00:00:00 → 00:00:03 ปวดโหเป็นไข้ใช้ยาอะไรดีพาราดีมั้คะ
00:00:03 → 00:00:04 อาจารย์
00:00:04 → 00:00:07 >> หรือประสาทจะแดงก็ใช้ได้นะคะ
00:00:07 → 00:00:09 >> ทั้ง 2 อย่างนะคะพาราและปราสาทจันทแดงใช้
00:00:09 → 00:00:12 ต่างกันอย่างไรไปติดตามในรายการวันใหม่
00:00:12 → 00:00:15 ไกลโร
00:00:15 → 00:00:19 >> สืบทอดภูมิปัญญาไทยใส่ใจคุณภาพยาร้าน
00:00:19 → 00:00:22 เจริญสุขโกศกนครปฐม
00:00:22 → 00:00:24 >> สวัสดีค่ะกลับมาพบกันในรายการวันใหม่ไกล
00:00:24 → 00:00:26 โลกนะคะวันนี้มาในบรรยากาศสบายๆค่ะ
00:00:26 → 00:00:28 อาจารย์รายการที่จะพาทุกท่านไปเปิดมุมมอง
00:00:28 → 00:00:31 เกี่ยวกับยาแผนไทยและสมุนไพรไทยเพื่อคน
00:00:31 → 00:00:33 ไทยสุขภาพดีนะคะเพราะทุกวัยเริ่มใหม่ได้
00:00:33 → 00:00:36 เสมอกับวันใหม่ไกลโรคค่ะวันนี้เป็นอีก
00:00:36 → 00:00:38 ประเด็นนึงที่แดงว่าไข้เนี่ยเป็นเรื่อง
00:00:38 → 00:00:41 ใกล้ตัวนะคะอาจารย์เราก็อยู่ในประเทศเขต
00:00:41 → 00:00:43 เมืองร้อนเนาะแล้วปัจจุบันก็อาจจะมี
00:00:43 → 00:00:45 เรื่องให้เราต้องปวดหัวนะคะคราวนี้พอปวด
00:00:45 → 00:00:47 หัวขึ้นมาเนี่ยยาอันดับแรกเลยก็คือพารา
00:00:47 → 00:00:50 ค่ะอาจารย์แต่ปัจจุบันบางทีเราก็อยากจะมี
00:00:50 → 00:00:52 ทางเลือกเราอยากใช้ยาแผนไทยซึ่งจะมียา
00:00:52 → 00:00:55 ขนาดนึงชื่อปราสาทจันทร์แดงเลยเป็นที่มา
00:00:55 → 00:00:58 ของคลิปนี้ว่ามันจะเลือกใช้อย่างไรแล้ว
00:00:58 → 00:01:00 แต่ละตัวเนี้ยมันมีประโยชน์สำหรับคุณต่าง
00:01:00 → 00:01:01 กันอย่างไรค่ะอาจารย์
00:01:01 → 00:01:04 >> ค่ะก็คือทั้ง 2 ตัวเนี่ยถือว่าเป็นยา
00:01:04 → 00:01:08 สามัญประจำบ้านนะคะใครก็เลือกใช้ได้นะฮะ
00:01:08 → 00:01:11 แต่นี้หลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่าเวลาเราจะ
00:01:11 → 00:01:14 เลือกใช้พาราเซปตามอลหรือเราจะเลือกใช้
00:01:14 → 00:01:17 ภาสะจันทร์แดงเนี่ยมันมีข้อดีข้อเด่นของ
00:01:17 → 00:01:20 มันอย่างไรนะคะในการที่จะเลือกใช้ให้ถูก
00:01:20 → 00:01:23 ต้องแล้วก็ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดนะคะ
00:01:23 → 00:01:26 ก็ก่อนอื่นก็อยากเปรียบเทียบให้ดูก่อนนะ
00:01:26 → 00:01:29 ฮะว่าวิธีการออกฤทธิ์มันเป็นอย่างไรนะคะ
00:01:29 → 00:01:32 เนื่องจากว่าเวลาเราพูดถึงหยาเนี่ยบางที
00:01:32 → 00:01:35 มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่องของ
00:01:35 → 00:01:40 แนวคิดของการเกิดโรคนะคะซึ่งพารามันมาจาก
00:01:40 → 00:01:43 ทฤษฎีของการเกิดโรคแผนตะวันตกนะฮจริงๆเรา
00:01:43 → 00:01:46 เรียกกันว่าแผนปัจจุบันนะฮะแต่พี่ก็ขอ
00:01:46 → 00:01:49 อนุญาตใช้คำว่าแผนตะวันตกนะฮะเพราะว่า
00:01:49 → 00:01:52 หลายๆคนเนี่ยก็คงจะรู้ว่ามันมีการแพทย์ 2
00:01:52 → 00:01:55 แผนนะฮะคือการแพทย์แผนตะวันตกและการแพทย์
00:01:55 → 00:01:58 แผนตะวันออกนะฮะของเราก็เป็นหนึ่งในแผน
00:01:58 → 00:02:00 ตะวันมันออกแล้วก็เป็นอันที่เราใช้มาตั้ง
00:02:00 → 00:02:03 แต่ปู่ย่าตายายจนถึงปัจจุบันนี้ทีนี้เรา
00:02:03 → 00:02:07 จะทำยังไงที่ทำให้เราเนี่ยได้รู้จักว่า
00:02:07 → 00:02:10 มันใช้ยังไงเราก็ต้องไปรู้เรื่องของการ
00:02:10 → 00:02:13 เกิดโรคก่อนเวลาเราพูดถึงเรื่องไข้เนี่ย
00:02:13 → 00:02:16 ปกติเนี่ยร่างกายเราอุณหภูมิปกติเนี่ยเรา
00:02:16 → 00:02:20 จะมีตำแหน่งนึงของในสมองเราที่กำกับดูแล
00:02:20 → 00:02:24 อุณหภูมินะฮะเราเรียกว่าไฮโปทารามัสเป็น
00:02:24 → 00:02:27 ต่อมใต้สมองนะฮะเป็นต่อมใต้สมองซึ่งมันจะ
00:02:27 → 00:02:31 มีเทอมเทอร์โมสatคงรู้จักเทอร์โมสatนะคะ
00:02:31 → 00:02:33 เทอร์โมสatมันจะตั้งเอาไว้ว่าประมาณเนี้ย
00:02:33 → 00:02:36 37 36 35 แล้วแต่ทุกคนนะคะแต่ละคนก็
00:02:36 → 00:02:38 ตั้งไม่เหมือนกัน
00:02:38 → 00:02:41 >> แต่พอมันมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาไม่ว่าจะ
00:02:41 → 00:02:43 เป็นการอักเสบหรือว่าการติดเชื้อซึ่งส่วน
00:02:43 → 00:02:46 ใหญ่เนี่ยมันจะเป็นการติดเชื้อนะคะร่าง
00:02:46 → 00:02:51 กายก็จะตอบสนองต่อการกระตุ้นเนี่ยที่เข้า
00:02:51 → 00:02:55 มาในตัวเราพอมันมีการตอบสนองเนี่ยมันก็
00:02:55 → 00:02:58 หลั่งสารชนิดนึงที่เราเรียกว่าไซโตไโตไคด
00:02:58 → 00:03:01 ไซโตไคดเนี่ยมันเป็นสารที่คล้ายๆกับแจ้ง
00:03:01 → 00:03:04 ความอ่ะค่ะไปบอกตรงนั้นบอกตรงนี้ให้เกิด
00:03:04 → 00:03:07 ให้ให้ร่างกายมันปรับตัวนะคะเพราะว่าพอมี
00:03:07 → 00:03:09 อะไรแปลกปลอมเข้ามาร่างกายไม่ปรับตัว
00:03:09 → 00:03:12 เนี่ยพวกนั้นก็จู่โจมทันทีนะคะไซโตไคดก็
00:03:12 → 00:03:16 จะเข้าไปในไฮโปทลามัสแล้วก็ไปกระตุ้นการ
00:03:16 → 00:03:20 ทำงานของเอนไซมบางตัวแล้วสุดท้ายเนี่ยก็
00:03:20 → 00:03:23 ทำให้เกิดสารตัวนึงที่เราเรียกว่า PG2
00:03:23 → 00:03:27 นะคะหรือ PG2 ไอ้ตัว PG2 เนี่ยพอมันเพิ่ม
00:03:27 → 00:03:31 ขึ้นปั๊บเนี่ยในตัวเทอร์โมสatเราอ่ะก็จะ
00:03:31 → 00:03:34 ปรับสูงขึ้นคือบอกว่าตอนเนี้ร่างกายต้อง
00:03:34 → 00:03:37 ฮีทสูงขึ้นมานะกลายเป็นว่าร่างกายเราต้อง
00:03:37 → 00:03:41 ปรับอุณหภูมิทั้งหมดเลยให้ขึ้นมาเกิน 37.5
00:03:41 → 00:03:45 5 ก็เลยเรียกว่าเป็นไข้นะนี่คือตรงนี้
00:03:45 → 00:03:46 >> กลไกของมัน
00:03:46 → 00:03:48 >> กลไกของมันทีนี้สิ่งที่เราต้องรู้อีก
00:03:48 → 00:03:51 อย่างก็คือว่าพอเวลาเราปรับร่างกายว่า
00:03:51 → 00:03:54 เป็นไข้แล้วเนี่ยมันไม่ใช่ว่าแค่อุณหภูมิ
00:03:54 → 00:03:59 สูงนะมันยังส่งผลต่ออีกคือมันจะส่งผลต่อ
00:03:59 → 00:04:02 เรื่องของกระบวนการออกซิชu
00:04:02 → 00:04:05 >> นะเพราะว่ามันมีเมอิึมเวลาไข้สูงเนี่ยมัน
00:04:05 → 00:04:08 จะกระทบทำให้เมอิจะสูงขึ้นอ
00:04:08 → 00:04:08 >> นะคะ
00:04:08 → 00:04:09 >> ระบบเผาผลา
00:04:09 → 00:04:12 >> อ่าระบบเผาผลาญจะสูงขึ้นซึ่งเอ่อตรงเนี้ย
00:04:12 → 00:04:15 พอระบบเผาผานสูงขึ้นปั๊บอนุมูลอิสระก็จะ
00:04:15 → 00:04:16 สูงขึ้นด้วย
00:04:16 → 00:04:16 >> อื
00:04:16 → 00:04:19 >> นะคะตัวอนุมูลอิสระที่สูงขึ้นเนี่ยตาม
00:04:19 → 00:04:22 ปกติถ้าร่างกายมีกำลังพอก็จะมี
00:04:22 → 00:04:26 แอนตี้อกอกซidนเข้าไปจัดการกับมันแต่ถ้า
00:04:26 → 00:04:30 ร่างกายมีปัญหาไม่คือคือพอไข้สูงปั๊บไอ้
00:04:30 → 00:04:33 ตัว Free เนี่ยมันก็จะสูงขึ้นมากๆอนุ
00:04:33 → 00:04:36 อิสระจะสูงขึ้นมากๆร่างกายมันไม่สามารถ
00:04:36 → 00:04:38 กำจัดหมดเพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นผล
00:04:38 → 00:04:42 พวงที่ทำให้เกิดอาการแทรกซ่ออื่นๆตามมา
00:04:42 → 00:04:46 หลังจากไข้นะคะนั่นคือสิ่งที่ทำไมเราถึง
