00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:08 Voice IQ เนี่ยก็เป็นความฉลาดทางชาว
00:00:08 → 00:00:13 ปัญญาตั้งแต่ 0 จนถึง 180 ซึ่งคนปกติ
00:00:13 → 00:00:16 เนี่ยไอคิวเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 90 -10 พวก
00:00:16 → 00:00:18 ที่ IQ เกิน 140 ขึ้นไปก็จะเป็นพวก
00:00:18 → 00:00:22 อัจฉริยะถ้า IQ ต่ำกว่า 70 ลงมาเนี่ยก็จะ
00:00:22 → 00:00:24 เข้าข่ายภูมิปัญญาบกพร่องหรือว่าปัญญา
00:00:24 → 00:00:28 อ่อนเราอาจจะได้คู่ที่ฉลาดไงแต่บางทีลูก
00:00:28 → 00:00:31 อาจจะได้ยินโง่จากเราก็ได้ไงเพราะฉะนั้น
00:00:31 → 00:00:34 น่ะอย่าไปคาดหวังอะไรมากบางทีแบบไปคาด
00:00:34 → 00:00:37 หวังแบบแล้วก็ชอบเอาลูกไปเปรียบเทียบกับ
00:00:37 → 00:00:40 เด็กข้างบ้านลูกข้างบ้านเอทำไมเขาแบบเก่ง
00:00:40 → 00:00:43 ทำไมเธอมันไม่เก่งอ่ะก็หนูลูกแม่หนูได้
00:00:43 → 00:00:47 ยินแม่เออแม่เป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างงั้น
00:00:47 → 00:00:52 น่ะฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:52 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:55 → 00:00:59 This Is tha PBS podcast วันนี้ค่ะ
00:00:59 → 00:01:02 คุณผู้ฟังเราจะพูดคุยกันถึงเรื่องของ IQ
00:01:02 → 00:01:06 EQ และ rq คืออะไรนะคะทำไมเราต้องมีสิ่ง
00:01:06 → 00:01:09 เหล่านี้นะคะสำคัญอย่างไรเดี๋ยวคุยกับพัน
00:01:09 → 00:01:10 ตำรวจเอกหญิงแพทย์หญิงอัญชุลี
00:01:10 → 00:01:13 ธีระวงศ์ไพศาลจิตแพทย์นายแพทย์สบ 5 โรง
00:01:13 → 00:01:16 พยาบาลตำรวจค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอคะค่ะ
00:01:16 → 00:01:18 สวัสดีค่ะคุณลีแล้วก็สวัสดีคุณผู้ฟังทุก
00:01:18 → 00:01:21 ท่านด้วยค่ะค่ะรู้จักแต่คำว่า IQ มาก่อน
00:01:21 → 00:01:25 นู้นสมัยยังแบบว่าเออเด็กๆแล้วก็เริ่มมา
00:01:25 → 00:01:30 มีคำว่า EQ นะคะตอนนี้มี rq และเอ๊ะแต่ละ
00:01:30 → 00:01:33 คำอย่างไร IQ คืออะไร EQ คืออะไร rq คือ
00:01:33 → 00:01:35 อะไรเดี๋ยววันนี้คุณหมอช่วยอธิบายให้ฟัง
00:01:35 → 00:01:38 หน่อยค่ะค่ะก็ความจริงแล้วมันก็มีหลายคิว
00:01:38 → 00:01:42 มากเลยนะคะมันมี mq มี aq มีอะไรเยอะแยะ
00:01:42 → 00:01:48 มากมายเลยค่ะใช่อ่า IQ นี้น่าจะแบบค้นหู
00:01:48 → 00:01:50 แล้วก็รู้จักกันมานาน IQ เนี่ยหรือว่า
00:01:50 → 00:01:54 ชื่อเต็มๆเขาเรียกว่า intelligent qu เน
00:01:54 → 00:01:57 นะคะก็เป็นความฉลาดทางชาวปัญญาเป็นความ
00:01:57 → 00:02:00 สามารถในการที่จะคิดยกยอย่างมีเหตุผลได้
00:02:00 → 00:02:05 อันนี้เนี่ยก็คือเรียกว่า IQ นะคะซึ่ง IQ
00:02:05 → 00:02:08 เนี่ยก็จะมีตั้งแต่ IQ สูง IQ ต่ำใช่มั้ย
00:02:08 → 00:02:13 คะเก็มีไอคิวตั้งแต่ 0 จนถึง 180 นะคะ 180
00:02:13 → 00:02:17 นี่ก็แบบฉลาดมาก 0 นี้ก็คือโง่จัดเลยนะคะ
00:02:17 → 00:02:20 ซึ่งคนปกติเนี่ยไอคิวเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 90
00:02:20 → 00:02:24 -110 อือือันเนี้ยก็เป็นไอคเข้าเรียก
00:02:24 → 00:02:28 อยู่ใน everage ก็คือมีความฉลาดมีตรรกะ
00:02:28 → 00:02:32 เหตุผลมีสมองมีชาวปัญญาเนี่ยเท่ากับค่า
00:02:32 → 00:02:35 เฉลี่ยของประชาชนทั่วไปใช่มั้ยคะก็จะอยู่
00:02:35 → 00:02:39 90 -10 แต่ว่าถ้าเกิน 110 อ่าก็จะเป็น
00:02:39 → 00:02:43 แบบพวก bri นะคะ bri Normal มี superior
00:02:43 → 00:02:47 very Super จนไปถึงียสนะคะพวกที่ IQ
00:02:47 → 00:02:49 เกิน 140 ขึ้นไปก็จะเป็นพวกอัจฉริยะพวก
00:02:49 → 00:02:53 จีเนียสนะคะแต่ว่าถ้า IQ ต่ำเนี่ยถ้า IQ
00:02:53 → 00:02:56 ต่ำกว่า 70 ลงมาเนี่ยก็จะเข้าข่ายภูมิ
00:02:56 → 00:02:59 ปัญญาบกพร่องหรือว่าปัญญาอ่อนก็จะมีตั้ง
00:02:59 → 00:03:02 แต่แบบปัญญาอ่อนระดับเล็กน้อยปานกลางมาก
00:03:02 → 00:03:06 ยิ่งไอคิวต่ำมากก็คือยิ่งแบบภูมิปัญญาบก
00:03:06 → 00:03:10 พร่องมากก็ทักษะชีวิตในการแก้ไขเหตุผล
00:03:10 → 00:03:13 อะไรต่างๆมันก็จะทำไม่ได้เหมือนกับคนปกติ
00:03:13 → 00:03:17 ทั่วไปนะคะอันนี้เนี่ยเรียกว่า IQ ก็เป็น
00:03:17 → 00:03:21 ความฉลาดทางชาวปัญญานะคะอ่าต่อมา EQ EQ
00:03:21 → 00:03:25 หรือว่าเป็น emotional quan นะคะก็ EQ
00:03:25 → 00:03:28 ก็เป็นความฉลาดทางอารมณ์นะคะเป็นการแบบ
00:03:28 → 00:03:31 เป็นความสามารถที่จะรับรู้อารมณ์ตัวเอง
00:03:31 → 00:03:34 รับรู้อารมณ์ผู้อื่นรู้จักที่จะจัดการ
00:03:34 → 00:03:37 อารมณ์ตัวเองได้อย่างเหมาะสมรู้จักที่จะ
00:03:37 → 00:03:40 หาความสุขสร้างอารมณ์ที่ดีให้กับตัวเอง
00:03:40 → 00:03:45 ได้อันเนี้ยคือ EQ นะคะทีนี้อีกอันนึง rq
00:03:45 → 00:03:48 ที่ตอนนี้กำลังฮิตๆกันเลยเ rq เนี่ยก็คือ
