00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับวันนี้จะเป็นคลิปภาคต่อในการ
00:00:03 → 00:00:07 วิเคราะห์ของครั้งก่อนนะครับเพราะว่าคลิป
00:00:07 → 00:00:09 ต้นทางเนี่ยมีทั้งหมด 2 คลิปด้วยกันแล้ว
00:00:09 → 00:00:11 เป็นความเข้าใจทางการแพทย์ที่คลาดเคลื่อน
00:00:11 → 00:00:14 แต่ว่าคลิปนี้ที่ผมต้องอามาพูดซ้ำเพราะ
00:00:14 → 00:00:19 ว่าน่าเป็นห่วงมากผมเป็นห่วงสุขภาพของผู้
00:00:19 → 00:00:21 ที่ฟังแล้วเชื่อแล้วไปทำตามมากๆเลยที
00:00:21 → 00:00:27 เดียวนะครับคลิปนี้เนี่ยถ้ายังไงผมอยากจะ
00:00:27 → 00:00:30 ให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆสาขารวมทั้ง
00:00:30 → 00:00:34 แพทย์สภาได้มาเห็นนะครับแล้วตัดสินด้วย
00:00:34 → 00:00:37 ความรู้ความสามารถของท่านเลยนะครับว่า
00:00:37 → 00:00:40 คลิปนี้สิ่งที่ผู้พูดพูดมันจริงเท็จแค่
00:00:40 → 00:00:44 ไหนนะครับมีความถูกต้องทางการแพทย์แค่ไหน
00:00:44 → 00:00:46 อย่างไรนะ
00:00:46 → 00:00:50 ครับคลิปนี้เนี่ยต้องบอกว่ามันอันตรายที่
00:00:50 → 00:00:53 อันตรายมากๆคือเรื่องของยาผู้พูดเน้นย้ำ
00:00:54 → 00:00:56 ไว้เสมอว่ายาคือสารเคมีคือสิ่งแปละปลอม
00:00:56 → 00:01:00 กินนานๆแล้วไตวายแน่ๆนะครับสุดท้ายจบที่
00:01:00 → 00:01:05 การล้างไตถ้ามีคนเชื่อฟังแล้วเอาไปทำตาม
00:01:05 → 00:01:11 ผมเห็นหายนะลอยมาครับหายนะที่ผู้ป่วยโรค
00:01:11 → 00:01:14 สตกหรือโรคหัวใจแล้วไปหยุดกินยาสแตติน
00:01:14 → 00:01:18 ด้วยตัวเองโรคกำเริบครับคุณอาจจะเสีย
00:01:18 → 00:01:23 ชีวิตนะครับหรือเป็นหนักขึ้นแล้วผู้พูด
00:01:23 → 00:01:26 ที่พูดในคลิปนั้นไม่ใช่ผู้ที่ต้องรักษาคน
00:01:26 → 00:01:30 เหล่านี้ไม่ใช่คนที่ต้องมารับรับผิดชอบ
00:01:30 → 00:01:34 แต่อย่างใดแต่ภาระทั้งหมดนั้นจะตกอยู่กับ
00:01:34 → 00:01:38 คุณหมอหลายคนที่ต้องรักษาคนไข้เหล่านี้
00:01:38 → 00:01:43 ที่หยุดยาด้วยตัวเองและที่สำคัญครับคนไข้
00:01:43 → 00:01:48 บางคนปักใจเชื่อมากๆเลยพอกลับมารักษาก็จะ
00:01:48 → 00:01:51 ไม่ยอมทำตามที่หมอแผนปัจจุบันแนะนำนี่
00:01:51 → 00:01:58 แหละครับหายนะสุดๆเลยนะครับดังนั้นวันนี้
00:01:58 → 00:02:04 ผมฟังคลิปต้นทางทั้งคลิปแล้วก็ผมได้เขียน
00:02:04 → 00:02:06 ออกมาเป็นข้อๆในการ
00:02:06 → 00:02:09 วิเคราะห์ต้องบอกว่าจริงๆผมไม่อยากจะฟัง
00:02:09 → 00:02:11 ตั้งแต่แรกแล้วครับเพราะว่ารู้ว่ามันไม่
00:02:11 → 00:02:15 ถูกต้องหลายอย่างแต่เพื่อความเป็นธรรมผม
00:02:15 → 00:02:18 ก็ต้องฟังทั้งหมดแล้วดูซิว่าอะไรถูกอะไร
00:02:18 → 00:02:20 ผิดนะครับเดี๋ยววันนี้จะวิเคราะห์ให้ฟัง
00:02:20 → 00:02:23 ทุกประเด็นเลยนะครับพบกับผมนะครับนาย
00:02:23 → 00:02:25 แพทย์ธนีธนียวันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่
00:02:25 → 00:02:27 ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการ
00:02:27 → 00:02:30 ปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:02:30 → 00:02:33 ประเด็นแรกคือเรื่องของสมดุลกรดดันของ
00:02:33 → 00:02:35 ร่างกายผู้พูดบอกว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกาย
00:02:36 → 00:02:38 เป็นกรดนั้นมันจะทำให้เกิดมะเร็งขึ้นมา
00:02:38 → 00:02:41 ได้นะครับแล้วก็ยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่งนะ
00:02:41 → 00:02:43 ครับเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวลิวคีเมียนั่น
00:02:43 → 00:02:47 เองนะครับพอซักประวัติไปบอกว่าโอ้เด็กคน
00:02:47 → 00:02:50 นี้เขากินน้ำอารมณ์ทุกวันเลือดเขาเป็นกรด
00:02:50 → 00:02:53 จึงเกิดโรคมะเร็งขึ้นมาทั้งหมดเนี่ยไม่
00:02:53 → 00:02:56 เป็นความจริงเลยสักอย่างนะครับประการแรก
00:02:56 → 00:03:00 สมดุลกรดแตนของร่างกายเรานั้นจะถูกควบควบ
00:03:00 → 00:03:03 คุมอย่างเข้มงวดนะครับให้ค่าพีของร่างกาย
00:03:03 → 00:03:07 มันจะอยู่ในช่วง 7.35 - 7.45 และส่วน
00:03:07 → 00:03:10 ใหญ่ก็จะอยู่ตรงกลางเป๊ะนั่นก็คือ 7.40
00:03:10 → 00:03:14 นะครับร่างกายของเราเนี่ยจะไม่สามารถทำ
00:03:14 → 00:03:19 งานได้ถ้าร่างกายเป็นกรดพีต่ำกว่า 7.35
00:03:19 → 00:03:21 แล้วก็ไม่สามารถทำงานได้ด้วยถ้าร่างกาย
00:03:21 → 00:03:23 เป็นด่างพีสูงกว่า
00:03:23 → 00:03:27 7.45 ดังนั้นกลไกร่างกายจึงควบคุมให้พ
00:03:27 → 00:03:29 มันอยู่ตรงนี้
00:03:29 → 00:03:31 งั้นข้อแรกที่บอกว่าร่างกายเป็นกรดทำให้
00:03:31 → 00:03:34 เกิดมะเร็งมันจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ครับ
00:03:34 → 00:03:37 เพราะว่าร่างกายของคุณไม่มีทางเป็นกรดต่ำ
00:03:37 → 00:03:41 กว่า 7.35 แน่นอนจะมีข้อยกเว้นก็ต่อเมื่อ
00:03:41 → 00:03:45 คุณป่วยด้วยอาการช็อต่างๆนะครับหรือคุณ
00:03:45 → 00:03:48 เกิดกรดแลคติขึ้นมาในร่างกายเยอะมากๆนะฮะ
00:03:48 → 00:03:50 หรือคุณเป็นโรคติดเชื้อที่บัดรุนแรงเข้า
00:03:50 → 00:03:53 ICU โอเคอันนั้นคือเกิดชั่วคราวคุณรักษา
00:03:53 → 00:03:55 หายก็หายรักษาไม่หายอาจจะเสียชีวิตตรง
00:03:55 → 00:03:59 นั้นแต่แม้กระทั่งตรงนั้นถึงแม้ว่าพีใน
00:03:59 → 00:04:02 ร่างกของคุณเป็น 7.2 คุณเอาไบคาร์บอเนตไป
00:04:02 → 00:04:04 เติมให้เป็นด่างคุณก็ไม่ได้หายจากโรคติด
00:04:04 → 00:04:08 เชื้อครับมันคนละเรื่องกันพีที่ต่ำขนาด
00:04:08 → 00:04:12 นั้นในคนที่เป็นโรคติดเชื้อมันเป็นผลต่อ
00:04:12 → 00:04:16 เนื่องมาจากการติดเชื้อถ้าคุณไม่ฆ่าเชื้อ
00:04:16 → 00:04:19 ต่อให้คุณทำให้เลือดเป็นด่าคุณก็เสีย
00:04:19 → 00:04:22 ชีวิตเช่นกันแล้วถ้าในภาวะนั้นมีคนเชื่อ
00:04:22 → 00:04:26 บอกว่าฉันจะไม่ใช้ยาอะไรเลยโอเคครับคนไข้
00:04:26 → 00:04:30 เสียชีวิต 100% ไม่มีทางรอดแน่นแน่ๆถ้า
00:04:30 → 00:04:32 คุณติดเชื้อหนักขนาดนั้นแล้วบอกว่าไม่
00:04:32 → 00:04:35 ต้องการรับสารเคมีที่เป็นยาเข้าไปในร่าง
00:04:35 → 00:04:38 กายเพราะมันจะทำให้ตายวายอ่าคุณอาจจะเสีย
00:04:38 → 00:04:41 ชีวิตก่อนที่คุณจะมีไตให้วายก็ได้นะครับ
00:04:41 → 00:04:45 อืนี่ประเด็นแรกเลยนะงั้นข้อแรกร่างกาย
