00:00:00 → 00:00:02 This is Thai PBS podcast viiew
00:00:03 → 00:00:06 the world by the voice
00:00:06 → 00:00:09 >> คือบางคนเนี่ยส่องกระจกแล้วก็พบว่าโอ้อี
00:00:09 → 00:00:12 ทุเรศอีทุเรศอีทุเรศทำไมเธอถึงได้น่า
00:00:12 → 00:00:14 เกลียดอย่างงี้ทำไมเธอถึงได้อะไรอย่าง
00:00:15 → 00:00:17 เงี้ยสะกดจิตตัวเองหน้ากระจกทุกวัน
00:00:17 → 00:00:19 >> เพราะฉะนั้นพอออกไปไหนเนี่ยมันก็จะเหมือน
00:00:19 → 00:00:21 กับอยากจะกลืนเข้าไปกับกำแพงไ่ะอย่าให้
00:00:21 → 00:00:24 ใครเห็นฉันนักเพราะฉะนั้นเอาใหม่ค่ะส่อง
00:00:24 → 00:00:27 กระจกปั๊บโอ้เธอสวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์
00:00:27 → 00:00:30 ฉลาดและแสนดีไม่ได้โกหกตัวเองแต่เรามอง
00:00:31 → 00:00:34 ว่าสิ่งที่เรามีดีในตัวเราเนี่ยคืออะไรตา
00:00:34 → 00:00:35 ฉันก็ไม่ได้เขนะ
00:00:35 → 00:00:39 >> จมูกฉันก็ไม่ได้บี้มากนะปากฉันก็ไม่ต้อง
00:00:39 → 00:00:42 สวยมากแต่ฉันก็ไม่เบี้ยวนะการคิดบวกเนี่ย
00:00:42 → 00:00:44 มันคือเสน่ห์อันมหาศาลเลย
00:00:44 → 00:00:48 >> ที่จะดึงดูดคนรอบข้างมา
00:00:48 → 00:00:51 >> ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:51 → 00:00:55 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:55 → 00:00:58 >> This is Thai PBS Podcast
00:00:58 → 00:01:01 >> คุณผู้ฟังคะวันเราจะเปลี่ยนจากคนธรรมดา
00:01:01 → 00:01:04 ให้มีเสน่ห์คุณผู้ฟังเคยสังเกตมั้คะบางคน
00:01:04 → 00:01:08 นะหน้าตาอาจจะไม่ได้สวยมากแต่มีเสน่ห์มาก
00:01:08 → 00:01:12 แต่บางคนสวยแต่ดูแล้วก็เฉยๆดูไม่มีมิติ
00:01:12 → 00:01:15 เออว่าอย่างงั้นเถอะนะคะทีนี้เราจะสร้าง
00:01:15 → 00:01:18 ความธรรมดาให้มีเสน่ห์ได้อย่างไรนะคะคุย
00:01:18 → 00:01:20 กับผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จันวิภาลก
00:01:21 → 00:01:23 สัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยราชภัฏ
00:01:23 → 00:01:25 บ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้เชี่ยวชาญด้านความ
00:01:25 → 00:01:27 สัมพันธ์และครอบครัวค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์
00:01:27 → 00:01:28 ขา
00:01:28 → 00:01:30 >> ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะท่านผู้ฟังทุกท่าน
00:01:30 → 00:01:31 นะคะ
00:01:31 → 00:01:33 >> วันนี้มาชวนอาจารย์แนะนำให้คุณผู้ฟังได้
00:01:33 → 00:01:35 มาแต่งเติมเสริมเพิ่มเสน่ห์
00:01:35 → 00:01:38 >> ทำได้มั้คะอาจารย์เราจะปรับเปลี่ยนตัวเอง
00:01:38 → 00:01:38 ได้มั้คะ
00:01:38 → 00:01:42 >> ทำได้ค่ะทำได้บอกได้เลยว่าทำได้แน่นอนนะ
00:01:42 → 00:01:45 คะเพราะได้กับตัวเองนะฮะ
00:01:45 → 00:01:48 >> คุณสุรีพรเห็นใช่มั้คะว่าจันทิภานี้สวย
00:01:48 → 00:01:50 ขนาดไหนตั้งแต่เป็นสาวมาเนี่ยความสวยไป
00:01:50 → 00:01:52 อยู่หางแถวเลยนะคะ
00:01:52 → 00:01:52 >> ว่าไป
00:01:52 → 00:01:56 >> อ่าท่านผู้ฟังไม่เห็นนะคะแต่คุณสุรีพร
00:01:56 → 00:01:59 เห็นนะเพราะว่าจะพารู้ตัวเองว่าตอนที่เรา
00:01:59 → 00:02:01 เป็นสาวๆเป็นเด็กๆเนี่ยเราก็คิดแบบเนี้ย
00:02:02 → 00:02:05 ว่าเราเป็นคนไร้เสน่หาโดยสิ้นเชิงขี้เหล่
00:02:05 → 00:02:07 ที่สุดอะไรที่สุดแล้วก็ไปอยู่ในกลุ่ม
00:02:07 → 00:02:10 เพื่อนที่เขาสวยเป็นนางฟ้ากันทั้งกลุ่มนะ
00:02:10 → 00:02:13 คะพี่สาวก็เป็นดาวมหาวิทยาลัยแต่ดาวเรา
00:02:13 → 00:02:16 เนี่ยเป็นดาวซินด
00:02:16 → 00:02:20 >> อะไรอย่างเงี้ยนะคะแต่ปรากฏว่าพอเวลาผ่าน
00:02:20 → 00:02:21 ไปค่ะ
00:02:21 → 00:02:24 >> เรากลับเป็นคนที่มีคนมารุมล้อม
00:02:24 → 00:02:24 >> อ่า
00:02:24 → 00:02:27 >> อันนี้ไม่ได้มุสาเพราะคุณสุรีพรคอยยืนยัน
00:02:27 → 00:02:28 อยู่
00:02:28 → 00:02:30 >> นะคะไม่ว่าไปไหนเนี่ยมีแต่คนเข้ามาหาเรา
00:02:30 → 00:02:32 ตลอดเวลา
00:02:32 → 00:02:35 >> อ่าอยากมาคุยอยากพูดจาอยากอะไรแต่อะไร
00:02:35 → 00:02:38 เงี้ยพอเราเล่าอะไรก็จะคนฟังกันตรึมอะไร
00:02:38 → 00:02:39 อย่างเงี้ยนะคะ
00:02:39 → 00:02:42 >> เนี่ยค่ะคือเสน่ห์นะฮะซึ่งเรามารู้เอาตอน
00:02:42 → 00:02:45 ที่เราแก่แล้วเนาะ
00:02:45 → 00:02:45 >> ว่าไป
00:02:45 → 00:02:48 >> ก็เลยไม่ได้บริหารตอนเป็นสาวอะไรอย่าง
00:02:48 → 00:02:49 เงี้ยนะ
00:02:49 → 00:02:51 แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอกค่ะคือจริงๆแล้ว
00:02:51 → 00:02:54 เนี่ยการสร้างเสน่หของคนเราเนี่ยคนส่วน
00:02:54 → 00:02:57 ใหญ่มักจะคิดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาก่อน
00:02:57 → 00:02:57 >> อื
00:02:57 → 00:03:01 >> ถูกมคะต้องสวยต้องโอ้โหอย่างน้อยนี่ญาญ่า
00:03:01 → 00:03:04 เนาะอะไรอย่างเงี้ยนะคะหรือดาราที่เรา
00:03:04 → 00:03:08 ชื่นชอบต้องสวยดูดีเพเฟคอะไรอย่างเงี้ย
00:03:08 → 00:03:09 แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อ่ะค่ะ
00:03:09 → 00:03:11 >> นะคะปรากฏว่า
00:03:11 → 00:03:14 >> อันนั้นเนี่ยถามว่ามันมีส่วนมั้ยมันมี
00:03:14 → 00:03:16 ส่วนเพราะมันเป็นส่วนแรกที่ attractive
00:03:16 → 00:03:22 สายตาคนถูกมั้
00:03:22 → 00:03:27 เพะจึงให้ความสำคัญกับรูปภายนอกเยอะไป
00:03:27 → 00:03:30 สร้างเสน่ห์กันโดยไปเสริมนู่นเสริมนี่ฉีด
00:03:30 → 00:03:32 นั่นฉีดนี่นะคะ
00:03:32 → 00:03:35 >> ซึ่งทำให้เกิด First impression ที่ดี
00:03:35 → 00:03:37 สำหรับคนแรกพบ
00:03:37 → 00:03:39 >> แต่จะเห็นว่าบางคนเนี่ยแม้แต่ดาราที่เรา