00:03:48 → 00:03:53 resilience quan นะคะก็เป็นความฉลาดทาง
00:03:53 → 00:03:56 การมองเห็นความจริงในชีวิตอ่ะเป็นความ
00:03:56 → 00:04:00 สามารถทางอารมณ์และจิตใจในการที่จะสามารถ
00:04:00 → 00:04:04 เผชิญกับปัญหาต่างๆแล้วก็ก้าวก้าวผ่าน
00:04:04 → 00:04:07 หรือว่าฟื้นฟูตัวเองจากเหตุการณ์วิกฤต
00:04:07 → 00:04:10 อะไรเหตุการณ์ร้ายๆอะไรที่เกิดขึ้นใน
00:04:10 → 00:04:14 ชีวิตขึ้นมาได้นะคะโเขาก็เรียกว่า rq โ
00:04:14 → 00:04:17 ค่ะเนาะทีนี้ถามว่าทำไมมนุษย์เนี่ยต้องมี
00:04:17 → 00:04:21 หลายคิวกันเลยจริงๆมันมี mq ด้วยนะเป็น
00:04:21 → 00:04:26 moral qu ก็คือเป็นความฉลาดทางศีลธรรม
00:04:26 → 00:04:29 จริยธรรมอย่างนึงซึ่งซึ่งบางคนก็อาจจะไม่
00:04:29 → 00:04:33 มีนะคะเออมันมันก็มีความแบบฉลาดหลายอย่าง
00:04:33 → 00:04:36 หลายด้านเนาะแต่ว่าวันนี้เราจะคุยกัน 3
00:04:36 → 00:04:40 อย่างนี้ใช่มั้ยคะไค EQ EQ rq ทำไมเรา
00:04:40 → 00:04:43 ถึงต้องมีหลายอย่างเพราะว่าชีวิตมนุษย์
00:04:43 → 00:04:46 มันซับซ้อนอ่ะค่ะอือฮึเราไม่ได้อยู่คน
00:04:46 → 00:04:49 เดียวบนโลกถ้าเราอยู่เป็นแบบมนุษย์คือ
00:04:49 → 00:04:52 มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอ่ะเราต้องอยู่ร่วม
00:04:52 → 00:04:54 กับผู้อื่นใช่มั้ยคะใชตั้งแต่สมัยมนุษย์
00:04:54 → 00:04:57 หินแล้วนะเราก็ต้องอยู่กันแบบเป็นฝูงเป็น
00:04:57 → 00:05:01 เผ่าเป็นคู่มีคู่ใช่มั้ยคะอืสืบเผาพันธ
00:05:01 → 00:05:04 ว่าไปใช่เพราะฉะนั้นเนี่ยมันจะมีไอคมีแต่
00:05:04 → 00:05:08 ชาวปัญญาอย่างเดียวไม่ได้มันต้องมี EQ มี
00:05:08 → 00:05:11 อารมณ์แบบอารมณ์ที่จะรับรู้อารมณ์ตัวเอง
00:05:11 → 00:05:14 อารมณ์ที่จะแบบไปเข้ากับคนอื่นอยู่ใน
00:05:14 → 00:05:17 สังคมได้นะคะอือแล้วอีกอย่างนึงทำไมต้อง
00:05:17 → 00:05:19 มี rq เพราะว่าชีวิตมนุษย์มันไม่ได้แบบ
00:05:19 → 00:05:23 โรยด้วยกลีบกุหลาบมันไม่ได้อยู่ในทุ่งดอก
00:05:23 → 00:05:26 ลาเวนเดอร์อุ๊ยสวยงามตื่นมายิ้มมีเป็น
00:05:26 → 00:05:29 ความสุขทุกวันเลยสมหวังแฮปปี้ทุกอย่างมัน
00:05:29 → 00:05:32 ไม่มีมีไงคือชีวิตมนุษย์นี้เกิดมามันต้อง
00:05:32 → 00:05:37 มีแบบความผิดหวังความเสียใจเจอเหตุการณ์
00:05:37 → 00:05:40 โดยแบบกะทันหันไม่ทันคิดไม่ทันตั้งตัวใช่
00:05:40 → 00:05:44 มั้ยอเออมันก็เลยต้องมีแบบเค้าก็เลยมีแบบ
00:05:44 → 00:05:48 นักจิตวิทยานักอะไรที่เขาสังเกตที่เขาดู
00:05:48 → 00:05:52 แบบความทักษะของสมองดูความฉลาดของสมองว่า
00:05:52 → 00:05:55 จริงๆแล้วอ่ะสมองมนุษย์อ่ะมันเป็นพหุ
00:05:55 → 00:05:59 ปัญญามันมีความฉลาดหลายอย่างหลายด้านอืมี
00:05:59 → 00:06:04 การศึกษาค้นคว้าเพราะว่าคนที่ไอคิวสูงอ่ะ
00:06:04 → 00:06:08 ไอคิวสูงฉลาดแบบเป็นอัจฉริยะมันควรจะ
00:06:08 → 00:06:12 ประสบความสำเร็จในชีวิตอ่ะทำไมแต่แบบล้ม
00:06:12 → 00:06:15 เหลวก็มีชีวิตไม่สำเร็จไม่ไม่ success ก็
00:06:15 → 00:06:19 มีอ่ะเพราะว่าเค้าพบว่าคนเรามนุษย์เรามัน
00:06:19 → 00:06:22 จะสำเร็จได้มันต้องมีหลายอย่างอ่ะมันไม่
00:06:22 → 00:06:24 ใช่แค่ไอคิวสูงอย่างเดียวมันต้องมี EQ
00:06:24 → 00:06:28 สูงด้วยมันต้องแบบรู้จักปอบปลมตัวเองใช่
00:06:28 → 00:06:30 มั้ยรู้จักเข้าใจออารมณ์ตัวเองเวลา
00:06:30 → 00:06:34 เหนื่อยเวลาท้อเวลาอะไรก็เออรู้จักเข้า
00:06:34 → 00:06:39 สังคมเข้ากับคนอื่นได้บางคนแบบถ้าเราถ้า
00:06:39 → 00:06:41 เราแม้กระทั่งตัวเองเรายังไม่รู้จัก
00:06:41 → 00:06:43 อารมณ์ตัวเองเราก็ไม่รู้จักอารมณ์คนอื่น
00:06:43 → 00:06:46 ด้วยบางทีเพื่อนแบบหน้าบุตหน้าบึ้งมาถ้า
00:06:46 → 00:06:49 เราไม่ไม่รู้อ่ะเราก็อาจจะไปแหย่ไปเล่น
00:06:49 → 00:06:51 เค้าก็ยิ่งโกรธยิ่งโมโหใช่มั้ยคะเพราะ
00:06:51 → 00:06:55 ฉะนั้นน่ะการใช้ชีวิตมนุษย์อ่ะมันไม่ได้
00:06:55 → 00:06:58 ง่ายง่ายแบบไม่มีอะไรเลยเพราะฉะนั้น
00:06:58 → 00:07:01 มนุษย์ก็เลยต้องมีทักษะหลายๆด้านเพื่อจะ
00:07:01 → 00:07:04 ได้แบบ Survive จะได้มีชีวิตอยู่ก็แต่ว่า
00:07:04 → 00:07:06 มันก็น่าสงสัยเหมือนกันคุณหมอว่าเมื่อ
00:07:06 → 00:07:09 ก่อนน่ะอ่ะเราก็จะรู้จักแต่คำว่าไอคทุกคน
00:07:09 → 00:07:13 ต้องมีไอคเออวัดความอัจฉริยะทางสมองเรานะ
00:07:13 → 00:07:16 คะความฉลาดอะไรต่างๆเหล่านี้พอมาเริ่ม
00:07:16 → 00:07:19 เข้าไปสักโอ้เราก็เริ่มค่อยๆมารู้จักคำ
00:07:19 → 00:07:23 ว่า EQ เนี่ยแต่อคิเพิ่งพๆมาแบบเหมือนแบบ
00:07:24 → 00:07:26 ว่าอ่ะะมันไม่ได้มีมาตั้งแต่ตอนตอนนู้น
00:07:26 → 00:07:29 แล้วอ่ะ IQ EQ rq mq อะไรที่แบบมันไม่
00:07:29 → 00:07:31 ไม่ได้มีเกิดขึ้นมาพร้อมกันน่ะเหมือนไอ้