00:04:46 → 00:04:50 รู้สึกว่าใจคอไม่สบายห่อเหี่ยวอะไรเงี้ย
00:04:50 → 00:04:52 พวกเ
00:04:52 → 00:04:54 อะไรอย่างเงี้ยค่ะหรือว่าบางคนถ้าเป็นไข้
00:04:54 → 00:04:58 นานๆนะคะแบบเป็นไข้เรื้อรังนะคะอนุอิสระ
00:04:58 → 00:05:01 ที่ออกมาพวกไอ้ออกซidativestressสที่ออก
00:05:01 → 00:05:04 มาเยอะๆแล้วก็นานๆเนี่ยมันก็จะทำลายเซลล์
00:05:04 → 00:05:07 บางเซลล์มันก็จะทำลายไอ้ระบบบางระบบของ
00:05:07 → 00:05:10 เราได้แล้วก็ทำให้เกิดโรคเรื้อหลังบาง
00:05:10 → 00:05:13 อย่างได้เพราะฉะนั้นเนี่ยนี่ก็คือบ่อเกิด
00:05:13 → 00:05:16 ของการเกิดโรคระยะยาวถ้าไม่รักษานะคะนี่
00:05:16 → 00:05:20 เอาแค่ระยะสั้นกับระยะยาวก่อนนะฮะเอ่อ
00:05:20 → 00:05:22 แล้วก็พาราเวลาเรากินพาราเข้าไปเนี่ย
00:05:22 → 00:05:26 เพื่ออะไรพาราจะไปจัดการไอ้ตรง PG2 ใน
00:05:26 → 00:05:30 ไฮโปทารามัสเนี่ยแหละค่ะไปทำให้ลดปริมาณ
00:05:30 → 00:05:35 ของการสร้าง PG2 ลดลงนะคะพอเค้าลดลงแล้ว
00:05:35 → 00:05:35 เนี่ย
00:05:35 → 00:05:39 >> ไอ้การเซตอัอุณหภูมิก็ลดลงได้ตามลำดับเลย
00:05:39 → 00:05:43 ค่ะไม่ทำอย่างอื่นนะคะทำเฉพาะลดสารตัว
00:05:43 → 00:05:44 นั้นตัวเดียว
00:05:44 → 00:05:48 >> นะคะเป็นการดูเหมือนกับคล้ายๆกับต้นเหตุ
00:05:48 → 00:05:52 แต่จริงๆมันคือการกดตรงการสร้าง PGE2 อื
00:05:52 → 00:05:55 >> แต่นี้ถ้ามันมีตัวต้นเหตุอยู่อย่างเช่น
00:05:55 → 00:05:59 ไวรัสหรือมีการอักเสบอยู่ก็ต้องใช้อย่าง
00:05:59 → 00:06:02 อื่นช่วยในการรักษาที่ต้นเหตุต่อไปนั่น
00:06:02 → 00:06:05 คือหลักการของแผนปัจจุบันที่ใช้
00:06:05 → 00:06:08 >> อืเข้าใจละมันเหมือนกับพอมันไปลดไอ้ตัว
00:06:08 → 00:06:14 PG2 เนี่ยไอที่มันสูงๆมันก็เบาลงไปแต่
00:06:14 → 00:06:16 นั่นเป็นการไปจัดการตรงนั้นแต่ต้นเหตุบาง
00:06:16 → 00:06:18 ที
00:06:18 → 00:06:20 อ่าเพราะฉะนั้นเวลาจ่ายยาเขาถึงได้จ่าย
00:06:20 → 00:06:23 พาราร่วมกับตัวอื่นนะคะอันนี้ก็เป็น
00:06:23 → 00:06:24 เรื่องปกติ
00:06:24 → 00:06:27 >> แล้วก็ข้อดีของพาราก็มีอีกอันนึงนอกจาก
00:06:27 → 00:06:30 จัดการไอ้เรื่อง PG2 เรื่องไข้แล้วเนี่ย
00:06:30 → 00:06:33 พบว่าบางคนเนี่ยเป็นไข้แล้วปวดหัวด้วย
00:06:33 → 00:06:33 >> ใช่ค่ะ
00:06:33 → 00:06:37 >> นะคะซึ่งมันเกิดเนื่องจากว่าพอเวลาเจอ
00:06:37 → 00:06:40 เอ่อเป็นไข้จะปวดหัวเนี่ย PG2 สูงขึ้นนะ
00:06:40 → 00:06:43 คะเทอร์โมสatสูงขึ้นเนี่ยมันก็เอ่อทำให้
00:06:43 → 00:06:46 เส้นเลือดในสมองมันขยายตัวนะคะพอเส้น
00:06:46 → 00:06:50 เลือดในสมองขยายตัวเนี่ยมันก็ไปเบียดบัง
00:06:50 → 00:06:55 เหนือสมองมันก็มีอาการปวดสีสะ
00:06:55 → 00:06:58 ด้วยนะคะดังนั้นก็จะเห็นว่าเวลาเรามีไข้
00:06:58 → 00:07:01 พร้อมกับปวดหัวเนี่ยเวลาเรากินพารามันก็
00:07:01 → 00:07:03 จะลดลงเร็วเลยไม่ต้องไปกินยาแก้ปวดอื่นๆ
00:07:03 → 00:07:04 เลยนะคะ
00:07:04 → 00:07:06 >> อบางทีถึงประมาณว่าเวลาสมมุติว่าเราเรา
00:07:07 → 00:07:09 เหมือนจะเป็นไข้เรากลับมาเราไม่มียาอะไร
00:07:09 → 00:07:11 เลยมีพาราเรากินเข้าไปแล้วเราพักผ่อนเร็ว
00:07:11 → 00:07:14 หน่อยให้ร่างกายคือไปทำงานลด PG2 ด้วย
00:07:14 → 00:07:17 แล้วพักผ่อนด้วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เอง
00:07:17 → 00:07:19 ด้วยเช้ามาก็พบว่าดีขึ้นได้เหมือนกัน
00:07:19 → 00:07:23 >> ใช่ค่ะใช่ค่ะแต่นี่ปัญหาที่เราคุยๆกันตอน
00:07:23 → 00:07:26 นี้แล้วมีหลายคนที่กลัวนะคะก็คือว่า
00:07:26 → 00:07:30 พาราเซตามอลเนี่ยถ้าเราใช้เยอะไปนะฮะคือ
00:07:30 → 00:07:34 วันนึงเนี่ยเ้าไม่ให้เกิน 4 กรัมนะฮะ
00:07:34 → 00:07:37 เพราะว่าเม็ดนึงประมาณ 500 มกันะคะเไม่
00:07:37 → 00:07:40 ให้กินเกิน 8 เมตก็หมายความว่าทุก 4 ชมง
00:07:40 → 00:07:44 ที่คุณกินพาราไปเนี่ยกูต้องระวังแล้วก็คน
00:07:44 → 00:07:46 ที่มีปัญหาเรื่องตับก็ต้องระวังนะคะ
00:07:46 → 00:07:50 >> มีคนก็สงสัยว่าและพาราทำไมมันมีปัญหา
00:07:50 → 00:07:53 กระตับนะคะเราก็พบว่าจริงๆแล้ว
00:07:53 → 00:07:56 พาราเซตามอลเนี่ยมันถูกทำลายโดยตับนะคะ
00:07:56 → 00:07:59 เวลากินเข้าไปแล้วเนี่ยมันถูกทำลายโดยตับ
00:07:59 → 00:08:02 โดยกระบวนการการทำลายเนี่ยมันมีอยู่ 3
00:08:02 → 00:08:05 กระบวนการก็คือกระบวนการที่ผ่าน
00:08:05 → 00:08:08 conjugation 2 กระบวนการนะคะใช้สาร 2
00:08:08 → 00:08:12 ตัวนะฮะไอ้ไอ้กระบวนการที่ผ่านconugrช
00:08:12 → 00:08:13 เนี่ยประมาณ 90%
00:08:13 → 00:08:14 >> อื
00:08:14 → 00:08:17 >> นะคะซึ่งพวกเนี้ยพอคอนจugateก็คือจับพารา
00:08:17 → 00:08:21 มามารวมตัวกับมันแล้วก็ถ่ายออกไปนะก็ไม่
00:08:21 → 00:08:24 อันตรายอะไรส่วนอีก 10% ที่เหลือเนี่ยมัน
00:08:24 → 00:08:27 จะผ่านกระบวนการของตับอีกตัวนึงที่เรา
00:08:27 → 00:08:31 เรียกว่าซิปนะคะหรือไซโตโคม P450 นะถ้า
00:08:31 → 00:08:33 ทุกคนรู้จักเนี่ยเดี๋ยวเนี้ยมันมีบทบาท
00:08:33 → 00:08:37 เยอะเลยในในเกี่ยวกับยาการทำลายยานะค่ะ
00:08:37 → 00:08:40 เพราะฉะนั้น 10% จะผ่านไอ้ซิปตัวเนี้ยค่ะ
00:08:40 → 00:08:44 แต่ว่าซิปเนี่ยตัวที่ผ่านออกมาเนี่ยปรากฏ
00:08:44 → 00:08:47 ว่ามันจะได้สารออกมาตัวนึงซึ่งเป็นตัวที่
00:08:47 → 00:08:49 ทำลายล้างรุนแรงมาก
00:08:49 → 00:08:49 >> อื
00:08:49 → 00:08:51 >> แต่ปกติเนี่ยมันแค่ 10% เองอ่ะเพราะ
00:08:51 → 00:08:54 ฉะนั้นไอ้ตัวสารตรงเนี้ยมันก็ถูกกำจัดออก
00:08:54 → 00:08:58 ล่ะไม่มีปัญหาอะไรทีนี้พอกินพาราเยอะๆไอ้
00:08:59 → 00:09:01 กระบวนการคอนจูเกชเนี่ยมันมีความสามารถ
00:09:01 → 00:09:04 จำกัดค่ะเพราะมันมีสารช่วยในการจับเนี่ย
00:09:04 → 00:09:06 จำกัดมากเพราะงั้นมันก็จับได้แค่เนี้ย
00:09:06 → 00:09:08 สมมุติว่ามันจับได้ 10 ตัวมันก็จับได้แค่
00:09:08 → 00:09:11 10 ตัวพอกินเกิน 10 ตัวปั๊บมันจะผ่องไป
00:09:11 → 00:09:13 ทางตัวนี้เลยซิเลย
00:09:13 → 00:09:16 >> อ่าไปทางซิปเลยพอผ่านกระบวนการซิปไอ้ตัว
00:09:16 → 00:09:19 สารที่ออกมาจากกระบวนการเนี้ยมันจะกลับมา
00:09:19 → 00:09:20 ทำลายตับได้
00:09:20 → 00:09:21 >> อื
00:09:21 → 00:09:24 >> นะคะเพราะว่าเพราะว่าอย่างเงี้ยมันก็เลย
00:09:24 → 00:09:27 เกิดปัญหาที่ว่าพอกินพาราสูงๆเนี่ยมันก็
00:09:27 → 00:09:30 มีการทำลายตับดังนั้นเค้าก็เลยแนะนำว่า
00:09:30 → 00:09:33 เอ่อถ้าเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องตับอาจ
00:09:33 → 00:09:36 จะเคยมีประวัตินะหรือว่ามีประวัติ
00:09:36 → 00:09:39 ครอบครัวก็ให้เลี่ยงพาราซะอ
00:09:39 → 00:09:42 >> นะคะสมัยก่อนก็ให้ใช้แอสเปีนเดี๋ยวนี้ก็
00:09:42 → 00:09:46 ให้ใช้ยาตัวอื่นที่เรียกว่าเอเซ็นเซก
