00:00:00 → 00:00:02 การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ผอมนะทำไมอ่ะ
00:00:02 → 00:00:04 มันคือการตลาดการอดอาหารไม่ได้ทำให้เป็น
00:00:04 → 00:00:06 โรคกระเพาะนะการที่คุณเป็นโรคกระเพาะอ่ะ
00:00:06 → 00:00:08 ส่วนใหญ่เป็นจากทำไมลดน้ำหนักได้แต่สุด
00:00:08 → 00:00:11 ท้ายก็กลับมาโยโยพอเป็นวัยทองอ่ะแล้วบอก
00:00:11 → 00:00:13 ว่าน้ำหนักขึ้นง่ายจังฮอร์โมนเอสโตรเจน
00:00:13 → 00:00:17 น่ะเป็นสิ่งสำคัญถ้าคุณต่ำลงอ่ะมันจะทำ
00:00:17 → 00:00:20 ให้แฟตดักที่อยู่ตรงกลางร่างกายอ่ะสอเนาะ
00:00:20 → 00:00:23 มากขึ้นก็คืออ้วนลงทุงนั่นเองมา้น 10 ปี
00:00:23 → 00:00:25 ที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนพฤติกรรมครั้ง
00:00:25 → 00:00:28 ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็คือเรากินมากกว่าเดิม
00:00:28 → 00:00:30 เมื่อปี 2000 น่ะคนไทยเป็นโรคเบาหวาน
00:00:30 → 00:00:33 ประมาณ 1.5 ล้านคนแต่ตอนเนี้ยให้ทายคน
00:00:33 → 00:00:36 เป็นเบาหวานกี่คนตั้งแต่อายุ 20 ถึง 50
00:00:36 → 00:00:39 30 ปีผ่านไปใช่ป่ะโดยเฉลี่ยแล้วอ่ะน้ำ
00:00:39 → 00:00:42 ตักคนเราจะมากขึ้นประมาณ 15 กกขึ้นจาก
00:00:42 → 00:00:44 อะไรร่างกายคนเราการเผาผลาน่ะจริงๆแล้ว
00:00:44 → 00:00:47 มันดีนะดีจนถึงอายุ 60 เลยแต่ทำไมถ้าเรา
00:00:47 → 00:00:49 อายุแบบ 30 40 อย่างเงี้ยมันถึงค่อยๆ
00:00:49 → 00:00:52 เพิ่มน้ำอับลนที่ไม่มีน้ำตาลเแย่กว่าน้ำ
00:00:52 → 00:00:55 อับลนที่มีน้ำตาลซะอีกมันส่งผลกระทบต่อ
00:00:55 → 00:00:59 ระบบหัวใจมันลดการทำงานของไตถึง 20% ถ้า
00:00:59 → 00:01:02 พูดถึงถึงผู้หญิงที่ท้องเนี่ยแล้วไปกิน
00:01:02 → 00:01:05 น้ำอัดลมพวกนี้จะเพิ่มความเสี่ยงการคลอด
00:01:06 → 00:01:08 ก่อนกำหนดได้ถึง
00:01:08 → 00:01:11 19% สวัสดีครับยินดีต้อนรับเข้าสู่ doct
00:01:11 → 00:01:13 Talk podcast ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญทาง
00:01:13 → 00:01:16 ด้านสุขภาพจะมาพูดคุยประเด็นเรื่องสุขภาพ
00:01:16 → 00:01:18 ต่างๆอยู่กับผมหมอจิมมี่แพทย์ผู้เชี่ยว
00:01:18 → 00:01:21 ชาญทางด้านวิทยศาสตร์ป้องกันและหมอเอมมี่
00:01:21 → 00:01:23 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยศาสตร์ป้องกัน
00:01:23 → 00:01:25 อ้าวันนี้หมอไอมี่นะครับเดี๋ยวเราจะมาพูด
00:01:25 → 00:01:28 คุยเรื่องการลดน้ำหนักซึ่งเป็นประเด็นที่
00:01:28 → 00:01:30 คุยกันมาเยอะแล้วแลหลายคนพยพายามลดน้ำ
00:01:30 → 00:01:32 หนักแต่ไม่สำเร็จทั้งๆที่เรามีความรู้
00:01:32 → 00:01:35 อัปเดตใหม่ๆตลอดเวลาเนาะรวมถึงยาลดน้ำ
00:01:35 → 00:01:38 หนัก Who บอกว่าประเทศไทยเราเนี่ยพูดถึง
00:01:38 → 00:01:41 เรื่องของน้ำหนักเกินน่ะในอาเซียเนี่ยเรา
00:01:41 → 00:01:43 ได้อันดับ 2 นะอันดับ 2 เลยเหรอลองจาก
00:01:43 → 00:01:45 มาเลเซียนะเพว่ามาเลเซียอ้วนสุดแล้วก็ต่อ
00:01:46 → 00:01:48 มาก็คือเราตมาคือเราแล้วคนน้ำหนักเกินนะ
00:01:48 → 00:01:51 แล้วพอเรามาดูประชากรของคนไทยที่มีภาวะ
00:01:51 → 00:01:54 น้ำหนักเกินเนี่ยอยู่ที่ 32% ของประชากร
00:01:54 → 00:01:57 ก็หมายถึงว่าคนไทย 70 ล้านคน 32% นี่คือ
00:01:57 → 00:02:00 อ้วนไม่ๆ 32 ล้าน 32% เนี่ยคือน้ำหนัก
00:02:00 → 00:02:03 เกินอ๋อน้ำหนักเกินแต่ 99% น่ะเป็นโรค
00:02:03 → 00:02:06 อ้วน 99% เป็นโรคอ้วนแล้วนอกจากนั้นเนี่ย
00:02:06 → 00:02:08 โรคเบาหวานที่มันมากับโรคอ้วนเนี่ยเมื่อ
00:02:08 → 00:02:11 ปี 2000 น่ะคนไทยเป็นโรคเบาหวานประมาณ 1.5
00:02:11 → 00:02:15 ล้านคนอือแต่ตอนเนี้ยให้ทายคนเป็นเบาหวาน
00:02:15 → 00:02:18 กี่คนถ้าครั้งที่แล้ว 1.5 ล้านคนอ่ะกี่
00:02:18 → 00:02:20 เท่าดีอ่ะขึ้นกี่เท่าประมาณ 4-5 เท่าได้
00:02:20 → 00:02:24 ป่ะ 8.5 ล้านคนในปัจจุบันโอโหเยอะมากนะ
00:02:24 → 00:02:26 เยอะมากเนาะเพราะฉะ 7 เท่าเออ 7-8 เท่า
00:02:26 → 00:02:29 เพราะฉะนั้นเนี่ยโลกอ้วนทำไมเรากลับรถไม่
00:02:29 → 00:02:31 ได้สักทีอ่ะอืจริงจริงๆก็เป็นคำถามที่น่า
00:02:32 → 00:02:33 สนใจเพราะว่าจริงๆแล้วปัจจุบันเราก็แบบมี
00:02:33 → 00:02:37 เทคโนโลยีช่วยเยอะแยะเลยนะเออแต่ว่าคนไข้
00:02:37 → 00:02:39 ก็ยังมาหาเราเยอะอยู่ดีเออบอกว่ามาหาบอก
00:02:39 → 00:02:41 ว่าเออหมาะคะช่วยลดน้ำหนักหน่อยขานู่นนี่
00:02:42 → 00:02:44 นั่นอะไรอย่างเงี้ยเออยังเยอะอยู่อืจริงๆ
00:02:44 → 00:02:46 แล้วเนี่ยก็คือก่อนอื่นเลยนะเราต้องมา
00:02:46 → 00:02:49 เข้าใจว่าความหิวคืออะไรก่อนเออก็คือแบบ
00:02:49 → 00:02:51 ว่าความหิวอ่ะมันเป็นเกี่ยวข้องกับต้อง
00:02:51 → 00:02:53 เข้าใจว่าร่างกายคนเรามันค่อนข้างซับซ้อน
00:02:53 → 00:02:56 ใช่ป่ะเรามีทั้งสารเคมีเยอะแยะเลยแล้วก็
00:02:56 → 00:02:59 มีฮอร์โมนด้วยแล้วก็โดยส่วนมากความหิวอ่ะ
00:02:59 → 00:03:01 เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนของเราโดยตรงเนาะ
00:03:01 → 00:03:03 เมื่อเราบอกว่าเมื่อท้องเราว่างใช่ป่ะ
00:03:03 → 00:03:05 แล้วก็แบบไม่มีอาหารเงี้ยเราก็เริ่มมี
00:03:05 → 00:03:07 เสียงแบบกุ๊กกั๊กกุ๊กกุกเหมือนว่าเริ่ม
00:03:07 → 00:03:10 หิวแล้วเริ่มหิวแล้วอยากกินอันเนี้ยเกิด
00:03:10 → 00:03:13 ขึ้นจากฮอร์โมนที่ชื่อว่าเกลินเกลินน่ะ
00:03:13 → 00:03:16 เป็นฮอร์โมนที่เขาเรียกว่าอะไรผลิตจากใน
00:03:16 → 00:03:19 พวกลำไส้แล้วมันก็ส่งสเออกระเพาะอาหารลำ
00:03:19 → 00:03:21 ไส้ต่างๆเงี้ยมันก็ส่งสัญญาณไปที่สมอง
00:03:21 → 00:03:23 แล้วบอกว่าเฮ้ยเธอไม่มีอาหารแล้วนะเธอไม่
00:03:23 → 00:03:26 มีแคลอรี่แล้วนะฉันต้องการกินเออแล้วก็
00:03:26 → 00:03:29 เลยรู้สึกว่าเฮ้ยหิวเว้ยหิวตรงกลิ่นเออพอ
00:03:29 → 00:03:31 เรากินกินเข้าไปประมาณนึงอ่ะที่มันจะแบบ
00:03:31 → 00:03:34 ว่าเริ่มอิ่มอ่ะมันก็จะเริ่มส่งสัญญาณว่า
00:03:34 → 00:03:37 เฮ้ยๆแฟตเซลล์ไขมันเราอ่ะจะผลิตฮอร์โมน
00:03:37 → 00:03:39 ที่ชื่อว่าเลปตินออกมาตรงกันข้ามกันตรง
00:03:39 → 00:03:40 กันข้ามกันฮอร์โมนเลปตินเนี่ยจะเป็น
00:03:40 → 00:03:43 ฮอร์โมนให้เราแบบว่าเฮ้ยอิ่มเหอะพอเถอะพอ
00:03:43 → 00:03:46 ได้แล้วนะเออไม่งั้นเราก็จะกินกินกินแบบ
00:03:46 → 00:03:48 ไม่มีวันหยุดใช่ป่ะฉะนั้นฮอร์โมน 2 ตัว
00:03:48 → 00:03:50 เนี้ยเป็นฮอร์โมนที่ว่าเออหิวนะแล้วก็
00:03:50 → 00:03:53 ฮอร์โมนที่ว่าเอออิ่มได้แล้วนะเออซึ่งใน
00:03:53 → 00:03:56 งานวิจัยอ่ะก็พบเจอว่าคนปัจจุบันเนี้ยมี
00:03:56 → 00:03:58 การดื้อต่อเล็บตินค่อนข้างเยอะเหมือน
00:03:58 → 00:04:02 คล้ายๆดื้อต่ออินซูลินคที่เป็นเบาหวาน
00:04:02 → 00:04:04 ดื้อเลปตินแทนใช่ก็แบบว่าเลปตินอาจจะ
00:04:04 → 00:04:07 สร้างแล้วนะแต่ก็ยังหิวอยู่ส่วนใหญ่เจอ
00:04:07 → 00:04:09 มากๆกับคนที่เป็นโรคอ้วนจริงจังแบบว่ากิน
00:04:09 → 00:04:13 แล้วแต่ยังแบบยังกินอีกอ่ะเพราะว่า่อต่อ
00:04:13 → 00:04:14 เอออะไรอย่าเงี้ยก็เพราะฮอร์โมนเลปตินน่ะ
00:04:15 → 00:04:17 เขามีปัญหาแล้วนอกจากฮอร์โมน 2 ตัวแล้ว
00:04:17 → 00:04:20 เนี่ยยังมีฮอร์โมนอีก 2 ตัวที่สำคัญมากก็
00:04:20 → 00:04:22 คือฮอร์โมนอินซูลินที่เราพูดไปก่อนหน้า
00:04:22 → 00:04:25 นี้เนาะแล้วก็ฮอร์โมนคอร์ดิซฮอร์โมน
00:04:25 → 00:04:26 คอร์ดิซเนี่ยเป็นฮอร์โมนความเครียดใช่่
00:04:26 → 00:04:29 ป่ะแต่ว่ามันก็เป็นน่าสนใจว่าเออทำไมแบบ
00:04:29 → 00:04:32 ตอนกลางคืนอ่ะเรานอนน่ะเรานอนประมาณ 6-8
00:04:32 → 00:04:34 ชมงต่อวันใช่ป่ะแล้วทำไมเราแบบทำไม
00:04:34 → 00:04:36 ระหว่าง 6 -8 ชั่วโมงเราถึงไม่กินอ่าใช่
00:04:36 → 00:04:38 เพราะว่าเราอยู่กลางวันเรายัง 68 ชั่มกิน
00:04:38 → 00:04:41 นี่คือหิมาไม่ต้อง 6-8 2-3 ชั่วโมงก็กิน
00:04:41 → 00:04:43 แล้วเออไม่ไม่ต้อง 68 อะไเงี้ยแต่คือทำไม
00:04:43 → 00:04:45 เวลาเรานอนเงี้ยเออเราถึงแบบไม่รู้สึกหิว
00:04:45 → 00:04:48 ใช่ป่ะเก็มาทำงานวิจัยแล้วจะว่าเออเวลา
00:04:48 → 00:04:50 เรานอนเนี่ยเรามีโกดฮอร์โมนที่สูงนะที่
00:04:50 → 00:04:52 เราบอกว่าเ้ 22:00 นถึง 2:00 นอยู่ต้อง
00:04:52 → 00:04:54 นอนเพราะพอเรานอนเราเนี่ยเราก็จะมีโกส
00:04:54 → 00:04:56 ฮอร์โมนหลังถูกป่ะโกดฮอร์โมนเราก็จะไม่
00:04:56 → 00:04:58 ค่อยเห็นเออแล้วพอเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า
00:04:58 → 00:05:01 เนี่ยประมาณ 7-8 นเนี่ยก็จะเป็นช่วงที่
00:05:01 → 00:05:04 ฮอร์โมนคอร์ติโซนสูงสุดเออซึ่งพอฮอร์โมน
00:05:04 → 00:05:06 คอร์ติโซนสูงอ่ะน้ำตาลมันยังค่อนข้างสูง
00:05:06 → 00:05:09 เพราะน้ำตาลค่อนข้างสูงเราเลยไม่หิวอ่า
00:05:09 → 00:05:12 มันเลยลิงกันไงแต่พอว่าพอเราแบบว่าตื่น
00:05:12 → 00:05:13 ปุ๊บแล้วก็เริ่มทำ activity ใช่ป่ะ
00:05:13 → 00:05:16 ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็เริ่มดรอปน้ำตาลเราก็
00:05:16 → 00:05:18 เริ่มดอดเราจึงเริ่มรู้สึกหิวเราเริ่ม
00:05:18 → 00:05:20 เริ่มกินใช่แต่ว่าอีกประเด็นนึงอ่ะที่
00:05:20 → 00:05:23 อยากคุยก็คือว่าความหิวกับความอยากเออถ้า
00:05:23 → 00:05:25 เป็นภาษาอังกฤษเราบอกว่า Hunger and