00:07:31 → 00:07:34 ตัว rq เี่ก็มาที่หลังด้วยซ้ำไปมันมัน
00:07:34 → 00:07:37 เกิดจากการที่เห็นถึงความหลากหลายหรือว่า
00:07:37 → 00:07:39 อะไรหรือเปล่าที่ทำให้นักจิตวิทยามองว่า
00:07:39 → 00:07:41 เอ้ยมันต้องมีตัวเนี้ยควบคู่ไปด้วยเพราะ
00:07:41 → 00:07:45 ว่าหลังๆมาในเรื่องของศีลธรรมจรรยาบรรณ
00:07:45 → 00:07:47 หรือเอ่ออะไรต่างๆเหล่าเนี้ยหรือว่าแม้
00:07:47 → 00:07:50 กระทั่งแบบการที่จะยอมรับความจริงของเรา
00:07:50 → 00:07:54 มันมันบกพร่องไปมันไม่มันไม่มีหรือมัน
00:07:54 → 00:07:57 น้อยอ่ะมันน้อยก็จริงๆพวกทฤษฎีพวกนี้มัน
00:07:57 → 00:08:00 ก็มีมานานแล้วนะคะอืตั้งเป็นแบบเป็น 10
00:08:00 → 00:08:03 กว่าปีละแต่ว่าบางบางทีแบบเราอาจจะไม่ได้
00:08:03 → 00:08:06 ให้ความสำคัญเราอาจจะไม่ได้แบบให้ความสน
00:08:06 → 00:08:10 ใจแต่พอตอนหลังๆเยเขาก็มีการศึกษาวิจัย
00:08:10 → 00:08:13 เพราะว่าแบบเออมนุษย์เราอ่ะถ้ามันจะประสบ
00:08:13 → 00:08:17 ความสำเร็จได้อ่ะมันต้องมีไอคิวที่ดีต้อง
00:08:17 → 00:08:20 ฉลาดแล้วก็ต้องแบบมีอารมณ์ที่ดีอ่ะแล้วก็
00:08:20 → 00:08:24 ต้องมีความแบบมุมานะพยายามมีองค์ประกอบอ
00:08:24 → 00:08:28 ใช่มันมี aq ด้วยนะ aq adversity คท
00:08:28 → 00:08:32 เนี่ยเป็นความชลาดในการเผชิญอุปสรรคในการ
00:08:32 → 00:08:37 แบบฝาฟันอุปสรรคในการเออพาตัวเองไปสู่
00:08:37 → 00:08:41 ความสำเร็จเนี่ยโมันมีหลายคิวมากเลยค่ะอื
00:08:41 → 00:08:46 เนาะซึ่งอันเนี้ยบางคนก็อยากจะมีลูกที่
00:08:46 → 00:08:51 ฉลาดไงคะต้องบอกว่าไอคิวเนี่ยตั้งแต่เด็ก
00:08:51 → 00:08:54 ตั้งแต่เด็กเกิดมาน่ะมันมีไอคิวติดตัวมา
00:08:54 → 00:08:57 อยู่ละแต่การเลี้ยงดูอ่ะมันจะช่วยส่ง
00:08:57 → 00:09:01 เสริมให้เด็กฉลาดขึ้นได้ระดับนึงหรือว่า
00:09:01 → 00:09:06 ทำให้เด็กโง่ลงเลยก็ได้อืยกตัวอย่างเช่น
00:09:06 → 00:09:08 ลูกเด็กเกิดมาอย่างเงี้ยเด็กปกติอ่ะแต่
00:09:08 → 00:09:11 ว่าได้รับการเลี้ยงดูไม่ดีอ่ะพัฒนาการก็
00:09:11 → 00:09:15 ล่าช้าก็แทนที่จะฉลาดได้มากกว่าเนี้ยพอ
00:09:15 → 00:09:19 แบบแม่ไม่อุ้มเลี้ยงดูไม่ดีไม่ได้แบบ
00:09:19 → 00:09:22 อาหารสารอาหารที่ดีกลายเป็นปัญญาอ่อนยัง
00:09:22 → 00:09:24 มีเลยอเพราะฉะนั้นเนี่ยการเลี้ยงดูอ่ะ
00:09:24 → 00:09:28 สำคัญแล้วไอคิวเนี่ยมันก็พันธุกรรมก็มี
00:09:28 → 00:09:32 ส่วนมากเลยค่ะที่คือถ้าพ่อแม่เก่งพ่อแม่
00:09:32 → 00:09:36 ฉลาดเนี่ยก็โอกาสที่จะได้ลูกฉลาดก็มีสูง
00:09:36 → 00:09:40 นะคะอแล้วก็ตอนเเค้ามีการศึกษาวิจัยระดับ
00:09:40 → 00:09:44 ยีนด้วยนะเค้าค้นพบว่าความฉลาดของมนุษย์
00:09:44 → 00:09:49 น่ะถ่ายทอดมาทางโครโมโซม x ก็คือคนที่แม่
00:09:49 → 00:09:53 ฉลาดอ่ะผู้หญิงที่ฉลาดน่ะมักจะมีลูกฉลาด
00:09:53 → 00:09:58 ผู้หญิงเก่งๆอ่ะมักจะมีลูกที่เก่งออ๋อใช่
00:09:58 → 00:10:01 เพราะฉะนั้นเนี่ยก็เคยมีเรื่องเล่าเนาะ
00:10:01 → 00:10:06 ว่ามีนางงามคนนึงเขียนจดหมายหาอัลเบิร์ต
00:10:06 → 00:10:10 ไอสไตน์ว่าคุณคะดิฉันอยากจะแต่งงานแล้วก็
00:10:10 → 00:10:13 อยากมีลูกกับคุณเพราะว่าถ้าลูกเราเกิดมา
00:10:13 → 00:10:18 แล้วลูกเนี่ยได้ไอคิวที่ชานฉลาดจากคุณมา
00:10:18 → 00:10:22 เนี่ยแล้วลูกได้หน้าตาที่สะสวยแบบฉันหล่อ
00:10:22 → 00:10:25 สวยเหมือนฉันเนี่ยลูกเราก็จะแบบเพอร์เฟค
00:10:25 → 00:10:28 สมบูรณ์มากเลยอืเค้าบอกว่าอัลเบิร์ต
00:10:28 → 00:10:31 ไอสไตน์เนี่ยก็เขียนจดหมายตอบนางงามคน
00:10:31 → 00:10:35 นั้นทันทีเลยนะปฏิเสธบอกว่าขอบคุณมากเลย
00:10:35 → 00:10:39 ครับแต่ผมปฏิเสธเพราะผมเกรงว่าเดี๋ยวลูก
00:10:39 → 00:10:44 เราเกิดมาจะหน้าตาขี้เหร่เหมือนผมแต่โง่
00:10:44 → 00:10:48 เหมือนคุณสติปัญญาโง่เหมือนเอาโครโมโซม
00:10:48 → 00:10:51 ด้อยไปใช่งั้นใช่ใชโครโมโซมด้อยไปแต่ที่
00:10:51 → 00:10:55 จะได้โครโมโซมที่แบบว่าดีเออใช่ทีนี้
00:10:55 → 00:10:59 เนี่ยเพราะฉะนั้นหลายๆคนจะบอกว่าคุณหมอคะ
00:10:59 → 00:11:02 อยากได้ลูกฉลาดเนี่ยหนูต้องทำไงอ๋อต้องหา
00:11:02 → 00:11:07 ผัวฉลาดต้องหายีนที่ดียีนที่ฉลาดเนาะอแต่
00:11:07 → 00:11:09 เดี๋ยวนี้เห็นว่าบอย่างอย่าบางคนเนี่ยอ่า
00:11:09 → 00:11:13 ที่เคยเป็นคงเป็นข่าวเนี่เขาคเลือกได้นะน
00:11:13 → 00:11:16 ตรงหน้าตาคัดเลือกแม้กระทั่งคนที่แบบเอ่อ
00:11:16 → 00:11:18 ตัวเขาคงมีดีอยู่แล้วแหละแต่ว่าคัดเลือก
00:11:18 → 00:11:21 คนที่จะมาแบบอุ้มบุญหรืออันนี้มันคัด
00:11:21 → 00:11:24 เลือกได้ขนาดนั้นเลยหรอก็โมโซมอะไรพวก
00:11:24 → 00:11:28 เนี้ยคือเข้าจะคัดที่แบบไข่กับสเปิร์ม
00:11:28 → 00:11:31 เนาะอย่างผู้หญิงเ่ะผู้หญิงจะมีลูกเด็ก