00:09:46 → 00:09:49 ก็จะมีปัญหาคือตับปลอดภัยแต่ก็จะมีปัญหา
00:09:50 → 00:09:54 ที่ไต่ต้องให้เภสัชชกรหรือว่าหมอหรืออะไร
00:09:54 → 00:09:57 ที่คุณผู้ดูแลของคุณเนี่ยเป็นคนที่ช่วยดู
00:09:57 → 00:09:58 แลอีกทีนึง
00:09:58 → 00:10:00 >> ค่ะถึงตรงเนี้ยพอจะทราบแล้วว่าพาราออก
00:10:00 → 00:10:03 ฤทธิ์ยังไงแล้วก็ถ้าเกิดว่าเรากินในระยะ
00:10:03 → 00:10:05 สั้นหมายความว่ามีอาการคือปวดหัวเป็นไข้
00:10:05 → 00:10:08 อ่ะแล้วก็กินแล้วก็พักผ่อนไม่เป็นไรไอ้
00:10:08 → 00:10:10 กระบวนการกำจัดของตับเนี่ยมันก็ทำงานของ
00:10:10 → 00:10:13 มันได้แต่ถ้าอันนี้ที่อาจารย์พูดคือกิน
00:10:13 → 00:10:16 โดยที่ไม่ได้แก้ต้นเหตุเลยกินไปนานๆ
00:10:16 → 00:10:17 อันเนี้ยมันจะครบกับตับ
00:10:17 → 00:10:21 >> ใช่ค่ะคือ 1 โดสสูงกับอันที่ 2 กินนานนะ
00:10:21 → 00:10:23 ปัญหาของพาราเซตามอลเป็นเช่นนั้น
00:10:23 → 00:10:24 >> อือ
00:10:24 → 00:10:25 >> ทีนี้
00:10:25 → 00:10:27 >> หลายคนก็บอกว่าเอ่อถ้างั้นกินยาไทยได้
00:10:27 → 00:10:31 มั้ยในส่วนตัวเนี่ยก็เป็นคนที่กินยาไทยนะ
00:10:31 → 00:10:33 เพราะว่าปัจจุบันนี้ก็ไม่ไม่ได้กินละ
00:10:33 → 00:10:37 พาราเซตามอลเนี่ยเอ่อไม่มีในบ้านละนะคะ
00:10:37 → 00:10:39 แต่นี้เอ่อแล้วกินยาไทยเกียกินตัวไหน
00:10:39 → 00:10:41 >> ใช่วันเนี้ยเราอยากจะมาเจาะที่ภาษาจันทร์
00:10:41 → 00:10:43 แดงค่ะอาจารย์คือทุกคนก็จะรู้ถ้าเกิดว่า
00:10:43 → 00:10:46 ศึกษาเรื่องยาแผนไทยมาประมาณนึงนะว่ายารด
00:10:46 → 00:10:49 ไข้เนี่ยมันเยอะจริงๆนะคะแต่พอมาเทียบกับ
00:10:49 → 00:10:51 ปวดหัวแล้วเนี่ยอาจารย์อยากแนะนำปราสาท
00:10:51 → 00:10:52 จันทร์แดงเพราะอะไรคะอาจารย์ที่มันจะเอา
00:10:52 → 00:10:53 มาเทียบเคียงกับพลัง
00:10:53 → 00:10:56 >> เอ่อคืออย่างงี้ค่ะเวลาอย่างที่บอกว่าถ้า
00:10:56 → 00:10:59 จะดูเรื่องยาก็ต้องดูเรื่องสารการรักษานะ
00:10:59 → 00:11:03 คะแล้วอย่างที่หมอแดงบอกว่าเรามียาแก้ไข้
00:11:03 → 00:11:06 เยอะแยะไปหมดเลยนะยาแก้ไข้มีแต่ยาเขียว
00:11:06 → 00:11:10 เอ่อฟ้าทลก็ยังบอกแก้ไขได้เลยนะคะหรือ
00:11:10 → 00:11:11 อะไร
00:11:11 → 00:11:14 >> ยาขมหรือยาฮาดรากอะไรก็ก็ใช่นะก็อยู่ใน
00:11:15 → 00:11:16 กลุ่มนี้ทีนี้
00:11:16 → 00:11:19 >> ที่เราแนะนำว่าน่าจะกินปราสาทจันทร์แดง
00:11:19 → 00:11:22 เนี่ยเดี๋ยวเราไปดูทฤษฎีกันนะคะว่าทฤษฎี
00:11:22 → 00:11:23 มันเป็นยังไงนะ
00:11:23 → 00:11:25 >> ดีเลยค่ะเมื่อกี้เมื่อกี้ที่เล่ามาจะเป็น
00:11:25 → 00:11:28 ทฤษฎีของฝั่งตะวันตกเนาะเดี๋ยวเรามาดูว่า
00:11:28 → 00:11:30 ประสาทจันทร์แดงออกฤทธิ์ในทางตะวันตกอ่ะ
00:11:30 → 00:11:31 ตะวันออกของเราเนี่ยออกฤทธิ์อย่างไร
00:11:31 → 00:11:35 >> ใช่ใช่ค่ะคราวนี้เวลาเราดูเนี่ยเวลาเรา
00:11:35 → 00:11:39 พูดถึงไข้ในแผนไทยเนาะซึ่งจะต่างจากแผน
00:11:39 → 00:11:42 ปัจจุบันแล้วเราไม่ดูเรื่องของสารเคมีละ
00:11:42 → 00:11:45 นะคะเราไม่ได้ดูระดับเซลล์ละแต่เราดูใน
00:11:45 → 00:11:48 ทฤษฎีที่แบบองค์รวมนะคะอย่างที่เราบอกว่า
00:11:48 → 00:11:51 ธาตุของเราคือดินน้ำลมไฟ
00:11:51 → 00:11:53 >> ไข้เนี่ยแน่นอนอ่ะเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ
00:11:54 → 00:11:56 >> นะคะคือธาตุไฟเนี่ยจับต้องไม่ได้อ่าธาตุ
00:11:56 → 00:11:59 ไฟเนี่ยเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้จริงๆ
00:11:59 → 00:12:02 แล้วคือความร้อนถามว่าทุกคนรู้จักความ
00:12:02 → 00:12:05 ร้อนมั้ยทุกคนรู้จักเพราะอันเนี้ยคือ
00:12:05 → 00:12:08 ทฤษฎีของฟิสิกส์ฟิสิกส์พูดถึงเรื่องของ
00:12:08 → 00:12:11 ความร้อนใช่มั้ยคะเอ่อพูดถึงเรื่องของการ
00:12:11 → 00:12:14 ไหลพูดถึงเรื่องการผ่องถ่ายความร้อนความ
00:12:14 → 00:12:17 ต่างศักอะไรเงี้ยมันคือทฤษฎีฟิสิกส์เรา
00:12:17 → 00:12:20 ใช้ทฤษฎีฟิสิกส์ในการอธิบายนะคะก็คือว่า
00:12:20 → 00:12:23 เวลาเราพูดถึงไฟเนี่ยไฟในตัวมนุษย์เนี่ย
00:12:23 → 00:12:27 มีอยู่ 4 4 ชนิดนะคะที่ที่ทำงานทำให้เรา
00:12:27 → 00:12:30 มีชีวิตอยู่ได้เนี่ยมีอยู่ 4 ชนิดนะคะตัว
00:12:30 → 00:12:34 แรกคือไฟย่อยอาหารไฟย่อยย่อยอาหารเนี่ยก็
00:12:34 → 00:12:37 คือไฟที่ไม่ใช่แค่ย่อยที่ท้องเราอย่าเข้า
00:12:37 → 00:12:39 ใจผิดว่ามันย่อยอาหารที่ท้องแล้วเสร็จ
00:12:39 → 00:12:42 เนาะไฟย่อยอาหารเนี่ยเกิดขึ้นที่เซลล์ได้
00:12:42 → 00:12:45 นะเป็นตัวที่ทำให้เราอุ่นได้นะคะ
00:12:45 → 00:12:46 >> อ
00:12:46 → 00:12:49 >> เพราะงั้นจะเห็นว่าบางครั้งเนี่ยเราเวลา
00:12:49 → 00:12:52 เรานั่นปั๊บเราใช้วิธีกินวิธีดื่มขึ้นมา
00:12:52 → 00:12:54 เพื่อทำให้อุ่นนะคะเดี๋ยวเดี๋ยวเราค่อย
00:12:54 → 00:12:55 คุยกันต่อ
00:12:55 → 00:12:55 >> อ
00:12:55 → 00:12:59 >> ตัวที่ 2 ก็คือไฟอุ่นกายก็คือลักษณะที่
00:12:59 → 00:13:00 ตัวเราอุ่นอยู่แบบนี้เพราะเราเป็นสัตว์
00:13:01 → 00:13:01 เลือดอุ่นนะคะอ
00:13:02 → 00:13:02 >> อ
00:13:02 → 00:13:05 >> ตัวที่ 3 เนี่ยเนี่ยภาษาแผนไทยเรียกไฟรส
00:13:05 → 00:13:10 ระสายนะคะแต่พี่ฉายเขใช้คำว่าไฟอารมณ์
00:13:10 → 00:13:12 เพราะเราจะรู้จักคำว่าอารมณ์นะคะไวรัส
00:13:12 → 00:13:15 สสายเนี่ยคือมันเกี่ยวข้องกับไอ้ตัวที่
00:13:15 → 00:13:18 เราเรียกว่าความฉลาดนะฮะเกี่ยวข้องกับ
00:13:18 → 00:13:21 ฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับอารมณ์นะอ
00:13:21 → 00:13:24 >> 3 พารทเนี่ยสำคัญมากเพราะฉะนั้นในกลุ่ม
00:13:24 → 00:13:28 เนี้ยเราจะพบว่าถ้าเราไม่มีธาตุไฟเนี่ย
00:13:28 → 00:13:30 ธาตุตัวเนี้ยมันจะเกี่ยวข้องไอ้ตรงไฟละ
00:13:30 → 00:13:32 สัปสเกี่ยวข้องกับความฉลาดมาก
00:13:32 → 00:13:34 >> ยังไงคะอาจารย์
00:13:34 → 00:13:38 >> เพราะว่ามันเป็นตัวที่ดึงพลังงานให้ใช้
00:13:38 → 00:13:41 >> นะดึงพลังงานออกมาให้ใช้ทำให้เราสามารถ
00:13:41 → 00:13:45 คิดเก่งคิดเร็วหรือสามารถที่จะมี
00:13:45 → 00:13:48 ปฏิกิริยาอะไรต่ออะไรได้ดีมากนะคะเพราะ
00:13:48 → 00:13:50 ฉะนั้นถ้าเทียบก็คือเทียบระบบปัจจุบันก็
00:13:50 → 00:13:53 คือฮอร์โมนนั่นเองอ่ะระบบฮอร์โมนนะคะระบบ
00:13:53 → 00:13:56 ที่สร้างพลังงานขึ้นมาแต่มันก็มีผลต่อ
00:13:56 → 00:13:57 อารมณ์
00:13:57 → 00:13:58 >> อื
00:13:58 → 00:14:02 >> ทำไมถึงบอกว่ามีผลต่ออารมณ์สังเกตให้ดีๆ
00:14:02 → 00:14:05 ว่าเวลาหน้าร้อนน่ะเราจะรู้สึกว่า
00:14:05 → 00:14:06 หงุดหงิดง่าย
00:14:06 → 00:14:07 >> อื
00:14:07 → 00:14:08 >> เพราะว่าตัวเราร้อน
00:14:08 → 00:14:08 >> อือ
00:14:08 → 00:14:11 >> นะคะเพราะงั้นหน้าร้อนเนี่ยมันเหมือนกัน
