00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับผมคิดว่าหลายคนนะครับคงจะได้
00:00:02 → 00:00:04 เห็นข่าวที่ประเทศอังกฤษเนี่ยเกิดอายนะ
00:00:04 → 00:00:08 ทางสาธารณสุขที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดใน
00:00:08 → 00:00:11 ประวัติศาสตร์เลยนะครับนั่นก็คือมีคน
00:00:11 → 00:00:14 จำนวนมหาศาลที่ติดเชื้อ hiv แล้วก็เชื้อ
00:00:14 → 00:00:17 ไวรัสตับอักเสบ 4 จากการได้รับผลิตภัณฑ์
00:00:17 → 00:00:21 จากเลือดในปีประมาณ 1970 ถึงเกือบ 1990
00:00:21 → 00:00:26 ในตอนนั้นนะครับแล้วมันมีการไปตรวจว่าทาง
00:00:26 → 00:00:30 หน่วยงานของรัฐบาลเนี่ยมีการจงใจปกปิดข้อ
00:00:30 → 00:00:33 มูลในเรื่องนี้นะครับทำให้เกิดการเสียหาย
00:00:33 → 00:00:36 มหาศาลแล้วล่าสุดนะครับนายกรัฐมนตรีของ
00:00:37 → 00:00:40 อังกฤษคุณิีสุนัเนี่ยออกมาขอโทษประชาชนนะ
00:00:41 → 00:00:44 ครับแล้วก็ได้มีการเตรียมเงินเยียวยาไว้
00:00:44 → 00:00:47 กว่า 10 หมืล้านปอนด์เลยทีเดียวนะครับ
00:00:47 → 00:00:49 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะ
00:00:49 → 00:00:53 ครับแล้วเอ่อ nhs นะครับ National Health
00:00:53 → 00:00:56 service ซึ่งมันเป็นหน่วยงานสาธารณสุข
00:00:56 → 00:00:59 ของอังกฤษที่ใหญ่มากๆเนี่ยถือว่าเรื่อง
00:00:59 → 00:01:01 เนี้ยเป็นเรื่องที่ที่อัปยศอย่างยิ่งแล้ว
00:01:01 → 00:01:03 ก็เป็นเรื่องความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ที่
00:01:03 → 00:01:06 สุดนับตั้งแต่มันก่อตั้งมาในปี 1948 เลย
00:01:06 → 00:01:09 นะครับเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไรผม
00:01:09 → 00:01:12 จะเล่าให้คุณฟังในวันนี้เลยนะครับพบกับผม
00:01:12 → 00:01:14 นะครับนายแพทย์ธานีธนียวันเป็นอาจารย์
00:01:14 → 00:01:16 แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญ
00:01:16 → 00:01:19 รวกปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:01:19 → 00:01:22 ต้องขอบอกอย่างนี้ก่อนนะครับคนที่เสียหาย
00:01:22 → 00:01:26 เนี่ยมีด้วยกัน 2 ประเภทประเภทแรกคือ
00:01:26 → 00:01:28 ประเภทที่ต้องได้รับเลือดเป็นประจำก็คือ
00:01:29 → 00:01:32 คนที่มีเลือดออกผิดปกตินะครับโดยเฉพาะคน
00:01:32 → 00:01:34 ไข้ที่มีโรคฮีโมฟีเลียซึ่งเดี๋ยวผมจะ
00:01:34 → 00:01:36 อธิปายให้ฟังว่ามันคือโรคอะไรกันแน่นะ
00:01:36 → 00:01:39 ครับแล้วก็คนที่เขามีปัญหาทางด้านของการ
00:01:39 → 00:01:41 แข่งตัวของเลือดที่มีปัญหานะครับส่วนคน
00:01:41 → 00:01:44 ไข้กลุ่มที่ 2 ที่ติดเชื้อไอ้พวกนี้เข้า
00:01:44 → 00:01:47 ไปเนี่ยก็เป็นคนไข้ที่ต้องได้รับเลือด
00:01:47 → 00:01:50 ด้วยเหตุผลอื่นๆเช่นการผ่าตัดการคลอดลูก
00:01:50 → 00:01:55 แล้วก็บางกรณีเนี่ยคือเกิดจากการที่คน
00:01:55 → 00:01:57 เหล่าเนี้ยได้รับเลือดแล้วก็ไม่รู้ตัวเอง
00:01:57 → 00:02:00 ว่าตัวเองมีเชื้อเหล่านั้นอยู่ทำให้เวลา
00:02:01 → 00:02:03 ไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนของตัวเองที่
00:02:04 → 00:02:06 แต่งงานกันก็ส่งเชื้อเนี่ยไปให้เขาโดยที่
00:02:06 → 00:02:10 เขาคไม่รู้ตัวเหมือนกันนะครับนี่จึงเป็น
00:02:10 → 00:02:14 เหตุผลที่แบบใหญ่มากๆเลยนะครับแล้วมีคน
00:02:14 → 00:02:17 เสียหายเกินกว่า 30,000 คนคือคนติดเชื้อ
00:02:17 → 00:02:20 นี่มีมากเกิน 30,000 คนนะครับและยังไม่
00:02:20 → 00:02:23 รู้ว่ามีใครซ่อนอยู่อีกหรือเปล่านะคือการ
00:02:23 → 00:02:28 ที่มันบอกได้จำนวนชัดๆยากมากเพราะว่าไอ้
00:02:28 → 00:02:31 โรค 2 โรคเนี้ยตั้งแต่เราติดมากว่ามันจะ
00:02:31 → 00:02:34 แสดงอาการบางทีมันเป็น 10 ปีเลยทีเดียว
00:02:34 → 00:02:37 มันไม่มีอาการในตอนแรกนะครับ 10 ปีกว่า
00:02:37 → 00:02:40 ต่อมาเนี่ยไปตรวจเจอว่าเฮ้ยตัวเองมีโรค
00:02:40 → 00:02:42 เนี้ยซ่อนอยู่ในร่างกายนั่นก็คือเป็นความ
00:02:42 → 00:02:45 ยากอย่างหนึ่งนะครับแล้วมันมีคนที่เสีย
00:02:45 → 00:02:49 ชีวิตจากเหตุผลเนี้ยไปเป็น 3,000 คนแล้ว
00:02:49 → 00:02:51 ซึ่งเยอะมากๆเลยนะครับรวมทั้งเด็กหลายคน
00:02:51 → 00:02:54 ก็เสียชีวิตเพราะว่าติดเชื้อพวกนี้นั่น
00:02:54 → 00:02:57 แหะครับนั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้มี
00:02:57 → 00:03:00 ความเสียหายเกิดขึ้นอย่างมามากเลยทีเดียว
00:03:00 → 00:03:03 นะครับดังนั้นคนเสียหาย 2 กลุ่มเนี่ยมัน
00:03:03 → 00:03:06 เกิดอะไรขึ้นบ้างนะครับต้องขออธิบาย
00:03:06 → 00:03:08 เรื่องของฮีโมฟีเลียซึ่งเมื่อกี้ติดไว้
00:03:08 → 00:03:11 นิดนึงฮีโมฟีเลียเนี่ยมันเป็นโรคที่ร่าง
00:03:11 → 00:03:14 กายเราขาดโปรตีนตัวนึงซึ่งเรียกว่า factor
00:03:14 → 00:03:17 8 นะครับอันนี้คือฮีโมฟิเลีย a นะถ้ามัน
00:03:17 → 00:03:19 มีฮีโมฟิเลีย B ก็คือขาดแฟกเตอร์ 9 นะ
00:03:19 → 00:03:21 ครับแต่ว่าฮีโมฟิเลียที่เป็นปัญหาในตอน
00:03:21 → 00:03:24 นั้นคือฮีโมฟิเลีย a ซึ่งขาดแฟกเตอร์ 8
00:03:24 → 00:03:27 เป็นโปรตีนตัวนึงที่อยู่ในเลือดนะครับคน
00:03:27 → 00:03:28 เหล่านี้เนี่ยก็จะมีเลือดออกได้ง่ายมาก