00:11:31 → 00:11:35 เกิดจากไข่ของผู้หญิงกับสเปิร์มของผู้ชาย
00:11:35 → 00:11:37 อย่างสมมุติว่าหมอแอรอยากจะมีลูกใช่มั้ย
00:11:37 → 00:11:42 คะเราอยากได้อ่าลูกฉลาดเราก็ต้องไปเลือก
00:11:42 → 00:11:45 เลือกผู้ชายเลือกสเปิร์มที่ฉลาดอ่ะเรา
00:11:45 → 00:11:50 อยากได้ลูกแบบตัวสูงเราก็ไปเลือกแบบยีน
00:11:50 → 00:11:54 ที่ผู้ชายตัวสูงเราอยากได้แบบยีนผิวขาว
00:11:54 → 00:11:58 เราก็เลือกสามีหรือเลือกสเปิร์มที่ขาวแบบ
00:11:58 → 00:12:00 เนี้ยอแต่แต่เราก็ไม่รู้หรอกบางทีมันไม่
00:12:00 → 00:12:04 ได้ 100% ไงเราแค่เลือกแบบความน่าจะเป็น
00:12:04 → 00:12:07 อ่าเพราะอย่างมันมียีนเด่นยีนด้อยเนาะใช่
00:12:07 → 00:12:10 ๆบางคนอาจจะผิวขาวแต่ว่าจริงๆเป็นผิวขาว
00:12:10 → 00:12:14 แบบยีนแฝงจริงๆแล้วมียีนผิวค้ำแบบแฝงอยู่
00:12:14 → 00:12:18 แล้วพอดีมาเจอกับผิวค้ำด้วยกันก็พ่อแม่
00:12:18 → 00:12:22 ขาวลูกอาจจะค้ำก็ได้อ่าๆใช่ๆเนาะเราก็ได้
00:12:22 → 00:12:26 แต่แบบเออเลือกคัสันที่ที่ดีที่สุดแล้ว
00:12:26 → 00:12:29 แต่บางทีแบบมันก็เหมือนซื้อรถตอ่ะมันก็
00:12:29 → 00:12:33 แล้วแต่เนาะว่าโครโมโซมแบบจากสเปิร์มกับ
00:12:33 → 00:12:36 ไขมันจะมาเจอกันมันจะมาเจออันที่ดีหรือ
00:12:36 → 00:12:39 ไม่ดีอะไรยังไงเนาะอส่วนใหญ่ก็อยากจะให้
00:12:39 → 00:12:43 ลูกได้เก่งแหละเลือกไอคงไอคิวสูงๆดีๆอะไร
00:12:43 → 00:12:47 แบบเยใช่แล้วบางทีเนี่ยเราก็ไปคาดหวัง
00:12:47 → 00:12:51 อย่าไปคาดหวังมากเกินไปเอาสมมุติว่าเรา
00:12:51 → 00:12:55 อาจจะได้คู่ที่ฉลาดไงแต่บางทีลูกอาจจะได้
00:12:55 → 00:12:59 ยินโง่จากเราก็ได้ไงเออเพราะฉะนั้นน่ะ
00:12:59 → 00:13:02 อย่าไปคาดหวังอะไรมากคือมีลูกแล้วก็ลูกก็
00:13:02 → 00:13:07 เกิดมาครบ 32 ก็ดีแล้วก็เลี้ยงเให้เขาแบบ
00:13:07 → 00:13:10 ดูแลตัวเองได้ให้เขาใช้ชีวิตให้เขาแบบ
00:13:10 → 00:13:13 เลี้ยงดูตัวเองได้พอแล้วอย่าไปคาดหวังมาก
00:13:13 → 00:13:17 บางทีแบบไปคาดหวังแบบแล้วก็ชอบเอาลูกไป
00:13:17 → 00:13:19 เปรียบเทียบกับเด็กข้างบ้านลูกข้างบ้านเอ
00:13:19 → 00:13:22 ทำไมเขาแบบเก่งทำไมเธอมันไม่เก่งอ่ะก็หนู
00:13:22 → 00:13:26 ลูกแม่หนูไม่ยินแม่เออแม่เป็นยังไงลูกก็
00:13:26 → 00:13:29 เป็นอย่างงั้นน่ะเออไปต่อไม่เป็นเลยแม่
00:13:29 → 00:13:32 ใช่ถูกต้องค่ะเพราะฉะนั้นนะเลี้ยงลูกเรา
00:13:32 → 00:13:37 ก็ต้องแบบเออบางทีไอคิวอ่ะมันได้มาแล้ว
00:13:37 → 00:13:39 แหละคือเด็กคลอดมาปึ๊บเขาจะมีความฉลาดของ
00:13:39 → 00:13:42 เขาคละเราก็ได้แต่เลี้ยงดูส่งเสริมเนาะ
00:13:42 → 00:13:46 แล้วก็ต้องแต่เรื่อง EQ อย่างเงี้ยมันก็
00:13:46 → 00:13:49 เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างต้องปลูกฝังต้อง
00:13:49 → 00:13:53 สอนให้เด็กแบบรู้อารมณ์ตัวเองรู้อารมณ์
00:13:53 → 00:13:56 ผู้อื่นรู้จักแบบปรับตัว R คิวก็เกิดจาก
00:13:56 → 00:14:00 การเลี้ยงดูเกิดการเกิดจากการสอนให้ลูก
00:14:00 → 00:14:04 แบบมีความยืดหยุ่น rq เนี่ย resilient qu
00:14:04 → 00:14:06 เนี่ยคำว่า resilient เ่ะมันแปลว่ายืด
00:14:06 → 00:14:09 หยุ่นน่ะคือมีความยึดหยุ่นทางจิตใจเวลา
00:14:09 → 00:14:12 เจอปัญหาอุปสรรคเราก็อยากไปยึดมั่นถือ
00:14:12 → 00:14:16 มั่นแล้วก็สามารถปรับตัวไปได้เนาอืเหมือน
00:14:16 → 00:14:19 ทางสายกลางทางพุทธศาสนาเลยของเราแนวทาง
00:14:19 → 00:14:22 พุทธแต่ส่วนใหญ่เราก็จะไปเน้นเรื่องของ EQ
00:14:22 → 00:14:25 กันเยอะนะเพราะอ่ะเอ่อ IQ มาระดับนึงแล้ว
00:14:25 → 00:14:28 อ่ะ EQ หลังๆมาเห็นให้ความสำคัญกับ EQ
00:14:28 → 00:14:31 ค่อนข้างเยอะมากในความฉลาดทางอารมณ์เพราะ
00:14:31 → 00:14:33 ว่าบางคนอย่างเด็กบางคนเนี่ยแบบอุ๊ยควบ
00:14:33 → 00:14:36 คุมตัวเองไม่ได้นะโมโหร้ายเอ่ออาละวาด
00:14:36 → 00:14:39 หรืออะไรอย่างเงี้ยไม่สามารถที่จะจัดการ
00:14:39 → 00:14:41 ตัวเองได้ทั้งหมดทั้งมวลมันก็ขึ้นอยู่กับ
00:14:41 → 00:14:43 การเลี้ยงดูตั้งแต่ตอนแรกเลยตั้งแต่ที่เ
00:14:43 → 00:14:46 ยังเป็นเด็กอยู่ค่ะคืออย่างเรื่อง EQ
00:14:46 → 00:14:48 เนี่ยเราก็ต้องยอมรับว่าเด็กตั้งแต่เขาค
00:14:48 → 00:14:52 คลอดมาเคเกิดมาค่ะเขาคจะมีสิ่งที่ติดตัว
00:14:52 → 00:14:55 มันเป็นพื้นฐานทางอารมณ์ติดตัวเด็กมาละ
00:14:55 → 00:14:59 เค้าเรียกว่าเป็น temper ของเด็กแบบเค่ะอ
00:14:59 → 00:15:02 เป็นพื้นอารม์แต่เด็กส่วนใหญ่อ่ะเกิดมาก็
00:15:02 → 00:15:05 จะเป็น Easy ชายเด็กที่เลี้ยงง่ายกินง่าย
00:15:05 → 00:15:08 นอนง่ายใช่มคะอันเนี้ยประชากรส่วนใหญ่ก็
00:15:08 → 00:15:11 จะ Easy ชายแต่ก็จะมีเด็กที่แบบเป็น
00:15:11 → 00:15:14 difficulty ชายหรือว่าเป็น challeng ชาย