00:14:11 → 00:14:13 ทุกคนน่ะค่ะตรงที่ว่าเราได้รับความร้อน
00:14:13 → 00:14:16 จากข้างนอกปั๊บเนี่ยไฟทั้งระบบเราขึ้นอ่า
00:14:16 → 00:14:19 >> พอไฟอุ่นกายขึ้นเนี่ยมันถ่ายเทหาไฟอื่น
00:14:19 → 00:14:20 หมดเลยค่ะ
00:14:20 → 00:14:23 >> นะคะเพราะฉะนั้นไฟอื่นมันก็จะเป็นปัญหา
00:14:23 → 00:14:26 >> คราวนี้มันมีไฟอีกตัวนึงสุดท้ายที่เรา
00:14:26 → 00:14:30 เรียกว่าไฟชิรนัคีหรือไฟเผาให้แก่ข้ามฟัง
00:14:30 → 00:14:34 ศัพท์แล้วดูน่ากลัวตัวมากเนาะจริงๆแล้ว
00:14:34 → 00:14:38 เนี่ยไอ้ไฟตัวเนี้ยมันตรงกับแผนปัจจุบัน
00:14:38 → 00:14:40 เราเรียกว่า aging
00:14:41 → 00:14:41 >> อื
00:14:41 → 00:14:44 >> นะคะจริงๆเลยคือเ aging ค่ะเป็นกระบวนการ
00:14:44 → 00:14:47 เซลล์ aging นะจริงๆในคัมภีร์ศาสนาพุทธก็
00:14:47 → 00:14:50 พูดถึงเรื่องนี้นะคะแล้วก็บอกว่าในกระบวน
00:14:50 → 00:14:53 การพวกเนี้ยไฟชิรนัคคีเนี่ยนเป็นไฟที่
00:14:53 → 00:14:57 สำคัญพุทธเจ้าท่านบอกเลยว่าต้องเผาให้หมด
00:14:57 → 00:15:00 เผาให้ม่อนไหม้เพราะว่าไฟตัวเนี้ก็คือว่า
00:15:00 → 00:15:05 ไม่ว่าคุณจะเกิดไฟอุ่นกายไม่ว่าคุณจะเกิด
00:15:05 → 00:15:08 ไฟย่อยหรือว่าไฟเ่อระสายเนี่ย
00:15:08 → 00:15:13 >> ทุกอย่างมันจะส่งผลต่อไฟชีระคี่หมดนะคะ
00:15:13 → 00:15:16 คือในกระบวนการเนี่ยคิดถ้าเราคิดถึง
00:15:16 → 00:15:19 metabolism ถ้าเราดูของกระบวนการแผน
00:15:19 → 00:15:22 ปัจจุบันนะก็จะเห็นว่ากลไกลึกๆลงไปพอถึง
00:15:22 → 00:15:26 metalisึมเนี่ยมันจะมีพลังงาน ATP มันจะ
00:15:26 → 00:15:28 มี free radical ออกมา
00:15:28 → 00:15:28 >> อ
00:15:28 → 00:15:30 >> นะคะมันจะมีพวกฟอสเฟตกรุ๊ปมีอะไรเงี้ย
00:15:30 → 00:15:33 เยอะแยะแไปหมดเลยเพราะว่าตรงเนี้ยเป็น
00:15:33 → 00:15:37 กระบวนการที่ช่วยทำให้เราเนี่ยเผาผลาญอัน
00:15:37 → 00:15:40 ที่ 1 อันที่ 2 เนี่ยทำให้เอ่อซ่อมแซม
00:15:40 → 00:15:41 เซลล์
00:15:41 → 00:15:41 >> อื
00:15:41 → 00:15:44 >> นะมันจะดึงทำให้เกิดการซ่อมแซมได้เกิดมี
00:15:44 → 00:15:48 ปัญหาและถ้าเกิดว่าซ่อมไม่ได้แล้วสุดท้าย
00:15:48 → 00:15:52 มันใช้กระบวนการจบชีวิตตัวเองนะเเรียกว่า
00:15:52 → 00:15:55 กระบวนการตายโดยธรรมชาติหรือภาษาทางด้าน
00:15:55 → 00:15:59 เราจะเรียกว่า apoptosis นะคะอันเนี้ยมัน
00:16:00 → 00:16:02 เกิดจากไปคีทั้งหมดเห็นมั้ยมันสอดคล้อง
00:16:02 → 00:16:06 กันน่ะระหว่างตัว 2 แผนเนี่ยถ้าดูแล้ว
00:16:06 → 00:16:09 จริงๆแล้ว 2 แผนมันแค่อธิบายคนละแบบใช้คน
00:16:09 → 00:16:10 ละภาษานะคะ
00:16:10 → 00:16:13 >> คือมันเหมือนกับว่าเรามีพลังงานออกมาย่อย
00:16:13 → 00:16:15 ย่อยมาปุ๊บได้
00:16:15 → 00:16:17 >> เป็นพลังงานได้ความร้อนมาให้เซลล์ทำงานพอ
00:16:18 → 00:16:20 มันใช้หมดแล้วมันก็พร้อมที่จะ
00:16:20 → 00:16:23 >> ซ่อมแซมแล้วก็สังเขียแล้วก็ถ่ายออกไปถ่าย
00:16:23 → 00:16:25 ออกไปนะคะทั้ง
00:16:25 → 00:16:27 >> เอ่อสลายเนี่ยส่วนนึงเพราะเราร่างกายเรา
00:16:27 → 00:16:29 มีแอนติอกซidนช่วยให้มันสลายแต่มันไม่มี
00:16:29 → 00:16:32 ทางหมดเพราะมันไม่พอดีกันระหว่างการสร้าง
00:16:32 → 00:16:34 กับการทำลายอ
00:16:34 → 00:16:37 >> นะคะเพราะว่าเวลาตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่
00:16:37 → 00:16:39 เนี่ยไอ้กระบวนการสร้างกับการทำลายที่มัน
00:16:39 → 00:16:41 ไม่พอดีกันน่ะมันทำให้วงจรมันหมุนเวียนจน
00:16:41 → 00:16:43 กระทั่งสุดท้ายเนี่ยเราโตขึ้นมาเป็นผู้
00:16:43 → 00:16:46 ใหญ่และก็กลายเป็นคนแก่แล้วก็ตายนะคะมัน
00:16:46 → 00:16:48 เป็นกระบวนการหมุนเวียนแบบนี้
00:16:48 → 00:16:50 >> อไอ้คำว่าไม่หมดนี่แหละมันก็เลยแบบมันก็
00:16:50 → 00:16:53 เลยเป็นความแก่ฉราซึ่งมันเป็นไปตามวัย
00:16:53 → 00:16:57 >> ใช่ใช่ค่ะนะคะแล้วมันคือต้องไปเรื่อยๆ
00:16:57 → 00:17:00 คราวนี้เราเรามามองเรื่องไข้ละเพราะว่าพอ
00:17:00 → 00:17:03 มองเรื่องไข้ปั๊บเนี่ยไข้ในแผนไทยจริงๆ
00:17:03 → 00:17:06 แล้วเนี่ยเราไม่ได้มองที่ 37.5 เนาะเพราะ
00:17:06 → 00:17:09 ว่าถ้าเป็นถ้าเป็นหมอแผนปัจจุบันหรือว่า
00:17:09 → 00:17:10 เป็นเภสัท์แบ่งปัจจุบันเนี่ยเราก็จะบอก
00:17:10 → 00:17:13 ว่าถ้าเมื่อไหร่ไม่ถึง 37.5 ก็ไม่เรียก
00:17:13 → 00:17:16 ว่าไข้นะคะแต่จริงๆแล้วของเราเนี่ยเรา
00:17:16 → 00:17:20 เรียกว่าอุณหภูมิกายสูงขึ้นจะเรียกว่าไข้
00:17:20 → 00:17:24 ก็ได้นะฮะตั้งแต่อุณหภูมิเปลี่ยนจากเดิม
00:17:24 → 00:17:26 ต้องพูดอย่างเงี้นะอุณหภูมิเปลี่ยนจาก
00:17:26 → 00:17:29 เดิมคือทุกคนเนี่ยอยากให้ทุกคนเนี่ยลอง
00:17:29 → 00:17:32 วัดตัวเองว่าปกติตัวเองเนี่ยอุณหภูมิเท่า
00:17:32 → 00:17:37 ไหร่นะอย่างพี่เนี่ยก็จะประมาณ 36.5
00:17:37 → 00:17:40 ของพี่ถ้าขึ้นมาเต็ม 37 เมื่อไหร่เนี่ยก็
00:17:41 → 00:17:43 เริ่มมีอาการรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวละนะคะ
00:17:43 → 00:17:47 นี่นี่คือจุดที่ตั้งจะต้องนะคะเพราะอะไร
00:17:47 → 00:17:49 เพราะว่าถ้าเรารู้ตรงนี้ปั๊บอ
00:17:49 → 00:17:53 >> นั่นคือกระบวนการที่เริ่มผิดปกติในตัวเรา
00:17:53 → 00:17:55 เพราะมันการรักษาแผนไทยมันจะต่างจากแผน
00:17:55 → 00:17:57 ปฏิบัตินิดนึง
00:17:57 → 00:17:59 >> คือเราไม่ได้ใช้เรียกว่า root ที่มัน
00:17:59 → 00:18:02 เหมือนกันหมดทุกคนอ่าเราก็ใช้แบบ
00:18:02 → 00:18:04 individual นะซึ่ง
00:18:04 → 00:18:06 >> อันนี้ก็เป็นเรื่องดีถ้าเราสามารถดูแลตัว
00:18:06 → 00:18:07 ได้นะคะ
00:18:07 → 00:18:09 >> จริงค่ะจริงๆเรื่องของการสังเกตตัวเองมัน
00:18:09 → 00:18:12 ถึงมาคู่กับแผนไทยตลอดนะคะอาจารย์ถ้าเกิด
00:18:12 → 00:18:14 ว่าเราสังเกตตัวเองอาจจะไม่ต้องมีเครื่อง
00:18:14 → 00:18:17 อุณหภูมิแต่เรารู้เลยโอ้โหวันนี้นี่คือตา
00:18:17 → 00:18:20 ฉันตึงแล้วตัวตาฉันเริ่มแดงๆอฉันเริ่ม
00:18:20 → 00:18:23 กระหายน้ำกินน้ำก็ยังไม่หายหิวอะไรอย่าง
00:18:23 → 00:18:24 เงี้ยมันก็บ่งบอกได้
00:18:24 → 00:18:28 >> ใช่ใช่ๆซึ่งบางทีเราก็บอกว่าเออถ้าเกิด
00:18:28 → 00:18:31 คุณรู้สึกคอแห้งคุณก็ดื่มน้ำไปแต่เราก็จะ
00:18:31 → 00:18:34 รู้สึกว่าเอ๊ดื่มน้ำไปเราก็ถี่ออกเยอะเลย
00:18:34 → 00:18:37 แต่เราไม่หายซะทีอ่ะไม่ลดซะทีแต่มันก็ไม่
00:18:37 → 00:18:39 ได้เป็นอะไรที่มันไม่สบายอันเนี้ยยาแผน
00:18:39 → 00:18:42 ไทยช่วยได้นะคะประชาจันทแดงเนี่ยช่วยได้
00:18:42 → 00:18:45 คราวนี้ก็กลับมาที่การออกฤทธิ์เวลาเราพูด
00:18:45 → 00:18:48 ถึงเรื่องการที่อุณหภูมิกายมันสต็ปอัมัน
00:18:48 → 00:18:51 สูงขึ้นนิดนึงนะคะอันนี้เนี่ยมันหมายถึง
00:18:51 → 00:18:54 ว่าไฟทั้ง 4 ตัวกระทบหมดเลยนะคะมันขึ้น