00:03:28 → 00:03:31 เลยดังงั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องได้รับ
00:03:31 → 00:03:35 ไอ้ตัว factor 8 เข้าไปในร่างกายซึ่ง
00:03:35 → 00:03:37 สมัยก่อนเนี่ยการจะได้ factor 8 มาได้
00:03:37 → 00:03:40 เนี่ยมันจะต้องมีการได้รับผลิตภัณฑ์จาก
00:03:40 → 00:03:43 เลือดของคนอื่นก็คือพลาสมาซึ่งในนั้นน่ะ
00:03:43 → 00:03:46 มันก็จะมี factor 8 อยู่นะครับแต่ประมาณ
00:03:46 → 00:03:47 ปี
00:03:48 → 00:03:51 1970 ก็มีวิวัฒนาการทางการแพทย์อันนึง
00:03:51 → 00:03:55 ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดมากเลยก็คือว่าตอน
00:03:55 → 00:03:58 นั้นเนี่ยเาสามารถสกัดเอา factor 8 ออก
00:03:58 → 00:04:01 มาเพียวๆได้เลยนะครับคือแทนที่จะต้องให้
00:04:01 → 00:04:04 พลาสม่าซึ่งมีปริมาณน้ำเลือดเยอะมีสาร
00:04:04 → 00:04:06 ประกอบอะไรอื่นๆเยอะแยะไปหมดนะครับเค้า
00:04:06 → 00:04:09 สามารถดึงเอาเฉพาะ factor 8 มาได้แต่การ
00:04:09 → 00:04:11 ที่เค้าดึง factor 8 ตัวนี้ออกมาได้
00:04:11 → 00:04:14 เนี่ยมันต้องทำการดึงออกมาจากคนหลายคน
00:04:14 → 00:04:19 ครับคือจะต้องมีคนบริจาคเลือดโน่นเป็น
00:04:19 → 00:04:21 1000 เป็นหมื่นเป็นอะไรเยอะแยะขนาดนี้
00:04:21 → 00:04:23 แล้วก็ดึงเอาเฉพาะ fact 8 มารวมกันนะ
00:04:23 → 00:04:26 ครับเราจะเรียกว่า factor 8 concentrate
00:04:26 → 00:04:30 นะครับเอามาให้แล้วปัญหามันก็คือถ้าเกิด
00:04:30 → 00:04:32 ว่าในบรรดาคนที่บริจาคเลือดทั้งหมดเป็น
00:04:32 → 00:04:35 1000 คนอะไรเงี้ยคนนึงอ่ะมี HIV หรือคน
00:04:35 → 00:04:38 นึงมีไวรัสตปเสพซไอ้ factor 8
00:04:38 → 00:04:40 concentrate เนี่ยมีโอกาสที่จะมีเชื้อ
00:04:40 → 00:04:44 บานเนี้ยปนอยู่ได้นะครับแล้วคุณคิดดู
00:04:44 → 00:04:48 สมมุติว่า 1 คนบริจาค 1 ครั้งโอกาสที่คน
00:04:48 → 00:04:51 นึงมันจะถ่ายทอดเชื้อมาในใน factor 8
00:04:51 → 00:04:53 เนี่ยเออมันไม่ค่อยมีหรอกแต่คุณคิดดูถ้า
00:04:53 → 00:04:56 1,000 คนใน 1,000 คนถ้ามีสักคนนึงที่มี
00:04:56 → 00:05:00 เชื้อเนี่ยมีเชื้อนี่อยู่มันเป็นไงรวมมา
00:05:00 → 00:05:02 เป็นไอ factor 8 เก็มีเชื้ออยู่ได้นะ
00:05:02 → 00:05:05 ครับมันโอกาสจะสูงขึ้นเลยทันดีแล้วไม่ใช่
00:05:05 → 00:05:08 แค่งั้นครับตอนนั้นประเทศอังกฤษประสบ
00:05:08 → 00:05:11 ปัญหาขาดแคลนเลือดเขาเลยต้องมีการเอา
00:05:11 → 00:05:14 เลือดมาจากที่อื่นแล้วที่อื่นก็ไม่ใช่ที่
00:05:14 → 00:05:18 ไหนที่ไกลตัวเลยครับประเทศอเมริกาครับ
00:05:18 → 00:05:20 แล้วตอนนั้นเนี่ยมีปัญหาอย่างยิ่งก็คือ
00:05:20 → 00:05:24 ประเทศอเมริกาเนี่ยมีการจ่ายเงินให้กับ
00:05:24 → 00:05:27 นักโทษแล้วก็คนที่ติดยาเพื่อให้เขาบริจาค
00:05:28 → 00:05:31 เลือดครับตอนนี้คุณคงรู้แล้วใช่ไหมมครับ
00:05:31 → 00:05:35 ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนักโทษกับคนไข้ที่ติดยา
00:05:35 → 00:05:37 มีความเสี่ยงสูงที่เขาจะมี HIV แล้วก็มี
00:05:37 → 00:05:40 ความเสี่ยงสูงที่เขาจะมีไวรัสตเสบซีซึ่ง
00:05:40 → 00:05:43 มันติดต่อกันทางเลือดได้เกิดคนเป็นคนที่
00:05:43 → 00:05:46 เขาฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือดเนี่ยเขาก็จะ
00:05:46 → 00:05:49 มีไวรัสพวกนี้อยู่ในร่างกายได้แลถ้าเกิด
00:05:49 → 00:05:52 คนพวกนี้บริจาคเลือดล่ะก็ลิ่งแล้วใหญ่คุณ
00:05:52 → 00:05:55 เอาเลือดมาจากคนที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว
00:05:55 → 00:05:58 แถมเอามา concentrate เอาามาทำให้มันเข้ม
00:05:58 → 00:06:00 ข้นเพิ่มขึ้นถ้า 1 ในนั้นมีเชื้อปนอยู่
00:06:00 → 00:06:03 ไอ้คนเนี้ยก็จะทำให้ factor 8 ที่เขา
00:06:03 → 00:06:05 สร้างมาเนี่ยมีการปนเปื้อของเชื้อทันที
00:06:05 → 00:06:09 แล้วเเอาเข้าประเทศอังกฤษซึ่งกำลังขาดแคน
00:06:09 → 00:06:13 เลือดนะครับไปให้คนไข้ที่มีความเปราะบาง
00:06:13 → 00:06:15 มากที่สุดแล้วต้องจำเป็นต้องได้รับเลือด
00:06:15 → 00:06:18 มากที่สุดก็เลยทำให้มีคนติดกันระนาวเลยที
00:06:18 → 00:06:22 เดียวนะครับแล้วถามว่าตอนนั้นเอ๊ะทำไมเ้า
00:06:22 → 00:06:25 ไม่มีการสกรีนเลือดเหรอไม่มีการตรวจคัด
00:06:25 → 00:06:27 กรองเหมือนเวลาที่เราไปบริจาคเลือดจะตรวจ
00:06:27 → 00:06:32 หา HIV ตรวจหาอ่อไวรัสตปส B C ฟิอะไรพวก
00:06:32 → 00:06:34 นี้ไม่มีเหรอนะครับต้องขอบอกอย่างนี้ก่อน
00:06:34 → 00:06:36 ครับตอนนั้นเนี่ยเายังไม่รู้จักเลยครับ
00:06:36 → 00:06:40 ว่าไวรัสตปเสพ C กับ HIV คืออะไรยังไม่
00:06:40 → 00:06:43 รู้จักเลยนะครับแต่สิ่งที่เขารู้จักก็คือ
00:06:43 → 00:06:46 เค้ารู้จักไวรัสตัปเสพ a และ b ก่อนไอ้ 2
00:06:46 → 00:06:48 อันนี้เนี่ยมันรู้จักตั้งแต่ประมาณสักปี
00:06:48 → 00:06:52 1940 1950 และดังนั้นเคจึงมีการตรวจคัด
00:06:52 → 00:06:58 กรองไวรัตปเสษ B ตอนช่วงที่บริจาคนะครับ
00:06:58 → 00:07:02 ยังไงก็ตามในตอนนั้นเนี่ยมันเคยมีรายงาน
00:07:02 → 00:07:06 ว่ามีคนติดมีคนเป็นต่อักเสบแต่หาสาเหตุ
00:07:06 → 00:07:10 ไม่ได้นะครับหาสาเหตุไม่ได้แต่คาดว่าน่า