00:05:25 → 00:05:27 appetite ภาษาไทยก็ต้องบอกว่าความหิวกับ
00:05:27 → 00:05:28 ความอยากเพราะว่าจริงๆแล้วคนเราปัจจุบัน
00:05:29 → 00:05:31 น่ะรู้หรือเปล่าเหอะว่าเราหิวหรือเปล่า
00:05:31 → 00:05:33 เราอาจจะอยากกินเราอยากจะอยากกินแต่ว่า
00:05:34 → 00:05:36 ไม่ได้หิวนะเออเค้าก็เลยบอกว่ามีการบอก
00:05:36 → 00:05:38 ว่าพูดกันว่าจริงๆแล้วความหิวหมายถึงว่า
00:05:38 → 00:05:41 ร่างกายเราต้องการแคลอรี่เสริมเราถึงต้อง
00:05:41 → 00:05:43 กินก็คือเป็นฮอร์โมนแบบว่าเกลินสั่งเรา
00:05:43 → 00:05:46 ถึงต้องกินแต่ปัจจุบันเราอ่ะมีความอยาก
00:05:46 → 00:05:48 มากกว่าความหิวหถึงว่าฉันเห็นอันนี้แล้ว
00:05:48 → 00:05:50 ฉันอยากกินเาก็เลยบอกว่าเอาง่ายๆนะยูเอา
00:05:51 → 00:05:53 สลัดมาจานนึงถ้าสมมุติว่ายูกินสลัดจาน
00:05:53 → 00:05:56 นั้นได้แปลว่ายูหิวจริงแต่ถ้าเอาเอาเอา
00:05:56 → 00:05:58 สลัดมาวางแล้วอ่ะแล้วเราไม่กินแปลว่าเรา
00:05:58 → 00:06:00 ไม่ได้หิวแต่เรา
00:06:00 → 00:06:02 แล้วแแค่อยากจะกินเออก็เลยบอกบอกว่าเออ
00:06:02 → 00:06:05 มันก็จะมีความอยากกินกว่าความหิวเออที่
00:06:05 → 00:06:08 เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนอืทำไมลดน้ำหนัก
00:06:08 → 00:06:10 ได้แต่สุดท้ายก็กลับมาโยโยคืออันเนี้ยมัน
00:06:10 → 00:06:13 ต้องเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราอ่ะมันมี
00:06:13 → 00:06:16 ความสมดุลอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการกิน
00:06:16 → 00:06:18 อาหารเรียกว่า Energy in กับ Energy Out
00:06:18 → 00:06:20 คือเรื่องของการเผาผลาญเนาะเพราะฉะนั้น
00:06:20 → 00:06:24 ร่างกายเรามันจะมี Connection ว่าเอ้ยเรา
00:06:24 → 00:06:26 ควรกินหรือเราไม่ควรกินเหมือน Episode
00:06:26 → 00:06:27 ครั้งที่แล้วที่เราพูดว่ากับ Brain
00:06:27 → 00:06:29 Connection เพราะฉะนั้นเนี่ยบางคนน่ะ
00:06:30 → 00:06:33 เวลาหิวก็จะโมโหถูกมั้ยครับเนาะถ้าเรา
00:06:33 → 00:06:36 ย้อนกลับมาเนี่ยเราก็จะบอกว่าเอ๊ะเวลาที่
00:06:36 → 00:06:38 เราน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นเนี่ยร่างกาย
00:06:38 → 00:06:41 มันก็จะชินกับการกินอาหารที่เยอะเข้าไป
00:06:41 → 00:06:44 แล้วการเผาผลาญเราก็อยู่ระดับเดินเท่า
00:06:44 → 00:06:47 นั้นแต่เมื่อไหร่ที่เราอยากลดน้ำหนักเร็ว
00:06:47 → 00:06:50 เกินไปเนี่ยร่างกายมันเกิดอะไรขึ้นมัน
00:06:50 → 00:06:53 ช็อกป่ะมันช็อกพอเวลามันเกิดช็อกเนี่ยมัน
00:06:53 → 00:06:55 เกิดการเปลี่ยนแปลงของโฮร์โมนเมื่อกี้หมอ
00:06:55 → 00:06:57 เอมมี่บอกมาแล้วเรื่องของโฮร์โมนความหิว
00:06:57 → 00:07:00 ฮอร์โมนการอิ่มพวกเนินเล็บตถูกมพอร่างกาย
00:07:01 → 00:07:03 มันลดน้ำหนักเร็วเกินไปไขมันมันลดลงปึ๊บ
00:07:04 → 00:07:07 ร่างกายเอ๊ะหายไปไหนไขมันงงมันก็เลยรีบ
00:07:07 → 00:07:11 หลั่งฮอร์โมนเนินมากยิ่งขึ้นทำให้เราหิว
00:07:11 → 00:07:14 หิวเราก็อยากกินแล้วอยากกินร่างกายอีกอัน
00:07:14 → 00:07:18 นึงก็คือไปลดระบบการเผาผลาญกินเยอะไปบ
00:07:18 → 00:07:21 ระบบการเผาผลาญและอีกอันนึงคือมี reward
00:07:21 → 00:07:23 คือร่างกายให้รางวัลตัวเอง Food Behavior
00:07:23 → 00:07:25 reward อก็หมายถึงว่าแบบว่าเริ่มจะเครป
00:07:25 → 00:07:28 ละอยากอยากกินอาหารอยากกินอาหารมากยิ่ง
00:07:28 → 00:07:30 ขึ้นแต่ถ้าเราดูจรจริงๆอ่ะย้อนกลับไป
00:07:30 → 00:07:33 ประมาณ 1,000 ปีที่แล้วร่างกายของเราอ่ะ
00:07:33 → 00:07:35 ที่รจริงมันก็เริ่มกะเก็บอาหารตั้งแต่คือ
00:07:35 → 00:07:38 ตั้งแต่สมัยนั้นแล้วเนาะยุคหินป่ะ 1000
00:07:38 → 00:07:41 ปีอไม่ไม่ได้ยุคหินหรอกโอเคก็คือ 1,000
00:07:41 → 00:07:44 คือสมัยก่อนเนี่ยคือร่างกายเราไม่มีอาหาร
00:07:44 → 00:07:48 กินตลอดเวลาเเรามีช่วงเวลาที่เราออกลาก
00:07:48 → 00:07:50 คือเราไม่มีไม่มีตู้เยเราไม่มีตู้เย็นเรา
00:07:50 → 00:07:52 ไม่มีตู้เย็นเราไม่มีที่เก็บถูกมั้ยเพราะ
00:07:52 → 00:07:55 ฉะนั้นเราต้องออกไปล่าอาหารแล้วมีช่วง
00:07:55 → 00:07:58 เวลาที่เราต้อง Fast ฟีกับ Fast คือเรา
00:07:58 → 00:08:01 ต้องล่าแล้วเราเราต้องอดคือบางบางเวลาเรา
00:08:01 → 00:08:04 ก็ไม่มีแบบอาหารที่กินตลอดเวลาร่างกายมัน
00:08:04 → 00:08:06 เลยบอกว่าสร่างกายบอกร่างกายว่าสมองบอก
00:08:07 → 00:08:10 ร่างกายว่าล่านะกเก็บอาหารบางส่วนเพื่อ
00:08:10 → 00:08:14 ไว้ใช้ตอนที่เราฟาสอืคือตอนที่ไม่มีของ
00:08:14 → 00:08:17 กินไม่มีของกินแต่ปัจจุบันคืออาหารเรามี
00:08:17 → 00:08:20 ร้านของชำเราเรียกแกปได้ตลอดเวลาเราสั่ง
00:08:20 → 00:08:23 อาหารเราเก็บอาหารได้กินได้ทุกเมื่ออออือ
00:08:23 → 00:08:27 เราฟีซฟีฟฟฟฟไม่มีฟาสเลยพอเราฟีซไปตลอด
00:08:27 → 00:08:31 เวลาเนี่ยอเป็นไงก็ก็อ้วนนะก็อ้วนอือนะ
00:08:31 → 00:08:33 ครับเนาะ 10 ปีที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยน
00:08:33 → 00:08:36 พฤติกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็คือเรา
00:08:36 → 00:08:38 กินมากกว่าเดิมหมอไอไม่หิวตอนนี้ทำไงตอน
00:08:38 → 00:08:41 นี้ก็สั่งแก๊สป่ะแล้วก็เหลือเวก็ไปเซเว่น
00:08:41 → 00:08:44 เพราะมันเปิด 24 ช่วโมงก็คือกินเลยใช่ๆ
00:08:44 → 00:08:47 เออก็บอกว่ามันเป็นพฤติกรรมที่มันง่ายไง
00:08:47 → 00:08:48 แล้วเราก็ติดถูกป่ะอย่างตอนเราอยู่เวร
00:08:48 → 00:08:50 อย่างเงี้ยสมัยก่อนอยู่เวรกลางคืนใช่ป่ะ
00:08:50 → 00:08:52 มันก็มีเซเว่นให้กินไงอย่างน้อยถ้าเป็น
00:08:52 → 00:08:55 สมัยก่อนก็คืออาจจะต้องอดเออหรือว่าต้อง
00:08:55 → 00:08:57 ซื้อขนมปังมาเก็บไว้อะไรอย่างเงี้ยเออ
00:08:57 → 00:08:59 แล้วก็จริงๆแล้วอ่ะมันอีกมีอีกอันนึงนะนะ
00:08:59 → 00:09:02 ที่แบบว่าเจอคำถามค่อนข้างบ่อยมากจากคน
00:09:02 → 00:09:05 ไข้ก็คือบอกว่าเฮ้ยถ้าเราแก่ขึ้นหรืออายุ
00:09:05 → 00:09:07 มากขึ้นน่ะน้ำหนักมันต้องมากขึ้นตามป่ะ
00:09:07 → 00:09:09 เออก็แบบว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจแล้วก็เลย
00:09:09 → 00:09:12 แบบว่าไปค้นคว้างานวิจัยเพิ่มเติมก็เจอ
00:09:12 → 00:09:15 ว่าถ้าคนเราอ่ะตั้งแต่อายุ 20 - 50 30
00:09:15 → 00:09:18 ปีผ่านไปใช่ป่ะโดยเฉลี่ยแล้วอ่ะน้ำตักคน
00:09:18 → 00:09:21 เราอจะมากขึ้นประมาณ 15 กมันต้องขึ้นอยู่
00:09:21 → 00:09:23 แล้วแหละเออคราวนี้ก็บอกว่าเออ 15 กเนี่ย
00:09:23 → 00:09:25 มันขึ้นจากอะไรเพราะว่าจริงๆก็บอกว่าร่าง
00:09:25 → 00:09:28 กายคนเราการเผาผลาน่ะจริงๆแล้วมันดีนะดี
00:09:28 → 00:09:31 จนถึงอายุ 60 เลยแต่ทำไมถ้าเราอายุแบบ 30
00:09:31 → 00:09:33 40 อย่างเงี้ยมันถึงค่อยๆเพิ่มอย่าง
00:09:33 → 00:09:35 เงี้ยเก็เลยบอกว่ามีการทำงานวิจัยเพิ่ม
00:09:35 → 00:09:37 เติมว่าจริงๆแล้วเป็นเพราะอะไรเนาะอันดับ
00:09:37 → 00:09:40 แรกอ่ะที่เราเจอเขาบอกว่าคนเราโดยส่วนมาก
00:09:40 → 00:09:43 เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปอ่ะจะ loss Muscle
00:09:44 → 00:09:46 mas 1% ทุกปีก็ถึงว่าถ้าสมมุติเราอายุ
00:09:46 → 00:09:48 35 อย่างเงี้ยถึง 50 15 ปีมันก็หายไป
00:09:48 → 00:09:51 15% ถูกป่ะแล้วก็บอกว่าถ้า Muscle แสอ่ะ
00:09:51 → 00:09:54 หรือว่ากล้ามเนื้อเราหายไปอ่ะกล้ามเนื้อ
00:09:54 → 00:09:56 เป็นอะไรที่เราอ่ะต้องใช้พลังงานเยอะถูก
00:09:56 → 00:09:58 ป่ะระบบเาผลานถึงจะดีถ้าคุณมีกล้ามเนื้อ
00:09:58 → 00:10:01 พอเรากเนื้อหายไปก็หมายความว่าคุณกินเท่า
00:10:01 → 00:10:03 เดิมคุณออกกำลังกายเท่าเดิมยังไงคุณก็
00:10:03 → 00:10:06 อ้วนเพราะว่าระบบขอผลคุณน้อยลงนั่นเอง
00:10:06 → 00:10:08 ฉะนั้นการแก้ของเราคือเราต้องออกกำลังกาย
00:10:08 → 00:10:11 ใช่ป่ะเออออกกำลังกายฟิตเนสเนาะหรือว่า
00:10:11 → 00:10:13 เราจะออกกำลังกายท่าต่างๆอะไก็ได้โยคะ
00:10:13 → 00:10:15 อะไรก็ได้อย่างเงี้ยหรือเวทเทนก็ได้ทำให้
00:10:15 → 00:10:17 Muscle mas คุณดีเท่าเดิมมากกว่าเดิมมา
00:10:17 → 00:10:19 หรือมากกว่าเดิมอย่างเงี้ยอันนี้คืออัน
00:10:19 → 00:10:22 ที่ 1 เนาะอันที่ 2 อ่ะมันเป็นไปเจอว่า
00:10:22 → 00:10:24 การวิจัยของญี่ปุ่นอ่ะเมื่อประมาณปี 2021
00:10:24 → 00:10:27 เค้าก็ทำเซอเวย์ทั่วประเทศเนาะแล้วก็เก็บ
00:10:27 → 00:10:30 สถิติว่าเฮ้ยอะไรเป็น FA ทำให้คนญี่ปุ่น
00:10:30 → 00:10:33 น่ะ 20 ปีของช่วงอายุอ่ะมันน้ำหนักเพิ่ม
00:10:33 → 00:10:35 ขึ้นแล้วเก็บอกว่าถ้าสิ่งเหล่าเนี้ยถ้า
00:10:35 → 00:10:38 คุณทำจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นขั้นต่ำ
00:10:38 → 00:10:40 คือ 10 กลเลยนะในช่วงระยาเวลา 20 ปีก็แบบ
00:10:40 → 00:10:43 ว่าปีนึงคุณขึ้นประมาณครึ่งกลเนาะอันดับ
00:10:43 → 00:10:46 แรกที่เจอก็คือการอดนอนเพราะว่าบางทีคน
00:10:46 → 00:10:48 เราเนี่ยอาจจะบอกว่าเฮ้ยฉันต้องทำงานหนัก
00:10:48 → 00:10:49 ฉันต้องทำงานเยอะหรือแพทย์เองอย่างเราหมอ
00:10:50 → 00:10:51 ๆเนี่ยก็คือจะอดนอนค่อนข้างเยอะใช่ป่ะ
00:10:51 → 00:10:54 แล้วเลยว่าถ้าคุณนอนน้อยกว่า 5 ชมนะอ้วน