00:03:39 → 00:03:42 เห็นในทีวีบางคนดูดี๊ๆนะ
00:03:42 → 00:03:42 >> อือฮึ
00:03:42 → 00:03:43 >> แต่ไม่มีเสน่ห์
00:03:43 → 00:03:44 >> มันเฉยๆ
00:03:44 → 00:03:46 >> เป็นนางเอกแล้วมันไม่ขึ้นเลยอะไรอย่าง
00:03:46 → 00:03:48 เงี้ยใช่แต่จริงๆเสวยนะ
00:03:48 → 00:03:51 >> สวยมากแต่เล่นแล้วไม่มีเสน่ห์ที่จะทำให้
00:03:51 → 00:03:53 คนติดตามในขณะที่บางคนเนี่ย
00:03:53 → 00:03:53 >> อ
00:03:53 → 00:03:55 >> ไม่ต้องสวยมาก
00:03:55 → 00:03:55 >> ค่ะ
00:03:55 → 00:03:58 >> แต่มันมีเสน่ห์อ่ะมันน่าเอ็นดูมันน่าติด
00:03:58 → 00:04:01 ตามน่าค้นหาเ้าเล่นอะไรแล้วเราก็เชื่อไป
00:04:01 → 00:04:03 ตามนั้นอะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:04:04 → 00:04:06 >> ออาจารย์คะคำว่ามีเสน่ห์เี่คือแบบว่าฟิว
00:04:06 → 00:04:09 แบบเอ๊ะต้องเล่นหูเล่นตาอะไรอย่างงี้
00:04:09 → 00:04:11 ชะม้อยรายตาม
00:04:11 → 00:04:13 >> ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ค่ะอันนั้นเเรียกว่าอ่อย
00:04:13 → 00:04:15 ค่ะ
00:04:15 → 00:04:18 >> นะคะซึ่งจริงๆการอ่อยแบบนั้นเนี่ยนะคะบาง
00:04:18 → 00:04:20 ทีมันไม่มีเสน่ห์เอาเลยแล้วบางทีผู้ชาย
00:04:21 → 00:04:22 บางคนเนี่ยเพราะอาจารย์วิภาเนี่ยอยู่ท่าม
00:04:22 → 00:04:25 กลางผู้ชายเยอะเนาะนะคะตลอดชีวิตมาเนี่ย
00:04:25 → 00:04:28 ผู้ชายเทุเรศเราด้วยซ้ำไปในบางครั้งคือ
00:04:28 → 00:04:31 มันอ่อยแบบไม่มีศิลปะไง
00:04:31 → 00:04:34 >> นึกออกมั้ยมันเป็นลักษณะของการให้ท่าเอ่อ
00:04:34 → 00:04:38 มีเอ่อศิลปินคนนึงคือน้าเนกนะฮะจะไม่พาไป
00:04:38 → 00:04:42 ฟังน้าเนกพูดว่าผู้หญิงบางคนเนี่ยคิดว่า
00:04:42 → 00:04:44 จะล่อผู้ชายโดยการเอาเซ็ก์มาล่อคำว่าเอา
00:04:45 → 00:04:48 เซ็ก์มาล่อก็คือแต่ง
00:04:48 → 00:04:50 ช่า
00:04:50 → 00:04:52 ว่าฉันพร้อมนะคะ
00:04:52 → 00:04:55 >> นกบอกว่าผู้หญิงที่เอาเซ็ก์มาล่อเนี่ยนะ
00:04:55 → 00:04:58 ครับมันก็ได้เซ็ก์กลับไปล่ะครับอย่าไปคิด
00:04:58 → 00:05:01 ว่าได้เอาเซ็ก์มาล่อแล้วจะได้ความรักกลับ
00:05:01 → 00:05:04 ไปจนชอบมากเลยคำพูดเนี้ยนะอยากให้เด็กสาว
00:05:04 → 00:05:05 ได้ฟังค่ะ
00:05:05 → 00:05:08 >> นะคะเพราะฉะนั้นตรงเนี้ยถ้าเราเอาเซ็ก์มา
00:05:08 → 00:05:11 ลอกเค้าเราก็ได้เซ็ก์กลับไปแน่นอนถามว่า
00:05:11 → 00:05:13 ผู้ชายเอามั้ยเอาค่ะใช่มั้ยคะ
00:05:14 → 00:05:17 >> เออใช่ไม่เสียหายอยู่ของอร่อยมาล่อตรง
00:05:17 → 00:05:19 หน้าทำไมไม่เอาแต่เอาไม่นานนะคะ
00:05:19 → 00:05:20 >> อ่า
00:05:20 → 00:05:22 >> เข้าใจมั้ยคะเก็เหมือนกับอยู่เล่นๆมาฉัน
00:05:22 → 00:05:26 ก็เล่นๆไปอะไรอย่างเงี้ยนะฮะเพราะฉะนั้น
00:05:26 → 00:05:28 การแต่งกายเนี่ยบางคนเนี่ย
00:05:28 → 00:05:31 >> ห่อเป็นข้าวต้มมัดเลยเดินไปไหนแต่ทำไมมัน
00:05:31 → 00:05:33 ดึงดูดสายตาล่ะ
00:05:33 → 00:05:33 >> อื
00:05:33 → 00:05:36 >> มันจะกลายเป็นเสน่ห์ที่เป็นเซ็ก์appิel
00:05:36 → 00:05:39 >> ที่ทำให้ผู้ชายเนี่อยากติดตาม
00:05:39 → 00:05:42 >> อยากเข้าหาอยากเข้าใกล้
00:05:42 → 00:05:44 >> ทั้งๆที่ไม่ได้แต่งตัวเชิญชวนอะไรเลย
00:05:44 → 00:05:45 >> อ่าอ่า
00:05:45 → 00:05:50 >> แต่ด้วยท่าทีลีลาการพูดจานะฮะการเดินเหิน
00:05:50 → 00:05:53 โพสเจอร์ต่างๆเนี่ยมันทำให้คนน่าติดตาม
00:05:53 → 00:05:53 >> อื
00:05:53 → 00:05:56 >> ถ้าสมัยแม่เนี่ยสมัยจันทร์วิภาเนี่ยนะคะ
00:05:56 → 00:05:59 ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเซ็ก์แิสูงมากเลยคือ
00:05:59 → 00:06:01 คุณเพ็ญพัก์สิริกุล
00:06:01 → 00:06:02 >> โอหพี่ตายพี่ตาย
00:06:02 → 00:06:05 >> แต่ถ้าเด็กสมัยเนี้ยเ้านึกไม่ออก
00:06:05 → 00:06:07 >> นึกออกมั้คะคุณเพ็ญพลักษ์ไม่ต้องแต่งตัว
00:06:07 → 00:06:08 โป๊เลยค่ะ
00:06:08 → 00:06:11 >> ใส่เสื้อปิดคอปิดแขนเธอก็เซ็กซี่ด้วยท่า
00:06:11 → 00:06:14 ทางด้วยอะไรแม้แต่ตอนเนี้ยเธออายุเท่า
00:06:14 → 00:06:16 ไหร่เธอก็ยังดูเซ็กซี่อยู่เลย
00:06:16 → 00:06:17 >> ใช่ดูเป็นนางพญาดูเป็น
00:06:17 → 00:06:20 >> อ่าแล้วเราไปถามผู้ชายในยุคเดียวกันถาม
00:06:20 → 00:06:21 ว่าในยุคนั้นเนี่ย
00:06:21 → 00:06:24 >> เวลาพูดถึงผู้หญิงเซ็กซี่คิดถึงใคร
00:06:24 → 00:06:24 >> คุณตายเยอะ
00:06:25 → 00:06:28 >> เยอะมากเกินร้อยละ 80 ที่คิดถึงคุณต่าย
00:06:28 → 00:06:29 >> อ่า
00:06:29 → 00:06:29 >> ถูกมั้คะ
00:06:30 → 00:06:31 >> ยุคปัจจุบันนี้ยังไม่
00:06:31 → 00:06:34 >> ยังไม่เห็นใครที่ได้อย่างเธอเลยเอาจริงๆ
00:06:34 → 00:06:34 นะ
00:06:34 → 00:06:38 >> ยังไม่เคยเห็นสาวๆคนไหนหมายถึงว่าคนที่
00:06:38 → 00:06:42 อยู่ในสายตาเราดารานะคะที่จะมีเซ็ก์แิสูง
00:06:42 → 00:06:44 เท่ากับคุณเพ็ญพัก์เลยทั้งๆที่เธอเธอไม่
00:06:44 → 00:06:48 เคยมีลักษณะของการพูดแบบยั่วยวนตาเยิ้มตา
00:06:48 → 00:06:49 ใสใส่ใครเลยนะ
00:06:49 → 00:06:52 >> ออกจากห้าวด้วยเหอะเสียงห้าวด้วยนะ
00:06:52 → 00:06:54 >> นะฮะแต่ว่าเธอมีอะไรที่มันเป็นเสน่ห์เห็น
00:06:55 → 00:06:58 มั้ยคะนะฮะหรืออีกหลายๆคนในระยะยาวเนี่ย
00:06:58 → 00:07:01 อะไรที่มันสำคัญกว่าระหว่างภายนอกกับภาย
00:07:01 → 00:07:04 ในระยะยาวนะคะที่เราบอกว่าเราอยากจะให้คน
00:07:05 → 00:07:08 สนใจเราเนี่ยแน่นอนภายนอกมัน attractive
00:07:09 → 00:07:11 แต่การที่จะคบคุณสวีพรจะคบใครเป็นเพื่อน
00:07:11 → 00:07:14 สักคนเนี่ยนอกหรือในที่สำคัญกว่ากัน
00:07:14 → 00:07:17 >> ข้างในมันต้องแบบว่าแนวเดียวหรือทางเดียว