00:07:10 → 00:07:13 จะเป็นจากไวรัสตอนสมัยนั้นเขาจะเรียกว่า
00:07:13 → 00:07:17 non a non B hepatitis นะครับเปติ
00:07:17 → 00:07:19 คือเต่าอักเสบนอน a นน B ก็คือไม่ใช่
00:07:19 → 00:07:20 ไวรัส a ไม่ใช่ไวรัส B แต่มันน่าจะเป็น
00:07:20 → 00:07:23 อะไรสักอย่างนี่แหละที่ทำให้เกิดตำอักเสบ
00:07:23 → 00:07:26 แต่เราไม่รู้ว่าอะไรสมานั้นเรียกอย่างนี้
00:07:26 → 00:07:29 นะครับแล้วทาง Who เนี่ยตั้งปีประมาณสัก
00:07:29 → 00:07:33 1953 เนี่ยสังเกตถึงปัญหานี้แล้วก็ออกมา
00:07:33 → 00:07:36 เตือนหลายๆประเทศบอกว่าเฮ้ยอย่าไปเอา
00:07:36 → 00:07:38 เลือดมาจากประเทศอื่นนะเพราะว่ามันมี
00:07:38 → 00:07:41 โอกาสเกิดไอ้เนี่ยนอน a นอน B เปปติได้นะ
00:07:41 → 00:07:42 แต่เราไม่รู้ว่าทำไมเกิดเพราะตอนนั้นยัง
00:07:42 → 00:07:45 ไม่มีใครค้นพบไวรัสเสพ 4 นะ
00:07:45 → 00:07:48 ครับยังไงก็ตามอังกฤษเนี่ยไม่ได้ฟังคำ
00:07:48 → 00:07:51 เตือนตรงนี้นะครับแล้วเคงยังยังมีการเอา
00:07:51 → 00:07:54 เลือดมาจากที่อื่นอยู่ดีนะครับแล้วเกิด
00:07:54 → 00:08:00 อะไรขึ้นรู้มั้ยครับปี 1975 ที่อังกฤษ
00:08:00 → 00:08:02 หลลังจากที่มีการใช้ไอ factor 8 เนี่ย
00:08:02 → 00:08:07 ประมาณสัก 5 ปีเกิดตับอักเสบมากขึ้นในคน
00:08:07 → 00:08:09 ที่เป็นฮีโมฟีเลียอย่างเห็นได้
00:08:09 → 00:08:13 ชัดอยู่ๆก็มีการติดแบบเฮ้ยทำไมคนที่เป็น
00:08:13 → 00:08:16 ฮีโมฟีเลียเนี่ยมันถึงมิตต่ำอักเสบเยอะ
00:08:16 → 00:08:19 แยะไปหมดนะครับแต่เขาคก็ไม่ได้สนใจอะไรใน
00:08:19 → 00:08:22 ตอนนั้นคือก็มีคนเตือนแล้วนะเตือนทาง
00:08:22 → 00:08:25 รัฐบาลว่าเฮ้ยมันน่าจะมีความเกี่ยวข้อง
00:08:25 → 00:08:28 กับเลือดนะเพราะว่าไอ้คนที่เป็นเนี่ยคือ
00:08:28 → 00:08:31 คนที่ได้รับเลือดบ่อยๆมันถึงเป็นแล้วคน
00:08:31 → 00:08:33 ที่ไรับเลือดบ่อยในตอนนั้นก็คือคนไข้
00:08:33 → 00:08:37 ฮีโมฟีเลียนี่แหละแต่ตอนนั้นรัฐบาลอังกฤษ
00:08:37 → 00:08:39 กับสาธารณสุขของอังกฤษเนี่ยเขาก็ไม่ได้
00:08:39 → 00:08:41 ฟังสิ่งตรงนี้เขายังคิดว่าเฮ้ยมันยังได้
00:08:41 → 00:08:43 ประโยชน์มากอยู่ถึงแม้ว่า Who จะออกมา
00:08:43 → 00:08:46 เตือนตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วนะอ่าเขาก็
00:08:46 → 00:08:50 ไม่ได้ฟังนะขอนอกเรื่องนิดนึงตรงเเดี๋ยว
00:08:50 → 00:08:52 มันจะต้องมีคนที่ต่อต้านวัคซีนเอาไปเป็น
00:08:52 → 00:08:54 ประเด็นแน่ๆที่บอกว่าเห็นมั้ยข้าพเจ้า
00:08:54 → 00:08:56 เตือนแล้วว่าฉีดเข้าไปฉีดวัคซีนเข้าไป
00:08:56 → 00:08:59 แล้วเอ่อโปรตีนหนามันทำให้เกิดโรคนั้นโรค
00:08:59 → 00:09:02 นี้นะครับต้องบอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกันครับ
00:09:02 → 00:09:04 คนละประเด็นกันเนื่องจากว่าตอนเเรามีข้อ
00:09:04 → 00:09:06 มูลทางวิทยาศาสตร์ว่าวัคซีนมันไม่ได้มี
00:09:07 → 00:09:11 ปัญหาอะไรนะครับแต่สมัยก่อนที่เรื่องของ
00:09:11 → 00:09:15 ฮีโมฟีเลียที่ติดไวรัส HIV ไวรัสตำอักเสบ
00:09:15 → 00:09:17 C เนี่ย Who ก็ออกมาเตือนตั้งแต่ก่อน
00:09:17 → 00:09:21 หน้านั้นแล้ว Who คือองค์กรที่มันใหญ่
00:09:21 → 00:09:24 ระดับโลกนะครับมีงานมีเหตุผลชัดเจนนั่น
00:09:25 → 00:09:27 คือองค์กรระดับโลกเคเตือนคุณแล้วแต่คุณ
00:09:27 → 00:09:29 ไม่ฟังแต่อันเนี้ยคือคนแต่ละคนที่เตือน
00:09:30 → 00:09:33 เนี่ยคือคนที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน
00:09:33 → 00:09:35 สักอย่างเลยดังนั้นคนละประเด็นอย่าเอามัน
00:09:35 → 00:09:38 มาโยงกันนะครับไม่งั้นจะบอกว่าเอ้ยมันมี
00:09:38 → 00:09:42 คนพยายามจะเอ่อเป็นทฤษฎีสมคบคิดอะไรหรือ
00:09:42 → 00:09:43 เปล่านะครับไม่เกี่ยวกันไม่เกี่ยวกันเลย
00:09:44 → 00:09:47 นะครับอ่ะเรากลับมาเข้าเรื่องต่อนะฮะคือ
00:09:47 → 00:09:51 พอปี 1975 ก็เริ่มเจอว่าเฮ้ยทำไมมันมีวัณ
00:09:51 → 00:09:54 ตำเกษตมีตำกสตเยอะขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม
00:09:54 → 00:09:56 มันเป็นอย่างงั้นได้นะครับเพราะว่าเค้า
00:09:56 → 00:09:59 ยังไม่รู้จักไอ้ไวรัสตัวนี้เลยนะฮะแต่
00:09:59 → 00:10:02 เขาคก็ไม่สนใจก็ยังคงให้ factor 8 ต่อไป
00:10:02 → 00:10:06 ทำให้มีคนป่วยด้วยไอ้ปัญหาเนี่ยเยอะมาก
00:10:06 → 00:10:08 แล้วก็กว่าจะแสดงอาการเนี่ยนู่น 10 ปี
00:10:09 → 00:10:11 นู่นทำให้มีเชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่
00:10:11 → 00:10:14 รู้แล้วก็ถ้าเกิดว่าไปมีเพศสัมพันธ์กับ
00:10:14 → 00:10:17 ภรรยาตัวเองหรือสามีตัวเองเนี่ยก็จะทำให้
00:10:17 → 00:10:19 ติดเชื้อออกมาลูกออกมาก็ติดเชื้ออีกครับ
00:10:19 → 00:10:22 ทำให้มีเด็กเสียชีวิตไปไปไม่น้อยเลยที
00:10:22 → 00:10:25 เดียวนะครับบางคนเนี่ย
00:10:25 → 00:10:29 เอ่อป่วยแล้วก็สูญเสียพ่อแม่นะครับจากการ
00:10:29 → 00:10:31 เจ็บป่วยนี่แหละนะครับทำให้เป็นเรื่อง
00:10:31 → 00:10:36 ใหญ่มากๆแล้วก็อ่ามีการออกมาพยายามจะเปิด
00:10:36 → 00:10:38 โปงอันนี้แล้วก็พยายามจะให้รัฐบาลเ่ะ
00:10:38 → 00:10:41 สาธารณสุขของรัฐบาลเนี่ยพิจารณานะครับ
