอื่นเออไม่น่าแบ่งมานาน
00:23:37 → 00:23:39 แล้วเลยเหลืออะไรแล้วแต่บางครั้งคนก็เข้า
00:23:39 → 00:23:42 ถึงปัญญายุทธนี้ได้จากการที่แบบจนกระทั่ง
00:23:42 → 00:23:45 สุดทางอื้มแต่ก็มีบางคนที่แบบใช้วิธีนี้
00:23:45 → 00:23:51 แล้วหลุดหายไปเลยก็มีนะแบกแล้วก็ตายเลย
00:23:51 → 00:23:54 จะมีบางคนที่สามารถเข้าถึงเข้าถึงความ
00:23:54 → 00:23:57 เข้าใจบางอย่างได้ผ่านกระบวนการคิดโดยที่
00:23:57 → 00:24:00 ไม่ต้องแบกหนักนานเกินไปก็มีอันนี้ขึ้น
00:24:00 → 00:24:03 กับไหวพริบปฏิภาณของแต่ละคนแล้วว่าจะมี
00:24:03 → 00:24:05 ไหวพริบปฏิภาณไม่เท่ากันคนบางคนต้องเจ็บ
00:24:05 → 00:24:08 ให้หนักก่อนถึงจะเข้าใจแต่คนบางคนเจ็บนิด
00:24:08 → 00:24:09 นึงหรืออาจจะเห็นตัวอย่างจากคนอื่นมาบ้าง
00:24:09 → 00:24:12 ก็พอรู้แล้วว่าควรทำอะไร
00:24:12 → 00:24:15 อันนี้เลยแล้วแต่คนที่จะคล้ายๆปล่อยความ
00:24:15 → 00:24:17 หนักปล่อยความแบบปล่อยความรู้สึกว่าต้อง
00:24:17 → 00:24:20 รวบทุกอย่างไว้กับตัวอย่างนี้ครับ
00:24:20 → 00:24:25 อาจจะมีวิธีการแบ่งเบาอะไรบางอย่างเนี่ย
00:24:25 → 00:24:27 ออกจากชีวิตอาจจะใช้ระยะเวลาหน่อยก็ได้
00:24:27 → 00:24:30 เนาะคือเราแบ่งมันมานานอ่ะจริงๆแล้วต้อง
00:24:30 → 00:24:32 เป็นความเคยชินต้องบอกว่าบางทีเทคนิคนึง
00:24:32 → 00:24:35 ก็คือให้ถามตัวเองว่าถ้าสิ่งนี้เราลองปลด
00:24:35 → 00:24:38 ออกไปผลเสียจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ
00:24:38 → 00:24:39 แล้วให้ถามต่อว่าผลเสียที่เกิดขึ้นนั้น
00:24:39 → 00:24:42 เอาจริงๆมันร้ายแรงหรือเปล่าหรือเราจะ
00:24:42 → 00:24:45 ต้องถามตัวเองว่ามันร้ายแรงจริงไหมหรือ
00:24:45 → 00:24:46 มันจริงๆมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็
00:24:46 → 00:24:47 ได้
00:24:47 → 00:24:51 บางครั้งอ่ะครับเราอาจจะต้องเอาชนะความ
00:24:51 → 00:24:53 กลัวบางอย่างหรือการปรุงแต่งหรือการ
00:24:53 → 00:24:55 จินตนาการของเราว่าถ้าเราไม่แบกถ้าเราไม่
00:24:55 → 00:24:56 ทำ
00:24:56 → 00:24:59 มันจะเป็นหายนะหรือเป็นความเสียหาย
00:24:59 → 00:25:02 การท้าทายสิ่งนี้คือการเอาดูให้ชัดว่า
00:25:02 → 00:25:04 จริงๆมันจะเสียหายหรือเปล่าหรือจริงความ
00:25:04 → 00:25:08 เสียหายนี้ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับว่าถ้า
00:25:08 → 00:25:10 เราอยู่ในสถานการณ์ตัวเราจะรู้ดีที่สุด
00:25:10 → 00:25:14 ว่าว่าเราควรที่จะต้องทำยังไงใช่ครับโดย
00:25:14 → 00:25:16 ที่ไม่ต้องแบบบางทีอาจจะไม่ได้ต้องมีคน
00:25:16 → 00:25:18 อื่นมาบอกเลยด้วยซ้ำใช่ๆเพราะว่ามันเริ่ม
00:25:18 → 00:25:21 รู้สึกละมันเริ่มแบบตัวเราจะรู้แหละว่า
00:25:21 → 00:25:23 เราเป็น The Bank อยู่หรือเปล่า
00:25:23 → 00:25:27 แต่ถ้าเกิดว่ามีคนมามาบอกเราถ้าไม่ไหวก็