00:07:17 → 00:07:19 กันนะฮะเพราะฉะนั้นการที่จะมีเสน่ห์และ
00:07:19 → 00:07:23 เอาชนะใจคนได้เนี่ยนะฮะเราต้องสร้างความ
00:07:23 → 00:07:26 ชื่นชมกับคนรอบข้างได้อย่างมีความสุข
00:07:26 → 00:07:27 >> อื
00:07:27 → 00:07:30 >> นะคะอาจารย์ขอให้ไว้แค่ 4 แนวสั้นๆ
00:07:30 → 00:07:33 >> นะฮะไม่ต้องจำเยอะนะคะแต่เป็นปฏิบัติจริง
00:07:33 → 00:07:34 ๆเนี่ย
00:07:34 → 00:07:37 >> ทำได้ใช่มั้แนวทางสร้างเสน่ห์อย่างแรกเลย
00:07:37 → 00:07:40 นะคะก็คือมีเสน่ห์จากภายใน
00:07:40 → 00:07:40 >> อื
00:07:40 → 00:07:43 >> อ่ามีเสน่ห์จากภายในที่มันแพ่ออกมาข้าง
00:07:43 → 00:07:47 ข้างนอกคุณชุรีพรเห็นคนที่มั่นใจในตัวเอง
00:07:47 → 00:07:49 เดินกับคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเดินเนี่ย
00:07:50 → 00:07:50 ต่างกันมั้คะ
00:07:50 → 00:07:51 >> ต่างกันเลยค่ะ
00:07:51 → 00:07:54 >> มากเลยเห็นมั้ยคะนั่นก็คือภายในที่มันฉาย
00:07:54 → 00:07:57 ออกมาสู่ภายนอกเริ่มจากที่เราเนี่ยเข้าใจ
00:07:57 → 00:07:57 ตัวเองก่อน
00:07:57 → 00:07:58 >> ออฮะ
00:07:58 → 00:08:00 >> รักและยอมรับตัวเองก่อน
00:08:00 → 00:08:00 >> อื
00:08:00 → 00:08:03 >> นะฮะชื่นชมตัวเองก่อน
00:08:03 → 00:08:03 >> โอ
00:08:03 → 00:08:06 >> นะฮะคือบางคนเนี่ยวิภาเป็นมาก่อนค่ะที่
00:08:06 → 00:08:09 เช้าขึ้นมาตอนที่เราเป็นวัยรุ่นส่องกระจก
00:08:09 → 00:08:14 เราก็พบว่าโอ้อีทุเรศอีทุเรศอีุเรศทำไม
00:08:14 → 00:08:16 เธอถึงได้น่าเกลียดอย่างงี้ทำไมเธอถึงได้
00:08:16 → 00:08:18 อะไรอย่างเงี้ยสะกดจิตตัวเองหน้ากระจกทุก
00:08:18 → 00:08:19 วัน
00:08:19 → 00:08:21 >> เพราะฉะนั้นพอออกไปไหนเนี่ยมันก็จะเหมือน
00:08:21 → 00:08:23 กับอยากจะกลืนเข้าไปกับกำแพงไอย่าให้ใคร
00:08:23 → 00:08:24 เห็นฉันนะ
00:08:24 → 00:08:26 >> มันมันกลายเป็นว่าคนนู้นสวยจังคนนี้สวย
00:08:26 → 00:08:29 จังเอออะไรี้เพราะว่าเราเนี่ยถูกถูกแบบ
00:08:29 → 00:08:30 นั้นมาตั้งแต่เด็ก
00:08:30 → 00:08:33 >> คนชอบเอาไปเปรียบเทียบกับคนที่สวยกว่า
00:08:33 → 00:08:36 แล้วก็มาพูดให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอะไรอย่าง
00:08:36 → 00:08:39 เงี้ยนะคะจนทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง
00:08:39 → 00:08:42 >> เพราะฉะนั้นเอาใหม่ค่ะส่องกระจกปั๊บโอ้ห
00:08:42 → 00:08:45 เธอสวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์ฉลาดและแสนดี
00:08:45 → 00:08:46 >> บอกตัวเองอ
00:08:46 → 00:08:47 >> ค่ะ
00:08:47 → 00:08:50 >> นะคะไม่ได้โกหกตัวเองแต่เรามองว่าสิ่งที่
00:08:50 → 00:08:52 เรามีดีในตัวเราเนี่ยคืออะไร
00:08:52 → 00:08:53 >> ออือฮึ
00:08:53 → 00:08:57 >> นะฮะเราไม่ใช่คนสวยงามแต่ตาฉันก็ไม่ได้เข
00:08:57 → 00:09:00 นะจมูกฉันก็ไม่ได้บี้มากนะ
00:09:00 → 00:09:03 >> เออหน้าฉันกลมแต่ฉันก็พื้นที่ใช้สอยเยอะ
00:09:03 → 00:09:07 นะอ่าปากฉันก็ไม่ต้องสวยมากแต่ฉันก็ไม่
00:09:07 → 00:09:09 เบี้ยวนะนึกออกมั้ยคะ
00:09:09 → 00:09:10 >> เออเนาะ
00:09:10 → 00:09:14 >> อ่าคือเราไม่เคยคิดว่าการไม่ปราบเบี้ยวก็
00:09:14 → 00:09:15 ดีแล้วนะ
00:09:15 → 00:09:16 >> หรือ
00:09:16 → 00:09:20 >> เอ่อจมูกแบนมันก็เฮ้ยมันก็โอเคนะ
00:09:20 → 00:09:21 >> หรืออะไรอย่างงี้เนาะเออเราไม่เคยคิดอะไร
00:09:21 → 00:09:22 พวกอย่างงี้เลย
00:09:22 → 00:09:24 >> ใช่หูฉัน 2 ข้างก็ใกล้เคียงกันนะ
00:09:24 → 00:09:27 >> อ่าฉันไม่ได้มีอะไรพิกลพิการนะ
00:09:27 → 00:09:31 >> ถูกมั้ยคะมองในสิ่งดีของตัวเองนะคะตัว
00:09:31 → 00:09:34 จารวิภาเนี่ยเผอิญมีเพื่อนคนนึงซึ่งเป็น
00:09:34 → 00:09:38 ผู้ชายเมาบอกว่าเนี่ยเพวกนี้เเป็นอาร์ตนะ
00:09:38 → 00:09:42 คะเป็นพวกวาดรูปพวกอะไรเงี้ยเบอกนี่
00:09:42 → 00:09:45 เรารู้มั้ยน้องเนี้ยคนเนี้ยเ้าแอบวาดรูป
00:09:45 → 00:09:48 เราอ่ะเนี่ยไงอยู่บนโต๊ะเดี๋เอาให้ดูยัง
00:09:48 → 00:09:51 ไม่เสร็จเลยเราก็เค้าก็หยิบให้เราดูนะบอก
00:09:51 → 00:09:52 วาดทำไมเนี่ย
00:09:52 → 00:09:54 >> เ้าบอกว่าเ้าบอกว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงที่
00:09:54 → 00:09:56 ไหนปากสวยแบบนี้เลย
00:09:56 → 00:09:57 >> ว้าว
00:09:57 → 00:10:01 >> เออแล้วเพิ่งมาเห็นว่าเออเ้าดูเป็นส่วนนะ
00:10:01 → 00:10:03 พวกอาร์ตเนี่ยอ
00:10:03 → 00:10:05 >> นึกว่าจะองค์รวมไม่ปาก
00:10:05 → 00:10:09 >> อ่าเ้าชอบปากเชอบปากของเราก็เลยทำให้เรา
00:10:09 → 00:10:12 ในเริ่มมองมองเอ๊ยก็แปลว่าฉันมีอะไรดีนี่
00:10:12 → 00:10:14 ฉันไม่ได้ทุเรศแบบที่ฉันคิดนี่
00:10:14 → 00:10:15 >> ไม่ได้ทั้งหน้า
00:10:15 → 00:10:18 >> อ่านึกออกมั้ยคะมันก็เริ่มทำให้เราเริ่ม
00:10:18 → 00:10:20 อ่ะคนอื่นเขาก็มองเรามีดีนี่นาอะไรอย่าง
00:10:20 → 00:10:23 เงี้ยน้องคนนั้นเขาก็ตั้งใจวาดรูปให้เรา
00:10:23 → 00:10:26 เนาะเสร็จแล้วก็เก็ยังไม่เสร็จเราก็บอก
00:10:26 → 00:10:27 อ้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาให้อะไรอย่าง
00:10:27 → 00:10:30 เงี้ยนะคะก็ไม่รู้ว่าเแอบชื่นชมเราอยู่
00:10:30 → 00:10:32 เพราะเบอกว่าเออเขาบอกเเป็นพวกนี้เเป็น
00:10:32 → 00:10:36 อาร์ทเจบพวกจิตกรรมพวกอะไรเงี้ยเ้าไปบอก
00:10:36 → 00:10:38 กับเพื่อนเราคนเนี้ว่าผมไม่เคยเห็นผู้
00:10:38 → 00:10:40 หญิงคนไหนปากสวยเท่า
00:10:40 → 00:10:42 >> เท่ากับอาจารย์ตวิภามาก่อน
00:10:42 → 00:10:43 >> เฮ้ยเลิศ
00:10:43 → 00:10:46 >> เออซึ่งเราไม่เคยเห็นไงคะว่ามีใครมองเรา
00:10:46 → 00:10:47 แบบนั้น
