00:00:00 → 00:00:03 เกือบที่จะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับมาพี่
00:00:03 → 00:00:06 เอิ้ลว่าวินาทีมหัศจรรย์ที่สุดก็คือ
00:00:06 → 00:00:09 วินาทีที่เรารู้สึกว่าเราไม่รู้ว่าเราจะ
00:00:09 → 00:00:11 ตื่นขึ้นมาบนโลกนี้หรือเปล่าก็เทำให้รู้
00:00:11 → 00:00:15 สึกว่าเออจริงๆความตายไม่ได้น่ากลัวเท่า
00:00:15 → 00:00:17 ที่คิดนะไอ้ที่น่ากลัวที่สุดคือตอนที่มัน
00:00:17 → 00:00:19 ยังไม่ตายแล้วแหละโมเมนต์นั้นน่ะทำให้ผม
00:00:19 → 00:00:22 เข้าใจว่าแบบจริงๆคนเราอ่ะความสุขไม่
00:00:22 → 00:00:25 ได้อยู่ไกลตัวเลยการ healthy อ่ะมันคือผม
00:00:25 → 00:00:27 สามารถพูดสิ่งนี้กับตัวผมเองได้ว่ามึงทำ
00:00:27 → 00:00:29 ได้ดีนะผมรู้สึกเป็นโมเมนต์ที่ธรรมดาเกิน
00:00:29 → 00:00:32 ไปที่คนที่มองเข้ามาก็ไม่น่าเข้าใจแต่มัน
00:00:32 → 00:00:37 พิเศษกับมากๆจิตวิญญาณของเราใช่พอเมื่อ
00:00:37 → 00:00:40 อายุเยอะขึ้นน่ะเราเห็นโทน 4 ของโลกที่
00:00:40 → 00:00:43 มันชัดเจนขึ้นแล้วผมบอกตัวเองว่าจบแบบนี้
00:00:44 → 00:00:51 ดีที่สุดแล้วอ่านั่นน่ะคือ Happy Ending
00:00:51 → 00:00:54 [เพลง]
00:00:54 → 00:00:59 จูนใจพcastประสบการณ์การจูนใจที่ทำให้เรา
00:00:59 → 00:01:02 ได้พบความสุข
00:01:02 → 00:01:05 สวัสดีครับผมป๊อบปองกุลครับเอ่อคุณกำลัง
00:01:05 → 00:01:06 อยู่ในราย
00:01:06 → 00:01:11 การเอิ้ลดาวก็ได้
00:01:11 → 00:01:14 เอิ้นเคยดูมั้ยกาแฟดาวกาแฟดาวเอิ้นดาวก็
00:01:14 → 00:01:19 ได้เออเออเฮ้ยชอบชื่อพี่เอิ้ลแปลว่าอะไร
00:01:19 → 00:01:22 อ่ะแปลว่าเรียกใช่มั้ยอันเดียวกับเอิ้น
00:01:22 → 00:01:23 ดาวอันเดียวกันเอิ้นเดาก็ได้นั่นแหละอ๋อ
00:01:23 → 00:01:25 เหรอใช่
00:01:25 → 00:01:29 ออแปลว่าเรียกหรือพี่เอิ้นมาจากเอิวะป่ะ
00:01:29 → 00:01:32 แบบภาษาอังกฤษอะไรอย่างเงี้ยเออคือเป็นคน
00:01:32 → 00:01:34 ที่ชื่อเป็นกิริยา
00:01:34 → 00:01:38 ออเรียกเอ้ยแต่ว่าผมยินดีมากที่พี่เอิ้ล
00:01:38 → 00:01:42 ทำพcสักทีนะเพราะว่าเป็นคนนึงที่ติดตามใน
00:01:42 → 00:01:45 Facebook ซึ่งหลายๆคนก็ทำคเทนเนี่ยอ่า
00:01:45 → 00:01:49 เป็นรายสัปดาห์รายเดือนอ่าความคิดว่าราย
00:01:49 → 00:01:54 ปีรายปีราย 2 ปีจะลงมาทีนึงแต่ตอนนี้น่า
00:01:54 → 00:01:58 จะทำจริงจังฮะเพราะว่าโอ้โหของเขิงอ๋อ
00:01:58 → 00:02:02 แล้วคุณได้คุณเคมาเป็นโปรดักชันี่งานสวย
00:02:02 → 00:02:05 งามนั่นน่ะสิค่ะ 3 กล้องนี่คือแคมปิ้นเลย
00:02:05 → 00:02:09 นะฮะคืออีฉันก็งงอยู่ค่ะแล้วไม่คิดว่าจะ
00:02:09 → 00:02:15 เจอขนาดนี้เหมือนกันอือืเพราะว่าตั้งแต่
00:02:15 → 00:02:18 พี่เอิ้ลท้องอ่ะอต้องบอกว่าแทบจะไม่ได้
00:02:18 → 00:02:21 เจอพี่เอิ้ลเลยปกติเราจะได้มีโอกาสเจอ
00:02:21 → 00:02:24 เห็นกันบ้างเห็นกันบ้างเห็นกันบ้างเอ่อ
00:02:24 → 00:02:27 กินข้าวด้วยกันบ้างอใช่อ่าเม้ามอยด้วยกัน
00:02:27 → 00:02:31 บ้างแล้วก็เพิ่งรู้ข่าวที่เราคุยกันผมก็
00:02:31 → 00:02:34 ผมก็ช็อกว่าอุ๊ยตอนแรกอ่ะเห็นคลอดน้องมา
00:02:34 → 00:02:37 แล้วเห็นอะไรมาแล้วแต่ว่าพอหลังจากพี่
00:02:37 → 00:02:39 เอิ้ลคลอดมาได้มีโอกาสยกหูคุยกันเพิ่งรู้
00:02:40 → 00:02:45 ว่าแบบมันมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นใช่ใช่
00:02:45 → 00:02:47 สำคัญยิ่งใหญ่มากอันนี้เอาอยู่ในไฮไลท์
00:02:47 → 00:02:49 ได้เลยครับ
00:02:49 → 00:02:51 ซึ่งเหตุการณ์นั้นคือกูเป็นพิธีกรแล้ว
00:02:51 → 00:02:53 เนี่ย
00:02:53 → 00:02:56 ก็ใช่ไงคือเหตุการณ์นั้นคือเหตุการณ์การ
00:02:57 → 00:03:01 ที่เกือบที่จะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับมาเออ
00:03:02 → 00:03:05 จากการตกเลือดอย่างมากหลังคลอดสมัยก่อนนะ
00:03:05 → 00:03:09 ผมผมเคยได้ยินมาว่าการคลอดลูกเนี่ย 30%
00:03:09 → 00:03:12 ของของบุคคลสมัยก่อนเนี่ยอือคุณเตรียมใจ
00:03:12 → 00:03:15 ไว้เลยว่าแม่อาจจะไม่รอดอืด้วยวิวัฒนาการ
00:03:15 → 00:03:18 ต่างๆนานาเนี่ยแม่นาคที่เราเห็นหรือว่า
00:03:19 → 00:03:22 ตามพวกราชวงศ์ต่างๆที่มีการคลอดแล้วอ่าใน
00:03:23 → 00:03:26 ซีรีส์ในหนังต่างๆเพราะว่าการคลอดลูกอ่ะ
00:03:26 → 00:03:29 อ่ะเป็นอันตรายกับแม่ที่สุดการพัฒนาการ
00:03:29 → 00:03:33 วิวัฒนาการของมนุษย์อ่ะมันทำให้การคลอด
00:03:33 → 00:03:36 ลูกของเรามันยากขึ้นแต่ปัจจุบันน่ะไม่
00:03:36 → 00:03:38 ค่อยมีใครที่จะมีปัญหาเรื่องการคลอดลูก
00:03:38 → 00:03:41 ส่วนใหญ่เขาก็จะแบบผ่าแล้วก็จบแล้วของพี่
00:03:41 → 00:03:44 เอิ้ลไปไปเจอเหตุการณ์กันได้ไงอ่ะครับของ
00:03:44 → 00:03:47 พี่เอิ้ลเนี่ยตอนแรกมันก็สวยหรูนะถ้าใคร
00:03:47 → 00:03:51 ดูในเฟซก็จะเห็นว่าเออเราก็ถ่ายรูปลงสด
00:03:51 → 00:03:54 ชื่น 3 คนพ่อแม่ลูกใช่มยแต่ว่าพอหลังออก
00:03:54 → 00:03:57 มาพี่เอิ้นก็รู้สึกว่าเอ๊ะร่างกายเราอาจ
00:03:57 → 00:04:00 จะมีความไม่ปกติบางอย่างตอนที่ไปอยู่ห้อง
00:04:00 → 00:04:02 พักฟื้นเนี่ยจริงๆแล้วอันนั้นคือคลอดแล้ว
00:04:02 → 00:04:06 ใช่มั้คลอดแล้วใช่คลอดแล้วเนี่ยแผลก็ดี
00:04:06 → 00:04:09 ไม่มีเลือดออกทุกอย่างดูสวยงามหมดเนาะจน
00:04:09 → 00:04:11 กระทั่งไปอยู่ห้องพักฟื้นตอนนั้นเนี่ยเรา
00:04:11 → 00:04:15 มีความรู้สึกว่าความหนาวนี้ไม่ปกติความ
00:04:15 → 00:04:19 หนาวอ่าคนที่คลอดลูกเนี่ยมีโอกาสที่จะมี
00:04:19 → 00:04:23 ความรู้สึกหนาวหนาวออ่าเพราะว่าเหมือนเรา
00:04:23 → 00:04:26 เสียเลือดนะเราเสียเอ่อเอ่อน้ำต้องบอกว่า
00:04:26 → 00:04:29 น้ำในร่างกายออกไปอย่างกระทันหันร่างกาย
00:04:29 → 00:04:32 เรามันแบบเอ่อเส้นเลือดเรามันยังมันยัง
00:04:32 → 00:04:35 ปรับตัวไม่ได้อ่ะแล้วก็การที่เราให้พวก
00:04:35 → 00:04:38 เอ่อยาชาหรือบล็อกหลังมันทำให้เรารับรู้
00:04:38 → 00:04:42 อุณหภูมิได้ช้าออใช่มั้ยมันก็ทำให้เอ่อคน
00:04:42 → 00:04:44 หลังคลอดเนี่ยก็จะมีความหนาวได้เป็นปกติ
00:04:44 → 00:04:47 แต่ว่าพี่เอิ้ลเนี่ยรู้สึกว่าหนาวนี้ไม่
00:04:47 → 00:04:51 ปกติแต่พี่เอิ้ลไม่เคยไม่เคยมีลูกไม่เคย
00:04:51 → 00:04:53 มีลูกแล้วพี่เอิ้ลจะรู้ได้ไงว่าอันนี้
00:04:53 → 00:04:56 ปกติไม่ปกติอาจจะด้วยความสัญชาตญาณของการ
00:04:56 → 00:04:59 เป็นแพทย์ของเราด้วยอืเนาะว่าถ้าเราเคย
00:04:59 → 00:05:02 ได้ยินจากคนไข้เนี่ยมันก็ต้องลักษณะนี้นะ
00:05:02 → 00:05:04 แต่นี่คือมันหนาวเข้ากระดูกอ่ะมันเหมือน
00:05:04 → 00:05:07 กับว่าคนที่กำลังสูญเสียเลือดแต่ว่าความ
00:05:07 → 00:05:10 ขัดแย้งคือข้างนอกเราไม่มีนะจนกระทั่งพี่
00:05:10 → 00:05:12 เอิ้ลก็ขึ้นไปอยู่ห้องพิเศษเสร็จแล้ว
00:05:12 → 00:05:16 ประมาณ 3-4 ชมงหลังจากนั้นเนี่ยพี่เอิ้ล
00:05:16 → 00:05:18 รู้ตัวเลยว่าเลือดในร่างกายพี่เอิ้ลเนี่ย
00:05:18 → 00:05:22 มันกำลังออกจากครั้งไหนอืเลือดในบนลูกพี่
00:05:22 → 00:05:25 เอิ้ลน่ะมันไหลออกมาอีกครั้งนึงแล้วก็
00:05:25 → 00:05:27 ต้องบอกว่าท้องเนี่ยก็คือโตขึ้นเลยเหมือน
00:05:27 → 00:05:30 เป็นบอลลูนเลยตอนนั้นเพราะว่าเลือดมันมัน
00:05:30 → 00:05:34 ออกภายในอวัยวะใช่ั้นตอนนั้นเนี่ยใจก็
00:05:34 → 00:05:37 เริ่มหวิวละเริ่มรู้สึกจะเป็นลมละนะเอ่อ
00:05:37 → 00:05:42 ชีพจรเริ่มแผ่วอือนะแล้วก็ความดันก็เริ่ม
00:05:42 → 00:05:47 ตกอืก็เลยรีบให้คุณสามีเนี่ยบอกทีมแบบ
00:05:47 → 00:05:50 พยาบาลพยาบาลก็ดีมากก็คือตอนนั้นพี่เอิ้ล
00:05:50 → 00:05:53 คลอดที่โรงพยาราชพฤกษ์เนาะงั้นการตอบสนอง
00:05:53 → 00:05:56 ของทีมเนี่ยสำคัญมากเขารีบเข้ามานะแล้ว
00:05:56 → 00:05:59 พี่เอิ้นก็ขอให้เขาแบบเอ่อโหลดน้ำเกลือก็
00:05:59 → 00:06:02 คือให้น้ำเกลือทางเพราะเรารู้สึกว่าเรา
00:06:02 → 00:06:05 กำลังสูญเสียเลือดจากข้างในตอนแรกก็ยัง
00:06:05 → 00:06:07 ไม่มีใครเชื่อนะเพราะว่าข้างนอกมันดีมาก
00:06:07 → 00:06:10 สักพักเอ่อพี่เอิ้ลก็ให้เขา้าตามแพทย์ใช่
00:06:10 → 00:06:13 มยสักพักอ่ะเลือดที่มันทนอยู่ข้างในเนี่ย
00:06:13 → 00:06:17 มันก็พรุออกมาแบบเป็นก้อนเลือดเลยอ๋อเหรอ
00:06:17 → 00:06:20 ฮะใช่ก็คือเสียเลือดจากข้างในตรงนั้น
00:06:20 → 00:06:24 เนี่ยก็คือ 1,000 เกือบ 1,500 1,500 อ่า
00:06:24 → 00:06:27 คือน้ำอ่าขวดฤทธิ์เออฤทธิ์ใช่น้ำขวดฤทธิ์