00:25:27 → 00:25:31 อยู่นิ่งๆบ้างหรืออะไรบ้างอะไรบ้างอาจจะ
00:25:31 → 00:25:33 เหลือแค่บางส่วนที่สำคัญบางส่วนที่มันรู้
00:25:33 → 00:25:36 สึกว่าสำคัญน้อยลงมาก็จริงๆไปบ้างเหมือน
00:25:36 → 00:25:38 กับว่าต้องถามใจตัวเองกลับไปถามใจตัวเอง
00:25:38 → 00:25:43 ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเกิดผลดีผลเสียผล
00:25:43 → 00:25:47 กระทบยังไงถ้าถ้าเกิดกินไม่เค้าเรียกอะไร
00:25:47 → 00:25:49 อ่ะยังไม่ครบถ้วนเลยลองเขียนจดใส่กระดาษ
00:25:49 → 00:25:52 ดูก็ได้แล้วก็ลองดูว่ามันมันมีอะไรบ้าง
00:25:52 → 00:25:56 ที่มันน่าจะถ้าเกิดปล่อยวางไปปุ๊บเอ้ออัน
00:25:56 → 00:25:58 นี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรเออเรื่องนี้น่า
00:25:58 → 00:26:00 วางเนาะ
00:26:00 → 00:26:02 ก็ไม่อยากให้ใครเป็นเดอะแบร์เพราะรู้ว่า
00:26:02 → 00:26:05 เหนื่อยนะคะชีวิตเราต้องมีความสุขค่ะนะ
00:26:05 → 00:26:08 สุขมากสุขน้อยบางทีเราไม่จำเป็นจะต้องไป
00:26:08 → 00:26:11 หาความสุขที่เป็นก้อนใหญ่ๆก้อนโตๆเราอาจ
00:26:11 → 00:26:13 จะหาความสุขได้จากเล็กๆน้อยๆกับการที่บาง
00:26:13 → 00:26:16 ทีเราอาจจะแบกอะไรน้อยลงมันอาจจะเป็นความ
00:26:16 → 00:26:19 สุขขึ้นมาเป็นความเบา
00:26:19 → 00:26:22 ฟังดูเป็นนามธรรมแต่จับต้องได้นะจ๊ะด้วย
00:26:22 → 00:26:24 ความรู้สึกว่าวันนี้ขอบคุณคุณเอิ้นด้วยนะ
00:26:24 → 00:26:26 คะที่มาให้ความรู้กับเราวันนี้ค่ะสวัสดี
00:26:26 → 00:26:29 ค่ะเอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังค่ะหมดเวลากับราย
00:26:29 → 00:26:31 การโรงหมอของเราในวันนี้แล้วนะคะพบกัน
00:26:31 → 00:26:33 ใหม่ครั้งหน้าค่ะขอบคุณที่ติดตามรับฟัง
00:26:33 → 00:26:36 วันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Thai
00:26:36 → 00:26:37 PBS
00:26:37 → 00:26:40 ทักษะและความเก่งของแต่ละคนมีไม่เหมือน
00:26:40 → 00:26:42 กันตัวแปรที่มาเกี่ยวข้องก็คือความชอบ
00:26:42 → 00:26:45 เพราะอะไรผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรจันทร์
00:26:45 → 00:26:47 วิภาดิลกสัมพันธุ์ผู้เชี่ยวชาญด้านความ
00:26:47 → 00:26:50 สัมพันธ์และครอบครัวมาเล่าให้ฟังครับ
00:26:50 → 00:26:53 ความเก่งตามค่านิยมของสังคมเราในปัจจุบัน
00:26:53 → 00:26:56 โดยทั่วๆไปเนี่ยถ้าเราพูดถึงถ้าเก่งทาง
00:26:56 → 00:26:59 วิชาการวัดกันด้วยเกรดหรือผลสอบหรือที่
00:26:59 → 00:27:02 บอกว่าเป็นสเป็นดรเป็นอะไรต่างๆมันก็ต้อง
00:27:02 → 00:27:05 มีการสอบผ่านเพราะฉะนั้นทางวิชาการเนี่ย
00:27:05 → 00:27:07 มันก็จะมีเรื่องของความรู้อาจจะเป็น
00:27:07 → 00:27:10 เรื่องของภาษานะคะแต่บางคนอาจจะเก่งใน
00:27:10 → 00:27:13 เรื่องของการเข้าสังคมอะไรต่างๆเหล่านี้
00:27:13 → 00:27:16 เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะมีความเก่งไปต่างๆ
