00:00:00 → 00:00:02 Self sabotage ในมุมของการแพทย์นะครับ
00:00:02 → 00:00:04 Self sabotage มันคือแพทเทิร์นของความ
00:00:04 → 00:00:07 คิดหรือว่าพฤติกรรมที่คนเราเนี่ยบันทอน
00:00:07 → 00:00:10 ตัวเองนะครับโดยอาจจะรู้ตัวไม่รู้ตัวก็
00:00:10 → 00:00:12 ได้แต่ข้อเสียของมันคือมันทำให้เราไปถึง
00:00:12 → 00:00:14 เป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้ช้าลงหรือบางที
00:00:14 → 00:00:17 ไปไม่ถึงเป้าหมายเท่าที่นึกออกในแง่ของ
00:00:17 → 00:00:19 การแพทย์เนี่ยประมาณ 3 อย่างนะครับที่
00:00:19 → 00:00:21 เป็นแพทเทิร์นที่น่าจะพอนึกออกอย่างแรก
00:00:21 → 00:00:23 คือนะฮะคือความรู้สึกว่าเราเนี่ย low
00:00:23 → 00:00:26 serv Stream คือเราคิดว่าเราไม่ดีพอเรา
00:00:26 → 00:00:29 ไม่ deserve ที่จะถูกรักไม่ deserve ที่
00:00:29 → 00:00:32 จะมีความสุขไม่ดีเทฟที่จะประสบความสำเร็จ
00:00:32 → 00:00:34 นะครับพฤติกรรมที่เราเซ็นออกมายกตัวอย่าง
00:00:34 → 00:00:37 เช่นเราคิดว่าเราไม่ดีพอใช่มั้ยฮะเราก็
00:00:37 → 00:00:39 รู้สึกว่าเราคงไม่สามารถทำอะไรอย่างเงี้ย
00:00:39 → 00:00:42 ได้สำเร็จหรอกเราก็จะพยายาม procrastinate
00:00:42 → 00:00:44 สิ่งที่เราทำไปเรื่อยๆจนสุดท้ายเราไม่ได้
00:00:44 → 00:00:48 ทำมันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ว่าเราดีพอสักทีนะ
00:00:48 → 00:00:50 ครับหรือสมมุติเป็นพฤติกรรมเราคิดว่าเรา
00:00:50 → 00:00:53 ไม่ดีพอนะฮะเราก็เลยแบบว่าเราพยายามทำ
00:00:53 → 00:00:55 อะไรให้มันดีที่สุดดีที่สุดทุกอย่างเลยนะ
00:00:55 → 00:00:58 ฮะแต่คำว่าดีที่สุดเนี่ยเราก็ไม่รู้นะว่า
00:00:58 → 00:01:00 จุดไหนมันดีที่สุดจนสุดท้ายเราพยายามจน
00:01:00 → 00:01:03 เยอะจนเราเหนื่อยไปเองแล้วเราก็เลิกทำ
00:01:03 → 00:01:05 หรือเราคิดว่าเราไม่ดีพอนะครับเวลาเราจะ
00:01:05 → 00:01:08 ลงมือทำอะไรสักอย่างเราก็กลัวว่าเดี๋ยวคน
00:01:08 → 00:01:10 อื่นจะวิจารณ์เราเดี๋ยวคนอื่นจะบอกว่าเรา
00:01:10 → 00:01:13 ไม่เก่งไม่ดีสุดท้ายทำให้เรารีชไม่กล้าทำ
00:01:13 → 00:01:15 สิ่งนั้นไปเลยและสุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำ
00:01:15 → 00:01:17 สิ่งนั้นนะครับนี้คืออย่างแรกคือ
00:01:17 → 00:01:20 แพทเทิร์นของการคิดว่าเราไม่ดีพอส่งผล
00:01:20 → 00:01:23 กระทบกับพฤติกรรมของเรานะครับอย่างที่ 2