00:06:27 → 00:06:30 เนี่ยกลายเป็นว่าวิกฤตหนักเริ่มเกิดละตอน
00:06:30 → 00:06:33 นั้นแล้วก็เพื่อนก็รู้สึกว่าตัวเองกำลัง
00:06:33 → 00:06:37 จะช็อกคือก็ขอให้ทางทีมพยาบาลเนี่ยโหลด
00:06:37 → 00:06:40 น้ำเกลือในระหว่างที่รอคุณหมอเจ้าของไข้
00:06:40 → 00:06:43 เนี่ยมาน้องมาปุ๊บตัดสินใจในการเข้าห้อง
00:06:43 → 00:06:44 ผ่าตัดด่วนตอนนั้นเลยเพราะงั้นเนี่ยพี่
00:06:45 → 00:06:48 เอิ้ลคิดว่าในวินาทีนั้นน่ะเป็นวินาทีที่
00:06:48 → 00:06:51 พี่เอิ้ลทำได้ดีที่สุดแล้วในชีวิตของคน
00:06:51 → 00:06:55 นึงคือการมีสติมากพอในการที่เราจะสังเกต
00:06:56 → 00:06:59 ความผิดปกติในร่างกายตัวเองการที่เราจะ
00:06:59 → 00:07:03 ร้องขอความช่วยเหลือครับนะคะแล้วก็ต้อง
00:07:03 → 00:07:06 ขอบคุณทีมที่มีการตอบสนองการขอความช่วย
00:07:06 → 00:07:08 เหลืออย่างรวดเร็วเพราะว่าไม่งั้นมัน
00:07:08 → 00:07:11 วิกฤตมากจริงๆเนเอ่อเชื่อมป๊อบว่าพี่
00:07:11 → 00:07:13 เอิ้ลว่าวินาทีมหัศจรรย์ที่สุดก็คือ
00:07:13 → 00:07:16 วินาทีที่เรารู้สึกว่าเราไม่รู้ว่าเราจะ
00:07:16 → 00:07:19 ตื่นขึ้นมาบนโลกนี้หรือเปล่าตอนที่เวลา
00:07:19 → 00:07:21 มันไหลไปเรื่อยๆเนี่ยมันถึงจุดที่พี่
00:07:21 → 00:07:24 เอิ้ลรู้สึกมว่าเราอาจจะไม่ได้กลับมาอีก
00:07:24 → 00:07:27 แล้วอ่ะรู้สึกอย่างงั้นเลยมันถึงจุดที่
00:07:27 → 00:07:30 เราแบบไม่สามารถที่จะรั้งตัวเองไว้ได้อีก
00:07:30 → 00:07:33 แล้วเหรอผมไม่เคยไปถึงจุดนั้นคือพี่ว่า
00:07:33 → 00:07:38 มันเป็นวินาทีที่เราต้องยอมสิโรราภต่อ
00:07:38 → 00:07:41 ชีวิตว่ามันต้องเป็นอย่างที่มันต้องเป็น
00:07:41 → 00:07:44 แหละตัวเราในตอนนั้นเราทำอะไรมากกว่านี้
00:07:44 → 00:07:47 ไม่ได้ละถ้าเราจะต้องตายเราก็ต้องยอมจำนน
00:07:47 → 00:07:51 ที่เราจะต้องตายในคราวที่เรายกหูกันน่ะ
00:07:51 → 00:07:53 พี่เอิ้ลพูดคำนึงไว้ดีมั้มากว่าพี่เอิ้ล
00:07:53 → 00:07:56 เรียนมาทั้งชีวิตเพื่อโมเมนต์นั้นน่ะมัน
00:07:56 → 00:07:59 คืออะไรอ่ะพี่อมันคือโมเมนต์นี่แหละ
00:08:00 → 00:08:03 โมเมนต์ในการที่เราจูนใจเราเราจัดการเรา
00:08:03 → 00:08:08 อือจัดการตัวเราเองอืเอ่อในวินาทีสุดท้าย
00:08:08 → 00:08:10 คือมันอาจจะไม่ใช่วิธีนาทีสุดท้ายของ
00:08:10 → 00:08:11 ชีวิตเนาะเพราะว่าไม่งั้นเนี่ยพี่เอิ้ลก็
00:08:11 → 00:08:14 คงไม่ได้มานั่งคุยตรงนี้ใช่มั้เออแต่คือ
00:08:14 → 00:08:19 อาจเป็นพcสจากโปโลก
00:08:19 → 00:08:23 เออใช่แต่มันเป็นวินาทีที่เราอาจจะอยู่ใน
00:08:23 → 00:08:28 ตรงนั้นไงใช่มงั้นมันคือการที่เรามีทักษะ
00:08:28 → 00:08:32 ในการที่จะบริหารความคิดและจิตใจเราใน
00:08:32 → 00:08:34 วินาทีสุดท้ายของชีวิตแล้วภาพอะไรมันขึ้น
00:08:34 → 00:08:37 มาบ้างพี่มันมันมีอย่างที่เขาเคยบอกไว้ใน
00:08:37 → 00:08:40 แบบสมัยก่อนมั้ว่าเวลาเราจะตายเนี่ยภาพ
00:08:40 → 00:08:42 ของพ่อของแม่ลอยมาเลยอะไรอย่างเงี้ยมันมี
00:08:42 → 00:08:44 มั้เอของพี่อไม่เป็นอย่างงั้นนะโดยเฉพาะ
00:08:44 → 00:08:49 เราเนี่ยเพิ่งคลอดลูกเพิ่งออกมาไม่ไม่เออ
00:08:49 → 00:08:51 ไม่กี่ไม่กี่ชั่วโมงเองอะไรอย่างเงี้ย
00:08:51 → 00:08:54 เนี่ยเชื่อแม้พอเวลาเราจัดการใจตัวเองได้
00:08:54 → 00:08:57 เนี่ยนะไม่ได้มีความรู้สึกห่วงอะไรบนโลก
00:08:57 → 00:09:01 ใบนี้เลยแม้กระทั่งลูกที่เพิ่งเกิดมาอื
00:09:01 → 00:09:04 เพราะว่าเราน้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่มัน
00:09:04 → 00:09:06 จะเกิดขึ้นน่ะเพราะงั้นในโมเมนต์นั้นน่ะ
00:09:07 → 00:09:09 สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันก็คือมันกลายเป็น
00:09:09 → 00:09:13 ภาพสิ่งดีๆที่เราเคยทำมามากกว่าอือ่าไม่
00:09:13 → 00:09:18 ว่าจะเป็นการที่เราทำคลาสทำมหาศาลความสุข
00:09:18 → 00:09:21 การที่เรารู้ว่าเอ่อรอยยิ้มของคนที่
00:09:21 → 00:09:24 เปลี่ยนแปลงไปที่เรามีส่วนทำให้เขาเกิด
00:09:24 → 00:09:27 รอยยิ้มนี้อะไรอย่างเงี้ยอะไรที่เราเคยทำ
00:09:27 → 00:09:29 มาในสิ่งที่ดีพี่อิใช้คำว่ามันเป็น
00:09:29 → 00:09:33 โมเมนต์ของความปิติยินดีที่มันเกิดขึ้นอื
00:09:33 → 00:09:36 ก็ทำให้รู้สึกว่าเออจริงๆความตายไม่ได้
00:09:36 → 00:09:39 น่ากลัวเท่าที่คิดนะไอ้ที่น่ากลัวที่สุด
00:09:39 → 00:09:42 คือตอนที่มันยังไม่ตายนั่นแหละผมผมก็ไม่
00:09:42 → 00:09:44 แน่ใจว่าถ้าถ้าเป็นผมภาพที่มันขึ้นมันจะ
00:09:44 → 00:09:47 เป็นภาพอะไรเพราะฉะนั้นของพี่เอิ้ลน่ะจะ
00:09:47 → 00:09:51 เป็น AV รึเปล่า AV ใช่ครับใช่
00:09:51 → 00:09:54 ลอเล่นก็เหมือนตากล้องอะไรรักแหละในฝั่ง
00:09:54 → 00:09:58 ของผมอ่ะสิ่งที่พี่เอิ้ลเจอหรือว่าหรือ
00:09:58 → 00:10:01 ว่ามันเป็นน่ะมันคงเป็นการบริหารอ่ะ
00:10:01 → 00:10:04 เหมือนเป็นคนบริหารร่างกายมาตลอดเวลาถึง
00:10:04 → 00:10:06 เวลาที่มันต้องเจอเรื่องที่มันทัฟหนักๆ
00:10:06 → 00:10:09 จริงๆมันมันเอาอยู่ออือแต่ผมเชื่อว่าถ้า
00:10:09 → 00:10:11 ผมไปอยู่โมเมนต์นั้นผมต้องแบบกระสับ
00:10:11 → 00:10:14 กระส่ายอ่ะเพราะเราไม่เคยบริหารมันไปอ่ะ
00:10:14 → 00:10:16 ครับเราไม่เคยบริหารจิตใจเพื่อให้เจอ
00:10:16 → 00:10:19 โมเมนต์นั้นแล้วก็มันคงแตกซ่านมันคงว่า
00:10:19 → 00:10:20 ไอ้
00:10:20 → 00:10:23 เอ้ยอภาษีทำไงวะ
00:10:23 → 00:10:26 เอแล้วบริษัทกูทำไงวะแล้วเมียกูแล้วพ่อ
00:10:26 → 00:10:28 แล้วแม่อะไรอย่างเงี้ยมันคงแบบมันคงมี
00:10:29 → 00:10:31 ความแตกซ่านกันอยู่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่อง
00:10:31 → 00:10:34 ที่คนเสอนกันเรื่องมรณสติมรณานุสติอะไร
00:10:34 → 00:10:37 นั่นน่ะครับอที่พอถึงเวลาจุดนึงแล้วเราจะ
00:10:38 → 00:10:40 ฟไปอีกที่นึงมันจำเป็นจะต้องเข้าใจ
00:10:40 → 00:10:43 ธรรมชาติของโลกอะไรเงี้ยครับอืก็คือเมื่อ
00:10:43 → 00:10:46 กี้ที่ป๊อบบอกว่าเป็นอะไรที่เรียนมาทั้ง
00:10:46 → 00:10:48 ชีวิตเนาะเพราะงั้นหลังจากที่ผ่านเหตุ
00:10:48 → 00:10:51 การณ์นี้มาเนี่ยสิ่งนึงเลยพี่เอิ้ลรู้ว่า
00:10:51 → 00:10:54 พี่เอิ้ลมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรแต่โอเคอัน
00:10:54 → 00:10:56 นี้เราเราอาจจะแยกกับการที่เฮ้ยวันนี้เรา
00:10:56 → 00:10:58 เป็นแม่แล้วจริงๆนะเพราะฉะนั้นการเป็นแม่
00:10:58 → 00:11:01 เนี่ยทำทำให้เราเข้าใจเลยว่าอ๋อความทุกข์
00:11:01 → 00:11:03 เพราะการเกิดมันคืออะไรก่อนหน้านี้พี่
00:11:03 → 00:11:05 เอิ้ลไม่เคยเข้าใจอะไรจริงๆนะป๊อบเพราะ
00:11:05 → 00:11:07 ว่าพี่เอิ้นเป็นคนที่อยากมีลูกมาตลอด
00:11:07 → 00:11:11 ชีวิตเลยพอคนมีลูกพอเด็กเกิดอะไรเงี้ยพี่
00:11:11 → 00:11:14 เอิ้นก็จะรู้สึกโอ๊ยยินดีอืนะปิดตีไปกับ
00:11:14 → 00:11:17 เค้าอะไรอย่างเงี้ยนะเราก็ไม่เข้าใจว่า
00:11:17 → 00:11:20 การเกิดเนี่ยเป็นทุกข์เนี่ยมันมันจะเป็น
00:11:20 → 00:11:22 ยังไงหรอก็เราอยากจะที่จะให้ลูกเราเกิดจะ
00:11:23 → 00:11:25 ตายเหมือนกับที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้เกิด
00:11:25 → 00:11:28 แก่เจ็บตายเหล่านี้ก็คือทุกข์ทั้งหมดเออ
00:11:28 → 00:11:32 ใช่แต่เราแก่เจ็บตายเราเข้าใจออาฮะแต่
00:11:32 → 00:11:35 เกิดเเราไม่เข้าใจเออเออแต่พอมีลูกเนี่ย
00:11:35 → 00:11:38 เฮ้ยเราก็เลยรู้ว่าอ๋อห่วงไงทุกข์ที่เกิด
00:11:38 → 00:11:41 ขึ้นกับใจเราว่ามีห่วงอันใหม่เออห่วงแล้ว
00:11:41 → 00:11:43 พี่เอิ้ลก็พบว่าห่วงกับรักไม่เหมือนกัน
00:11:43 → 00:11:47 เลยนะอ๋อเหรอฮะเรารักเค้าเป็นแบบนึงอย่าง
00:11:47 → 00:11:49 พ่อแม่เราอ่ะบางบางทีเรารักเนะแต่เราไม่
00:11:49 → 00:11:52 ห่วงอ่ะจริงใช่มั้ยตอนเขาสุขภาพดีอ่ะหรือ
00:11:52 → 00:11:55 ตอนรู้ว่าเออเขามีคนอยู่ข้างๆเนี่ยเรารัก
00:11:55 → 00:11:58 เนะแต่เราไม่ห่วงแฟนเนี่ยเรารักเนะแต่เรา
00:11:58 → 00:12:00 ไม่ห่วงแต่ลูกเนี่ยมันทั้งรักและห่วง
00:12:00 → 00:12:02 เพื่อนว่ามันเป็นโมเมนต์ความสัมพันธ์ที่
00:12:02 → 00:12:05 ลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะอธิบายให้กันฟัง
00:12:05 → 00:12:09 ได้ว่ามันคืออะไรอ่ะอืแล้วก็เป็นสิ่งที่
00:12:09 → 00:12:12 ลูกจะไม่เข้าใจตราบใดที่ยังไม่เคยเป็นพ่อ
00:12:12 → 00:12:14 แม่อันนี้จริงที่เขาบอกกันไว้เออแม่เคย
00:12:14 → 00:12:17 พูดแบบนี้กับพี่เอิ้ลไม่เป็นแม่คนไม่เข้า
