00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับผมเชื่อว่าหลายๆคนนะครับคงเคย
00:00:02 → 00:00:05 ได้ยินเรื่องของน้ำด่างมาไม่มากก็น้อยนะ
00:00:05 → 00:00:08 ครับโดยน้ำด่างเนี่ยก็มีวางขายทั่วๆไปนะ
00:00:08 → 00:00:11 ครับแล้วก็มีหลายๆคนเนี่ยได้รับคำแนะนำมา
00:00:11 → 00:00:13 จากแหล่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นการโฆษณานะครับ
00:00:13 → 00:00:15 การบอกต่อกันมานะครับหรือว่าทาง
00:00:15 → 00:00:18 อินเทอร์เน็ตมีการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้
00:00:18 → 00:00:20 จากกลุ่ม influencer จากกูรูทางด้าน
00:00:20 → 00:00:23 สุขภาพต่างๆนะครับว่ามันสามารถที่จะช่วย
00:00:23 → 00:00:26 ทำให้ร่างกายของเราเนี่ยมีสุขภาพดีขึ้น
00:00:26 → 00:00:29 หลายๆทางนะครับเช่นลดการอักเสบต่างๆใน
00:00:29 → 00:00:31 ร่างกายนะครับครับรดกรดไหลย้อนทำให้เรา
00:00:31 → 00:00:34 ขับถ่ายได้ปกติดีนะครับผิวหนังเราเนี่ยมี
00:00:34 → 00:00:38 น้ำมีนวลนะครับป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
00:00:38 → 00:00:41 หรือโรคเบาหวานความดันไขมันต่างๆรวมไปจน
00:00:41 → 00:00:44 ถึงขั้นป้องกันมะเร็งได้แล้วก็สามารถที่
00:00:44 → 00:00:47 จะชะลอไวได้ด้วยนะครับเรื่องนี้เนี่ยมัน
00:00:47 → 00:00:49 มีที่มาที่ไปอย่างไรวันนี้ผมก็จะมาเล่า
00:00:49 → 00:00:51 ให้ฟังเลยนะครับแล้วน้ำดัเนี่ยมันมีความ
00:00:51 → 00:00:54 จำเป็นอย่างไรในทางการแพทย์เราใช้ทำอะไร
00:00:54 → 00:00:57 นะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธานีธานีวัน
00:00:57 → 00:00:58 นะครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศ
00:00:58 → 00:01:00 สหรัฐอเมริกานะครับครับเชี่ยวชาญโรคปอด
00:01:00 → 00:01:03 การปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับก่อน
00:01:03 → 00:01:06 ที่เราจะไปว่างกันถึงน้ำด่างเนี่ยผมก็
00:01:06 → 00:01:09 อยากจะเล่าให้ถึงเรื่องของกรดด่างสมรุ้น
00:01:09 → 00:01:13 กรดด่างในร่างกายของคนเรานะครับโดยในร่าง
00:01:13 → 00:01:15 กายของคนเราเนี่ยแต่ละส่วนเนี่ยมันจะมี
00:01:15 → 00:01:18 ค่าความเป็นกรดด่างหรือค่าพีที่ไม่เหมือน
00:01:18 → 00:01:21 กันนะครับอย่างในเลือดของเราเนี่ยค่าพี
00:01:21 → 00:01:24 อยู่ที่ 7.4 ซึ่งก็อยู่ที่ปางๆกลางๆนะ
00:01:24 → 00:01:27 ครับพีของเราเนี่ยต่ำสุดก็คือมีสเกลมัน
00:01:27 → 00:01:30 อยู่ที่ 0-14 นะครับยิ่งเลขเลขน้อยก็ยิ่ง
00:01:30 → 00:01:32 เป็นกรดยิ่งเลขมากก็ยิ่งเป็นด่างนะครับ
00:01:32 → 00:01:35 เลือดของคนเราเนี่ยอยู่ตรงกลางเลยคือ 7.4
00:01:35 → 00:01:37 นะครับแต่ว่าบริเวณอื่นๆของร่างกายเรา
00:01:37 → 00:01:40 เนี่ยมันก็จะไม่เท่ากันยกตัวอย่างเช่นถ้า
00:01:40 → 00:01:44 ไปวัดในช่องเยื่อหุมปอดเนี่ยปกติก็จะ 7.6
00:01:44 → 00:01:46 นะครับคือเป็นด่างขึ้นมาเล็กน้อยนะครับ
00:01:46 → 00:01:48 ถ้าไปวัดในกล้ามเนื้อก็ 6 กว่าๆนะครับก็
00:01:48 → 00:01:52 คือมันเป็นกรดหน่อยหรือถ้าเราไปวัดในอ่า
00:01:52 → 00:01:54 ตัวไขกระดูกของเรานะครับมันก็จะเป็นกรดนะ
00:01:54 → 00:01:57 ครับเ 6 กว่าเกือบ 7 อย่างเงี้ยนะครับ
00:01:57 → 00:02:01 ซึ่งถ้าเราไปเปลี่ยนแปลงพชพวกนี้นะครับ
00:02:01 → 00:02:03 ตามส่วนต่างๆของร่างกายเนี่ยร่างกายเรา
00:02:03 → 00:02:06 มันก็จะไม่ชอบแล้วก็จะมีการทำงานที่ผิด
00:02:06 → 00:02:09 ปกติไปดังนั้นร่างกายของคนเราเนี่ยนะครับ
00:02:09 → 00:02:12 มันก็จะต้องมีกลไกธรรมชาติเพื่อที่จะทำ
00:02:12 → 00:02:15 ให้พีตามส่วนต่างๆของร่างกายเนี่ยมันอยู่
00:02:15 → 00:02:19 ในระดับซึ่งเหมาะสมกับอวัยวะและส่วนต่างๆ
00:02:19 → 00:02:22 เหล่านั้นนะครับทีนี้ในเวลาที่เราใช้
00:02:22 → 00:02:26 ชีวิตประจำวันปกติเนี่ยเราก็มีอาหารที่มี
00:02:26 → 00:02:29 กรดมีด่างปนกันไปนะครับรวมทั้งร่างกายเรา
00:02:29 → 00:02:31 เนี่ยมันก็มีการการสลายพลังงานใช้พลังงาน
00:02:31 → 00:02:34 แล้วก็สร้างให้เกิดกรดในร่างกายนะครับ
00:02:34 → 00:02:36 สิ่งเหล่านี้นี่เองนะครับเวลามันออกมา
00:02:36 → 00:02:39 ปุ๊บร่างกายเราก็จะต้องมีตัวซึ่งสามารถทำ
00:02:39 → 00:02:41 ให้มันเข้าสู่สมดุลของพีซึ่งถ้าวัดใน
00:02:41 → 00:02:44 เลือดก็คือ 7.4 นั่นเองนะครับระบบที่ว่า
00:02:44 → 00:02:48 เนี่ยก็คือระบบบัฟเฟอร์นะครับโดยระบบใน