00:27:16 → 00:27:19 กันนะคะทีนี้ความเก่งมันจะอยู่กับเราตลอด
00:27:19 → 00:27:22 ไหมนะคะสมมติว่าเราเคยเก่งภาษาอังกฤษตอน
00:27:22 → 00:27:26 อยู่ประถมแล้วเราไม่ได้ใช้มันเลยพอเข้าไป
00:27:26 → 00:27:29 สู่ในในเมื่อโตขึ้นแล้วเนี่ยเราไม่ได้ใช้
00:27:29 → 00:27:32 ภาษาอังกฤษเลยเราทำงานในวงคนไทยหมดเลยทำ
00:27:32 → 00:27:35 เก่งมันจะหายไปไหมคะอ้ามันจางไปนะคะเพราะ
00:27:35 → 00:27:38 ฉะนั้นความเก่งตรงเนี้ยมันก็เลยขึ้นกับ
00:27:38 → 00:27:42 ทักษะอีกตัวนึงนะคะก็คือได้ทำสิ่งนั้น
00:27:42 → 00:27:45 ตลอดไหมบ่อยๆไหมจนทำให้ความเก่งนะมันคง
00:27:45 → 00:27:48 อยู่ถูกมั้ยคะมันก็กลายเป็นเรื่องของ
00:27:48 → 00:27:52 ทักษะไปนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเรามีความ
00:27:52 → 00:27:56 รู้เราเก่งแล้วเราพิทักษะแต่เราไม่ได้ใช้
00:27:56 → 00:28:01 ไม่ได้ใช้งานมันก็หายไปได้ถูกไหมคะมันมี
00:28:01 → 00:28:03 โอกาสได้ใช้เลยเพราะฉะนั้นเนี่ยเขาจึงบอก
00:28:03 → 00:28:06 ว่าเราต้องแยกแยะให้ออกก่อนตั้งแต่ลำดับ
00:28:06 → 00:28:08 แรกเลยนะคะว่า
00:28:08 → 00:28:11 ถ้าความเก่งในเรื่องนั้นๆว่าถ้าเรามีความ
00:28:11 → 00:28:14 ชอบเนี่ยในเรื่องนั้นๆด้วยเรื่องนั้นมัน
00:28:14 → 00:28:19 จะพัฒนาได้เร็วมากนะคะแต่คนเราเนี่ยมันมี
00:28:19 → 00:28:22 ความสามารถเยอะมากเลยรอบตัวมันไม่ใช่แค่
00:28:22 → 00:28:25 เรื่องเดียวนะคะแต่ในโบราณน่ะมันจะมีคำ
00:28:25 → 00:28:29 พูดที่บอกว่ารู้จริงสิ่งเดียวอาจมีมั่ง
00:28:29 → 00:28:32 แล้วก็หมายความว่าชี้ให้เห็นว่าคนเราเก่ง
00:28:32 → 00:28:34 อะไรแค่อย่างเดียวเหมือนกับคนที่ทำกับ
00:28:34 → 00:28:37 ข้าวขายอ่ะนะฮะบางเจ้าเนี่ยทอดหมูอร่อย
00:28:37 → 00:28:40 บางเจ้าทำข้าวต้มมัดอร่อยบางเจ้าทำอะไร
00:28:40 → 00:28:44 เขาก็ขายดิบขายดีมาจนถึงชั่วลูกชั่วหลาน
00:28:44 → 00:28:46 เลยอันเนี้ยนะฮะคือความเก่งที่แบบว่ารู้
00:28:46 → 00:28:49 จริงสิ่งเดียวอาจแต่จริงๆแล้วเนี่ยคนเรา
00:28:49 → 00:28:51 มันไม่ได้รู้แค่อย่างเดียวหรอกมันทำอะไร
00:28:51 → 00:28:54 ได้อีกตั้งเยอะแหนะนะฮะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:28:54 → 00:28:57 จึงบอกว่าถ้าคนเราเนี่ยนะคะเริ่มรู้ว่า
00:28:57 → 00:28:58 เราเก่งอะไร
00:28:58 → 00:29:02 แล้วบวกกับความชอบลงไปด้วยแล้วตั้งจุด
00:29:02 → 00:29:04 มุ่งหมายให้ดีเนี่ยมันจะทำให้เราสามารถ
00:29:04 → 00:29:13 พัฒนาสิ่งนั้นไปได้ดีมากเลยค่ะ
00:29:13 → 00:29:17 ติดตามรายการทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
00:29:17 → 00:29:20 ของไทยพีแบสถ์ spotify soundcloud
00:29:20 → 00:29:23 Google podcast Apple podcast และ
00:29:23 → 00:29:26 YouTube Channel Thai PBS portcast
00:29:26 → 00:29:31 Thai PBS
00:29:31 → 00:29:36 [เพลง]