00:12:17 → 00:12:19 ใจหรอกพี่เอิ้นบอกไม่เข้าใจได้ยังไงอ่ะอื
00:12:19 → 00:12:23 เออแต่พอเป็นแม่ออเข้าใจละมันเป็นสิ่งที่
00:12:23 → 00:12:26 อธิบายมาเป็นตัวหนังสือได้ยากเรียกว่าแค่
00:12:26 → 00:12:30 อธิบายเป็นคำพูดก็ยากละเพียว่ามันเป็น
00:12:30 → 00:12:32 ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เราต้องสัมผัส
00:12:32 → 00:12:35 เองในในครั้งนึงแต่ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้อง
00:12:35 → 00:12:38 สัมผัสนะถ้าเราได้มีโอกาสมีประสบการณ์ทาง
00:12:39 → 00:12:41 จิตวิญญาณที่เราจะได้สัมผัสมันน่ะอือฮึ
00:12:41 → 00:12:44 เออเราจะเข้าใจคำว่ารักที่ยิ่งใหญ่อ่ะมัน
00:12:44 → 00:12:47 เป็นยังไงมันทำให้พี่เอิ้ลตระหนักได้ว่า
00:12:47 → 00:12:51 อ๋อเวลาเราเรียนเราเรียนเราเรียนธุรกิจ
00:12:51 → 00:12:53 เนาะอ่ะอย่างพี่เอิ้นก็ไม่ได้เป็นหมอ
00:12:53 → 00:12:55 อย่างเดียวเราเรียนหมอเราเรียนเรื่อง
00:12:55 → 00:12:58 ธุรกิจเราเรียนเรื่องการบริหารหรือแม้
00:12:58 → 00:13:01 กระทั่งที่โรงเรียนเราเรียนเคมีชีวะ
00:13:01 → 00:13:03 ฟิสิกส์คณิตเราเรียนการเขียนโค้ดอะไรต่าง
00:13:03 → 00:13:06 ๆเด็กๆเนี่ยครับแต่ในวินาทีสุดท้ายอ่ะเรา
00:13:06 → 00:13:09 ไม่ได้ใช้มันนะหรือวินาทีที่ร่างกายเรา
00:13:09 → 00:13:12 มันไม่ได้พร้อมที่เราจะฟังก์ชันมันน่ะอื
00:13:12 → 00:13:14 เราอาจจะเจ็บเรายังไม่ต้องตายหรอกเอาแค่
00:13:14 → 00:13:17 ว่าเราเจ็บเนี่ยเราก็ไม่ได้ใช้ทักษะหรือ
00:13:17 → 00:13:20 ความรู้เหล่านั้นอือฮึแต่ในขณะที่ถ้าเรา
00:13:20 → 00:13:23 มีความรู้ในการดูแลใจตัวเองไม่ว่าเราจะ
00:13:23 → 00:13:25 อยู่ในสถานะไหนหรือแม้กระทั่งวินาทีสุด
00:13:25 → 00:13:29 ท้ายของชีวิตเราได้ใช้มันตลอดเลยอืแต่มัน
00:13:29 → 00:13:31 เป็นเรื่องที่คนเราเรียนรู้กับมันน้อยมาก
00:13:31 → 00:13:34 แล้วบางคนก็คือคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นและ
00:13:34 → 00:13:37 ไม่ได้สำคัญในชีวิตซะด้วยซ้ำคือถ้าจะเอา
00:13:37 → 00:13:39 ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับผมอ่ะ
00:13:39 → 00:13:42 ก็คงใกล้เคียงกับการที่ตอนที่พ่อเข้าไป
00:13:42 → 00:13:44 อยู่ในโรงพยาบาลช่วงสุดท้ายของเขาเ้า
00:13:44 → 00:13:47 เรียกว่าเป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยระยะ
00:13:47 → 00:13:51 สุดท้ายอ่ะอืแล้วก็ในโมเมนต์นั้นน่ะผมก็
00:13:51 → 00:13:53 จะรู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่การเมือง
00:13:53 → 00:13:57 มันเดือดมากพี่และการเมืองในบ้านก็เดือด
00:13:57 → 00:13:59 อะไรก็เดือดไปหมดทุกอย่างการเมืองในบ้าน
00:13:59 → 00:14:02 เออมันมันเป็นช่วงเวลาที่มันมีความขัด
00:14:02 → 00:14:06 แย้งเกิดขึ้นทุกหนหงอ่ามันมีหมดทุกอย่าง
00:14:06 → 00:14:09 แล้วก็อะไรที่มันเกิดขึ้นในบ้านอันนั้น
00:14:09 → 00:14:12 ถูกใจไม่ถูกใจอ่ะในวันที่พ่อป่วยอ่ะสุด
00:14:12 → 00:14:16 ท้ายวันที่พ่อกินข้าวได้ฉี่ได้มันเป็น
00:14:16 → 00:14:18 ความสำเร็จเ็ดของทางครอบครัวเฮ้ยวันนี้
00:14:18 → 00:14:22 พ่อกินไป 3 คำนะเออเฮ้ยดีใจโมเมนต์นั้น
00:14:22 → 00:14:25 น่ะทำให้ผมเข้าใจว่าแบบจริงๆคนเราอ่ะความ
00:14:25 → 00:14:27 สุขไม่ได้อยู่ไกลตัวเลยไม่ต้องไปหา
00:14:27 → 00:14:30 เรื่องใส่ตัวไม่ต้องดู Facebook แล้วก็หา
00:14:30 → 00:14:33 ทุกข์ของคนอื่นมาใส่ในตัวเราทุกข์ของ
00:14:33 → 00:14:36 เรื่องอื่นทุกข์ของอะไรที่มันเกิดขึ้นโยน
00:14:36 → 00:14:41 เข้ามาให้มันหนักตัวเราไปมากมายพอหลังจาก
00:14:41 → 00:14:44 พ่อเสียไปอ่ะผมอ่ะรู้สึกว่าหลายอย่าง
00:14:44 → 00:14:47 สำหรับความสัมพันธ์น่ะอือืผมตัดทิ้งไปได้
00:14:47 → 00:14:51 เยอะมากเลยคนไม่จำเป็นเรื่องไม่จำเป็น
00:14:51 → 00:14:53 ความคิดที่ไม่จำเป็นอะไรอย่างเงี้ยแต่ผม
00:14:53 → 00:14:55 ก็เชื่อว่ามันคงห่างไกลจากการบริหารจิต
00:14:55 → 00:14:58 ให้ไปถึงมรณานุสติเหมือนกันเพราะว่ามัน
00:14:58 → 00:15:00 เป็นแค่การเอาตัวรอดในชีวิตประจำวันของผม
00:15:01 → 00:15:04 อ่ะจากที่เล่ามานะพี่เอิ้ลว่าป๊อบเอง
00:15:04 → 00:15:06 เนี่ยก็ได้บทเรียนยิ่งใหญ่กับตัวเองอย่าง
00:15:06 → 00:15:09 นึงเลยนะก็คือจริงๆแล้วอ่ะความสุขมันง่าย
00:15:09 → 00:15:13 กว่าที่คิดอ่าใช่อันที่ 1 คือจริงๆเรามี
00:15:13 → 00:15:16 ความสุขอยู่แล้วเพราะงั้นแค่แค่เรากินได้
00:15:16 → 00:15:20 เอ่อเราไม่กินแล้วอาเจียนเรานอนหลับได้ดี
00:15:20 → 00:15:23 วันนี้เราขับถ่ายได้ไม่อืดท้องอไม่ปั่น
00:15:23 → 00:15:27 ป่วนแต่ก่อนเราอาจจะเคยมองว่าเฮ้ยมันก็
00:15:27 → 00:15:30 ต้องเป็นอย่างเงี้ยธรรมดาแต่ไม่เคยให้คุณ
00:15:30 → 00:15:34 ค่ากับความธรรมดาอ่าจริงเออพี่เอว่าป๊อบ
00:15:34 → 00:15:35 เนี่ยได้เจอสิ่งที่ยิ่งใหญ่กับตัวเองแล้ว
00:15:35 → 00:15:39 ล่ะก็คือการที่เราได้มีประสบการณ์การเห็น
00:15:39 → 00:15:42 คุณค่าของความธรรมดาอืแล้วถ้าป๊อบสังเกต
00:15:43 → 00:15:45 นะจากวินาทีนั้นน่ะป๊อบจะไม่ลืมเลยว่า
00:15:45 → 00:15:48 ความธรรมดาให้ความสุขป๊อบได้จริงมันมี
00:15:48 → 00:15:50 โมเมนต์นึงที่แบบอ่ะพ่อเนี่ยจะมีช่วงเวลา
00:15:50 → 00:15:54 ที่ขึ้นลงอืจังหวะที่เขาขึ้นเนี่ยเค้าก็
00:15:54 → 00:15:57 จะสามารถที่แบบอ่ะพาพ่อไปสูดอากาศหน่อย
00:15:57 → 00:16:01 แล้วก็เข็นรถเข็นเขาออกไปสูดอากาศจังหวะ
00:16:01 → 00:16:03 นั้นน่ะพี่เอิ้ลแกก็หันไปแล้วแกก็มองว่า
00:16:03 → 00:16:04 แบบต้นเนี้ยเค้าเรียกว่าต้นไม้อะไรป๊อบ
00:16:04 → 00:16:06 รู้ป่ะเค้าเรียกว่าต้นผมก็จำไม่ได้นะ
00:16:06 → 00:16:09 เพราะแกบอกอ่ะสมมุติเป็นต้นหูกวางเออที่
00:16:09 → 00:16:13 บ้านหญ้ามีเยอะออพี่เอิ้นใช่มั้ยทั้ง
00:16:13 → 00:16:15 ชีวิตผมอ่ะเออรู้สึกรู้สึกไม่เคยเจอ
00:16:15 → 00:16:19 โมเมนต์ที่มันธรรมดาและสวยงามขนาดนี้อ่า
00:16:19 → 00:16:23 เพราะเวลาคุยกับพ่อสมัยสมัยที่แกแข็งแรง
00:16:23 → 00:16:26 อ่ะแกจะแบบอ้าเรียนยังไงทำงานเป็นยังไง
00:16:26 → 00:16:29 ล่ะเออทำอันนี้ไม่มีโมเมนต์ที่มานั่งดู
00:16:29 → 00:16:33 แบบใบไม้ใบหญ้าแล้วก็คุยกันเรื่องที่มัน
00:16:33 → 00:16:37 พื้นฐานปกติธรรมดาความสุขที่ลมมันโดนตัว
00:16:37 → 00:16:39 พระอาทิตย์ตกสวยอะไรเงี้ไม่ค่อยไม่มีเลย
00:16:39 → 00:16:42 อ่ะมันเลยทำให้ผมเวลาหลับตาแล้วนึกถึงพ่อ
00:16:42 → 00:16:45 อ่ะโมเมนต์ที่เราเข็นรถอยู่แล้วนั้นน่ะ
00:16:45 → 00:16:48 มันชัดมากเออซึ่งเป็นโมเมนต์ที่สมมุติจะ
00:16:48 → 00:16:50 เล่าเป็นหนังสักเรื่องนึงหรือว่าอะไร
00:16:50 → 00:16:52 อย่างเงี้ยผมรู้สึกเป็นโมเมนต์ที่ธรรมดา
00:16:52 → 00:16:54 เกินไปที่คนที่มองเข้ามาก็ไม่น่าเข้าใจ
00:16:54 → 00:16:59 อ่ะแต่มันพิเศษกับมากๆจิตวิญญาณของเราใช่
00:16:59 → 00:17:01 อาจจะเป็นเพราะว่าในเชิงโครงสร้างพ่อทำ
00:17:01 → 00:17:04 ให้เราพยายามจะเป็นคนที่แบบสู้ทุกอย่างทำ
00:17:05 → 00:17:07 ทุกอย่างเพื่อเดินทางไปข้างหน้าให้เป็นคน
00:17:07 → 00:17:09 ที่ดีที่สุดทำงานให้ได้ดีที่สุดด้วยความ
00:17:09 → 00:17:12 ห่วงที่พี่เอิ้ลบอกว่ามันมีต่อลูกอ่ะออื
00:17:12 → 00:17:15 แกพยายามแข็งแกร่งพยายามพยายามให้เราเป็น
00:17:15 → 00:17:19 เหมือนทหารแล้ววันนึงเมื่อเราโตแล้วอ่ะ
00:17:19 → 00:17:22 เขาก็ปล่อยห่วงความเป็นทหารของเขาไม่ออก
00:17:22 → 00:17:25 อืปล่อยโลเพการเป็นทหารของเขาไม่ออกมัน
00:17:25 → 00:17:28 เลยไม่มีโมเมนต์ที่เป็นโมเมนต์แบบปกติอ่า
00:17:28 → 00:17:31 ในวันที่เรารับรู้วันนั้นน่ะผมอ่ะรู้สึก
00:17:31 → 00:17:33 ว่ามันเป็นโมเมนต์ปกติที่เป็นโมเมนต์
00:17:33 → 00:17:37 เดียวที่ผมนึกถึงพ่อแล้วออกอ่ะอ่าที่เป็น
00:17:37 → 00:17:39 โมเมนต์แบบมนุษย์กับมนุษย์อ่ะครับซึ่งน่า
00:17:39 → 00:17:42 ยินดีมากนะอืพี่เอิ้นว่าน่ายินดีมากจริงๆ
00:17:42 → 00:17:46 แล้วเราอาจจะมีชีวิตร่วมกับพ่อมา 30 กว่า
00:17:46 → 00:17:50 ปี 20 กว่าปีใช่มั้คะแต่กลายเป็นว่าโมเมน
00:17:50 → 00:17:54 ที่ประทับใจที่สุดอือมันคือโมเมนต์ที่เรา
00:17:54 → 00:17:56 ต่างเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ต้องมีเงื่อน
00:17:56 → 00:17:59 ไขอะไรในชีวิตมากไม่ต้องแบบมีความว่าฉัน