00:10:41 → 00:10:45 เอ่อแล้วก็ล่าสุดมีคุณเ่าแง ST เซอแง ST
00:10:45 → 00:10:47 เนี่ยเขาเป็นคนที่เอาเรื่องเนี้ยเข้ามา
00:10:47 → 00:10:49 แล้วก็ตั้งแต่ปี 2017 เนี่ยทำให้เรื่องต
00:10:49 → 00:10:53 เนี้ยมันถึงดังขึ้นมาแล้วก็ทางรัฐบาลที่
00:10:53 → 00:10:55 เขาวิเคราะห์เนี่ยเรู้สึกว่าเฮ้ยมันจริง
00:10:55 → 00:11:00 มันมีคนพยายามจะบิดเบือนเ่อปกปิดจริงๆทำ
00:11:00 → 00:11:02 ให้เกิดความสูญเสียซึ่งจริงๆแล้วมันน่าจะ
00:11:02 → 00:11:04 หลีกเลี่ยงได้แล้วตอนนั้นเนี่ยไม่ได้ฟัง
00:11:04 → 00:11:07 คำเตือนของ Who เลยด้วยทำให้มันสูญเสีย
00:11:07 → 00:11:09 ขนาดนี้นะ
00:11:09 → 00:11:13 ครับทีนี้คำถามก็มาถึงว่าเออแล้ว
00:11:13 → 00:11:16 เอ่อเราไปรู้จักกับไอ้เชื้อพวกเนี้ยตั้ง
00:11:16 → 00:11:18 แต่เมื่อไหร่แล้วสกรีนเมื่อไหร่แล้วคนไทย
00:11:18 → 00:11:20 จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นไอ้นี่มั้ยเพราะ
00:11:20 → 00:11:22 ว่าบอกว่าเฮ้ยสมัยก่อนเนี่ยก็ไม่มีใครรู้
00:11:22 → 00:11:24 จักไอ้เชื้อนี่นี่หว่าใช่มั้ยครับแต่ตอน
00:11:24 → 00:11:28 นี้มันรู้จักแล้วผมต้องขอเริ่มจากเชื้อ
00:11:28 → 00:11:31 ตัวที่เรารู้จักกันก่อนก็คือเชื้อ HIV
00:11:31 → 00:11:34 HIV เนี่ยมีการรายงานครั้งแรกเนี่ย
00:11:34 → 00:11:37 ประมาณสักปี 1982 ในตอนนั้นเนี่ยคือมีคน
00:11:37 → 00:11:40 ที่อยู่ๆเนี่ยเจ็บป่วยด้วยการติดเชื้อรา
00:11:40 → 00:11:42 ที่แบบไม่รู้สาเหตุทำไมอยู่ๆมันติดเชื้อ
00:11:42 → 00:11:45 ราแต่ตอนหลังไปรู้ไอ้เชื้อราตัวนี้คือ
00:11:45 → 00:11:49 pisis gacy pia ซึ่งเป็นเชื้อราซึ่ง
00:11:49 → 00:11:51 ติดในคนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอมากๆนะครับ
00:11:51 → 00:11:53 แต่ตอนนั้นเไม่รู้นะครับก็มีมาเป็นอย่าง
00:11:53 → 00:11:57 เงี้ยหลายๆเคสแล้วก็ตายก็เลยเป็นที่มาของ
00:11:57 → 00:12:00 การที่เค้าไปเจอว่าเฮ้ยมันน่าจะมีไวรัส
00:12:00 → 00:12:03 อะไรที่ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอแล้วตอน
00:12:03 → 00:12:06 นั้นเนี่ยก็โยงไปทถึงว่ามันน่าจะมีความ
00:12:06 → 00:12:08 เกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือดนะการได้รับ
00:12:08 → 00:12:11 ส่วนประกอบของเลือดเพราะว่ามันคนพวกเแหละ
00:12:11 → 00:12:14 ป่วยบ่อยนะครับป่วยเยอะนะครับเจอเยอะแล้ว
00:12:14 → 00:12:18 ก็นำไปสู่การที่อ่า pas institute ของ
00:12:18 → 00:12:22 ทางฝรั่งเศสเนี่ยค้นพบไวรัส HIV โดยเขา
00:12:22 → 00:12:24 สามารถแยกมันออกมาจากเซลล์เอาเซลล์ภูมิ
00:12:24 → 00:12:26 กัน T เซลล์เนี่ยมาเพาะแล้วก็แยกไอ้เชื้อ
00:12:26 → 00:12:28 นี้ออกมาได้นะครับทำให้คนที่แยกไอ้เชื้อ
00:12:28 → 00:12:31 นี้ได้เนี่ยอ่าได้รางวัลโนเบลไปเลยนะครับ
00:12:31 → 00:12:33 แต่ว่ากว่าจะได้โน่นก็น่าน่าจะประมาณปี
00:12:33 → 00:12:37 เ่า 2008 หรืออะไรแถวๆนี้ม 2008 29 ถ้า
00:12:37 → 00:12:39 ผมจำไม่ผิดนะคือกว่าจะได้รางวัลโนเบล
00:12:39 → 00:12:43 เนี่ยนานแล้วคนที่ได้เนี่ยมี 2 คน
00:12:43 → 00:12:48 เอ่อชื่อ mon กับอีกคนนึงชื่อี่เนี่ยสัก
00:12:48 → 00:12:51 อย่างเนี่ยนะเขาได้รางวัลโนเบลไปแต่คุณ
00:12:51 → 00:12:55 รู้อะไมั้ยครับว่าคนที่ถ่ายรูป HIV ได้คน
00:12:55 → 00:12:57 แรกพิสูจน์ว่ามันมีจริงๆคนแรกเนี่ยคือ
00:12:57 → 00:13:00 อยู่แลบเดียวกันนั่นแหละนะครับอ่าชื่อ
00:13:00 → 00:13:04 ชาลี doget เค้าเนี่ยใช้เวลานานมากกว่า
00:13:04 → 00:13:07 เขาจะถ่ายไอ้รูปไอ้ไวรัสตัวเนี้ยเลโท
00:13:07 → 00:13:10 ไวรัสออกมาได้เป็นไวรัส HIV เนี่ยคือเ
00:13:10 → 00:13:13 ถ่ายได้ในปี 1983 นะครับแล้วตอนนั้นเนี่ย
00:13:13 → 00:13:17 ไม่ได้เรียกว่า HIV นะครับเพราะว่าคนที่
00:13:17 → 00:13:20 เขาเป็นโรคเนี้ยตอนแรกมีต่อมเหลืองลืโต
00:13:20 → 00:13:22 เต็มไปหมดเลยนะครับแล้วเขาก็ไปเอาเชื้อ
00:13:22 → 00:13:25 เนี่ยออกไปไอต่อมน้ำเหลืองนะครับเาจะเ
00:13:25 → 00:13:27 เรียกว่าเ่อเป็น lymphadenopathy
00:13:27 → 00:13:29 associated virus
00:13:29 → 00:13:33 แล้วจึงมาเปลี่ยนเป็นคำว่า HIV หรือ Human
00:13:33 → 00:13:35 immunodeficiency virus เมื่อปี 1986
00:13:36 → 00:13:39 นะครับเราจะใช้คำว่า HIV ตั้งแต่ปี
00:13:39 → 00:13:43 1986 แล้วปี 1987 ยา Age ตัวแรกก็ออกมา
00:13:43 → 00:13:47 ยา AZ หรือ a zt นะครับอ่าตัวเนี้ยเป็น
00:13:47 → 00:13:49 ตัวแรกเลยที่ออกมานะครับแล้วมันมีตัว
00:13:49 → 00:13:52 เดียวในตอนนั้นนะครับ AZ นะหรือที่เรา
00:13:52 → 00:13:55 เรียกเป็นชื่อเต็มๆว่า
00:13:55 → 00:13:58 ซิโมนอีกคำนึงก็คือ zidovudine นะครับตัว
00:13:58 → 00:14:01 นี้เป็นตัวแรกที่ออกมาในตอนนั้นแล้วก็มี
00:14:01 → 00:14:04 การพัฒนามาหลากหลายนะครับจนตอนหลังเนี่ย
00:14:04 → 00:14:07 เรารู้ว่าต้องใช้ยาหลายตัวร่วมกันมันถึง
00:14:07 → 00:14:11 จะเอา HIV อยู่ก็พัฒนามาเรื่อยๆตอนแรกยา
00:14:11 → 00:14:13 มันมีแต่ปัญหาเต็มไปหมดนะกินก็ไปขึ้นไส้
00:14:13 → 00:14:16 อาเจียนมีปัญหาทางด้านสุขภาพร่างกายผล
00:14:16 → 00:14:19 ข้างเคียร์เยอะแยไปหมดจนกระทั่งปี