00:10:47 → 00:10:48 >> นึกออกมั้ฮะ
00:10:48 → 00:10:52 >> มีแต่คนบอกเราปากเสียทั้งนั้นน่ะ
00:10:52 → 00:10:53 >> นะคะยกตัวอย่าง
00:10:53 → 00:10:55 >> กลายเป็นว่าสร้างพลังคุณค่าให้ความรู้สึก
00:10:55 → 00:10:56 มากเลยเนาะ
00:10:56 → 00:10:57 >> ใช่เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องมีความเป็น
00:10:57 → 00:10:59 ธรรมชาติในตัวเอง
00:10:59 → 00:11:01 >> ถูกมั้คะอาจารย์วิภาเนี่ยเป็นคนไม่สวยนะ
00:11:01 → 00:11:04 คุณสุรีพรแต่ทั้งชีวิตไม่เคยทำศัลยกรรม
00:11:04 → 00:11:05 เลย
00:11:05 → 00:11:08 >> ใครบอกไม่สวยนี่ยิ่งยิอายุตอนนี้ยิ่งสวย
00:11:08 → 00:11:09 เอาบอกตรงเลย
00:11:09 → 00:11:11 >> นะคะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:11:11 → 00:11:15 >> และที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรดีเท่ากับคุณ
00:11:15 → 00:11:17 ค่าของการทำความดี
00:11:17 → 00:11:18 >> ออ
00:11:18 → 00:11:23 >> จริงมั้ยคะมีกลอนอยู่บทนึงอาจารย์วิภาใช้
00:11:23 → 00:11:26 ประจำตัวมาตลอดเลยแม้ไม่ได้เป็นสิ่งใด
00:11:26 → 00:11:29 >> มันมีอยู่ประโยคนึงที่บอกว่า
00:11:29 → 00:11:33 >> จงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดีคือเขาจะ
00:11:33 → 00:11:35 เปรียบเทียบเป็นภูเขาเป็นอะไรเงี้ยถ้าใคร
00:11:35 → 00:11:38 เป็นภูเขาใหญ่แล้วก็เป็นขอเป็นภูเขาเล็ก
00:11:38 → 00:11:40 ใครเป็นดอกไม้สวยเราก็ขอเป็นดอกไม้เล็กๆ
00:11:40 → 00:11:41 อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:11:42 → 00:11:44 >> เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเป็นผู้หญิงก็จงเป็น
00:11:44 → 00:11:46 นางที่มิใช่ไร้ความดี
00:11:46 → 00:11:47 >> อื
00:11:47 → 00:11:49 >> ก็ท่องตรงนี้เอาไว้ตลอดเพราะฉะนั้นสิ่งดี
00:11:49 → 00:11:50 ๆในตัวเราเนี่ย
00:11:50 → 00:11:53 >> คนเรามันเสแสร้งไปไม่ได้ตลอดถูกมั้คะแต่
00:11:53 → 00:11:55 สิ่งที่มันเป็นความจริงเนี่ยมันจะผุดออก
00:11:55 → 00:11:58 มาว่าเรายินดีช่วยเหลือเค้าด้วยความเต็ม
00:11:58 → 00:12:01 ใจหรือทำอะไรให้ใครได้เราก็ทำ
00:12:01 → 00:12:03 >> เนี่ยคือสิ่งที่เป็นคุณค่าในตัวเองแล้ว
00:12:03 → 00:12:05 มันจะฉายชัดออกมาทำให้ไม่ว่าเราจะทำอะไร
00:12:05 → 00:12:08 เราก็จะเกิดความมั่นใจในการกระทำเสมอ
00:12:08 → 00:12:11 >> อืออืแต่ถ้าในในเมื่อก่อนเนี่ยการทำความ
00:12:11 → 00:12:13 ดีอ่ะมันก็จะเป็นคนอื่นมาเห็นอย่างงี้ใช่
00:12:13 → 00:12:15 มั้เดี๋ยวนี้ก็จะเป็นแบบว่าฉัน
00:12:15 → 00:12:17 >> ให้เรารู้ว่าเราทำค่ะ
00:12:17 → 00:12:18 >> ฉันโพสต์
00:12:18 → 00:12:19 >> ฉันอะไรอย่างงี้
00:12:19 → 00:12:22 >> อ่าเค้าก็จะโพสต์อย่างงั้นแต่ว่าอันเนี้ย
00:12:22 → 00:12:25 ที่เราพูดคือเรารู้ตัวของเราเองว่าเราทำ
00:12:25 → 00:12:26 อะไรดีทำอะไรไม่ดี
00:12:26 → 00:12:29 >> ถูกมั้ฮะให้เกิดความมั่นใจในตัวเองว่า
00:12:29 → 00:12:32 สิ่งที่เราทำนะคะนี่คือการสร้างเสน่ห์ภาย
00:12:32 → 00:12:34 ในที่เป็นลักษณะของธรรมชาติมีความเป็นตัว
00:12:34 → 00:12:37 ของตัวเองไม่เสแสร้งไม่บิดเบื่อ
00:12:37 → 00:12:39 >> โอแต่อาจารย์ข้อนี้กว่าใครจะมาเห็นมันอาจ
00:12:39 → 00:12:41 จะแบบโอโหนานไปป่ะ
00:12:41 → 00:12:44 >> เราไม่ได้ให้ใครเห็นนะคะตัวเราเห็นค่ะ
00:12:44 → 00:12:48 แล้วมันจะฉายออกมาในพฤติกรรมในแววตาใน
00:12:48 → 00:12:49 อะไรต่างๆ
00:12:49 → 00:12:51 >> เข้าใจมั้ยคะที่คนเขาจะเห็นได้แต่ไม่ใช่
00:12:51 → 00:12:53 เป็นการร้องเป่าหรือไม่ใช่เป็นการโพสต์
00:12:53 → 00:12:54 สิ่งที่เราทำดี
00:12:54 → 00:12:55 >> ค่ะ
00:12:55 → 00:12:58 >> นะคะอย่างนี้เป็นต้นนะคะมาอย่างที่ 2 ค่ะ
00:12:58 → 00:13:01 ที่เป็นแนวทางสร้างเสน่ห์ได้ดีมากเลยคือ
00:13:01 → 00:13:03 การสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ
00:13:03 → 00:13:07 คนรอบข้างการสื่อสารเนี่ยมันมีทั้งวจนะ
00:13:07 → 00:13:10 และอวจนะถูกมั้ยคะที่เป็นคำพูดและไม่เป็น
00:13:10 → 00:13:11 คำพูด
00:13:11 → 00:13:15 >> อย่างแรกเลยนะคะยิ้มค่ะนะฮะยิ้มเข้าไว้
00:13:15 → 00:13:17 อย่าหน้างอเป็นตะวักอย่าน้าหงิกใส่ใครนะ
00:13:18 → 00:13:21 ฮะแต่เป็นยิ้มแบบจริงใจนะฮะเพื่อจะเปิด
00:13:21 → 00:13:24 ฉากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเลิศนะคะแล้วก็
00:13:24 → 00:13:28 สร้างความประทับใจให้กับคนแรกเห็นนะฮะโดน
00:13:28 → 00:13:31 การยิ้มอย่างจากออกมาจากใจอ่ะ
00:13:31 → 00:13:31 >> อื
00:13:31 → 00:13:34 >> นะคะทำให้พอเราหันไปยิ้มเนี่ยคนเอยากจะ
00:13:34 → 00:13:37 เข้ามาหาเราอะไรเราใช่มั้ยคะอยากจะมาถาม
00:13:37 → 00:13:40 ไทยอยากจะอย่างน้อยมันก็เปิดฉากของการ
00:13:40 → 00:13:42 ความรู้สึกที่ดีต่อกันไม่ใช่หันไปแล้วก็
00:13:42 → 00:13:44 หน้าหงิกเป็นตูดเป็ดใสกันอย่างเงี้ยมันก็
00:13:45 → 00:13:48 ไม่โอเคนะคะยิ้มเสร็จฟังค่ะ
00:13:48 → 00:13:52 >> เห็นมั้ยยังไม่พูดนะฟังก่อนค่ะนะคะเปิด
00:13:52 → 00:13:55 โอกาสให้คนอื่นได้พูดนะคะไม่ใช่แย่งเพูด
00:13:55 → 00:13:58 หมดนะคะการเป็นผู้ฟังที่ดีเนี่ยนะคะมันทำ
00:13:59 → 00:14:02 ให้เราแสดงความรู้สึกว่าเราสนใจคนอื่น
00:14:02 → 00:14:05 แล้วก็ฟังอย่างตั้งใจฟังอย่างสนใจ
00:14:05 → 00:14:07 >> นะคะฟังอย่างจริงใจ
00:14:07 → 00:14:08 >> ค่ะ
00:14:08 → 00:14:11 >> นะฮะอันนี้จะช่วยได้มากจะพบว่าหลายคน
00:14:11 → 00:14:14 เนี่ยอยากจะพูดๆๆๆๆๆ
00:14:14 → 00:14:17 แต่ไม่ฟังใครเลยว่าเขาพูดอะไรเต้องการ