00:17:59 → 00:18:02 ต้องเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้เอ่อมีความ
00:18:02 → 00:18:06 ต้องเข้มแข็งใช่ใช่มั้ยพ่อก็เป็นอย่างที่
00:18:06 → 00:18:08 พ่อเป็นพ่อก็เป็นมนุษย์ธรรมดาได้เอ่อเรา
00:18:08 → 00:18:11 ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาได้สิ่งสำคัญที่สุดคือ
00:18:11 → 00:18:14 พี่อ้นว่าตอนเนี้ยป๊อบกำลังฝึกได้ฝึกตัว
00:18:14 → 00:18:17 เองอย่างไม่เป็นทางการอยู่อืนั่นคือการ
00:18:17 → 00:18:21 ที่เราอยู่สัมผัสกับปัจจุบันขณะในโมเมนต์
00:18:21 → 00:18:25 นั้นได้อืนั่นคือความสุขของการที่เรารู้
00:18:25 → 00:18:28 ตัวกับปัจจุบันโดยที่ไม่มีอดีตแล้วไม่มี
00:18:28 → 00:18:31 อนาคตจริงนะพี่เอิ้ลเพราะว่าหลังจากพ่อ
00:18:31 → 00:18:37 เสียผมเหมือนคนไปบวชมาอผมแบบผมเข้าใจเออ
00:18:37 → 00:18:40 อะไรถ่องแท้ในโมเมนต์เดียวนะแบบพ่อเสียไป
00:18:40 → 00:18:43 สักเดือนแรกเนี่ยผมจะเป็นคนที่แบบมีความ
00:18:43 → 00:18:46 สุขกับเรื่องง่ายๆได้แบบได้ง่ายมากอ่ะอ่า
00:18:46 → 00:18:48 สมมุติจากเนี่ยแล้วผมต้องเดินไปแล้วแล้ว
00:18:48 → 00:18:52 มีรถกระบะขนขยะมาแล้วก็บอกไปมั้ยแล้วผม
00:18:52 → 00:18:55 โดดขึ้นน่ะผมรู้สึกอุ้ยกูไม่ต้องเหนื่อย
00:18:55 → 00:18:57 เดินอีก 400 เมตอะไรเงี้ยซึ่งผมรู้สึกตอน
00:18:58 → 00:19:00 นั้นผมรู้สึกว่าผมเป็นคนแฮปปี้กับอะไร
00:19:00 → 00:19:03 ง่ายมากอ่ะอ่าแล้วก็หลังจากพ่อเสร็จผมก็
00:19:03 → 00:19:06 บวช 7 วันผมเป็นคนกลัวผีมากพี่เอิ้ลตอนไป
00:19:06 → 00:19:10 ทัวร์คอนเสิร์ตอ่ะผมไม่กล้านอนคนเดียวอ่ะ
00:19:10 → 00:19:13 ต้องเอาเพื่อนร่วมวงมานอนต้องเอาสจมานอน
00:19:13 → 00:19:18 ด้วยแต่พอพ่อเสียผมนอนในวัดที่โลเคชัคือ
00:19:18 → 00:19:22 สร้างหนังผีได้เลยอ่ะแล้วไม่กลัวผมก็แบบ
00:19:22 → 00:19:24 ผมก็แปลกใจตัวเองมากว่าแบบมึงทำได้ยังไง
00:19:24 → 00:19:28 วะเออจังหวะผมเดินออกจากห้องของพระอ่ะ
00:19:28 → 00:19:31 กุฏิแล้วจะต้องไปอาบน้ำเพื่อจะไปบิณฑบาต
00:19:31 → 00:19:33 ตอนเช้าอ่ะพี่เอเหมือนหนังรัดดาแลนด์น่ะ
00:19:33 → 00:19:38 คือแบบอือเ้าเอาจีวรน่ะวางพลาดกันแล้วเรา
00:19:38 → 00:19:43 ต้องเดินผ่านจีวรทีละผ้าทีละเพื่อจะไปหา
00:19:43 → 00:19:46 โอหทำไมทำไมมันต้องสร้างบรรยากาศขนาดนั้น
00:19:46 → 00:19:48 วะเนี่ยแล้วข้างหลังก็เป็นโกรธแบบเต็มไป
00:19:48 → 00:19:51 หมดอ่ะเออตอนนั้นแบบถ้าเป็นกูสมัยก่อนกู
00:19:51 → 00:19:53 คงกลัวตายห่าแน่เลยอ่ะอือแต่พอแบบเราไป
00:19:53 → 00:19:57 อยู่โมเมนต์ของการสูญเสียบ่อยๆเพราะมัน
00:19:57 → 00:19:59 ไม่ได้เสียแค่พ่อครับเราไปอยู่ในอ่าคล้าย
00:19:59 → 00:20:02 ๆเป็นเซ็นเตอร์ที่สำหรับผู้ป่วยระยะสุด
00:20:02 → 00:20:05 ท้ายอ่ะอเดี๋ยวห้องตรงข้ามก็เสียเดี๋ยว
00:20:05 → 00:20:08 ห้องเยื้องไปก็เสียเดี๋ยวห้องนี้ออือขอ
00:20:08 → 00:20:10 แต่งงานเราก็จะไปเห็นแบบบรรยากาศอะไร
00:20:10 → 00:20:14 เหล่านั้นเราก็รู้สึกก็จริงๆความสุขของคน
00:20:14 → 00:20:17 มันง่ายมากเลยอ่ะแต่พอผ่านมาอย่างพอพอผม
00:20:17 → 00:20:20 บอกว่าพอผ่านไปสัก 2 เดือนเงี้ยผมก็เริ่ม
00:20:20 → 00:20:23 กลับไปเป็นคนเหมือนเดิมเริ่มมีความสุขยาก
00:20:23 → 00:20:27 ขึ้นเริ่มต้องแบบต่อรองกับชีวิตต้องมีดีล
00:20:27 → 00:20:30 สำคัญแล้วกลายเป็นคนหยาบกล้านกลับมาคล้าย
00:20:30 → 00:20:33 ๆเดิมพี่เอิ้นคิดว่ามันก็เป็นธรรมชาติของ
00:20:33 → 00:20:37 การที่เรามีชีวิตบนโลกของความเป็นจริงนี่
00:20:37 → 00:20:39 อีกแบบนึงเนาะเออเพราะไม่งั้นเนี่ยเราก็
00:20:39 → 00:20:42 ต้องอยู่ในวัดไปตลอดอ่ะ
00:20:42 → 00:20:46 ใช่มั้ยเออแต่ว่าในความเป็นจริงของเราอ่ะ
00:20:46 → 00:20:49 เราก็ไม่ได้ดีแค่ในวัดก็ได้นะเออแต่ว่า
00:20:49 → 00:20:51 เราก็ต้องเห็นความเป็นจริงว่านี่แหละคือ
00:20:51 → 00:20:54 ธรรมชาติของใจที่มันเนียนมันเนียนมันจะ
00:20:54 → 00:20:58 ปรับตัวตอนนั้นเราบวชเรามีสภาวะเราครอง
00:20:58 → 00:21:01 เสื้อผ้าแบบนั้นเนี่ยเราบอกว่าเราตัวเอง
00:21:02 → 00:21:04 เป็นพระอย่างเงี้ยใช่มั้ยเห็นมั้จิตใจมัน
00:21:04 → 00:21:06 เนียนนะใจมันเนียนคือมันนิ่งมันนิ่งมัน
00:21:06 → 00:21:10 ไม่ฟงซ่านเออแล้วเราตั้งใจเราก็เป็นพระ
00:21:10 → 00:21:13 ทั้งกายทั้งใจเลยแต่พอเวลาเราออกมาใจมัน
00:21:13 → 00:21:16 ก็เนียนอีกมันก็ต้องปรับตัวไม่งั้นเราก็
00:21:16 → 00:21:19 อยู่ไม่ได้ใช่มั้ยอืเกิดป๊อบเอาโมเมนที่
00:21:19 → 00:21:23 วัดอ่ะมาใช้ตอนอยู่ข้างนอกจะเป็นยังไงคะ
00:21:23 → 00:21:26 มันก็มีช่วงนึงที่พอหลังจากออกมารู้สึก
00:21:26 → 00:21:31 เป็นคนดีเกินไปจนดีเกินไปจนแบบเรารู้สึก
00:21:31 → 00:21:33 ว่าไม่ใช่ไม่ใช่ตัวมึงอ่ะเห็นเทำหนังสือ
00:21:33 → 00:21:38 สวดมนต์ก็อยากไปทำคือเรารู้สึกว่ายังไม่
00:21:38 → 00:21:41 ใช้เวลาที่มึงจะเป็นคนแบบอ่าเรา่ะแอบรู้
00:21:41 → 00:21:45 สึกว่าสิ่งที่ผมเป็นน่ะเป็นเพราะว่า 1
00:21:45 → 00:21:49 คือผ่านเรื่องพ่ออ่า 2 คือผมไปอยู่ใน
00:21:49 → 00:21:52 สังคมที่เค้าเพูดกันเรื่องเนี้ยอ่าๆอ่า
00:21:52 → 00:21:57 เราทำอันนี้นะชาวบ้านเมาเจะได้มีสิ่งนั้น
00:21:57 → 00:22:01 อ่ะแล้วพระวัดที่ผมไปอ่ะเป็นวัดที่ไม่ใช่
00:22:01 → 00:22:04 เป็นวัดป่าไม่ใช่เป็นวัดอะไรด้วยเป็นวัด
00:22:04 → 00:22:08 เบสิคพื้นฐานอที่หลวงพ่อเ้ามีความเซ็นนิด
00:22:08 → 00:22:10 ๆอ่ะมีความแบบอือือ่ะได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่
00:22:10 → 00:22:13 เป็นไรเพราะฉะนั้นไม่พิธีดีต่อสิ่งที่เขา
00:22:13 → 00:22:16 สอนมันเลยเป็นสิ่งที่ปกติธรรมชาติมากก็
00:22:16 → 00:22:18 เลยทำให้เรารู้สึกเชื่อในสิ่งนั้นน่ะพอ
00:22:18 → 00:22:21 เราเชื่อมันก็นำพาเข้ามาสู่ในชีวิตหลัง
00:22:21 → 00:22:24 จากเราสึกเนี่ยมันก็แอบมีความรู้สึกแบบอื
00:22:24 → 00:22:27 เป็นคนดีอ่ะเป็นคนดีจังเลยแล้วก็รู้สึก
00:22:27 → 00:22:29 รู้สึกมีความสุขในการเป็นคนดีคนดีมีความ
00:22:29 → 00:22:33 สุขการเป็นคนดีเวลามีคนมาเอาเปรียบทำร้าย
00:22:33 → 00:22:36 เราก็จะแบบในใจเราก็จะคิดว่าแบบไม่เป็น
00:22:36 → 00:22:40 ไรเราก็ไม่ได้เสียอะไรมากนี่น่ะเออแต่ถ้า
00:22:40 → 00:22:42 เป็นชีวิตปกติไอ้
00:22:42 → 00:22:47 ส้างอย่างมึงต้องเจอคนอย่างกู
00:22:47 → 00:22:51 เออเออก็ซึ่งปัจจุบันห่างจากความรู้สึก
00:22:51 → 00:22:55 นั้นมาเป็นแบบ 10 ปีะฟังดูจากที่เราอ่ะ
00:22:55 → 00:22:59 เราก็จะเห็นว่ามันเหมือนกับหยินหยางนะ
00:22:59 → 00:23:03 ครับกลับมาที่ว่าเออแล้วทำไมคนเราอ่ะต้อง
00:23:03 → 00:23:06 ต้องใส่ใจในเรื่องของทักษะในเรื่องของการ
00:23:06 → 00:23:09 ดูแลจิตใจตัวเองออือฮึการฝึกใจตัวเอง
00:23:09 → 00:23:13 เนี่ยก็คือการที่เราจะได้มีที่ตรงกลาง
00:23:13 → 00:23:17 ระหว่าง 2 2 โลกนี่แหละอือฮึโลกที่มัน
00:23:17 → 00:23:19 นิ่งมันสงบแต่นี้อย่าลืมว่ามันนิ่งมันสงบ
00:23:19 → 00:23:22 ด้วย environment นะด้วยสิ่งแวดล้อมกับ
00:23:22 → 00:23:25 โลกที่มันเต็มไปด้วยการเอารับเอาเปรียบ
00:23:25 → 00:23:28 การแข่งขันความวุ่นวายการชิงดีชิงเด่น
00:23:28 → 00:23:32 อะไรอย่างเงี้ยเออแต่ว่าถ้าเกิดว่าเรามี
00:23:32 → 00:23:37 ทักษะในการดูแลใจตัวเองฝึกใจตัวเองการมี
00:23:37 → 00:23:40 สติเนี่ยเนี่ยมันจะทำให้เรามีปัญญาในการ
00:23:40 → 00:23:43 รู้จังหวะชีวิตที่เราจะกลับมาอยู่ตรงกลาง
00:23:43 → 00:23:48 เทาๆอ่ะอืเออเป็นสเaceว่างๆจะขาวก็ได้จะ
00:23:48 → 00:23:51 ดำก็ได้สำคัญที่สุดเราเป็นคนเลือกเราจะ
00:23:51 → 00:23:54 อยู่เทาไหนมันมันจะบอกตัวเองยังไงอ่ะครับ
00:23:54 → 00:23:56 คือสมมุติว่าอย่างที่ผมบอกว่าผมไม่อยาก
00:23:56 → 00:23:58 เป็นคนดีขนาดนั้นผมรู้สึกมันขาวเกินไป
00:23:58 → 00:24:01 สำหรับผมอือมันทำให้ผมใช้ชีวิตยากในการ
00:24:01 → 00:24:04 ที่ผมจะต้องเป็นศิลปินมีความคิดที่มัน
00:24:05 → 00:24:08 ต้องมีฝั่งตรงข้ามหน่อยมันต้องมีความดำ
00:24:08 → 00:24:10 มืดบางอย่างที่มันเกิดขึ้นมันถึงจะ
00:24:10 → 00:24:13 creative ไอเดียออกมาได้ความเทาไหนที่
00:24:13 → 00:24:15 มันจะเหมาะกับเราอ่ะครับออันเนี้ยเป็น
00:24:15 → 00:24:18 เรื่องของสติปัญญาละ
00:24:18 → 00:24:22 ด่าป่ะอันนี้ใช่ด่าป่ะ
00:24:22 → 00:24:25 ไม่ได้ด่าอ๋อ