00:14:19 → 00:14:23 2016 ยาดีมากจนกระทั่งเกิดโครงการอันนึ
00:14:23 → 00:14:27 เรียกว่า U เท่ากับ U undetectable เท่า
00:14:27 → 00:14:29 กับ untransmittable
00:14:29 → 00:14:32 แปลว่าถ้าเกิดคุณตรวจในร่างกายของคุณแล้ว
00:14:32 → 00:14:34 ไม่เจอเชื้อไวรัส HIV แล้วเนี่ยคุณไม่มี
00:14:34 → 00:14:37 ทางที่จะทำให้คู่นอนของคุณติดถึงแม้ว่า
00:14:37 → 00:14:39 คุณจะไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกันไม่ได้ใส่
00:14:39 → 00:14:40 ถุงยางก็
00:14:40 → 00:14:44 ตามการรักษา HP มันไปไกลขนาดนั้นแล้วนะ
00:14:44 → 00:14:48 ครับไปไกลขนาดนั้นละนะแล้วเ้าก็มีของทาง
00:14:48 → 00:14:51 unicef ของ wo เนี่ยเค้าพยายามจะกำจัด
00:14:51 → 00:14:55 Age ให้มันหายไปจากโลกในปี 2030 นะครับ
00:14:55 → 00:14:58 เล่ามาถึงตรงนี้เนี่ยเราจะเห็นวิวัฒนาการ
00:14:58 → 00:15:01 มากมายมหาศาลนะครับเรารู้ว่ามีเชื้อ HIV
00:15:01 → 00:15:03 เนี่ยตั้งแต่ประมาณซักเ่าเราเรียกว่า HIV
00:15:03 → 00:15:07 ตั้งแต่ปี 1986 แล้วพอปี
00:15:07 → 00:15:11 1987 เราสามารถตรวจคัดกรอง
00:15:11 → 00:15:14 HIV ในคนบริจาคเลือดได้แล้วเราก็เริ่ม
00:15:14 → 00:15:18 การตรวจในประมาณปีนั้นนะครับเอ่อเอ๊จริงๆ
00:15:18 → 00:15:21 ไม่ใช่ถ้าถอยกลับไปน่าจะประมาณปี 1 1987
00:15:21 → 00:15:23 นี่ที่ประเทศไทยมีการตรวจแต่ว่าที่
00:15:23 → 00:15:25 อเมริกาเนี่ยเขาตรวจได้ตั้งแต่ประมาณปี
00:15:25 → 00:15:29 1985 ละนะ 1985 มีการตรวจสกรีนนะครับแต่
00:15:29 → 00:15:33 ปีประเทศไทย 1987 นะหมายความว่า
00:15:33 → 00:15:36 อะไรก่อนหน้าปี 1987 ในประเทศไทยถ้าได้
00:15:36 → 00:15:40 รับเลือดในคนที่เอ่อเป็นเอดส์เนี่ยเราก็
00:15:40 → 00:15:43 อาจจะได้รับเอดส์มาด้วยนะครับแต่ต้องบอก
00:15:43 → 00:15:47 อย่างงี้ครับคนแรกที่ติดเชื้อ hiv ที่
00:15:47 → 00:15:50 ประเทศไทยเนี่ยเป็นคนที่เป็นนักเรียนไป
00:15:50 → 00:15:52 เรียนต่างประเทศนะครับรู้สึกจะกลับมา
00:15:52 → 00:15:55 ประเทศไทยนะครับปี 1982 น่ะหรือ 2525 ปี
00:15:56 → 00:15:59 ผมเกิดเลยนะครับในตอนนั้นน่ะเป็นคนคนคน
00:15:59 → 00:16:01 ไทยที่ไปติดมาจากต่างประเทศอีกทีนึงนะ
00:16:01 → 00:16:03 ครับไม่รู้ตอนนี้ไปไหนแล้วนะฮะแต่คนนั้น
00:16:03 → 00:16:06 เป็นคนแรกแล้วก็ยังโชคดีเพราะว่าอันนั้น
00:16:06 → 00:16:10 เป็นเคสรายงานเสเแรกเอ่อเคส Ed เคสแรกของ
00:16:10 → 00:16:12 ประเทศไทยก่อนหน้านั้นเนี่ยไม่มีก็แปลว่า
00:16:12 → 00:16:15 โอกาสที่จะได้รับการติดเชื้อ hiv จากการ
00:16:15 → 00:16:17 เ่อถ่ายเลือดหรือว่าส่วนประกอบของเลือด
00:16:17 → 00:16:19 เนี่ยน้อยหน่อยนะครับยังน้อยหน่อยเพราะ
00:16:20 → 00:16:21 ว่าเอดมันเพิ่งจะเข้าไทยมาตอนนั้นนะครับ
00:16:21 → 00:16:23 แล้วคนบริจาคเลือดก็แน่นอนยังไม่ไปติดจาก
00:16:23 → 00:16:26 คนคนนี้เท่าไหร่หรอกนะครับแต่ที่อเมริกา
00:16:26 → 00:16:30 เนี่ยมันก็มีแล้วคุณลองดูสิคือคนที่เขา
00:16:30 → 00:16:32 ฟ้องร้องเนี่ยคือคนที่ได้รับเลือนตั้งแต่
00:16:32 → 00:16:35 ปี 1970 ถึงประมาณ 1990 แถวๆนั้นบวกลบนะ
00:16:35 → 00:16:37 ครับแต่กว่าเขาจะรู้จัก HIV กว่าเขาจะ
00:16:37 → 00:16:41 สกรีนได้คือ 1984 แล้ว 1985 เออ 1985
00:16:42 → 00:16:44 กว่าจะสกรีนได้คือมีช่วงที่เไม่รู้เรื่อง
00:16:44 → 00:16:46 อะไรตั้งนานนะครับนั่นคือเป็น
00:16:46 → 00:16:51 ปัญหาอ้าวแล้วอ่าไวรัสตัซเจอเมื่อไหร่ยัง
00:16:51 → 00:16:54 ไงนะครับไวรัสตัซเนี่ยเจอทีหลังด้วยนะ
00:16:54 → 00:16:57 ครับเจอทีหลัง HIV อีกนะครับเพราะว่ามัน
00:16:57 → 00:16:59 มันตรวจยากตอนนั้นเยังไม่รู้เรายังเรียก
00:16:59 → 00:17:02 ว่าเป็น non a non B hepatitis อยู่
00:17:02 → 00:17:04 เลยนะครับยังยังไม่รู้เรื่องว่ามันมี
00:17:04 → 00:17:06 ไวรัส C อยู่ในตอนนั้นน่ะนะครับแล้วเค้า
00:17:06 → 00:17:11 ก็เอ่อไปเจอไวรัสตเสพซีรู้สึกจะตรวจได้
00:17:11 → 00:17:16 เมื่อประมาณซัก 19 อ่า 90 อ่าปี 1990
00:17:16 → 00:17:19 เนี่ยทางต่างประเทศสามารถตรวจได้ประเทศ
00:17:19 → 00:17:23 ไทยเ้าเอาตัวเนี้ยเข้ามาตรวจปี 1991 แปล
00:17:23 → 00:17:26 ว่าอะไรครับก็คนที่เา้าได้เลือดตั้งแต่
00:17:26 → 00:17:30 นู่นปี 1970 ถึง 1990 เนี่คือไม่รู้เลย
00:17:30 → 00:17:33 ว่ามันมีไวรัสซซอยู่ในโลกนี้ด้วยเพราะว่า
00:17:33 → 00:17:37 เขายังไม่เจอมันไม่เจอมันนะครับแล้วไอ้
00:17:37 → 00:17:40 การที่เขาไปเจอมันได้เนี่ยโหเขาใช้เวลา
00:17:40 → 00:17:42 ตั้งนานกว่าจะไปตรวจเจอไวรัสตัปเสปซได้นะ
00:17:42 → 00:17:46 ครับแต่ว่าทางรัฐบาลกับทาง nhs เนี่ยเขา
00:17:46 → 00:17:49 ผิดเพราะว่าอะไรรู้มั้ยผิดเพราะว่า Who
00:17:49 → 00:17:54 เตือนแล้วผิดเพราะว่ามันมีสัญญาณแล้วก็มี
00:17:54 → 00:17:56 งานเขียนที่ออกมาชัดเจนว่าคนฮีโมฟีเลีย
00:17:57 → 00:17:59 ที่เขาเป็นเนี่ยเขาเจอว่ามีตัอักเสพเพิ่ม
00:17:59 → 00:18:01 ขึ้นแต่เขาไม่ได้สนใจสัญญาณตรงนี้ทั้งๆ
00:18:01 → 00:18:03 ที่มีการตีพิมพ์ออกมาอันนี้แตกต่างจาก
00:18:04 → 00:18:06 กรณีของคนต่อต้านวัคซีนนะที่ไม่มีงาน