00:14:17 → 00:14:19 อะไรเอยากให้ช่วยอะไรไม่ฟังให้จบสิ้น
00:14:20 → 00:14:21 กระบวนความ
00:14:21 → 00:14:22 >> อะไรอย่างเงี้ย
00:14:22 → 00:14:24 >> เอหรือว่าฟังเ้าเล่ามาได้ครึ่งทางโอ๊ยฉัน
00:14:25 → 00:14:27 เคยมีประสบการณ์แบบนี้ฉันจะอ้าสายอยากจะ
00:14:27 → 00:14:30 สอนอยากจะบอกอยากจะอะไรอย่างเงี้ยฟังเยอะ
00:14:30 → 00:14:34 ๆก่อนนะฮะเรายังขาดขาดเรื่องนี้กันเยอะ
00:14:34 → 00:14:36 เลยคือการฟังคนอื่นแล้วอย่างบางทีสมมุติ
00:14:36 → 00:14:38 อย่างงี้ค่ะอาจารย์สมมุติว่าอ่าอาจารย์
00:14:38 → 00:14:42 พูดมางี้ปึ๊บดีก็นั่งอ่ะฟังอยู่นะแต่ว่า
00:14:42 → 00:14:45 ก็ทำอย่างอื่นไปด้วยไม่โอเพราะอะไรคะการ
00:14:45 → 00:14:49 ฟังเนี่ยคุณต้องมีตาต่อตามาประสานฟังเค้า
00:14:49 → 00:14:50 อย่างตั้งใจมองหน้าเค้า
00:14:50 → 00:14:51 >> อือฮึ
00:14:51 → 00:14:53 >> นะฮะอย่างนี้เป็นต้น
00:14:53 → 00:14:53 >> อ๋อ
00:14:53 → 00:14:56 >> หลายคนค่ะที่บอกอ้าวมีอะไรว่าไปแต่ในขณะ
00:14:56 → 00:14:59 ที่เราเองนั่งทำอะไรอยู่นั่งดูคอมนั่ง
00:14:59 → 00:15:00 เล่นโทรศัพท์เนี่ย
00:15:00 → 00:15:02 >> อันเนี้เสียมารยาทอย่างร้ายกาด
00:15:02 → 00:15:07 >> เพราะมันแสดงถึงความไม่ตั้งใจนะคะค่ะแล้ว
00:15:07 → 00:15:09 ค่อยมาอันที่ 3 เนี่ยค่ะคือเรื่องการพูด
00:15:09 → 00:15:09 >> อื
00:15:10 → 00:15:12 >> นะคะการพูดสื่อสารที่ดีเนี่ยเราต้องเลือก
00:15:12 → 00:15:17 คำพูดที่เหมาะสมที่อบอุ่นอ่อนโยนมีน้ำใจ
00:15:17 → 00:15:20 สนุกสนานน่าติดตามมีอารมณ์ขันได้บ้างอะไร
00:15:20 → 00:15:21 อย่างเงี้ยนะคะ
00:15:21 → 00:15:24 >> เป็นการให้กำลังใจคนอื่นโดยเฉพาะในช่วง
00:15:24 → 00:15:28 ที่เขายากลำบากนะคะสร้างแรงบันดาลใจให้คน
00:15:28 → 00:15:31 อื่นนะคะแสดงถึงความเมตตาอะไรอย่างนี้
00:15:31 → 00:15:31 เป็นต้น
00:15:31 → 00:15:35 >> เอออันนี้อาจารย์พูดคำว่าความมีเมตตานึก
00:15:35 → 00:15:38 ถึงสิ่งที่เจอมาเลยอ่ะค่ะว่าหลายๆครั้ง
00:15:38 → 00:15:41 เราเจอคำพูดหรือว่าการดูหมิ่น
00:15:41 → 00:15:41 >> ค่ะ
00:15:41 → 00:15:44 >> ในการทำงานหลายๆอย่างอะไรอย่างงี้ใช่มั้
00:15:44 → 00:15:47 คะคือคนเรามันไม่ได้ถนัดทุกอย่างเนาะอฮะ
00:15:47 → 00:15:49 >> เราก็เกิดความรู้สึกที่เมื่อกี้คำเมตตา
00:15:49 → 00:15:51 อาจารย์มาแล้วโอ้โหอือ
00:15:51 → 00:15:52 >> ฮึ
00:15:52 → 00:15:56 >> กระชากจิตออกมาเลยว่าเออเราเคยเจอที่แบบ
00:15:56 → 00:15:59 พูดพูดออกมาแล้วแบบว่าเรากลับมานั่งบอก
00:15:59 → 00:16:01 ว่าทำไมคนๆนี้ถึงไม่มีจิตเมตตาเลยสักนิด
00:16:01 → 00:16:01 เดียว
00:16:01 → 00:16:02 >> อือ
00:16:02 → 00:16:04 >> เออเพราะคำพูดนี่เองค่ะ
00:16:04 → 00:16:06 >> แต่ว่าอาจารย์บางคนอาจจะบอกว่า
00:16:06 → 00:16:10 >> ก็เป็นคนพูดห้วนๆห้าวค่าขาไม่ค่อยมีเสียง
00:16:10 → 00:16:11 แข็ง
00:16:11 → 00:16:12 >> ค่ะ
00:16:12 → 00:16:16 >> มันก็ไม่ฉันต้องไปเปลี่ยนเป็นแบบค่ะจ๊ะ
00:16:16 → 00:16:17 หรืออะไรอย่างเงี้ยเหรอ
00:16:17 → 00:16:18 >> หรือต้องเปลี่ยน
00:16:18 → 00:16:20 >> ก็อยู่ที่ว่าคุณอยากสร้างเสน่ห์ตัวเอง
00:16:20 → 00:16:21 มั้ยล่ะคะ
00:16:21 → 00:16:21 >> อ่า
00:16:21 → 00:16:23 >> อ่าถ้าคุณอยากสร้างเสน่ห์คุณก็ต้อง
00:16:23 → 00:16:25 เปลี่ยนไม่มีใครบังคับให้คุณเปลี่ยนได้
00:16:25 → 00:16:29 >> ทำเสียง 2 เสียง 8 เสียง 15 ได้ใช่มั้นะ
00:16:29 → 00:16:31 เพราะฉะนั้นตรงเนี้เนี่ยมันก็เป็นอะไรที่
00:16:31 → 00:16:34 เราต้องเปลี่ยนแปลงอันนี้เรากำลังพูดถึง
00:16:34 → 00:16:36 ถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลงเป็นคนมีเสน่ห์แต่
00:16:36 → 00:16:38 บอกฉันก็เป็นของฉันอย่างเงี้ฉันทำไม่ได้
00:16:38 → 00:16:40 หรอกเ้างั้นก็ไม่มีเสน่ห์ต่อไปนะคะช่วย
00:16:40 → 00:16:45 ไม่ได้นะคะพอพูดเสร็จตัวต่อไปค่ะสบตาที่
00:16:45 → 00:16:48 คุณสุรีพรถามนะคะการสบตาเนี่ยเป็นมนต์
00:16:48 → 00:16:51 วิเศษเลยนะคะที่จะทำให้คนเขาชอบเราหรือ
00:16:51 → 00:16:52 ไม่ชอบเรา
00:16:52 → 00:16:54 >> คำพูดนี้ยังเป็นความจริงคือดวงตาเป็น
00:16:54 → 00:16:56 หน้าต่างของหัวใจ
00:16:56 → 00:16:57 >> อื
00:16:57 → 00:17:00 >> นะฮะบางคนเนี่ยสบตาแต่ตาแข็งเชียนึกออก
00:17:00 → 00:17:04 มั้ฮะแต่บางคนสบตาตาด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
00:17:04 → 00:17:06 สบตาด้วยความเอื้ออาทร
00:17:06 → 00:17:09 >> สบตาด้วยความเมตตาในสิ่งที่เกิดขึ้น
00:17:09 → 00:17:10 >> อ
00:17:10 → 00:17:13 >> นะคะเพราะฉะนั้นบางทีเนี่ยเราดุนะเราให้
00:17:13 → 00:17:15 คำสอนนะว่าทำงานอย่างงี้อย่างงี้อย่างงี้
00:17:15 → 00:17:19 มันไม่ดีนะแต่มันด้วยน้ำเสียงและด้วยสาย
00:17:19 → 00:17:22 ตาที่แสดงถึงความเมตตามันต่างกันนะคะ
00:17:22 → 00:17:25 >> บางคนนี่ถูกดุแทบตายแต่แทบจะเข้าไปกราบคน
00:17:25 → 00:17:26 ดุเลย
00:17:26 → 00:17:31 >> ว่าเค้าดุแบบเมตตาดุแบบสั่งสอนดุแบบให้
00:17:31 → 00:17:32 ข้อคิดที่ดีนะคะ
00:17:32 → 00:17:33 >> อื
00:17:33 → 00:17:37 >> แล้วก็อันต่อมาก็คือในเรื่องของการแสดง
00:17:37 → 00:17:37 ออก
00:17:37 → 00:17:38 >> ค่ะ
00:17:38 → 00:17:40 >> นะฮะบางคนบอกฉันพูดไม่เป็นนะให้ปอบใครก็
00:17:40 → 00:17:44 ปอบไม่เป็นงั้นแสดงออกค่ะแสดงออกโดยการไง
00:17:44 → 00:17:47 คะใส่ใจอย่างจริงจังมีท่าทีที่อ่อนโยน
00:17:47 → 00:17:51 เอื้อเฟื้อให้เกียรตินะคะให้ความสำคัญกับ
00:17:51 → 00:17:55 คนอื่นนะคะมีท่าทีแสดงออกที่ว่าพยายามที่