00:24:25 → 00:24:27 อันนี้พูดจริงๆชีวิตมันไม่มีสูตรสำเร็จนะ
00:24:27 → 00:24:33 ดังนั้นเนี่ยอย่างเช่นสมมุติว่าเราอ่ะจะ
00:24:33 → 00:24:35 ด่าใครสักคนเนี่ยบางทีเราการด่านั้นอาจจะ
00:24:36 → 00:24:38 เป็นประโยชน์ก็ได้นะคือเพราะว่าไอ้คน
00:24:38 → 00:24:40 เนี้ยมันต้องมันต้องสื่อสารแบบนี้มันถึง
00:24:40 → 00:24:44 จะเข้าใจอืใช่มั้อันนี้มันก็คือเกิดจาก
00:24:44 → 00:24:48 ที่เรามองเห็นแล้วล่ะว่าเอ่อกระบวนการไหน
00:24:48 → 00:24:50 คือกระบวนการที่เป็นประโยชน์ที่สุด
00:24:50 → 00:24:53 อันเนี้ยก็คือปัญญาละปัญญาคือจะเป็นตัว
00:24:53 → 00:24:57 ที่ทำให้เราเลือกว่าการที่เราจะเทามากเทา
00:24:57 → 00:25:00 น้อยจะดำจะขาวจะใช้วิธีการอะไรจะพูดอย่าง
00:25:00 → 00:25:04 ไรจะแสดงออกอย่างไรแบบไหนคือเป็นสิ่งที่
00:25:04 → 00:25:07 มีประโยชน์ที่สุดอือืเนาะแต่ว่าพวกเรามัก
00:25:07 → 00:25:13 จะตัดค่ากันที่ว่าออถ้าพูดเพราะคือดีแต่
00:25:13 → 00:25:17 บางคนคือพื้นฐานเค้าเออพูดเพราะนี่ปลอม
00:25:17 → 00:25:23 อ่าก็จริงใช่ครับเช่นผมเองใช่มั้ยใช่ครับ
00:25:23 → 00:25:26 เราจะมีแก๊งเพื่อนน่ะหรือคนที่เรารักมากๆ
00:25:26 → 00:25:30 แล้วไว้ใจมากๆอ่ะคือถ้ามันด่าเราไอ้ตึ๊ด
00:25:30 → 00:25:33 ไอ้สัตว์อะไรอย่างเงี้ยคือนี้มันจริงใจ
00:25:33 → 00:25:35 อ่ามันมันจะปกติเออมันจะปกติแต่สมมุติ
00:25:35 → 00:25:38 เพื่อนไอ้คนนั้นเมาถึงสวัสดีครับเอิ้ลแต่
00:25:38 → 00:25:41 แปลว่ามึงกวนตีนกูอยู่อปลอม
00:25:41 → 00:25:45 ละจริงๆแล้วอ่ะคือจะมีช้อยส์เสมอเมื่อเรา
00:25:45 → 00:25:48 มีปัญญามันจะไม่เป็นออโตแมติว่าโอ้เนี่ย
00:25:48 → 00:25:51 คือชั้นขาวฉันต้องขาวตลอดหรือชั้นดำฉัน
00:25:51 → 00:25:54 ต้องดำตลอดไม่มีอะไรที่มันตลอดคืออะไรที่
00:25:54 → 00:25:56 มันตลอดนี่ต้องบอกว่าจริงๆแล้วมันก็ฝืน
00:25:56 → 00:26:00 ธรรมชาติละเพราะว่าในในสิ่งที่ผมคิดอ่ะ
00:26:00 → 00:26:03 คือบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการ
00:26:03 → 00:26:06 หาเฉดของตัวเองถูกที่เป็นเฉดที่แบบเหมาะ
00:26:06 → 00:26:11 สมอยู่แล้วก็สบายใจอย่างผมเองอ่ะในชีวิต
00:26:11 → 00:26:14 ปัจจุบันที่มันมีความขาวดำเทาเฉดสีประมาณ
00:26:14 → 00:26:17 เนี้ยสำหรับผมอ่ะผมรู้สึกว่ามันเป็นเฉดสี
00:26:17 → 00:26:21 ที่กำลังสบายตัวในการใช้ชีวิตอือืโอเค
00:26:21 → 00:26:24 งั้นดีเลยครับพี่เอิ้ลคิดว่าจริงๆแล้วคน
00:26:24 → 00:26:27 ส่วนใหญ่ก็อาจจะเผชิญปัญหาแบบป๊อบเหมือน
00:26:27 → 00:26:31 กันครับเนาะคือเราอาจจะต้องใช้ชีวิตอยู่
00:26:31 → 00:26:35 กับในหลายบริบทหรือบทของของชีวิตอ่ะบางที
00:26:35 → 00:26:39 กว่าเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่อาจจะกำลังหา
00:26:39 → 00:26:42 เฉดเฉดสีอยู่ว่าอะไรคือความพอดีแล้วก็อาจ
00:26:42 → 00:26:45 จะซัฟเฟอร์กับสิ่งนี้อยู่ป๊อบจูนใจตัวเอง
00:26:45 → 00:26:48 ยังไงอ่ะให้เราแบบรู้สึกสบายใจเอ่อหรือ
00:26:48 → 00:26:50 ว่าใช้มันอย่างเป็นประโยชน์ได้กับการที่
00:26:50 → 00:26:54 ชีวิตอาจจะต้องมีหลายบุคลิกหรือหลายบทบาท
00:26:54 → 00:26:58 แบบนี้ผมอ่ะใช้บรรฐานของผมในการทำให้ตัว
00:26:58 → 00:27:00 เองสบายใจอ่ะเดี๋ผมยกตัวอย่างงี้ก่อนว่า
00:27:00 → 00:27:03 สมัยก่อนน่ะผมใช้บรรฐานของสังคม
00:27:03 → 00:27:07 อ่าบรรฐานสังคมคือเมื่อก่อนน่ะเขาไม่
00:27:07 → 00:27:10 ซีเรียสเรื่องการพูดเรื่องไอ้อ้วนไอ้ดำ
00:27:10 → 00:27:13 ไอ้ผอมแห้งแรงน้อยไอ้อะไรอย่างเงี้ยซึ่ง
00:27:13 → 00:27:15 สมัยก่อนน่ะผมอ่ะรู้สึกว่าผมต้องยอมรับใน
00:27:15 → 00:27:20 สิ่งนี้แล้วผมก็รู้สึกว่ามันมีก้อนอะไรใน
00:27:20 → 00:27:23 ใจค้างอยู่กับเราตลอดเลยว่ะเวลาเจอคนที่
00:27:23 → 00:27:27 พูดจาไม่ดีกับเราเวลาเจอคนที่แสดงออกไม่
00:27:27 → 00:27:31 ดีกับเราอะไรอย่างเงี้ยจนประมาณสัก 7-8
00:27:31 → 00:27:34 ปีที่แต่ว่าผมมาบอกกับตัวเองว่าผมจะแบบผม
00:27:34 → 00:27:37 จะใช้บรรฐานของผมแล้วในวันไหนที่สิ่ง
00:27:37 → 00:27:39 เนี้ยมากระทบกับผมแล้วผมรู้สึกว่าผมไม่
00:27:40 → 00:27:44 โอเคผมจะใช้วิธีพูดตรงๆกับเขาพูดโดยใช้
00:27:44 → 00:27:47 ปัญญาในการพูดว่าแบบเฮ้ยเมื่อกี้สิ่งที่
00:27:47 → 00:27:50 นายพูดน่ะไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจนะ
00:27:50 → 00:27:53 แต่เรารู้สึกอืแล้วเราไม่ได้รู้สึกดีกับ
00:27:53 → 00:27:59 คำพูดนั้นอือือือืหลังๆก็จะก็จะใช้ความ
00:27:59 → 00:28:00 รู้สึกนี้แล้วเรารู้สึกว่ามันhealthตี้
00:28:00 → 00:28:03 กับเรามากพี่เอิ้ลบางครั้งคนเหล่านั้นพูด
00:28:03 → 00:28:06 โดยที่เขาไม่รู้แม้กระทั่งโซเชียลมีเองก็
00:28:06 → 00:28:08 แล้วแต่นะผมว่าในปัจจุบันคนไม่รู้ว่าสิ่ง
00:28:08 → 00:28:12 นี้พูดอ่ะกระทบกับคนอื่นในรูปแบบไหนใน
00:28:12 → 00:28:14 คอมเมนต์เองหรือว่าในอะไรเองอ่ะเราพยายาม
00:28:14 → 00:28:18 ที่จะสื่อสารกับคนที่สื่อสารได้อืว่าสิ่ง
00:28:18 → 00:28:22 นี้ที่นายพูดอ่ะฝั่งของเราคิดแบบนี้และ
00:28:22 → 00:28:24 นายก็ทำให้เราคิดแบบนายไม่ได้เหมือนกัน
00:28:24 → 00:28:28 แต่ว่าสิ่งสำคัญที่เริ่มรู้สึกในช่วงหลัง
00:28:28 → 00:28:31 ๆสัก 3 ปีเป็นต้นมาเนี่ยคือเริ่มไม่เอา
00:28:31 → 00:28:35 มันเข้ามาในในใจแล้วพี่เป็นเรื่องที่ผม
00:28:35 → 00:28:37 สัมภาษณ์แล้วบอกบ่อยมากว่าช่วงนี้หลังจาก
00:28:37 → 00:28:41 อายุ 40 ขึ้นมาแล้วเนี่ยออสิ่งที่รู้สึก
00:28:41 → 00:28:45 คือบวกก็ไม่เอาลบก็ไม่เอาบวกนี่หมายถึง
00:28:45 → 00:28:46 ว่าสมมุติคนเดินเข้ามาถึงแล้วบอกว่าพี่
00:28:46 → 00:28:49 ป๊อบอุ้ยพี่ป๊อบน่ารักพี่ป๊อบหล่อพี่ป๊อบ
00:28:49 → 00:28:51 อะไรเงี้ยผมแบบขอบคุณครับแล้วก็แตะแล้ว
00:28:51 → 00:28:55 วางทิ้งไว้เลยกับด่าเราเลยอ่ะเราก็ไม่เอา
00:28:55 → 00:28:59 ก็หมายถึงแตะแล้วก็วางเลยออเพราะเรารู้
00:28:59 → 00:29:02 สึกว่าเรารับทั้งหมดไม่ได้เราเราเอามันมา
00:29:02 → 00:29:05 เป็น material ในการใช้ชีวิตเราไม่ได้เลย
00:29:05 → 00:29:10 อ่ะมันไม่มีผลยกเว้นอะไรที่มันเป็นสาระอื
00:29:10 → 00:29:13 เป็น material ที่มันเอามาแบบสาต่อชีวิต
00:29:13 → 00:29:17 เราได้อืที่มันทำให้เราไปใช้ชีวิตต่อมี
00:29:17 → 00:29:20 ความคิดต่อที่มันเติบโตได้อือเหล่านั้น
00:29:20 → 00:29:23 น่ะจะเก็บมาถ้ามันเก็บมาแล้วมันแบบมัน
00:29:24 → 00:29:26 หนักหน่อยอเหมือนเวลาเรากินมะระมันมีความ
00:29:26 → 00:29:30 ขมหน่อยอะไรเงี้ยก็จะพิจารณาเป็นพิเศษว่า
00:29:30 → 00:29:32 จริงหรือไม่จริงวะคำพูดนี้จริงหรือไม่
00:29:32 → 00:29:35 จริงวะอะไรอย่างเงี้ยอ่าอันนี้คือสิ่งที่
00:29:35 → 00:29:38 ทำกับตัวเองครับนี่กระบวนการของตัวเอง
00:29:38 → 00:29:41 ครับนี่ไงพี่เอิ้ลก็เลยฟังแล้วก็ดูยิ่ง
00:29:41 → 00:29:45 มั่นใจนะว่าจริงๆแล้วอ่ะป๊อบเองอ่ะก็ได้
00:29:45 → 00:29:50 เรียนรู้วิชาชีวิตและจิตใจโดยไม่รู้ตัวอื
00:29:50 → 00:29:52 เนาะเพราะฉะนั้นเนี่ยกระบวนการของป๊อบเอง
00:29:52 → 00:29:55 เนี่ยคือป๊อบสังเกตมั้ยคือมันก็จะเริ่ม
00:29:55 → 00:29:59 ต้นจากการที่เราเองก็ต้องโหลดประสบการณ์
00:29:59 → 00:30:01 อะไรบางอย่างที่มันก็อาจจะไม่ดีมาก่อน
00:30:01 → 00:30:04 แหละครับนะแล้วถึงจุดนึงเราก็บอกกับตัว
00:30:04 → 00:30:07 เองว่าเราก็คงจะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้ละอื
00:30:07 → 00:30:10 เราจะทุกข์กับไอ้เรื่องนี้กับคำพูดนี้ต่อ
00:30:10 → 00:30:14 ไปอีกไม่ได้ละต่อมาป๊อบก็อนุญาตให้ตัวเอง
00:30:14 → 00:30:16 มองเห็นความคิดและความรู้สึกของตัวเอง
00:30:16 → 00:30:22 อย่างซื่อสัตย์ไม่พอใจไม่ชอบเอ่อโกรธ
00:30:22 → 00:30:27 หงุดหงิดอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ยอมรับมันอื
00:30:27 → 00:30:30 ใช่มั้เพราะงั้นเนี่ยป๊อบเลยใช้คำว่าใช้
00:30:30 → 00:30:34 ปัญญาในการสื่อสารนั้นเรื่องบางเรื่องอื
00:30:34 → 00:30:37 เรื่องบางเรื่องเนี่ยคิดว่าเออมันก็คือ
00:30:37 → 00:30:41 มันต้องสื่อสารน่ะเอ่อเพราะงั้นเราก็พูด
00:30:41 → 00:30:45 พูดจากความจริงใจของตัวเราเราก็จะเห็นว่า
00:30:45 → 00:30:49 บรรทัดฐานของเรากับบรรทัดฐานของสังคมอาจ
00:30:49 → 00:30:52 จะไม่ใช่บรรทัดฐานเดียวกันอื It's โอเคนะ