00:10:54 → 00:10:57 แน่นอนอันนี้อันที่ 1 เนาะเพราเาบอกว่า
00:10:57 → 00:10:59 ถ้าคุณนอนน้อยอย่างเงี้ยอย่างโซเลเวล
00:10:59 → 00:11:01 อย่างเงี้ยตื่นเช้ามามันก็จะต่ำจะไม่สูง
00:11:01 → 00:11:04 ถูกป่ะพอมันต่ำชูการก็ต่ำหรือว่าน้ำตาล
00:11:04 → 00:11:07 ต่ำเราก็เลยหิวก็เลยกินบ่อยคันนี้อันที่ 1
00:11:07 → 00:11:10 เนาะอันที่ 2 ที่เจอบ่อยมากๆเขาบอกว่าการ
00:11:10 → 00:11:12 ที่คุณไม่กินอาหารเช้าก็คือทำให้น้ำหนัก
00:11:12 → 00:11:14 ขึ้นง่ายเหมือนกันเพราะว่าเบอกว่าพอคุณ
00:11:14 → 00:11:17 ไม่กินอาหารเช้าอ่ะเราอาจจะชอบกินจุกจิก
00:11:17 → 00:11:19 ไงกลายเป็นเครปวิ่งนะอาจจะไม่ใช่ Hungry
00:11:19 → 00:11:20 นะอาจจะเป็นการเครปวิ่งกินนู่นกินนี่
00:11:20 → 00:11:22 จุกจิกเยอะแยะเลยก็เลยทำให้น้ำหนักเรา
00:11:22 → 00:11:25 ขึ้นง่ายอันนี้คืออันที่ 2 อันที่ 3 ที่
00:11:25 → 00:11:28 เจอมากก็คือพวกทำงานออฟฟิศก็คืออะไรนั่ง
00:11:28 → 00:11:31 เยอะไงวันวันนั่งเก้าอี้นั่งทำงานไม่ได้
00:11:31 → 00:11:33 มีเวลาลุกไปเดินเยอะอะไรอย่างเงี้ยก็เลย
00:11:33 → 00:11:35 บอกว่าถ้านั่งเก้าอี้มากกว่า 5 ชมงต่อวัน
00:11:35 → 00:11:38 หรือเดินได้น้อยกว่า 1 ช่มต่อวัน 1 ชมง
00:11:38 → 00:11:41 เนี่ยถ้าเดินได้ของเราก็ประมาณซัก 6-7 พก
00:11:41 → 00:11:44 ต่อต่อวันก็ยังก็ยังโอเคใช่ป่ะแต่ถ้าคุณ
00:11:44 → 00:11:46 เดินไม่ได้ขนาดนั้นน่ะก็ทำให้คุณน้ำหนัก
00:11:46 → 00:11:48 ขึ้นค่อนข้างง่ายอันนี้ก็เป็นปัจจัย 2
00:11:48 → 00:11:51 อันใหญ่ๆที่เจอแต่ว่าของผู้หญิงอ่ะก็จะ
00:11:51 → 00:11:53 เจออีกอันนึงที่เจอได้ง่ายมากอันที่ 3 ก็
00:11:53 → 00:11:56 คือเรื่องฮอร์โมนคนไขก็ถามว่าเฮ้ยให้มหมอ
00:11:56 → 00:11:58 ส่วนใหญ่บอกว่าพอเป็นวัยทองอ่ะแล้วบอกว่า
00:11:58 → 00:12:01 น้ำน้ำหนักขึ้นง่ายจังเออก็บอกว่าเออถ้า
00:12:01 → 00:12:03 เป็นวยทองเนี่ยจริงๆแล้วมันก็แค่แบบว่าว
00:12:03 → 00:12:06 วูบวาบอะไรอย่างงี้ป่ะแล้วก็บอกว่าเจอตอน
00:12:06 → 00:12:09 หลังก็เจอว่าเออมันนอกจากการออาการวูบวาบ
00:12:09 → 00:12:11 นอนไม่หลับแล้วเนี่ยก็ยังมีอาการที่แบบ
00:12:11 → 00:12:14 ว่าทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายด้วยยิ่งคุณบอก
00:12:14 → 00:12:16 ว่าจาก 50 ไป 60 เจะเป็นช่วงที่น้ำหนัก
00:12:16 → 00:12:19 แบบขึ้นค่อนข้างง่ายมากเนาะเขาก็บอกว่า
00:12:19 → 00:12:22 ฮอร์โมนเอสโตรเจนน่ะเป็นสิ่งสำคัญเพราะ
00:12:22 → 00:12:24 บอกว่านฮอร์โมนเอสโตรเจนถ้าคุณต่ำลงอ่ะ
00:12:24 → 00:12:27 มันจะทำให้ Fat ดที่อยู่ตรงกลลางร่างกาย
00:12:27 → 00:12:30 อ่ะสอขึนอ้วนลงคูนั่นเองของผู้หญิงจริงๆ
00:12:30 → 00:12:32 ผู้ชายอาจจะเป็นก่อนแต่ผู้หญิงอาจจะเป็น
00:12:32 → 00:12:35 ช่วงง่ายหลังจากที่หมดประจำเดือนเนาะอัน
00:12:35 → 00:12:38 นี้ก็คืออันที่ 1 ของฮอร์โมนอันที่ 2 อ่ะ
00:12:38 → 00:12:40 ที่เป็นค่อนข้างเยอะแล้วผู้หญิงอาจจะไม่
00:12:40 → 00:12:43 ได้แบบไม่ค่อยเข้าใจก็คือภาวะที่โรคที่
00:12:43 → 00:12:46 เป็นว่า pcos หรือโรคถุงน้ำในรังไขที่เรา
00:12:46 → 00:12:48 มีหลายๆก้อนเพราะว่าอะไรผู้หญิงกลุ่ม
00:12:48 → 00:12:51 เนี้ยจะมีฮอร์โมนเพศชายในร่างกายค่อนข้าง
00:12:51 → 00:12:52 เยอะแล้วจริงๆแล้วผู้หญิงเราควรจะมี
00:12:52 → 00:12:54 ฮอร์โมนเพศหญิงเด่นใช่ป่ะแต่ว่าผู้หญิง
00:12:54 → 00:12:57 กลุ่มนั้นน่ะอาจจะมีขนยาวแบบสร้างมัสเซิล
00:12:57 → 00:13:00 ง่ายห้า้ามันสิขึ้นอะไรอย่างเงี้ยเพราะ
00:13:00 → 00:13:02 เขามีฮอร์โมนเทสโทสหรือฮอร์โมนผู้ชายเยอะ
00:13:02 → 00:13:04 ซึ่งฮอร์โมนเทสโทสอ่ะมันก็ไม่ได้เหมาะกับ
00:13:04 → 00:13:06 ร่างกายผู้หญิงขนาดนั้นเพราะผู้หญิงเหล่า
00:13:06 → 00:13:08 นั้นน่ะมันมีฮอร์โมนค่อนข้างเยอะมันก็เลย
00:13:08 → 00:13:11 ทำให้สอ Fat ค่อนข้างง่ายก็เลยทำให้แบบ
00:13:11 → 00:13:13 อ้วนง่ายเป็นเบาหวานง่ายอันนี้ก็จะเป็น
00:13:13 → 00:13:16 เหตุผลหลักๆที่เขาเจอว่าทำไมแบบเราถึงแบบ
00:13:16 → 00:13:18 อ้วนง่ายง่ายขึ้นอ่าแต่เมื่อกี้หมอเอมี่
00:13:18 → 00:13:21 พูดมาถึงเรื่องของอาหารเช้าถูกมั้คือถ้า
00:13:21 → 00:13:24 เราดูยุย้อนไปในสมัยของคุณพ่อคุณแม่มันจะ
00:13:25 → 00:13:27 มีประโยคนึงที่พูดคำว่า Breakfast is
00:13:27 → 00:13:28 the most Important Meal of the
00:13:28 → 00:13:30 day ก็คือเหมนถึงว่าอาหารเช้าเป็นมื้อ
00:13:30 → 00:13:33 สำคัญที่สุดที่ที่เราควรจะกินเลยรู้มยว่า
00:13:33 → 00:13:36 ประโยคเมันมาจากไหนมันมาจากซีเรียลอาหาร
00:13:36 → 00:13:41 เช้าในยุค 70 ออคือโฆษณามันคือการตลาดออ
00:13:41 → 00:13:44 เพราะฉะนั้นเนี่ยถามว่าคนเราจำเป็นต้อง
00:13:44 → 00:13:47 กินอาหารเช้าจริงหรือเปล่าอืก็ปกติก็ตื่น
00:13:47 → 00:13:50 มาส่วนใหญ่พอตื่นมามันก็หิวมันถึงกินไง
00:13:50 → 00:13:52 มันหิวถึงกินถูกมั้ยที่เต้องมาเข้าใจ
00:13:52 → 00:13:55 ศึกษาของเา้าเรียกว่า cian rm ในร่างกาย
00:13:55 → 00:13:58 ของเราคือนาฬิกาชีวิตทุกคนอาจจะมีนาฬิกา
00:13:58 → 00:14:00 ชีวิตหมดเลยนะปิกาชีวิตของสมองและของลำ
00:14:00 → 00:14:06 ไส้เวลาที่เราตื่นมาระบบสมองทำงานฮอร์โมน
00:14:06 → 00:14:10 ทำงานการเคลื่อนไหวลำไส้การย่อยการดูดซึม
00:14:10 → 00:14:13 เริ่มทำงานเพราะฉะนั้นช่วงนั้นน่ะพูดง่าย
00:14:13 → 00:14:15 ๆก่อนเที่ยงเป็นช่วงที่เราควรรับประทาน
00:14:15 → 00:14:18 ช่วงไหนก็ได้อถือว่าดีต่อร่างกายเพราะ
00:14:18 → 00:14:20 ร่างกายได้การย่อยได้การเผาผลาญแล้วเราก็
00:14:20 → 00:14:23 ได้เอาไปใช้ไม่มีการการเก็บมามันจะค่อน
00:14:23 → 00:14:26 ข้างน้อยมากเพราะเราใช้พลังงานทั้งวันแต่
00:14:26 → 00:14:28 ช่วงเวลากลางคืนเนี่ยอย่างเวลาเราที่เรา
00:14:28 → 00:14:29 นอนมันจะมีฮอร์โมนอีกตัวนึงเรียกว่า
00:14:30 → 00:14:32 โฮร์โมนเมลาโทนินซึ่งถ้าใครไปกินตอนก่อน
00:14:32 → 00:14:35 นอนเนี่ยเมลาโทนินจะเป็นฮอร์โมนที่เธอพัก
00:14:35 → 00:14:39 เถอะเธอสวดเธอ slow ดาวอย่าย่อยลำไส้อย่า
00:14:39 → 00:14:41 ดูดซึมนะเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าใครไปกินตอน
00:14:41 → 00:14:45 กลางคืนน่ะอาหารก็ไม่ย่อยท้องอืดอีกแล้ว
00:14:45 → 00:14:47 มันก็กักเก็บไขมันมากยิ่งขึ้นเออแล้วอีก
00:14:47 → 00:14:49 อันนึงที่เจอบดก็คือถ้าคนไข้กินกลลางคืน
00:14:49 → 00:14:51 แล้วนอนอ่ะเจอว่าเป็นแบบว่าอะไรนะกดไรล
00:14:51 → 00:14:54 ย้อนเยอะด้วยอืทีนี้เรามาพูดเรื่องวิธี
00:14:54 → 00:14:56 การลดน้ำหนักที่ยอดิตกันบ้างอะไรเวิร์ค
00:14:56 → 00:14:59 อะไรไม่เวิร์คแล้วกลไกของแต่ละแล้ววิธีมี
00:14:59 → 00:15:02 อะไรบ้างวิธีฮอฮิตอันแรกอ่ะที่อยากพูดถึง
00:15:02 → 00:15:04 เลยก็คือบการนับแควเพราะนับแควส่วนใหญ่
00:15:04 → 00:15:07 เป็นอะไรที่แบบทำง่ายใช่ป่ะแล้วคนเข้าใจ
00:15:07 → 00:15:09 คิดว่าเฮ้ยถ้าเราจดจๆต่อวันต่อวันของผู้
00:15:09 → 00:15:11 หญิงเงี้ยเออแค่นี้ก็โอเคแล้วแต่ประเด็น
00:15:11 → 00:15:13 คือการนับแควที่ถูกต้องเป็นยังไงคนอาจจะ
00:15:14 → 00:15:16 ยังไม่ค่อยเข้าใจเช่นสมมุติบอกว่าเฮ้ยฉัน
00:15:16 → 00:15:19 อยากกินแค่ 200 แควอ่ะจะกินไงดีใช่ป่ะก็
00:15:19 → 00:15:21 อาจจะมีผู้หญิง 2 คนคนแรกบอกว่าอะไรเฮ้ย
00:15:21 → 00:15:23 ฉันกินบางฝรั่งทอดก็ได้อะไรอย่างเงี้ยอีก
00:15:23 → 00:15:25 คนนึงบอกว่าเฮ้ยฉันกินแอปเปิ้ลก็ได้
00:15:25 → 00:15:27 แอปเปิ้ล 4 ลูกเท่ากับ 200 แควพอดีโดยโดย
00:15:27 → 00:15:30 เฉลี่ยนะประมาณนี้คราวนี้ผู้หญิงคนแรกอ่ะ
00:15:30 → 00:15:32 ที่กินมันฝรั่งทอดก็จะได้อะไรได้คาฟ
00:15:32 → 00:15:35 คาร์โบไฮเดรตใช่มยได้โซเดียมเยอะๆอะไร
00:15:35 → 00:15:37 อย่างเงี้ยแต่ก็คือ 200 แควแต่คือสาร
00:15:37 → 00:15:39 อาหารมีแค่นั้นเนาะแล้วก็ได้บวมด้วยอ่าคน
00:15:39 → 00:15:42 ที่ 2 อย่างเงี้ยอ่าที่ที่บีอย่างเงี้ย
00:15:42 → 00:15:44 ที่กินแอปเปิ้ล 4 ลูกก็ได้อะไรได้ได้ทั้ง
00:15:44 → 00:15:47 สารอาหารได้ทั้งไฟเบอร์ถูกป่ะได้แบบ
00:15:47 → 00:15:49 วิตามินนู่นนี่นั่นอย่างเงี้ยชั้นสาร
00:15:49 → 00:15:51 อาหารทั้ง 2 คนเนี้ยไม่เหมือนกันเลยถึงจะ
00:15:51 → 00:15:53 ได้แคลอรี่เท่ากันกันก็ตามฉะนั้นก็หมาย
00:15:53 → 00:15:56 ความว่าถ้าฝึบางทีแล้วเนี่ยเรากินนับแคว
00:15:56 → 00:15:58 อย่างเดียวอ่ะเราอาจจะผอมนะแต่ผอมแบบที่
00:15:58 → 00:16:00 ไม่มีคุณภาพหรืออาจน้ำหนักอาจจะไม่ลดลง
00:16:00 → 00:16:02 เลยก็ได้เพราะเป็นการกินที่ไม่ถูกวิธี
00:16:02 → 00:16:06 เนาะคราวนี้ก็จะมีคนบางคนน่ะแบบทำวิธีรัด
00:16:06 → 00:16:10 บอกว่าจริงๆแล้วเนี่ยเราอาจจะกินน้ำอัดลม
00:16:10 → 00:16:13 หรือว่าน้ำอะไรโซดาซ่าๆที่ไม่มีน้ำตาลก็
00:16:13 → 00:16:16 ได้ใช่ป่ะหลายคนจะคิดว่าเอ้ยดื่มน้ำอัดลม
00:16:16 → 00:16:18 แทนก็ได้หรือน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาลแต่
00:16:18 → 00:16:21 จริงๆแล้วเนี่ยน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาล
00:16:21 → 00:16:24 เนี่ยแย่กว่าน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลซะอีกอือ
00:16:24 → 00:16:26 คือน้ำอลมที่ไม่มีน้ำตาลน่ะมันมีสารหวาน
00:16:26 → 00:16:31 ทดแทนที่เรียกว่า 2 ตัวคือ asam และ SK
00:16:31 → 00:16:34 คือ 2 ตัวนี้เนี่ยพึ่งมาไม่กี่ปีที่ผ่าน
00:16:34 → 00:16:38 มาเอามาใช้ในพวกน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาลูน
00:16:38 → 00:16:42 แค้วอ้าไม่มีแคลอรี่ไม่มีน้ำตาลก็ดีสิก็
00:16:42 → 00:16:44 แบว่าฉันน่าจะผอมฉันน่าจะผอมลดน้ำหนักได้
00:16:44 → 00:16:47 แต่รู้มว่างานวิจัยล่าสุดคบพ้นว่าคนที่
00:16:47 → 00:16:50 กินน้ำอัดลมพวกนี้เนี่ยมันส่งผลกระทบต่อ
00:16:50 → 00:16:55 ระบบหัวใจอือมันลดการทำงานของไตถึง 20%
00:16:55 → 00:16:58 20% เลย 20% แล้วถ้าพูดถึงผู้หญิงที่ท
00:16:58 → 00:17:02 ท้องเนี่ยแล้วไปกินน้ำอัดลมพวกนี้จะเพิ่ม
00:17:02 → 00:17:06 ความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนดได้ถึง 19%
00:17:06 → 00:17:09 เฮ้ยนี่สูงๆมากเลยนะสูงมากอือคือแปลว่า
00:17:09 → 00:17:11 จริงๆแล้วถ้าเรากินเนี่ยอาจจะกินได้บ้าง
00:17:11 → 00:17:14 ถูกป่ะแต่ก็ไม่ควรกินเยอะเนาะแล้วก็อีก
00:17:14 → 00:17:17 อันนึงอ่ะที่เจอก็คือนอกจากวิธีการนับแคว
00:17:17 → 00:17:19 แล้วอ่ะการเลือกชนิดอาหารก็สำคัญเช่น
00:17:19 → 00:17:22 สมมุติว่าแบบอันอันที่ง่ายๆเลยนะเช่นการ
00:17:22 → 00:17:25 กินไข่เราบอกว่าเฮ้ยกินไข่ดีไข่ 1 โฟง
00:17:25 → 00:17:28 โปรตีนเยอะ 6-7 กรัมใช่ป่ะได้วิตามินบี
00:17:28 → 00:17:30 เยอะแยะมากมายอะไรอย่างเงี้ยเฮ้ยยูควรกิน
00:17:30 → 00:17:33 ไข่แต่คราวเนี้ยเฮ้ยคุณกินไข่ยังไงอ่ะ
00:17:33 → 00:17:35 สมมุติเราบอกว่าเฮ้ยคุณกินไข่อย่างถูก
00:17:35 → 00:17:38 วิธีคุณก็กินไข่ต้มไข่ไข่ลวกใช่ป่ะ 1 ฟอง
00:17:38 → 00:17:40 คุณได้ 80 แควแต่ถ้าสมมติว่าเฮ้ยอยากกิน
00:17:40 → 00:17:43 อะไรที่มันอร่อยกว่านั้นนิดนึงขอไปแบบทอด
00:17:43 → 00:17:45 ได้มยทอดก็คืออันดับแรกเป็นไข่ดาวไข่ดาว
00:17:45 → 00:17:48 เนี่ยจาก 80 คาเพิ่มเป็น 160 แควเลยนะแค่
00:17:48 → 00:17:51 แบบว่าวิธีการทอดเฉยๆนะแล้วก็ถ้าจากแบบ
00:17:51 → 00:17:54 ว่าไข่ดาวมันเป็นไข่เจียวอ่ะจาก 160
00:17:54 → 00:17:57 เพิ่มเป็น 250 แขวก็แปลว่าอะไรวิธีการกิน
00:17:57 → 00:17:59 ไข่เหมือนกันเลยอ่ะแต่แค่กวิธีการทำอ่ะ
00:17:59 → 00:18:02 มันก็ไม่ได้แล้วฉันคืออันแรกมันก็ต้มแล้ว
00:18:02 → 00:18:05 ก็ทอดทอเออ้าทอดแบบไหนอีกอย่างเงี้ยเอมัน
00:18:05 → 00:18:07 ก็จะได้แบบว่าแคลอรี่ไม่เหมือนกันละ
00:18:07 → 00:18:09 ฉะนั้นบันทีการที่เราบอกว่าเฮ้ยคุณกิน
00:18:09 → 00:18:11 อาหารชนิดนี้ได้แควเท่าเนี้ยมันอาจจะไม่
00:18:11 → 00:18:13 เท่านั้นไงคุณต้องดูกรรมวิธีในการทำในการ
00:18:13 → 00:18:16 ปรุงด้วยเออว่ามันว่ามันใช้อะไรยังไงเช่น
00:18:16 → 00:18:19 อาจจะมีคนไข้คนนึงบอกว่าเฮ้ยหมอผมกินอก
00:18:19 → 00:18:23 ไก่อกไก่อย่างเงี้ยอกไก่ปั่นป่ะปั่นเฉยๆ
00:18:23 → 00:18:25 ใช่ป่ะหรือว่าคุณกินไก่ทอดอย่างเงี้ยมัน
00:18:25 → 00:18:27 ก็โดนค่อนข้างง่ายใช่ป่ะฉะนั้นเราก็เลย
00:18:27 → 00:18:30 ต้องดูว่าจริงๆแล้วคนไข้อ่ะกินอาหารอะไร
00:18:30 → 00:18:33 แล้วกมาวิธีการปรุงแบบไหนด้วยอีกวิธีการ
00:18:33 → 00:18:35 กินแบบหนึ่งที่เขาเอามาใช้ในการลดน้ำหนัก
00:18:35 → 00:18:39 คือคีนิ Diet ketogenic Diet ก็คือว่า
00:18:39 → 00:18:41 กินอะไรที่มันมีแต่ไขมันใช่ป่ะคือคือความ
00:18:41 → 00:18:43 หมายของ ketogenic หมายถึงว่าเรากินค่า
00:18:43 → 00:18:47 ปริมาณของแป้งน้อยมากคือวันนึงกินไม่ถึง
00:18:47 → 00:18:50 ประมาณ 20-50 กรัมต่อวันเท่านั้นแล้วที่
00:18:50 → 00:18:52 เหลือเรากินแป้งกับโปรตีน ketogenic Diet
00:18:52 → 00:18:54 เนี่ยแบ่งออกมาเป็น 4 ประเภทด้วยกัน 1
00:18:54 → 00:18:57 Standard ketogenic Diet คือกินเป็น 70
00:18:57 → 00:19:02 20 10 70 คือ Fat 20 คือโปรตีนและ 10%
00:19:02 → 00:19:06 ก็คือคอันที่ 2 คือ targeted ketogenic
00:19:06 → 00:19:09 Diet คิหมายถึงว่าเรากินคาฟแค่เป็นช่วง
00:19:09 → 00:19:12 เช่นก่อนออกกำลังกายอที่เหลือเราก็กิน
00:19:12 → 00:19:15 เป็นคีนิเหมือนเดิมอันที่ 3 Cycling
00:19:15 → 00:19:18 Cycling ketogenic หมายหมายถึงว่า 5
00:19:18 → 00:19:22 วันคีโตอีก 2 วันปกติอ่าและอันที่ 3 ก็
00:19:22 → 00:19:25 คือ High โน ketogenic Diet ก็คืออาจจะ
00:19:25 → 00:19:28 ปรับเปลี่ยน percentage ของคีเอ่อของพวก
00:19:28 → 00:19:31 แฟตแล้วก็โปรตีนกับโปรตีนอย่างเช่นอาจจะ
00:19:31 → 00:19:34 แฟตเหลือ 60 เมื่อกี้ 70 ถูกมยสแตนดาร์ด
00:19:34 → 00:19:36 แล้วก็ไปเพิ่มโปรตีนเอาซึ่ง ketogenic
00:19:36 → 00:19:39 ไดเอตเนี่ยมันเนี่ยไปช่วยทำให้ร่างกายของ
00:19:39 → 00:19:42 เรามันอยู่ใน ketosis state อร่างกายจะ
00:19:42 → 00:19:46 ผลิตคีโตนมากขึ้นที่ตับและคีโตนเนี่ยเป็น
00:19:46 → 00:19:49 เหมือนอาหารของสมองรู้มว่าสมองใช้คีโตน
00:19:49 → 00:19:52 กี่เปอร์เซ็นต์ในการเป็นพลังงานของอของ
00:19:52 → 00:19:56 สมองของเรา 70 ป่ะคือที่จริงเป็น 50 50
00:19:56 → 00:19:59 เลย 5050 สมองเราอ่ะใช้คีโตนประมาณ 50 ใน
00:19:59 → 00:20:02 สพลังงานแล้วก็น้ำตาอีก 50% ที่ริงสัยเ
00:20:03 → 00:20:06 คือถ้าเราไม่ได้กินจิคนก็จะกินแป้งเยอะอ
00:20:06 → 00:20:09 แล้วแป้งจำนวนแป้งที่เลี้ยงสมองเนี่ยมัน
00:20:09 → 00:20:11 เยอะเกินไปแทบคีโตแทบจะไม่มีเลยเพราะ
00:20:11 → 00:20:14 ฉะนั้นเนี่ยคนอาจจะมีอาการสมองเบลอคิด
00:20:14 → 00:20:17 อะไรไม่ใออกแล้วพอเปลี่ยนไปเป็นคีนิไดเอต
00:20:17 → 00:20:22 เฮ้ยสมองแล่นมากขึ้นดีมากขึ้นได้มากขึ้น
00:20:22 → 00:20:24 แล้วที่จริงบางโรคอ่ะก็เหมาะสำหรับ
00:20:24 → 00:20:26 ketogenic di ด้วยซ้ำใช่เพราะว่าถ้าจาก
00:20:26 → 00:20:28 เปเปอร์ส่วนใหญ่แล้วจริงๆอาหารคีโตเจนิ
00:20:28 → 00:20:31 ไดเอดอ่ะเหมาะกับคนไข้ที่เป็นพวกโรกลมชัก
00:20:31 → 00:20:34 ออแต่คนก็เอามาประยุกต์เนาะฉันอยากลดน้ำ
00:20:34 → 00:20:38 หนักอือกินบ้างอือซึ่งการวิจัยหลายวิจัย
00:20:38 → 00:20:41 อ่ะคือในช่วงระยะสั้นๆคีนิอาจมาใช้ได้ใน
00:20:41 → 00:20:45 การลดน้ำดักแต่ไม่ยั่งยืนอือแล้วเราไม่
00:20:45 → 00:20:48 สามารถกินคีโตนในระยะยาวค่อนข้างแบบน้า
00:20:48 → 00:20:52 ยาวได้อือแต่คิจิไดเอตจริงๆเหมาะสำหรับคน
00:20:52 → 00:20:55 ที่เป็นเบาหวานประเภท 2 ซึ่งพอคนที่เป็น
00:20:55 → 00:20:57 เบาหวานมากๆเนี่ย 1 เกิด insulin
00:20:57 → 00:21:00 resistance คือดื้อต่ออินซูลินและน้ำตาล
00:21:00 → 00:21:04 ที่สูงเกินไปพอเปลี่ยนตัวเองมากินคีนิิ
00:21:04 → 00:21:07 หรือไขมันเยอะๆเนี่ยงานวิจัยค้นพบว่าทำ
00:21:07 → 00:21:11 ให้อินซูลินเนี่ย sensitivity หรือลดหมาย
00:21:11 → 00:21:14 ถึงว่าการทำงานของอินซูลินดีขึ้นถึง 75%
00:21:14 → 00:21:16 ก็หมายถึงว่าอินซูลินมันเซ้นกับน้ำตาลมาก
00:21:16 → 00:21:18 ขมันเซ้นกับน้ำตาแล้วทำให้การเวลาไปเจาะ
00:21:18 → 00:21:21 เลือดเนี่ยค่าน้ำตาลสะสมในเลือดอ่ะลดด้วย
00:21:21 → 00:21:25 คือค่า hda 1c คือหมอก็มีคนไข้เหมือนกัน
00:21:25 → 00:21:29 ที่เป็นเบาหวานแล้วก็ไปเจาะค่าเนี่ยค่า HP
00:21:29 → 00:21:32 a1c ตอนแรกมาได้ 9 สูงมากหมอก็เลยแนะนำ
00:21:32 → 00:21:34 ว่าเออลองปรับเปลี่ยนตัวเองมั้ยปอ่า 1
00:21:34 → 00:21:37 ออกกำลังกาย 2 ปรับเปลี่ยนเรื่องของอาหาร
00:21:37 → 00:21:39 ซึ่งการปรับเปลี่ยมอาหารของเขาเราก็เลย
00:21:39 → 00:21:41 แนะนำให้กินเป็น ketogenic Diet ระยะ
00:21:42 → 00:21:44 เวลาประมาณ 2 เดือนกว่าพอกลับมาเจอกันอีก
00:21:44 → 00:21:47 ที 1 น้ำหนักลดอือจากเดิมน้ำหนักคือ
00:21:47 → 00:21:50 ประมาณ 85 ลดไป 5 กแล้วอันที่ 2 คือค่า
00:21:50 → 00:21:54 a1c เนี่ยจากเดิมประมาณ 9 ลดเหลือ 6.5
00:21:54 → 00:21:56 ก็ถือว่าดีมากก็ถือว่าดีมากภระยะเวลาแค่ 2
00:21:56 → 00:21:59 เดือนคือยายังกินปกติเหมือนเดิมแค่เราแค่
00:21:59 → 00:22:01 ปรับเปลี่ยนของเรื่องอาหารและเพิ่มการออก
00:22:01 → 00:22:03 กำลังกายเข้าไปแต่ว่าจริงๆแล้วการกินคีโต
00:22:04 → 00:22:06 อ่ะมันก็ต้องแบบว่ามีการเลือกอาหารป่ะ
00:22:06 → 00:22:08 เพราะว่าบางคนอาจจะบอกว่าเฮ้ยถ้าฉันกิน
00:22:08 → 00:22:11 คีโตฉันก็กินแบบอะไรนะแบบว่าพวก 3 ชั้น
00:22:11 → 00:22:13 ได้อ่าใช่เราก็ต้องเลือกเนาะไขมันมันมี
00:22:13 → 00:22:15 ทั้งไขมันดีและไขมันเร็วเราก็ควรเลือก
00:22:16 → 00:22:18 เป็นกินไขมันดีมากกว่าไขมันเร็วคือ
00:22:18 → 00:22:20 Healthy ketogenic Diet ไม่ใช่ว่า
00:22:20 → 00:22:24 โอ้โหคีโตเบคอนเลยเบคอนอย่างเดียวน้ำมัน
00:22:24 → 00:22:27 ทอดๆ 3 ชั้นอย่างเดียวหมู 3 ชั้นหมูกรอบ
00:22:27 → 00:22:29 อย่างเดียวอันเป็นเป็น Bad ketogenic
00:22:29 → 00:22:31 Diet อืแปลว่าถ้าสมมุติว่า ketogenic
00:22:31 → 00:22:33 Diet ที่มันแบบว่าค่อนข้าง Healthy กับ
00:22:33 → 00:22:35 เราก็อาจจะเป็นพวกแบบโวคาโดอะไรอย่างงี้
00:22:35 → 00:22:37 ป่ะโวคาโดเออแล้วก็อาจจะมีแบบว่าพวก
00:22:37 → 00:22:41 ธัญพืชนพืชบ้างน้ำมันมะกอกบ้างน้ำมันปลา
00:22:41 → 00:22:43 อะไรอย่างงี้เนาะอืก็จะค่อนข้างโอเคแล้ว