00:04:45 → 00:04:47 ไม่มีทางเป็นกรดเรื้อรังขนาดที่จะทำให้
00:04:47 → 00:04:50 คุณมีปัญหาจนเป็นโรคมะเร็งแล้วสมัยก่อน
00:04:50 → 00:04:53 โอเคความรู้นี่มันมาจากไหนสมัยก่อนเนี่ย
00:04:54 → 00:04:56 เามีการศึกษาคนที่เป็นโรคมะเร็งเไปเจอว่า
00:04:56 → 00:05:00 ไอ้บริเวณรอบๆมะเร็งเนี่ยมันมีพีเป็นกรด
00:05:00 → 00:05:03 แต่ร่างกายเราพีชเป็นปกติ 7.4 นะแต่เฉพาะ
00:05:03 → 00:05:05 ไอ้รอบๆมะเร็งเยเป็นกรดดังนั้นจึงมี
00:05:05 → 00:05:09 สมมุติฐานที่บอกว่าเอ้อการที่ร่างกายเป็น
00:05:09 → 00:05:13 กรดมันทำให้เป็นมะเร็งแต่ย้อนไปเมื่อกี้
00:05:13 → 00:05:15 ครับร่างกายคุณไม่เป็นกรดตั้งแต่แรกแล้ว
00:05:15 → 00:05:18 นะฮะมันเป็นเพราะว่าคุณเกิดมะเร็งขึ้นไป
00:05:18 → 00:05:20 ในร่างกายแล้วมะเร็งมันสร้างสิ่งแวดล้อม
00:05:20 → 00:05:23 รอบๆมันให้เป็นกรดต่างหากล่ะไม่ใช่ว่า
00:05:23 → 00:05:25 ร่างกายเป็นกรดแล้วมะเร็งจึงงอกออกมาที
00:05:25 → 00:05:28 หลังมันคนละประเด็นกันเลยนะครับดังนั้น
00:05:28 → 00:05:30 ร่างกายคุณไม่มีทางเป็นกดได้ตั้งแต่แรก
00:05:30 → 00:05:33 แล้วแล้วก็ร่างกายคุณไม่สามารถทำให้เกิด
00:05:33 → 00:05:35 มะเร็งได้ด้วยการเป็นกรดแล้วเด็กเมื่อ
00:05:35 → 00:05:38 ตะกี้ที่บอกว่า 5 ขวบกินน้ำอลมทุกวันแล้ว
00:05:38 → 00:05:41 กลายไปเป็นมะเร็งลิวคีเมียผมกล้าท้าคุณ
00:05:41 → 00:05:44 อย่างนึงคุณลองดื่มน้ำอลมเข้าไปเยอะๆแล้ว
00:05:44 → 00:05:46 คุณไปเจาะเลือดดูค่าพีในร่างกายคุณเลย
00:05:46 → 00:05:50 ครับว่ามันสามารถทำให้พีชต่ำกว่า 7.35
00:05:50 → 00:05:54 ได้หรือไม่ผมพนันคุณก็ได้ไม่มีทางไม่มี
00:05:54 → 00:05:57 ทางเลยครับคุณกินน้ำอารมณ์เข้าไปเนี่ยย 10
00:05:57 → 00:06:00 ขวดเลยเอายี่ห้อที่คุณชอบดื่มไป 10 ขวด
00:06:00 → 00:06:02 แล้วหลังจากนั้นคุณเจาะเลือดทันทีดูซิว่า
00:06:02 → 00:06:06 เลือดคุณจะเป็นกรดมนะครับพของคุณจะอยู่ใน
00:06:06 → 00:06:11 ช่วง 7.35 - 7.45 แน่ๆแน่ๆด้วยโอเคถ้า
00:06:11 → 00:06:13 เกิดคุณบอกว่าคุณไม่อยากจะเจาะไม่กล้า
00:06:13 → 00:06:16 เจาะในเรื่องของพีที่เส้นเลือดแดงพีชที่
00:06:16 → 00:06:19 ผมพูดเมื่อกี้คือพีของเส้นเลือดแดงนะครับ
00:06:19 → 00:06:22 อ่ะเจาะจากตรงนี้นะถ้าคุณกลัวเจ็บคุณเจาะ
00:06:22 → 00:06:25 จากเส้นเลือดดำก็ได้แต่ว่าค่าพีมันจะต่าง
00:06:25 → 00:06:28 จากปกตินิดนึงนั่นก็คือมันจะอยู่ในช่วง 7
00:06:28 → 00:06:33 จุดอ่า 32 ประมาณนี้นะครับมันจะต่ำกว่าใน
00:06:33 → 00:06:37 เส้นเลือดแดงประมาณ 0.03 นะแล้วบางคนก็
00:06:37 → 00:06:40 อยู่ในช่วงสูงกว่านั้นอีกต่างหากนะครับ
00:06:40 → 00:06:43 งั้นคุณลองเจาะดูว่าเลือดเป็นกรดมนะคุณ
00:06:43 → 00:06:45 ลองคุณลองกินน้ำอลมขึ้นไปเยอะก็ได้แล้ว
00:06:45 → 00:06:47 ลองดูซิว่ามันเป็นงั้นหรือเปล่าบอกเลย
00:06:47 → 00:06:50 ครับไม่มีทางนะฮะดังนั้นสมมุติที่ฐานที่
00:06:50 → 00:06:52 บอกว่าเด็กคนเนี้ยเค้าเป็นมะเร็งเพราะว่า
00:06:52 → 00:06:54 เขาคกินนาอารมทุกวันไม่จริงครับไม่จริง
00:06:54 → 00:07:00 เลยนะฮะแล้วมีการบอกว่าเอ้อเราเนี่ยจะ
00:07:00 → 00:07:01 เพิ่มความเป็นด่างในร่างกายเราเนี่ยมันจะ
00:07:02 → 00:07:03 ทำให้เกิดผลดีหลายๆอย่างไม่ว่าเราจะกิน
00:07:03 → 00:07:07 จากน้ำแร่น้ำด่างอ่าสมุนไพรต่างๆนะครับ
00:07:07 → 00:07:09 หรือกินผักเข้าไปเยอะๆมันจะทำให้ร่างกาย
00:07:09 → 00:07:12 ของเราเป็นด่างนะฮะหรือเรากินไบคาร์บอเนต
00:07:12 → 00:07:15 เข้าไปในร่างกายมันจะทำ
00:07:15 → 00:07:18 ให้ร่างกายเราเพิ่มออกซิเจนขึ้นมาได้
00:07:18 → 00:07:20 ไบคาร์บอเนตเพิ่มออกซิเจนในร่างกายได้ทำ
00:07:20 → 00:07:23 ให้ร่างกายออกกำลังกายได้อย่างดีมีระบบ
00:07:23 → 00:07:25 เมตาบอลิซึมเผาพลานที่ดีนะครับทำให้ไม่
00:07:25 → 00:07:28 ติดเชื้อนะครับแล้วพอคุยมาถึงตรงนี้เนี่ย
00:07:28 → 00:07:31 ต้องบอกว่าพิธีกรก่อนบอกว่าโอเคความรู้
00:07:31 → 00:07:34 ตรงนี้ยังคงเป็นความรู้ที่ถกเถียงหรือ
00:07:34 → 00:07:38 controversial อยู่แต่ผู้พูดตอบว่าครับ
00:07:38 → 00:07:40 ความรู้ที่ไม่ controversial แล้วเครู้
00:07:40 → 00:07:45 แน่ชัดแล้วว่าเป็นอย่างที่เขาพูดโอเคครับ
00:07:45 → 00:07:48 ความรู้นี้ไม่ controversial แล้วไม่มี
00:07:48 → 00:07:52 controversy อีกต่อไปอืมแต่สิ่งที่ไม่
00:07:52 → 00:07:55 controversial ไม่มีข้อโต้แย้งก็คือความ
00:07:55 → 00:07:57 รู้ที่คุณพูดมาน่ะไม่ถูกต้องครับอันเนี้ย
00:07:57 → 00:08:00 ไม่มีข้อโต้แย้งครับไม่ถูกต้องเลยสักนิด
00:08:00 → 00:08:03 เดียวก็ไม่ถูกนะครับประการแรกนะครับ
00:08:04 → 00:08:06 ไบคาร์บอเนตเพิ่มออกซิเจนในร่างกายคุณผม
00:08:06 → 00:08:08 ให้คุณพิสูจน์ดูก็
00:08:08 → 00:08:11 ได้ใครที่มี smart watch ที่สามารถ W
00:08:11 → 00:08:14 ออกซิเจนในร่างกายได้หรือใครที่มี Power
00:08:14 → 00:08:17 ออกซิที่เอาไว้วัดออกซิเจนปลายนิ้วที่ยัง
00:08:17 → 00:08:19 คงหลงเหลือมามันในไยุคโควิดเนี่ยคุณเอามา
00:08:19 → 00:08:21 แปะที่นิ้วคุณก็ได้แล้วก็ดูซิว่าออกซิเจน
00:08:21 → 00:08:24 คุณกี่เปอร์เซ็นต์คุณลองกินใบคบตเข้าไปนะ
00:08:24 → 00:08:27 ครับเยอะๆแล้วดูซิว่าออกซิเจนคุณสูงขึ้น
00:08:27 → 00:08:30 มาหรือเปล่า
00:08:30 → 00:08:32 ไม่เกี่ยวกันเลยมันไม่มีทางสูงขึ้นมาแน่ๆ
00:08:32 → 00:08:35 นะครับอ่านี้ประเด็นแรกนะประเด็นที่ 2
00:08:35 → 00:08:38 บอกว่าเออมันทำให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น
00:08:38 → 00:08:41 แข็งแรงขึ้นนะครับมีคนกินเข้าไปแล้วให้ไป
00:08:41 → 00:08:43 ออกกำลังกายไปวิ่งไปทำอะไรมาเนี้ยโอ้ออก
00:08:43 → 00:08:47 แรงได้ดีวิ่งเพสดีขึ้นเอ่อไม่เกี่ยวกับ
00:08:47 → 00:08:49 อะไรกันนะครับมันไม่เกี่ยวกับสมดุลกรดดัง
00:08:49 → 00:08:52 ในร่างกายทำคุณวิ่งเพสได้ดีขึ้นหรอกนะฮะ
00:08:52 → 00:08:55 สิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยถ้าจะให้เกี่ยวข้อง
00:08:55 → 00:08:57 นะอาจจะเกี่ยวข้องกับโซเดียมที่อยู่ใน