00:15:14 → 00:15:17 ก็คือเด็กที่แบบเลี้ยงยากอ่ะเป็นเด็กที่
00:15:17 → 00:15:20 แบบกินยากนอนยากปรับตัวยากหงุดหงิดขี้
00:15:20 → 00:15:24 โมโหอารมณ์ใช่มั้คะแล้วก็จะมีเด็กอีก
00:15:24 → 00:15:26 กลุ่มนึงเป็น slow to warm up ชายคือ
00:15:26 → 00:15:29 เป็นเด็กที่แบบไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยาก
00:15:29 → 00:15:32 จนเกินไปจะต้องแบบให้เวลาเปรับตัวนิดนึง
00:15:32 → 00:15:37 แล้วก็มีเด็กที่มิกด้วยบนผสมอเออส่วนใหญ่
00:15:37 → 00:15:40 ก็จะเจอเด็กเลี้ยงง่ายเด็กเลี้ยงง่าย
00:15:40 → 00:15:43 เนี่ยเขาก็จะอารมณ์ดี EQ เขาก็จะดีมา
00:15:43 → 00:15:47 ระดับนึงแต่บางทีอ่ะเราเจอเด็กเลี้ยงง่าย
00:15:47 → 00:15:50 แต่มาเจอพ่อแม่ประสาทอย่างเงี้ยค่ะก็ทำ
00:15:50 → 00:15:52 ให้เด็กที่แบบเลี้ยงง่ายเนี่ยกลายเป็น
00:15:52 → 00:15:55 เด็กแบบวิตกกังวลซึมเศร้าเป็นเด็กแบบ
00:15:55 → 00:15:59 กรี๊ดเป็นเด็กแบบโมโหร้ายได้เหมือนกัน
00:15:59 → 00:16:03 อุ้ยเออการเลี้ยงดูบางทีแบบมันเป็นยีนที่
00:16:03 → 00:16:06 ติดตัวมาจากพ่อแม่อย่างพ่อแม่แบบเป็นคน
00:16:06 → 00:16:09 อารมณ์ร้ายใช่มั้ยลูกก็แบบจะอารมณ์ร้าย
00:16:09 → 00:16:13 แต่ว่าบางทีการเลี้ยงดูอ่ะการแบบเด็กเห็น
00:16:13 → 00:16:15 พฤติกรรมพ่อแม่ทุกวันทุกวันน่ะมันเหมือน
00:16:15 → 00:16:18 กระจกอ่ะที่มันแบบซึมซับเข้าไปในตัวเเค้า
00:16:19 → 00:16:22 ก็เลียนแบบเราอ่ะโดยที่ไม่รู้ตัวออืเพราะ
00:16:22 → 00:16:24 ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คน
00:16:24 → 00:16:27 ที่เลี้ยงดูอ่ะต้องเป็นแบบอย่างถูกต้อง
00:16:27 → 00:16:31 ค่ะไม่งั้นที่เราเจอปัญหาเจอวิกฤตเจออะไร
00:16:31 → 00:16:35 อยู่เนี่ยเด็กก็จะสังเกตว่าเออพ่อแม่จัด
00:16:35 → 00:16:38 การความเครียดยังไงพ่อแม่จัดการปัญหายัง
00:16:38 → 00:16:42 ไงพ่อแม่ก้าวผ่านปัญหาเหล่านี้ยังไงเขาก็
00:16:42 → 00:16:45 จะเอาไปแบบซึมซับเอาไปเลียนแบบเอาไป
00:16:45 → 00:16:47 ปฏิบัติแล้วก็เอาไปแบบเหมือนเอาไป
00:16:47 → 00:16:50 ประยุกต์กลับกับตัวเขาเองอ่ะค่ะเอาอย่าง
00:16:50 → 00:16:53 งี้แสดงว่าบอกอุ๊ยเด็กยังเด็กอยู่เไม่รู้
00:16:53 → 00:16:55 เรื่องหรอกอะไรเงี้ยไม่จริงสิทั้งนั้นน่ะ
00:16:55 → 00:16:57 ไม่จริงค่ะไม่จริงเลยเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้า
00:16:57 → 00:17:03 เราอยากได้ใลูกที่แบบ EQ ดี rq ก็ดีนะคะ
00:17:03 → 00:17:05 เราต้องสร้างบรรยากาศในบ้านให้แบบผ่อน
00:17:05 → 00:17:09 คลายโอ้โหต้องแบบไม่เครียดพ่อแม่ต้องไม่
00:17:09 → 00:17:13 ตบตีทะเลาะกันแบบคุยกันด้วยเหตุผลน่ะออ
00:17:13 → 00:17:16 แล้วก็สอนให้เด็กแบบเรียนรู้จัดการกับ
00:17:16 → 00:17:19 ความโกรธคือความโกรธเป็นธรรมดาเราเป็น
00:17:19 → 00:17:22 มนุษย์เราโกรธได้เราโมโหได้แต่เรารู้จัก
00:17:23 → 00:17:26 จัดการความโกรธเราได้เรารู้จักแบบให้อภัย
00:17:26 → 00:17:29 เรารู้จักแบบคดาวตัวเองได้
00:17:29 → 00:17:32 แล้วก็สอนไม่ให้ลูกแบบโทษใครอ่ะเออมันจะ
00:17:32 → 00:17:36 มีบางคนแบบลูกล้มก็แบบตีพื้นแบบเออเนี่ย
00:17:36 → 00:17:40 พื้นผิดแบบพื้นทำไมทำให้ลูกล้มตีโต๊ะลูก
00:17:40 → 00:17:43 เดินไปชนโต๊ะก็ตีโต๊ะแบบเนี้ยไม่ได้เราก็
00:17:43 → 00:17:46 ต้องสอนลูกว่าเออหนูเดินดีๆระวังพื้นมัน
00:17:46 → 00:17:49 ลื่นนะคะก็สอนแล้วก็สอนให้ลูกแบบคิดบวก
00:17:49 → 00:17:54 เนาะมองอะไรแบบเออให้มันมีเหตุผลมองอะไร
00:17:54 → 00:17:58 แบบคิดบวกทุกสิ่งเกิดขึ้นเออเราก็สามารถ
00:17:58 → 00:18:02 เรียนรู้รู้ปรับตัวผ่านมันไปได้ให้ลูกแบบ
00:18:02 → 00:18:05 รู้จักปรับตัวที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องแบบ
00:18:05 → 00:18:08 รู้จักรับฟังอ่ะเพราะคือเด็กคนนึงกว่าจะ
00:18:09 → 00:18:13 โตอ่ะเขาจะเจอปัญหาต่างๆบางทีเรามองมัน
00:18:13 → 00:18:15 ไม่ใช่ปัญหามันเป็นเรื่องเล็กอ่ะแต่มัน
00:18:15 → 00:18:18 เป็นปัญหาสำหรับเด็กอ่ะเออพ่อแม่อ่ะเรา
00:18:18 → 00:18:22 ต้องรับฟังเค้าแล้วก็ช่วยกันคิดว่าเราจะ
00:18:22 → 00:18:25 หาทางออกยังไงอืเหมือนบางทีพ่อแม่ก็จะเอา
00:18:25 → 00:18:29 ตัวเองไปตัดสินแทนด้วยว่าฉันก่อนฉันมี
00:18:29 → 00:18:31 ประสบการณ์มาฉันอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ไป
00:18:31 → 00:18:34 ตัดสินแทนจริงๆบางทีเราอาจจะให้เขาได้ลอง
00:18:34 → 00:18:36 คิดดูว่าถ้าเจอสถานการณ์อย่างงี้ลูกคิด
00:18:36 → 00:18:39 ยังไงใช่ถามเขาก่อนก็ได้ไม่ต้องเอารีบเอา
00:18:39 → 00:18:42 ตัวเองแบบว่าเรียบร้อยเลยจัดการให้ทุก
00:18:42 → 00:18:44 อย่างอะไรเงี้ยลูกก็จะไม่ได้ฝึกไม่ได้