00:18:06 → 00:18:08 วิจัยที่บ่งบอกว่าเป็นอย่างนั้นออกมาแต่
00:18:08 → 00:18:10 ไอ้เนี่ยมันมีชัดเจนแล้วก็ Who ซึ่งเป็น
00:18:10 → 00:18:14 องค์กรระดับโลกก็เตือนไว้ด้วยแต่อังกฤษก็
00:18:14 → 00:18:17 ไม่ได้ฟังตอนนั้นนะครับก็เลยเป็นที่มาของ
00:18:17 → 00:18:20 การเจอไอ้เชื้อนี้ทีนี้ไอ้ไวรัสตปเสพ C
00:18:20 → 00:18:24 ตัวนี้เครับสามารถตรวจได้ตั้งแต่ปี 1990
00:18:24 → 00:18:27 ประเทศไทยเอามา 9 1991 นะครับแล้วมันก็
00:18:27 → 00:18:29 มีวิวัฒนาการตอนแรกเนี่ยเนี่ยการรักษา
00:18:29 → 00:18:32 ไวรัสตัปเสบซีเนี่ยมันลำบากมากเลยนะครับ
00:18:32 → 00:18:35 ไม่ค่อยได้ผลด้วยนะครับคือผมยังจำได้ตั้ง
00:18:35 → 00:18:37 แต่สมัยผมเรียนเนี่ยตอนนั้นยังไม่มีการ
00:18:37 → 00:18:40 ใช้ยาพิเศษนะครับยังมีใช้ยากลุ่มที่เรียก
00:18:40 → 00:18:42 ว่าเรียกว่า interferon อยู่
00:18:42 → 00:18:46 interferon แล้วต่อมาก็คือมียาไรวินไอ้ 2
00:18:46 → 00:18:49 ตัวเยไม่ค่อยได้ผลฟรอนฉีดเข้าไปโอหคนฉีด
00:18:49 → 00:18:54 นี่แทบจะซมเลยอ่ะมีไข้สูงนะครับอ่อนเพลีย
00:18:54 → 00:18:57 นะครับเวลาจะฉีดทีนึงก็ต้องไปฉีดวันศุกร์
00:18:57 → 00:18:59 นะครับทำไมรู้มั้ย
00:18:59 → 00:19:02 เพราะว่าร่างกายมันจะเพลียมันจะแยกไปเลย
00:19:02 → 00:19:04 แล้วก็ต้องพักเสาร์อาทิตย์อ่ะครับต้องไป
00:19:04 → 00:19:06 ฉีดวันศุกร์นะฉีดวันธรรมดาก็ไม่ต้องทำงาน
00:19:06 → 00:19:09 ทั้งอาทิตย์นะครับนะแล้วก็รู้สึกที่เมือง
00:19:09 → 00:19:13 ไทยก็จะมีมีดาราเคยเป็นไอวรตปเสกซีที่
00:19:13 → 00:19:15 เกิดจากการอ่าถ่ายเลือดด้วยเหมือนกันได้
00:19:15 → 00:19:18 รับเลือดมาจากคนอื่นนะครับผมจำไม่ได้ว่า
00:19:18 → 00:19:21 ดาราไทยคนไหนนะแต่ว่าเป็นสมัยก่อนแล้วะ
00:19:21 → 00:19:23 น่าจะเป็นดาราพิธีกรเนี่ยได้รับคนหนึ่งไป
00:19:23 → 00:19:29 นะครับก็นั่นแหละนะคือมันมันก็มีการเป็น
00:19:29 → 00:19:31 อย่างนั้นอยู่เหมือนกันแล้วก็การรักษาตรง
00:19:31 → 00:19:35 นั้นบางคนก็ไม่ได้ผลนะคือเพลียจากยาแล้ว
00:19:35 → 00:19:39 มันไม่ได้ผลอีกต่างหากนะแต่บางคนก็ได้ผล
00:19:39 → 00:19:41 ต่อมาเนี่ยช่วงที่ผมเรียน residency อยู่
00:19:41 → 00:19:43 ก็มียา 2 ตัวออกมาซึ่งตอนนี้เลิกใช้ไป
00:19:43 → 00:19:44 แล้วนะ
00:19:44 → 00:19:48 เอ่อผมจำมันไม่ได้น่าจะชื่อ ter previa
00:19:48 → 00:19:51 กับ b previa 2 ตัวเนี้มันเป็นยาที่ไป
00:19:51 → 00:19:54 ต่อต้านไอ้ไวรัสตสบ C ตรงๆตั้งแต่แรกนะ
00:19:54 → 00:19:56 ครับแต่ตอนนี้ก็เลิกใช้ไปแล้วเพราะว่า
00:19:56 → 00:19:59 อะไรรู้มั้ยไวรัสตปเสบ C เนี่ยมันมีด้วย
00:19:59 → 00:20:03 กัน 6 ชนิดเออมีด้วยกัน 6 ชนิดแต่ไยา
00:20:03 → 00:20:05 เนี่ยมันต่อต้านได้แค่ชนิดที่ 1 เท่านั้น
00:20:05 → 00:20:08 เองไอ้ชนิดที่เหลือทำอะไรไม่ได้เลยจน
00:20:08 → 00:20:11 กระทั่งหลังจากนั้นปี 2016 ปีเดียวกับที่
00:20:11 → 00:20:14 Edge เนี่ยมันประกาศภาวะ U = ก U นะ
00:20:14 → 00:20:18 โครงการ U เท่ากับ U ก็ไปขาปี 2016 ไอ้
00:20:18 → 00:20:22 hcv หรือเปต C ไวรัสตัวนี้เนี่ยเราก็มี
00:20:22 → 00:20:26 ยาดีออกมาในตอนนั้นยาดีในตอนนั้นเนี่ยมัน
00:20:26 → 00:20:29 เป็นยาประกอบการที่ไปต่อต่อต้านอ่าการทำ
00:20:29 → 00:20:33 งานของ RNA ของไวรัสตัวนี้ไวรัสเปติ C
00:20:33 → 00:20:35 เนี่ยมันเป็นสารปทุกรรมมันเป็น RNA เรา
00:20:35 → 00:20:38 สามารถไปยับยั้งการทำงานของ RNA ของมัน
00:20:38 → 00:20:40 ได้แล้วก็ให้คู่กับยาที่ไปย้ำยั้งการทำ
00:20:40 → 00:20:43 งานของโปรตีนของ RNA ของมันอีกนะครับออก
00:20:43 → 00:20:44 มาในตอน
00:20:44 → 00:20:48 นั้นนะครับยาตัวแรกที่ออกมาแล้วโด่งดัง
00:20:48 → 00:20:51 มากเลยคือยาชื่อว่า SOS bia นะครับ SOS
00:20:51 → 00:20:54 bia เนี่ยโด่งดังมากแต่ว่าเขาก็เอาไปบวก
00:20:54 → 00:20:57 กับยาตัวนึง sof bia กับเ่อ Lady pass
00:20:57 → 00:21:00 viar ซึ่งเดี๋ยวนี้เนี่ยยมันมี Sort ria
00:21:00 → 00:21:03 กับตัวอื่นๆเต็มไปหมดเลยนะครับยังไงก็ตาม
00:21:03 → 00:21:06 นั่นเป็นก้าวแรกของการรักษาเปติ C หรือไต
00:21:06 → 00:21:09 เซบ 4 ซึ่งครอบคลุมทั้ง 6 สายพันธุ์ครอบ
00:21:09 → 00:21:11 คลุมทุกตัว
00:21:11 → 00:21:16 เลยแล้วเอ่อผลการรักษามันดีมากคือมัน
00:21:16 → 00:21:19 สามารถรักษาให้หายขาดได้เลยครับหายขาดได้
00:21:19 → 00:21:20 เลย
00:21:20 → 00:21:24 นะคือเรากินยาตัวเยมันเป็นยา
00:21:24 → 00:21:27 กินการรักษาเนี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 3-6
00:21:27 → 00:21:29 เดือนแล้วแต่ว่าว่าเรามีโรคตับแข็งหรือ
00:21:29 → 00:21:31 เปล่าถ้าตับแข็งก็อจจะต้องรักษานานหน่อย
00:21:31 → 00:21:33 ถ้าไม่มีตับแข็งก็รักษาสั้นหน่อยถ้าเคย
00:21:33 → 00:21:36 รักษามาแล้วมันมันไม่ได้ผลเช่นอ่าได้แล้ว
00:21:36 → 00:21:38 อินฟอได้รับไดบวินไม่ได้ผลก็อาจจะต้องใช้
00:21:38 → 00:21:41 รักษานานหน่อยนะครับแต่ปรากฏว่ามันรักษา
00:21:41 → 00:21:46 ได้หายขาดเอองั้นปี 2016 เนี่ยเป็นปีที่
00:21:46 → 00:21:49 แบบมีอะไรที่มันเจ๋งมากนะครับอย่าง 2