00:02:48 → 00:02:52 ร่างกายที่มีความสำคัญต่อการคงสมดุลกรด
00:02:52 → 00:02:54 ด่างก็คือระบบของการหายใจคือเรื่องปอดนะ
00:02:54 → 00:02:57 ครับและอันที่ 2 คือเรื่องของไตนะครับ
00:02:57 → 00:02:59 เวลาที่ร่างกายเราเนี่ยมันสร้างกรดขึ้น
00:02:59 → 00:03:02 ขึ้นมาจากไม่ว่าจะเป็นจากการใช้ชีวิต
00:03:02 → 00:03:05 ประจำวันจากการออกกำลังกายนะครับพอมีกรด
00:03:05 → 00:03:07 มาปุ๊บร่างกายเราก็จะต้องมีการหายใจเอา
00:03:07 → 00:03:09 คาร์บอนไดออกไซด์ออกนะครับเพราะว่า
00:03:09 → 00:03:12 คาร์บอนไดออกไซด์ของเราเนี่ยถ้ามันมีเยอะ
00:03:12 → 00:03:15 ๆเนี่ยนะครับมันก็จะรวมกับน้ำในเลือดแล้ว
00:03:15 → 00:03:17 ก่อให้เกิดกรดได้นะครับถ้าเราหายใจมันออก
00:03:17 → 00:03:21 ไปก็จะสามารถลดภาวะเป็นกรดในร่างกายทำให้
00:03:21 → 00:03:24 เลือดของเราเนี่ยนะครับพีเข้าใกล้ 7.4 นะ
00:03:24 → 00:03:28 ครับกลไกนี้มันจะออกฤทธิ์ทันทีเลยนะครับ
00:03:28 → 00:03:31 เช่นถ้าเรามีการออกกำลังกายจนกระทั่งร่าง
00:03:31 → 00:03:33 กายของเราเป็นกรดมากๆปุ๊บเราก็จะหายใจ
00:03:33 → 00:03:35 เหนื่อยขึ้นทันทีนั่นคือการขับเอา
00:03:35 → 00:03:37 คาร์บอนไดออกไซด์ออกไปนะครับทำให้ร่างกาย
00:03:37 → 00:03:40 ของคนเราเนี่ยไม่เป็นกรดจนเกินไปนะฮะอัน
00:03:40 → 00:03:43 ที่ 2 คือเรื่องของไตนะครับไตเนี่ยมันจะ
00:03:43 → 00:03:46 มีตัวนึงสารตัวนึงชื่อว่าไบคาร์บอเนตนะ
00:03:46 → 00:03:49 ครับถ้าไตเนี่ยเก็บไบคาร์บอเนตไว้กับร่าง
00:03:49 → 00:03:52 กายนะครับมันก็จะไปทำให้สมดุลเนี่ยมัน
00:03:52 → 00:03:54 ค่อนข้างไปทางด่างนะครับถ้าร่างกายเรา
00:03:54 → 00:03:57 เกิดกรดปุ๊บไตของเราก็จะเก็บด่างก็คือ
00:03:57 → 00:04:01 ด่างในรูปของไคเนสนะครับทำให้พีของเลือด
00:04:01 → 00:04:04 ของเราเนี่ยเป็นอยู่ที่ 7.4 นะครับทีนี้
00:04:04 → 00:04:08 ถ้าเกิดในภาวะที่อ่าเราได้ด่างมากจนเกิน
00:04:08 → 00:04:10 ไปเนี่ยร่างกายเราก็ไม่ชอบอีกเหมือนกันนะ
00:04:10 → 00:04:13 ครับไตเราก็จะขับด่างทิ้งนะครับการหายใจ
00:04:13 → 00:04:16 ของเราก็จะอ่าจะแตกต่างไปจากตอนที่เรา
00:04:16 → 00:04:18 เป็นกรดนะครับตอนที่เราเป็นกรดจะต้องหาย
00:04:18 → 00:04:20 ใจลึกเร็วนะครับเพื่อที่จะเอากรดคารบอน
00:04:20 → 00:04:22 ออกไซด์ออกไปแต่ถ้าเมื่อไหร่ร่างกายของ
00:04:22 → 00:04:25 เราเป็นดางเราก็ไม่ชอบเหมือนกันนะครับเรา
00:04:25 → 00:04:27 ก็ต้องทำให้มันกลับไปเป็นกรดโดยการไม่
00:04:27 → 00:04:30 ค่อยหายใจนะครับเราก็จะกั้นหายใจนะฮะนี่
00:04:30 → 00:04:32 เป็นสมองสั่งลงมาส่วนไตของเราเนี่ก็จะ
00:04:32 → 00:04:34 ปล่อยบอเนตทิ้งออกไปหมดเลยนะครับเพราะไม่
00:04:34 → 00:04:36 ฉะนั้นเนี่ยร่างกายของเราก็จะเป็นด่างมาก
00:04:36 → 00:04:40 จนเกินไปนะครับนี่คือสมดุลพีซึ่งเกิดขึ้น
00:04:40 → 00:04:42 โดยธรรมชาติของร่างกายไม่ว่าจะทำอะไรก็
00:04:42 → 00:04:45 ไม่สามารถไปเร่งกระบวนการนี้ได้นะครับอ่ะ
00:04:45 → 00:04:48 ทีนี้มาว่ากันถึงว่าเรื่องน้ำด่างเนี่ย
00:04:48 → 00:04:51 มันด่างยังไงนะครับคือค่าเลือดของเรา
00:04:51 → 00:04:54 เนี่ยพีอยู่ที่ 7.4 ก็คืออยู่ตรงกลางสเกล
00:04:54 → 00:04:58 ระหว่าง 0-14 นะครับถ้าน้ำด่างเนี่ยมันจะ
00:04:58 → 00:05:00 มีพีอยู่ที่ประมาณ 8 ถึง 9 หรือประมาณ9า
00:05:00 → 00:05:03 ง่ายๆเอาเลข 9 แล้วกันนะครับง่ายๆนะฮะถ้า
00:05:04 → 00:05:06 เราไปกินพวกอ่ากรดในกระเพาะของเราเนี่ย
00:05:06 → 00:05:09 กรดกระเพาะของเราก็คือพอยู่ที่ประมาณ 1
00:05:09 → 00:05:11 หรือ 2 เนี่ยอย่างมากก็ประมาณเท่านี้นะ
00:05:11 → 00:05:13 ครับนี่คือเป็นสเกลที่ทำให้เราพอเห็นภาพ
00:05:13 → 00:05:15 ได้ว่าเอออะไรมันอยู่ตรงไหนอย่างมะนาว
00:05:15 → 00:05:17 เนี่ยอาจจะ 2 หรือ 4 อะไรอย่างเงี้ยเป็น
00:05:17 → 00:05:19 ต้นนะครับมะเขือเทศก็จะค่อนไปทางกรดนะ
00:05:19 → 00:05:22 ครับเลือดเราก็อยู่ตรงกลางน้ำปกติที่เรา
00:05:22 → 00:05:25 รับประทานกันเนี่ยนะครับมันอยู่ที่ 7 อ่า
00:05:25 → 00:05:27 ก็คือเป็นกรดเล็กน้อยต่ำเมื่อเทียบกับ
00:05:27 → 00:05:29 ร่างกายคือร่างกายของเราเนี่ยเลือดเป็น
00:05:29 → 00:05:33 7.4 นะครับแล้วน้ำของเราปกติคือ 7 ถ้า
00:05:33 → 00:05:37 น้ำดักคือ 9 อ่าประมาณนั้นนะคำถามต่อมาก็
00:05:37 → 00:05:41 คือว่าแล้วทำไมเราถึงไปคิดเรื่องน้ำด่านะ