00:30:52 → 00:30:55 มันมันโอเคนะก็คือเป็นกระบวนการที่เกิด
00:30:55 → 00:30:59 ขึ้นโดยอัตโนมัติแต่ว่ามันเป็นกระบวนการ
00:30:59 → 00:31:02 ที่ดีและมีประโยชน์เนี่ยก็คือป๊อบก็ได้
00:31:02 → 00:31:05 เรียนรู้วิชาชีวิตและจิตใจแหละคือผมมาคิด
00:31:05 → 00:31:08 ว่ามันเริ่มจากช่วงแรกที่เราจะผลักมันออก
00:31:08 → 00:31:10 ครับที่เรารู้สึกมันท็อกสิคอ่ะอผมมันแรง
00:31:10 → 00:31:15 มากออถ้าใครเคยดูสัมภาษณ์ผมก็ต่อยกับคนดู
00:31:15 → 00:31:18 บ่อยมากหรือว่าแบบหรือว่าแบบจริงป่ะเนี่ย
00:31:19 → 00:31:23 จริงต่อยคนดูคือผมว่ามันเป็นเรื่องของวัน
00:31:23 → 00:31:24 นั้นน่ะเรารู้ว่ามันท็อกสิคแต่เราไม่รู้
00:31:24 → 00:31:27 จะจัดการกับมันยังไงอ่าเรารู้ว่าเราไม่
00:31:28 → 00:31:31 ชอบสิ่งนี้อืออืแต่เราไม่มีวิธีการจัดการ
00:31:31 → 00:31:33 ที่ดีพอที่จะทำให้มันแบบให้เขารับรู้ว่า
00:31:33 → 00:31:35 เรารู้สึกยังไงแล้วในวันที่เราเริ่มเข้า
00:31:35 → 00:31:38 ใจการสื่อสารมากขึ้นน่ะผมว่าผมไม่ต้องการ
00:31:38 → 00:31:41 educate เขาด้วยนะเออเราไม่ต้องการจะทำ
00:31:41 → 00:31:45 ให้เขาต้องอย่างงั้นรู้ว่าเพราะว่าคำพูด
00:31:45 → 00:31:47 เราประโยคเดียวไม่ใช่เราแค่พูดในสิ่งที่
00:31:47 → 00:31:51 เรารู้สึกว่าฉันรู้สึกแบบนี้กับคำพูดของ
00:31:51 → 00:31:54 เธออ่าซึ่งเธออาจจะรู้สึกดีที่เธอพูดมา
00:31:54 → 00:31:56 เธออาจจะหวังดีกับฉันหรือเธอจะอะไรก็แล้ว
00:31:56 → 00:31:59 แต่แต่ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งอือีกอัน
00:31:59 → 00:32:02 นึงที่พูดแล้วพี่เอิ้นคิดว่าเป็นประโยชน์
00:32:03 → 00:32:06 มากๆแล้วมันเป็นทริกที่ป๊อบอาจจะทำได้ดี
00:32:06 → 00:32:09 โดยไม่รู้ตัวก็คือที่บอกว่าไม่บวกก็ไม่
00:32:09 → 00:32:13 เอาลบก็ไม่เอาอ่ะครับใครมาพูดบวกอ่ะก็คือ
00:32:13 → 00:32:17 รับรู้ไว้แล้วก็วางเนี่ยก็คือยูก็ฝึกสติ
00:32:17 → 00:32:21 แล้วนะเพราะเป็นคนเป็นคนอยู่กับคำชมไม่
00:32:21 → 00:32:26 ค่อยเป็นเนี่ยเคยสติแล้วร้องแล้วแอ้มอ่ะ
00:32:26 → 00:32:28 มันเป็นคนคุมร้อง
00:32:28 → 00:32:32 เออและแอ้มอ่ะมันเป็นคนชอบแบบสุดยอดพี่
00:32:32 → 00:32:34 ป๊อบโนตนี้
00:32:34 → 00:32:40 อื้อหือสุดๆต้องบอกแอ้มอ่าแอ้มบอกแค่ว่า
00:32:40 → 00:32:44 ได้ไม่ได้ซ่อมตรงไหนพอเพราะว่าเพราะเรา
00:32:44 → 00:32:48 รู้สึกข้างในมันแบบเรารู้ว่าเราหยิบมา
00:32:48 → 00:32:51 แล้วเราวางแต่มันกระบวนการมันเลยต้องวาง
00:32:51 → 00:32:54 ตลอดแอ้มมึงก็หยุดบ้างไอ้กูหยิบมา
00:32:54 → 00:32:57 แล้วกูต้องวางแทนที่กูจะมาโฟกัสเรื่องรอง
00:32:57 → 00:32:59 เนี่ยกูต้องมาหยิบของมึงแล้ววางหยิบของ
00:32:59 → 00:33:01 มึงแล้ววางอยู่เออเป็นอย่างงั้นแต่ว่า
00:33:01 → 00:33:04 แอ้มมันเป็นมันเป็นเด็กที่มันรู้สึกยังไง
00:33:04 → 00:33:09 มันชอบพูดแบบนั้นน่ะมี energy แล้วก็เป็น
00:33:09 → 00:33:13 เป็นเด็กเอเนerร์จีบวกอ่ะเ้าก็จะพูดอุ๊ย
00:33:13 → 00:33:15 ชอบอันนี้หนูชอบอันนี้อะไรอย่างเงี้ยครับ
00:33:15 → 00:33:18 อือืซึ่งมันไม่เหมือนกันนะไม่ใช่ว่าคุณไป
00:33:18 → 00:33:20 ทำสิ่งนี้กับคนอื่นบางทีคนอื่นก็อยากจะ
00:33:20 → 00:33:25 อยากให้คุณชมอยากให้อะไรอย่างเงี้ยอ่าอ่า
00:33:25 → 00:33:28 งั้นอันนี้ก็เป็นจูนใจโดยไม่รู้ตัวนะเป็น
00:33:28 → 00:33:32 กระบวนการที่เออพี่เอิ้ลว่าอดีเพราะว่า
00:33:32 → 00:33:35 มันแก่เหรอพี่เอิ้ลผมว่ามันเริ่มเอ็งบอก
00:33:35 → 00:33:40 เอ็งแก่แล้วฆ่าล่ะปีนึงคือผมอ่ะรู้สึกว่า
00:33:40 → 00:33:44 พอเมื่ออายุเยอะขึ้นน่ะเราเห็นโทน 4 ของ
00:33:44 → 00:33:47 โลกที่มันชัดเจนขึ้นเมื่อก่อนเราอาจจะมอง
00:33:47 → 00:33:50 โลกเป็นสีเขียวตอนที่เราวาดตอนเด็กถ้าวาด
00:33:50 → 00:33:54 รูปโลกจะมีเขียวน้ำตาลปัจจุบันเขียวอาจจะ
00:33:54 → 00:33:59 มีอ 1,700 เฉด 7 น้ำตาลอีก 1,700 เฉดอะไร
00:33:59 → 00:34:01 อย่างเงี้ยมันเลยทำให้เราเข้าใจมันมาก
00:34:01 → 00:34:05 ขึ้นพอเข้าใจมันมากขึ้นน่ะผมเพิ่งกลับมา
00:34:05 → 00:34:08 จากไปต่างประเทศพี่เอิ้ลผมก็เลยไปเห็นว่า
00:34:08 → 00:34:12 แบบในมุมที่คนเ้าว่าประเทศนี้ว่าแบบว่า
00:34:12 → 00:34:16 หยิ่งว่าอะไรอย่างเงี้ยอเรากลับไปเห็น
00:34:16 → 00:34:21 ธรรมชาติของเค้าที่เค้าเป็นอ่าแล้วก็ไม่
00:34:21 → 00:34:23 ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีอืแค่เราเข้าใจ
00:34:23 → 00:34:26 ธรรมชาติอันนั้นเข้าใจในมุมของเราด้วยนะ
00:34:26 → 00:34:28 อือไม่ได้เข้าใจในมุมความเป็นจริงด้วยซ้ำ
00:34:28 → 00:34:30 เพราะเราก็ไม่รู้ความเป็นจริงเป็นยังไง
00:34:30 → 00:34:33 เราเข้าใจในมุมของเราว่าอเออเค้าเป็นคน
00:34:33 → 00:34:38 พูด้วนๆเนาะอือเออเค้าเป็น
00:34:38 → 00:34:42 คนไม่ค่อยยิ้มเนาะอืออะไรอย่างเงี้ยอซึ่ง
00:34:42 → 00:34:45 ก็ไม่ได้ไม่ได้มองว่ามันดีหรือไม่ดีอ่ะ
00:34:45 → 00:34:48 เรามองว่ามันแบบส่วนใหญ่ก็จะแตะแล้วก็ไป
00:34:48 → 00:34:51 แตะแล้วก็ไปว่าแค่รู้สึกว่าเห็นแล้วก็ทำ
00:34:51 → 00:34:54 ความเข้าใจในรูปแบบของเราออืซึ่งถ้าเป็น
00:34:54 → 00:34:57 เด็กสมัยก่อนนะพี่เอิ้ลถ้าเป็น 30 ต้นๆ
00:34:57 → 00:35:01 หรือว่าอะไรเกลียดอีนี่ว่ะ
00:35:01 → 00:35:06 เกลียดกูอยากกูรายงานมึงเลยดีกว่าหรือว่า
00:35:06 → 00:35:09 เห็นในนี้แล้วอื้อหือ
00:35:09 → 00:35:12 อยากจะตบกันซะหน่อยมั้ยอะไรอย่างเงี้ยถ้า
00:35:12 → 00:35:14 ถ้าเป็นสมัยเด็กๆอ่ะพอโตขึ้นมันไม่รู้สึก
00:35:14 → 00:35:16 อย่างงั้นแล้วอ่ะเราไม่อยากจะเปลี่ยนใคร
00:35:16 → 00:35:18 ไม่อยากจะให้ใครมาเปลี่ยนเพราะเราอะไร
00:35:18 → 00:35:20 อย่างเงี้ยแต่ว่าก็คือมองเค้าแบบที่เา
00:35:20 → 00:35:23 เป็นนั่นแหละแล้วก็มีความสนุกในการศึกษา
00:35:23 → 00:35:25 มากขึ้นอืเมื่อเราไปต่างประเทศอะไรอย่าง
00:35:26 → 00:35:30 เงี้ยครับการศึกษาอ่าโครงสร้างของประเทศอ
00:35:30 → 00:35:33 อย่างถ้าเราไปฝรั่งเศสอ่าเราไปสวิสอย่าง
00:35:33 → 00:35:37 เงี้ยเราเราก็ไปเข้าใจโครงสร้างว่าเอ้ย
00:35:37 → 00:35:42 สวิตมันเป็นเมืองที่เอ่อมีลุ่มๆดอนๆมีเขา
00:35:42 → 00:35:46 มีอะไรเยอะทำไมทหารสวิตมันถึงเก่งเพราะ
00:35:46 → 00:35:50 มันก็ต้องเดินทางอย่างี้มันทำไมก็ต้องใช้
00:35:50 → 00:35:53 มีดแบบนี้พอทำความเข้าใจแบบนั้นน่ะมันก็
00:35:53 → 00:35:56 เป็นโครงสร้างจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันว่า
00:35:56 → 00:35:59 แล้วคนสวิตทำไมถึงเป็นคนที่ที่ไม่อะไรกับ
00:35:59 → 00:36:02 อย่างอื่นน่ะประวัติศาสตร์เศรษฐกิจมันทำ
00:36:02 → 00:36:05 ให้เขาอยู่ได้โดยที่เขาไม่ต้องง้อรัฐบาล
00:36:05 → 00:36:08 ไม่ต้องอะไรอย่างเงี้ยผมว่าพอมันศึกษา
00:36:09 → 00:36:11 เชิงโครงสร้างก่อนที่เราจะไปเที่ยวอ่ะ
00:36:11 → 00:36:14 เวลาเราไปเห็นน่ะเราไม่ตัดสินแค่แบบอีนี่
00:36:14 → 00:36:17 อะไรอย่างเงี้ยครับอ่าเราเข้าใจที่มาที่
00:36:17 → 00:36:21 ไปคือเราเห็นว่าทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป
00:36:21 → 00:36:23 ฮะใช่มั้ไม่ใช่อยู่ๆเขาจะแบบมาบุคลิก
00:36:23 → 00:36:27 อย่างงี้มาเอ่อมีแบบนี้คือแล้วเค้าก็เป็น
00:36:27 → 00:36:31 แบบที่เขา้าเป็นแบบนั้นแหละอเออจริงๆพี่
00:36:31 → 00:36:34 อ้อนฟังดูนะบทเรียนของป๊อบเนี่ยลึกซึ้งนะ
00:36:35 → 00:36:38 เหรอฮะอืมลึกซึ้งแบบไม่รู้ตัวเลยใช่มั้
00:36:38 → 00:36:40 น่ะ
00:36:40 → 00:36:43 พอเราแก่ขึ้นน่ะพออายุมากขึ้นจะไปใช้คำ
00:36:43 → 00:36:46 ว่าแก่บ่อยเอออพอเราอายุมากขึ้นน่ะเรา
00:36:46 → 00:36:49 เข้าใจมันกระทบพอเพราะว่าแก่มันกระทบเยอะ
00:36:49 → 00:36:55 ผมว่าเข้าใจว่าเราอ่ะซับซ้อนขึ้นเรามี
00:36:55 → 00:37:00 กลีบของหัวหอมมากขึ้นเออบางครั้งสำหรับ
00:37:00 → 00:37:04 บางคนเราใช้กลีบนอกบางคนเราใช้กลีบในอ่า
00:37:04 → 00:37:05 เหมือนกับตอนที่เราเข้ามานั่งคุยที่พี่
00:37:05 → 00:37:07 เอิ้ลถามพี่เอิ้ลว่าพี่เอิ้ลวันนี้เอา
00:37:07 → 00:37:11 โหมดไหนดีอ่าเพราะเรารู้สึกว่าสำหรับทุก
00:37:11 → 00:37:14 โหมดทุกกลีบที่มันออกไปอ่ะมันก็คือเรา
00:37:14 → 00:37:16 หรือเปล่าใช่แต่มันไม่ได้เหมาะกับสำหรับ
00:37:16 → 00:37:20 ทุกคนอืถ้าเป็นโหมดที่แบบซีเรียสจริงจัง
00:37:20 → 00:37:23 ไปอยู่ในแคมปิ้นก็อาจจะไม่ได้เหมาะอยู่ใน