00:21:49 → 00:21:51 อย่างเลยอย่างนึงก็คือการรักษา HIV เนี่ย
00:21:52 → 00:21:56 ก้าวหน้าขนาดที่ว่าสามารถทำให้เชื้อเนี่ย
00:21:56 → 00:21:58 มันไม่สามารถติดต่อคนอื่นได้อีกต่อไปแต่
00:21:58 → 00:22:00 ว่ามันยังไม่หายไปจากร่างกายนะมันยังซ่อน
00:22:00 → 00:22:03 อยู่ในเซลล์ต่างๆได้เอ่อเคยมีคนถามผมว่า
00:22:03 → 00:22:06 HIV เนี่ยทำไมไม่สามารถทำให้มันหายไปจาก
00:22:06 → 00:22:08 ร่างกายได้เลยก็ต้องบอกอย่างงี้ครับว่า
00:22:08 → 00:22:10 HIV เนี่ยมันซ่อนอยู่ตามเซลล์ต่างๆซึ่ง
00:22:10 → 00:22:13 เซลล์นั้นก็คือเซลล์ภูคุ้มกันของเรานั่น
00:22:13 → 00:22:16 แหละถ้ามันซ่อนอยู่ในเซลล์ภูมกันเราไม่
00:22:16 → 00:22:18 สามารถเข้าไปจัดการกับเซลล์ตัวนี้ได้ครับ
00:22:18 → 00:22:20 เพราะมันเซลล์ของเซลล์เราเลยนะเซลล์ภูมิ
00:22:20 → 00:22:23 ภูมกันเองเลยนะครับมันก็เลยยังซ่อนอยู่
00:22:23 → 00:22:26 ตามที่ต่างๆแล้วบางทีมันไปซ่อนตามเอ่อหลบ
00:22:26 → 00:22:29 ซ่อนตามเซลล์ที่แบบเสุกันมันเข้าไม่ถึง
00:22:29 → 00:22:32 เหมือนกันนะครับนั่นก็คือเป็นปัญหาของของ
00:22:32 → 00:22:35 HIV ซึ่งมันไม่หายนะครับแต่แน่นอนบางคน
00:22:35 → 00:22:38 ก็เคยได้ได้ยินว่ามันมีเรื่องของ HIV ที่
00:22:38 → 00:22:42 หายได้ด้วยการที่เอ่อมีการปลูกถ่ายไข
00:22:42 → 00:22:45 กระดูกพร้อมกับการรักษา HIV นะครับพวกนี้
00:22:45 → 00:22:47 ก็มีทางทำให้มันหายได้แต่ว่าโอกาสที่จะ
00:22:47 → 00:22:49 เป็นอย่างงั้นน้อยมากแล้วก็มีไม่กี่คนใน
00:22:49 → 00:22:52 โลกนี้ที่มันหายได้ด้วยวิธีนี้นะครับกลับ
00:22:52 → 00:22:54 อีกคนนึงคือคนออสเตรเลียคนนึงซึ่งเขามี
00:22:54 → 00:22:58 การกลายพันธุ์ของยีนตัวนึงทำให้เอ่อยีน
00:22:58 → 00:23:01 ตัวนี้คือ ccr5 นะครับมันเป็นยีนที่มัน
00:23:01 → 00:23:03 ตัวตัวเชอดเนี่ยมันต้องใช้ในการเข้าไปใน
00:23:03 → 00:23:05 เซล์ถ้ายีนตัวนี้ไกลพัน์มันก็เข้าเซลล์
00:23:05 → 00:23:07 ไม่ได้สุดท้ายมันก็ไม่เป็นนะครับคนๆนี้ก็
00:23:07 → 00:23:10 เป็นคนที่ไม่เป็นเอดนะครับเออก็เป็นคนที่
00:23:10 → 00:23:13 แบบโชคดีไปนะครับแต่ยไงก็ตามปัจจุบันนี้
00:23:13 → 00:23:16 ก็ยังรักษาให้มันหายขาดไม่ได้นะคนที่เป็น
00:23:16 → 00:23:18 ก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิตนะครับแล้วเดี๋ยว
00:23:18 → 00:23:20 นี้กินยาก็ง่ายแล้วมันเหลือแค่วันละเม็ด
00:23:20 → 00:23:23 ผลข้างเคียงก็แทบไม่มีเลยด้วยนะครับคือ
00:23:23 → 00:23:26 แทบจะเป็นหมอธรรมดาสั่งก็ได้ผมก็ยังสั่ง
00:23:26 → 00:23:28 ได้เลยคนไข้ที่ปลูกถ่ายปอดคนนึงของผม
00:23:28 → 00:23:32 เนี่ยเนี่ยเอ่อ 2 คนของผมเป็น HIV ผมก็
00:23:32 → 00:23:34 สั่งยาตงนี้ให้ประจำก็กินแล้วก็ไวรัสก็
00:23:34 → 00:23:36 เป็นศูนยไม่เกิดอะไรขึ้นทุกอย่างก็เหมือน
00:23:36 → 00:23:39 คนปกติอยู่ได้ในสังคมเหมือนคนปกติเปี๊ยบ
00:23:39 → 00:23:42 เลยขอแค่กินยาวันละเม็ดก็เหมือนกับกิน
00:23:42 → 00:23:43 วิตามินวันละเม็ดนั่นแหละนะครับก็ไม่มี
00:23:43 → 00:23:47 ปัญหานะครับดังนั้นเนี่ยเรื่องนี้เนี่ย
00:23:47 → 00:23:52 มันบอกอะไรเรามันบอกว่าทาง nhs ของอังกฤษ
00:23:52 → 00:23:55 เนี่ยมีความผิดพลาดหลายอย่างมากมายเลยข้อ
00:23:55 → 00:23:57 แรก Who เตือนตั้งแต่ก่อนจะใช้เลือดพวก
00:23:57 → 00:23:59 นี้แล้วว่าเฮ้ยคุณอยากไปเอาเลือดของ
00:23:59 → 00:24:01 ประเทศอื่นมานะไอ้นี่ก็ไม่เชื่อไปเอามา
00:24:01 → 00:24:04 แล้วมันดันโชคร้ายคือไปเอาเลือดจาก
00:24:04 → 00:24:07 อเมริกาซึ่งตอนนั้นตอนนั้นทำให้ถูกต้อง
00:24:07 → 00:24:09 เหมือนกันคือมีการจ่ายเงินให้คนที่เป็น
00:24:09 → 00:24:14 นักโทษคนที่เอ่อติดสนเสพติดเนี่ยบริจาค
00:24:14 → 00:24:16 เลือดแล้วมันก็ซวยซ้ำซ้อนก็คือคนที่
00:24:16 → 00:24:18 บริจาคเลือดมันต้องเอาเลือดของหลายๆคนมา
00:24:18 → 00:24:20 รวมกันเพื่อสกัดเอาา factor 8 ออกไให้คน
00:24:20 → 00:24:23 ที่เป็นฮีโมฟีเลียใช้นั่นแหละแล้วไอ้โรค
00:24:23 → 00:24:26 ที่มันติดต่อมา HIV กับไวรัสอเสพ C ใช้
00:24:26 → 00:24:28 เวลานานมากกว่าจะแสดงอาการดังนั้นคนที่
00:24:28 → 00:24:30 เค้าเป็นเนี่ยไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้
00:24:30 → 00:24:33 เรื่องไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเมื่อไหร่กว่า
00:24:33 → 00:24:35 จะไปรู้ก็โน่นอาจจะ 10 ปีผ่านไปแล้วนะ
00:24:35 → 00:24:38 ครับก็เลยทำให้ทุกๆอย่างมันสายไปหมดกว่า
00:24:38 → 00:24:40 จะรักษาได้โอโหมันก็อีกนานหลายคนก็เสีย
00:24:41 → 00:24:44 ชีวิตหลายคนก็มีปัญหาต่างๆทางทางร่างกาย
00:24:44 → 00:24:47 แล้วสมัยนั้นคุณรู้อะไรมั้ยครับว่ามีข่าว
00:24:48 → 00:24:51 รือชัดเจนว่าคนที่เป็นฮีโมฟีเลีย a ในตอน
00:24:51 → 00:24:54 นั้นเนี่ยมันเกิดโรคประหลาดขึ้นมาคือตับ
00:24:54 → 00:24:57 อักเสบได้เป็น HIV ได้มีโรคแปลกๆจน
00:24:57 → 00:24:59 กระทั่ง
00:24:59 → 00:25:02 เรารู้จัก Edge ในปี 1982 แล้วเรารู้ว่า
00:25:02 → 00:25:05 มันคืออะไรเรารู้มันอาการอย่างแบบไหนคุณ
00:25:05 → 00:25:07 รู้มครับว่าคนธรรมดาเนี่ยสมัยก่อนเป็น