00:05:41 → 00:05:44 ครับจริงๆเนี่ยมันก็มีทฤษฎีบางอย่างซึ่ง
00:05:44 → 00:05:48 พยายามจะสร้างออกมาโดยการอธิบายว่าเหตุผล
00:05:48 → 00:05:51 ที่ร่างกายเราเกิดโรคต่างๆได้เนี่ยมัน
00:05:51 → 00:05:53 เป็นเพราะว่าร่างกายของเราเป็นกรดทำไมจึง
00:05:53 → 00:05:57 มีสมมุติฐานอันนี้ออกมานะครับย้อนไปเมื่อ
00:05:57 → 00:05:59 หลายปีก่อนจริงๆก็คือ 560 ปีก่อนแล้วครับ
00:05:59 → 00:06:01 มันไม่ใช่พึ่งมามีเรื่องนี้นะฮะเค้าก็ไป
00:06:01 → 00:06:04 ตรวจพบว่าในเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นเนี่ย
00:06:04 → 00:06:07 นะครับมีความเป็นกรดสูงกว่าบริเวณอื่นๆ
00:06:07 → 00:06:09 ของร่างกายนะครับก็เลยมีความเชื่อว่าถ้า
00:06:09 → 00:06:12 เราทำให้ร่างกายของเราเป็นด่างมะเร็งมัน
00:06:12 → 00:06:15 ก็อยู่ไม่ได้นะฮะก็จะสามารถทำให้มะเร็ง
00:06:15 → 00:06:16 เนี่ยมันตายไปได้หรือถ้าเรายังไม่เกิด
00:06:17 → 00:06:19 มะเร็งแต่ว่าถ้าร่างกายเรามีความเป็นด่าง
00:06:19 → 00:06:21 สูงมะเร็งมันก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะว่า
00:06:21 → 00:06:24 มะเร็งมันชอบสภาวะเป็นกรดนะครับนอกเหนือ
00:06:24 → 00:06:28 จากนี้ก็ยังมีการศึกษาต่อว่าตัวน้ำดั่ง
00:06:28 → 00:06:30 เนี่ยนะครับมันก็จะไปช่วยช่วยตัวมันเอง
00:06:30 → 00:06:33 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนะครับโดยอย่างถ้า
00:06:33 → 00:06:37 พวกน้ำเนี่ยครับเราจะมีคำคำนึงเอ่อย่อว่า
00:06:37 → 00:06:41 orp หรือ oxidation reduction
00:06:41 → 00:06:43 potential นะครับหรือหรือบางคนก็เรียก
00:06:43 → 00:06:45 oxidative reductive potential นะครับ
00:06:45 → 00:06:48 คือถ้าเกิดว่าค่ามันเป็นลบมากๆเนี่ยครับ
00:06:48 → 00:06:51 สิ่งๆนั้นเนี่ยก็จะมีความสามารถในการต้าน
00:06:52 → 00:06:54 อนุมูลอิสระหรือแอนติออกซิแดนท์นะครับอ่า
00:06:55 → 00:06:57 แอนตี้ออกซิแดนถ้ามันเป็นลบมากๆน้ำด่าง
00:06:57 → 00:06:59 เนี่ยมันมีความเป็นลบสูงนะครับถ้าน้ำปก
00:06:59 → 00:07:01 ปกติก็อยู่กลางๆนะครับถ้าเกิดว่าอะไรที่
00:07:01 → 00:07:04 เป็นกรดมากๆเนี่ยค่าตัวเนี้มันก็จะสูงนะ
00:07:04 → 00:07:06 ครับเวลามันค่าเป็นสูงหรือค่าเป็นบวก
00:07:06 → 00:07:08 เนี่ยนะครับมันก็จะไม่ใช่สารต้านอนุมูล
00:07:08 → 00:07:11 อิสระแต่ว่าในตัวมาเน้นอาจจะเป็นสาร
00:07:11 → 00:07:14 อนุมูลอิสระซะเองนะครับนี่ก็คือที่มาของ
00:07:14 → 00:07:17 การที่ว่าเออน้ำด่างเนี่ยข้อแรกมันอาจจะ
00:07:17 → 00:07:19 ช่วยเรื่องของมะเร็งข้อที่ 2 คือมัน
00:07:19 → 00:07:21 สามารถที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในตัว
00:07:21 → 00:07:24 แล้วมันก็ลดการอักเสบได้เพราะฉะนั้นมัน
00:07:24 → 00:07:27 น่าที่จะป้องกันปัญหาจากเอ่อโรคภัยไข้
00:07:27 → 00:07:29 เจ็บต่างๆซึ่งเกิดเพราะว่ามีสัตว์สาร
00:07:29 → 00:07:32 อนุมูลอิสระมากจนเกินไปยกตัวอย่างเช่นอ่า
00:07:32 → 00:07:35 มีเบาหวานมีความดันนะครับโรคไขมันต่างๆใน
00:07:35 → 00:07:38 ร่างกายโรคภูมิแพ้พวกนี้นะครับหรือโรคลำ
00:07:38 → 00:07:41 ไส้อักเสบนะครับนี่ก็เป็นที่มาของว่าเออ
00:07:41 → 00:07:44 ทำไมเราจำเป็นจะต้องใช้น้ำด่านะครับอ่า
00:07:44 → 00:07:47 แล้วก็เรื่องของกรดไหลย้อนนะครับหรือโรค
00:07:47 → 00:07:48 กระเพาะอันนี้ก็ตรงไปตรงมานะครับเพราะว่า
00:07:48 → 00:07:51 ในกระเพาะเราเป็นกรดถ้ามันกรดเยอะเกินไป
00:07:51 → 00:07:53 มันก็ไม่ดีนะครับดังนั้นถ้าเราดื่มน้ำ
00:07:53 → 00:07:56 ด่างลงไปก็จะไปทำให้ความเป็นกรดในกระเพาะ
00:07:56 → 00:07:58 เนี่ยลดลงนะครับแล้วก็จะเข้าสู่ความเป็น
00:07:58 → 00:08:01 กลางมากขึ้นโรคกระเพาะของเราก็ควรที่จะดี
00:08:01 → 00:08:03 ขึ้นนะครับแล้วนอกเหนือจากนี้เนี่ยก็ยัง
00:08:03 → 00:08:06 มีการบอกว่าเออน้ำด่างเนี่ยนะครับมันก็มี
00:08:06 → 00:08:09 ส่วนประกอบหลายๆอย่างนะครับอ่าโมเลกุลของ
00:08:09 → 00:08:11 น้ำที่อยู่ในในน้ำด่าเนี่ยมันจะเล็กดูด
00:08:11 → 00:08:14 ซึมค่อนข้างจะง่ายดังนั้นมันน่าที่จะทำ
00:08:14 → 00:08:16 ให้คนเราที่ดื่มน้ำด่างเป็นประจำเนี่ยนะ
00:08:16 → 00:08:21 ครับมีน้ำเข้าไปในร่างกายมากกว่าในคนที่
00:08:21 → 00:08:23 ดื่มน้ำที่มันดูดซึมยากคือน้ำปกตินั่นเอง
00:08:23 → 00:08:25 นะฮะรวมทั้งมีแร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อ