00:17:55 → 00:17:58 จะปรับตัวหรือสามารถปรับตัวได้ยืดหยุ่นใน
00:17:58 → 00:17:59 ทุกสถานการณ์
00:18:00 → 00:18:00 >> ค่ะ
00:18:00 → 00:18:03 >> สะท้อนถึงความเป็นตัวเองแล้วก็ไม่เสแสร้ง
00:18:03 → 00:18:04 >> อื
00:18:04 → 00:18:07 >> นะคะไม่ใช่ประเภทโอ๊ยเหมือนกับท่าทีดี
00:18:07 → 00:18:09 เชื่อแต่ว่าไม่ได้จริงใจ
00:18:09 → 00:18:09 >> อื
00:18:09 → 00:18:13 >> นึกออกมั้ยคะเพราะฉะนั้นสิ่งเหล่าเนี้ยคน
00:18:13 → 00:18:16 เค้าคอนแทคกับเราเนี่ยเค้าก็จะเรียนรู้
00:18:16 → 00:18:18 เองว่าจริงหรือของปลอม
00:18:18 → 00:18:19 >> ค่ะ
00:18:19 → 00:18:22 >> นึกออกมั้ยฮะของจริงหรือของปลอมนะคะ
00:18:22 → 00:18:24 >> การทำแบบเนี้ยการสื่อสารที่ดีเนี่ยจะทำ
00:18:24 → 00:18:27 ให้เราได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างด้วย
00:18:27 → 00:18:30 ความเคารพนะคะมีเสน่ห์โดยการที่ไม่ต้อง
00:18:30 → 00:18:33 พยายามอะไรเลยนะคะแล้วก็เป็นการสร้างความ
00:18:33 → 00:18:35 สัมพันธ์ที่ดีแบบยั่งยืนด้วย
00:18:35 → 00:18:38 >> แต่ถ้าพวกเฟกนะฮะมันก็จะสร้างได้ชั่ว
00:18:38 → 00:18:40 ครั้งชั่วคราวเสร็จแล้วมันก็กลับเป็นนาง
00:18:41 → 00:18:42 อสูรกายเหมือนเดิม
00:18:42 → 00:18:45 >> นะคะมันก็ไม่ยั่งยืนถูกมั้คะอฮ
00:18:45 → 00:18:47 >> อย่างคุณสุรีพรกับอาจารย์วิภาเนี่ยเรารู้
00:18:47 → 00:18:49 จักกันมาเกือบ 10 ปีแล้วนะเราทำงานด้วย
00:18:49 → 00:18:50 กันมาเกือบ 10 ปีค่ะใช่ค่ะ
00:18:51 → 00:18:53 >> คุณสุรีพรก็ต้องเห็นตัวตนของอาจารย์วิภา
00:18:53 → 00:18:54 ที่แท้จริง
00:18:54 → 00:18:54 >> ใช่
00:18:54 → 00:18:55 >> ถูกมั้ยคะ่
00:18:55 → 00:18:56 >> อือ
00:18:56 → 00:18:58 >> เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันเฟกกันไม่ได้
00:18:58 → 00:19:00 ถ้ามันเป็นตัวตนของเราที่แท้จริงแต่ถ้า
00:19:00 → 00:19:02 มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา
00:19:02 → 00:19:04 >> มันก็คือเฟก
00:19:04 → 00:19:07 >> ใช่เหนื่อยนะถ้าบอกว่าคือทำงานยังไม่
00:19:07 → 00:19:09 เหนื่อยพอเหรอยังต้องบอกเฟกอีกอะไรเงี้ยม
00:19:09 → 00:19:11 แล้วเดี๋ยวนี้ดูออกไง
00:19:11 → 00:19:13 >> ใช่ค่ะอ่าเดี๋ยวนี้ดูง่ายจะตายไป
00:19:13 → 00:19:14 >> นะคะ
00:19:14 → 00:19:19 >> อันต่อไปค่ะแนวที่ 3 อารมณ์ดีแล้วก็คิด
00:19:19 → 00:19:20 บวกอยู่เสมอ
00:19:20 → 00:19:21 >> อพร้อมบวกค่ะพร้อมบวก
00:19:21 → 00:19:24 >> อ่าบวกอันนี้ไม่ใช่บวกแบบชนกับเค้านะคะ
00:19:24 → 00:19:27 หมายถึงคิดบวกนะคะคิดบวกก็คือว่า
00:19:27 → 00:19:30 >> เราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะทาง
00:19:30 → 00:19:32 ทางรายการเราเนี่ยนะคะว่าการคิดบวกเนี่ย
00:19:32 → 00:19:34 มันคือเสน่ห์อันมหาศาลเลย
00:19:34 → 00:19:36 >> ที่จะดึงดูดคนรอบข้างมา
00:19:36 → 00:19:39 >> นะฮะตอนนี้เจ้าวิภาเช้าเนี่ยจวิภา 18:00
00:19:39 → 00:19:40 น.เนี่ยตื่นและ
00:19:40 → 00:19:41 >> อ่า
00:19:41 → 00:19:43 >> เพื่อที่จะพาทีมนะคะซึ่งเป็นผู้สูงอายุ
00:19:43 → 00:19:46 ทั้งหลายเนี่ยออกมาเดินนะคะในกลุ่มเนี่ย
00:19:46 → 00:19:49 จะมีพี่ที่เขาคิดอายุมากกว่าอนุภานะคะคือ
00:19:50 → 00:19:53 ประมาณ 70 กว่า 80 กว่าหลายท่านที่ท่าน
00:19:53 → 00:19:55 เป็นมะเร็งอารมณ์มาก่อน
00:19:55 → 00:19:57 >> นึกออกมั้ยคะเป็นคนที่คิดลบคิดถึงแต่
00:19:57 → 00:19:58 เรื่อง
00:19:58 → 00:20:01 >> ไม่ดีคิดถึงแต่เรื่องการเจ็บป่วยของตัว
00:20:01 → 00:20:03 เองคิดถึงอะไรแต่อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:20:03 → 00:20:03 >> อือ
00:20:03 → 00:20:07 >> ก็ทำให้ท่านดาวนะฮะเราก็จะพยายามชวน
00:20:07 → 00:20:09 เพื่อนบ้านเหล่าเนี้ยออกมาเดินกับเรา
00:20:09 → 00:20:09 >> ค่ะ
00:20:09 → 00:20:12 >> โดยเราก็ต้องเดินด้วยซึ่งแต่เดิมอาจารย์
00:20:12 → 00:20:14 วิภาจะเดินตอนเย็นนะคะตอนนี้เปลี่ยนมา
00:20:14 → 00:20:16 ต้องมาเดินนำทีมเดินตอนเช้า
00:20:16 → 00:20:20 >> เพื่อที่ว่าให้ทุกคนได้หัดระบายให้หัดคิด
00:20:20 → 00:20:24 บวกแล้วก็คอยเตือนกันพอแล้วลบอีกแล้วนะคะ
00:20:24 → 00:20:25 ลบอีกแล้วนะคะอะไรอย่างเงี้ยแล้วบางทีก็
00:20:26 → 00:20:28 เอาเรื่องตลกมาใส่เอาอะไรมาใส่กันทำให้
00:20:29 → 00:20:32 ทุกคนผ่อนคลายลงนะฮะเพราะฉะนั้นเราจะเห็น
00:20:32 → 00:20:34 ว่าวันไหนจันวิภาไม่อยู่เนี่ยนะคะอย่าง
00:20:34 → 00:20:36 เช่นวันเนี้ยก็จะบ่นกันและหรือบางทีเรา
00:20:36 → 00:20:38 เข้ากรุงเทพฯก็จะตาม
00:20:38 → 00:20:41 อาจารย์เจี๊ยบเมื่อไหร่จะกลับคิดถึงแล้ว
00:20:41 → 00:20:43 อะไรอย่างเงี้ยนะคะทุกคนก็จะบอกว่าเวลา
00:20:43 → 00:20:46 ที่เราไม่ได้เดินด้วยเนี่ยทุกในกลุ่มมัน
00:20:46 → 00:20:47 ดูหงอย
00:20:47 → 00:20:48 >> ไม่รู้จะพูดอะไรเลย
00:20:48 → 00:20:50 >> อ่าแต่พอเรามาอยู่เนี่ยมันจะคิกคัก
00:20:50 → 00:20:52 หัวเราะกันลั่นทุ่งนะคะ
00:20:52 → 00:20:55 >> อันนี้นึกสไตล์อาจารย์ออกถ้าเกิดใครขึ้น
00:20:55 → 00:20:59 มาปึ๊บคุณพี่อย่างงี้นะคะเจี๊ยบว่าอย่าง
00:20:59 → 00:21:01 งี้นะคะหรืออะไรเงี้ยอันนี้คือแบบว่าเอา
00:21:01 → 00:21:02 จริงๆนึกออกเลย
00:21:02 → 00:21:05 >> นะคะเพราะฉะนั้นตอนเนี้ยมันคือวิธีการ
00:21:05 → 00:21:08 ผ่อนคลายความเครียดนะคะโดยการฝึกฝึกคิด
00:21:08 → 00:21:10 บวกอย่างเมื่อวานเก็มีพี่ท่านนึงท่านก็
00:21:10 → 00:21:13 พูดถึงในเรื่องของการเป็นมะเร็งแล้วท่าน
00:21:13 → 00:21:16 ก็บอกโอเนี่ยถ้าพี่ๆเป็นนะพี่กลุ้มใจตาย