00:22:43 → 00:22:46 ก็อีกอันนึงอ่ะนอกจากว่าการกินคีโตแล้ว
00:22:46 → 00:22:48 อ่ะอีกอันนึงที่แบบอาจจะเป็นฮอตฮิตของผู้
00:22:48 → 00:22:51 หญิงมากกว่าเนาะคือการกินน้ำผลไม้โอ้เออ
00:22:51 → 00:22:54 เพราะบอกว่าจริงๆแล้วมีคนไข้อ่ะหลายคนมาก
00:22:54 → 00:22:57 นะที่เจอก็คือคนไข้เบาหวานคนไข้ที่เป็น
00:22:57 → 00:22:59 เก๊าทอย่างเงี้ยคนใครที่เป็นไขมันพอกตับ
00:22:59 → 00:23:02 นะเป็นคนที่ชอบกินน้ำผลไม้มากเพราะอะไร
00:23:02 → 00:23:04 รู้ป่ะเพราะว่าคนไทยชอบคิดว่ากินผลไม้
00:23:04 → 00:23:07 แล้วดีอืคือผลไม้มันดีแต่ประเด็นคุณก็
00:23:07 → 00:23:09 ต้องคิดว่าผลไม้แบบไหนที่มันมีน้ำตาลเยอะ
00:23:09 → 00:23:12 น้ำตาลน้อยอะไรอย่างเงี้ยสมมุตินะว่าเรา
00:23:12 → 00:23:15 อยากกินน้ำส้มน้ำส้ม 1 แก้วคนไทยน้ำส้ม
00:23:15 → 00:23:17 เนี่ยก็ไม่ใช่กินน้ำส้มเฉยๆใส่อะไรใส่น้ำ
00:23:17 → 00:23:20 ตาลใส่น้ำเชื่อมใส่เกลือเพิ่มให้แบบว่า
00:23:20 → 00:23:22 ให้มันอร่อยถูกป่ะเก็เลยมีงานวิจัยว่า
00:23:22 → 00:23:25 จริงๆแล้วอ่ะน้ำส้มแก้วนึงอ่ะน้ำตาลเเท่า
00:23:25 → 00:23:28 กับแบบน้ำอารม 1 กระป๋องเลยก็คือประมาณ
00:23:28 → 00:23:31 แบบ 20 กรัมซึ่งวันนึงอ่ะเราบอกว่าคุณ
00:23:31 → 00:23:33 สามารถกินน้ำตาลได้แค่ 24 กรัม per Day
00:23:34 → 00:23:36 ทั้งวันเลยนะเพว่าคุณกินน้ำส้มแก้วนึงก็
00:23:36 → 00:23:38 คือแบบว่าอันอื่นคุณไม่ต้องกินแล้วอย่าง
00:23:38 → 00:23:40 เงี้ยเออมันมันก็ไม่โอเคใช่มยฉะนั้นก็เลย
00:23:40 → 00:23:43 บอกว่าแทนที่เราจะกินแบบว่ากินน้ำส้ม
00:23:43 → 00:23:45 อย่างเงี้ยอาจจะกินเป็นส้มแทนเพราะการกิน
00:23:45 → 00:23:47 ส้มอ่ะคุณต้องเคี้ยวใช่ป่ะเคี้ยวแล้วก็
00:23:47 → 00:23:50 กว่าจะกลืนกลืนเสร็จแล้วเยังมีพวกไฟเบอร์
00:23:50 → 00:23:52 อะไรต่างๆอีกอะไรอย่างเงี้ยมันก็เลยเป็น
00:23:52 → 00:23:54 การเหมือนกับว่าทำให้ได้สารอาหารครบกว่า
00:23:54 → 00:23:56 แล้วก็ได้พลังงานที่น้อยกว่าอันเนี้ย
00:23:56 → 00:23:59 สำคัญมากแต่ว่าจริงๆแล้วแล้วเนี่ยการที่
00:23:59 → 00:24:02 เราจะเลือกการกินน่ะมันไม่ใช่แค่แบบว่า
00:24:02 → 00:24:04 เฮ้ยจากเป็นจากแบบเค้าเรียกอะไรเป็นจาก
00:24:04 → 00:24:07 น้ำส้มเป็นแค่ส้มเฉยๆอ่ะเราต้องมีการ
00:24:07 → 00:24:09 ศึกษาเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่าเฮ้ยอาหาร
00:24:09 → 00:24:13 อาหารหรือว่าผลไม้ประเภทไหนที่มีดัชนน้ำ
00:24:13 → 00:24:16 ตาลต่ำนิดนึงดัชนีน้ำตาลคืออะไรหมายถึง
00:24:16 → 00:24:18 ว่าพอเรากินเข้าไปแล้วเนี่ยร่างกายจะดูด
00:24:18 → 00:24:20 ซึมอ่ะแล้วกลายเป็นน้ำตาลในกระแสเลือดได้
00:24:20 → 00:24:23 เร็วมากหน่อยแค่ไหนเช่นถ้าสมมุติว่า
00:24:23 → 00:24:26 จิมมี่มาถึงอ่ะจิมมี่กินอะไรกินกิน
00:24:26 → 00:24:28 สับปะรดพอจิมมี่กินสับปะรดป๊บแป๊บนึงอ่ะ
00:24:28 → 00:24:30 น้ำตาลมันขึ้นปึ๊ดเลยเร็วมากอย่างเงี้ย
00:24:30 → 00:24:34 แทนกับกันหมอเมี่บอกว่าขอกินฝรั่งแทนถ้า
00:24:34 → 00:24:36 การกินฝรั่งเงี้ยก็ทำให้น้ำตาลอ่ะมันขึ้น
00:24:36 → 00:24:38 ช้ากว่าทั้งั้งที่แคลอรีอาจจะเท่ากันนะ
00:24:38 → 00:24:41 แต่น้ำตาลมันน้อยกว่าค่อนข้างเยอะอืออัน
00:24:41 → 00:24:43 นี้ก็เลยบอกว่าถ้าสมมุติว่าเราจะเลือกการ
00:24:43 → 00:24:46 กินน้ำผลไม้สมมุติต้องกินเป็นน้ำผลไม้
00:24:46 → 00:24:48 จริงๆอ่ะอันดับแรกคือต้องศึกษาก่อนว่า
00:24:48 → 00:24:51 ผลไม้แบบไหนควรเอามาทำเป็นน้ำผลไม้เช่น
00:24:51 → 00:24:53 ถ้าแบบว่าสับปะรดก็อาจจะเลี่ยงนิดนึง
00:24:53 → 00:24:55 เรือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำใช่อาจจะเริ่ม
00:24:55 → 00:24:58 เป็นแบบฝรั่งมั้ยเป็นแก้วมังกรมั้ยเป็น
00:24:58 → 00:25:00 เบอรี่อะไรต่างๆอะไรอย่าเงี้ที่มีความ
00:25:00 → 00:25:02 เปรี้ยวนิดนึงเงี้ยคือโอเคอันนี้คืออัน
00:25:02 → 00:25:05 ที่ 1 เนาอันที่ 2 ก็คือพยายามเลี่ยงอะไ
00:25:05 → 00:25:08 พวกแเเรียกว่าอะไนะเป็นน้ำผลไม้ที่สกัด
00:25:08 → 00:25:10 กากอ่ะอือเพราะว่าถ้าคุณเอากากออกคุณ
00:25:10 → 00:25:13 เหลือแต่น้ำอ่ะคุณก็คือเหลือแต่น้ำตาลกับ
00:25:13 → 00:25:15 น้ำ้ใช่คือเหลือคือแบบว่าดื่มน้ำตาล
00:25:16 → 00:25:18 เพี้ยวๆฉะนั้นการที่เรากินน้ำผลไม้จริงๆ
00:25:18 → 00:25:20 เป็นการปั่นอาจจะโอเคกว่าเนาะอันนี้คือ
00:25:20 → 00:25:24 อันที่ 2 อันที่ 3 ที่สำคัญมากอ่ะคือคุณ
00:25:24 → 00:25:26 ไม่ควรใส่อะไรปรุงแต่งเพิ่มะเช่นแบบว่าคน
00:25:26 → 00:25:29 ไทยชอบกินแบบใส่น้ำึ
00:25:29 → 00:25:31 น้ำเชื่อมเงี้คิดว่ามันโอคแต่จริงๆแล้ว
00:25:31 → 00:25:34 อ่ะคุณอาจจะไม่แบบว่าลืมนับไงเพจริงแล้ว
00:25:34 → 00:25:36 วันนึงคุณกินน้ำตาเยอะเกินไปหรือเปล่า
00:25:36 → 00:25:38 ฉะนั้นถ้าเรากินประมาณเนี้ก็คิดว่าน่าจะ
00:25:38 → 00:25:40 โอเคเมื่อกี้เราก็พูดถึงเรื่องการนับแคว
00:25:40 → 00:25:43 ไปแล้วเนาะคีนิไปแล้วเนี่ยแล้วก็การดื่ม
00:25:43 → 00:25:46 จสนะครับน้ำผลไม้คราวนี้อีกอันนึงก็คือ
00:25:46 → 00:25:49 High โปตน di หลายคนอาจจะคิดว่าเออกิน
00:25:49 → 00:25:52 โปรตีน 1,000 แควกินแฟต 1,000 แควหรือการ
00:25:52 → 00:25:55 กินแป้ง 1,000 แควมันเท่ากันหมดแล้วอัน
00:25:55 → 00:25:57 ไหนดีที่สุดคือจริงๆอ่ะพอเรามาดูแล้ว
00:25:57 → 00:26:00 เนี่ยการกินโปรตีน 1,000 แควอ่ะมันจะทำ
00:26:00 → 00:26:03 ให้อิ่มนานมากกว่าเปรียบเทียบกับแฟตกับ
00:26:04 → 00:26:06 คาร์โบไฮเดรตเพราะอะไรเพราะการกินโปรตีน
00:26:06 → 00:26:09 โปรตีนเนี่ยเป็นโมเลกุลใหญ่แล้วใช้เวลาใน
00:26:09 → 00:26:13 การย่อยนานในกว่าจะย่อยในกระเพาะกาในลำ
00:26:13 → 00:26:15 ไส้แล้วมันจะเปลี่ยนตัวเองเนี่ยกลายเป็น
00:26:15 → 00:26:18 กรดอะมิโนแอซิดลองคิดดูเรากินโปรตีนเข้า
00:26:18 → 00:26:22 ไปย่อยในอาหารของเราแล้วร่างกายเราจะดูด
00:26:22 → 00:26:24 ซึมโปรตีนตัวเนี้ยเปลี่ยนเป็นอมิโนอาซิ
00:26:24 → 00:26:26 เข้าหลอดเลือดเข้ากระแสเลือดกระแสเลือดพอ
00:26:26 → 00:26:30 กระแสเลือดส่งไปในอต่างๆในร่างกายดูดซึม
00:26:30 → 00:26:32 เข้าไปยวะอื่นอือมันต้องเปลี่ยนตัวเองจาก
00:26:32 → 00:26:35 กดอมิโนแอซิดมาเป็นโตีโปรตีนอีกแล้วตอน
00:26:35 → 00:26:39 ขั้นตอนทุกขั้นตอนน่ะมันใช้พลังงานหมดเลย
00:26:39 → 00:26:42 อหลายคนน่ะก็เลยเอาว่าเออการกินโปรตีนน่ะ
00:26:42 → 00:26:45 เป็นวิธีหนึ่งที่มันเผาผ่านได้ค่อนข้างดี
00:26:45 → 00:26:48 และทำเราทำให้เราอิ่มนานมากเดิมด้วยเพราะ
00:26:48 → 00:26:50 โมเลกุลมันใหญ่นั่นเองก็แปลว่าสมมุติว่า
00:26:51 → 00:26:53 เรากินในเทียบเท่ากับพลังงานเท่าเทียมกัน
00:26:53 → 00:26:55 ของอาหาร 3 อย่างโปรตีนแฟตอย่างเงี้ยกับ
00:26:55 → 00:26:58 คาฟใช่ป่ะก็คือการกินโปรตีนคิดว่าน่าจะ
00:26:58 → 00:27:00 อ้วนน้อยสุดอ้วนน้อยสุดเพราะว่าแฟตกับคาฟ
00:27:00 → 00:27:04 เนี่ยกินปึ๊บย่อยปึ๊บเข้าเลยอ๋อใช้ได้เลย
00:27:04 → 00:27:06 ใช้ได้เลยเปลี่ยนแปลงได้เลยเออแต่ว่าคราว
00:27:06 → 00:27:08 นี้เราต้องมาดูกันว่าเอ๊ะแล้วเราจะเลือก
00:27:08 → 00:27:11 โปรตีนกินยังไง Plant Base หรือ Animal
00:27:11 → 00:27:14 Base อือก็ก็ขึ้นกับว่าคนไข้ของเราอยาก
00:27:14 → 00:27:17 กินแบบไหนอันไหนเหมาะกับตัวเขาแล้วก็ที่
00:27:17 → 00:27:20 สำคัญเนี่ยถ้าใครอยากคิดมากิน High PL
00:27:20 → 00:27:23 Base โปรตีนต้องระวังเรื่องของโรคไตให้
00:27:23 → 00:27:25 มาปรึกษาแพทย์ก่อนแล้วกันแล้วค่อยว่าเออ
00:27:25 → 00:27:29 ควรกินโปรตีนเท่าไหร่และแบบไหนอืเพราะว่า
00:27:29 → 00:27:31 จริงๆแล้วมันก็สำคัญนะเพราะว่าจริงๆแล้ว
00:27:31 → 00:27:33 แบบว่าในยุคปัจจุบันน่ะเรามีแบบว่าช้อยส์
00:27:33 → 00:27:35 ให้เลือกกินเยอะมากใช่ป่ะไม่ว่าจะเป็นแบส
00:27:35 → 00:27:37 เอยหรือเป็นเวอะไรอย่างเงี้ยก็เลยอยากจะ
00:27:37 → 00:27:39 รู้ว่าจริงๆแล้วสำหรับคนไข้คนนึงอ่ะเคควร
00:27:39 → 00:27:42 เลือกกินอะไรมากกว่าคือ้าสำหรับลดน้ำหนัก
00:27:42 → 00:27:45 นะอืคือจริงๆลดน้ำหนักเนี่ยแพนเบสจะดี
00:27:45 → 00:27:50 กว่าเพราะมันทำให้เรารู้สึกอิ่มมากกว่า
00:27:50 → 00:27:52 Animal Bas อิ่มมากกว่าอย่างเดียวหรือ
00:27:52 → 00:27:55 อิ่มนานด้วยอิ่มมากกว่าและอิ่มนานด้วย
00:27:55 → 00:27:57 เมื่อเทียบกับ Normal Way โนหรือ Animal
00:27:57 → 00:28:01 เโปรตีนออแต่ว่าถ้าสมมุติว่าคนไข้คนนั้น
00:28:01 → 00:28:03 เนี่ยมีโรคหรือมีอะไรอย่างเงี้ยก็คือมัน
00:28:03 → 00:28:05 สามารถกินแนเบสได้ทุกคนเลยป่ะก็คราวนี้
00:28:05 → 00:28:06 เนี่ยอย่างหมอก็มีคนไข้ที่เป็นโรค
00:28:06 → 00:28:09 ไทรรอยด์เนาะไทรรอยด์ต่ำไทรอยดต่ำก็จะ
00:28:09 → 00:28:11 อ้วนง่ายระบบการเพาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่
00:28:11 → 00:28:13 สำหรับคนที่เป็นโรคไทรรอยด์ที่จริงแนะนำ
00:28:13 → 00:28:16 อย่าให้กินเป็น Animal Base มากกว่า
00:28:16 → 00:28:18 เพราะว่า 1 คุณต้องกินปริมาณที่ถึงต่อวัน
00:28:18 → 00:28:21 อ่ะแน่นอนเรื่องของการออกกำลังกายการที่