00:08:26 → 00:08:28 ร่างกายด้วยเช่นกันนะครับอ่านี่คือ
00:08:28 → 00:08:31 สมมุติฐานทั้งหมดที่เค้ามีนะครับทีนี้ก็
00:08:31 → 00:08:34 มาดูว่าน้ำด่างเนี่ยนะครับทำไมมันถึงเป็น
00:08:34 → 00:08:37 ด่างนะฮะคือน้ำด่างเนี่ยมันไม่ใช่ว่าน้ำ
00:08:37 → 00:08:40 เปล่าๆนะครับน้ำเราเนี่ยนะครับถ้าจะทำให้
00:08:40 → 00:08:42 มันเป็นด่างมันจะมีส่วนประกอบเพิ่มขึ้นยก
00:08:42 → 00:08:44 ตัวอย่างเช่นมีแคลเซียมนะครับมี
00:08:44 → 00:08:47 แมกนีเซียมมีโพแทสเซียมฟอสฟอรัสหรือบาง
00:08:47 → 00:08:49 กรณีก็มีตัวอื่นๆเยอะแยะไปหมดนะครับก็คือ
00:08:49 → 00:08:52 มีไบคาร์บอเนตผสมด้วยทั้งหมดเนี่ยนะครับ
00:08:52 → 00:08:55 ทำให้มันมีความเป็นด่างสูงมากขึ้นนะครับ
00:08:55 → 00:08:58 แล้วก็เวลาโฆษณาเนี่ยเค้าก็จะบอกว่า
00:08:58 → 00:09:00 ปัจจุบันนะครับครับมีการเตือนออกมาแล้ว
00:09:00 → 00:09:04 ว่าเราไม่ควรจะดื่มน้ำที่ขาดแร่ธาตุนะ
00:09:04 → 00:09:07 ครับอย่างเช่นน้ำ revere osmosis ซึ่ง
00:09:07 → 00:09:09 เป็นน้ำที่มันบริสุทธิ์มากๆหรือน้ำกลั่น
00:09:09 → 00:09:11 ที่มันเป็นบริสุทธิ์มากๆมันจะขาดเกลือแร่
00:09:11 → 00:09:13 ทำให้ร่างกายของเราเนี่ยมีปัญหาเรื่อง
00:09:13 → 00:09:16 เกลือแร่ได้นะครับนี่ก็คือเป็นสิ่งที่เขา
00:09:16 → 00:09:18 บอกว่าเออมันไม่มันมันไม่ควรดื่มนะเราควร
00:09:18 → 00:09:20 จะไปดื่มน้ำที่มีแคลเซียมเพราะแคลเซียม
00:09:20 → 00:09:23 สำคัญต่อกระดูกนะครับแมกนีเซียมสำคัญต่อ
00:09:23 → 00:09:26 ระบบกล้ามเนื้อแล้วก็ระบบประสาทนะครับอ่า
00:09:26 → 00:09:28 โปแทสเซียมนี่ก็มีความสำคัญต่อระบบของหัว
00:09:28 → 00:09:31 ใจอย่างนี้เป็นต้นหรือว่าระบบการใช้พลัง
00:09:31 → 00:09:34 งานของร่างกายนะครับแต่การที่เราบอกว่า
00:09:34 → 00:09:36 มันมีความสำคัญตรงนี้ผมอยากจะเน้นอย่าง
00:09:36 → 00:09:40 นึงบางคนมาบอกว่าเออเค้าบอกว่าเอ่ออย่าง
00:09:40 → 00:09:43 แคลเซียมเนี่ยช่วยเรื่องกระดูกแต่ท่าน
00:09:43 → 00:09:45 ต้องลองคิดดูอีกทั้งต้องลองคิดดู 2 อย่าง
00:09:45 → 00:09:48 ครับอย่างแรกช่วยเรื่องกระดูกจริงๆนะครับ
00:09:48 → 00:09:51 แต่ที่มีอยู่ในน้ำดังอ่ะปริมาณมันเพียงพอ
00:09:51 → 00:09:55 ที่จะช่วยเรื่องกระดูกหรือเปล่าครับนะฮะ
00:09:55 → 00:09:57 หรือถ้ามันมากจนเกินไปจะเกิดอะไรขึ้นเป็น
00:09:57 → 00:09:59 นิ่วได้หรือเปล่าอ่าอันนี้เท่านก็จะต้อง
00:10:00 → 00:10:02 สงสัยเพิ่มเติมนะครับถ้าเกิดว่าคนไหนที่
00:10:02 → 00:10:04 เราไปฟังมาแล้วบอกว่าอันเนี้ยมันดีมัน
00:10:04 → 00:10:06 ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้นะครับท่านจะต้อง
00:10:06 → 00:10:09 คิดให้ได้ก่อนนะครับว่ามันมีปัญหาอะไร
00:10:09 → 00:10:12 หรือเปล่านะครับอ่าในในแง่ของปริมาณอะไร
00:10:12 → 00:10:15 อย่างนี้เป็นต้นนะฮะอ่าทีนี้บางคนก็บอก
00:10:15 → 00:10:18 ว่าร่างกายเป็นกรดนะครับเวลาเป็นกรดมากๆ
00:10:19 → 00:10:20 มันจะมีบัฟเฟอร์อีกตัวนึงซึ่งเราอาจจะ
00:10:20 → 00:10:22 ต้องเข้าใจแล้วก็เนี่ยมันเป็นเหตุผลที่
00:10:22 → 00:10:25 น้ำด่างเข้ามามีบทบาทตรงนี้ก็คือว่าใน
00:10:25 → 00:10:27 ร่างกายเราไปเป็นกรดเนี่ยนะครับมันก็จะมี
00:10:27 → 00:10:30 การสลายเอาตัวกระดูกเอาแคลเซียมในกระดูก
00:10:30 → 00:10:32 มาทำให้เลือดของเราเนี่ยมีความเป็นด่าง
00:10:32 → 00:10:36 มากขึ้นเพื่อแก้ไข่ภาวะเป็นกรดมันก็เลย
00:10:36 → 00:10:38 น่าสนใจว่าเอ๊ะถ้าสลายเอาแคลเซียมออกมา
00:10:38 → 00:10:41 จากกระดูกเยอะๆเนี่ยร่างกายเราก็กระดูก
00:10:41 → 00:10:43 พุนสิถูกมั้ยครับดังนั้นการที่ทำให้ร่าง
00:10:43 → 00:10:45 กายเราเป็นด่างด้วยการดื่มน้ำด่างเข้าไป
00:10:45 → 00:10:48 เนี่ยก็จะสามารถป้องกันกระดูกพรุนได้นะ
00:10:48 → 00:10:52 ครับอ่านี่ก็คือไอเดียหรือความคิดเบื้อง
00:10:52 → 00:10:55 หลังของการเอาน้ำดั่งมาใช้นะทีนี้มาดูใน
00:10:55 → 00:10:57 แง่ของหลักฐานทางการแพทย์ก่อนว่าเรามี
00:10:57 → 00:11:01 อะไรบ้างนะครับถ้าคนไหนไม่อยากฟังที่นานๆ
00:11:01 → 00:11:04 เนี่ยผมบอกเลยว่าน้ำด่างเนี่ยมันไม่ค่อย
00:11:04 → 00:11:07 มีประโยชน์นะครับมันไม่ได้ทำประโยชน์ได้
00:11:07 → 00:11:08 อย่างที่เราต้องการนะครับแต่ว่าถ้าเรา
00:11:08 → 00:11:12 ต้องการเหตุผลอ่ะฟังต่อนะครับอย่างแรกที่
00:11:12 → 00:11:15 มันที่คิดว่ามันน่าจะต้องได้ผลแน่ๆนะครับ