00:37:23 → 00:37:27 รายการต่างๆก็ไม่ได้เหมาะอืแต่ว่าผมมี
00:37:27 → 00:37:31 หลากหลายอ่ะผมสะสมมันไว้เยอะอืเป็นคนที่
00:37:31 → 00:37:35 มีหลายบุคลิกอืซึ่งเมื่อก่อนน่ะสังคมก็
00:37:35 → 00:37:39 ชอบบอกว่าคนมีหลายบุคลิกคบไม่ได้
00:37:39 → 00:37:41 แต่เราอ่ะรู้สึกเหมือนhealthตี้กับเราที่
00:37:41 → 00:37:45 เรารู้สึกว่ากูมีบุคลิกนี้สำหรับเพื่อนกู
00:37:45 → 00:37:47 มีบุคลิกนี้สำหรับครอบครัวมีบุคลิกนี้
00:37:47 → 00:37:50 สำหรับเพื่อนสนิทออ่าและมีบุคลิกนี้
00:37:50 → 00:37:53 สำหรับการเตอร์นอะไรอย่างเงี้ยครับคราว
00:37:53 → 00:37:56 นี้ถ้าพูดถึงปัจจุบันเนาะตอนนี้อายุเท่า
00:37:56 → 00:38:03 ไหร่นะคะ 43 ป่ะ 42 43 ประมาณนั้นน่ะ
00:38:03 → 00:38:08 เออกำลังตามไปกำลังตามไปนะอืมพอใจในชีวิต
00:38:08 → 00:38:11 ตอนนี้มั้ยพอใจมากพี่เอิ้ลพี่เอิ้ลปีที่
00:38:11 → 00:38:15 แล้วอ่ะเป็นปีที่ผมทำอัลบั้มอืและในการ
00:38:15 → 00:38:18 อัลบั้มครั้งนึงอ่ะมันจำเป็นต้องใช้
00:38:18 → 00:38:21 material ของชีวิตมันเยอะอืผมรู้สึกว่า
00:38:21 → 00:38:25 มึงทำได้ดีกว่าไอ้เด็กคนที่สอบได้ 0 วิชา
00:38:25 → 00:38:29 นั้นสอบได้ 2 วิชานี้สอบได้เเอ่อผมอ่ะรู้
00:38:29 → 00:38:32 สึกว่าถึงจุดนึงของชีวิตอ่ะทำมาว่ามัน
00:38:32 → 00:38:35 เป็นเช็คพอย์อ่ะผมรู้สึกว่าผมทำมันได้ดี
00:38:35 → 00:38:39 มากนะอืในการให้เกรดตัวเองอ่ะผมรู้สึกว่า
00:38:39 → 00:38:41 ติมเลยแล้วผมรู้สึกว่าถ้าสิ่งนี้มันถูก
00:38:41 → 00:38:44 พูดในประเทศไทยหรือคนที่มองอยู่ก็บอกมึง
00:38:44 → 00:38:47 ก็รอให้คนอื่นเขาพูดมั้ยอแต่ผมรู้สึกว่า
00:38:47 → 00:38:49 การ healthy อ่ะมันคือผมสามารถพูดสิ่งนี้
00:38:49 → 00:38:53 กับตัวผมเองได้ว่ามึงทำได้ดีนะออมึงทำได้
00:38:53 → 00:38:55 เก่งนะเออแล้ว
00:38:55 → 00:39:00 ก็ในสิ่งที่มันทำได้อ่ะผมรู้สึกว่ามัน
00:39:00 → 00:39:02 ผ่านลุ่มๆดอนๆของมันมาเยอะแต่ในปีที่แล้ว
00:39:02 → 00:39:05 ที่เราได้มีโอกาสถามกับตัวเองอ่ะมันไป
00:39:05 → 00:39:07 อยู่ในจุดที่มันแบบสูงพอให้เรารู้สึกว่า
00:39:07 → 00:39:10 เราพอใจกับสิ่งนี้แล้วอ่ะแต่ปัญหาของมัน
00:39:11 → 00:39:13 ก็คือแล้วกูจะไปไหน
00:39:13 → 00:39:16 ต่อมันเป็นเรื่องนั้นจริงๆพี่เอิ้ลออาฮะ
00:39:16 → 00:39:19 หลังจากจบ Human Error เป็นเป็นการจบ
00:39:19 → 00:39:22 อัลบั้มที่ผมรู้สึกว่าผมไม่รู้จะไปไหนอ่ะ
00:39:22 → 00:39:27 จนเราก็แบบขอออกจากแกมมี่ก็ด้วยความ
00:39:27 → 00:39:30 อินดี้ของเราที่เรารู้สึกว่าแบบมันยังหา
00:39:31 → 00:39:37 อ่าดอตที่จะต่อไปที่ต่อต่อไปไม่เจออืแต่
00:39:37 → 00:39:40 คือถ้าเกิดเป็นdoอตที่เราอยู่ในปัจจุบัน
00:39:40 → 00:39:43 ก็ถือว่าเราพอใจกับมันใช่ครับเราบอกตัว
00:39:43 → 00:39:46 เองเราชื่นชมตัวเองได้ใช่ครับโอเคเทปนี้
00:39:46 → 00:39:50 พี่อนคิดว่านะมันจะเป็นประโยชน์กับคนฟัง
00:39:50 → 00:39:55 แบบมากๆเลยอืเราเนี่ยคุยกันบ่อยครับผมตอน
00:39:55 → 00:40:00 วิกฤตเรายิ่งคุยกันบ่อยใช่หลายๆคนไม่รู้
00:40:00 → 00:40:04 ว่าตอนที่มีวิกฤตมีข่าวมีอะไรเงี้ยคนที่
00:40:04 → 00:40:09 ผมเข้าไปหาเพื่อจูนใจอ่ะคือมอเิ้ลแล้วก็
00:40:09 → 00:40:11 เป็นช่วงเวลาที่ผมก็ไม่ได้บอกกับใครเรา
00:40:11 → 00:40:14 ไม่ได้สื่อสารกับใครอะไรด้วยครับอืแล้วก็
00:40:14 → 00:40:17 วันที่เราคุยกันน่ะพี่เอิ้ลผมยังอยู่ใน
00:40:17 → 00:40:21 พายุอ่าหัวสมองมันยังทำงานตลอดเวลาอพี่
00:40:21 → 00:40:25 เอิ้นก็แบบคอยให้คำพูดบางอย่างที่แบบคอย
00:40:25 → 00:40:30 จูนเราให้มันอยู่ในพายุที่แบบมันไม่
00:40:30 → 00:40:32 เหวี่ยงเกินไปอะไรเงี้ยอืพี่เอเชื่อมั้ย
00:40:32 → 00:40:36 วันนึงผ่านมาประมาณ 6 เดือนทำผมเกิดเพลง
00:40:36 → 00:40:39 เพลงนึงขึ้นมาอุ้ยจริงหรอใช่เพลงชื่อว่า
00:40:39 → 00:40:42 Happy Ending ออเป็นเพลงที่ผมคุยกับ
00:40:43 → 00:40:48 แอ้มนานมากพี่เอิ้นคือการที่ผมมีข่าวแล้ว
00:40:48 → 00:40:50 ผมจะออกเพลงอีกเพลงนึงอ่ะความรู้สึกตัว
00:40:50 → 00:40:54 เราเองอ่ะมันถูกอสปอร์ตจากทุกที่ว่ามึง
00:40:54 → 00:40:58 พูดเรื่องนี้แบบไหนมึงจะพูดเรื่องอื่นไป
00:40:58 → 00:41:00 แบบมึงอินoreเรื่องนี้ไปเลยหรือเปล่าหรือ
00:41:00 → 00:41:04 มึงจะอะไรก็แล้วแต่ผมวนเวียนอยู่กับความ
00:41:04 → 00:41:09 คิดเนี้ย 6 เดือนบางครั้งก็แบบดาวบาง
00:41:09 → 00:41:12 ครั้งก็เหมือนเป็นคนเค้าเรียกอะไรอ่ะแบบ
00:41:12 → 00:41:18 สมองมันคิดฟุ้งซ่านออฮะจนวันนึงผมหลับ
00:41:18 → 00:41:20 แล้วผมฝันฝันฝันถึงวันที่มันเกิดเหตุ
00:41:20 → 00:41:23 การณ์ไม่ได้ฝันในเรื่องที่แปลกประหลาดเลย
00:41:23 → 00:41:26 ฝันภาพที่เกิดเหตุการณ์นั้นผมสะดุ้งตื่น
00:41:27 → 00:41:29 โพะขึ้นมาใจผมเต้นตึกๆๆๆ
00:41:29 → 00:41:34 ๆแล้วผมบอกตัวเองว่าจบแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
00:41:34 → 00:41:38 อ่านั่นน่ะคือ Happy Ending
00:41:38 → 00:41:42 อื
00:41:42 → 00:41:46 อย่าแตก
00:41:46 → 00:41:49 อือืทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันมีความหมาย
00:41:49 → 00:41:54 กับชีวิตเราเสมออแล้วเมื่อไหร่ที่เราแตะ
00:41:54 → 00:41:57 ในความหมายนั้นเราก็จะหรือว่าสุดท้าย
00:41:57 → 00:42:01 ชีวิตเรามันให้ความสุขกับเราเสมออืแม้ว่า
00:42:01 → 00:42:05 มันต้องต้องผ่านพายุมาแค่ไหนก็ตามนะใช่
00:42:05 → 00:42:09 เพื่อนว่าเทปเนี้ยมันจะมีประโยชน์มากถ้า
00:42:09 → 00:42:14 เกิดป๊อบลองตกตะกอนกับตัวเองได้ไหมว่าเออ
00:42:14 → 00:42:17 นับตั้งแต่วันที่เฮ้ยเราเป็นคนที่ไม่มี
00:42:17 → 00:42:23 ความมั่นใจเเราใช้บรรฐานของสังคมมาตลอด
00:42:23 → 00:42:27 แล้วก็จนวันเนี้ยเราเป็นคนที่มีความสุข
00:42:28 → 00:42:32 ได้อืแล้วก็สามารถที่จะไม่มีใครชมฉันเลย
00:42:32 → 00:42:36 ฉันสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าฉันดีอย่างไร
00:42:36 → 00:42:41 เออฉันสามารถที่จะยอมรับและอนุญาตให้คน
00:42:42 → 00:42:46 อื่นและตัวฉันเนี่ยเป็นในแบบที่ฉันเป็นใน
00:42:46 → 00:42:49 แบบที่เขาเป็นป๊อบลงบอกตะกรได้มยว่าเอ่อ
00:42:49 → 00:42:53 อะไรที่ทำให้ป๊อบมายืนถึงจุดนี้ได้ผมว่า
00:42:53 → 00:42:57 อย่างแรกนะผมไม่ได้มาคนเดียวอ่ะอืมันมี
00:42:57 → 00:43:03 แบบซัพพอร์ตผมเยอะมากอืเพื่อนทำงานอ่ะถ้า
00:43:03 → 00:43:05 พูดถึงเรื่องการงานน่ะครับอือผมเป็นคนที่
00:43:05 → 00:43:09 ผมไม่ได้แต่งเพลงได้ขนาดนั้นอืถึงแม้
00:43:09 → 00:43:11 อัลบั้มแรกผมจะออกมาโดยการที่แบบผมเขียน
00:43:11 → 00:43:13 เพลงมาแต่ว่าผมไม่ได้เขียนเพลงไหนดังเลย
00:43:13 → 00:43:17 อ่ะแต่ว่าคนที่เข้ามาอยู่ร่วมหนทางกับผม
00:43:17 → 00:43:20 อ่ะก็มีคนหนูพาผมไปร้องเพลงนั้นพาผมไปทำ
00:43:20 → 00:43:24 เพลงนี้พี่พี่เอิ้ลพาผมไปร้องเพลงผมว่าผม
00:43:24 → 00:43:28 มีความโชคดีที่ได้เจอทีมงานที่ดีอือ 2
00:43:28 → 00:43:32 คือผมเกิดมาในครอบครัวที่ไม่แสดงออกเพราะ
00:43:32 → 00:43:35 ฉะนั้นเนี่ยการไม่แสดงออกอ่ะผมไม่รู้ว่า
00:43:35 → 00:43:39 สิ่งที่ผมทำอ่ะดีคืออะไรไม่ดีผมรู้เพราะ
00:43:39 → 00:43:42 เค้าด่าอือเด่าเด่าเสมอว่าอันเนี้มันไม่
00:43:43 → 00:43:45 ดีไม่ดีไม่ดีแต่ดีอ่ะผมไม่รู้เออเพราะ
00:43:45 → 00:43:50 ฉะนั้นในวันที่เราทำตอนที่เราโตขึ้นมาเรา
00:43:50 → 00:43:52 เลยไม่เคยให้คำตอบตัวเองว่ามึงทำได้ดี
00:43:52 → 00:43:57 แล้วอ่าเราจะแบบจบสิ่งนั้นที่เราทำแล้ว
00:43:57 → 00:43:59 แบบไม่ได้ไอ้คุยอันใหม่เลยทำอันใหม่
00:43:59 → 00:44:03 เลยไปต่อไปต่ออือจนแบบผมคิดว่าบางครั้งก็
00:44:04 → 00:44:06 ทำให้คนที่ทำงานกับเรามันรู้สึกร้อนน่ะ
00:44:06 → 00:44:09 รู้สึกเราเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ดับ
00:44:09 → 00:44:11 เครื่องเลยอ่ะสมมุติจบงานนึงที่เป็นงาน
00:44:12 → 00:44:15 ใหญ่มากที่เราไปเที่ยวอ่ะไปเที่ยวไป
00:44:15 → 00:44:18 เที่ยวแต่ไปเที่ยวผมก็แบบมึงกูว่านะอัน
00:44:18 → 00:44:21 ต่อไปเราทำนี้
00:44:21 → 00:44:25 แทนที่เครื่องมันจะแบบหยุดอ่ะอ่ามันก็ยัง
00:44:25 → 00:44:28 รันอยู่ตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัวอือแต่ว่า
00:44:28 → 00:44:33 ที่ผมพูดถึงทั้งหมดที่ที่มันนำพาผมมาที่