00:28:21 → 00:28:23 กิน Animal เสด้วยความว่ามันมีกรดอะมิโน
00:28:24 → 00:28:26 ที่เรียกว่าไทโรซีนกรดตัวเเป็นสารตั้งต้น
00:28:26 → 00:28:29 ของโฮร์โมนไทรรอยด์อ่าพอเราพอคนไข้ตอนแรก
00:28:30 → 00:28:32 อุ๊ยอยากลดน้ำหนักก็ไปกินเป็นแนเสเพราะ
00:28:32 → 00:28:35 มันเป็นอะไรที่ฮิตฮอตแต่ระบบไทรรอยด์เจ๊ง
00:28:35 → 00:28:38 ออก็เลยอ้วนก็เลยอ้วนอ้วนกว่าเดิมหรือไม่
00:28:38 → 00:28:40 แล้วก็ระบบไทลไม่ดีพังแล้วคราวนี้ก็เลย
00:28:40 → 00:28:42 เอ้ยลองปรับเปลี่ยนมาเป็น Animal แบบ
00:28:42 → 00:28:45 โปรตีนทั่วไปจากสัตว์บ้างด้วยและกินถึง
00:28:45 → 00:28:48 ด้วยเป็น High โปรน Diet พอปรับเปลี่ยน
00:28:48 → 00:28:51 ปุ๊บระบบการไทรรอยด์ก็ทำงานปกติดีขึ้นส
00:28:51 → 00:28:54 ด้วยซ้ำอือันนี้คือคนที่อยากรน้ำหนักแล้ว
00:28:54 → 00:28:56 ถ้าคนที่อยากสร้างกล้ามเนื้อส้างกล้าม
00:28:56 → 00:29:00 เนื้อก็ต้องกินเป็นแบบ Animal แล้ว
00:29:00 → 00:29:02 โที่เยอะกว่ายกว่าก็คือแปลว่าจริงๆแล้ว
00:29:02 → 00:29:04 กายเราเลือกกินโปรตีนน่ะต้องเลือกก่อนว่า
00:29:04 → 00:29:06 1 เราอยากกินเพราะอะไรใช่ป่ะแล้วก็ 2
00:29:06 → 00:29:08 เราก็ต้องดูว่าร่างกายเราเป็นแบบไหนด้วย
00:29:08 → 00:29:11 ถูกอือีกอันนึงที่อยากคุยเกี่ยวกับการลด
00:29:11 → 00:29:13 น้ำหนักอ่ะก็คือเราพูดมาหลายแบบแล้วใช่
00:29:13 → 00:29:15 ป่ะเมื่อกี้พูดถึงเรื่องการกินโปรตีนเนาะ
00:29:15 → 00:29:17 อันนี้ก็เลยอยากพูดเกี่ยวกับการงดอาหาร
00:29:17 → 00:29:19 หรือฟาสติ้งบ้างก็คือตั้งแต่เราเด็กอ่ะ
00:29:19 → 00:29:21 พ่อแม่ก็บอกว่าเฮ้ยเราต้องกินอาหารให้ครบ
00:29:21 → 00:29:23 3 มื้อเหมือนที่หมอจิมมี่พูดเนาะว่าเออ
00:29:23 → 00:29:26 กินเช้ากินกลลางวันกินเย็นอย่างเงี้ยแถม
00:29:26 → 00:29:28 บอกว่าถ้าเราอดอาหารบางทีอ่ะจะทำให้เป็น
00:29:28 → 00:29:30 โรคกระเพาะอีกแต่จริงๆแล้วงานวิจัยก็บอก
00:29:30 → 00:29:32 ว่าจริงๆแล้วการอดอาหารไม่ได้ทำให้เป็น
00:29:32 → 00:29:34 โรคกระเพาะนะการที่คุณเป็นโรคกระเพาะอ่ะ
00:29:34 → 00:29:36 ส่วนใหญ่เป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่
00:29:36 → 00:29:39 ชื่อ HP มากกว่าเนาะงั้นแปลว่าจริงๆแล้ว
00:29:39 → 00:29:41 การอดอาหารน่ะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง
00:29:41 → 00:29:43 โรคกระพาะคราวนี้ก็มาพูดว่าทำไมสมัยก่อน
00:29:43 → 00:29:46 น่ะคุณถึงมีการฟาสหรือการงดอาหารโดย
00:29:46 → 00:29:48 ธรรมชาติเพราะว่าสมัยก่อนเราไม่ได้มีแบบ
00:29:48 → 00:29:50 ตู้เย็นไม่มีเทคโนโลยีในการถนอมอาหาร
00:29:50 → 00:29:52 ฉะนั้นเราก็ต้องไปล่าสัตว์เหมือนที่
00:29:52 → 00:29:55 จิมมี่บอกใช่มยล่าสัตว์มาปุ๊บกินกินปุ๊บ
00:29:55 → 00:29:57 ก็ต้องทำไงอาจจะไม่ได้ไปล่าอีกทันทีใช่
00:29:57 → 00:30:00 แล้วก็ก็ต้องมีการอดอาหารตอนนี้สะสมร่าง
00:30:00 → 00:30:02 กายไว้ใช่ป่ะแล้วเสร็จแล้วพอล่าอีกครั้ง
00:30:02 → 00:30:04 ค่อยกินอันนี้ก็เลยเป็นการงดอาหารโดย
00:30:04 → 00:30:07 ธรรมชาติคราวนี้เมื่อบอกว่าโลกเรามีวิ
00:30:07 → 00:30:09 วิวัฒนาการเจริญมากขึ้นอย่างเงี้ยมันก็
00:30:09 → 00:30:12 เลยทำให้การฟาสเนี่ยลดลงแต่ว่าถ้าเรามาดู
00:30:12 → 00:30:15 กันจริงๆแล้วอ่ะการฟาสหรือการงดอาหารอ่ะ
00:30:15 → 00:30:18 มันแทบจะอยู่ที่ทุกๆประเทศทุกๆวัฒนธรรม
00:30:18 → 00:30:20 เลยนะเพราะมันอยู่ในศาสนาเช่นของเมืองไทย
00:30:20 → 00:30:23 เราอ่ะเป็นศาสนาพุทธเนาะศาสนาพุทธเรา
00:30:23 → 00:30:26 เนี่ยก็คือเช่นอะไรถ้าคุณถื่นศี 8 ถูกป่ะ
00:30:26 → 00:30:28 คุณไปวัดอะไรอย่างเงี้ยคุณก็หกินมื้อเย็น
00:30:28 → 00:30:31 พอคุณไม่กินมื้อเย็นคุณก็ฟาะแล้วก็ฟาได้
00:30:31 → 00:30:33 นานด้วยเพราว่าคุณได้กินเท่าไหร่แค่แบบ
00:30:33 → 00:30:36 ถึงเที่ยนถูกป่ะแล้วก็จากเที่ยงวันของอีก
00:30:36 → 00:30:38 วันนั้นน่ะไปถึงอีกวันนึงตอนเช้ามันก็
00:30:38 → 00:30:40 หลายชั่วโมงแล้วก็ถือว่าเป็นการฟาสโดย
00:30:40 → 00:30:43 ปริยายเนาะแล้วก็ศาสนาอื่นๆเงี้ศาสนา
00:30:43 → 00:30:45 คริสตศาสนาอิสลามก็มีการฟาเหมือนกันฉันก็
00:30:45 → 00:30:47 เห็นว่าการฟาจริงๆแล้วมันน่าจะมีประโยชน์
00:30:47 → 00:30:50 กับร่างกายเนาะคราวนี้ก็เลยบอกว่าไปศึกษา
00:30:50 → 00:30:52 เพิ่มเติมเขาก็บอกว่าจริงๆแล้วร่างกายเรา
00:30:52 → 00:30:55 อ่ะการใช้พลังการที่เราพูดตั้งแต่ต้นจะมี
00:30:55 → 00:30:57 2 วิธีง่ายๆวิธีแรกก็คือกินกินเสร็จ
00:30:57 → 00:31:00 เสร็จปุ๊บเนี่ยก็ใช้อะไรน้ำตาลใช่ป่ะกิน
00:31:00 → 00:31:02 เสร็จปุ๊บใช้น้ำตาลได้ทันทีน้ำตาลก็ใช้
00:31:02 → 00:31:04 เป็นพลังงานบลาๆาแล้วแต่เลยคราวนี้อีกอัน
00:31:04 → 00:31:08 นึงก็คือถ้าเมื่อไหร่อ่ะเราหยุดกิน 8 ชมง
00:31:08 → 00:31:10 นะไม่ใช่กินแบบหยุด 2 ช่วโมงจะเบิร์นแฟต
00:31:10 → 00:31:13 ไม่นะคุณต้องหยุดประมาณ 8 ชมขึ้นไปหลัง
00:31:13 → 00:31:15 จากนั้นร่างกายเราจะต้องบอกว่าเฮ้ยๆๆน้ำ
00:31:15 → 00:31:17 ตาลตกแล้วไม่มีน้ำตาลให้ให้ตับออกมา
00:31:17 → 00:31:20 เปลี่ยนได้แล้วเงยแล้วก็เริ่มจะใช้แฟตใน
00:31:20 → 00:31:22 การเป็นพลังงานพอใช้แฟตเนี่ยแฟตก็จะ
00:31:22 → 00:31:24 เปลี่ยนเป็นคีโตนใช่ป่ะเพราะคีโตนเนี่ยจะ
00:31:24 → 00:31:27 ไปให้ที่บอกว่าขึ้นไปสู่สมองทำให้บอกว่า
00:31:27 → 00:31:30 สมองสมองทำงานดีขึ้นโปร่งใสจำอะไรได้ง่าย
00:31:30 → 00:31:32 ขึ้นเนี่ยเพราะว่าเป็นอาหารที่สมอง
00:31:32 → 00:31:34 ต้องการฉะนั้นจริงๆแล้วเนี่ยเราก็เลยมี
00:31:34 → 00:31:37 การใช้พลังงาน 2 รูปแบบเนี้ยมานานมากะ
00:31:37 → 00:31:40 คราวนี้ก็บอกว่าเฮ้ยแล้วถ้า 8 ชมอ่ะเรา
00:31:40 → 00:31:42 เพิ่งจะเริ่มได้คีโตนอีกนะเราอ่ะจริงๆ
00:31:42 → 00:31:45 แล้วก็คือว่าถ้าเราฟาสหรืองดอาหารเนี่ยก็
00:31:45 → 00:31:48 คือควรจะงดให้ได้เกิน 8 ชมงเพราะพอมีงาน
00:31:48 → 00:31:51 วิจัยบอกว่าเรางดมากกว่า 8 พอได้ถึง 12
00:31:51 → 00:31:54 เนี่ยคีโตนมันจะเริ่มเยอะขึ้นถึงจุดที่
00:31:54 → 00:31:57 เฮ้ยแบบดีมากเลยสมองทำงานแจ่มใสนู่นนี่
00:31:57 → 00:32:00 นั่นเนาะก็อันเนี้ยโอเค 12 ชมคราวนี้ก็มี
00:32:00 → 00:32:03 คนถามว่าเฮ้ยแล้วเราควรไปมากกว่า 12 มย
00:32:03 → 00:32:06 เนาะจริงๆเราก็บอกว่าควรไปมากกว่า 12 นะ
00:32:06 → 00:32:08 เพราะว่าพอเรามากกว่า 12 ปุ๊บเนี่ยพอ
00:32:08 → 00:32:11 เริ่มที่ 13-14 ชมงปรากฏว่าอะไรเาเจอว่า
00:32:11 → 00:32:14 คนไข้อ่ะที่มีปัญหาเรื่องการอักเสบพวก
00:32:14 → 00:32:17 เจ็บข้ออย่างเงี้ยเป็นออโตอิมมูนอะไร
00:32:17 → 00:32:20 อย่างเงี้ยปรากฏว่าการอักเสบลดลงชัดเจน
00:32:20 → 00:32:22 เพราะว่าอะไรเพราะว่าเราไม่ได้กินพอเรา
00:32:22 → 00:32:24 ไม่ได้กินปุ๊บเนี่ยรี Radical เนี่ยหรือ
00:32:24 → 00:32:28 ว่าสารอนุมูลอิสระมันลดลงก็เลยทำให้การ
00:32:28 → 00:32:31 อักเสบลดลงอันนี้ 13-14 ชมงนะชั้เราบอก
00:32:31 → 00:32:33 เฮ้ยแล้วถ้าไปอีกนิดล่ะไปอีกนิดเราจะได้
00:32:33 → 00:32:36 อะไรพอเราไปประมาณที่ชั่วโมงที่ 15 เก็
00:32:36 → 00:32:39 เจอว่าผู้ชายส่วนใหญ่อ่ะถ้าคุณฟาสเนาะ
00:32:39 → 00:32:43 หรืองดอาหารถึง 15 ชมงอ่ะเทสโทสเตอโรนสูง
00:32:43 → 00:32:46 ขึ้นถึง 13% อันนี้ 13% โดยธรรมชาติที่
00:32:46 → 00:32:49 คุณไม่ต้องให้ยาไม่ต้องให้อะไรเนาะฉะนั้น
00:32:49 → 00:32:51 แปลบว่าผู้ชายนะคะก็คือถ้าเราอยากจะแบบมี
00:32:51 → 00:32:55 เทสดที่ดีขึ้นน่ะคุณควรฟาให้ได้ถึง 15-1
00:32:55 → 00:32:57 ช่มเนาะก็คุณก็จะได้เหมือนกับว่าเทสโทสดี
00:32:57 → 00:33:00 ขึ้นนอกจากเทสสดีขึ้นแล้วอ่ะเรายังได้โท
00:33:00 → 00:33:02 ฮอร์โมนด้วยโทฮอร์โมนก็หมายถึงว่าเรา
00:33:02 → 00:33:05 สามารถอะไร Stay ยังอายุน้อยไม่ใช่อายุ
00:33:05 → 00:33:08 น้อยลงคืออะไรอ่อนไวลงถูกป่ะแล้วก็ร่าง
00:33:08 → 00:33:10 กายสามารถซ่อมแซนตัวเองได้ดีขึ้นอันนี้ก็
00:33:10 → 00:33:12 เป็นเหตุผลว่าทำไมเราฟาแล้วอ่ะเราถึงเด็ก
00:33:12 → 00:33:16 ลงหรือว่าดูอ่อนกว่าวพูดง่ายๆแบบนั้นเนาะ
00:33:16 → 00:33:18 คราวนี้นอกจากการอ่อนกว่าวยการที่ได้โกด
00:33:18 → 00:33:21 ฮอร์โมนแล้วเนี่ยก็มีอีกมีนักวิจัย
00:33:21 → 00:33:23 ญี่ปุ่นนะเเพิ่งได้โบลไพสเรื่องนี้เองก็
00:33:23 → 00:33:26 คือว่าเป็นพวกฟี้ถ้าเราเคยได้ยินแต่การ
00:33:26 → 00:33:30 ที่ได้อากี้อ่ะคุณต้องฟาให้ถึง 16-17 ชมง
00:33:30 → 00:33:32 ขึ้นไปนะพอคุณฟาได้นานขนาดนั้นน่ะร่างกาย
00:33:32 → 00:33:35 เริ่มอะไรูแบบว่าเริ่มขาดขาดสารอาหารมาะ
00:33:35 → 00:33:38 พักนึงใช่่มั้ยฉันต้องอะไรฉันต้องขจัดของ
00:33:38 → 00:33:40 เสียออกจากร่างกายคราวนี้จะเป็นเวลาที่
00:33:40 → 00:33:42 ร่างกายเราเริ่มบอกว่าเฮ้ยตรงไหนวะมี
00:33:42 → 00:33:45 เซลล์ห่วยๆมีเซลล์ชราอย่างเงี้ยแล้วก็
00:33:45 → 00:33:48 เริ่มจะขจัดทิ้งละพอทิ้งไปปรากฏว่าพอเรา
00:33:48 → 00:33:51 ทำอย่างเงี้ยบ่อยๆเซลล์ที่มันชราก็จะลดลง
00:33:51 → 00:33:53 เซลล์ชราเนี่ยเป็นอะไรที่แบบเปลืองพลัง
00:33:53 → 00:33:56 งานมากเราเราให้พลังงานมันไปใช่ป่ะกิน