00:08:57 → 00:08:59 นั้นโซเดียมไบคาร์บอเนต
00:08:59 → 00:09:01 โซเดียมเนี่ยมันทำให้ความดันของคุณเพิ่ม
00:09:01 → 00:09:03 ขึ้นแล้วอันนี้แหละมันจำเป็นต่อการออก
00:09:03 → 00:09:06 กำลังกายนะเพราะว่าเราต้องการเลือดที่ไป
00:09:06 → 00:09:08 เลี้ยงตามที่ต่างๆแล้วสูบฉีดด้วยความดัน
00:09:08 → 00:09:12 โลหิตที่สูงขึ้นมันจะได้ออกแรงได้ดีขึ้น
00:09:12 → 00:09:16 อ่ะแต่ในนั้นน่ะเขาคก็แย้งหมอทั่วไปด้วย
00:09:16 → 00:09:18 บอกว่าการกินโซเดียมใบขาบเข้าไปเยอะๆ
00:09:18 → 00:09:22 เนี่ยมันจะทำให้ความดันสูงเป็นความรู้ที่
00:09:22 → 00:09:24 ไม่ถูกต้องแล้วก็บอกว่าเหตุผลที่ทำให้
00:09:24 → 00:09:26 ความลหิตมันสูงจากโซเดียมเนี่ยต้องเป็น
00:09:26 → 00:09:27 โซเดียม
00:09:27 → 00:09:30 คลอไรด์เพราะว่าในนั้นมันมีคลอไรด์มัน
00:09:30 → 00:09:31 เป็น
00:09:31 → 00:09:34 กรดไม่ถูกต้องครับโซเดียมไม่ว่าจะเป็น
00:09:34 → 00:09:37 โซเดียมที่ไหนมันก็คือโซเดียมครับนะมันก็
00:09:37 → 00:09:41 คือโซเดียมโซเดียมไบคาร์บอเนตถ้าคุณเข้า
00:09:41 → 00:09:43 ใจหลัก
00:09:43 → 00:09:46 pathophysiology หรือพื้นฐานของกลไก
00:09:46 → 00:09:50 มนุษย์มันก็ทำให้คุณเนี่ยเก็บน้ำไว้ใน
00:09:50 → 00:09:51 ร่างกายความดันก็ขึ้นได้อยู่ดีนั่นแหละ
00:09:52 → 00:09:55 ครับหมอโรคไตเค้าจึงมีความระมัดระวังใน
00:09:55 → 00:09:57 เรื่องนี้ถ้าให้มากจนเกินไปโซเดียมก็เกิน
00:09:57 → 00:10:00 ในร่างกายนะครับเกินในร่างกายได้อยู่ดี
00:10:00 → 00:10:04 งั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเข้าใจมัน
00:10:04 → 00:10:07 ไม่ถูกต้องนะครับโซเดียมคลอไรด์ทำให้ร่าง
00:10:07 → 00:10:10 กายเป็นกรดได้แค่ไหนนิดเดียวมากๆเลยคุณ
00:10:10 → 00:10:12 กินเข้าไปร่างกายคุณไม่ได้เป็นกรดอะไรมาก
00:10:12 → 00:10:15 มายขนาดนั้นหรอกนะครับไม่ได้เป็นไม่
00:10:15 → 00:10:18 เกี่ยวกันเลยนะครับไม่เกี่ยวกันเลยถ้ามัน
00:10:18 → 00:10:20 จะเป็นก็เป็นนิดเดียวแล้วร่างกายคุณเนี่ย
00:10:20 → 00:10:23 มันก็จัดการเรียบร้อยนะครับร่างกายเรามี
00:10:23 → 00:10:26 ระบบที่เรียกว่าบัฟเฟอร์ที่ดีนะครับคือ
00:10:26 → 00:10:28 เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่พีร่างกายเรา
00:10:28 → 00:10:30 เปลี่ยนแปลงไปอ่ะร่างกายต้องดึงให้มัน
00:10:30 → 00:10:32 เข้ามาอยู่ที่ 7.4 อยู่ดีสมมุติว่าคุณกิน
00:10:32 → 00:10:35 กรดเข้าไปเยอะๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณนะ
00:10:35 → 00:10:39 ครับประเด็นแรกเลยนะปอดของคุณมันจะหายใจ
00:10:39 → 00:10:41 เร็วขึ้นเพื่อขับเอากรดคาร์บอนไดออกไซด์
00:10:41 → 00:10:44 เนี่ยออกไปทางลมหายใจก็จะทำให้พีของเลือด
00:10:44 → 00:10:49 เรากลับสู่ค่ากลางนะครับอันนี้เกิดทันที
00:10:49 → 00:10:52 แต่ถ้าเป็นบอกว่าเออกรดไปทำให้ไตต้องทำ
00:10:52 → 00:10:54 งานหนักแล้วไตมันจะเก็บไบคาร์บอเนตไว้
00:10:54 → 00:10:57 เพื่อที่จะทำให้กรดมันเอ่อกลายเป็นกลาง
00:10:57 → 00:10:59 อันเนี้ยใช้เวลา 2-3 วันมันไม่ได้เกิด
00:10:59 → 00:11:03 ขึ้นทันทีนะครับบัฟเฟอร์อีกระบบนึงก็คือ
00:11:03 → 00:11:06 พวกกระดูกต่างๆโอเคบางคนจะกลัวบอกเ้ยกิน
00:11:06 → 00:11:07 น้ำอารมเข้าไปเยอะแล้วกระดูกมันพรุนอะไร
00:11:07 → 00:11:09 ขนาดนั้นหรือเปล่าอันนั่นน่ะคุณต้องกิน
00:11:09 → 00:11:12 แบบมหาศาลเลยแหละกินแบบเป็นฤทธิ์ๆแล้วทุก
00:11:12 → 00:11:15 วันกินไปต่อเนื่องจนกระทั่งคุณต้องใช้
00:11:15 → 00:11:17 บัฟเฟอร์อยู่ตลอดเวลาอันนี้อาจจะเกี่ยวนะ
00:11:17 → 00:11:19 ครับแต่ถ้าเกิดคุณกินไปนิดเดียวมันไม่
00:11:19 → 00:11:22 เกี่ยวกันไม่เกิดขึ้นแน่ๆครับนั้นประเด็น
00:11:22 → 00:11:24 เนี้ยจึงไม่ถูกต้องแล้วสมมุติคุณกินด่าง
00:11:24 → 00:11:27 เข้าไปเยอะๆเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายรู้
00:11:27 → 00:11:29 มั้ยคุณจะหายใจช้าลง
00:11:29 → 00:11:32 ทำไมเพราะร่างกายคุณมันเป็นด่างคุณไม่ชอบ
00:11:33 → 00:11:35 ให้มันเป็นด่างเกินดังนั้นร่างกายต้อง
00:11:35 → 00:11:37 เก็บคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมันเป็นกรดไว้ใน
00:11:37 → 00:11:40 ร่างกายเพื่อไปทำให้ด่างเนี่ยเข้าสู่กลาง
00:11:40 → 00:11:42 อยู่ดีนั่นแหละดังนั้นพีของคุณจึงไม่มี
00:11:42 → 00:11:46 ทางสูงไปกว่า 7.45 ได้ในภาวะปกติถึงแม้
00:11:46 → 00:11:51 ว่าคุณจะกินอะไรเข้าไปก็ตามครับนะ
00:11:51 → 00:11:53 อ่าแล้วก็บอก
00:11:53 → 00:11:59 ว่าการกินโซดามินท์
00:11:59 → 00:12:01 ถ้าไตที่มันสูงขึ้นนั่นหมายความว่าไต
00:12:01 → 00:12:04 กำลังแย่ละเนซดามินมันจะทำให้กลับสู่ภาวะ
00:12:04 → 00:12:07 ปกติไม่มีความจริงครับไม่มีความจริงอะไร
00:12:07 → 00:12:13 เลยนะครับการกินโซดามินท์
00:12:13 → 00:12:16 สู่ปกติแล้วเผิดเผลอถ้าเกิดว่าคุณกินเยอะ
00:12:16 → 00:12:18 เกินไปนะครับโซเดียมเยอะคุณมีความดัน
00:12:18 → 00:12:21 โลหิตสูงโรคไตคุณจะเป็นมากขึ้นเสียอีก
00:12:21 → 00:12:24 ด้วยนะครับดังนั้นอันนี้จึงไม่ใช่ความรู้
00:12:24 → 00:12:27 ที่ถูกต้องนะครับการกินโซดามินท์
00:12:27 → 00:12:31 ไตแล้วก็ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคไตแต่อย่าง
00:12:31 → 00:12:35 ใดเลยครับนะฮะที่น่ากลัวไปกว่านั้นครับ
00:12:35 → 00:12:39 บอกว่าโซลินที่ใช้กินป้องกันมะเร็งหรือ
00:12:39 → 00:12:41 ว่าทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงเนี่ยอ่าจะ
00:12:41 → 00:12:44 ต้องกิน 30-40 เม็ดเลยทีเดียวหรือมากกว่า
00:12:44 → 00:12:47 นั้นด้วยตามน้ำหนัก
00:12:47 → 00:12:51 ตัวอืมแล้วก็อ้างอินงานวิจัยในหนูที่บอก
00:12:51 → 00:12:54 ว่ามีหนู 2 กลุ่มเป็นมะเร็งนะครับอ่าแล้ว
00:12:54 → 00:12:56 กลุ่มนึงเนี่ยกินน้ำที่เป็นด่างอีกกลุ่ม
00:12:56 → 00:12:58 นึงกินน้ำธรรมดาปรากฏว่าไอ้กลุ่มที่กิน
00:12:58 → 00:13:00 น้ำที่เป็นด่างเนี่ยมะเร็งของเค้าเนี่ย
00:13:00 → 00:13:02 ไม่แพร่กระจายเลยส่วนไอ้คนหนูที่กินน้ำ