00:25:07 → 00:25:10 เอดส์เนี่ยเต้องปกปิดตัวเองไม่กล้าพูด
00:25:10 → 00:25:12 เพราะว่ากลัวสังคมจะประนามเดี๋ยวนี้ก็ยัง
00:25:12 → 00:25:15 มีแบบนั้นเลยนะครับแต่คุณรู้ได้มั้ยครับ
00:25:16 → 00:25:19 สมัยก่อนน่ะมีคนพูดถึงขนาดที่ว่าคนที่
00:25:19 → 00:25:23 เป็นฮีโมฟีเลียเนี่ยถือว่าเป็น
00:25:23 → 00:25:27 เอดส์อืมทำให้คนที่เป็นฮีโมฟีเลียเนี่ย
00:25:27 → 00:25:29 ไม่กลกล้าบอกใครเลยว่าตัวเองเป็น
00:25:29 → 00:25:31 ฮีโมฟีเลียเพราะว่าถ้าบอกไปเนี่ยเขาจะลบ
00:25:31 → 00:25:33 บอกคุณทันทีว่าคุณฮีโมฟีเลียใช่่มั้ยคน
00:25:33 → 00:25:35 เป็น
00:25:35 → 00:25:39 เอดมันสูญเสียทางโอกาสทางสังคมมากขนาด
00:25:39 → 00:25:42 นั้นคือไม่มีใครกล้าบอกเลยมันต้องอยู่ใน
00:25:42 → 00:25:45 ความกลัวขนาดนั้นมันเลยทำให้ความหายนะ
00:25:45 → 00:25:47 ครั้งนี้เป็นความหายนะครั้งที่ยิ่งใหญ่
00:25:47 → 00:25:50 มากเลยคือมีคนเตือนแล้วทำให้สคุณภาพชีวิต
00:25:50 → 00:25:53 ของคนมันเสียไปหมดแล้วทางรัฐบาลกับทาง nhs
00:25:53 → 00:25:55 ของอังกฤษตอนนั้นน่ะไม่ฟังคำเตือนแม้จะ
00:25:55 → 00:25:58 เป็นของ Who ไม่ฟังคำเตือนของใครเลยจนตอน
00:25:58 → 00:26:02 เนี้ยต้องออกมามีเงินที่ไปชดเชยครอบครัว
00:26:02 → 00:26:03 ของคนเหล่า
00:26:03 → 00:26:07 เนี้ยหมื่นล้านปอนด์นะครับหมื่นล้านปอนด์
00:26:07 → 00:26:09 เลยทีเดียวนะะเรื่องเป็นเรื่องใหญ่เลยที
00:26:10 → 00:26:12 เดียวนะครับงั้นอันนี้ก็เอามาเล่าให้ฟัง
00:26:12 → 00:26:15 เพียงเท่านี้นะครับคือตอนนี้เนี่ยเรามี
00:26:15 → 00:26:18 การตรวจคัดกรองชัดเจนะไม่มีการติดไอ้
00:26:18 → 00:26:20 เชื้อพวกนี้ได้อีกต่อไปแล้วนะครับคือเรา
00:26:20 → 00:26:23 มีการตรวจ HIV และไม่ใช่ตรวจปกตินะเดี๋ยว
00:26:23 → 00:26:26 นี้เราตรวจแบบวิธีพิเศษคือทำ pcr หา HIV
00:26:26 → 00:26:29 ในเลือดที่เราบริจาคมาตรวจหา HIV ตรวจ
00:26:29 → 00:26:32 ไวรัสตอักเสบ C ไวรัสตอักเสบ B นะครับ
00:26:32 → 00:26:36 ตรวจหาฟิิแล้วก็มีการสกรีนโรคต่างๆให้ออก
00:26:36 → 00:26:39 ไปจากการที่คนมาบริจาคเลือดนะครับเราก็
00:26:39 → 00:26:41 ไม่ต้องห่วงว่าเราจะติดไอ้ของพวกนี้มานะ
00:26:41 → 00:26:43 ครับเพราะว่าถ้ามันตรวจเจอปุ๊บเ้าเอา
00:26:43 → 00:26:45 เลือดตัวเนี้ยอ่าไปทิ้งเลยนะครับเไม่เอา
00:26:46 → 00:26:50 มาใช้นะครับโอเควันนี้ก็เล่าเรื่องยาวซะ
00:26:50 → 00:26:52 เลยนะครับแต่หวังว่ามันน่าจะเป็นสิ่งนึง
00:26:52 → 00:26:56 ซึ่งทุกคนน่ะควรจะรู้ไว้นะครับแล้วก็หวัง
00:26:56 → 00:26:59 ว่าจะเอาเป็นบทเรียนที่ที่ยิ่งใหญ่นะครับ
00:26:59 → 00:27:01 แล้วก็ที่สำคัญคือไม่ต้องเอาไปผูกกับคน
00:27:01 → 00:27:04 ที่เขาไม่เห็นด้วยกับวัคซีนโควิดนะเพราะ
00:27:04 → 00:27:07 ว่ามันคนละประเด็นกันแล้วก็อันของเรื่อง
00:27:07 → 00:27:11 ของ HIV เื่องเรื่องของเปติ C ในการได้
00:27:11 → 00:27:13 รับผลิตภัณฑ์จากเลือดเนี่ยมันมีคำเตือน
00:27:13 → 00:27:18 ชัดเจนจาก Who นะครับวัคซีนโควิด W Who
00:27:18 → 00:27:20 เขาเห็นด้วยกับวัคซีนโควิดไม่ได้มีผลข้าง
00:27:20 → 00:27:22 เคียงอะไรที่มันน่าเป็นห่วงไม่ได้มีงาน
00:27:22 → 00:27:27 วิจัยอออกมาต่อต้านอะไรขนาดนั้นนะครับของ
00:27:27 → 00:27:32 โควิดเนี่ยวัคซีนวัคซีนโควิดนะครับมันมี
00:27:32 → 00:27:34 วิจัยออกมาในทางดีทุกอย่างไม่ได้มีตัวไหน
00:27:34 → 00:27:37 ที่มีปัญหาศึกษามันเป็นเวลานานจนปัจจุบัน
00:27:37 → 00:27:39 เนี่ยยังไม่ได้มีตัวไหนเป็นปัญหาคนที่เไป
00:27:39 → 00:27:41 ฟังมาแล้วบอกว่าเกิดปัญหาโน้นอันนี้อัน
00:27:41 → 00:27:45 นั้นเนี่ยคือต้องบอกตรงๆนะครับคิดไปเอง
00:27:45 → 00:27:46 ทั้งนั้นน่ะแล้วก็ไปฟังคนอื่นก็เชื่อมา
00:27:47 → 00:27:49 ตามนั้นทำให้ต่อไปเนี้ยเวลาใครเป็นอะไร
00:27:49 → 00:27:52 ถ้าเกิดเราโดนฟังทุกวันฟังทุกวันเใช่มั้ย
00:27:52 → 00:27:54 เวลาเราเป็นอะไรขึ้นมาหรือคนนั้นเป็นไรคน
00:27:54 → 00:27:57 นี้เป็นอะไรเราโทษวัคซีนหมดเลยมันไม่ถูก
00:27:57 → 00:27:59 ต้องนะครับเพราะว่าถ้าแบบนั้นเนี่ยข้อมูล
00:27:59 → 00:28:02 ก็ก็ผิดพลาดกันหมดนะครับดังนั้นถ้าถามผม
00:28:02 → 00:28:04 นะผมก็ไม่ได้เชื่อคนที่ออกมาพูดเรื่องของ
00:28:04 → 00:28:06 การต่อต้านวัคซีนแล้วผมจะต่อต้านคนพวกนี้
00:28:06 → 00:28:09 ด้วยเนื่องจากว่าเทำให้สังคมเนี่ยมีแต่
00:28:09 → 00:28:13 ปัญหาหนักหนักอกหนักใจกลัวหวาดกลัวนะครับ
00:28:13 → 00:28:16 ก็คนพวกเยก็ต้องจัดการให้หมดเนาะเราปล่อย
00:28:16 → 00:28:20 เ้าไว้เค้าก็จะทำให้คนเรามีแต่ปัญหาบางคน
00:28:20 → 00:28:23 จะไปใช้พึ่งพาสมุนไพรใช้กัญช้าในการรักษา
00:28:23 → 00:28:25 อีกหคนี้ก็ไปกันใหญ่แล้วนะฮะคืออันนี้อาจ
00:28:26 → 00:28:28 จะอาจะมั่วไปเยอะนะครับโอเโอเคยังไง
00:28:28 → 00:28:30 เดี๋ยวเล่าแค่นี้แล้วกันไม่งั้นเดี๋ยวจะ
00:28:30 → 00:28:33 เป็นการบ่นซะเปล่าๆนะครับยังไงถ้าใครมีคำ
00:28:33 → 00:28:35 ถามอะไรก็สอบถามมาแล้วกันนะครับวันนี้
00:28:35 → 00:28:40 เท่านี้นะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