00:33:56 → 00:33:58 เข้าไปมันก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เพราะว่าพวก
00:33:58 → 00:34:01 เนี้ยจะทำให้เกิดโรคมากกว่าที่จะเป็นผลดี
00:34:01 → 00:34:03 ด้วยซ้ำมีงานวิจัยว่าเซลล์ชราเหล่าเนี้ย
00:34:03 → 00:34:06 หรือเรียกว่า cet เซลล์เนาะทำให้เกิดพวก
00:34:06 → 00:34:08 อะไรพวกมะเร็งได้ง่ายขึ้นเป็นโรคเรื้อรัง
00:34:08 → 00:34:10 เช่นโรคเบาหวานโรคอะไรอย่างเงี้ยได้ง่าย
00:34:10 → 00:34:13 มากด้วยก็แปลว่าถ้าเรามีการงดอาหารหรือ
00:34:13 → 00:34:15 ว่าแม้กระทั่งคนที่เป็นแบบว่าเบาหวานเนาะ
00:34:15 → 00:34:17 มีการดอาหารก็ทำให้เบาหวานดีขึ้นหรือเรา
00:34:17 → 00:34:20 เรียกว่าอย่างงั้นอ๋อก็คืออดอาหารแล้วเรา
00:34:20 → 00:34:22 ทำให้เกิด autopy แล้ว auty ก็คือไปเอา
00:34:22 → 00:34:24 เซลล์ที่มันไม่ดีอยู่ในร่างกายเนี่ยเอา
00:34:24 → 00:34:27 ออกไปใช่พอครานี้พูดถึงเรื่องของ Fast
00:34:28 → 00:34:29 เนี่ยหลายคนอาจจะได้ยินคำว่า If
00:34:30 → 00:34:32 intermittent fasting ซึ่ง intermittent
00:34:32 → 00:34:34 fasting เนี่ยแบ่งออกมาเป็น 3 ประเภท
00:34:34 → 00:34:36 ด้วยกันอันแรกเรียกว่า Alternate Day
00:34:36 → 00:34:39 fasting ก็คืออดอาหารกินแต่น้ำนะ fasting
00:34:39 → 00:34:43 คือการที่มีศูนยแคลอรี่ถูกมกาแฟดำได้น้ำ
00:34:43 → 00:34:45 ได้ทั้งวันไม่กินอะไรเลยวันต่อไปกิน
00:34:45 → 00:34:48 Alternate วันเว้นวันก็คือกินวันนึงไม่
00:34:48 → 00:34:51 กินวันนึงกินวันนึงไม่กินวันนึงอันที่ 2
00:34:51 → 00:34:53 เรียกว่า Alternate Modify fasting
00:34:53 → 00:34:55 Alternate Modify หมายถึงว่าวันที่เรา
00:34:55 → 00:34:58 fasting ก็เหมือนเดิมไม่กินอะไรเลยอและ
00:34:58 → 00:35:01 อีกวันนึงอ่ะกินแคลอรี่ที่ต่ำมากน้อยมาก
00:35:01 → 00:35:04 น้อยกว่า 1000 แคอีกต่อวันและอันสุดท้าย
00:35:04 → 00:35:06 เรียกว่า periodic fasting pric
00:35:06 → 00:35:08 fasting ก็อย่างเช่นทุกวันอาทิตย์ฉันจะ
00:35:08 → 00:35:12 ฟาส 24 ชมหรือว่าประจำทุกๆวันที่เท่าไหร่
00:35:12 → 00:35:15 ของเดือนของทุกอาทิตย์นี้ฉันจะาตินะแต่
00:35:15 → 00:35:19 ถามว่า fasting ไหนดีที่สุดอืเออหมอเอมี่
00:35:19 → 00:35:22 ลองทยบอกยากมากคือที่จริงมันไม่มีคำตอบนะ
00:35:23 → 00:35:25 ว่า interm fasting หรือการอดอาหารน่ะ
00:35:25 → 00:35:27 แบบไหนดีที่สุดมันขึ้นกับว่าร่างกายสุบ
00:35:28 → 00:35:31 คุณตอนนั้นเป็นอย่างไรแล้วคุณต้องการเอา
00:35:31 → 00:35:33 ฟาสติ่งไปทำเพื่ออะไรแต่ว่าจริงๆแล้วการ
00:35:33 → 00:35:36 อดอย่างเงี้ยมันก็ต้องดูที่สุขภาพคนไข้
00:35:36 → 00:35:38 ด้วยป่ะเพราะว่าไม่ใช่ทุกคนเหมาะสำหรับ
00:35:38 → 00:35:41 การฟาสเนาะอือก็จริงๆแล้วเนี่ยอีกอันนึง
00:35:41 → 00:35:44 อ่ะนอกจากคนไข้จะถามแล้วว่าเอ้ยหมอแบบเรา
00:35:44 → 00:35:47 ฟาสได้ไหมอีกอันนึงที่คนไข้กังวลก็คือเขา
00:35:47 → 00:35:50 บอกว่าเฮ้ยถ้าเราฟาสอย่างเงี้ยแบบว่า
00:35:50 → 00:35:52 Muscle mas ฉันไม่หายไปหรอกล้ามเนื้อ
00:35:52 → 00:35:53 ฉันไม่หายหรอเพราะว่าฉันกินน้อยอย่าง
00:35:54 → 00:35:56 เงี้ยก็แบบมีคนไข้ถามมาค่อนข้างเยอะมาก
00:35:56 → 00:35:58 เพราะว่าถ้าคุณฟาสแล้วก็คุณเหมือนกับว่า
00:35:58 → 00:36:01 Muscle แสหายไปก็แปลว่าจริงๆแล้วอ่ะเรา
00:36:01 → 00:36:03 แบบว่าเราก็หมาึงว่าการ metabolism ของ
00:36:03 → 00:36:06 เราก็จะต่ำลงเนาะคราวนี้ก็มีงานวิจัยออก
00:36:06 → 00:36:08 มาค่อนข้างเยอะมากเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง
00:36:08 → 00:36:11 ๆเขาก็บอกว่าจริงๆถ้าคุณน่ะฟาสโดยที่คุณ
00:36:11 → 00:36:14 ไม่เลือกคุณภาพอาหารน่ะโดยปกติแล้วจะทำ
00:36:14 → 00:36:15 ให้ Muscle Man ลดลงจริงเพราะว่าอะไร
00:36:15 → 00:36:18 เพราะว่า 1 สารอาหารลดลงเนาะกินแยยเออคือ
00:36:18 → 00:36:20 แกแควลดลงเนาะแล้วก็ 2 คือโปรตีนไม่ถึง
00:36:20 → 00:36:22 เพราะโปรตีนไม่ถึงแน่นอนว่ามันเกิดการ
00:36:22 → 00:36:25 Break Down ของ Muscle ถูกป่ะสลายของ
00:36:25 → 00:36:28 กล้ามเนื้อไปฉะนั้น mus แคุณก็ลลดลงแต่ก็
00:36:28 → 00:36:30 มีงานวิจัยบอกว่าแต่ว่าถ้าคุณมีการเลือก
00:36:30 → 00:36:32 กินแล้วมีคุณมีการ maintain เนาะการออก
00:36:32 → 00:36:35 กำลังกายที่เหมาะสมเช่นมีกันโปรตีนให้ถึง
00:36:35 → 00:36:38 เนาะฟดีอะไรดีอย่างเงี้ยบวกกับการที่เรา
00:36:38 → 00:36:41 อ่ะออกกำลังกายอย่างเงี้ยให้เหมาะสมกับ
00:36:41 → 00:36:43 ร่างกายเราอย่างเงี้ยคุณก็จะ maintain
00:36:43 → 00:36:46 Muscle ได้ดีโดยที่คุณ ose Fat หรือว่า
00:36:46 → 00:36:49 ทำให้แบบว่าแฟตลดลงคนไข้ก็จะได้แบบลดน้ำ
00:36:49 → 00:36:51 หนักได้ด้วยแล้วก็ยังมี Muscle Mat ที่
00:36:51 → 00:36:53 ดีได้ด้วยฉะนั้นเราว่ามันขึ้นอยู่กับว่า
00:36:53 → 00:36:56 วิธีการว่าแบบว่าเออคนไข้ 1 คือเลือกวิธี
00:36:56 → 00:36:58 การไหนแล้วก็ 2 ต้องดูว่าคนไข้คนนั้น
00:36:58 → 00:37:01 เหมาะกับการลดน้ำหนักแบบไหนมากกว่าคราว
00:37:01 → 00:37:03 นี้เรามาพูดถึงเรื่องการออกกำลังกายบ้าง
00:37:03 → 00:37:06 การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ผอมนะคือการออก
00:37:06 → 00:37:09 กำลังกายอย่างเดียวแล้วไม่คุมอาหารอ่ะมัน
00:37:09 → 00:37:11 ไม่ผอมเลยนะคือการออกกำลังกายมันดีต่อ
00:37:11 → 00:37:13 ร่างกายของเรานะทุกคนคงรู้หมดแล้วแหละ
00:37:13 → 00:37:16 โอ้โหมันทำให้เสริมสร้างกล้ามเนื้อทำให้
00:37:16 → 00:37:19 เราดูอ่อนไวปกันรูปร่างดีป้องกันการเป็น
00:37:19 → 00:37:22 โรคเรื้อรังในอนาคตแต่ว่าถ้าคุณไม่ได้คุม
00:37:22 → 00:37:25 อาหารไปด้วยเนี่ยคุณก็ไม่ได้ผอมก็คือแบบ
00:37:25 → 00:37:28 ว่าถ้าเราแบบว่ากินตามใจฉันเราออกกำลัง
00:37:28 → 00:37:30 กายมันก็ไม่ผอมไม่ผอมอยู่ดีอ่ะสมมุติถ้า
00:37:30 → 00:37:33 เราอย่างเช่นเรากินข้าวมื้อนึง 1,000
00:37:33 → 00:37:36 แคลอรี่อือเราจะต้องออกกำลังกาย 1,000
00:37:36 → 00:37:38 แคลอรี่หมอเอมมี่คิดว่าออกกำลังกาย 1,000
00:37:38 → 00:37:41 แคลอรี่ทำอะไรบ้างโหน่าจะนานมากเพราะปกติ
00:37:41 → 00:37:43 แล้วอ่ะเป็นคนที่แบบว่าเดินเร็วอยู่แล้ว
00:37:43 → 00:37:45 อะไรอย่างงี้ใช่ป่ะขนาดเดิน 1 ชมอ่ะยัง
00:37:45 → 00:37:48 ออกได้ประมาณแค่แบบ 100 กว่าๆ 200 เองอ่ะ
00:37:48 → 00:37:50 อ่าอย่างอย่างยกตัวอย่างหมอน้ำหนัก 70 กล
00:37:50 → 00:37:53 เนาะถ้าต้องการเบิร์น 1,000 แคลอรี่อ่ะ
00:37:53 → 00:37:56 ต้องวิ่งประมาณ 2 ชมงหุยนานมากชม 2
00:37:56 → 00:37:58 ช่วโมงนี่คือแบแบบว่าต้องวิ่งเร็ววิ่งๆ
00:37:58 → 00:38:01 สม่ำเสมอเพสเท่าเดิมเลยแล้วถ้าสมมุติอยาก
00:38:01 → 00:38:05 ปั่นจักรยานออก็มากกว่านั้นประมาณ 3-4 ชม
00:38:05 → 00:38:07 เลยถือจะเบิร์นได้ 1,000 แคลอรี่แต่การ
00:38:07 → 00:38:10 กิน 1,000 แคลอรี่ง่ายมั้ยง่ายมากอือก็
00:38:10 → 00:38:12 แปลว่าถ้าสมมุติว่าจริงๆแล้วถ้าเราอยากจะ
00:38:12 → 00:38:15 ลดน้ำหนักอ่ะก็คือควรจะเริ่มจากอาหารก่อน
00:38:15 → 00:38:17 ถูกป่ะแต่ที่เราคุยมากันตั้งแต่ต้นน่ะไม่
00:38:17 → 00:38:19 ว่าจะเป็นการนับแควอะไรอย่างเงี้ยกินน้ำ
00:38:19 → 00:38:21 ผลไม้หรืออะไรอย่างงี้เนาะหรือแม้กระทั่ง
00:38:21 → 00:38:24 การฟาสเนี่ยคิดว่าต้องมา combine กันมาก
00:38:24 → 00:38:26 กว่าเพราะว่าจริงๆแล้วคนแต่ละคนก็คือไม่
00:38:26 → 00:38:28 เหมือนกันบางคนเนี่ยอาจจะเป็นประเภทที่
00:38:28 → 00:38:32 บอกว่ากินคีโตโอเคบางคนอาจจะบอกว่าฉัน
00:38:32 → 00:38:34 ต้องฟาสดีกว่าหรืออาจจะต้อง combine กัน
00:38:34 → 00:38:36 เนาะแล้วก็ต้องมีการออกกำลังกายด้วยอย่าง
00:38:36 → 00:38:38 ที่เราคุยกันไปเพราะว่าอะไรเพราะแต่ละคน
00:38:38 → 00:38:41 ไม่เหมือนกันและที่สำคัญน่ะถ้าเราสามารถ
00:38:41 → 00:38:43 มีโอกาสอ่ะคิดว่าปรึกษาแพทย์ด้วยก็ดี
00:38:43 → 00:38:45 เพราะว่าบางคนอาจจะมีโรคบางโรคที่เราไม่
00:38:45 → 00:38:47 รู้เช่นอย่างที่เราพูดเรื่องของ
00:38:47 → 00:38:49 ไฮโปไทรอยด์ไปเนาะแล้วก็อาจจะมีโรคอื่นๆ
00:38:49 → 00:38:51 หรือว่าอีกอันนึงที่เจอได้บ่อยนะก็คือแบบ
00:38:52 → 00:38:54 เป็นโรคแพ้ภูมิแพ้ที่เยอะมากเพราะว่าคน
00:38:54 → 00:38:57 ไข้บางคนอาจจะแพ้อาหารที่เขาโดยไม่รู้ตัว
00:38:57 → 00:38:59 อะไรอย่างเงี้ยก็เลยอาจจะทำให้ง่าอ้วน
00:38:59 → 00:39:02 ง่ายเพราะว่าลำไส้มีปัญหาถ้าเป็นคำแนะนำ
00:39:02 → 00:39:04 แล้วะกันง่ายๆสำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรง
00:39:04 → 00:39:06 อย่างน้อยหมอก็อยากแนะนำว่าเราควรออก
00:39:06 → 00:39:10 กำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
00:39:10 → 00:39:12 เป็นแบบ moderate Exercise นะ moderate
00:39:12 → 00:39:14 Exercise หมายความว่าฮาร์ Rate คุณต้อง
00:39:14 → 00:39:18 ขึ้นเนาะอยู่ที่ประมาณแบบ 105 120-150
00:39:18 → 00:39:21 เป็นแบบ moderate แล้วอันนั้นน่ะถือว่า
00:39:21 → 00:39:25 โอเคสำหรับร่างกายเพื่อในการลดน้ำหนักอื
00:39:25 → 00:39:28 ก็ก็ดีแล้วก็อีกอันนึงคือบอกว่าถ้าคนไข้
00:39:28 → 00:39:30 บางคนอ่ะถ้าสมมุติว่าแค่อยากลดน้ำหนักนะ