00:11:15 → 00:11:18 อ่ะอันที่ได้ผลก่อนอันที่ได้ผลคืออะไรคือ
00:11:18 → 00:11:21 การที่เราดื่มน้ำด่างแล้วก็ด่างมันไปเจอ
00:11:21 → 00:11:23 กรดในกระเพาะนะครับทำให้กรดในกระเพาะ
00:11:23 → 00:11:25 เนี่ยมันเจือจางลงนะครับแล้วก็มีความเป็น
00:11:25 → 00:11:28 กลางสูงขึ้นทำให้เราลดปัญหาเรื่องกรดไหล
00:11:28 → 00:11:30 ย้อนได้ดีขึ้นอันเนี้ยมีความเป็นไปได้
00:11:30 → 00:11:33 ค่อนข้างสูงเพราะว่ามันเป็นการเอาพีชที่
00:11:33 → 00:11:35 ต่างขั้วกันมารวมกันก็จะกลายเป็นตรงกลาง
00:11:35 → 00:11:39 นะครับแล้วความคิดเบื้องหลังนี้ก็คือว่า
00:11:39 → 00:11:41 ถ้าร่างกายเราในกระเพาะนะครับมีความเป็น
00:11:41 → 00:11:44 กรดสูงกรดเนี่ยมันจะทำให้เอนไซม์ตัวนึง
00:11:44 → 00:11:47 ชื่อว่าเพปซินทำงานมากขึ้นทำงานได้ดีขึ้น
00:11:47 → 00:11:49 เพปซินนมันมีหน้าที่ย่อยสิ่งต่างๆนะครับ
00:11:49 → 00:11:52 ถ้าเรามีแผลในกระเพาะหรือมีกรดไหลย้อน
00:11:52 → 00:11:54 เนี่ยเพปซินพวกเนี้ยมันก็จะมีการทำงานมาก
00:11:54 → 00:11:56 ๆนะครับแล้วก็จะไปย่อยตามส่วนต่างๆทำให้
00:11:56 → 00:11:58 เราเกิดอาการเจ็บอาการปวดหรืออาการกรดไหล
00:11:58 → 00:12:02 ย้อนได้ได้นะครับแต่ถ้าเราเปลี่ยนสภาวะใน
00:12:02 → 00:12:04 ช่องท้องเราเนี่ยให้มันเป็นด่างล่ะนะครับ
00:12:04 → 00:12:07 พอมันเป็นด่างสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า
00:12:07 → 00:12:09 เพปซินพวกเนี้ยมันจะไม่ทำงานมันไม่ชอบ
00:12:09 → 00:12:11 ความเป็นด่างนะครับเราก็จะลดปัญหาเรื่อง
00:12:11 → 00:12:13 นี้ได้นะฮะดังนั้นอันนี้ก็คือเป็นสิ่ง
00:12:14 → 00:12:15 หนึ่งซึ่งน้ำด่างเนี่ยมันน่าจะช่วยได้
00:12:15 → 00:12:19 จริงๆนะครับแต่ปัญหาก็คือน้ำด่างเนี่ยเรา
00:12:19 → 00:12:22 ก็มีวิธีอื่นเหมือนกันที่จะทำให้ภาวะโรค
00:12:22 → 00:12:24 กระเพาะโรคกรวดหย้อนเพวกเนี้ยนะครับมันดี
00:12:24 → 00:12:26 ขึ้นโดยที่เราไม่ต้องดื่มน้ำดังงแล้วมัน
00:12:26 → 00:12:29 ก็ถูกกว่าด้วยนะครับยกตัวอย่างเช่นที่ที่
00:12:29 → 00:12:31 อเมริกาเนี่ยครับจะมีเม็ดแคลเซียมนะครับ
00:12:31 → 00:12:33 หรือแคลเซียมคาร์บอเนตยี่ห้อนึงนะฮะที่
00:12:34 → 00:12:36 เราเม็ดนึงมันถูกมากถูกกว่าน้ำด่างเยอะ
00:12:36 → 00:12:38 เลยนะครับแล้วก็ในกระปุกนึงก็มีแบบเป็น
00:12:38 → 00:12:41 100 เม็ดนะครับถ้าเราทานตรงนี้เข้าไปมัน
00:12:41 → 00:12:43 ก็สามารถทำให้ในกระเพาะของเราเนี่ยมัน
00:12:43 → 00:12:45 เป็นด่างเพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่จำเป็นจะ
00:12:45 → 00:12:47 ต้องไปกินน้ำด่านะครับอ่าตัวนี้ก็คือเป็น
00:12:48 → 00:12:51 สิ่งหนึงซึ่งมันมีวิธีอย่างอื่นที่เรา
00:12:51 → 00:12:55 สามารถใช้ได้นะครับต่อมาเราก็ลองคิดตามนะ
00:12:55 → 00:12:57 ครับว่าถ้าเราสามารถทำให้ร่างกายของเรา
00:12:57 → 00:12:59 เป็นด่างได้เลือดเป็นด่างได้นะครับครับ
00:12:59 → 00:13:02 มันก็ควรที่จะป้องกันพวกมะเร็งต่างๆได้
00:13:02 → 00:13:03 จริงมั้ยครับ
00:13:03 → 00:13:07 อ่าทีนี้ก็เลยมีคนไปทดลองว่ากลุ่มนึงให้
00:13:07 → 00:13:11 คนดื่มน้ำปกติทุกวันนะครับแล้วก็กินพวก
00:13:11 → 00:13:15 อาหารที่มีกรดเช่นอ่าพวกเนื้อนะครับหรือ
00:13:15 → 00:13:17 น้ำที่เป็นน้ำอัดลมพวกนี้ที่มีกรดเยอะๆ
00:13:17 → 00:13:19 กินเข้าไปและอีกกลุ่มนึงเนี่ยให้กินแต่
00:13:19 → 00:13:22 น้ำด่างแล้วก็ของที่มันเป็นด่างนะครับอ่า
00:13:22 → 00:13:25 กินพวกน้ำด่างเช่นอโวคาโดนะฮะพวกมันอะไร
00:13:25 → 00:13:28 อย่างเงี้ยนะครับหรือว่าน้ำที่มันเป็นน้ำ
00:13:28 → 00:13:30 ด่างนะครับแบบแบ่งเป็น 2 กลุ่มเลยแล้วมา
00:13:30 → 00:13:33 ดูซิว่าหลังจากกินไปสักพักนึงอ่ะ 2-3 วัน
00:13:33 → 00:13:36 แล้วมาเจาะเลือดดูเลยว่าค่าพีแตกต่างกัน
00:13:36 → 00:13:39 หรือเปล่าใน 2 กลุ่มก็เพราะว่ามันแทบไม่
00:13:39 → 00:13:42 ต่างกันเลยนะครับออกมากลุ่มนึงได้รู้สึก
00:13:42 → 00:13:44 จะได้ 7.4 เป๊ะๆหรือว่า 7.39 แต่ว่ากลุ่ม
00:13:45 → 00:13:47 ที่เป็นด่างเนี่ยคือ 7.42 คือเพิ่มขึ้น
00:13:47 → 00:13:50 0.02 ซึ่งโดยทั่วๆไปในร่างกายของคนเรา
00:13:50 → 00:13:52 เนี่ยมันก็มีความขึ้นลงของพีพวกนี้อยู่
00:13:52 → 00:13:56 แล้วนะครับมันจะมี 7.4 เป๊ะนะครับอ่าส่วน
00:13:56 → 00:13:59 ใหญ่มันก็จะบวกลบนิดหน่อยคือ 7.38 - 7.