00:01:23 → 00:01:25 นะฮะคุณอาจจะไม่ถึงขนาดว่าคุณรู้สึกไม่ดี
00:01:25 → 00:01:29 พอแต่ว่าคุณเคยทำผิดพลาดซ้ำในอดีตมาแล้ว
00:01:29 → 00:01:32 นะครับและคุณมักจะมีแพทเทิร์นการคิดที่
00:01:32 → 00:01:35 โทษตัวเองนะครับเช่นพอมาทำอีกสิ่งนึงนะ
00:01:35 → 00:01:37 ครับก็คือเราจะทำสิ่งใหม่ใช่มั้ครับเราก็
00:01:37 → 00:01:40 จะมีความกลัวว่าเราจะผิดพลาดนะครับพอเรา
00:01:40 → 00:01:43 จะทำปั๊บมันก็จะมีความคิดเหมือนเฮ้ย
00:01:43 → 00:01:45 เดี๋ยวจะพลาดผิดผิดพลาดอีกแล้วซ้ำแล้วซ้ำ
00:01:45 → 00:01:48 เล่าเดี๋ยวมันจะตอกย้ำอดีตที่เราบอกว่า
00:01:48 → 00:01:51 เรามันโทษตัวเองตลอดเลยนะครับก็ทำให้คุณ
00:01:51 → 00:01:53 เนี่ยไม่กล้าทำสิ่งนั้นสุดท้ายก็เลยไม่
00:01:53 → 00:01:55 ได้ทำพฤิกรรมนั้นอีกนะครับอันนี้คือข้อ
00:01:55 → 00:01:57 ที่ 2 นะครับอย่างที่ 3 นะครับอาจจะเป็น
00:01:58 → 00:01:59 เรื่องของความสัมพันธ์นะครับสมตว่าเราคิด
00:01:59 → 00:02:02 ว่าเราแบบว่าเติบโตในครอบครัวที่ทำให้เรา
00:02:02 → 00:02:06 รู้สึกว่าเราอคลในความสัมพันธ์คือเราไม่
00:02:06 → 00:02:08 มั่นคงในความสัมพันธ์นะครับเวลาที่เราไป
00:02:08 → 00:02:11 คบกับใครนะครับเราก็จะมีความกลัวว่าเาจะ
00:02:12 → 00:02:16 ไม่ชอบเราหรือเปล่าหรือว่าเค้าจะเห็นด้าน
00:02:16 → 00:02:18 ได้ไม่ดีของเราหรือเปล่าสมมุตินะครับแล้ว
00:02:18 → 00:02:21 เขาจะหนีเรากลัวว่าเขาจะทิ้งเรานะครับ
00:02:21 → 00:02:23 เวลาคบกับใครแล้วเนี่ยถ้ามีความรู้สึกพวก
00:02:23 → 00:02:27 นี้ความรู้สุของ incquity เนี่ยนะฮะเวลา
00:02:27 → 00:02:30 อีกฝ่ายนึงมีการตอสอบางอย่างที่บางทีแค่
00:02:30 → 00:02:32 เปลี่ยนไปนิดเดียวจริงๆมันอาจจะเป็น
00:02:32 → 00:02:35 นิวทรัลนะแต่คุณจะแปลความสิ่งๆนั้นว่า
00:02:35 → 00:02:38 เป็นลบว่าเขาไม่ชอบเราหรือเปล่าเพราะว่า
00:02:38 → 00:02:41 ลึกๆคุณรู้สึกว่าตัวเองแบบว่าไม่ไม่ควร
00:02:41 → 00:02:43 ค่าพอที่จะรักหรือว่าไม่ควรค่าพอที่คน
00:02:43 → 00:02:46 อื่นจะมาชอบนะครับมันก็เลยเป็นแพทเทิร์น
00:02:46 → 00:02:48 ของความสัมพันธ์ว่าเคุณคบกับใครแล้วเนี่ย
00:02:48 → 00:02:51 นะฮะคุณรู้สึกอคลใช่มั้ยฮะและจริงๆเขาอาจ
00:02:51 → 00:02:55 จะทำทำแพทเทิร์นของอ่าพฤติกรรมที่มันเป็น
00:02:55 → 00:02:58 นิวทรัลคือเป็นแบบ 0 แต่คุณแปลความว่าเขา