00:13:03 → 00:13:06 ปกติเนี่ยมะเร็งแพร่กระจายนะครับแล้วก็
00:13:06 → 00:13:08 บอกว่ามันเกี่ยวข้องกับการกินน้ำด่างเข้า
00:13:08 → 00:13:11 ไปมะเร็งมันถึงไม่แพร่กระจายคุณลองเอางาน
00:13:11 → 00:13:14 วิจัยนี้มาอ่านให้ผมฟังหน่อยผมอยากรู้
00:13:14 → 00:13:17 เหมือนกันว่าคุณอ่านงานวิจัยแล้วสรุปถูก
00:13:17 → 00:13:20 ต้องแค่ไหนเพราะว่าถ้าเป็นคนที่มีสามัญ
00:13:20 → 00:13:22 สำนึกทางวิทยาศาสตร์ดีนะครับ scientific
00:13:22 → 00:13:26 Common Sense จะเข้าใจได้ 100% ว่างาน
00:13:27 → 00:13:31 เนี้ยมันทำไม่ดีถ้างานนี้นะเสรุปว่าน้ำ
00:13:31 → 00:13:33 ด่างเป็นตัวป้องกันไม่ให้มะเร็งมันแพร่
00:13:33 → 00:13:37 กระจายนะผิดแหงๆผิดแหงๆเลยผมกล้ารับ
00:13:37 → 00:13:40 ประกันเลยนะครับคุณลองเข้าไปอ่านงานตัว
00:13:40 → 00:13:42 นี้ดีๆแล้วผมก็ไม่เห็นลิงก์งานวิจัยทิ้ง
00:13:42 → 00:13:44 ไว้ดังนั้นผมไม่สามารถเอามาอ่านให้คุณฟัง
00:13:44 → 00:13:47 ได้นะครับถ้าใครทิ้งลิงงานวิจัยนี้ไว้
00:13:47 → 00:13:49 เดี๋ยวเรามาอ่านกันนะเราเข้าไปดูเลยว่า
00:13:50 → 00:13:53 ตกลงแล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่จำนวน
00:13:53 → 00:13:55 ตัวอย่างมีเพียงพอมยการทดลองในหนูมี
00:13:55 → 00:13:57 ปัจจัยอย่างอื่นอะไรอีกหรือเปล่านะครับ
00:13:57 → 00:14:01 เยอะแยะไปหมดนะครับนะแล้วงานวิจัยนี้ทำ
00:14:01 → 00:14:03 ซ้ำต้องได้ผลเหมือนเดิมด้วยนะถ้าเกิดสรุป
00:14:03 → 00:14:05 ว่าน้ำด่างเนี่ยมันมีผลในการช่วยเรื่อง
00:14:05 → 00:14:08 มะเร็งมันไม่ใช่งานวิจัย 1 งานแล้วคุณจะ
00:14:08 → 00:14:11 เชื่อมันได้ที่สำคัญงานวิจัยในหนูหนูกับ
00:14:11 → 00:14:15 คนคุณเป็นหนูเหรอเออผมไม่รู้คุณเป็นหนู
00:14:15 → 00:14:18 เหรอไม่ใช่นะถ้าคุณทำงานวิจัย 1 อันคุณ
00:14:18 → 00:14:20 ต้องมีงานอีก 2-3 อันอีกหลายๆอันที่คน
00:14:20 → 00:14:22 อื่นทำก็ต้องได้ผลเหมือนกับคุณนั่นแหละ
00:14:22 → 00:14:24 ถ้ามีงานวิจัยแค่ 1 งานแล้วเอางานเนี้ย
00:14:24 → 00:14:27 ที่ไม่ใช่ทำในคนมาอ้างอิงอะไรักอย่าง
00:14:27 → 00:14:31 เชื่อไม่ได้ครับไม่ได้เลยนะฮะแล้วการกิน
00:14:31 → 00:14:33 โซลินเนี่ยเ้าบอกว่า
00:14:34 → 00:14:37 เอิมมันทำให้หลอดเลือดขยายสามารถลดความ
00:14:38 → 00:14:41 ดันลงไม่ใช่และตรงกันข้ามความดันอาจจะ
00:14:41 → 00:14:43 เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไปนะครับที่สำคัญคือการ
00:14:43 → 00:14:46 ที่บอกว่ากินซลินเข้าไปวันละ 30-40 เมต
00:14:46 → 00:14:49 หรือมากกว่านั้นอันนี้สุดยอดไม่เห็นด้วย
00:14:49 → 00:14:52 เลยนะข้อแรกนะมันไม่มีประโยชน์ตั้งแต่แรก
00:14:52 → 00:14:55 แล้วครับมันไม่สามารถทำให้เลือดของคุณ
00:14:55 → 00:14:56 กลายไปเป็นด่างได้หรอกเพราะว่าร่างกายคุณ
00:14:56 → 00:14:59 มันไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นมฉะนั้นเ็นซมต่าง
00:14:59 → 00:15:01 ๆในร่างกายทำงานไม่
00:15:01 → 00:15:05 ได้นะครับทำไม่ได้นะแล้วคุณกินเข้าไปขนาด
00:15:05 → 00:15:09 นั้นน่ะเค้าก็จะบอกว่าเออลองดูซิคนไหนที่
00:15:09 → 00:15:12 กินเข้าไปขนาดนั้นแล้วเดี๋ยวมันมีโรคอะไร
00:15:12 → 00:15:15 ขึ้นมา
00:15:15 → 00:15:19 อืมมันอาจจะไม่เป็นโรคนะแต่ผมว่าจะเป็น
00:15:19 → 00:15:22 บ้าไปซะก่อนนะครับถ้าคุณกินเข้าไปขนาด
00:15:22 → 00:15:26 นั้นน่ะไม่ได้แล้วแหละเยอะเกินไปคุณสร้าง
00:15:26 → 00:15:29 โซเดียมในร่างกายแบบมหาศาลนะครับคุณทำให้
00:15:29 → 00:15:32 ร่างกายคุณมีปัญหาโดยใช่เหตุแล้วบางคนกิน
00:15:32 → 00:15:34 เข้าไปขนาดนั้นได้สำลักเลยแหละอ่าเอาจจะ
00:15:34 → 00:15:37 บอกว่าโอเคเม็ดใหญ่ก็เอามันไปละลายน้ำ
00:15:37 → 00:15:38 แล้วดื่มเข้าไปเอาเป็นผงไแล้วกันอะไร
00:15:39 → 00:15:43 เงี้ยก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีนะครับตรงนี้ถ้า
00:15:43 → 00:15:46 เกิดว่ายังไงเนี่ยก็ลองให้หมอโรคไต่มาลอง
00:15:46 → 00:15:50 วิเคราะห์ดูหรือว่าใครที่เข้าใจนะครับใน
00:15:50 → 00:15:53 เรื่องของสมดุลของร่างกายเนี่ยลองมา
00:15:53 → 00:15:56 อธิบายตรงนี้ดูหน่อยหรือลองส่งให้ทางผู้
00:15:56 → 00:15:59 เชี่ยวชาญทุกๆคนช่วยกันวิเคราะห์ดูซิว่า
00:15:59 → 00:16:02 มันทำได้อย่างงั้นหรือป่าแล้วทาน
00:16:02 → 00:16:03 ไบคาร์บอเนตเข้าไปขนาดนั้นนโซเดียม
00:16:03 → 00:16:05 ไบคาร์บอเนตเข้าไปโซลินเข้าไปเยอะขนาด
00:16:05 → 00:16:08 นั้นเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายลองดูก็ได้
00:16:08 → 00:16:10 ครับเพราะว่าพคนุไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
00:16:10 → 00:16:14 ขนาดนั้นหรอกครับอืต่อมาเรื่องของอาหาร
00:16:14 → 00:16:17 กับไมโครเวฟนะครับบอกว่าการกินอาหารใส่
00:16:17 → 00:16:19 ไมโครเวฟเนี่ยเนื่องจากไมโครเวฟมันเป็น
00:16:19 → 00:16:21 คลื่นอิเล็กโทรแมกเนติกนะครับทำให้
00:16:21 → 00:16:24 โมเลกุลในอาหารมันเปลี่ยนแปลงแล้วก็นำไป
00:16:24 → 00:16:29 สู่โรคมะเร็งเดี๋ยวนะครับไมโครเวฟเนี่ยนะ
00:16:29 → 00:16:34 มันเป็นคลื่นที่ให้ความร้อนคลื่นที่ให้
00:16:34 → 00:16:38 ความร้อนแค่นั้นเลยมันไม่ใช่รังสีแมม
00:16:38 → 00:16:40 รังสี x รังสีเบต้าหรืออะไรพวกนี้ที่เป็น
00:16:40 → 00:16:44 กรรมตภาพรังสีที่สามารถเปลี่ยนแปลง DNA
00:16:44 → 00:16:48 อะไรได้และที่
00:16:48 → 00:16:52 สำคัญต่อให้มันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ของสิ่ง
00:16:52 → 00:16:55 นั้นที่เรามากินน่ะมันตายไปแล้วคุณ
00:16:55 → 00:16:59 เปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ได้เวลาที่รังสี
00:16:59 → 00:17:01 ต่างๆจะเปลี่ยนแปลง DNA จนกระทั่งสิ่งๆ
00:17:01 → 00:17:03 นั้นกลายเป็นมะเร็งหรือกลายเป็นสารที่มัน
00:17:03 → 00:17:06 มีปัญหาเนี่ยมันจะต้องเป็นสิ่งที่ยังมี
00:17:06 → 00:17:09 ชีวิตอยู่เพราะว่าสมมุติคุณมีเซลล์นึงยัง
00:17:09 → 00:17:12 มีชีวิตมี DNA อยู่ในนั้นคุณเจอรังสีเข้า
00:17:12 → 00:17:14 ไปรังสีเปลี่ยนแปลง DNA DNA ตัวนี้เกิด