00:13:59 → 00:14:01 42 โดยประมาณนะครับแต่ว่าเอให้เต็มที่
00:14:01 → 00:14:03 จริงๆคือร่างกายเราเนี่ยมันจะชอบอยู่ที่
00:14:03 → 00:14:07 7.35 ถ 7.45 นะครับ 7.40 เนี่ยมันอยู่
00:14:07 → 00:14:10 ตรงกลางเป๊ะนะครับดังนั้นใน 2 กลุ่มที่
00:14:10 → 00:14:12 เขาวัดออกมาเนี่ยเพบว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่
00:14:12 → 00:14:15 ได้ทำให้อะไรที่เอ่อพีของร่างกายเราเนี่ย
00:14:15 → 00:14:18 แตกต่างไปจากปกติดังนั้นการที่ดื่มน้ำ
00:14:18 → 00:14:20 ด่างเข้าไปเยอะๆเนี่ยมันก็ไม่สามารถทำให้
00:14:20 → 00:14:24 ร่างกายของเราเป็นด่างได้ครับอ่าเออแล้ว
00:14:24 → 00:14:26 มันไปด่างที่ไหนทำไมถึงเป็นเช่นนั้นนะ
00:14:26 → 00:14:29 ครับประการแรกอย่างที่ผมบอกเมื่อกี้ว่า
00:14:29 → 00:14:31 ร่างกของเราเนี่ยมีวิธีในการควบคุมพีชใน
00:14:31 → 00:14:34 ร่างกายนะครับถ้ามันเป็นด่างมากขึ้นมันก็
00:14:34 → 00:14:35 ไม่ชอบเหมือนกันนะครับถ้ามันเป็นกรดมาก
00:14:35 → 00:14:37 ขึ้นร่างกายเราก็ไม่ไม่ชอบแล้วต้องการให้
00:14:37 → 00:14:40 มัน 7.4 ในเลือดนะครับงั้นร่างกายถ้าเรา
00:14:40 → 00:14:42 ได้น้ำด่างเข้าไปเนี่ยสิ่งที่มันทำก็คือ
00:14:42 → 00:14:45 มันขับด่างออกมาครับและในคนกลุ่มที่กิน
00:14:45 → 00:14:48 น้ำด่างเยอะๆเนี่ยเราก็ไปตรวจในปัสสาวะก็
00:14:48 → 00:14:50 พบว่าปัสสาวะของเขาคเป็นด่างมากขึ้นอ่านะ
00:14:50 → 00:14:52 ครับคือมันไม่ได้ไปทำอะไรในร่างกายทำให้
00:14:52 → 00:14:55 เราก็ต้องปัสสาวะอออกไว้อีกนะครับแล้วที
00:14:55 → 00:14:59 นี้ถ้าพูดไปถึงมะเร็งถ้าเราบอกว่า่าร่าง
00:14:59 → 00:15:01 กายของเราเป็นด่างนะครับมะเร็งมันก็จะหาย
00:15:01 → 00:15:04 ไปจะป้องกันมะเร็งได้ถ้าเราใช้สมมุติฐาน
00:15:04 → 00:15:07 พวกนี้เนี่ยก็จะพบว่าการดื่มน้ำด่างมัน
00:15:07 → 00:15:09 ไม่สามารถป้องกันมะเร็งได้จรงมั้ยครับ
00:15:09 → 00:15:10 เพราะว่ามันไม่ทำให้ร่างกายเราเป็นดัง
00:15:10 → 00:15:13 เพิ่มขึ้นอ่าแต่สมมุติว่าเออถ้ามันทำได้
00:15:13 → 00:15:16 จริงๆล่ะบริเวณไหนที่เราควรจะต้องคิดว่า
00:15:16 → 00:15:19 มะเร็งพวกนั้นน่ะมันจะลดลงปัสสาวะไงครับ
00:15:19 → 00:15:21 เพราะว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งบอกว่าดื่มน้ำดัง
00:15:21 → 00:15:24 เยอะๆปัสสาวะเราเป็นจะมันจะเป็นด่างเพราะ
00:15:24 → 00:15:26 ว่ามันต้องขับด่างที่เกินทิ้งออกมาดัง
00:15:26 → 00:15:28 นั้นแปลว่ามะเร็งในทางเดินปัสสาวะมันควร
00:15:28 → 00:15:30 จะต้องลดลงถูกมั้ยครับถ้าเราดื่มน้ำดั่ง
00:15:30 → 00:15:33 เรื่อยๆนะครับปรากฏว่าไม่ครับมีการทดลอง
00:15:33 → 00:15:36 แล้วด้วยนะฮะให้คนเนี่ยดื่มน้ำดั่งเข้าไป
00:15:36 → 00:15:38 เยอะๆก็พบว่าคนที่ดื่มน้ำด่างกับคนที่
00:15:38 → 00:15:40 ดื่มน้ำปกติเนี่ยไม่มีความแตกต่างกันใน
00:15:40 → 00:15:43 แง่ของการเกิดมะเร็งในทางเดินปัสสาวะเลย
00:15:43 → 00:15:47 สักนิดเดียวนะครับอ่านั้นปัจจัยนี้เนี่ย
00:15:47 → 00:15:49 ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เอามาใช้อ้างได้ว่า
00:15:50 → 00:15:53 เออน้ำด่างมันดีตรงนี้นะครับต่อไปก็คือ
00:15:53 → 00:15:55 เรื่องของการที่บอกว่ามันลดการอักเสบใน
00:15:55 → 00:15:57 ร่างกายได้เนื่องจากว่าตัวมันเองเนี่ยมัน
00:15:57 → 00:16:00 อาจจะเป็นแอนติออกซิแดนท์คือมีค่า orp นะ
00:16:00 → 00:16:03 ครับเป็นลบนั่นเองนะครับตรงนี้เนี่ยนะ
00:16:03 → 00:16:06 ครับมันก็คือเราก็ทดสอบแล้วนะครับดูว่า
00:16:06 → 00:16:09 มันมีการอักเสบจริงหรือเปล่านะครับมันมัน
00:16:09 → 00:16:12 ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในแง่ตรงนี้นะครับเรื่อง
00:16:12 → 00:16:14 ของการชะลอไวมันก็ไม่ได้ช่วยเพราะว่า
00:16:14 → 00:16:18 อย่างอื่นๆนะครับที่มีค่า orp ต่ำๆนะครับ
00:16:18 → 00:16:22 ที่อ่าต่ำมากๆแต่เป็นกรดก็มีนะฮะเช่น
00:16:22 → 00:16:26 มะเขือเทศมะเขือเทศเนี่ยมีค่า orp ต่ำนะ
00:16:26 → 00:16:28 ครับเป็นลบนะฮะเหมือนกับกรณีน้ำด่างเป๊ะ
00:16:28 → 00:16:30 เลยแต่มันไม่ใช่ด่างนะมะเขือเทศมันเป็น
00:16:30 → 00:16:33 กรดนะครับแล้วมะเขือเทศก็มีสารต้านอนุมูล
00:16:33 → 00:16:36 อิสระสูงกว่าน้ำด่างซะด้วยนะครับงั้นมัน
00:16:36 → 00:16:38 ก็มีข้อแย้งตรงนี้เหมือนกันนะครับว่าเออ
00:16:38 → 00:16:41 จริงๆมันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรนะครับแล้วก็
00:16:41 → 00:16:43 เรื่องของการที่บอกว่ากินน้ำด่างแล้วมัน
00:16:43 → 00:16:45 สามารถช่วยลดเบาหวานช่วยทำให้เลือดไม่
00:16:45 → 00:16:48 หนืดนะครับช่วยทำให้เอ่อผื่นแพ้ต่างๆไม่
00:16:48 → 00:16:52 เป็นนะครับอ่าแล้วก็ลดลดอาการคันตามผิว
00:16:53 → 00:16:56 หนังทำให้ท้องมันท้องไส้มันดีนะครับไม่มี
00:16:56 → 00:16:59 ความไขมันสูงไม่มีความคามเนินสูงอันเนี้ย