00:18:44 → 00:18:46 อะไรเงี้ยแต่จริงๆอย่างที่คุณหมอบอกว่า
00:18:46 → 00:18:50 เอ่อการเลี้ยงดูหรือแบบการให้ความสนใจ
00:18:50 → 00:18:52 หรืออะไรต่างๆเหล่านี้เนี่ยมันมันเหมือน
00:18:52 → 00:18:54 เป็นครอบครัวในอุดมคติอ่ะคือทุกคนอยาก
00:18:54 → 00:18:56 เป็นแบบนั้นน่ะแต่วิถีชีวิตจริงคุณหมอมัน
00:18:57 → 00:19:00 ไม่ใช่ฉันต้องทำมาหากินฉันต้องหาเงินมา
00:19:00 → 00:19:02 เพื่อดูแลลูกทุกวันนี้ก็เศรษฐกิจมันก็ไม่
00:19:02 → 00:19:05 ค่อยดีอยู่แล้วอ่ะมันไม่ได้มีเวลามานั่ง
00:19:05 → 00:19:10 แบบการบ้านทำหรือยังลูกโอภาปราศัยบ้านฉัน
00:19:10 → 00:19:12 พูดอย่างงี้้วนๆอย่างงี้เ่ออะไรอย่าง
00:19:12 → 00:19:16 เงี้ยมันมันมันไม่ได้ง่ายในทุกครอบครัว
00:19:16 → 00:19:19 ขนาดนั้นอ่ะค่ะเข้าใจค่ะหมอก็ต้องทำมาหา
00:19:19 → 00:19:22 กินเหมือนกันหมอก็ต้องทำงานเหมือนกันเออ
00:19:22 → 00:19:25 อันนี้ก็ลูก 2 นะคะเอออันเนี้ยก็ต้องบอก
00:19:25 → 00:19:29 ว่าคือทุกคนน่ะเราก็มีมีความจำเป็นเดี๋ยว
00:19:29 → 00:19:31 นี้เราก็ต้องเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วย
00:19:31 → 00:19:35 อือแต่เราสามารถแบ่งเวลาให้ลูกได้เรา
00:19:36 → 00:19:39 สามารถแบบบริหารจัดการน่ะคือการการเลี้ยง
00:19:39 → 00:19:43 ลูกอ่ะคือบางทีเราทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไป
00:19:43 → 00:19:46 ด้วยอย่างเงี้ยเราอาจจะไม่ได้แบบขนาดรวย
00:19:46 → 00:19:48 ขนาดไม่ต้องทำอะไรเลี้ยงลูกอย่างเดียว
00:19:48 → 00:19:52 หรือว่ามีคนส่งเงินให้อะไรเออเราก็สามารถ
00:19:52 → 00:19:56 ทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยก็มีเวลาแบ่ง
00:19:56 → 00:20:00 เวลาให้เค้าทุกวันเจอกันคุยกันทุกวันพูด
00:20:00 → 00:20:04 คุยกันรับฟังแล้วเวลาที่ลูกต้องการเนี่ย
00:20:04 → 00:20:08 เราต้องไปอืยกตัวอย่างเช่นเค้าเจ็บไข้ไม่
00:20:08 → 00:20:11 สบายอย่างเงี้ยเคต้องการน่ะเราต้องไปคือ
00:20:11 → 00:20:15 เราต้องแบบอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้
00:20:15 → 00:20:18 เค้าอ่ะคือบางทีอย่างที่บอกอ่ะอะไรที่เรา
00:20:18 → 00:20:21 คิดว่ามันไม่สำคัญเราก็จะไม่ให้เวลาสิ่ง
00:20:21 → 00:20:24 นั้นไงแต่ว่าถ้าเราคิดว่าลูกสำคัญเราก็จะ
00:20:24 → 00:20:26 ให้เวลากับเขาเหมือนหมอแบบเนี้ยหมอก็ต้อง
00:20:26 → 00:20:30 ทำงานนะหมอต้องหาเงินนะอือแบบงลูกคยวเป็น
00:20:30 → 00:20:33 หลักด้วยเราก็ต้องแบบแบ่งเวลาแต่เราคิด
00:20:33 → 00:20:37 ว่าเออลูกสำคัญเราก็จะแบ่งเวลาเออทำงาน
00:20:37 → 00:20:41 ส่วนนึงลูกลูกก็มีเวลาส่วนนึงเราอาจจะไม่
00:20:41 → 00:20:44 ได้แบบอยู่กับลูก 24 ชมตอนนี้ลูกก็เข้า
00:20:44 → 00:20:47 โรงเรียนแต่คือเราก็ทุกเช้าพาลูกไปส่งไป
00:20:47 → 00:20:50 โรงเรียนทุกเช้าเลิกเรียนวันไหนว่างก็ไป
00:20:50 → 00:20:53 รับถ้าไม่ว่างก็ให้พี่เลี้ยงไปรับแทนแต่
00:20:53 → 00:20:57 ทุกวันคือเราก็จะมานอนนอนกอดกันอืคุยกัน
00:20:57 → 00:21:01 เวลาลูกมีปัญหาอะไรบางทีเรื่องเล็กอ่ะ
00:21:01 → 00:21:04 อย่างยกตัวอย่างเช่นลูกชายหมอแบบเนี้ย
00:21:04 → 00:21:08 เค้าอยู่อนุบาลตอนนี้ถ้าเทียบโรงเรียนไทย
00:21:08 → 00:21:11 ก็อนุบาล 2 อ่ะแล้วเขาก็มาเล่าให้ฟังแบบ
00:21:11 → 00:21:14 ซีเรียสมากเลยเขาบอกว่าวันเนี้ยเพื่อนน่ะ
00:21:14 → 00:21:18 หัวเราะเคอืเออหมอก็ถามแบบอ้าเคหัวเราะ
00:21:18 → 00:21:21 เรื่องอะไรล่ะเขาบอกว่าเพราะว่าเคน่ะ
00:21:21 → 00:21:24 เขียนไม่ได้เพราะว่าเพื่อนน่ะเขียน
00:21:24 → 00:21:28 หนังสือได้ไงอ๋อเอแล้วตัวเเขียนไม่ได้ก็
00:21:28 → 00:21:31 หัวล้อย้อเออเราเราก็ฟังเสร็จเราก็รู้
00:21:31 → 00:21:34 แล้วแหละเพราะว่าคือเราไม่ได้เน้นให้ลูก
00:21:34 → 00:21:37 เขียนอืออ่านเขียนคือเพิ่งแต่อนุบาลเพิ่ง
00:21:37 → 00:21:39 แต่ตอนนั้น 4 ขวบอย่าเงี้ยตอนนั้นอยู่
00:21:39 → 00:21:41 อนุบาล 1 ด้วยเราไม่ได้เออเราก็ไม่ได้จะ
00:21:41 → 00:21:43 ต้องเขี่ยวเข็นว่าจะต้องเขียนให้ได้จะ
00:21:43 → 00:21:45 ต้องอะไรแล้วก็เป็นไปตามวัยของเคที่ใช่
00:21:45 → 00:21:47 เพราะเราไม่ได้เน้นแต่ว่าที่โรงเรียนคือ
00:21:47 → 00:21:51 เพื่อนแบบแม่อาจจะแบบตีวลูกสอนลูกนี่นู่น
00:21:51 → 00:21:55 นั่นใช่มั้ยคะเออเราก็รับฟังเ้าว่าเ้ารู้
00:21:55 → 00:21:59 สึกยังไงเขาก็แบบบอกว่าเคไม่ชอบเลยแบบเ
00:21:59 → 00:22:02 รู้สึกว่าเไม่เก่งทำไมเสู้เพื่อนไม่ได้
00:22:02 → 00:22:05 อะไรอย่างเงี้ยเออเราก็จะบอกเาว่าออ้ยไม่
00:22:05 → 00:22:09 หรอกหนูเก่งนะหนูแค่แบบไม่ได้ฝึกเฉยๆ
00:22:09 → 00:22:12 เดี๋ยวหนูฝึกแป๊บเดียวก็จะดีขึ้นและแล้ว
00:22:12 → 00:22:15 ก็ให้กำลังใจไงแล้วก็จะไม่ด่าลูกว่าอะไร