00:21:16 → 00:21:19 เลยบอกโอ้พี่จะไปกลุ้มทำไมคะเป็นมะเร็งสิ
00:21:19 → 00:21:22 คะดีเราจะได้รู้คำนวณได้ว่าเราจะอยู่อีก
00:21:22 → 00:21:25 เท่าไหร่เราจะอยากทำอะไรอยากพูดกับใคร
00:21:25 → 00:21:29 อยากอะไรกับใครทำได้หมดเลยแต่ถ้าหนูไปวัน
00:21:29 → 00:21:31 นี้หนูตกใดตายหนูทำอะไรไม่ทันเลยนะ
00:21:31 → 00:21:33 >> ไม่ได้มีโอกาสทำอะไรเลย
00:21:33 → 00:21:36 >> แล้วก็บอกตายแล้วคิดยังได้ยังไงเนี่ยแบบ
00:21:36 → 00:21:38 นี้อะไรอย่างเงี้ยนะคะเพราะฉะนั้น
00:21:38 → 00:21:42 มันทำให้เราหัดชื่นชมคนอื่นได้นะคะมอง
00:21:42 → 00:21:44 เห็นสิ่งที่ดีของเขาเราเคยฟังกันมาเยอะ
00:21:44 → 00:21:48 แล้วที่เอ่อพระพุทธทาตุท่านก็สอนเนาะสิ่ง
00:21:48 → 00:21:51 ที่ไม่ดีของเขาอย่าไปสนใจให้สนใจแต่สิ่ง
00:21:51 → 00:21:53 ที่ดีเพราะฉะนั้นคนที่เดินอยู่กับเรา
00:21:53 → 00:21:53 เนี่ย
00:21:53 → 00:21:56 >> ก็มีเรื่องดีๆของเขาตั้งมากมายที่จะมาคุย
00:21:56 → 00:21:56 กัน
00:21:56 → 00:22:00 >> ไม่กลุ่มของเราจะไม่มีการนินทา
00:22:00 → 00:22:02 >> พอเราเริ่มนินทาใครที่ไม่ได้นั่นปั๊บ
00:22:02 → 00:22:05 เนี่ยฮะเราจะบอกเลยว่าเออขอเปลี่ยนเรื่อง
00:22:05 → 00:22:08 นะคะอันนี้เรื่องของคนอื่นเราไม่รู้นะเอา
00:22:08 → 00:22:10 มาคุยเรื่องนั่นเรื่องนี่เรื่องทีวี
00:22:10 → 00:22:13 เรื่องละครกันหัวเราะกันเก๊กๆดีกว่าอะไร
00:22:13 → 00:22:15 อย่างนี้เป็นต้นนะคะเพราะฉะนั้นต้องหัด
00:22:15 → 00:22:18 ชื่นชมคนอื่นอย่างจริงใจแล้วก็สิ่งอื่น
00:22:18 → 00:22:21 รอบข้างเราโอโหยแดดมันร้อนแต่มันได้
00:22:21 → 00:22:25 วิตามินดีนะนกมันร้องไนั่นนี่นั่นนะคะ
00:22:25 → 00:22:27 เพราะว่าเราอยู่ชนบทนะคะอยู่อยุธยาเงี้ย
00:22:27 → 00:22:28 มันก็มีอะไรที่
00:22:28 → 00:22:29 >> ธรรมชาติ
00:22:29 → 00:22:32 >> ธรรมชาตินะฮะแล้วก็ทำให้เราเนี่ยได้พัก
00:22:32 → 00:22:35 ผ่อนเพียงพอโดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์
00:22:35 → 00:22:35 >> อือ
00:22:35 → 00:22:38 >> ยิ่งอารมณ์ดีก็ยิ่งมีเสน่ห์
00:22:38 → 00:22:40 >> ว่าจริงมั้ยคะนะฮะมันก็เป็นการสร้าง
00:22:40 → 00:22:43 บรรยากาศรอบตัวให้คนอื่นเนี่ยรู้สึกปลอด
00:22:43 → 00:22:46 ภัยรู้สึกอบอุ่นที่จะอยู่ใกล้เราอยากจะมา
00:22:46 → 00:22:48 อยู่กับเราอยากจะอยู่ใกล้เราอยากจะอะไร
00:22:48 → 00:22:51 อย่างเงี้ยนะฮะแล้วเราก็สามารถจัดการกับ
00:22:51 → 00:22:54 ความเครียดได้แก้ปัญหาของเราได้ต้องฝึก
00:22:54 → 00:22:57 ค่ะเรื่องของการคิดบวกนะฮะและทีนี้สุด
00:22:57 → 00:23:00 ท้ายและแนวสุดท้ายเหมือนที่ทุกคนรู้คือ
00:23:00 → 00:23:03 พัฒนาบุคลิกภาพภายนอกให้เป็นที่ยอมรับของ
00:23:03 → 00:23:05 คนอื่นๆในสังคมแต่ว่ายึดธรรมชาติของตัว
00:23:06 → 00:23:09 เรานะคะไม่ใช่ว่าต้องบิดเบือนไปมากมายแบบ
00:23:09 → 00:23:10 ที่ในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น
00:23:10 → 00:23:14 >> นะคะโดยการเข้าใจในเรื่องของกาลเทศะแล้ว
00:23:14 → 00:23:17 ก็อื่นๆด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม
00:23:17 → 00:23:20 สุขภาพ position
00:23:20 → 00:23:23 นะคะในเรื่องของการท่าทีที่สง่างามหรือ
00:23:23 → 00:23:25 อะไรอย่างเงี้ยซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเตือน
00:23:25 → 00:23:27 กันได้ถ้าใครเริ่มเดินหลังค่อมใช่มั้ยคะ
00:23:28 → 00:23:30 เราก็อ่ะช่วยดันหลังหน่อย
00:23:30 → 00:23:33 >> ผายไหล่หน่อยอะไรอย่างเงี้ยค่ะนะคะแล้วก็
00:23:34 → 00:23:36 เสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดีให้เหมาะกับเราอย่า
00:23:36 → 00:23:39 อย่าอย่าบิดเบือนจนเกินไปค่ะ
00:23:39 → 00:23:41 >> แล้วจริงๆดูเหมือนแบบการสร้างเสน่ห์ไม่
00:23:41 → 00:23:43 ได้มีอะไรยุ่งยากไม่ต้องถึงขั้นแบบว่าไป
00:23:44 → 00:23:46 เสียตังค์เพื่อต้องไปทำอะไรเลยเนาะมัน
00:23:46 → 00:23:48 อยู่ที่ตัวเราอ่ะแล้วก็
00:23:48 → 00:23:51 >> 4 ข้อ 4 แนวเนี่ยง่ายๆเลยนะฮะแล้วก็ค่อย
00:23:51 → 00:23:54 ๆฝึกไปมันอาจจะยากนิดนึงสำหรับการเริ่ม
00:23:54 → 00:23:58 ต้นนะฮะอย่างเช่นคนที่คิดลบมาจนตลอดชีวิต
00:23:58 → 00:24:01 แล้วเนี่ยจะมาฝึกคิดบวกกันทันทีทันใดก็
00:24:01 → 00:24:03 เป็นไปไม่ได้แต่อย่างน้อยลงน้อยลงน้อยลง
00:24:03 → 00:24:04 น้อยลงเรื่อยๆ
00:24:04 → 00:24:07 >> โอหแต่คนพี่ที่ให้ให้แนะคำแนะนำว่าอดทน
00:24:07 → 00:24:10 สูงมา
00:24:10 → 00:24:11 >> นะคะอ
00:24:11 → 00:24:13 >> ตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จค่ะในกลุ่มก็พี่
00:24:13 → 00:24:15 ก็ดีขึ้นดีขึ้นกันทุกคนนะคะ
00:24:15 → 00:24:18 >> อืก็คือจริงๆถ้าเกิดว่ามีอย่างอาจารย์
00:24:18 → 00:24:21 อยู่สักแบบหลายๆคนกระจายไปทุกพื้นที่ก็จะ
00:24:21 → 00:24:23 ดีมาก
00:24:23 → 00:24:25 ไม่ควรเก็บไว้อยู่ตรงนั้นที่อยุธยาอย่าง
00:24:25 → 00:24:28 เดียวนี่ไงก็เลยโรงหมอก็ได้อาจารย์มาร่วม
00:24:28 → 00:24:32 พูดคุยกันก็ร่วมอูเกือบ 10 ปีเนาะอาจารย์
00:24:32 → 00:24:35 เนาะแบบแป๊บเดียวเองอ่ะเราไม่เห็นแก่เลย
00:24:35 → 00:24:35 เนาะแป๊บ
00:24:35 → 00:24:39 >> ไม่มีไม่มีเรามีเสน่ห์อยู่ตลอดเวลา
00:24:39 → 00:24:43 นะคะก็เราสามารถเปลี่ยนจากคนธรรมดาธรรมดา
00:24:43 → 00:24:45 เป็นคนมีเสน่ห์ได้เออโดยแบบบางทีไม่ได้
00:24:45 → 00:24:48 ใช้สตางค์ด้วยซ้ำนะแค่เปลี่ยนmindsต
00:24:48 → 00:24:52 เปลี่ยนบุคลิกภาพตัวเองหรือว่าแบบอะไรที่