00:16:59 → 00:17:02 คือในทางการแพทย์วิจัยออกมาเนี่ยยังมีข้อ
00:17:02 → 00:17:04 ขัดแย้งกันอยู่เยอะแยะไปหมดเลยนะครับดัง
00:17:04 → 00:17:06 นั้นไม่สามารถตอบได้ว่าน้ำดัมันช่วยใน
00:17:06 → 00:17:08 เรื่องของพวกนี้ทั้งหมดถ้าเกิดคนไหนที่
00:17:08 → 00:17:10 เอาเรื่องนี้ไปโฆษณาบอกว่าเออมันช่วยได้
00:17:10 → 00:17:12 อย่างนั้นอย่างนี้นั่นก็แปลว่าเขาอาจจะ
00:17:13 → 00:17:14 ไม่รู้ทั้งเรื่องนั่นเองนะครับหรือว่าบาง
00:17:14 → 00:17:17 ครั้งรู้แล้วก็บอกเราแค่ครึ่งนึงส่วนอีก
00:17:17 → 00:17:20 ครึ่งนึงเนี่ยที่ไม่บอกก็คือเ่าไม่อยากจะ
00:17:20 → 00:17:21 บอกนะครับเพราะว่าบางครั้งเนี่ยงานวิจัย
00:17:21 → 00:17:24 สมมุติมี 10 เรื่องนะครับ 5 เรื่องมันได้
00:17:24 → 00:17:27 ผลดีอีก 5 เรื่องมันไม่ได้ผลเลยนะครับถ้า
00:17:27 → 00:17:29 เกิดว่าเราต้องการที่จะโคโฆษณาเรื่องนี้
00:17:29 → 00:17:31 เราก็เอา 5 เรื่องที่มันได้ผลสิครับเอามา
00:17:31 → 00:17:33 บอกแต่ส่วน 5 เรื่องที่มันไม่ได้ผลเราก็
00:17:33 → 00:17:37 เก็บไว้เฉยๆนั้นก็คือวิธีในการโฆษณาของคน
00:17:37 → 00:17:39 กลุ่มนี้นะฮะเพราะว่าบางทีถ้าเราจะมาบอก
00:17:39 → 00:17:42 แล้วว่ามีงานวิจัยรองรับถูกต้องครับมีงาน
00:17:42 → 00:17:45 วิจัยรองรับแต่ว่ามันก็มีงานวิจัยที่คัด
00:17:45 → 00:17:47 ค้านเหมือนกันนั่นก็คือสิ่งที่เราจะต้อง
00:17:47 → 00:17:49 พิจารณาให้ดีก่อนที่เราจะเริ่มใช้ของบาง
00:17:49 → 00:17:53 อย่างนะครับอ่าเรื่องของกระดูกพรุนอันนี้
00:17:53 → 00:17:55 ก็มีงานวิจัยแล้วว่ามันไม่ได้ผลนะครับมัน
00:17:55 → 00:17:57 ไม่ได้ช่วยทำให้กระดูกเราไม่พรุ่นนะครับ
00:17:57 → 00:17:59 เรื่องของมะเร็งก็แน่แน่นอนอย่างที่เมื่อ
00:17:59 → 00:18:02 กี้บอกไปแล้วก็ล่าสุดคือเรื่องของการชะลอ
00:18:02 → 00:18:04 ไวันะครับเรื่องนี้เนี่ยมันไม่ได้ไปทำ
00:18:04 → 00:18:07 อะไรในการชะลอไวเลยนะครับยกเว้นว่ามันอาจ
00:18:07 → 00:18:09 จะช่วยลดอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียวนะ
00:18:09 → 00:18:13 ครับแต่ว่ามันลดก็ได้ไม่มากนะครับทีนี้
00:18:13 → 00:18:16 ถ้าคนที่ออกมาค้านบอกว่าเฮ้ยมันลดได้น่ะ
00:18:16 → 00:18:18 มันจะต้องลดการอักเสบในร่างกายได้เพราะ
00:18:18 → 00:18:20 ว่าโรคจากการอักเสบเนี่ถ้าเราดันน้ำด่าน
00:18:20 → 00:18:22 เข้าไปเยอะๆนะครับมันก็จะไปตั้งอนุมูล
00:18:22 → 00:18:24 อิสราเป็นการลดการอักเสบทำให้ร่างกายของ
00:18:24 → 00:18:27 เรามีน้ำเพียงพอเลือดไม่หนืดถ้าท่านอยาก
00:18:27 → 00:18:31 จะทดลองนะครับท่านง่ายๆเลยนะฮะท่านลอง
00:18:31 → 00:18:33 ซื้อน้ำด่างมาแล้วก็ดื่มไปเลยนะครับสัก
00:18:33 → 00:18:36 อาทิตย์นึงแต่ก่อนที่จะดื่มทั้งหมดเนี่ย
00:18:36 → 00:18:40 ไปเจาะเลือดดูนะครับเจาะดูอะไรเจาะดูกการ
00:18:40 → 00:18:44 อักเสบในร่างกายชื่อว่า hs crp หรือ High
00:18:44 → 00:18:47 sensitivity crp เจาะไว้ก่อนนะครับอีก
00:18:47 → 00:18:49 ตัวนึงคือ Blood viscosity ความหนืดของ
00:18:49 → 00:18:52 เลือดนะครับแล้วท่านดื่มน้ำด่างเนี่ยดื่ม
00:18:52 → 00:18:54 ให้เท่ากับตอนที่ท่านดื่มน้ำปกตินะครับ
00:18:54 → 00:18:56 ไม่ใช่ตอนที่ท่านดื่มน้ำด่าท่านดื่มเข้า
00:18:56 → 00:18:58 ไปเยอะกว่าตอนที่ดื่มน้ำปกติไม่ได้นะครับ
00:18:58 → 00:19:00 อย่างงั้นมันจะบอกอะไรไม่ได้มันจะไม่รู้
00:19:00 → 00:19:04 ว่าตกลงท่านเอ่อนัมันเอ่อผลเลือดดีเพราะ
00:19:04 → 00:19:06 ว่าท่านดื่มน้ำเข้าไปเยอะหรือเปล่านะครับ
00:19:06 → 00:19:08 ท่านดื่มเหมือนปกตินะครับแต่ใช้เป็นน้ำ
00:19:08 → 00:19:10 ด่างแทนนะครับแล้วผ่านไปสักอาทิตย์นึงไป
00:19:11 → 00:19:13 เจาะเลือดดู 2 ตัวเนี้ยนะครับดู Blood
00:19:13 → 00:19:16 viscosity กับดู High sensitivity crp
00:19:16 → 00:19:18 ว่ามันต่างกันหรือเปล่าไม่มีทางต่างกัน
00:19:18 → 00:19:21 แน่ๆนะครับแต่ถ้าท่านอยากจะลองดูก็ไปลอง
00:19:21 → 00:19:23 ทำเราเองได้นะครับเพื่อความสนุกแล้วก็
00:19:23 → 00:19:26 เพื่อความยืนยันว่ามันทำอย่างนั้นได้จริง
00:19:26 → 00:19:28 ๆหรือเปล่านะครับอ่าแล้วถ้าท่านเพิ่มไป
00:19:28 → 00:19:30 อีกอย่างนึงก็คือท่านอยากดูค่าพีในเลือด
00:19:31 → 00:19:33 ท่านเจาะได้เลยนะครับอ่าเจาะได้เลยแต่ผม
00:19:33 → 00:19:35 บอกไว้ก่อนนะครับพีในเลือดเนี่ยปกติแล้ว
00:19:35 → 00:19:38 เราจะเจาะจากเส้นเลือดแดงนะครับซึ่งมัน
00:19:38 → 00:19:42 เจ็บนะฮะก็แล้วก็ค่ามันจะ 7.4 แต่ถ้าท่าน
00:19:42 → 00:19:44 ไม่อยากจะเจาะจากเส้นเลือดแดงเพราะมัน
00:19:44 → 00:19:46 เจ็บมากก็จอดจากเส้นเลือดดำได้นะครับแต่
00:19:46 → 00:19:49 ว่าค่าพชในเส้นเลือดดำเนี่ยมันจะต่ำกว่า
00:19:50 → 00:19:52 พีในเส้นเลือดแดงก็แน่นอนเพราะว่าเส้น