00:22:15 → 00:22:17 ทำไมโง่อย่างงี้เกิดเป็นลูกหมอซะเปล่า
00:22:17 → 00:22:20 เสียชาติเกิดทำไมงี่เง่าสู้เพื่อนไม่ได้
00:22:20 → 00:22:24 เราพูดแบบเงี้เนี่ยคือทำลายหัวใจทำลาย
00:22:24 → 00:22:27 ความมั่นใจลูกหมดเลยไม่ได้เราต้องรับฟัง
00:22:27 → 00:22:30 ถามว่าเออเกิดอะไรขึ้นหนูรู้สึกยังไงบ้าง
00:22:30 → 00:22:33 แล้วทีเนี้ยหาวิธีแก้ไขละเออแล้วเราจะแก้
00:22:33 → 00:22:37 ไขกันยังไงดีเออลูกบอกว่าเนี่ยหนูว่าหนู
00:22:37 → 00:22:40 จะเรียนพิเศษอือเออเนี่ยหนูที่โรงเรียน
00:22:40 → 00:22:42 น่ะมีเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนเดี๋ยวหนูจะ
00:22:42 → 00:22:45 เรียนนะหนูจะเรียนเออหนูจะเรียนอะไรบ้าง
00:22:45 → 00:22:47 อ่ะเรียนภาษาไทยภาษาอังกฤษอ่ะโอเคเรียน
00:22:47 → 00:22:50 เลยลูกอ่ะเขาก็ไปเรียนเสร็จสักพักเราก็
00:22:50 → 00:22:53 ถามเป็นยังไงบ้างไปโรงเรียนอ่านเขียนเก่ง
00:22:53 → 00:22:56 หรือยังเก็บอกว่าเอเขเขียนได้แล้วเไม่โดน
00:22:56 → 00:23:00 เพื่อนหัวเราะเยาะละอืเอนี่ไงเรื่องเล็กๆ
00:23:00 → 00:23:04 สำหับเด็กอ่ะคือรับฟังอย่าไปด่าอย่าไปว่า
00:23:04 → 00:23:08 อย่าไปตอกย้ำเนาแล้วก็หาวิธีแก้ไขที่มัน
00:23:08 → 00:23:10 เวิร์คอ่ะสมมุติว่าอาจจะไปเรียนละอ่ะไม่
00:23:10 → 00:23:13 เวิร์คอ่ะต้องทำยังไงเพื่อจะให้เก่งขึ้น
00:23:13 → 00:23:16 ดีขึ้นคอืแล้วอีกอย่างนึงคือเขาเหมือนมี
00:23:17 → 00:23:19 ความตั้งใจอยู่แล้วด้วยเนาะแบบว่าคือไม่
00:23:19 → 00:23:21 ใช่แบบว่าโดนร้อแล้วก็แบบว่าต้องวิ่งมา
00:23:21 → 00:23:23 ร้องไห้ฟ้องแม่อย่างเดียวแล้วให้แม่พร้อม
00:23:24 → 00:23:27 บวกไม่ใช่ไปบวกกับลูกไม่ใช่แต่อันนี้คือเ
00:23:27 → 00:23:30 แบบอ่ะเบอกความรู้รู้สึกแล้วเดี๋ยวเแล้วเ
00:23:30 → 00:23:32 มีวิธีแก้ปัญหาด้วยเท่าที่ฟังคือแบบจะไป
00:23:32 → 00:23:35 เรียนพิเศษเพิ่มเมีสอนอยู่หลังเลิกเรียน
00:23:35 → 00:23:37 ใชเอคือบางทีถ้าเราแบบเป็นเหตเป็นผลใช่
00:23:37 → 00:23:40 บางทีถ้าเราแบบว่าอ่ะไปเรียนพิเศษเลยคุณ
00:23:40 → 00:23:42 ไม่ได้ต้องไปเรียนเพิ่มบางทีเด็กก็ขี้
00:23:42 → 00:23:45 เกียจเรียนไม่อยากเรียนใช่มคอันนี้คือเรา
00:23:45 → 00:23:48 ก็คุยไงเกิดอะไรขึ้นแล้วจะแก้ยังไงแล้ว
00:23:48 → 00:23:51 ให้เขาคิดด้วยว่าเาจะแบบแก้ยังไงแล้วเรา
00:23:51 → 00:23:54 ก็สนับสนุนเอออยากเรียนแล้วก็ไปคุยกับโรง
00:23:54 → 00:23:57 เรียนอ่ะมีเรียนวันไหนบ้างอ่ะก็ให้เรียน
00:23:57 → 00:24:00 ไปเรียนแล้วดีขึ้นมาค่ะอืมก็เป็นทางที่จะ
00:24:00 → 00:24:04 รวมแบบแบบคือทั้งได้ทั้ง IQ EQ rq เบ
00:24:04 → 00:24:07 เนี่ย mq aq ก็คือมันก็รวมมันก็ต้องค่อย
00:24:07 → 00:24:10 ๆค่อยๆแบบว่าสะสมให้เด็กมีสิ่งต่างๆเหล่า
00:24:10 → 00:24:13 เนี่ยไอ้พวกคิวอะไรทั้งหลายเหล่านี้เนี่ย
00:24:13 → 00:24:16 เนาะค่อยๆไปหลลักเลยเราต้องมีเวลาพูดคุย
00:24:16 → 00:24:20 กับลูกอเราต้องแบบรับฟังอ่ะบางคนแบบไม่
00:24:20 → 00:24:22 ฟังลูกเลยแบบพูดอย่างเดียวอ่ะสอนอย่าง
00:24:22 → 00:24:25 เดียวเออฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนหรือบางคนก็
00:24:25 → 00:24:28 ให้ YouTube tiktok เลี้ยงลูกไปเออตัว
00:24:28 → 00:24:32 เองก็แบบไม่ค่อยอยู่กับลูกก็อ่ามือถือคน
00:24:32 → 00:24:35 ละเครื่องไม่ค่อยได้คุยกันไม่รู้ว่าลูก
00:24:35 → 00:24:37 แบบอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างอะไรอย่า
00:24:37 → 00:24:39 เงี้ยอือมันไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันเนาะใช
00:24:39 → 00:24:42 ถึงเวลาพอวันนึงเอ่อเราอยากให้เขาคเข้าหา
00:24:42 → 00:24:44 เราเไม่เข้าหาเราแล้วค่ะเพราะว่าแบบเรา
00:24:44 → 00:24:46 ไม่ได้ให้ไม่เคยเข้าหาเค้าเลยหรือเปิด
00:24:46 → 00:24:49 โอกาสให้เค้าเราก็จะบอกว่าเฮ้ยอย่ามายุ่ง
00:24:49 → 00:24:53 เหนื่อยอเฮ้ยกำลังเครียดอยู่เอหรือแบบจน
00:24:53 → 00:24:56 เค้ารู้สึกว่าเแบบเออไม่ไม่ได้เข้าหาถ้า
00:24:56 → 00:24:58 อยากจะพัฒนาทักษะต่างๆเหล่านี้เนี่ยก็
00:24:58 → 00:25:02 ต้องคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องมีสิ่งต่างๆ
00:25:02 → 00:25:04 เหล่านี้อยู่แล้วด้วยไม่ใช่ไม่ใช่ว่าไม่
00:25:04 → 00:25:06 มีเลยนะคะไม่งั้นสอนไม่ได้แล้วก็ลูกก็จะ
00:25:07 → 00:25:09 ได้มีเพราะเขาเห็นพ่อแม่เป็นแบบอย่างอยู่
00:25:09 → 00:25:12 แล้วนะคะอ่ะถ้ามีอะไรก็คุยกับคุณหมอเพิ่ม
00:25:12 → 00:25:15 เติมได้ในข้อมูลพวกนี้นะคะขอบคุณหมอค่ะ
00:25:15 → 00:25:18 สวัสดีสวัสดีค่ะหมดเวาหมดเวลาแล้วค่ะคุณ
00:25:18 → 00:25:20 ผู้ฟังแป๊บเดียวเองเนาะเราจะกลับมาพบกัน