00:24:52 → 00:24:53 เคยสะกดจิตตัวเองว่าไม่สวยไม่สวยวันนี้
00:24:54 → 00:24:57 แบบกระจกวิเศษจงบอกข้าเถิดชั้นงานงามเลิศ
00:24:57 → 00:25:00 ในปฐพีหัวเราะให้ตัวเองก็ได้นะคะอันนั้น
00:25:00 → 00:25:03 ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆอยู่แล้วนะคะออ
00:25:03 → 00:25:05 เป็นแนวทางที่ดีมากๆเลยไปปรับกับตัวเอง
00:25:05 → 00:25:09 เพิ่มอีกนิดหน่อยเผื่อว่าจะดีขึ้นนะคะ
00:25:09 → 00:25:12 ขอบคุณอาจารย์จันทร์วิภาค่ะสวัสดีค่ะ
00:25:12 → 00:25:14 >> เอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังวันนี้ก็หมดเวลากัน
00:25:14 → 00:25:16 แล้วนะคะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรง
00:25:16 → 00:25:19 หมอทาง Thai PBS Podcast ค่ะวันนี้ลาไป
00:25:19 → 00:25:20 ก่อนนะคะสวัสดีค่ะ
00:25:21 → 00:25:23 >> This is Thai PBS Podcast
00:25:23 → 00:25:25 >> การออกกำลังกายในน้ำสำหรับผู้สูงอายุดี
00:25:25 → 00:25:27 อย่างไรต่อร่างกายอาการแบบไหนควรออกกำลัง
00:25:27 → 00:25:30 กายด้วยวิธีนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เกสร
00:25:30 → 00:25:32 สัมเภาทองจากคณะสาธารณสุขศาสตร์
00:25:32 → 00:25:36 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเล่าให้ฟังครับ
00:25:36 → 00:25:38 >> จริงๆแล้วต้องบอกว่าการออกกำลังกายในน้ำ
00:25:38 → 00:25:42 เนี่ยเหมาะสำหรับทุกคนแหละนะคะที่ทำได้
00:25:42 → 00:25:44 แล้วก็จำเป็นสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง
00:25:44 → 00:25:47 ข้อเอ็นอักเสบต่างๆอย่างน้อยๆก็ 3 ประเภท
00:25:47 → 00:25:51 เนาะประเภทแรกก็คือไปในคลินิกหรือโรง
00:25:51 → 00:25:54 พยาบาลที่มีการบำบัดที่เรียกว่าธาราบำบัด
00:25:54 → 00:25:54 >> อ๋อ
00:25:54 → 00:25:56 >> อันนี้เขาใช้น้ำในการบำบัดเลยไม่ว่าจะ
00:25:57 → 00:26:00 เป็นฝึกการเดินฝึกการทรงตัวกระตุ้นกล้าม
00:26:00 → 00:26:03 เนื้ออะไรต่างๆอันนี้ดีมากๆแต่ว่าต้อง
00:26:03 → 00:26:07 ผ่านการตรวจวินิจฉัยแล้วว่ามีความจำเป็น
00:26:07 → 00:26:10 นะคะแต่บางที่เนี่ย wellness บางที่มี
00:26:10 → 00:26:13 แล้วนะคะให้เป็นใช้ธาราบำบัด
00:26:13 → 00:26:17 >> นะคะอาจจะนั่งแช่อ่าน้ำอุ่นนะคะกระตุ้น
00:26:17 → 00:26:20 ด้วยน้ำวนอะไรต่างๆตรงนี้เขาจะมีนัก
00:26:20 → 00:26:23 กายภาพบำบัดประกบดูแลเราเลย
00:26:23 → 00:26:25 >> แล้วเขาก็จะออกแบบว่ากิจกรรมของเราต้อง
00:26:25 → 00:26:28 กี่นาทีทำอะไรยังไงบ้างอันนี้ก็เป็น
00:26:28 → 00:26:32 ประเภทบำบัดนะคะค่ะ
00:26:32 → 00:26:36 ที่เป็นมาตรฐานแล้วก็อาโชน
00:26:36 → 00:26:40 นะคะดูแลเราก็อาจจะมีเทรนเนอร์ประจำตัวนะ
00:26:40 → 00:26:42 คะไม่ได้เรียนว่ายน้ำแต่มาฝึกออกกำลังกาย
00:26:42 → 00:26:43 ในน้ำ
00:26:43 → 00:26:46 >> หรือว่าแม่น้ำลำธารธรรมชาตินะคะอยู่ใช่
00:26:46 → 00:26:48 มั้คะเป็นกังวลอยู่
00:26:48 → 00:26:50 >> แต่ว่าเราจะต้องดูเรื่องความปลอดภัยเป็น
00:26:50 → 00:26:53 อย่างดีอันนี้ก็อาจจะต้องมีคนอยู่กับเรา
00:26:53 → 00:26:57 มั้ยหรือว่าชายหาดเห็นมั้ยคะชายหาดทะเลนะ
00:26:57 → 00:26:57 คะ
00:26:57 → 00:27:00 >> ไม่ลึกเกินไม่ลึกนะคะเดินที่พื้นทรายนะคะ
00:27:00 → 00:27:03 ก็เรียกว่าเป็นการกระตุ้นฝ่าเท้าที่ดีนะ
00:27:03 → 00:27:07 คะได้ลมได้อากาศบริสุทธิ์แต่แน่นอนต้องมา
00:27:07 → 00:27:08 อยู่คนเดียว
00:27:08 → 00:27:12 >> ถามว่าแหล่งน้ำธรรมชาตินะพวกลำน้ำแม่น้ำ
00:27:12 → 00:27:15 ต่างๆพวกนี้ใช้เพื่อการออกกำลังกายในน้ำ
00:27:15 → 00:27:18 ได้มอาจจะไม่ได้เหมาะในแง่ของการออกกำลัง
00:27:18 → 00:27:21 กายมันอาจจะเหมาะเป็นการพักผ่อนเพลิด
00:27:21 → 00:27:25 เพลินนะผ่อนคลายได้อย่างเช่นไปเดินใน
00:27:25 → 00:27:28 ลำธารที่เป็นกรวดหินอะไรต่างอย่างเดี๋ยว
00:27:28 → 00:27:31 นี้เก็พยายามจำลองนะคะทำเป็นลำธารน้ำแล้ว
00:27:31 → 00:27:36 มีกรวดหินให้เดินนะไม่คมนะคะไม่บาดเทวอัน
00:27:36 → 00:27:38 นี้ก็ก็ไปเดินได้เหมือนกันผู้สูงที่น้ำ
00:27:38 → 00:27:40 หนักเกินนะคะ
00:27:40 → 00:27:42 >> เวลาเดินเนี่ยหาน้ำหนักทั้งหมดของเราต้อง
00:27:42 → 00:27:45 ลงไปที่เข่าลงไปที่ขาลงไปที่ข้อเท้าทีนี้
00:27:45 → 00:27:47 เวลาเราไปอยู่ในน้ำเนี่ยน้ำน่ะช่วยรับน้ำ
00:27:47 → 00:27:49 หนักแทนแล้วนะคะเพราะฉะนั้นจึงเหมาะ
00:27:49 → 00:27:52 สำหรับผู้ที่อ่ามีปัญหาเรื่องนี้นะถ้าน้ำ
00:27:52 → 00:27:55 หนักเกินอ้วนแล้วเดินออกกำลังกายไม่ได้
00:27:55 → 00:27:58 อะไรเงี้ยก็ใช้การออกกำลังกายในคือผู้สูง
00:27:58 → 00:28:00 อายุเนี่ยความ Fit and Firิเนี่ยคำว่าฟิ
00:28:00 → 00:28:04 ก็คือเรื่องของปอดหัวใจเนี่ยทำงานได้ดีทำ
00:28:04 → 00:28:07 ให้สดชื่นนะคะแล้วก็ทำให้เราไม่เหนื่อย
00:28:07 → 00:28:10 ง่ายอ่ะนะคะแล้วก็เฟิร์มคือกล้ามเนื้อ
00:28:10 → 00:28:12 ต่างๆที่มันอาจจะแบบไม่ใช่เหมือนหนุ่มสาว
00:28:12 → 00:28:15 ก็จริงแต่ว่าเขาสามารถที่จะทำงานตาม
00:28:15 → 00:28:18 ฟังก์ชันได้อย่างดีอ่ะนะฮะอันนี้ก็เป็น
00:28:18 → 00:28:20 สิ่งที่สำคัญ
00:28:20 → 00:28:22 [เพลง]
00:28:22 → 00:28:26 >> This is Thai PBS Podcast
00:28:26 → 00:28:29 ติดตามรายการของ Thai PBBS Podcast ได้
00:28:29 → 00:28:31 ทางเว็บไซต์ www.tppbspodcast.com
00:28:31 → 00:28:34 thaippbspodcast.com
00:28:34 → 00:28:37 แอปพลิเคช Thai PBBS Podcast รวมถึงฟัง
00:28:37 → 00:28:42 ผ่านพcastช่องทางอื่นๆ Spotify YouTube
00:28:42 → 00:28:45 Apple Podcast และ Soundcloud เ้า
00:28:45 → 00:28:48 [เพลง]