00:19:52 → 00:19:54 เลือดดำมันเป็นเลือดที่ถูกใช้ออกซิเจนไป
00:19:54 → 00:19:55 เรียบร้อยแล้วก็มีการปล่อย
00:19:55 → 00:19:57 คาร์บอนไดออกไซด์เข้ามาในนั้นแล้วมันก็
00:19:57 → 00:20:01 เลยจะมีความเป็นกดสูงกว่านะครับสูงความ
00:20:01 → 00:20:03 เป็นกรดสูงกว่าพีชมันแตกต่างกันแค่ไหนนะ
00:20:03 → 00:20:06 ครับส่วนใหญ่แล้วนะครับพีในเลือดแดงเนี่ย
00:20:06 → 00:20:09 ก็ 7.4 แต่ถ้าพีในเลือดดำนะครับมันจะอยู่
00:20:09 → 00:20:13 ที่ประมาณซักอ่า 7.35 ประมาณเนี้ย 7.34
00:20:13 → 00:20:16 7.35 นะครับคือไม่ต่ำไปกว่านี้นะถ้าเจอ
00:20:16 → 00:20:18 แบบ 7.1 อะไรอย่างเงี้ยนะท่านมีปัญหาแน่ๆ
00:20:18 → 00:20:20 แล้วนะครับอ่าอันนี้ก็คือเป็นการวิสูจน์
00:20:20 → 00:20:23 ง่ายๆเลยนะครับว่าท่านสามารถทำได้แบบนั้น
00:20:23 → 00:20:26 ด้วยน้ำดั่งหรือเปล่านะครับอ่ะทีนี้พอพูด
00:20:26 → 00:20:29 มาทั้งหมดแล้วบางคนก็รู้สึกว่าว่าเออมัน
00:20:29 → 00:20:31 มีข้อดีน่ะแต่ว่ามันก็มีข้อเสียซึ่งข้อดี
00:20:31 → 00:20:33 แน่ๆมันมีอยู่อย่างนึงก็คือเรื่องของกฎใน
00:20:33 → 00:20:35 กระเพาะที่ผมบอกไปแล้วนะครับแต่ว่าท่านก็
00:20:35 → 00:20:38 ยังคิดว่าเออมันอาจจะช่วยในระยะยาวก็ได้
00:20:38 → 00:20:41 นี่เค้าทดลองสั้นๆถ้าเราทดลองไปตลอดชีวิต
00:20:41 → 00:20:44 เนี่ยมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะครับผมต้อง
00:20:44 → 00:20:46 บอกอย่างงี้ครับน้ำดั่งไม่มีอันตรายใดๆ
00:20:46 → 00:20:48 ทั้งสิ้นไม่มีอันตรายมีอยู่ข้อเดียวคือ
00:20:48 → 00:20:51 มันแพงเท่านั้นเองนะครับแต่ถ้าท่านคิดว่า
00:20:51 → 00:20:53 เออเราอยากลองดูว่าระยะยาวมันจะมีผลดี
00:20:53 → 00:20:56 มั้ยไหนๆมันก็ไม่มีผลเสียแล้วเราก็รวยพอ
00:20:56 → 00:20:58 ที่จะเราจะซื้อน้ำด่างกินทุกวันได้นะครับ
00:20:58 → 00:21:00 ท่านทำไปเลยนะครับบางคนชอบรสชาติของน้ำ
00:21:00 → 00:21:02 ด่างด้วยซ้ำไปก็ทำไปเลยอันนี้ไม่ได้ห้าม
00:21:02 → 00:21:05 ใดๆทั้งสิ้นนะครับแล้วท่านก็ลองดูเองนะ
00:21:05 → 00:21:07 อันนี้ก็คือสามารถที่จะดื่มได้โดยที่ไม่
00:21:07 → 00:21:09 มีปัญหาอะไรต่อร่างกายนะครับมันมีแค่แพง
00:21:09 → 00:21:12 อย่างเดียวนะครับแต่ว่าบางคนก็รู้สึกว่า
00:21:12 → 00:21:15 ถ้าอย่างงั้นน่ะทำไมเราไม่ทำน้ำด่างซะเอง
00:21:15 → 00:21:18 ทำได้นะครับมันก็อาจจะราคาถูกกว่าหน่อยเี
00:21:18 → 00:21:19 นี้มันมีที่อเมริกาก็จะมีเครื่องทำน้ำ
00:21:19 → 00:21:22 ด่างเลยนะครับท่านเอามาแล้วก็อ่าเอาน้ำ
00:21:22 → 00:21:24 เนี่ยน้ำปกติเราเนี่ยใส่เข้าไปในเครื่อง
00:21:24 → 00:21:25 แล้วมันก็เปลี่ยนให้มันน้ำเป็นด่างได้นะ
00:21:25 → 00:21:27 ครับมีเหมือนกันหรือถ้าท่านจะทำเองที่
00:21:27 → 00:21:29 ประเทศไทยก็ทำได้เหมือนกันนะครับมันก็จะ
00:21:29 → 00:21:33 มีอ่ายาเม็ดที่เรียกว่า
00:21:33 → 00:21:36 โซดามินท์มีความเป็นดั่งก็ใส่ลงไปแล้ว
00:21:36 → 00:21:39 ท่านก็เอากระดาษพีเนี่ยนะครับไปจิ้มๆดูจน
00:21:39 → 00:21:41 กระทั่งมันได้ความเป็นด่างที่ท่านต้องการ
00:21:41 → 00:21:44 นะครับอาจจะทำแบบนั้นก็ได้นะฮะก็ได้น้ำ
00:21:44 → 00:21:46 ด่างมาดื่มเองโดยที่ท่านไม่ต้องไปซื้อ
00:21:46 → 00:21:52 แล้วจริงๆมันก็ราคาถูกค่ายาเม็ด
00:21:52 → 00:21:55 โซดามินท์ไม่จำเป็นจะต้องไปหาที่ไหนมากิน
00:21:55 → 00:21:58 เลยก็ได้นะฮะอันนี้ก็คือเป็นการสรุป
00:21:58 → 00:22:00 เรื่องของน้ำด่างทั้งหมดนะครับที่ท่าน
00:22:00 → 00:22:03 อยากจะดื่มก็ได้นะครับเรื่องของสุขภาพมัน
00:22:03 → 00:22:05 มีอันเดียวที่มันน่าจะช่วยได้ก็คือเรื่อง
00:22:05 → 00:22:08 ของกรดไหลย้อนแต่ว่าก็มีอย่างอื่นที่ทด
00:22:08 → 00:22:11 แทนได้คือที่มันถูกกว่าที่แก้ไขเรื่องกรด
00:22:11 → 00:22:13 ไหลย้อนได้นะครับแต่ถ้าท่านคิดว่าเออ
00:22:13 → 00:22:15 อย่างอื่นเนี่ยเขยังทดลองไม่ค่อยชัดเจน
00:22:15 → 00:22:19 แล้วไหนๆน้ำดั่งก็ไม่มีอันตรายมันสามารถ
00:22:19 → 00:22:22 ในทางทฤษฎีนะครับช่วยเรื่องป้องกันมะเร็ง
00:22:22 → 00:22:24 นะครับช่วยเรื่องของภูมิแพ้เรื่องของ
00:22:24 → 00:22:28 เลือดไม่ไม่หนืดไม่ข้นนะครับช่วยเรื่อง
00:22:28 → 00:22:31 ของระบบหัวใจหลอดเลือดเบาหวานไขมันช่วย
00:22:31 → 00:22:33 เรื่องชะลอไวช่วยลดการอักเสบทำให้ลำไส้
00:22:33 → 00:22:36 ของเราเนี่ยมีการดีท็อกซ์แล้วท่านอยากจะ
00:22:36 → 00:22:38 กินเพราะว่าอย่างงี้นะครับทำได้ไม่มี
00:22:38 → 00:22:40 ปัญหาน้ำด่างไม่มีปัญหาไม่มีอันตรายใดๆ
00:22:40 → 00:22:42 ทั้งสิ้นมีอย่างเดียวคือมันแพงเท่านั้น
00:22:42 → 00:22:45 เองนะครับอ่ะวันนี้ก็ประมาณเท่านี้นะครับ
00:22:46 → 00:22:48 ถ้าใครมีความสงสัยอะไรเกี่ยวข้องกับ
00:22:48 → 00:22:50 เรื่องของน้ำด่างก็สอบถามกมาได้นะครับ
00:22:50 → 00:22:54 ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