00:17:14 → 00:17:17 ปัญหาทำให้เซลล์เกลายไปเป็นมะเร็งนะครับ
00:17:17 → 00:17:20 เซลล์ต้องยังไม่ตายมันถึงจะแบ่งกลายเป็น
00:17:20 → 00:17:23 มะเร็งได้ถ้าเซลล์ตายไปแล้วไม่มีทางที่
00:17:23 → 00:17:27 เซลล์ที่ตายไปแล้วจะกลายไปเป็นมะเร็งครับ
00:17:27 → 00:17:29 และต่อให้คุณเปลี่ยนแปลงโมเลกุลอะไรของ
00:17:29 → 00:17:32 มันได้นะกินเข้าไปคุณก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
00:17:32 → 00:17:32 สัก
00:17:32 → 00:17:37 อย่างหรือคุณเจอว่าคนไหนที่กินอาหารจาก
00:17:37 → 00:17:41 ไมโครเวฟแล้วแปลงร่างกายเป็นมะเร็งผมกล้า
00:17:41 → 00:17:45 ทำบอกคุณได้เลยนะโลกเราเนี่ยเกือบจะทั้ง
00:17:45 → 00:17:48 ประเทศทั้งโลกนี่แหละน่าจะเคยกินอาหารที่
00:17:48 → 00:17:51 ทำจากไมโครเวฟมาบ้างไม่มากก็น้อยอย่างงี้
00:17:51 → 00:17:55 ก็แปลว่ามะเร็งเป็นทั้งโรคสิไม่น่าใช่นะ
00:17:55 → 00:17:57 บางคนกินมาอยู่ตั้งนานไม่เห็นเกิดอะไร
00:17:57 → 00:18:00 ขึ้นแล้วเคยมีการศึกษาเรื่องนี้นี้มีมั้ย
00:18:00 → 00:18:02 หรือคิดขึ้นไปเองว่าไมโครเวฟมันสามารถที่
00:18:02 → 00:18:04 จะเปลี่ยนแปลงโมเลกุลต่างๆแล้วเกิดมะเร็ง
00:18:04 → 00:18:08 ได้ไม่มีไม่เกี่ยวอะไรกันเลยไมโครเวฟไม่
00:18:08 → 00:18:11 ได้ทำให้เกิดอะไรของมะเร็งอย่างไรก็ตาม
00:18:11 → 00:18:15 ครับไอ้ตัวของไมโครเวฟเนี่ยสิ่งที่คุณใส่
00:18:15 → 00:18:18 เข้าไปในไมโครเวฟถ้ามันเสียตั้งแต่แรก
00:18:18 → 00:18:20 แล้วเนี่ยมันไม่สามารถทำให้สิ่งๆนั้นกลาย
00:18:20 → 00:18:23 เป็นของดีที่กินได้ครับเช่นคุณทิ้งข้าว
00:18:23 → 00:18:25 ไว้ข้างนอกจนกระทั่งเชื้อโรคมันงอกขึ้นมา
00:18:25 → 00:18:27 แล้วเนี่ยเป็นบัสซีรียเนี่ยมันเพิ่มขึ้น
00:18:27 → 00:18:29 มาเยอะแยะนะครับแล้วมีพิษอยู่ในนั้นแล้ว
00:18:29 → 00:18:32 คุณเอาไอ้เนี่ยไปเข้าไมโครเวฟแล้วคุณมา
00:18:32 → 00:18:34 กินคุณก็ป่วยอยู่ดีครับมันไม่ได้ทำให้คุณ
00:18:34 → 00:18:35 เนี่ยแข็งแรงขึ้นหรือว่ากินเข้าไปได้โดย
00:18:36 → 00:18:38 ที่คุณไม่ป่วยนะครับดังนั้นสิ่งที่เอาไป
00:18:38 → 00:18:40 ใส่ในไมโครเวฟจะต้องเป็นสิ่งที่มันไม่
00:18:40 → 00:18:43 เสียอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตู้เย็นนะครับ
00:18:43 → 00:18:46 ตามความเหมาะสมในช่องฟรีซหรืออาหารสำเร็จ
00:18:46 → 00:18:49 รูปอะไรก็แล้วแต่นะฮที่เข้าไมโครเวฟได้
00:18:49 → 00:18:51 ถ้ามันไม่เสียคุณกินเข้าไปคุณไม่ได้เป็น
00:18:51 → 00:18:54 มะเร็งไม่เกี่ยวอะไรกันนะครับพาชนะที่เอา
00:18:54 → 00:18:57 ไปใส่ในนั้นโอเคถ้าเป็นไปได้ก็ใช้พวก
00:18:57 → 00:18:59 กระเบื้องเพราะว่าพลาสติกต่อให้มันเป็น
00:18:59 → 00:19:02 พลาสติกที่ทนความร้อนก็มีการศึกษาว่ามัน
00:19:02 → 00:19:04 กลายไปเป็นไมโครพลาสติกแล้วเข้าไปในร่าง
00:19:04 → 00:19:06 กายได้อาจจะเปลี่ยนแปลงสมดุลฮอร์โมนหรือ
00:19:06 → 00:19:08 อะไรก็แล้วแต่นะครับตรงนั้นอาจจะเป็นไป
00:19:08 → 00:19:10 ได้ถ้าคุณไม่สบายใจคุณก็เอาไปใส่ชาม
00:19:10 → 00:19:12 กระเบื้องที่เข้าไปในไมโครเวฟได้นะครับ
00:19:12 → 00:19:15 แค่นั้นเลยนะฮะไม่ได้มีอันตรายอะไรไปมาก
00:19:15 → 00:19:18 กว่านั้นนะครับต้องขออภัยนะครับที่คลิป
00:19:18 → 00:19:20 นี้ยาวเพราะว่าผมจะวิเคราะห์ทุกประเด็น
00:19:20 → 00:19:23 จริงๆนะครับแล้วก็มาถึงประเด็นที่บอกว่า
00:19:23 → 00:19:27 การกินยาทำให้เลือดเป็นกรดนะครับแล้วเค้า
00:19:27 → 00:19:31 ก็ยกตัวอย่างเคสหนึบอกว่าว่าอ่ามีคนึง
00:19:31 → 00:19:34 อายุมากขึ้นนะครับแล้วก็เจอว่ามีไขมันใน
00:19:34 → 00:19:36 เลือดสูงหมอก็ให้กินยากลุ่มสแตตินเพื่อ
00:19:36 → 00:19:38 ที่จะลดไขมันนะครับพอกินไปกินมาเกิดการ
00:19:38 → 00:19:40 ปวดกล้ามเนื้อเพราะว่ามันไปลดการสร้าง
00:19:40 → 00:19:43 โคคิวเทนที่อยู่ในกล้ามเนื้อทำให้มันปวด
00:19:43 → 00:19:46 นะครับหลังจากนั้นเนี่ยก็เกิดเป็นโรค
00:19:46 → 00:19:48 กระเพาะนะต้องไปกินยากลุ่มโปรตอนปั๊ม
00:19:48 → 00:19:51 อินฮิบิเตอร์เพื่อที่จะลดกรดนะฮะแล้วผ่าน
00:19:51 → 00:19:55 ไปสักพักนึงก็ไตวายแล้วก็ให้เหตุผลว่า
00:19:55 → 00:20:00 ทั้งหมดนี้ที่ไตวายเป็นเพราะว่ายาพวกนี้
00:20:00 → 00:20:03 อันนี้เป็นความรู้ความคิดที่อันตรายสุด
00:20:03 → 00:20:06 ยอดมากเลยนะครับเพราะว่าอะไรรู้มยมันทำ
00:20:06 → 00:20:10 ให้คนไข้หลายคนถ้าเชื่อฟังอันเนี้ยจะแย่
00:20:10 → 00:20:14 เลยแหละแย่เลยสมมุติว่าคุณเป็นโรคสตกมา
00:20:14 → 00:20:16 คุณเป็นเส้นเลือดสมองตีบเนี่ยคุณต้องกิน
00:20:16 → 00:20:18 สแตตินนะเพราะถ้าคุณไม่กินแล้วล่ะก็สิ่ง
00:20:18 → 00:20:20 ที่เกิดขึ้นกับคุณก็คือคุณจะเป็นอีกรอบ
00:20:20 → 00:20:24 นึงแล้วคราวนี้ก็บายบายละคุณเป็นโรคหัวใจ
00:20:24 → 00:20:27 คุณมีไขมันสูงคุณไม่กินยาตอให้คุณทำวิธี
00:20:27 → 00:20:30 ธรรมชาติยังไงมันก็ไม่ดีขึ้นครับมันก็ไม่
00:20:30 → 00:20:33 ดีขึ้นยังไงคุณก็ต้องใช้แล้วคุณคิดดูถ้า
00:20:33 → 00:20:35 เกิดว่าไปรักษาโรคหัวใจคุณต้องใส่ขดลวด
00:20:35 → 00:20:37 เข้าไปในเอ่อหลอือหัวใจหรือที่เรียกว่า
00:20:37 → 00:20:41 ใส่สนเนี่ยแล้วหมอเต้องให้กินยาละลายยา
00:20:41 → 00:20:43 ป้องกันการแข็งตัวของลิมของเลือดอ่ะไม่
00:20:43 → 00:20:45 ให้ลิ่มเลือนไปอุดตรงนั้นน่ะกินพวก
00:20:45 → 00:20:48 โคลพิโดเกรลกับแสปนแล้วคุณหยุด
00:20:48 → 00:20:51 อ่ะเพราะว่าไปฟังคลิปนี้บอกว่าเออมันเป็น
00:20:51 → 00:20:53 สารเคมีเดี๋ยวไายวายคุณหยุดอ่ะเกิดอะไร
00:20:53 → 00:20:57 ขึ้นสนของคุณน่ะตันตอนนั้นนั่นแหละแล้ว
00:20:57 → 00:21:00 คุณก็จะตุยได้
00:21:00 → 00:21:05 เลยมันน่ากลัวขนาดนั้นหรือถ้ามาสายของผม
00:21:05 → 00:21:08 คุณปลูกถ่ายปอดไปเรียบร้อยะแล้วคุณไม่กิน
00:21:08 → 00:21:12 ยาภายในอาทิตย์เดียวอ่ะปอดคุณจะโดนต่อ
00:21:12 → 00:21:15 ต้านอย่างรุนแรงแล้วคุณตุยแน่แน่ผมกล้า
00:21:15 → 00:21:18 ฟันธงเลยอันเนี้ยจึงเป็นความรู้ที่ผมมอง
00:21:18 → 00:21:21 ว่ามันอันตรายที่สุดในบรรดาความรู้ที่ผิด
00:21:21 → 00:21:25 ๆที่พูดมาทั้งหมดเลยอันเนี้ยถ้าใครไม่ได้