00:39:30 → 00:39:32 เคก็บอกว่าจริงๆแล้วแค่เดินอ่ะก็ได้แล้ว
00:39:32 → 00:39:34 นะกี่กี่ก้าวอ่ะตวแต่เคบอกว่าเดินเนี่ย
00:39:34 → 00:39:37 ขั้นต่ำคือต้องเกิน 19,000 ต่อวัน 19,000
00:39:37 → 00:39:40 ต่อวันอืเ้าบอกว่าแต่ถ้าบอกคุณบอกว่าถ้า
00:39:40 → 00:39:42 19,000 ต่อวันเนี่ยแทบจะเหมือนกับเป็น
00:39:42 → 00:39:44 การแบบว่าเนนนะแต่ถ้าคุณอยากที่จะลดมาก
00:39:44 → 00:39:46 กว่านั้นน่ะคุณต้องเกินให้ได้ 17,000 -
00:39:46 → 00:39:50 18, เออหมอๆมีเคสก็คือว่าอยากให้คนไข้
00:39:50 → 00:39:54 เนี่ยลดน้ำหนักก็เลยบอกว่าเออใส่นาฬิกา
00:39:54 → 00:39:57 ที่มันจับ้าได้แล้วก็อ่ะคุณไปเดินทั้งวัน
00:39:57 → 00:40:01 คราวนี้คนไข้เนี่ยเฮ้ยผลออกมาเกิน 19,000
00:40:01 → 00:40:04 ทุกวันเลยแต่น้ำหนักไม่ลดก็เลยไปถามคนไข้
00:40:04 → 00:40:07 ว่าทำอะไรเออไปทำอะไรอาหารก็ควบคุมแต่
00:40:07 → 00:40:10 เดินก็ครบ 19,000 แล้วทำไมน้ำหนักไม่ลดคน
00:40:10 → 00:40:13 ไข้ก็ยอมสารภาพก็คือทั้งวันเนี่ยไม่ถึง
00:40:13 → 00:40:15 19,000 ได้ค่าประมาณ 7,000 บแล้วเหลือ
00:40:15 → 00:40:18 อีก 3,000 พอกลับบ้านปึ๊บเอานาฬิกาไปให้
00:40:18 → 00:40:22 ลูกใส่ไปให้ลูกใสืก็แบบว่ามันก็เลยบอกไ
00:40:22 → 00:40:25 ไม่ได้ว่าคนไข้บอกว่าทำจริงไม่ทำจริงถูก
00:40:25 → 00:40:27 ป่ะเอออันนี้ก็เป็นการโกงเล็กน้อยของคน
00:40:27 → 00:40:30 เออคราวนี้เรามาพูดถึงยาลดน้ำหนักบ้าง
00:40:30 → 00:40:33 ปัจจุบันมียาลดน้ำหนักมากมายที่ส่งผล
00:40:33 → 00:40:36 กระทบต่อร่างกายมากหรือไม่ก็น้อยหลายคน
00:40:36 → 00:40:39 อาจจะเคยได้ยินถึงปากกาลดน้ำหนักอุยดัง
00:40:39 → 00:40:42 มากดังมากแล้วคิดว่ามันมันทำงานต่อร่าง
00:40:42 → 00:40:44 กายเราหรือมันได้ผลได้จริงหรือเปล่าหมอ
00:40:44 → 00:40:47 ต้องบอกก่อนว่ายาแต่ละตัวเนี่ยควรได้รับ
00:40:47 → 00:40:49 การรับรองจากแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ก่อน
00:40:49 → 00:40:51 เนาะซึ่งยาสมัยใหม่ถ้าถ้าเรามาดูเนี่ยมี
00:40:51 → 00:40:54 ยาประมาทั้งหมดประมาณ 3 ตัวด้วยกันตัวแรก
00:40:54 → 00:40:56 เรียกว่า glp One receptor ก็คือยา
00:40:56 → 00:40:58 ปากกาลดน้ำหนักนั่นเองหน้าที่ของมันคือ
00:40:58 → 00:41:01 มันหลั่งฮอร์โมนจากลำเอ่อกระเพาะของเรา
00:41:01 → 00:41:03 เนี่ยส่งไปที่สมองทำให้เรารู้สึกอิ่มอือ
00:41:04 → 00:41:07 อิ่มก็คือไม่กินน้ำหนักก็ลดอย่างที่ 2
00:41:07 → 00:41:09 เนี่ยเรียกว่า Cycle cic เนี่ยเป็นยา
00:41:09 → 00:41:12 เม็ดเนาะเป็นยาที่มีมานานมากและผลข้าง
00:41:12 → 00:41:15 เคียงก็ค่อนข้างเยอะขึ้นไส้อาเจียนแต่ยา
00:41:15 → 00:41:17 ตัวนี้คือไปบล็อกไม่ให้ร่างกายเราดูซึมไข
00:41:17 → 00:41:21 มันเราก็จะอุจจาระเป็นน้ำมันเลยเลยอ่า
00:41:21 → 00:41:23 เป็นไขมันนิดนึงแล้วตัวสุดท้ายเรียกว่า
00:41:23 → 00:41:26 พูพอนพอนก็เป็นยาเม็ดเหมือนกันซึ่งยาตัว
00:41:26 → 00:41:30 นี้เนี่ยมันจะทำให้เราไม่หิวอืก็คือกด
00:41:30 → 00:41:32 ความหิวนั่นเองกดความหิวในร่างกายพอกด
00:41:32 → 00:41:34 ความหิวปุ๊บเราก็ไม่กินเออแต่โดยส่วนมากณ
00:41:34 → 00:41:37 ปัจจุบันน่ะถ้าเห็นคนไข้ที่ใช้บ่อยๆเนาะ
00:41:37 → 00:41:38 ก็น่าจะเป็นปากกาลดน้ำหนักมากกว่าใช่แต่
00:41:38 → 00:41:40 เราต้องเข้าใจนะปากกาลดน้ำหนักอ่ะเหมาะ
00:41:40 → 00:41:43 สำหรับบางคนไม่ใช่ทุกคนในการลดน้ำหนัก
00:41:43 → 00:41:46 สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานคนที่มีค่า BMI
00:41:46 → 00:41:49 เกินจริงเป็นบีสจริงกจริงอ่าอันนี้ก็คือ
00:41:49 → 00:41:51 เหมาะกับคนไข้เนาะแล้วก็อีกอันนึงอ่ะนอก
00:41:51 → 00:41:54 จากว่าที่จะใช้ยาวน้ำหนักอ่ะก็คือมีคนไข้
00:41:54 → 00:41:56 หลายคนมาปรึกษาเกี่กับว่าอาหารเสริม
00:41:56 → 00:41:57 เหมือนกันหรือซัพพลีเมนท์เนาะว่าอะไรบ้าง
00:41:57 → 00:42:00 ที่จะช่วยลดน้ำหนักได้อันแรกเลยที่อยากค
00:42:00 → 00:42:02 คือเกี่ยวกับเรื่องโปรไบโอติกหรือว่า
00:42:02 → 00:42:04 จุลินทรีย์ที่ดีอ่ะเพราะว่ามันมีงานวิจัย
00:42:04 → 00:42:06 หลายอันบอกมากเลยว่าถ้าคุณมีจุลินทรีย์
00:42:06 → 00:42:09 ที่ห่วยหรือแย่จะทำให้ไขมันคุณขึ้นได้
00:42:09 → 00:42:11 ง่ายมากนะหรือน้ำหนักขึ้นง่ายก็เลยบอกว่า
00:42:11 → 00:42:13 ถ้าคุณมีจุลินทรีย์ที่ดีหรือปรับเปลี่ยน
00:42:13 → 00:42:15 โพรไบโอติกเนี่ยก็น่าจะทำให้ลดน้ำหนักได้
00:42:15 → 00:42:17 ดีขึ้นอันนี้อันแรกเลยอันที่ 2 อ่ะถ้าเคย
00:42:17 → 00:42:20 ได้ยินก็คือ CLA CLA นี่ก็เป็นอะไรที่
00:42:20 → 00:42:22 ฮิตฮอตเนาะที่ทำให้เหมือนกับว่าร่างกาย
00:42:22 → 00:42:24 เบิรนแฟตได้มากขึ้นเพราะว่าเป็นแบบว่ากด
00:42:24 → 00:42:27 เอถึงว่าเป็นไขมันที่สำคัญเนาะที่ต้องใช้
00:42:27 → 00:42:29 CL นี่กินได้แต่ว่าบางคนอาจจะกินแล้วแบบ
00:42:29 → 00:42:32 ว่าขึ้นไส้อาเจียนบ้างอะไรบ้างเนาะอันที่
00:42:32 → 00:42:35 3 เนี่ยที่บอกว่าคนที่ส่วนใหญ่ที่ถามก็
00:42:35 → 00:42:38 คือชาเขียวชาเขียวก็คือแบบมีทั้งกินเป็น
00:42:38 → 00:42:40 ชากับกินที่เป็นสารสกัดจากชาเขียวเรียก
00:42:40 → 00:42:43 ว่า egcg เนาะ egcg เนี่ยก็คือกินแล้ว
00:42:43 → 00:42:46 เนี่ยค่อนข้างโอเคบอกว่าทำให้เบิร์นแฟต
00:42:46 → 00:42:48 ได้ดีอะไรได้ดีแต่ว่าก็มีข้อระวังว่าถ้า
00:42:48 → 00:42:51 คนที่เป็นโรคตับอ่ะควรจะระวังทำให้ค่าของ
00:42:51 → 00:42:55 ตับขึ้นได้ค้นข้างง่ายสุดท้ายเนี่ยที่ตัว
00:42:55 → 00:42:57 ง่ายๆที่อยากให้เสริมก็คือวิตามิน B
00:42:57 → 00:42:59 Complex หรือว่าวิตามิน B รวมเพราะว่าคน
00:42:59 → 00:43:01 ส่วนใหญ่อาจจะขาดวิตามิน B ค่อนข้างเยอะ
00:43:01 → 00:43:04 เพราะอาจจะกินอาหารไม่ครบหรือไม่พอการกิน
00:43:04 → 00:43:05 วิตามิน B Complex อ่ะจะช่วยทำให้ร่าง
00:43:06 → 00:43:08 กาย burn Energy เนาะไมโตคอนเดรียทำงาน
00:43:08 → 00:43:10 ได้ดีขึ้นพูดง่ายๆเลยก็เลยทำให้เหมือนกับ
00:43:10 → 00:43:14 ว่าทำให้เผาผลาญแล้วก็ลดน้ำหนักได้แต่ถ้า
00:43:14 → 00:43:17 คุณกินวิตามินบีเยอะไปจะทำให้การการเจริญ
00:43:17 → 00:43:19 อาหารเนอยากกินอาหารมากขึ้นแล้วอ้วนขึ้น
00:43:19 → 00:43:21 ง่ายอันนี้ก็จะเป็น 4 ตัวหลักที่อยากพูด
00:43:21 → 00:43:23 ที่จริงพอเรามาดูทั้งหมดแล้วเนี่ยตั้งแต่
00:43:23 → 00:43:26 เริ่มต้นที่เราพูดถึงเรื่องของการลดน้ำ
00:43:26 → 00:43:29 หนักไม่ว่าจะเป็นฝาติวิธีการกินต่างๆเนาะ
00:43:29 → 00:43:31 รวมถึงเรื่องของฮอร์โมนด้วยเนี่ยที่จริง
00:43:31 → 00:43:34 หมอก็คิดว่าคนไข้หรือใครที่สนใจอยากจะลด
00:43:34 → 00:43:37 น้ำหนักที่จริงแนะนำอย่างแรกคือต้องตรวจ
00:43:37 → 00:43:39 ก่อนเออต้องเจอแพทย์แล้วตรวจดูว่าคุณ
00:43:39 → 00:43:41 เนี่ยมีปัญหาเรื่องของฮอร์โมนหรือเปล่า
00:43:41 → 00:43:44 ของฮอร์โมนเพศหญิงฮอร์โมนไทรอยเป่าเป่า
00:43:44 → 00:43:46 ใช่หรือว่าบางทีอ่ะคนแอาจจะเป็นแบบว่าสาร
00:43:46 → 00:43:48 อาหารไม่พอหรือเปล่าเชื่อที่เราคุยกันนะ
00:43:48 → 00:43:50 โปรตีนไม่พออย่างเงี้ยคุณก็อ้วนง่ายคือ
00:43:50 → 00:43:52 การตรวจเนี่ยมันไม่ใช่ว่าเรามาแก้สาเหตุ
00:43:52 → 00:43:55 อย่างเดียวมันช่วยป้องกันด้วยไม่ให้ป้อง
00:43:55 → 00:43:58 กันที่ไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วนน้ำหนักเกิน
00:43:58 → 00:44:00 หรือจนกระทั่งเป็นโรคเบาหวานเพราะฉะนั้น
00:44:00 → 00:44:02 การตรวจกับการป้องกันเป็นอะไรที่สำคัญมาก
00:44:02 → 00:44:06 จนสุดท้ายเนี่ยพออ่ะได้ผลมาแล้วเราอาจถึง
00:44:06 → 00:44:09 หมออาจจะช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องสำหรับ
00:44:09 → 00:44:11 ตัวคุณและอาจจะพูดถึงเรื่องของยาหรือ
00:44:11 → 00:44:14 อาหารเสริมที่เหมาะกับตัวคุณอืเพราะว่า
00:44:14 → 00:44:16 จริงๆก็อยากจะฝากอีกอันนึงเหมือนกันว่า
00:44:16 → 00:44:18 การที่เราทำอย่างเงี้ยมันเป็นอะไรที่
00:44:18 → 00:44:21 สำคัญมาก 1 คือต้องหาสาเหตุให้เจอเนาะว่า
00:44:21 → 00:44:23 คนไข้อ่ะอ้วนจากอะไรใช่ป่ะแก้ให้ถูกจุด
00:44:23 → 00:44:27 แต่อันที่ 2 สำคัญมากคือคนไข้ต้องทำเองนะ
00:44:27 → 00:44:29 ู้จากว่าส่วนใหญ่คนไขมาหมอคะหนูอยากผอม
00:44:30 → 00:44:32 ค่ะแต่หนูอยากผอมโดยทางรัดก็คือใช้ยาจะ
00:44:32 → 00:44:34 บอกว่าจริงๆการใช้ยามันอาจจะไม่เป็นอะไร
00:44:34 → 00:44:37 ที่ยังยืนพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์คุณต่าง
00:44:37 → 00:44:39 หากที่สำคัญที่สุดเนาะก็บอกเลยว่าถ้าคน
00:44:39 → 00:44:42 ไข้เนี่ยจะมาบอกว่าเราก็เลยบอกว่าจริงๆ
00:44:42 → 00:44:44 แล้วอ่ะหมอช่วยได้แค่ 20 นะคุณต้องช่วย
00:44:44 → 00:44:47 ตัวเอง 80% และนี่คือ doct Talk podcast
00:44:47 → 00:44:50 ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจะมา
00:44:50 → 00:44:52 พูดคุยประเด็นเรื่องสุขภาพต่างๆถ้าชอบ
00:44:52 → 00:44:54 Content แนวนี้ฝากติดตามและ Subscribe
00:44:54 → 00:44:57 เป็นกำลังใจให้หมอด้วยนะครับสำหรับวันวัน
00:44:57 → 00:45:02 นี้สวัสดีครับสวัสดีค่ะ