00:25:20 → 00:25:22 ใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง Thai
00:25:22 → 00:25:25 PBS podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะ
00:25:25 → 00:25:29 สวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:25:29 → 00:25:31 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไปส่ง
00:25:31 → 00:25:33 ผลกับร่างกายในทุกส่วนและทุกอวัยวะเพราะ
00:25:34 → 00:25:36 อะไรนายแพทย์ธนชาติกิรันสมทรัพย์จาก
00:25:36 → 00:25:39 สถาบันเวชศาสตร์ป้องกันศึกษากรมควบคุมโรค
00:25:40 → 00:25:43 มาเล่าให้ฟังครับแอลกอฮอล์ที่มันเข้าร่าง
00:25:43 → 00:25:46 กายเนี่ยครับมันไปหลายระบบมากไปตั้งแต่
00:25:46 → 00:25:50 ระบบประสาทระบบทางเดือนอาหารไปไตเี้หรือ
00:25:50 → 00:25:53 ระบบสืบพันธุ์เป็นได้เกือบทั้งหมดเลยครับ
00:25:53 → 00:25:55 มันสามารถทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆใน
00:25:55 → 00:25:58 ร่างกายเนี่รวนได้ทั้งหมดก็ส่วนใหญ่เนี่ย
00:25:58 → 00:26:00 เนี่ยแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยๆเนี่ยมันจะทำ
00:26:00 → 00:26:04 ให้เรารู้สึกคึกครื้นสนุกสนานอแล้วก็ทำ
00:26:04 → 00:26:07 ให้เจริญอาหารด้วยในปริมาณที่น้อยๆหรือ
00:26:07 → 00:26:10 ปริมาณที่พอดีนะครับก็คือไม่เกิน 1
00:26:10 → 00:26:12 สแตนดาร์ดดิง 1 สแตนดาร์ดดิงเนี่ยก็คือมี
00:26:12 → 00:26:15 แอลกอฮอล์อยู่ 10 กรัมความจริงก็คือไม่
00:26:15 → 00:26:18 เยอะครับเช่นอ่า 1 สแตนดาร์ดดิงนี่เช่น
00:26:18 → 00:26:21 อะไรบ้างเบียร์ 1 กระป๋องนะครับประมาณ 330
00:26:21 → 00:26:27 ซีซีหรือว่าวน 1 แก้ว 150 ซีซแล้วก็เหล้า
00:26:27 → 00:26:32 1 1 เป๊กอ่าประมาณ 30-45 ซีซีครับ
00:26:32 → 00:26:35 ประมาณนี้อันนี้คือ 1 สแตนดาร์ดยิงเรากิน
00:26:35 → 00:26:37 เข้าไปเนี่ยเอ่อแก้วแรกเรารู้สึกดีแก้ว
00:26:37 → 00:26:41 ที่ 2 แก้วที่ 3 มันจะตามมาครับพอกินมากๆ
00:26:41 → 00:26:44 บางคนก็จะแบบมีอาการแบบภาพตัดเลยครับก็
00:26:44 → 00:26:47 คือเมาแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอือตื่นมาอีกที
00:26:47 → 00:26:50 ตอนเช้าไปอยู่ที่ไหนไม่รู้เรื่องเงี้บาง
00:26:50 → 00:26:53 คนไข้บางคนมาโผล่ที่โรงพยาบาลยังไม่รู้
00:26:53 → 00:26:56 เลยว่าตัวเองขับรถมอเตอร์ไซค์มาเมื่อคืน
00:26:56 → 00:26:58 หรือว่าขับรถยนต์มาแล้วเมาการดูซึมเนี่ย
00:26:58 → 00:27:01 ของแอลกอฮอลเนี่ยเมื่อเรากินเข้าไปนะครับ
00:27:01 → 00:27:04 มันจะไปดูดซึมที่กระเพาะประมาณ 20% แล้ว
00:27:04 → 00:27:07 ก็ไปที่ลำไส้เล็กเนี่ยดูดซึมประมาณ 80%
00:27:07 → 00:27:10 เลยแล้วทีนี้เนี่ยทำไมเรารู้สึกร้อนวูบ
00:27:10 → 00:27:12 บาบแอลกอฮอล์เนี่ยส่วนใหญ่มันจะดูดซึม
00:27:12 → 00:27:16 เร็วโดยเฉพาะที่ตอนท้องว่างพอเรากินตอน
00:27:16 → 00:27:18 ท้องว่างเนี่ยมันจะทำให้เราเมาเร็วกว่า
00:27:18 → 00:27:21 ปกติแล้วจะรู้สึกได้ว่าหลอดเลือดมันสูบ
00:27:21 → 00:27:24 ฉีดร้อนพ่าวแล้วยิ่งหนาวๆเนี่ยบางคนจะรู้
00:27:24 → 00:27:27 สึกคคืนเข้าไปอีกออครับจะกลายเป็นว่าจริง
00:27:27 → 00:27:30 ๆแล้วมันเป็นการหลอกร่างกายในระยะเบื้อง
00:27:30 → 00:27:33 ต้นเนื่องจากแอลกอฮอล์เนี่ยเป็นสารกด
00:27:33 → 00:27:35 ประสาทตอนแรกเมันจะทำให้รู้สึกเหมือนกับ
00:27:35 → 00:27:39 ว่าเราอยากนอนหลับดีนะครับเราไม่เครียด
00:27:39 → 00:27:41 เราไม่ประมาทจากที่ใจสั่นก็แบบเฮ้ยตื่น
00:27:42 → 00:27:45 เต้นลดลงกล้าทำกล้าแสดงออกในกิจกรรมบาง
00:27:45 → 00:27:48 อย่างบางคนกินเหล้าแล้วก็จะกล้ากว่าเดิม
00:27:48 → 00:27:50 อันนี้เป็นระยะระยะสั้นระยะเบื้องต้นนะ
00:27:50 → 00:27:53 ครับแต่เนื่องจากว่าคนเนี่ยที่กินนานๆ
00:27:54 → 00:27:57 เนี่ยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองประสาททำ
00:27:57 → 00:28:00 ให้เมื่อเค้ากินไปนานๆเนี่ยเจะขาดไม่ได้
00:28:00 → 00:28:03 เพราะว่าแอลกอฮอล์เนี่ยกดประสาทเขาไว้นาน
00:28:03 → 00:28:05 นานจนสมองปรับตัวว่าต้องมีแอลกอฮอล์มา
00:28:05 → 00:28:08 ตลอดนะเจะรู้สึกอยากโดยที่บางทีใจเ้าไม่
00:28:08 → 00:28:11 ได้อยากแต่ร่างกายเ้ารู้สึกว่ามันขาดแล้ว
00:28:11 → 00:28:13 มันต้อง
00:28:13 → 00:28:18 กิน This Is Thai PBS
00:28:18 → 00:28:21 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:28:21 → 00:28:23 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:28:23 → 00:28:28 www.thaipbs.or.th
00:28:28 → 00:28:31 PBS podcast รวมถึงฟังผ่าน podcast
00:28:31 → 00:28:35 ช่องทางอื่นๆ spotify YouTube Apple
00:28:35 → 00:28:38 podcast และ Sound Cloud
00:28:38 → 00:28:41 [เพลง]