00:21:25 → 00:21:29 ฟังตรงไหนก็ฟังตรงนี้แล้วละกันยา
00:21:29 → 00:21:33 มันมีข้อบ่งใช้จริงๆในบางคนก็ต้องใช้ยา
00:21:33 → 00:21:37 บางคนก็ไม่ต้องใช้ยายามีผลค้างเคียงจริงๆ
00:21:37 → 00:21:40 แล้วผมก็เห็นด้วยอย่างหนึ่งคือถ้าเกิดคุณ
00:21:40 → 00:21:43 เกิดผลข้างเคียงของยาตัวนึงคุณไม่ได้ต้อง
00:21:43 → 00:21:46 ไปหายาตัวนั้นตัวนี้มาปะแล้วก็แก้ผลข้าง
00:21:46 → 00:21:49 เคียงต่อไปเรื่อยๆอันเนี้ยไม่ถูกต้องแต่
00:21:49 → 00:21:52 มันจะต้องรู้ต้องเป็นการปรึกษาคุณหมอผู้
00:21:52 → 00:21:54 เชี่ยวชานว่าจะต้องทำอย่างไรอาจจะต้อง
00:21:54 → 00:21:56 เปลี่ยนชนิดยาเช่นยาสตินบอกกินแล้วปวด
00:21:56 → 00:21:59 กล้ามเนื้อน่องจังเลยครับคุณก็เปลี่ยน
00:21:59 → 00:22:03 ชนิดยาสินสิครับนะอาจจะไปกิน UA statin
00:22:03 → 00:22:07 นะครับ prava statin หรืออะไรก็ได้ดูซิ
00:22:07 → 00:22:09 ว่าผลมันลดลงไปมเพราะว่าถ้ามันจำเป็นต้อง
00:22:09 → 00:22:12 กินอ่ะก็มีปัญหาถ้าคุณกินสตินแล้วทุกตัว
00:22:12 → 00:22:16 คุณปวดกล้ามเนื้อหมดถามว่าคุณทำไงยากลุ่ม
00:22:16 → 00:22:20 อื่นก็มีครับเช่น pcs K9 inhibitor นะ
00:22:20 → 00:22:24 ครับหรือคุณจะไปกินยาตัวใหม่ bic Acid
00:22:24 → 00:22:26 ก็ได้มีตัวเลือกตั้งเยอะตั้งแยะแต่มัน
00:22:26 → 00:22:28 ต้องกินต้องเอาไขมันลงมาให้ได้การควบคุม
00:22:28 → 00:22:30 อาหารเสริมหรือการกินอะไรเข้าไปเนี่ยมัน
00:22:30 → 00:22:34 ไม่ทำให้ไขมันของคุณลดจนถึงขั้นระดับปลอด
00:22:34 → 00:22:38 ภัยหรอกครับดังนั้นตรงนี้สำคัญนะเรื่อง
00:22:38 → 00:22:40 ของสินก็เหมือนกันที่บอกว่าโอ้ยกินแล้ว
00:22:40 → 00:22:44 ปวดกล้ามเนื้อเพราะว่าโคทมันหายอืมคุณลอง
00:22:44 → 00:22:47 ไปดูงานวิจัยในเรื่องนี้ครับแต่ก่อนเนี่ย
00:22:47 → 00:22:50 เคยมีคนบอกว่าเป็นคนกินสตินต้องกินโคเทน
00:22:50 → 00:22:52 เข้าไปเพื่อที่จะเสริมแล้วก็ลดผลข้าง
00:22:52 → 00:22:54 เคียงปัจจุบันเนี้ยไม่ได้แนะนำตรงนั้น
00:22:54 → 00:22:56 แล้วครับแล้วคำแนะนำนี้ออกมาตั้งชาตินึง
00:22:56 → 00:22:59 แล้วนะครับกินไปไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรเลย
00:22:59 → 00:23:02 นะครับแต่คุณอยากจะกินก็ไม่มีใครว่านะ
00:23:02 → 00:23:04 ครับี่แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเท่านั้นเองนะ
00:23:04 → 00:23:08 ครับอืงั้นการกินยาพวกเยมันไม่ได้ทำให้
00:23:08 → 00:23:11 คุณไายวายผมเคยทำคลิปที่เกี่ยวข้องกับการ
00:23:11 → 00:23:14 กินยาเยอะๆทำให้ต่ำวายไายวายมยมียาแค่บาง
00:23:14 → 00:23:16 ตัวเท่านั้นที่ทำให้เป็นเช่นนั้นนะครับ
00:23:16 → 00:23:19 แล้วถ้าเกิดกินภายใต้การควบคุมดูแลของหมอ
00:23:19 → 00:23:22 มันก็จะไม่เกิดปัญหานั้นขึ้นมาแต่สมมุติ
00:23:22 → 00:23:24 คุณเป็นเบาหวานคุณเป็นความดันแล้วคุณไม่
00:23:24 → 00:23:28 กินยาเพราะกลัวว่ากินยาแล้วตายจะวายแล้ว
00:23:28 → 00:23:30 คุณคุมเบาหวานไม่ได้นะคุณคุมความดันไม่
00:23:30 → 00:23:35 ได้นะคุณจะตายวายคุณจะตายวายคนที่เป็นเบา
00:23:35 → 00:23:37 หวานคนที่เป็นความดันแล้วไตวายขึ้นมา
00:23:37 → 00:23:40 เนี่ยมันไม่ได้เพราะยาครับมันเป็นเพราะ
00:23:40 → 00:23:43 ว่าตัวโรคของคุณนั่นแหละที่ควบคุมไม่ได้
00:23:43 → 00:23:45 แล้วเวลาไปหาหมอทุกครั้งพอคุณควบคุมไม่
00:23:45 → 00:23:48 ได้หมอก็ต้องเพิ่มยาครับเพราะหมอเรู้ดี
00:23:48 → 00:23:50 ว่าถ้าไม่สามารถคุมมันได้เดี๋ยวคุณก็ไต
00:23:50 → 00:23:53 วายเพิ่มยาเข้าไปเรื่อยๆจนกว่าคุณจะคุม
00:23:53 → 00:23:55 ได้แต่ทีนี้พอไปฟังอีกค่ายนึงเขก็จะบอก
00:23:55 → 00:23:58 ว่านี่ไงไปหาหมอทีไรก็ไม่หายคุณต้องกินยา
00:23:58 → 00:24:00 ตัวนั้นตัวนี้เพิ่มขึ้นไปเยอะนี่ไงคุณถึง
00:24:00 → 00:24:03 ไตวายคนละสาเหตุกันแล้วครับที่ไตเ้าวาย
00:24:03 → 00:24:06 เนี่ยเพราะว่าเค้าคุมโรคเ้าไม่ได้ไม่ใช่
00:24:06 → 00:24:10 เพราะว่ายาที่หมอให้เข้าไปทำให้ไตเวายไม่
00:24:10 → 00:24:12 ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักอย่างนะครับแล้วถ้า
00:24:12 → 00:24:14 เกิดถเค้าไปเชื่อแบบนี้
00:24:14 → 00:24:17 เนี่ยคนที่ต้องรับภาระในการดูแลทั้งหมดก็
00:24:17 → 00:24:21 คือหมอทั่วไปอย่างพวกเรานี่แหละคนที่เา้า
00:24:21 → 00:24:24 แนะนำไม่ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้เลยสัก
00:24:24 → 00:24:28 ครั้งเดียวสักครั้งเดียวก็ไม่เคยนะงานของ
00:24:28 → 00:24:31 หมอที่เค้าทำงานทั่วไปหนักอยู่แล้วอย่า
00:24:31 → 00:24:34 เพิ่มความหนักให้เค้าอีกนะครับ
00:24:34 → 00:24:37 อ่าแล้ว
00:24:37 → 00:24:42 ก็มีอ่าอ้ออีกความรู้นึงที่ไม่ถูกต้องคือ
00:24:42 → 00:24:46 เรื่องของเเมียเเมียเนี่ยมันเป็นเหมือน
00:24:46 → 00:24:49 ส่วนที่ป้องกัน DNA ของเรานะครับตรงส่วน
00:24:49 → 00:24:51 ปลายมันจะเหมือนเป็นเวลาคุณดูเชือกรอง
00:24:51 → 00:24:54 เท้าเนี่ยตรงส่วนปลายของเชือกรองเท้ามัน
00:24:54 → 00:24:57 จะมีปลอกอันนึงนะครับปลอกตรงเนี้ยมันจะมี
00:24:57 → 00:24:59 หน้าที่เพื่อไม่ให้ไอ้เชือกรองเท้าของคุณ
00:24:59 → 00:25:01 นมันลุ่ยออกมานะครับแต่เมื่อไหร่ที่ปลอก
00:25:01 → 00:25:04 อันเนี้ยมันขาดมันเสียหายไปเลยเนี่ยเชือก
00:25:04 → 00:25:06 รองเท้าของคุณก็จะลุ่ยนะครับเชือกของลาง
00:25:06 → 00:25:09 รองเท้าของคุณก็เปรียบเสมือน DNA ไอ้เทม
00:25:09 → 00:25:11 เนี่ยก็เหมือนกับไอ้เปรียบเสมือนกับไอ้
00:25:11 → 00:25:16 ตัวที่เป็นปลอกหุ้มปลายนะครับทุกครั้งของ
00:25:16 → 00:25:19 การแบ่งตัวของเซลล์เนี่ย DNA จะต้องมีการ
00:25:19 → 00:25:21 copy ตัวเองนะครับแล้วทุกๆครั้งที่ Copy
00:25:22 → 00:25:24 ตัวเองเนี่ยนะครับไอ้ตัวเทเมเนี่ยมันจะ
00:25:24 → 00:25:26 สั้นลงไปเรื่อยๆถ้ามันสั้นลงจนถึงจุดนึง
00:25:26 → 00:25:28 แล้วเนี่ยเซลล์มันก็อยู่ไม่ได้ได้มันก็จะ
00:25:28 → 00:25:31 ไม่แบ่งตัวอีกต่อไปมันก็ตายนะครับแต่นี่
00:25:31 → 00:25:35 เขาบอกว่าทียเนี่ยมีหน้าที่ทำให้เซลล์
00:25:35 → 00:25:38 แบ่งตัว Copy ได้ถูกต้องนะครับแล้วถ้ามัน