00:18:54 → 00:18:57 สูงหมดเลยสักทุกตัวเลยแต่มันจะขึ้นเน้น
00:18:57 → 00:19:00 ตัวไหนตัวไหนเนี่ยบางทีไข้แต่ละชนิดมันก็
00:19:00 → 00:19:02 อาจจะขึ้นเน้นไม่เหมือนกันแต่โดยทั่วไป
00:19:02 → 00:19:04 เนี่ยทั้ง 4 ตัวขึ้นหมดเลยตัวแรกที่เรา
00:19:04 → 00:19:06 สังเกตก็คือเรื่องไฟอุ่นกายก่อน
00:19:06 → 00:19:06 >> อื
00:19:06 → 00:19:11 >> นะตัวที่ 2 ก็คือไฟที่รักสสายอ่านะอันที่
00:19:11 → 00:19:14 ตัวที่ 3 ก็คือไฟที่เกี่ยวข้องกับ
00:19:14 → 00:19:18 metabบolisนะคะก็จะพบว่าพอเป็นค่ายปั๊บ
00:19:19 → 00:19:22 ไม่ได้อยากย่อยละนะแต่เมบลิึมในเซลล์ใน
00:19:22 → 00:19:25 อะไรมันจะเยอะขึ้นนะคะมันมีการมันจะมีการ
00:19:26 → 00:19:29 >> สต็ปอัสูงขึ้นเลยมีคนเบอกว่าทุกๆ 1 องศ
00:19:29 → 00:19:33 เซซียนะคะมันจะก่อให้เกิดไอ้ตัว
00:19:33 → 00:19:35 ออกซิative stress เนี่ยสูงขึ้นอ
00:19:35 → 00:19:37 >> อาจารย์อธิบายคำว่า oxidative stress
00:19:37 → 00:19:39 นิดนึงค่ะปัจจุบันมีคนพูดถึงคำนี้เยอะ
00:19:39 → 00:19:42 >> อ่าคือ oxidative stress ก็คือมันเหมือน
00:19:42 → 00:19:46 กับผลเสียที่มาจากไอ้ตัว Free radical
00:19:46 → 00:19:50 อ่ะค่ะนะคะ radical คืออนุมูลอิสระมันคือ
00:19:50 → 00:19:54 ตัวโมเลกุลนะคะแต่ไอ้ตัวเอ่อoอกative
00:19:54 → 00:19:57 stress ก็คือความเครียดที่เกิดจากไอ้ตัว
00:19:57 → 00:19:58 โมเลกุลพวกนี้
00:19:58 → 00:19:59 >> ที่มันเยอะเกิน
00:19:59 → 00:20:02 >> อ่าใช่ๆที่มันเยอะเกินแล้วมันก็เกิดปัญหา
00:20:02 → 00:20:05 ว่าทำให้เกิดการกดบางอย่างทำให้เกิดการ
00:20:05 → 00:20:09 ทำลายบางอย่างมีการชักนำไซโตไคดบางอย่าง
00:20:09 → 00:20:12 ร่วมกันนะคะซึ่งตรงนี้เนี่ยมันทำให้เกิด
00:20:12 → 00:20:14 ผลเสียจริงๆมันไม่ได้เกิดผลเสีย 100%
00:20:14 → 00:20:17 อย่างที่บอกอ่ะสุดท้ายแล้วเนี่ยมันคือไฟ
00:20:17 → 00:20:19 ใช้นัคคีแล้วมันคือสัญญาณ
00:20:19 → 00:20:23 >> ด้วยมันคือสัญญาณที่จะไปดึงไอ้การซ่อมแซม
00:20:23 → 00:20:26 มาด้วยนะคะเพราะฉะนั้นมีไว้ก็ไม่ได้ว่า
00:20:26 → 00:20:29 เสียหายนะแต่ว่าถ้ามีมากเกินเสียหายแน่
00:20:29 → 00:20:30 นอน
00:20:30 → 00:20:34 >> เพราะระยะยาวมันก็จะวนๆสุดท้ายเซลล์มันก็
00:20:34 → 00:20:35 เสื่อมอยู่อย่างงั้นน่ะ
00:20:35 → 00:20:37 >> มันก็เสื่อมเร็วก่อนกำหนด
00:20:37 → 00:20:39 >> อเหมือนจริงๆที่เขาพูดกันบอกว่าความ
00:20:39 → 00:20:42 เครียดเล็กน้อยอ่ะดีนะอ่าแต่ถ้าเครียด
00:20:42 → 00:20:44 เล็กน้อยจนกระทั่งมันเพิ่มสูงขึ้นแล้วมัน
00:20:44 → 00:20:46 ไม่ได้รับการแก้ไขเลยอันเนี้ยไม่ดีทั้ง
00:20:46 → 00:20:48 อันนี้ทั้งร่างกายและในระดับเซลล์เลยนะ
00:20:48 → 00:20:51 เหมือนกันถูกต้องมองเห็นเลยค่ะคราวนี้ใน
00:20:51 → 00:20:54 เรื่องของการลดไข้นะคะเอาว่าปราสาทจันทร์
00:20:54 → 00:20:57 แดงเนี่ยเ้ามองยังไงทำไมเราถึงคิดว่า
00:20:57 → 00:20:59 ปราสาทจันทร์แดงมันดีนะส่วนตัวเนี่ยใช้
00:20:59 → 00:21:03 ปราสาทจันทร์แดงมานานแล้วเนาะ
00:21:03 → 00:21:08 หน่อยก็ก็ใช้ละนะคะก่อนอื่นเนี่ยเรามอง
00:21:08 → 00:21:11 ไข้อีกแบบนึงไม่เหมือนกับแผนปัจจุบันนะคะ
00:21:11 → 00:21:14 เรามองไข้ว่าอันที่ 1 เนี่ยมันมีความร้อน
00:21:14 → 00:21:15 ในเลือด
00:21:15 → 00:21:15 >> อืม
00:21:16 → 00:21:19 >> นะคะอันที่ 2 เนี่ยเอ่อความร้อนตัวเนี้ย
00:21:19 → 00:21:22 มันมาจากตับนะฮะเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาเรา
00:21:22 → 00:21:25 พูดถึงไข้ปั๊บเราก็จะมองเรื่องความร้อน
00:21:25 → 00:21:27 อุณหภูมิกายเนี่ยเรามองอยู่ 2 ตำแหน่งก็
00:21:27 → 00:21:29 คือความร้อนในเลือดกับตับ
00:21:29 → 00:21:29 >> ค่ะ
00:21:29 → 00:21:33 >> นะคะโดยใช้ยาเนี่ย 2 ชนิดนะฮะก็คือไอ้ไอ้
00:21:33 → 00:21:36 ตัวความร้อนในเลือดเนี่ยก็จะใช้ยาเย็นนะ
00:21:36 → 00:21:40 ยาเย็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นรากนะพวกนี้เนี่ย
00:21:40 → 00:21:43 ก็คือเหมือนกับว่าเวลาเราก่อเตาขึ้นมา
00:21:43 → 00:21:44 แล้วมันร้อนแล้วเราต้องการให้มันเย็นลง
00:21:44 → 00:21:47 เร็วๆอ่ะเราก็ใช้ผ้าเย็นซับเลย
00:21:47 → 00:21:48 >> อื
00:21:48 → 00:21:52 >> นะคะแต่ว่าไอ้ยาเย็นตัวเนี้ยมันมันคือพอ
00:21:52 → 00:21:55 เมื่อไหร่ที่มันหายไอ้ไอยาไอ้ฤทธิ์เย็น
00:21:55 → 00:21:57 มันหมดอ่ะไข้มันกลับขึ้นมาอีก
00:21:57 → 00:21:57 >> อื
00:21:57 → 00:21:59 >> เพราะว่าความร้อนจากตับมันยังมีอยู่
00:21:59 → 00:22:00 >> อื
00:22:00 → 00:22:02 >> อ่าสมมุติว่าเหมือนเหมือนที่บอกเมื่อกี้
00:22:02 → 00:22:05 เนี่ยว่าเรากอก่อไฟแล้วไฟมันลุกโชนขึ้นมา
00:22:05 → 00:22:09 พอไฟมันลุกโชนขึ้นมาเนี่ยเราเอาผ้าคลุมไป
00:22:09 → 00:22:13 ปั๊บสุดท้ายผ้าความเย็นหมดไฟมันก็ลุกๆ
00:22:13 → 00:22:16 ขึ้นมาใหม่มันก็จะวอนวนกลับอยู่อย่าง
00:22:16 → 00:22:16 เงี้ย
00:22:16 → 00:22:18 >> เพราะไอ้ความร้อนข้างล่างไอ้ฟืนเอยอะไร
00:22:18 → 00:22:19 เอยมันยังอยู่
00:22:19 → 00:22:21 >> มันยังอยู่อ่ามันยังอยู่นะดังนั้นเนี่ย
00:22:21 → 00:22:24 เวลาใช้ยาลดไข้เนี่ยเขาก็จะใช้ยา 2 อย่าง
00:22:24 → 00:22:28 รวมกันก็คือใช้ยาที่ไปควบคุมที่ตับกับอ่า
00:22:28 → 00:22:30 ยาที่ลดความเย็นลง
00:22:30 → 00:22:30 >> ลดความร้อน
00:22:30 → 00:22:32 >> เออลดความร้อนลงโทษเป็นยาที่ลดความร้อน
00:22:32 → 00:22:35 ร้อนลงนะคะเพราะฉะนั้น 2 ตัวนี้ใช้ขั้ว
00:22:35 → 00:22:39 กันในบริษัทจันทแดงเนี่ยก็จะเน้นเ่อยาที่
00:22:39 → 00:22:43 ทั้งขมและเย็นนะคะตัวแรกที่ที่เป็นตัว
00:22:43 → 00:22:46 หลักของเขาเลยคือจันทร์แดงเพราะว่าคำว่า
00:22:46 → 00:22:50 ประสจันทร์แดงในความหมายของยาไทยนะคะก็
00:22:50 → 00:22:54 คือแปลว่าจันท์แดงเนี่ยมีอยู่เท่ากับยา
00:22:54 → 00:22:57 อื่นๆรวมกันทั้งหมดนะคะโดยใช้คำว่าจันท์
00:22:57 → 00:22:59 แดงเท่ายาทั้งหลาย
00:22:59 → 00:23:02 >> นะคะถ้าเป็นแปัจจุบันฟังง่ายๆก็คือจันท
00:23:02 → 00:23:04 แดง 50% นะอ
00:23:04 → 00:23:07 >> ถ้าตำรับใดมีคำว่าปสะอยู่ข้างหน้าก็แปล
00:23:07 → 00:23:09 ว่าไอ้ตัวข้างหลังนั่นน่ะมันมีสัดส่วน
00:23:09 → 00:23:13 อยู่ 50% นะคะให้ให้จำไว้คือตัวยาหลัก
00:23:13 → 00:23:13 >> อื
00:23:13 → 00:23:15 >> คราวนี้ตรงนี้เนี่ยเค้าก็จะใช้จันทร์แดง
00:23:15 → 00:23:19 กับจันทร์เทศเนี่ยเป็นตัวยาที่ขมและเย็น
00:23:19 → 00:23:22 เพื่อคุมความร้อนในตับเป็นหลักเพราะว่า
00:23:22 → 00:23:23 พวกเนี้ขมเป็นหลัก
00:23:23 → 00:23:23 >> อื
00:23:23 → 00:23:27 >> แล้วก็ลดความร้อนที่ในเลือดนิดหน่อย