00:44:33 → 00:44:35 เนี้ยมันเป็นเครื่องยนต์เครื่องนึงที่ผม
00:44:35 → 00:44:38 รู้สึกมันเหมาะกับตัวผมมากอ่ะผมมีความไม่
00:44:38 → 00:44:41 มั่นใจในตัวเองอืมีความไม่มั่นใจในความ
00:44:41 → 00:44:45 คิดตัวเองอืแล้วมันก็ถูกหล่อหลอมด้วย
00:44:45 → 00:44:48 ซัพพอร์ตด้วยครอบครัวที่ไม่เห็นคือมันมี
00:44:48 → 00:44:52 ทั้งขาวและดำหยิ่นและหยางที่มันคอยดึงให้
00:44:52 → 00:44:54 แท่งๆเนี้ยหรือเครื่องยนต์อันเนี้ยมัน
00:44:54 → 00:44:58 เดินทางไปได้แบบที่มันควรจะเป็นซึ่งผมบอก
00:44:58 → 00:45:01 ไม่ได้ว่ามันผิดหรือมันถูกอือถ้าเราไปบอก
00:45:01 → 00:45:03 กับครอบครัวของผมว่าเฮ้ยช่วยเป็นซัพพอร์ต
00:45:03 → 00:45:06 หน่อยแล้วพ่อกลับไปย้อนเวลาแล้วพ่อ
00:45:06 → 00:45:09 เปลี่ยนตัวเองให้เป็นซัพพอร์ตบางทีผมก็
00:45:09 → 00:45:12 อาจจะไม่ใช่คนที่จะมาหยิบเครื่องยนต์นี้
00:45:12 → 00:45:15 แล้วมาได้ไกลขนาดนี้ก็ได้อันนี้คือการ
00:45:15 → 00:45:19 เดินทางมานะแต่ว่า Next Step มาจนถึง
00:45:19 → 00:45:23 ปัจจุบันน่ะที่ผมรู้สึกพอใจในตัวเองอืพอ
00:45:23 → 00:45:27 ใจในการทำงานของเราเองอ่ะผมรู้สึกว่า
00:45:27 → 00:45:29 [เพลง]
00:45:29 → 00:45:33 ผมโอพูดเป็นคำพูดยากมากเลยวันที่ผมฟัง
00:45:33 → 00:45:35 เพลงตัวเองแล้วเพราะอ่ะมันเป็นวันที่แบบ
00:45:35 → 00:45:38 รู้สึกดีอ่ะปกติเวลาเราทำเพลงอ่ะเราจะทำ
00:45:38 → 00:45:42 แบบคนดูชอบมั้วะอ่าคนดูไอ้นี่มั้วะคนฟัง
00:45:42 → 00:45:45 ทำไงวะแต่ในวันนึงที่แบบเปิดเพลงนี้มา
00:45:45 → 00:45:51 แล้วเรารู้สึกพออ่ะมึงพอว่ะมึง
00:45:51 → 00:45:55 แบบเปิดเพลงนี้แล้วน้ำตาไหลอ่ะมันแบบเออ
00:45:55 → 00:45:59 อู้ยซึ่งมันแตกต่างกับการที่แบบเพลงไป 100
00:45:59 → 00:46:02 ล้านวิวอ่าหรือเพลงขึ้นชาร์จหรือว่าอะไร
00:46:02 → 00:46:06 เงี้ยมันแตกต่างกันมากเลยนะพี่อแต่ผมรู้
00:46:06 → 00:46:08 สึกว่าอันเนี้ยมันHealตี้กับผมมากเลยอ่ะ
00:46:08 → 00:46:13 มันก็เลยเป็นพลังงานสำคัญอืในช่วงหลังที่
00:46:13 → 00:46:19 ผมรู้สึกว่าผมต้องทำสิ่งที่ผมจะเสพอ่ะอื
00:46:19 → 00:46:23 โอเคต้องทำเพลงที่ผมจะฟังอืผมต้องทำคเทน
00:46:23 → 00:46:27 ที่ผมจะดูออกไปทำสิ่งนี้เพราะว่าตัวเอง
00:46:27 → 00:46:30 รู้สึกโอเคกับมันอะไรเงี้ยอพี่เอิ้ลได้
00:46:30 → 00:46:34 คีย์ message ในการจูนใจของป๊อบแล้วนะคือ
00:46:34 → 00:46:37 สร้างความสุขให้กับตัวเองและส่งต่อความ
00:46:37 → 00:46:40 สุขกับผู้อื่นอื
00:46:40 → 00:46:44 ก่อนหน้าเนี้ยเราอาจจะด้วยความที่เอ่อเรา
00:46:44 → 00:46:48 อาจจะรู้แค่ว่าไม่ดีคืออะไรแต่เราไม่รู้
00:46:48 → 00:46:51 ว่าดีคืออะไรใช่มออันเนี้ยมันอาจจะส่งผล
00:46:51 → 00:46:55 ให้เราอ่ะก็เลยไม่แน่ใจเราอาจจะแคร์แคร์
00:46:55 → 00:46:58 โลกภายนอกแคร์บรรทัดฐานแคร์คนแคร์ความ
00:46:58 → 00:47:04 ต้องการของคนอื่นเยอะจนเกินไปนะอือืจนลืม
00:47:04 → 00:47:08 มองกลับเข้ามาลืมรักตัวเองเพราะงั้นความ
00:47:08 → 00:47:11 สุขของเรามันก็เลยผ่านรอยยิ้มแล้วก็ความ
00:47:11 → 00:47:16 สุขของคนอื่นตลอดนะแต่วันนึงที่เราเริ่ม
00:47:16 → 00:47:19 ที่จะยอมรับได้เออคนเราก็ไม่เหมือนกัน
00:47:19 → 00:47:22 เนาะพ่อก็เป็นของพ่ออย่างงั้นแหละแฟนเพลง
00:47:22 → 00:47:25 บางคนเก็เป็นของเขาอย่างงั้นแหละอใช่ม
00:47:25 → 00:47:28 หรือคนอื่นเขาก็เป็นของเางั้นแหละเราก็
00:47:28 → 00:47:32 เป็นของเราอย่างี้แหละอือเราเริ่มปรับที่
00:47:32 → 00:47:36 วางใจใหม่จากความสุขของเธอจะเป็นความสุข
00:47:36 → 00:47:40 ของฉันมันกลายเป็นความสุขของฉันคือความ
00:47:40 → 00:47:44 สุขของฉันใช่อ่าถ้าเธออยากได้ฉันพอมอบให้
00:47:44 → 00:47:46 เธอแล้วถ้าสำหรับคนที่เขารู้สึกความสุข
00:47:46 → 00:47:49 ของฉันมันเป็นของฉันจะมีความรู้สึกที่เขา
00:47:49 → 00:47:51 รู้สึกแล้วฉันเห็นฉันเป็นคนเห็นแก่ตัว
00:47:51 → 00:47:54 เกินไปหรือเปล่าอะไรเงี้ยโหอันนี้มันเป็น
00:47:54 → 00:48:00 ปัญหาคลาสสิคมากของคนแบบเนี้ย
00:48:00 → 00:48:04 หะะเอ๊ถ้ารักตัวเองฉันจะเป็นคนเห็นแก่ตัว
00:48:04 → 00:48:07 หรือเปล่าอือันเนี้ยจริงๆแล้วเราแค่แยก
00:48:07 → 00:48:10 ไม่ออกแค่นั้นเองอืระหว่างคนที่รักตัวเอง
00:48:10 → 00:48:12 เป็นกับคนเห็นแก่ตัวเป็นยังไง
00:48:12 → 00:48:15 แต่พี่เอิ้นรู้จักป๊อบมานะพี่เอิ้ลกล้า
00:48:15 → 00:48:17 ยืนยันเลยว่าป๊อบไม่มีวันเห็นแก่ตัวหรอก
00:48:17 → 00:48:20 เพราะในวันที่ป๊อบรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่
00:48:20 → 00:48:24 ตัวที่สุดอ่ะมันคือจุดเริ่มต้นของการที่
00:48:24 → 00:48:27 ป๊อบจะให้คนอื่นได้ดีที่สุดเพราะด้วยใจ
00:48:27 → 00:48:32 ของเราแล้วอ่ะเรามีความสุขเวลาที่เราได้
00:48:32 → 00:48:34 สร้างความสุขเพื่อคนอื่นอันนี้มันก็จะ
00:48:34 → 00:48:38 เป็นมิติใหม่งั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรา
00:48:38 → 00:48:42 ถึงหลงรักเพลงของเราได้อือ่าเราถึงชื่นใจ
00:48:42 → 00:48:46 สิ่งที่เราทำได้เนาะอันเนี้ยสำคัญมากกว่า
00:48:46 → 00:48:52 ยอดวิวอีกอ่าจริงครับนะคะโอ้วันนี้แบบว่า
00:48:52 → 00:48:56 ดีนะได้มาคุยกันดีมากเลยได้มาคุยกันได้มา
00:48:56 → 00:49:00 แบบย้อนรำลึกความหลัง
00:49:00 → 00:49:04 สุดท้ายแล้วเป็นยังไงคะการเป็นเอ่อแขกรับ
00:49:04 → 00:49:09 ชนเชิญแขกรับเชิญเบอร์ต้นของจูนใจพcสยิน
00:49:09 → 00:49:13 ดีมากๆคือคือการมาคุยกับพี่เอิ้ลน่ะไม่
00:49:13 → 00:49:16 ว่าจะเป็นหลังกล้องหรือว่าหน้ากล้องอ่ะผม
00:49:16 → 00:49:20 รู้สึกว่ามันHealthตี้กับตัวเราเองอืมัน
00:49:20 → 00:49:23 ไม่ต้องทำการบ้านอะไรมาแล้วก็โดยส่วนตัว
00:49:23 → 00:49:27 ของผมอ่ะผมตื่นเต้นที่จะได้มาเจอนะเพราะ
00:49:28 → 00:49:31 ว่าทุกครั้งมันเหมือนบางครั้งที่เราสิ่ง
00:49:31 → 00:49:34 ที่เราพูดไปอ่ะอ่าพี่เอิ้ลมาเกลี่ยให้มัน
00:49:34 → 00:49:37 เห็นว่าจริงๆแล้วข้างในเรามันรู้สึกแบบ
00:49:37 → 00:49:41 นี้จริงๆแล้วเราเป็นเราอ่ะอ่ะทำตรงนี้ได้
00:49:41 → 00:49:45 ดีแล้วนะอะไรอย่างเงี้ยซึ่งโดยส่วนตัวผม
00:49:45 → 00:49:47 เองอ่ะบางทีเราใช้ชีวิตไปอ่ะเราไม่รู้
00:49:47 → 00:49:50 หรอกว่าสิ่งเนี้ยดีกับตัวเราเองอ่ะมั้ย
00:49:50 → 00:49:54 เรารู้แต่ดีกับอดีกับโครงสร้างของตัวเรา
00:49:54 → 00:49:57 มั้ยบางทีไม่เข้าใจบางทีดีกับคนอื่นหรือ
00:49:57 → 00:50:00 เปล่าเราก็ไม่รู้อะไรอย่างเงี้ยอืออืก็
00:50:00 → 00:50:04 จริงๆตั้งใจแล้วก็เย้ดีใจแล้วเป็นกำลังใจ
00:50:04 → 00:50:08 ให้เพราะว่าผมรู้สึกว่าสิ่งเนี้ยมันจะ
00:50:08 → 00:50:11 เป็นสิ่งที่ดีในการส่งต่อให้กับคนอื่นคน
00:50:11 → 00:50:15 ที่เห็นคุณจะแชร์คุณจะอะไรอย่างเงี้ยผม
00:50:15 → 00:50:17 ว่าจริงๆเรื่องยอดวิวไม่ใช่เรื่องสำคัญ
00:50:17 → 00:50:21 แล้วผมว่าเป็นเรื่องอ่าไงก็ขอบคุณป๊อบมาก
00:50:21 → 00:50:25 นะครับแล้วก็ป๊อบก็เป็นน้องชัยที่น่ารัก
00:50:25 → 00:50:29 เสมออย่าลืมไปเยี่ยมหลานนะคะมาตาเล็กและ
00:50:29 → 00:50:33 มาตาใหญ่มาตาเล็กและมาตาใหญ่นะอย่าลืมว่า
00:50:33 → 00:50:36 เดี๋ยวพี่เอิ้ลก็ตั้งใจทำมาตาพาวิเลี่ยน
00:50:36 → 00:50:42 ให้เป็นที่ที่เอ่อเป็นโอโอของกายแล้วก็ใจ
00:50:42 → 00:50:46 ให้เราได้มีพื้นที่ในการได้กลับมาอยู่กับ
00:50:46 → 00:50:49 ตัวเองเหมือนวินาทีที่ป๊อบกลับไปอยู่ที่
00:50:49 → 00:50:54 วัดอ่ะนะแต่คงไม่ขนาดนั้นนะเออดีเลยฮะผม
00:50:54 → 00:50:56 หวังว่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวเพราะว่า
00:50:56 → 00:50:59 ครั้งที่แล้วที่ไปอ่ะยังประทับใจอ่าเราไป
00:50:59 → 00:51:04 ทำคอนเสิร์ตกันใช่แล้วก็ที่ไปเดินใน
00:51:04 → 00:51:09 สวนที่มีสวนผักใช่มั้อ่าเออซึ่งพี่เอิ้น
00:51:09 → 00:51:14 เป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทุกมุมมันมี
00:51:14 → 00:51:16 ไอเดียและความคิดอยู่อืเพราะฉะนั้น
00:51:16 → 00:51:20 อันเนี้ยอยากไปเห็นมาตาอยากไปเห็นโอเค
00:51:20 → 00:51:23 งั้นเดี๋ยวเทปหน้าเนี่ยเราจะคุยกันที่เลย
00:51:23 → 00:51:26 เนาะโอเคได้เลยโอเคครับขอบคุณมากครับ
00:51:26 → 00:51:29 ขอบคุณสวัสดีครับสวัสดีครับคุณดูสวัสดี
00:51:29 → 00:51:30 ครับคุณ
00:51:30 → 00:51:35 ดูเออดีชอบสวัสดีครับคน