00:02:58 → 00:03:02 ไม่ชอบคุณคือเป็นลบคุณก็จะยิ่งถอยหนีนะฮะ
00:03:02 → 00:03:05 หรือบางคนก็จะเป็นความกังวลก็จะถามซ้ำๆนะ
00:03:05 → 00:03:07 ครับทำให้ความสัมพันธ์ของคุณเนี่ยไม่ค่อย
00:03:07 → 00:03:10 นิ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งคุณไปจริงๆก็ทำ
00:03:10 → 00:03:13 ให้ตอกย้ำไปอีกว่าคุณไม่ควร่าพอที่จะรัก
00:03:13 → 00:03:15 นะครับอันนี้ก็เป็นในเรื่องของความ
00:03:15 → 00:03:18 สัมพันธ์แลเป็นข้อ 3 นี้นะครับก็ถ้าใครมี
00:03:18 → 00:03:20 แพทเทิร์นต่งกับข้อไหนก็ลองคอมเมนต์แชร์
00:03:20 → 00:03:23 กันได้นะฮะซึ่งเซบาเราคนเราเป็นกันเยอะนะ
00:03:23 → 00:03:25 ครับเพราะว่าจริงๆมนุษย์เราเนี่ยถูก
00:03:25 → 00:03:29 ดีไซน์มาไม่ให้ไม่ได้ดีไซน์เพื่อความสุข
00:03:29 → 00:03:31 มนุษย์เราดีไซน์เพื่อความอยู่รอดนะครับ
00:03:31 → 00:03:34 บางทีการมีคิดลบๆที่เป็นพฤติกรรม
00:03:34 → 00:03:36 แพทเทิร์นที่มันคิดลบๆเนี่ยมันทำบางทีให้
00:03:36 → 00:03:38 เราเป็นส่วนให้เราพัฒนาตัวเราดีขึ้น
00:03:38 → 00:03:40 เรื่อยๆนะครับเพียงแต่ว่าบางคนถ้ามันคิด
00:03:40 → 00:03:43 ลบเยอะๆนะครับการจะเปลี่ยนจากการคิดลบ
00:03:43 → 00:03:46 เยอะๆเป็นการคิดบวกกับตัวเองเนี่ยมันยาก
00:03:46 → 00:03:49 เพราะมันใช้พลังงานเยอะนะร่างกายเราจะ
00:03:49 → 00:03:51 preserve พลังงานเพื่อการอยู่รอดใช่ไหมม
00:03:51 → 00:03:53 ครับเราก็มักจะคิดลบเป็นแพทเทิร์นเหมือน
00:03:53 → 00:03:55 เดิมตลอดเลยนะครับประมาณนั้นก็น่าจะ
00:03:55 → 00:03:57 ประมาณนี้ครับสำหรับ Self sabotage ใน
00:03:57 → 00:04:00 มุมของการแพทย์นี้เป็นแค่ความเห็นของผม
00:04:00 → 00:04:02 เท่านั้นนะฮะเอถ้าจะสรุปง่ายๆของเซ
00:04:02 → 00:04:04 sabotage ก็คือว่าคุณมีความรู้สึกลบภาย
00:04:04 → 00:04:07 ในใจใช่มั้ครับการจับเปลี่ยนจากลบเป็นบวก
00:04:07 → 00:04:10 เนี่ยมันใช้พลังงานเยอะมากสมองของคนเราก็
00:04:10 → 00:04:13 เลยมักจะทำให้คุณยังคิดลบอย่างนั้นอยู่
00:04:13 → 00:04:16 โดยการมองหาประสบการข้างนอกและเลือกพอแต่
00:04:17 → 00:04:19 สิ่งลบๆที่อยู่ภายนอกจะได้มาตอกย้ำความ
00:04:19 → 00:04:22 รู้สึกลบภายในใจจะได้ไม่ใช้พลังงานมากใน
00:04:22 → 00:04:24 การเปลี่ยนจากความรู้สึกลบเป็นความรู้สึก
00:04:24 → 00:04:28 บวกนะประมาณนั้นเองนะครับ