00:23:27 → 00:23:29 >> นะในส่วนนึงอ
00:23:29 → 00:23:32 >> คราวนี้ไม่พอถ้าใช้แค่แค่จันทร์แดงกับ
00:23:32 → 00:23:35 จันทร์เทศอย่างเดียวไม่พอเพราะมันจะเย็น
00:23:35 → 00:23:35 ช้า
00:23:35 → 00:23:36 >> อ่า
00:23:36 → 00:23:39 >> คนก็จะรู้สึกเออกว่าจะเย็นเพราะว่าถ้าคุณ
00:23:39 → 00:23:44 ไปดับไฟสมมุติว่าคุณดับไฟในเตานะไอ้เปลว
00:23:44 → 00:23:45 ที่มันขึ้นมาแล้วมันยังอยู่
00:23:46 → 00:23:46 >> อื
00:23:46 → 00:23:48 >> เพราะฉะนั้นปองๆมันยังร้อนอยู่เลยสังเกต
00:23:48 → 00:23:51 เวลาเราขนาดเราดับแก๊สแล้วเนี่ยแล้วยัง
00:23:51 → 00:23:54 เรายังทำอะไรต่อมันกระทะได้อีกระยะนึง
00:23:54 → 00:23:56 >> สมมุติเราอุ่นแกงอ่ะเนาะเราเราอุ่นแกงเรา
00:23:56 → 00:23:58 ปิดไฟแล้วมันก็ยังร้อนอยู่
00:23:58 → 00:24:01 >> ใช่นั่นน่ะนั่นคือสาเหตุที่ทำไมเขาไม่ใช้
00:24:01 → 00:24:02 ขมอย่างอื
00:24:02 → 00:24:07 >> เพราะเนี่ยมันทำให้ลดลงระยะยาวแหละช้าแต่
00:24:07 → 00:24:10 มันแน่นอนกว่าถาวรกว่าเพราะฉะนั้นเราเลย
00:24:10 → 00:24:12 เริ่มใช้ 2 อย่างรวมกันจันทร์แดงและ
00:24:12 → 00:24:15 จันทร์เทศรวมกันในการที่จะลดความร้อนใน
00:24:15 → 00:24:19 ตับในเลือดนะแล้วก็ยังเพิ่มตัวที่เย็น
00:24:19 → 00:24:23 แล้วก็ลดความร้อนในเลือดได้ดีอีก 3 ตัวก็
00:24:23 → 00:24:27 คือรากมะนาวรากมะปางหวานแล้วก็รากเหมือน
00:24:27 → 00:24:30 คนนะคะทั้ง 3 ตัวเนี้ยเพราะรากเนี่ยมันจะ
00:24:30 → 00:24:34 ค่อนข้างมีสรรพสคุณแรงนะเพราะฉะนั้นเป็น 5
00:24:34 → 00:24:38 ตัวที่จัดการเรื่องของความร้อนที่อยู่ที่
00:24:39 → 00:24:41 ตัวเราที่อุณหภูมิกายนะคะ
00:24:41 → 00:24:43 >> ดูแล้วก็น่าจะพอ
00:24:43 → 00:24:47 >> แค่เนี้ยน่าจะพอเนาแต่ปรากฏว่ามันมีอาการ
00:24:47 → 00:24:50 ข้างเคียงจากไข้เวลาเราเป็นไข้เนี่ยยิ่ง
00:24:50 → 00:24:54 ไข้สูงเท่าไหร่เนี่ย 1 อาการปวดหัว 2
00:24:54 → 00:24:58 อาการไม่สบายแบบอยากน่วงง่วงนอนหรือบางที
00:24:58 → 00:25:00 แบบซึมไม่อยากทำอะไรเลยเงี้ย
00:25:01 → 00:25:04 มันก็มีเยอะอันนั้นน่ะคือสิ่งที่ไปต่อจาก
00:25:04 → 00:25:08 เปลียวความร้อนที่ว่าแล้วก็จริงๆแล้วมัน
00:25:08 → 00:25:11 คือ oxidative stress ที่เราบอกเพราะ
00:25:11 → 00:25:15 ฉะนั้นเนี่ยในเนี้ยเาก็เลยมียาอีก 4 ตัว
00:25:15 → 00:25:18 ที่ช่วยลดเรื่องอารมณ์ทำให้กินแล้วอารมณ์
00:25:18 → 00:25:22 นี่อย่างน้อยมันก็ไม่ดาวลงไปเยอะๆนะคะยา 4
00:25:22 → 00:25:26 ตัวนี่ก็เป็นดอกไม้นะคะก็มีมะลิบุญนาค
00:25:26 → 00:25:28 สารพีแล้วก็บัวหลวงอ่ะมะลินี่ขึ้นชื่อเลย
00:25:29 → 00:25:31 มันแก้ไข้ด้วยเพราะมันขมผมด้วยนะเพราะ
00:25:31 → 00:25:33 ฉะนั้นมันก็มาช่วยไอ้จันท์แดงด้วยนะแล้ว
00:25:34 → 00:25:36 ตัวมันเองก็มีผลในเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์
00:25:37 → 00:25:40 และจิตใจด้วยนะคะตัวเอ่อบุญนาคสารพี
00:25:40 → 00:25:43 บัวหลวง 3 ตัวเนี่ยแน่นอนน่ะกินแล้วมันทำ
00:25:43 → 00:25:47 ให้ใจมันสบายมันอารมณ์มันรุงเนาะอ่านี่ก็
00:25:47 → 00:25:50 เป็นชุดนึงที่เกี่ยวข้องกับไฟที่เราเรียก
00:25:50 → 00:25:54 ว่าไฟระสะระสายเห็นมั้ยฮะ 2 ไฟละ
00:25:54 → 00:25:56 >> นอกจากนี้มันยังมีไฟตัวที่ 3 คือไฟ
00:25:56 → 00:26:01 ชิระนักขิมันเป็นตัวที่จะทำให้เกิดสายก
00:26:01 → 00:26:05 ตามมานะดังนั้นเนี่ยตรงเนี้ยเค้าก็ใส่ฝาง
00:26:05 → 00:26:05 เข้าไป
00:26:06 → 00:26:06 >> อื
00:26:06 → 00:26:08 >> แล้วฝางเนี่ยเป็นตัวแอนตี้ออกซิดนที่สูง
00:26:08 → 00:26:12 มากเลยงั้นเข้าไปปั๊บมันก็จะมีผลต่อไอ้
00:26:12 → 00:26:16 ตัวไฟชีระเกียรเห็นมั้ฮะมันสามารถกุมได้
00:26:16 → 00:26:20 หมดเลยทุกไฟนะตัวขมเองก็ฟูมคุมไฟเมาโบไรส
00:26:20 → 00:26:23 ได้ด้วยนะเพราะฉะนั้นเนี่ยคุมได้หมดทั้ง 4
00:26:23 → 00:26:27 ไฟแล้วก็ลดลงแบบประเภทค่อยๆลดไม่ได้ไม่
00:26:27 → 00:26:30 ได้ลดหั้วภาพเนาะแต่ว่าข้อเสียของตรงนี้
00:26:30 → 00:26:34 ก็คือจริงๆแล้วมันไม่มีตัวไหนลดอาการปวด
00:26:34 → 00:26:35 ศีรษะโดยตรง
00:26:35 → 00:26:36 >> อื
00:26:36 → 00:26:39 >> แต่มันลดทางอ้อมคือเมื่อไหร่ที่ไฟมันลด
00:26:39 → 00:26:43 หลอดเลือดในสมองอ่ะมันก็จะติดตัวลง
00:26:43 → 00:26:46 >> แล้วมันก็จะไหลได้ดีนะคะโดยส่วนตัวที่เคย
00:26:46 → 00:26:49 ใช้มาเนี่ยมันก็ลดได้เร็วนะคะภายในประมาณ
00:26:49 → 00:26:52 สักครึ่งชั่วโมงมันก็จะดีขึ้นแหละนะคะ
00:26:52 → 00:26:55 หรืออาจจะเร็วกว่านั้นนะแล้วแต่แล้วแต่คน
00:26:55 → 00:26:58 แล้วแต่ว่าไข้มันจะสูงมากน้อยแค่ไหนแต่
00:26:58 → 00:27:01 นี้ก็ให้เห็นว่าเวลาเรามองเนี่ยหลายคนอาจ
00:27:01 → 00:27:05 จะมองว่ามันใส่เยอะไปไม่อยากได้ยาหลายตัว
00:27:05 → 00:27:08 แต่จริงๆแล้วมันคือยาที่มาตามทฤษฎีนะคะ
00:27:08 → 00:27:12 มันคือการที่มองทฤษฎีกันการเกิดโรคแบบ
00:27:12 → 00:27:16 หนึ่งแล้วก็ตัวเนี้ยมันก็จะตอบสนองการใช้
00:27:16 → 00:27:18 ในตามทฤษฎีนั้นนะคะ
00:27:18 → 00:27:20 >> คืออาจารย์น่ะวิเคราะห์ตำรับยาให้เราฟัง
00:27:20 → 00:27:23 นะคะจริงๆยาประสาทแดงเม็ดนึงอ่ะทุกวันนี้
00:27:23 → 00:27:26 จะเป็นแคปซูลนะคะก็ประกอบด้วยตัวยาที่
00:27:26 → 00:27:27 อาจารย์เล่าให้ฟังเนี่ยแหละอาจารย์กำลัง
00:27:27 → 00:27:29 มาวิเคราะห์ว่าเอ้อใน 1 เม็ดเท่าภาระ
00:27:29 → 00:27:32 เนี่ยมันประกอบด้วยหลากหลายนะแล้วมันออก
00:27:32 → 00:27:34 ฤทธิ์ตามกลไกที่อาจารย์เล่าให้ฟังว่าไข้
00:27:34 → 00:27:36 อ่ะถ้าเกิดมันมาจากความร้อนอ่ะไฟในตัวเรา
00:27:36 → 00:27:39 อ่ะทั้ง 4 ตัวขึ้นหมดเลยนะเพราะฉะนั้นไอ้
00:27:39 → 00:27:41 ยาเม็ดเล็กๆเนี่ยมันจะไปออกฤทธิ์ในการลด
00:27:41 → 00:27:44 ไฟทั้ง 4 ตัวเนี้ยออกฤทธิ์ลดยังไงพอไฟมัน
00:27:44 → 00:27:46 ลงอาการที่มันเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิมัน
00:27:46 → 00:27:48 ก็จะดีขึ้นนะคะ
00:27:48 → 00:27:50 >> จริงๆแล้วมันมีอีก 2 ตัวที่ไม่ได้พูดถึง
00:27:50 → 00:27:54 คือโกรธสอกับเปราะหอมนะคะซึ่ง 2 ตัวเนี้ย
00:27:54 → 00:27:55 อ
00:27:55 → 00:27:58 >> ไม่ได้เย็นนะค่ะ 2 ตัวนี้อุ่นเนี่ยทำไมเ
00:27:58 → 00:28:00 ต้องเอาตัวอุ่นมาใช้มันขัดแย้งกันหรือ
00:28:00 → 00:28:03 เปล่ามันนั่นลึกต้านฤทธิ์กันหรือเปล่าที่
00:28:03 → 00:28:07 จริงนะเอ่อวิธีคิดของไทยกับตะวันตกเนี่ย
00:28:07 → 00:28:09 แตกต่างกันตะวันตกเนี่ยมองว่าถ้ามันมีไข้
00:28:09 → 00:28:13 ก็ลดไข้แต่ถ้าเป็นยาไทยเรามองอย่างงี้นอก
00:28:13 → 00:28:16 จากลดไข้แล้วต้องพยายามปรับบาanceซไม่ให้
00:28:16 → 00:28:19 มันลงต่ำเกินเพราะว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ไฟใน