00:25:38 → 00:25:41 สั้นมากๆมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งไม่
00:25:41 → 00:25:44 เกี่ยวครับเอ่อเยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ
00:25:44 → 00:25:48 ที่ดูแลให้เซลล์มัน Copy ตัวเองได้ถูก
00:25:48 → 00:25:51 ต้องมันเป็นหน้าที่ของยีนตัวอื่นไม่ใช่
00:25:51 → 00:25:55 เทรมครับทีมมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิด
00:25:55 → 00:25:58 ความเสียหายกับ DNA เท่านั้นนะครับเท่า
00:25:58 → 00:26:01 นั้นเพราะถ้ามันเสียหายตายครับเซลล์ตาย
00:26:01 → 00:26:03 เซลล์ไม่ได้เป็นมะเร็งคนละอย่างกันนะครับ
00:26:03 → 00:26:06 แล้วคุณรู้มยว่าเทรยเนี่ยเวลาที่คุณไป
00:26:06 → 00:26:10 เจาะความยาวเทเมของแต่ละเซลล์มันไม่เท่า
00:26:10 → 00:26:14 กันด้วยครับมันไม่เท่ากันเซลล์ไหนที่อายุ
00:26:14 → 00:26:18 ยืนกว่านะครับก็จะมีเทลมที่ยาวกว่าเซลล์
00:26:18 → 00:26:20 ตัวไหนที่อายุสั้นกว่าเทเมสั้นกว่ายกตัว
00:26:20 → 00:26:22 อย่างง่ายๆเวลาที่เราเจาะเทเมมาตรวจเนี่ย
00:26:22 → 00:26:23 เราเจาะ
00:26:23 → 00:26:27 เลือดแล้วเราก็จะมี panel ของเราเป็นการ
00:26:27 → 00:26:30 ดูที่เม็ดเลือดเลือดขาวอ่าแยกง่ายๆ panel
00:26:30 → 00:26:33 ที่ผมดูบ่อยๆก็คือ panel panel ที่แบบมี
00:26:33 → 00:26:36 อยู่ไม่กี่ตัวนะครับก็จะมีการตรวจเซลล์
00:26:36 → 00:26:39 ตัวนึงเช่นนิวโทรฟิลนะครับนิวโทรฟิลเนี่ย
00:26:39 → 00:26:42 อายุมันสั้นมากดังนั้นถ้าใครวัดเเมียใน
00:26:42 → 00:26:46 นิวฟิวมันก็สั้นครับแต่ถ้าเกิดคุณดู
00:26:46 → 00:26:49 ลิมโฟไซต์ซึ่งเป็นไมเลกเขาอีกชนิดหนึ่ง
00:26:49 → 00:26:51 ไอ้เนี่ยมันอยู่ทนอยู่นานเลยอ่ะคุณไปวัด
00:26:51 → 00:26:55 เทลมนั้นมันก็จะยาวครับดังนั้นคุณออกมา
00:26:55 → 00:26:58 อ้าวทำไมนี่สั้นทำไมนี่ยาวก็เพราะว่าคุณ
00:26:58 → 00:27:02 ต้องเข้าใจว่าคุณกำลังวัดอะไรอยู่แล้ว
00:27:02 → 00:27:04 เวลาที่คุณวัดเทียบกับช่วงอายุคุณต้องวัด
00:27:04 → 00:27:08 ในลิมโฟไซต์ครับเทียบกับอายุไม่ใช่วัดใน
00:27:08 → 00:27:12 นโท fiel ไม่งั้นก็ไม่ถูกต้องนะครับตรง
00:27:12 → 00:27:15 นี้เป็นความรู้ที่คลาดเคลื่อนไปนะ
00:27:15 → 00:27:17 ครับที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยผมยังไม่เห็น
00:27:17 → 00:27:21 ด้วยกับอะไรเลยสักอย่างนะครับแต่ว่า
00:27:21 → 00:27:25 เดี๋ยวอ่ามีอันนี้อีกอันนึงเรื่องของการ
00:27:25 → 00:27:30 ที่อ่าผู้พูดเคสอนหลายๆคนว่าเวลาคนไข้มา
00:27:30 → 00:27:34 หาเราเนี่ยนะฮะเราต้องอย่าแยกคนไข้เป็น
00:27:34 → 00:27:36 ส่วนๆจะต้องดูแบบองค์รวมหรือที่เรียกว่า
00:27:36 → 00:27:38 holistic Approach นะครับเช่นคนไข้มา
00:27:38 → 00:27:42 ด้วยอาการปวดหัวปวดเมื่อยตามร่างกายนะ
00:27:42 → 00:27:45 ครับนอนไม่หลับนะครับกระสับกระส่ายปวดข้อ
00:27:45 → 00:27:48 มีโรคโน้นโรคนี้มีอาการเยอะแยะไปหมดนะ
00:27:48 → 00:27:50 ครับอย่าไปแยกคนไข้บอกโอ้ปวดหัวก็เป็นโรค
00:27:50 → 00:27:53 นึงนะครับปวดหลังก็เป็นอีกโลกนึงนะนอนไม่
00:27:53 → 00:27:55 หลับก็เป็นอีกอย่างนึงขอให้ทุกอย่างมารวม
00:27:55 → 00:27:57 กันแล้วก็ลองวิเคราะห์เป็นคนดูแล้วก็บอก
00:27:57 → 00:28:00 ว่าว่าทั้งหมดเนี่ยที่มันเป็นได้หลายๆ
00:28:00 → 00:28:03 อย่างเพราะว่าเอ่อเกี่ยวข้องกับสมดุลกรด
00:28:03 → 00:28:05 ด่างในร่างกายสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้นะ
00:28:05 → 00:28:09 ครับฮอร์โมนพิษโรงเหตุอัหนักอะไรพวกเนี้ย
00:28:09 → 00:28:13 เอิ่มก็ไม่เกี่ยวอะไรกันนะครับคือผมเห็น
00:28:13 → 00:28:16 ด้วยกับการที่เรามองคนไข้แบบองค์รวมนะ
00:28:16 → 00:28:18 ครับปัญหาหลายๆอย่างเนี่ยบางทีมันมีต้นตอ
00:28:18 → 00:28:21 จากที่เดียวกันนะฮะแต่ไอ้ต้นตอนั้นน่ะไม่
00:28:21 → 00:28:24 ใช่สมดุลกรดด่างนะครับแล้วก็ไม่ได้เกี่ยว
00:28:24 → 00:28:27 อะไรกับจุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลฮอร์โมนพิ
00:28:27 → 00:28:29 โลหะหนังเนี่ยโอกาสที่จะเป็นเพราะไอ้ของ
00:28:29 → 00:28:32 พวกเนี้ยยากมากๆเลยส่วนใหญ่แล้วจะมีอย่าง
00:28:32 → 00:28:35 อื่นเสียมากกว่านะครับแล้วผมเห็นคนคน
00:28:35 → 00:28:38 เนี้ยเขาชอบยกตัวอย่างคนไข้ของตัวเองหรือ
00:28:38 → 00:28:41 ว่าคนที่เขาดูแลหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ
00:28:41 → 00:28:47 ผมจะขอทำอย่างนั้นมากผมมีคนไข้คนนึงนะ
00:28:47 → 00:28:51 เค้าวันๆเนี่ยหงุดหงิดนะครับรู้สึกเพลีย
00:28:51 → 00:28:57 มึนหัวง่ายนะแล้วก็อืมแต่ละวันเนี่ยไม่มี
00:28:57 → 00:28:58 สมาธิ
00:28:58 → 00:28:59 นะ
00:28:59 → 00:29:02 ครับประจำเดือนมาไม่ค่อย
00:29:02 → 00:29:06 ปกติแล้วก็สงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรก็ไปหา
00:29:06 → 00:29:10 หมอมาหลายคนไม่หายอยู่วันนึงนะครับก็ไป
00:29:10 → 00:29:13 เจอหมอที่เขาปรับฮอร์โมนนะครับเอ่อโดยการ
00:29:13 → 00:29:16 ใช้ไบ identical ฮอร์โมนอ่ะเอามาใช้เพื่อ
00:29:16 → 00:29:19 ปรับฮอร์โมนให้มันสมดุลกันนะครับไปทาน
00:29:19 → 00:29:23 อาหารเสริมเพิ่มเติมทานอันโนนอันนี้เยอะ
00:29:23 → 00:29:26 เป็นอาหารเสริมตามที่ได้รับการแนะนำมา
00:29:26 → 00:29:28 อาการก็เหมือนเดิมครับไม่
00:29:28 → 00:29:34 หายไม่หายเหมือนเดิมเลยแล้ววันนึงผมก็มา
00:29:34 → 00:29:38 ลองดูว่าเอ๊คุณน่าจะไปตรวจอะไรอย่างอื่น
00:29:38 → 00:29:40 นะเพราะว่าเท่าที่ผมซักประวัติเพิ่มเติม
00:29:40 → 00:29:43 แล้วเนี่ยคุณนอนโอเคหรือเปล่าเออก็นอน
00:29:43 → 00:29:45 โอเคนะแต่ตื่นมาแล้วมันไม่สดชื่นเอองั้น
00:29:45 → 00:29:48 คุณลองไปทดสอบดูซิว่าคุณมีการหยุดหายใจใน
00:29:48 → 00:29:53 ขนาดหลับมยปรากฏว่ามีมีแบบรุนแรงซะ
00:29:53 → 00:29:57 ด้วยแล้วก็ให้ใช้เครื่อง cpap ตอนนอนหาย
00:29:57 → 00:30:01 เลยครับหายเลยงั้นทุกอย่างเนี่ยมันไม่ได้
00:30:01 → 00:30:03 เกี่ยวข้องกับการที่คุณไปเจออะไรมาจากการ
00:30:04 → 00:30:06 ตรวจสมดุลกดดางเอ่อสมดุลรำไส้กิน