00:28:19 → 00:28:22 ตัวเราเนี่ยมันต่ำเกินปั๊บเนี่ยมันก็จะมี
00:28:22 → 00:28:24 ปัญหาในเรื่องการย่อยอาหารมีปัญหาเรื่อง
00:28:24 → 00:28:27 ของการดำรงชีวิตหลายๆอย่างเนาะเพราะ
00:28:27 → 00:28:29 ฉะนั้นเก็จะใส่ 2 ตัวเนี้ยซึ่งเป็นตัว
00:28:29 → 00:28:30 อุ่นๆน่ะค่ะ
00:28:30 → 00:28:33 >> แล้วถ้าดูจริงๆแล้วเนี่ยปลหอมเนี่ยมันจะ
00:28:33 → 00:28:36 เป็นตัวที่เอ่อโบราณเจะใช้สำหรับแก้ว
00:28:36 → 00:28:40 หวัดดคัดจมูกนะคะซึ่งถ้าเราคิดในอีกมุม
00:28:40 → 00:28:43 นึงก็คือว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ไข้รถนะเรา
00:28:43 → 00:28:45 สังเกตนะเอ่อพี่เนี่ยเคยสังเกตในเรื่อง
00:28:45 → 00:28:49 ของการใช้ฟ้าทะเลโจรพอเราใช้ฟ้าทะเลโจรใน
00:28:49 → 00:28:51 การลดไข้เราเพราะว่ามันลดเร็วลดลดเร็วเลย
00:28:51 → 00:28:53 เพราะฟ้าทะเลโจรทั้งขมทั้งเย็นอยู่ในตัว
00:28:53 → 00:28:56 แล้วมันขมมากแล้วมันก็เย็นมากด้วยเนาะพอ
00:28:56 → 00:28:59 มันลดเร็วปั๊บพอหลังจากที่เราใช้สัก 2-3
00:28:59 → 00:29:02 วันสังเกตว่าน้ำมูกไหลนั่นเป็นปฏิกิริยา
00:29:02 → 00:29:04 ปกติของร่างกายคือมันเย็นไป
00:29:04 → 00:29:04 >> อ
00:29:04 → 00:29:07 >> เพราะงั้นไอ้ยาพวกเนี้ยมันถึงต้องใส่ตัว
00:29:07 → 00:29:09 ที่ต้านฤทธิ์เอาไว้เ้าเรียกว่าคุมฤทธิ์
00:29:09 → 00:29:12 ถ้าเป็นยาไทยเรียกคุมฤทธิ์นะฮะนั้นงั้น
00:29:12 → 00:29:16 เ่อคลุมเอาไว้ทำให้เราเนี่ยไม่ต่อไปถึง
00:29:16 → 00:29:17 ขั้นน้ำมุกไหล
00:29:17 → 00:29:20 >> นะนี่ก็เป็นอันนึงที่
00:29:20 → 00:29:23 >> เราจะได้เข้าใจว่าเอ้อยาไทยเนี่ยทำไมมัน
00:29:23 → 00:29:25 ใส่ตัวที่ตรงกันข้ามกัน
00:29:25 → 00:29:28 >> มันมันจะมีปัญหามั้ยน้าแล้วเค้าคิดยังไง
00:29:28 → 00:29:29 อะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:29:29 → 00:29:33 >> อืคือเราไม่รู้ว่ากลไกจริงๆของภาษาจันทร์
00:29:33 → 00:29:35 แดงคืออะไรนะฮะแต่มีคนทำวิจัยแล้วเหมือน
00:29:35 → 00:29:38 กันว่าจันทร์แดงกับกลุ่มภาษาจันท์แดง
00:29:38 → 00:29:40 เนี่ยมันมีเอ่อฤทธิ์ลดอาการอักเสบ
00:29:41 → 00:29:41 >> อื
00:29:41 → 00:29:44 >> เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าดูแล้วเนี่ยมันอาจจะ
00:29:44 → 00:29:47 ดีสำหรับไข้ที่มีการอักเสบที่เกิดจากการ
00:29:48 → 00:29:51 อักเสบนะฮะอย่างเช่นการเจ็บคออาการเจ็บคอ
00:29:51 → 00:29:54 นะฮเจ็บคอนี่เป็นไข้ที่เกิดจากการอักเสบ
00:29:54 → 00:29:58 ที่เห็นชัดๆเลยนะแต่ส่วนเรื่องของค่ายที่
00:29:58 → 00:30:00 เกิดจากการติดเชื้อเฉยๆแล้วก็ไม่ไม่เกิด
00:30:00 → 00:30:03 อาการอักเสบใดๆเนี่ยเท่าที่เราใช้ก็โอเค
00:30:03 → 00:30:06 อยู่อย่างเช่นไข้ไวรัสโดยทั่วๆไปที่ไม่
00:30:06 → 00:30:09 ได้เกิดการเจ็บคอเนาอยู่ๆก็มีไข้ขึ้นมา
00:30:09 → 00:30:12 อย่างนั้นน่ะนะฮะเราก็เพราะปรากฏว่ามัน
00:30:12 → 00:30:15 ใช้ได้แต่เรายังไม่สามารถอธิบายกลไกได้
00:30:15 → 00:30:18 ตามแผนเหมือนแผนปัจจุบันเพราะว่าเราคิดคน
00:30:18 → 00:30:21 ละวิธีแล้วเราอธิบายด้วยวิธีนี้แล้วจริงๆ
00:30:21 → 00:30:24 แล้วเนี่ยลักษณะอย่างเงี้ยมันเหมือน
00:30:24 → 00:30:25 Blackบอก
00:30:25 → 00:30:29 นะไม่ไม่แน่ใจว่าเ่อทุกท่านเคยได้ยินคำ
00:30:29 → 00:30:30 ว่าBlackบxมเนาะ
00:30:30 → 00:30:33 >> Blackบ Box มันคือกล่องดำกล่องดำมันคือ
00:30:33 → 00:30:36 สิ่งที่เราไม่รู้จริงๆแล้วมันไม่รู้ยาไทย
00:30:36 → 00:30:39 ก็ใช้วิธีเนี้ยค่ะก็คือเราใส่ input เข้า
00:30:39 → 00:30:42 ไปแล้วมันมี output ออกมาแล้วเราก็สังเกต
00:30:42 → 00:30:45 จาก input แล้วก็ได้ output ออกมาแล้วเรา
00:30:45 → 00:30:47 ค่อยไปอธิบายกล่องดำกันทีหลังนะคะตอน
00:30:47 → 00:30:49 เนี้ยเราอธิบายกล่องดำด้วยหลักการแพทย์
00:30:49 → 00:30:52 แผนไทยแต่ถ้าใครอยากได้การอธิบายเพราะว่า
00:30:52 → 00:30:56 เอ๊ะมันใช้ PTO2 เหมือนกับตัวพาราซตามอล
00:30:56 → 00:30:59 ไม่หรือไม่นะซึ่งอันนี้เนี่ยก็คงต้องมี
00:30:59 → 00:31:02 งานวิจัยต่อไปแต่ในในบางมุมมองบางเรื่อง
00:31:02 → 00:31:04 จริงๆBlackบ Box ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็
00:31:04 → 00:31:08 ได้นะคะเพราะว่ามันก็มีทฤษฎีแผนไทยรองรับ
00:31:08 → 00:31:08 แล้ว
00:31:08 → 00:31:12 >> นะคะมันสำคัญตรงที่ว่าเราสามารถทำซ้ำได้
00:31:12 → 00:31:15 เหมือนเดิมมั้ยเพราะทุกครั้งที่เราใช้
00:31:15 → 00:31:17 ประสาทจันทร์แดงเนี่ยมันสามารถลดไข้ได้
00:31:17 → 00:31:20 ทุกครั้งมั้ยนะฮะจริงๆแล้วก็ตั้งแต่โบราณ
00:31:20 → 00:31:23 จนถึงปัจจุบันนี้เราก็พิสูจน์ว่าเราใช้
00:31:23 → 00:31:26 แล้วมันได้ผลอืนะคะก็ก็ถือว่ามันก็เป็นยา
00:31:26 → 00:31:30 ลดไข้ที่ดีตัวนึงแล้วก็ตัวเน้นก็คือมัน
00:31:30 → 00:31:32 น่าจะดีสำหรับกลุ่มที่รสไข้ที่เกิดจาก
00:31:33 → 00:31:35 อักเสบแต่ว่ารสไข้ที่เกิดจากเชื้อเนี่ย
00:31:36 → 00:31:39 เราก็ต้องไปรักษาที่ต้นเหตุไปหาต้นเหตุ
00:31:39 → 00:31:41 และรักษามันก็เหมือนกับพาราเซตามอลเหมือน
00:31:41 → 00:31:42 กัน
00:31:42 → 00:31:45 >> เพราะว่าตัวนี้ไม่ใช่ว่าตัวเดียวรักษา
00:31:45 → 00:31:47 ครอบจักรวาลไม่ได้มันไม่ได้เก่งกว่า
00:31:47 → 00:31:50 พาราเซตามอลนะไม่ใช่บอกว่ากินแล้วเอออ่า
00:31:50 → 00:31:52 พารามันต้องกินยาอย่างอื่นด้วยภาษาจันท์
00:31:52 → 00:31:54 แดงกินแล้วไม่ต้องกินยาอย่างอื่นจริงๆไม่
00:31:54 → 00:31:59 ใช่มันก็คือยาที่ใช้รักษาอาการไข้แล้วก็
00:31:59 → 00:32:03 ลดอาการปวดศีรษะในขณะที่เกิดจากไข้ได้แต่
00:32:03 → 00:32:06 ถ้าเรารู้สาเหตุแล้วเราหาสาเหตุเจอเราก็
00:32:06 → 00:32:07 ต้องรักษาที่สาเหตุด้วย
00:32:07 → 00:32:10 >> อย่างี้โดยสรุปเนี้ยพารากับปราสาทจันทร์
00:32:10 → 00:32:13 แดงก็ลดไข้ได้เหมือนกันคราวนี้ในกรณีไหน
00:32:13 → 00:32:16 คะอาจารย์ที่เฮ้ยปราสาทจันทร์แดงจะใช้ได้
00:32:16 → 00:32:18 เราจะได้แบบพอมีอาการปุ๊บเราเลือกใช้ได้
00:32:18 → 00:32:19 เลย
00:32:19 → 00:32:22 >> จริงๆแล้วประสาทจันทร์แดงเนี่ยถ้ามันมี
00:32:22 → 00:32:25 อาการไข้ทุกชนิดอ่ะค่ะใช้ได้เลยนะคะใช้
00:32:25 → 00:32:29 ได้ตั้งแต่ไข้ต่ำๆจนกระทั่งถึงไข้สูงนี้
00:32:29 → 00:32:32 ให้ระวังนิดเดียวก็คือว่าในเรื่องของไข้
00:32:32 → 00:32:35 เลือดออกนะคะซึ่งเราก็ยังไม่มีรายงานนะ
00:32:35 → 00:32:38 ว่าถ้าไข้เลือดออกจริงๆแล้วตัวเนี้ยใช้
00:32:38 → 00:32:41 แล้วมันจะมีปัญหากับเรื่องของการแตกตัว
00:32:41 → 00:32:43 หรือการจับตัวของเกล็ดเลือดหรือเปล่านะคะ
00:32:43 → 00:32:46 แต่โดยทั่วไปจากงานวิจัยเนี่ยภาษาจันทร์
00:32:46 → 00:32:49 แดงเนี่ยมันสามารถมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ
00:32:49 → 00:32:52 ได้เพราะฉะนั้นถ้าไข้เจ็บคอ
00:32:52 → 00:32:54 >> ซึ่งเกิดอาการอักอักเสบแล้วมีไข้ภาษาจันท
00:32:54 → 00:32:57 แดงก็ตอบโจทย์ค่ะแม้กระทั่งไข้แล้วก็ปวด
00:32:57 → 00:33:00 ศีรษะภาษาจันทแดงก็ใช้แทนที่ได้แต่ในกรณี
00:33:00 → 00:33:03 ที่ปวดอย่างเดียวาจันทแดงจะไม่ค่อยได้ผล
00:33:03 → 00:33:04 เท่าไหร่
00:33:04 → 00:33:06 >> นะคะมันจะได้ผลน้อยกว่า
00:33:06 → 00:33:06 >> อค่ะ
00:33:06 → 00:33:09 >> อาจารย์แล้วอาจจะมีคำถามว่าพารามันก็ออก
00:33:09 → 00:33:10 ฤทธิ์เร็วเนาะแล้วก็ประสาทจันทร์แดงก็
00:33:10 → 00:33:13 ช่วยลดในระยะยาวกินด้วยกันเลยได้มั้ย
00:33:14 → 00:33:16 >> เอ่อจริงๆไม่แนะนำนะคะเพราะว่า
00:33:16 → 00:33:21 พาราเซตามอลก็มีผลต่อตับเนาะแล้วก็ปราสาท
00:33:21 → 00:33:24 จันทร์แดงก็อาจจะมีผลต่อไตนะฮะคือคือไม่
00:33:24 → 00:33:26 ได้มองเรื่องตับเพราะว่ายังไม่มีรายงาน
00:33:26 → 00:33:29 ชัดเจนนะคะพอกินด้วยกันร่างกายมันก็ทำงาน
00:33:29 → 00:33:30 หนักอ่ะ
00:33:30 → 00:33:30 >> อื
00:33:30 → 00:33:34 >> นะในในเรื่องอาการ 1 อาการเนี่ยเอ่อมัน
00:33:34 → 00:33:37 อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิดยก
00:33:37 → 00:33:38 เว้น
00:33:38 → 00:33:42 >> ยกเว้นยกเว้นว่าบางครั้งใช้แล้วมันมี
00:33:42 → 00:33:45 ปัญหาแล้วก็ใช้อย่างเดียวไม่ได้อย่างตัด
00:33:45 → 00:33:49 คราวที่แล้วโควิดเนี่ยเราบอกว่าเราใช้ฟ้า
00:33:49 → 00:33:52 ทลโจรปรากฏว่าไข้มันยังไม่ลดเพราะฉะนั้น
00:33:52 → 00:33:55 เราก็ใช้ฟ้าทะเลโจรกับ 5 รากด้วยกันได้มย
00:33:55 → 00:33:59 ก็บอกเพราะว่าใช้ได้นะคะเพราะว่ามันใช้พอ
00:33:59 → 00:34:01 แผนไทยมันใช้คนละวัตถุประสงค์
00:34:01 → 00:34:01 >> อื
00:34:01 → 00:34:05 >> ม 5 รากนี้เใช้วิธีเป็นการกระทุ้งพิษแต่
00:34:05 → 00:34:09 ฟ้าไทยโจรเนี่ยมันเป็นตัวที่ลดอาการ
00:34:09 → 00:34:09 >> อื
00:34:09 → 00:34:14 >> แล้วก็ไปตัวที่มีผลกระทบกับไวรัสนะอย่าง
00:34:14 → 00:34:15 นั้นน่ะต้อง
00:34:15 → 00:34:15 >> อ
00:34:15 → 00:34:18 >> ต้องเป็นแบบนั้นถ้าต้องการใช้มากกว่า 1
00:34:18 → 00:34:21 ชนิดเนาะให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญค่ะ
00:34:21 → 00:34:24 >> ค่ะคราวนี้โดสนิดนึงค่ะอาจารย์แล้วแบบ
00:34:24 → 00:34:26 สมมุติผู้ใหญ่อย่างเราเงี้ยมีอาการไข้และ
00:34:26 → 00:34:28 อยากกินประสาจันทแดง
00:34:28 → 00:34:28 >> ค่ะ
00:34:28 → 00:34:29 >> โดสมันยังไงคะ
00:34:29 → 00:34:32 >> ก็ให้ดูว่า 1 กรัมค่ะประมาณ 1 กรัมทุก 4
00:34:32 → 00:34:36 ชมงเท่านั้นเองแล้วก็ถ้าคนที่ร้อนใน
00:34:36 → 00:34:39 กระหายน้ำประสาทจันท์แดงก็ใช้ได้ด้วยแต่
00:34:39 → 00:34:42 เวลาร้อนในเนี่ยไม่ต้องใช้สูงถึงขนาด 1
00:34:42 → 00:34:45 กรัมนะอาจใช้ครึ่งเดียว 500 มกรันะคะแล้ว
00:34:46 → 00:34:50 ก็ผู้หญิงที่มีประจำเดือนบางคนอาจจะมีไข้
00:34:50 → 00:34:54 ก่อนมีประจำเดือนถ้าเกิดทนไม่ได้จริงๆใช้
00:34:54 → 00:34:57 ปราสาทจันทแดงแต่ให้ใช้โดสต่ำค่ะให้ใช้
00:34:57 → 00:34:59 ประมาณ 300 หรือ 500 มลกรัมพอ
00:34:59 → 00:34:59 >> อื
00:34:59 → 00:35:00 >> นะคะ
00:35:00 → 00:35:03 >> เราสามารถแกะแคปซูลแล้วก็เอาผมมาละลายน้ำ
00:35:03 → 00:35:03 ได้มั้ยคะ
00:35:03 → 00:35:07 >> เออได้ค่ะเพราะว่าเดิมเนี่ยเราให้ละลาย
00:35:07 → 00:35:10 กับน้ำกับสายอะไรอะไรเนี่ยด้วยซ้ำไปนะคะ
00:35:10 → 00:35:11 >> อโอเค
00:35:11 → 00:35:14 >> แต่นี้รสชาติอาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่
00:35:14 → 00:35:16 >> แล้วเด็กล่ะคะอาจารย์เด็กก็ทานได้มั้คะ
00:35:16 → 00:35:17 >> เด็กทานได้ค่ะ
00:35:17 → 00:35:21 >> อืก็ลดโดสกันไปตามสวนลดโดสค่ะแต่นี้แต่
00:35:21 → 00:35:25 ถ้าเด็กที่เป็นไข้บ่อยๆอันนี้ให้ปรึกษา
00:35:25 → 00:35:27 เนาะเพราะว่ามันอาจจะมีปัญหาอ
00:35:27 → 00:35:30 >> เพราะเด็กที่เป็นไข้มากๆแล้วเรากินยาลด
00:35:30 → 00:35:33 ไข้มากๆเนี่ยนะคะมันก็จะไปกระทบไอ้ไฟ
00:35:33 → 00:35:37 ชีรนักขีอย่างที่บอกค่ะไฟชีรนักคีก็จะมี
00:35:37 → 00:35:39 ส่วนจริงๆมันมีส่วนสำหรับการเจริญเติบโต
00:35:39 → 00:35:41 ของเด็ก
00:35:41 → 00:35:45 >> อืโอ้โหน่าสนใจคือวันเนี้ยตั้งใจจะมาถาม
00:35:45 → 00:35:47 อาจารย์คำถามหลักๆคือพารากับสัตว์แดงจะ
00:35:47 → 00:35:50 เลือกกินยังไงดีแต่อาจารย์แบบว่าครบมาก
00:35:50 → 00:35:52 เลยอาจารย์บอกว่าเนี่ยอยากอธิบายก่อนว่า
00:35:52 → 00:35:55 ไข้อ่ะมันมีที่มาที่ไปยังไงแล้วยาเนี่ย
00:35:55 → 00:35:58 ก่อนมันจะพัฒนามาเนี่ยมันใช้ทฤษฎีอะไรพอ
00:35:58 → 00:36:00 เราเข้าใจที่มาที่ไปของภาพลมแล้วเนี่ยเรา
00:36:00 → 00:36:03 จะเลือกถูกและว่าเราจะเลือกใช้ยาอะไรนะคะ
00:36:03 → 00:36:06 แล้วก็ไฟสำคัญมากๆเลยนะคะอาจารย์ในทางแผน
00:36:06 → 00:36:08 ไทยเนี่ยจริงๆถ้ามีโอกาสยังอยากคุยกับ
00:36:08 → 00:36:12 อาจารย์เรื่องนี้ต่อเลยว่าไฟลมน้ำเราจะดู
00:36:12 → 00:36:15 แลทั้ง 3 อันยังไงมันก็มีทฤษฎีซ่อนอยู่
00:36:15 → 00:36:16 อีกเนาะ
00:36:16 → 00:36:17 >> ค่ะน่าสนใจมาก
00:36:17 → 00:36:19 >> แล้วจริงๆแล้วคนไทยก็ควรจะรู้หลักการ
00:36:19 → 00:36:21 แพทย์แพทย์แผนไทยอย่างน้อยก็หลักเพื่อไว้
00:36:21 → 00:36:24 ดูแลตัวเองนะคะนี่เพราะว่าการแพทย์แต่ละ
00:36:24 → 00:36:29 แผนเนี่ยมันเป็นอะไรเค้าเรียกว่ามันมีข้อ
00:36:29 → 00:36:32 ดีข้อเสียของของเขาอยู่ในตัวเองนะคะแล้ว
00:36:32 → 00:36:35 ก็เอ่อการที่เรารู้หลายแผนก็ยิ่งเป็น
00:36:35 → 00:36:38 เรื่องดีในการที่เราจะดูแลสุขภาพค่ะ
00:36:38 → 00:36:40 >> จริงค่ะจริงค่ะแล้วก็เมื่อกี้ยังคุยกับ
00:36:40 → 00:36:42 อาจารย์อยู่เลยเนาะว่าจริงๆตัวโรคเนี่ย
00:36:42 → 00:36:44 มันก็เป็นมันเรื่องเดียวกันนั่นแหละแต่
00:36:44 → 00:36:47 ภาษาที่เขาใช้ในการพูดอ่ะจีนก็ภาษานึงไทย
00:36:47 → 00:36:50 อายุรเวชตะวันออกแต่จริงๆเพูดเรื่องหลัก
00:36:50 → 00:36:51 สมดุลเหมือนกันนะคะ
00:36:51 → 00:36:54 >> โอเควันนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์นะคะลอง
00:36:54 → 00:36:56 เลือกใช้กันดูนะคะยาก็มีประโยชน์ทั้งหมด
00:36:56 → 00:36:58 นั่นแหละอยู่ที่ว่าเราจะหยิบมาใช้ยังไง
00:36:58 → 00:37:00 ให้เหมาะกับอาการของเรานะคะแล้วเดี๋ยว
00:37:00 → 00:37:03 ครั้งต่อไปก็กลับมาพบกับความรู้ดีๆกับแดง
00:37:03 → 00:37:04 กับอาจารย์ได้ใหม่นะคะวันนี้ก็ขอบคุณ
00:37:04 → 00:37:06 อาจารย์นะคะสวัสดีค่ะ
00:37:06 → 00:37:12 >> ค่ะแล้วก็ลาทุกคนไปเลยค่ะบ๊ายบายค่ะบายเฮ
00:37:12 → 00:37:21 [เพลง]