00:30:06 → 00:30:09 โปรไบโอติกแล้วทำนนนนี่มันไม่ใช่มันมี
00:30:09 → 00:30:11 เหตุผลอย่างอื่นเยอะแยะนะครับแล้วพิษโลหะ
00:30:11 → 00:30:14 หนักเคุณไม่ต้องไปตรวจเลยโอกาสที่คุณตรวจ
00:30:14 → 00:30:18 แล้วจะเจอว่ามีพิษโลหะหนักอ่าจนกระทั่งทำ
00:30:18 → 00:30:20 ให้ร่างกายคุณมีปัญหาเนี่ยยากมากใน
00:30:20 → 00:30:24 ปัจจุบันนี้ยากมากโอกาสเนี่ยน้อยแต่เวลา
00:30:24 → 00:30:28 ที่คุณจะไปตรวจทุกๆที่นะผมจะบอกเลยหลาย
00:30:28 → 00:30:31 ครั้งที่คุณไปตรวจนะครับมันอาจจะเจอโลหะ
00:30:31 → 00:30:34 หนักบางตัวสูงขึ้นแล้วเจะขายคสคชให้คุณ
00:30:34 → 00:30:37 นั่นแหละซึ่งไม่มีประโยชน์ใดๆทั้ง
00:30:37 → 00:30:40 สิ้นแต่มันเป็นการค้านะครับตรงนี้ก็ต้อง
00:30:40 → 00:30:44 ระวังนะฮะดีๆเลยเอ่าอีกอย่างนึงมีการบอก
00:30:44 → 00:30:47 ว่าเวลาอายุเราเพิ่มขึ้นเนี่ยฮอร์โมนของ
00:30:47 → 00:30:49 เรามันลดลงนะครับร่างกายเราจึงต้องมี
00:30:49 → 00:30:51 คอเลสเตอรอลที่สูงขึ้นเพราะว่า
00:30:51 → 00:30:53 คอเลสเตอรอลเป็นแหล่งที่เอาไปเปลี่ยนแปลง
00:30:53 → 00:30:54 เป็นฮอร์โมนไม่ว่าจะเป็นคอร์ติซอลไม่ว่า
00:30:55 → 00:30:57 จะเป็นฮอร์โมนเพศหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ
00:30:57 → 00:30:59 อายุเยอะขึ้นฮอร์โมนลดลงเราก็ต้องมี
00:30:59 → 00:31:00 คอร์ติซอลเอ่อเราก็ต้องมีอ่าตัว
00:31:00 → 00:31:03 คอเลสเตอรอลเนี่ยสูงขึ้นเพื่อมาสร้างการ
00:31:03 → 00:31:06 ไปเป็นฮอร์โมนไม่เกี่ยวอะไรกัน
00:31:06 → 00:31:09 เลยไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนะครับแล้วบอกว่า
00:31:09 → 00:31:14 การไปกินสแตตินลดคอเลสเตอเดี๋ยวไอ้พวก
00:31:14 → 00:31:17 ฮอร์โมนพวกเนี้ยมันจะตกลงไปกว่าเดิมไม่
00:31:17 → 00:31:20 จริงครับไม่จริงการกินสตินไม่ได้ทำให้คุณ
00:31:20 → 00:31:23 ฮอร์โมนตกไปกว่าเดิมร่างกายมันมีกลไกใน
00:31:23 → 00:31:26 การที่จะเลือกเอาคอเลสเตอรอลมาสร้างเป็น
00:31:26 → 00:31:29 ฮอร์โมนเองนั่นแหละ
00:31:29 → 00:31:31 มันไม่ขึ้นอยู่กับคุณกินยาอะไรหรือเปล่า
00:31:31 → 00:31:35 นะครับถ้าตราบใดที่ไม่ใช่ยาที่ไปกดการ
00:31:35 → 00:31:37 สร้างฮอร์โมนเหล่านั้นโดยตรงคุณก็ไม่มี
00:31:37 → 00:31:39 ปัญหาดังนั้นเรื่องของสตินเนี่ยไม่ได้
00:31:39 → 00:31:43 เกี่ยวอะไรกับตรงนี้เลยนะ
00:31:43 → 00:31:47 ครับสุดท้ายนี้นะครับมีอะไรที่ผมเห็นด้วย
00:31:47 → 00:31:52 กับผู้พูดไมมีข้อแรกนะครับดูแลคนไข้แบบ
00:31:52 → 00:31:55 องค์รวมโฮลิสติกเห็นด้วยนะครับข้อที่ 2
00:31:55 → 00:31:59 ที่เห็นด้วยก็คือเราทำอะไรเราก็ได้อย่าง
00:31:59 → 00:32:02 นั้นกฎแห่งกรรมตามศาสนาพุทธนะครับแล้ว
00:32:02 → 00:32:05 สิ่งที่เขาคพูดมาก็คืออ่าผมเห็นด้วยกับ
00:32:05 → 00:32:07 การที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอนะครับการนอน
00:32:07 → 00:32:10 ให้เป็นเวลานอนให้โอเคสม่ำเสมอการรับ
00:32:10 → 00:32:13 ประทานอาหารให้สมดุลนะฮะอ่าการที่เรามี
00:32:14 → 00:32:16 อารมณ์ดีไม่เครียดตรงเเห็นด้วยนะครับแล้ว
00:32:16 → 00:32:19 ปกติผมก็จะพูดอยู่อยู่แล้วในช่องของผมนะ
00:32:19 → 00:32:22 ครับออกกำลังกายสม่ำเสมอทานอาหารให้มัน
00:32:22 → 00:32:25 สมดุลไม่ต้องไปทานอะไรแปลกๆนะครับนอนหลับ
00:32:26 → 00:32:30 พักผ่อนให้เพียงพอนะฮะแล้วก็อยู่กับ
00:32:30 → 00:32:34 ธรรมชาติบ้างอย่าไปเล่นแต่มือถือโซเชียล
00:32:34 → 00:32:37 อะไรมากนะครับคบคนที่เราควรจะคบคนท็อกซิก
00:32:37 → 00:32:40 ตัดออกจากชีวิตจะได้ไม่เครียดไม่มีปัญหา
00:32:40 → 00:32:43 แล้วก็อย่าไปยุ่งอะไรกับยาเสพติดนี่คือ
00:32:43 → 00:32:46 พื้นฐานของชีวิตซึ่งผมเห็นด้วยกับผู้พูด
00:32:46 → 00:32:48 ตรงเนี้ยเต็มร้อยแต่ไอ้ที่เหลือเนี่ยคือ
00:32:48 → 00:32:50 ไม่เห็นด้วยอะไรสักอย่างแล้วผมเข้าใจนะ
00:32:50 → 00:32:54 ครับว่าผู้พูดเนี่ยเค้าก็หวังดีต้องการ
00:32:54 → 00:32:58 ที่จะให้ประชาชนคนที่มาฟังเนี่ยมีชีวิต
00:32:58 → 00:33:02 สุขภาพที่ดีอย่างไรก็ตามครับความหวังดี
00:33:02 → 00:33:05 ไม่เท่ากับความรู้ที่ถูกต้องอย่างกรณีนี้
00:33:05 → 00:33:08 เป็นความรู้ที่ผมมองว่ามันไม่ถูกเลยและ
00:33:08 → 00:33:12 ความรู้ที่อันตรายที่สุดก็คือยาทุกชนิด
00:33:12 → 00:33:16 ไม่ดีหมดไม่ควรกินแอนตี้ยาทุกชนิดพมัน
00:33:16 → 00:33:17 เป็นสารเคมีมันก่อให้เกิดเลือดเป็นกรด
00:33:17 → 00:33:19 แล้วคุณจะเป็นโรคมะเร็งเป็นอะไรตามมาคือ
00:33:19 → 00:33:21 มันไม่ถูกอะไรเลยตั้งแต่แรกนะครับตั้งแต่
00:33:21 → 00:33:24 พื้นฐานก็ไม่ถูกแล้วนี่ต่อยอดขึ้นไปยอด
00:33:24 → 00:33:26 ทุกยอดที่เอามาต่อเนี่ยมันเป็นยอดที่บิด
00:33:26 → 00:33:29 เบี้ยวเอนเลเทะไปหมดมันไม่ถูกสักอย่างเลย
00:33:29 → 00:33:33 อ่ะครับนะฮะงั้นผมก็ขอวิเคราะห์ไว้เพียง
00:33:33 → 00:33:37 เท่านี้แล้วกันนะครับถ้าใครฟังก็มีสติใน
00:33:37 → 00:33:40 การฟังนะครับถึงผู้พูดจะหวังดีผู้พูดจะ
00:33:40 → 00:33:43 เป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือผู้พูดเขาจะเป็น
00:33:43 → 00:33:46 คนที่มีตำแหน่งแห่งขทางวิชาการสูงแค่ไหน
00:33:46 → 00:33:49 เราก็ต้องมีสติโดยเฉพาะเมื่อพูดออกมาแล้ว
00:33:49 → 00:33:52 ฟังดูสวนกระแสฟังแล้วดูดีเกินจริงฟังแล้ว
00:33:52 → 00:33:55 ดูมันถ้าทำตามแล้วมันวิเศษมากๆพวกเนี้ย
00:33:55 → 00:33:59 คุณต้องมีความเอ๊ะตลอดเวลาเลยจริงๆครับมิ
00:33:59 → 00:34:02 ฉะนั้นคุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของความเข้าใจ
00:34:02 → 00:34:06 ผิดซึ่งผมมองว่าความเข้าใจผิดความรู้ที่
00:34:06 → 00:34:09 ไม่ถูกต้องมันร้ายยิ่งกว่าไวรัสบนโลกนี้
00:34:09 → 00:34:13 รวมกันเสียอีกนะครับโอเควันนี้ก็ขอฝาก
00:34:13 → 00:34:17 เพียงเท่านี้นะครับกฎแห่งกรรมใครทำอะไร
00:34:17 → 00:34:20 ไว้ก็ได้เช่นนั้นนะครับถ้าเรามีความรู้
00:34:21 → 00:34:24 ที่ผิดเราก็ได้การกระทำที่ผิดเราจะรู้ตัว
00:34:24 → 00:34:28 ว่าเราผิดหรือเปล่ามันก็เป็นเรื่องของแต่
00:34:28 → 00:34:33 ละคนนะครับโอเคครับสวัสดีครับ